ระบบจดั การฐานขอ้ มูล รหสั วชิ า 3204-2004 หน่วยที่ 8 การแปลงแบบจาลอง E-R เป็ นตาราง
ระบบจดั การฐานขอ้ มูล รหสั วชิ า 3204-2004 หวั ขอ้ เรอื่ ง 8.1 การปลงแบบจาลอง E-R เป็นตาราง 8.2 หลกั การแปลงแบบจาลอง E-R เป็นตารางโดยใชภ้ าษาเอสควิ แอล 8.3 การแปลงแบบจาลอง E-R เป็นตารางโดยใชภ้ าษาเอสควิ แอล
ระบบจดั การฐานขอ้ มูล รหสั วชิ า 3204-2004 แนวคดิ การแปลงแบบจาลอง E-R เป็ นตารางเพ่ือนาไปใชใ้ นภาษาการ นิยามฐานขอ้ มูลในการสรา้ งรเี ลชนั โดยใชภ้ าษาในระบบจดั การฐานขอ้ มูล โดยการเปลี่ยนเอนทิตีในแบบจาลอง E-R ใหเ้ ป็ นรีเลชนั และแปลง ประเภทของความสมั พนั ธข์ องเอนทิต้ีเป็ นความสมั พนั ธข์ องรีเลชนั แลว้ แปลงรายละเอียดของเอนทิต้ีใหเ้ ป็ นแอตทริบิวต์ของรีเลชนั รวมถึง พิจารณาคยี ห์ ลกั และคยี น์ อกของแตล่ ะรเี ลชนั การแปลงแบบจาลอง E-R เป็ นตารางจึงเป็ นการนาแนวคิดในการออกแบบฐานขอ้ มูลมาใชเ้ พ่ือให้ รายละเอียดของขอ้ มูลที่จะแปลงไปเป็ นฐานข้อมูลรูปแบต่าง ๆ ที่ สอดคลอ้ งกบั ระบบจดั การฐานขอ้ มูลทเี่ ลือกใช้
ระบบจดั การฐานขอ้ มูล รหสั วชิ า 3204-2004 วตั ถปุ ระสงคเ์ ชงิ พฤติกรรม 1. บอกขน้ั ตอนการแปลงแบบจาลอง E-R เป็นตารางได้ 2. อธิบายขนั้ ตอนการแปลงแบบจาลอง E-R ได้ 3. แปลงแบบจาลอง E-R เป็นตารางโดยใชภ้ าษาเอสควิ แอลได้
ระบบจดั การฐานขอ้ มูล รหสั วชิ า 3204-2004 8.1 การแปลงแบบจาลอง E-R เป็ นตาราง แบบจาลอง E-R เป็ นการจาลองความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งขอ้ มูล การแปลงความสมั พนั ธแ์ ละแบบจาลอง E-R ใหอ้ ยใู่ นรูปแบบฐานขอ้ มูล เชงิ สมั พนั ธ์ ก็เพ่ือนาไปใชใ้ นการสรา้ งรเี ลชนั ขนั้ ตอนการแปลงแบบจาลอง E-R มีดงั น้ี
ระบบจดั การฐานขอ้ มูล รหสั วชิ า 3204-2004 8.1.1 เอนทิตปี กตแิ ละแอททรบิ วิ ตข์ องเอนทิตี เป็ นขน้ั ตอนของการแปลงอย่างตรงไปตรงมา โดยจะทาการ แปลงเอนทติ ปี กตทิ ี่ไมใ่ ชแ่ อนทติ แี บบออ่ นใหอ้ ยใู่ นรูปแบบของรเี ลชนั ซ่ึง ชอื่ ของเอนทิตี ก็คอื ชอื่ ของรีเลชนั และแอททริบิวตข์ องเอนทิตกี ็จะเป็นแอ ททรบิ วิ ตข์ องรเี ลชนั เมื่อแปลงเอนทิตีปกติใหอ้ ยู่ในรูปของรีเลชนั แลว้ ใหท้ าการ พิจารณาลกั ษณะขอ้ มูลของแต่ละรีเลชนั วา่ มีแอททริบิวตใ์ ดท่ีสามารถใช้ เป็นคยี ห์ ลกั ของรเี ลชนั ได้ และทาการขีดเสน้ ใตแ้ อททรบิ ิวตท์ เี่ ป็นคยี ห์ ลกั
ระบบจดั การฐานขอ้ มูล รหสั วชิ า 3204-2004 8.1.2 เอนทิตีแบบอ่อน เอนทิตีแบบอ่อนเป็ นเอนทิตีท่ีสามารถปรากฎอยู่ในฐานขอ้ มูล ไดก้ ็ตอ่ เมื่อตอ้ งมีอกี เอนทติ ปี รากฎอยใู่ นฐานขอ้ มลู ดว้ ย 8.1.3 ความสมั พนั ธ์ระหว่างเอนทิตี ความสมั พนั ธข์ องเอนทติ ี มี 3 แบบ ไดแ้ ก่ 1. แบบหนึ่งตอ่ หนึ่ง (1 : 1) 2. แบบหน่ึงตอ่ กลุม่ (1 : 2) 3. แบบกลุม่ ตอ่ กลุม่ (1 : 3)
ระบบจดั การฐานขอ้ มูล รหสั วชิ า 3204-2004 8.2 หลกั การแปลงแบบจาลอง E-R เป็ นตาราง โดยใชภ้ าษา SQL หลกั การแปลงแบบจาลอง E-R เป็นตารางโดยใชภ้ าษา SQL มีดงั น้ี 1. เอนทิตี สามารถแปลงเป็ นตารางไดโ้ ดยตรง โดยการใช้ คาสงั่ CREAT TABLE 2. คอมโพสิตเอนทิตีท่ีมีความสมั พนั ธแ์ บบไบนารี สามารถ แปลงเป็ นตารางไดโ้ ดยตรง โดยการใชค้ าสงั่ CREAT TABLE แลว้ นาเอาคียห์ ลกั ของทงั้ สองเอนทิตีที่เก่ียวขอ้ งมาเป็ นคียน์ อกในตารางน้ี ดว้ ย
ระบบจดั การฐานขอ้ มูล รหสั วชิ า 3204-2004 3. เอนทติ ีทม่ี ีความสมั พนั ธแ์ บบ 1 : N ใหค้ ดั ลอกเอาคยี ห์ ลกั ของตารางเอนทติ ที อี่ ยขู่ า้ งทเ่ี ป็น 1 ไปใสเ่ ป็นคยี น์ อกของตารางของเอนทิ ตที อี่ ยขู่ า้ ง N 4. แอททริบิวตข์ องเอนทิตี สรา้ งเป็ นแอททริบิวตข์ องตาราง นนั้ ๆ
ระบบจดั การฐานขอ้ มูล รหสั วชิ า 3204-20048.3 การแปลงแบบจาลอง E-R เป็ นตาราง8.3.1 ความสมั พนั ธ์แบบ 1 : 11) ความสมั พนั ธแ์ บบ 1 : 1 และมคี วามสมั พนั ธแ์ บบบงั คบั ทง้ั สองขา้ ง รายงานแตล่ ะฉบบั ตอ้ งมบี ทคดั ยอ่ 1 เรอื่ ง และบทคดั ยอ่ 1 เร่อื ง ตอ้ งเป็ นของรายงาน 1 ฉบบั เทา่ นน้ั รายงาน (Report) CREAT TABLE report 1 (report_no number(6), report_name varchar2(200), มี primary key (report_no)); 1 CREAT TABLE abstractบทคดั ย่อ (Abstract) (abt_no number(6), report_no number(6) not null unique, primary key (abt_no) foreign key (report_no) references report on delete set null on update cascade);
ระบบจดั การฐานขอ้ มูล รหสั วชิ า 3204-20042) ความสมั พนั ธแ์ บบ 1 : 1 และมคี วามสมั พนั ธแ์ บบเลือกได้ และอกีขา้ งหน่ึงเป็นแบบบงั คบัแผนก (Department) แตล่ ะแผนกจะมีหวั หนา้ แผนกไดเ้ พียง 1 คน และครูผสู้ อน 1 สามารถเป็ นหวั หนา้ แผนกไดเ้ พียง 1 คนเทา่ นนั้ บริหาร CREAT TABLE teacher โดย (teacher_no number(10), teacher_name varchar2(50), 1 primary key (teacher_no));ครผู ูส้ อน (Teacher) CREAT TABLE department (dept_no number(6), dept_name varcher2(30), mgr_no number(10) not null unique, primary key (dept_no), foreign key (head_no) references teacher on delete set default on update cascade);
ระบบจดั การฐานขอ้ มูล รหสั วชิ า 3204-2004 3) ความสมั พนั ธแ์ บบ 1 : 1 และมีความสมั พนั ธแ์ บบเลือกไดท้ ง้ั สองขา้ งครผู ูส้ อน (Teacher) มเี คร่ืองคอมพิวเตอรโ์ นต้ บุค๊ จานวนหน่ึงไดจ้ ดั สรรใหค้ รูผสู้ อนใช้ 1 แตไ่ มใ่ ชส่ าหรบั ครูผสู้ อนทกุ คน ใช้ CREAT TABLE teacher (teacher_no number(10), 1 notebook_no number(5),โนต้ บคุ๊ (Notebook) primary key (teacher_no)); CREAT TABLE notebook (notebook_no number(5), teacher_no number(10) primary key (notebook_no), foreign key (teacher_no) references teacher on delete set null on update cascade);
ระบบจดั การฐานขอ้ มูล รหสั วชิ า 3204-20048.3.2 ความสมั พนั ธ์แบบ 1 : N1) ความสมั พนั ธแ์ บบ 1 : N และมคี วามสมั พนั ธแ์ บบบงั คบั ทง้ั สองขา้ งแผนก (Department) ครูผสู้ อนทุกคนตอ้ งสงั กดั แผนกหน่ึงแผนกใดไดเ้ พียงแผนกเดยี ว 1 เทา่ นน้ั และแตล่ ะแผนกตอ้ งมคี รูผสู้ อนอยา่ งนอ้ ยหน่ึงคน มี CREAT TABLE department (dept_no number(6), M dept_name varchar2(30),ครผู ูส้ อน (Teacher) primary key (dept_no)); CREAT TABLE teacher (teacher_no number(10), teacher_name varcher2(30), dept_no number(6) not null, primary key (teacher_no), foreign key (dept_no) references department on delete set default on update cascade);
ระบบจดั การฐานขอ้ มูล รหสั วชิ า 3204-20042) ความสมั พนั ธแ์ บบ 1 : N และมคี วามสมั พนั ธข์ า้ งหนึ่งแบบเลือกได้และอกี ขา้ งหน่ึงเป็นแบบบงั คบัแผนก (Department) แตล่ ะแผนกทาแผนปฏิบตั กิ ารอยา่ งนอ้ ย 1 ฉบบั แตแ่ ผนปฏิบตั ิ 1 การทใ่ี ชไ้ มจ่ าเป็ นตอ้ งจดั ทามาจากแผนกใด ๆ ก็ไดอ้ าจเป็ น รายงานจากนอกองคก์ ร จดั ทา CREAT TABLE department M (dept_no number(6),แผนปฏบิ ตั ิการ (Plan) dept_name varchar2(30), primary key (dept_no)); CREAT TABLE plan (plan_no number(6), dept_no number(6), primary key (plan_no), foreign key (dept_no) references department on delete set null on update cascade);
ระบบจดั การฐานขอ้ มูล รหสั วชิ า 3204-20048.3.3 ความสมั พนั ธ์แบบ M : N1) ความสมั พนั ธแ์ บบ M : N มีความสมั พนั ธแ์ บบเลอื กไดท้ งั้ สองขา้ งครผู ูส้ อน (teacher) ครผู ูส้ อน (teacher) หน่ึงสมาคมอาจมีสมาชกิ ไดห้ ลายคน N 1 หรือไมม่ เี ลย และวศิ วกรหน่ึงคนสงั กดั สงั กดั M สามารถเป็ นสมาชกิ ไดห้ ลายสมาคม หรอื ไมเ่ ป็ นสมาชกิ เลยก็ได้(belong to) (belong to) M M CREATE TABLE belong_to 1 (teacher_no number(10),สมาคม(Association) สมาคม(Association) assoc_name varchar2(256), primary key (teacher _no, assoc_name), foreign key (teacher_no) references engineer on delete cascade on update cascade,CREATE TABLE teacher CREATE TABLE assocation foreign key (assoc_name) references assocation(teacher_no number(10)), (assoc_name varchar2(256), on delete cascadeprimary key (teacher_no)); primary key (assoc_name)); on update cascade,
Search
Read the Text Version
- 1 - 15
Pages: