บทที่ 2 ความเขา้ ใจพ้ืนฐาน ของการพฒั นาระบบรหสั วชิ า 3204 – 2009 การวเิ คราะหแ์ ละออกแบบระบบ
สาระสาคญั พ้นื ฐานความเขา้ ใจเรอื่ งการพฒั นาระบบมีอยู่ 4 ประเดน็ หลกั ๆ คอื 1.) ความหมายการพฒั นาระบบ 2.) วธิ กี ารพฒั นาระบบแตล่ ะแบบทเ่ี หมาะกบั สภาพขององคก์ ร 3.) การสารวจระบบเบ้ืองตน้ สาหรบั วางแผนพฒั นาระบบ 4.) แนวคดิ เรอื่ งวงจรการพฒั นาระบบ ทแี่ สดงลาดบั ขนั้ ตอนการ พฒั นาระบบตง้ั แตเ่ รมิ่ ตน้ จนจบรหสั วชิ า 3204 – 2009 การวเิ คราะหแ์ ละออกแบบระบบ
จดุ ประสงคท์ ว่ั ไป1. มีความรูค้ วามเขา้ ใจเก่ียวกบั แนวความคดิ ของการพฒั นาระบบ2. มีความรูค้ วามเขา้ ใจเก่ียวกบั การพฒั นาระบบทเี่ หมาะสมสาหรบั สภาพองคก์ ร3. มีความรูค้ วามเขา้ ใจเก่ียวกบั การสารวจระบบเพ่ือวางแผนการพฒั นาระบบ4. มคี วามรูค้ วามสามารถในการอธิบายวธิ ีการสารวจระบบได้5. มีความรูค้ วามสามารถในการอธบิ ายแนวคดิ วงจรการพฒั นาระบบสารสนเทศ
จดุ ประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม1. สามารถอธิบายใหเ้ ขา้ ใจถึงแนวคดิ ของการพฒั นาระบบได้2. สามารถอธิบายวธิ กี ารพฒั นาระบบทเ่ี หมาะสมกบั สภาพองคก์ รได้3. สามารถอธบิ ายวธิ ีการสารวจระบบระบบเพ่ือวางแผนการพฒั นาระบบได้4. สามารถอธิบายใหเ้ ขา้ ใจถึงแนวคดิ เรอ่ื งวงจรการพฒั นาระบบสารเทศได้
เน้อื หาสาระ 1. ภาพรวมของการพฒั นาระบบ 2. วธิ ีการพฒั นาระบบ 3. วธิ กี ารสารวจระบบ 4. วงจรการพฒั นาระบบ 5. แบบฝึกหดั หลงัรหสั วชิ า 3204 – 2009 การวเิ คราะหแ์ ละออกแบบระบบ
1. ภาพรวมของการพฒั นาระบบ ระบบงานธุรกิจส่วนใหญ่มกั จะมีระบบการเก็บรวบรวมขอ้ มูลเม่ือเวลาผา่ นไปอาจตอ้ งมีการพฒั นาเปล่ียนแปลงใหร้ ะบบทางานไดด้ ีข้ึนดงั นน้ั นกั วิเคราะหร์ ะบบจะตอ้ งมีแนวทางและวธิ ีในการพฒั นาปรบั ปรุงระบบ หรอื พฒั นาระบบใหมข่ ้ึนมาแทนระบบเดมิ ทใ่ี ชอ้ ยู่
1.1 นยิ ามของการพฒั นาระบบ1.1.1 ความหมายทางเทคนคิ ของการพฒั นาระบบ โดยนิยามหลักของคาว่าระบบแลว้ อาจไม่ไดห้ มายถึงระบบสารสนเทศโดยตรงแตผ่ ลการทางานของแตล่ ะระบบยอ่ ยภายในองคก์ รจะมีผลลพั ธท์ างสารสนเทศเสมอ ดงั นนั้ เม่ือกล่าวถึงการพฒั นาระบบแลว้จงึ มีความหมายทางเทคนิคทรี่ วมถึงการพฒั นาและเทคโนโลยีสารสนเทศตามลกั ษณะความตอ้ งการในองคก์ รโดยปริยาย
1.1.2 การเรยี กชอ่ื ระบบในขณะพฒั นาระบบ เพ่ือใหเ้ กิดความเขา้ ใจตรงกนั ในการทางาน จงึ มกั ใหค้ านิยามของระบบในแตล่ ะชว่ งพฒั นาดงั น้ี 1. ระบบปัจจบุ นั 2. ระบบใหม่ 3. ระบบเดมิ หรอื ระบบเกา่
1.2 จุดเรม่ิ ตน้ ของการพฒั นาระบบ เพราะทุกระบบในโลกน้ี ไม่มีระบบใดดีท่ีสุดหรือสมบูรณ์ที่สุดระบบที่ดีท่ีสุด ณ เวลาหนึ่ง ก็อาจจะเป็ นระบบท่ีไม่ดีเมื่อเวลาผ่านไปดงั นน้ั จงึ ตอ้ งมีการปรบั ปรุงพฒั นาระบบใหม่เขา้ มาแทนระบบเดิมเพ่ือให้ไดผ้ ลลพั ธก์ ารทางานตรงตามความตอ้ งการของผูใ้ ชง้ านระบบและได้ผลลพั ธต์ ามวตั ถุประสงคท์ ก่ี าหนดไวใ้ หม้ ากทสี่ ุด โดยความตอ้ งการจะมาจากปัญหาต่าง ๆ ท่ีถูกพบหรือเมื่อสภาพแวดลอ้ มภายนอกระบบเปล่ียนไปจนทาใหเ้ กิดผลกระทบในกระบวนการของระบบ
1.3 ปัจจยั ที่ก่อใหเ้ กดิ การพฒั นาระบบ1.3.1 ปัจจยั ภายในระบบ (ปัจจยั ในขอบเขตของระบบ) 1. บุคลากรทท่ี างานกบั ระบบตอ้ งการใหป้ รบั ปรุง 2. เจา้ ของระบบตอ้ งการพฒั นา 3. ปัญหาหรอื ขอ้ ผดิ พลาดของระบบปัจจบุ นั 4. มกี ารพฒั นาเทคโนโลยใี หม่1.3.2 ปัจจยั ภายนอกระบบ (สภาพแวดลอ้ มภายนอกของระบบ) 1. ความตอ้ งการของบุคคลภายนอกองคก์ รทเี่ ก่ียวขอ้ งกบั ระบบ 2. การปรบั ตวั ใหร้ บั กบั การเปลี่ยนแปลงทเ่ี กิดข้ึนได้
1.4 ลกั ษณะแนวทางพฒั นาระบบสาหรบั ธรุ กจิ1.4.1 กาหนดวตั ถปุ ระสงคแ์ ละขอบเขตท่ีชดั เจน การพฒั นาระบบตอ้ งกาหนดวตั ถุประสงคข์ องการพฒั นาก่อนทาใหเ้ ราทราบวา่ องคป์ ระกอบและกระบวนการทางานในระบบทจ่ี ะกาหนดข้ึนมานน้ั จะเป็ นคาตอบการทางานใหบ้ รรลุเป้ าหมายหรือไม่ เมื่อเรามีวตั ถุประสงคท์ ี่ชดั เจนแลว้ เราจะสามารถออกแบบระบบโดยกาหนดองคป์ ระกอบต่าง ๆ พรอ้ มกบั กระบวนการไดอ้ ย่างสอดคลอ้ งกนั กบัเป้ าหมายทต่ี อ้ งการและจะสง่ ผลใหน้ าระบบทอี่ อกแบบน้ีไปใชง้ านไดจ้ รงิ
1.4.2 ใชป้ ัจจยั จากสภาพแวดลอ้ มมามีสว่ นในการพฒั นา การพฒั นาระบบทส่ี าเรจ็ ไมเ่ พียงแตร่ ะบบทางานไดด้ เี ยยี่ มเทา่ นน้ั แตต่ อ้ งใชง้ านไดจ้ รงิ ในสภาพแวดลอ้ มของระบบดว้ ย เชน่คอมพิวเตอรท์ ต่ี อ้ งใชง้ านในหอ้ งทม่ี รี ะบบปรบั อากาศเทา่ นน้ั ผใู้ ชง้ านตอ้ งมที กั ษะความรูด้ า้ นเทคนิค มรี าคาแพง เดยี วกนั กบั สภาพแวดลอ้ มสาหรบั ธุรกิจ ไดแ้ ก่ วฒั นธรรมทอ้ งถิ่น สภาพสงั คมเศรษฐกิจ กิจกรรมตา่ ง ๆ ของคนในสงั คม ฯ เราตอ้ งนาปัจจยั เหลา่ น้ีไปใชป้ ระกอบการพฒั นาระบบ
1.5 การวิเคราะหอ์ อกแบบระบบกบั การพฒั นาระบบ การวเิ คราะหร์ ะบบนน้ั จะเป็นการศกึ ษาวา่ ระบบเก่าหรอื ทใี่ ชง้ านอยใู่ นปัจจบุ นั มปี ัญหาอยา่ งไร และปัญหานนั้ เกดิ ข้ึนอยา่ งไร รวมถึงเป็นการคดิ หาแนวทางวา่ จะพฒั นาระบบทใ่ี ชอ้ ยใู่ หด้ ขี ้ึนและทนั สมยั ไดอ้ ยา่ งไร1.5.1 ความหมาย 1. การวเิ คราะหร์ ะบบ เป็นการศึกษาการทางานในระบบการทางานปัจจบุ นั เพื่อให้ เขา้ ใจถึงปัญหาและความตอ้ งการทมี่ าจากระบบปัจจบุ นั และรวม เป็นขอ้ สรุปเพื่อปรบั ปรุงระบบปัจจบุ นั หรอื ออกแบบระบบใหม่
2. การออกแบบระบบเป็นการกาหนดแบบแผนในการสรา้ งระบบข้ึนมาใหม่ โดยผลลพั ธก์ ารทางานของระบบใหมน่ น้ั จะเป็นไปตามความตอ้ งการทไ่ี ดจ้ ากการวเิ คราะหร์ ะบบ และแกไ้ ขปัญหาทพ่ี บจากระบบปัจจบุ นั การกาหนดแบบแผนน้ีอาจจะใชว้ ธิ ปี รบั ปรุงหรือแกไ้ ขระบบการทางานปัจจบุ นั หรืออาจกาหนดองคป์ ระกอบและกระบวนงานข้ึนมาใหม่ทงั้ หมด
1.5.2 ความสาคญั ต่อการพฒั นาระบบ 1. การวเิ คราะหร์ ะบบทาใหท้ ราบปัญหาท่ีเกิดข้ึนจริงและทราบ ความตอ้ งการทแ่ี ทจ้ รงิ ในระบบปัจจบุ นั 2. การออกแบบระบบทาใหเ้ กดิ การแกป้ ัญหาโดยปรบั ปรุงระบบ ปัจจบุ นั หรอื สรา้ งระบบใหมใ่ หท้ างานตามจดุ ประสงคท์ ก่ี าหนดไว้ ใหไ้ ดม้ ากทสี่ ุด 3. การวเิ คราะหแ์ ละออกแบบระบบมีบทบาทสาคญั อย่างย่ิงต่อ การพฒั นาระบบ เพราะเป็ นแนวทางดาเนินการในการพฒั นา ระบบใหม่ข้ึนมา และกาหนดผลลพั ธป์ ลายทางเม่ือนาระบบมาใช้ งานจริง
1.6 ประเภทของการพฒั นาระบบการพฒั นาระบบจะแบ่งการพฒั นาเป็น 2 ประเภท ดงั น้ี1.ระบบเชงิ ตรรกะ (Logical system) เป็ นระบบท่ีมีองคป์ ระกอบท่ีมีลกั ษณะเป็ นนามธรรม จบั ตอ้ งไม่ได้ แต่สามารถสะทอ้ นผลลพั ธอ์ อกมาใหเ้ ป็ นรูปธรรม และสามารถอา้ งองิ ถึงสง่ิ ทเ่ี ป็นรูปธรรมได้2.ระบบเชงิ กายภาพ (Physical system) เป็ นระบบที่มีองค์ประกอบเป็ นรูปธรรม จบั ตอ้ งได้ ที่นามาประยุกตใ์ ชง้ านใหส้ อดคลอ้ งกบั วตั ถุประสงคข์ องระบบ
1.7 อปุ สรรคการพฒั นาระบบ การพัฒนาระบบมักมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงในองค์กรโดยเฉพาะวธิ ีการทางานในองคก์ รนนั่ เอง แมน้ กั วเิ คราะหร์ ะบบจะมีทกั ษะความสามารถสงู แตก่ ็อาจพบอุปสรรคทม่ี าจากผทู้ ที่ างานในองคก์ รดว้ ย
1.7.1 การต่อตา้ น การตอ่ ตา้ นมกั มีสาเหตุมาจากมุมมองของผูท้ รี่ บั ผลกระทบจากการพฒั นาระบบ ปัญหาความขดั แยง้ หรือท่ีเรียกวา่ ปัญหาทางการเมืองภายในองคก์ ร เชน่ 1. ความไมไ่ วว้ างใจ 2. กลวั การสญู เสยี อานาจ 3. ไมต่ อ้ งการเปลย่ี นแปลง 4. กลวั การเสยี เวลา
1.7.2 ความไม่ชดั เจนในความตอ้ งการ ในหลายครงั้ ท่ีองคก์ รตอ้ งการระบบการทางานใหม่เหมือนการตอ้ งการกา้ วใหท้ นั แฟชนั่ หรือการผลลพั ธใ์ นดา้ นภาพลกั ษณม์ ากกว่าผลลพั ธท์ างสารสนเทศท่ีได้ จึงมีผลทาใหน้ กั วเิ คราะหร์ ะบบไม่สามารถกาหนดปัญหาและวิธีการแกไ้ ขท่ีครอบคลุม เพราะอาจขาดขอ้ มูลที่ครบถว้ นในการวเิ คราะหน์ นั่ เอง ตวั อยา่ งเชน่ 1. ความขดั แยง้ ในความตอ้ งการของแต่ละฝ่ ายที่เกี่ยวขอ้ งใน องคก์ ร 2. ความไม่เขา้ ใจหรอื ความไมช่ ดั เจนใจความตอ้ งการ 3. ความไม่ชดั เจนในกระบวนการในระบบ
1.7.3 นโยบายดา้ นการรกั ษาขอ้ มูลภายใน แ ต่ ล ะ อ ง ค์ ก ร มัก จ ะ มี ข ้อ มู ล ที่ เ ส่ี ย ง ต่ อ ก า ร เ ข ้า ใ จ ผิ ด ต่ อบุคคลภายนอก หรืออาจเป็ นขอ้ มูลส่วนบุคคลท่ีองคก์ รไม่ตอ้ งการใหม้ ีการเปิดเผย ดงั นน้ั องคก์ รอาจไม่เปิ ดเผยขอ้ มูลบางดา้ นทจี่ าเป็ นตอ่ การนามาวเิ คราะหท์ งั้ จงใจละไมไ่ ดต้ งั้ ใจ ผทู้ ว่ี เิ คราะหร์ ะบบจงึ ตอ้ งหาวธิ ีทจี่ ะได้ขอ้ มูลใหม้ ากทีส่ ุดและยงั คงอยู่ในนโยบายขององคก์ รมากที่สุด หรือตอ้ งสรา้ งหลกั ประกนั วา่ ขอ้ มูลจะถูกเก็บรกั ษาไวเ้ ป็นความลบั อยา่ งดี
2. วิธีการพฒั นาระบบ การเลือกวธิ ีท่ีใชใ้ นการพฒั นาระบบที่สมสาหรบั องคก์ รแต่แรกนบั วา่ เป็ นการกาหนดกลยุทธ์ การออกแบบระบบท่ีจะพฒั นาข้ึนเม่ือนาระบบมาใชง้ านจริง เพราะจะช่วยใหเ้ ป็ นแนวทางดาเนินการในระยะออกแบบระบบท่ีเหมาะสมกบั สภาพความพรอ้ มขององค์กร วิธีการพฒั นาระบบมอี ยู่ 3 วธิ ีหลกั ๆ คอื
2.1 การพฒั นาระบบข้นึ มาเอง2.1.1 ความหมาย การพฒั นาระบบข้ึนมาเอง หมายถึง การพฒั นาระบบข้ึนมาใช้งานภายในองคก์ ร โดยองคก์ รมีบุคลากรทพ่ี ฒั นาระบบเป็นของตวั เอง2.1.2 ขอ้ ดี 1. สนองตอ่ ความตอ้ งการของผใู้ ชร้ ะบบไดเ้ ตม็ ท่ี 2. ลดคา่ ใชจ้ า่ ยดา้ นการจดั หาทรพั ยากรดา้ นอุปกรณไ์ อที 3. ผทู้ พ่ี ฒั นาระบบจะรูจ้ กั องคก์ รอยา่ งดี 4. เมื่อเกิดปัญหาขณะใชง้ าน สามารถดาเนินการแกไ้ ขไดท้ นั ที
2.1.3 ขอ้ เสยี 1. มคี า่ ใชจ้ า่ ยสาหรบั บุคลากรสูง โดยเฉพาะบุคลากรดา้ นไอที 2. เอกสารประกอบการพัฒนาระบบอาจไม่เป็ นไปตาม มาตรฐาน 3. ประสบการณ์อาจนอ้ ย เมื่อเทียบกบั ความซบั ซอ้ น ขนาด โครงการ หรอื จานวนโครงการทที่ า
2.2 การใชบ้ รกิ ารจากแหล่งภายนอก2.2.1 ความหมาย การใชบ้ ริการจากแหล่งภายนอก หมายถึง การพฒั นาระบบข้ึนมาโดยวา่ จา้ งบุคคลภายนอกองคก์ ร2.2.2 ขอ้ ดี 1. ไมต่ อ้ งลงทนุ ดา้ นบุคลากรเอง 2. ไดบ้ รกิ ารทเี่ ป็นเทคโนโลยสี มยั ใหม่ 3. ไดค้ วามตรงตอ่ เวลา และระบบทต่ี อ้ งการ 4. ควบคมุ คา่ ใชจ้ า่ ยไดง้ ่ายกวา่
5. สามารถปรบั ปรุงระบบโดยผรู้ บั จา้ งพฒั นาระบบได้ 6. เอกสารประกอบการพฒั นาระบบมีความครบถว้ นและได้ มาตรฐาน2.2.3 ขอ้ เสยี 1. ผรู้ บั จา้ งพฒั นาทมี่ อื อาชพี อาจมีนอ้ ย 2. องคก์ รสูญเสยี ความลบั ภายใน 3. ตอ้ งอยใู่ นภาวะพ่ึงพาผรู้ บั จา้ งพฒั นาเสมอ ๆ 4. อาจมกี ารตอ่ ตา้ นผรู้ บจา้ งซงึ่ เป็นบุคคลภายในองคก์ ร 5. มคี า่ ใชจ้ า่ ยสงู ในระยะเรมิ่ ตน้
2.3 การใชโ้ ปรแกรมสาเรจ็ รปู2.3.1 ความหมาย การใชโ้ ปรแกรมสาเร็จรูป หมายถึง การพฒั นาระบบโดยใช้ซอฟตแ์ วรห์ รือโปรแกรมสาเร็จรูปท่ีพรอ้ มใชง้ านไดท้ นั ที โปรแกรมที่พฒั นาข้ึนน้ีจะครอบคลุมความตอ้ งการเกือบทุกดา้ นที่องคก์ รตอ้ งการโดยเฉพาะองคก์ รทางธุรกิจทมี่ กั จะมอี งคป์ ระกอบหลกั ๆ ทค่ี ลา้ ยกนั
2.3.2 ขอ้ ดี 1. สามารถนามาใชง้ านไดท้ นั ที 2. ไดซ้ อฟตแ์ วรค์ ณุ ภาพดี 3. ปรบั ปรุงเป็นรุน่ ใหมไ่ ดง้ ่ายและไดร้ าคาประหยดั 4. มีการใหค้ าปรกึ ษาจากผจู้ ดั จาหน่าย2.3.3 ขอ้ เสยี 1. อาจปรบั กระบวนการระบบขององคก์ รใหเ้ ขา้ กบั โปรแกรม 2. ตอ้ งใชท้ กั ษะในการคดั เลอื กโปรแกรมทจ่ี ะนามาใช้ 3. มคี า่ ใชจ้ า่ ยสูงมากในกรณีทเ่ี ป็นระบบขนาดใหญ่ 4. ตอ้ งอาศยั ผจู้ ดั จาหน่ายในการอบรมและการแกไ้ ขปัญหา
3. วิธีการสารวจระบบ การสารวจระบบคือการศึกษาทาความเขา้ ใจลกั ษณะภาพรวมการทาความเขา้ ใจกบั ปัญหาและการกาหนดแนวทางแกไ้ ขปัญหาของระบบของระบบงานปัจจุบนั ผลสารวจท่ีไดจ้ ะเป็ นขอ้ มูลสาหรบั การพิจารณาตดั สนิ ใจวา่ มคี วามเหมาะสมทจ่ี ะจดั ทาแผนโครงการพฒั นาระบบตอ่ ไปหรือไม่ อีกนยั หนึ่ง การสารวจระบบก็คือการศึกษาระบบปัจจุบนั ในระดบั เบ้ืองตน้ สาหรบั การประเมิน การวางแผน และวิเคราะหห์ าความตอ้ งการที่แทจ้ ริง จนนาไปสู่การออกแบบระบบที่ตรงกบั ความตอ้ งการวธิ ีการสารวจระบบน้ีมี 3 สว่ นใหญ่ ๆ ดงั น้ี
3.1 การศกึ ษาระบบงานปัจจบุ นั การศึกษาระบบปัจจุบนั เป็ นการทาความเขา้ ใจกบั ระบบการทางานในปัจจบุ นั ไดแ้ ก่ วตั ถุประสงคข์ องระบบปัจจบุ นั องคป์ ระกอบตา่ งๆ และกระบวนการท่ีเกี่ยวขอ้ งในระบบปัจจุบนั ในภาคปฏิบตั ิแลว้ ก็คือการเขา้ ใจระบบธุรกิจขององคก์ ร การศกึ ษามี 3 แนวทาง ไดแ้ ก่
3.1.1 การศกึ ษาจากเอกสารภายใน ขอ้ มูลระบบการทางานจะพบไดจ้ ากเอกสารต่าง ๆ ทงั้ เอกสารภายในองคก์ รและเอกสารภายนอกองคก์ รทเี่ กี่ยวขอ้ งกบั องคก์ ร เชน่ 1. เอกสารดา้ นกระบวนการ หรือผงั การทางาน 2. ฟอรม์ เอกสาร เชน่ เอกสารคารอ้ งตา่ ง ๆ เอกสารตรวจงาน 3. รายงาน เชน่ รายงานสรุปยอดขาย รายงานสถิติ 4. เอกสารอธิบายการพฒั นาระบบสารสนเทศ เชน่ โครงสรา้ ง ฐานขอ้ มลู พจนานุกรมขอ้ มูล ฯ 5. เอกสารอน่ื ๆ 6. เวบ็ ไซตข์ ององคก์ ร
3.1.2 การสมั ภาษณเ์ จา้ หนา้ ท่ีในองคก์ ร การสมั ภาษณท์ ง้ั ผูบ้ ริหารและเจา้ หนา้ ที่ในสว่ นงานต่าง ๆ ขององคก์ รโดยตรง การสมั ภาษณจ์ ะทาใหเ้ ราไดข้ อ้ มูลจากผูใ้ หส้ มั ภาษณท์ ่ีมีประสบการณ์ทางานดว้ ยตนเอง ซึ่งอาจจะมีมุมมองหรือความรูส้ ึกท่ีแตกตา่ งออกไปจากการศกึ ษาขอ้ มูลจากเอกสาร3.1.3 การศกึ ษาจากเอกสารภายนอกที่เกยี่ วขอ้ งกบั องคก์ ร 1. ขอ้ มูลจากภายนอกองคก์ รทก่ี ลา่ วถึงองคก์ ร 2. การคน้ ควา้ ขอ้ มูลประกอบ
3.2 การทาความเขา้ ใจปัญหาของระบบปัจจุบนั การทาความเขา้ ใจกบั ปัญหาหรือการทาความรูจ้ กั กบั ตวั ปัญหาที่แทจ้ ริงที่เกิดข้ึนในระบบปัจจุบนั คือ การหาความแตกต่างระหวา่ งส่ิงที่กาลงั เป็นอยกู่ บั สง่ิ ทตี่ อ้ งการใหเ้ ป็นจากระบบปัจจบุ นั บางครงั้ จะเรยี กการสารวจระบบในสว่ นน้ีวา่ (Problem Definition) ซงึ่ จะทาใหเ้ ราทราบสภาพปัญหาท่ีเกิดในระดบั เบ้ืองตน้ ก่อนที่จะรวบรวมขอ้ มูลอย่างละเอียดจนพบความตอ้ งการทแ่ี ทจ้ รงิ การทาความเขา้ ใจน้ีประกอบดว้ ย 3 ขนั้ ตอน คอื
3.2.1 ตรวจสอบปัญหาเบ้อื งตน้ วธิ ีตรวจสอบปัญหาเบ้ืองตน้ มีอยู่ 2 วธิ ี ดงั น้ี 1. การตรวจสอบปัญหาจากการปฏิบตั งิ าน เชน่ 1) ความรวดเร็วหรอื ปรมิ าณเวลาทใ่ี ชท้ างาน 2) ความผดิ พลาดของการทางาน 3) ความถูกตอ้ งในการทางาน 4) ความสมบูรณข์ องงาน 5) ผลสมั ฤทธิ์ของงาน (เปรียบเทียบกบั วตั ถุประสงค์ ของงาน)
2. การตรวจสอบปัญหาจากพฤตกิ รรมของผทู้ ท่ี างาน พฤติกรรมผูป้ ฏิบตั ิงานเป็ นสิ่งท่ีสะทอ้ นในปัญหาบางดา้ นของของระบบงานได้ เชน่ 1) ความกระตือรือรน้ ในการทางานหรือความรูส้ กึ หรือ ปฏิกิรยิ าขณะการปฏิบตั งิ าน 2) อตั ราการลาออก 3) ปัญหาอนื่ ๆ ทอี่ าจพบ
3.2.2 กาหนดแนวทางแกไ้ ขปัญหา การกาหนดแนวทางน้ี ใหล้ องคิดออกมาในหลาย ๆ แนวทางเพ่ือเป็ นโครงแบบ (Configuration) ในการแกไ้ ขปัญหา โดยอาศัยแนวคดิ แบตา่ ง ๆ มาประกอบกนั จนไดท้ างเลอื กตา่ ง ๆ ไดแ้ ก่ 1. การเพ่ิมความเรว็ ของขนั้ ตอนในกระบวนการ 2. การเพ่ิมความซบั ซอ้ นของกระบวนการ 3. การเพ่ิมความรอบคอบของกระบวนการ 4. การเพ่ิมความรอบคอบของกระบวนการ 5. การลดความซา้ ซอ้ นในการจดั เก็บขอ้ มูล
6. การลดความซา้ ซอ้ นของรายงาน เพ่ือลดความสบั สน 7. การปรบั ปรุงสภาพแวดลอ้ มการทางาน3.2.3 การทาขอ้ สรปุ การพฒั นาระบบเบ้อื งตน้ หลงั จากท่ีไดท้ าความเขา้ ใจและไดแ้ นวทางในการแกไ้ ขปัญหาแลว้ ใหจ้ ดั ทาขอ้ สรุปเบ้ืองตน้ สาหรบั จดั ทาโครงการพฒั นาระบบ ดงั น้ี 1. เป้ าหมายสาหรบั การพฒั นาระบบ 2. ขอบเขตในการพฒั นาระบบ 3. ทรพั ยากรทต่ี อ้ งใชใ้ นการพฒั นาระบบ
3.3 การศกึ ษาความเป็ นไปได้ การพฒั นาระบบจะมีขอ้ จากดั ในการพฒั นาเสมอ และขอ้ จากดันั้น ก็ จ ะ ส่ ง ผ ล ก ร ะ ท บ ต่ อ ก า ร ด า เ นิ น ก า ร พัฒ น า ร ะ บ บ ร ว ม ไ ป ถึ งผลตอบแทนที่ไดจ้ ากการพฒั นาระบบดว้ ย ดงั นนั้ จึงตอ้ งมีการศึกษาความเป็ นไปไดก้ ่อนดาเนินโครงการ ซ่ึงเป็ นการประเมินถึงความสมเหตุสมผล ความเส่ียงภายใตข้ อ้ จากดั ในการพฒั นาระบบการศึกษาความเป็นไปไดน้ ้ีจงึ มีอยหู่ ลายดา้ น ถึงแมก้ ารพฒั นาระบบไดด้ าเนินการจนเสร็จส้ินแลว้ เมื่อเวลาหรือสถานการณแ์ วดลอ้ มเปล่ียนไป และมีความตอ้ งการเปลี่ยนแปลงหรือปรบั ปรุงอกี การพฒั นาก็จะย่อมเกิดข้ึนอกี ครง้ั จนกระทงั่ เสร็จส้ินลงเป็นวฏั จกั รดงั น้ีเรอ่ื ยไป เรยี กวา่ วงจรการพฒั นาระบบ
4. วงจรการพฒั นาระบบ4.1 การแบ่งระยะของวงจรพฒั นาระบบ แผนภาพแสดงวงจรการพฒั นาระบบแบบหนึ่ง ระยะบารุงรกั ษา ระยะวางแผนโครงการ ระยะวเิ คราะหร์ ะบบระยะการประเมนิ ผล ระยะนาไปใชง้ าน ระยะออกแบบระบบ
แผนภาพแสดงวงจรการพฒั นาระบบโดยทวั่ ไประยะวางแผนโครงการ ระยะวเิ คราะหร์ ะบบ ระยะออกแบบระบบ ระยะการนาไปใชง้ าน ระยะบารุงรกั ษา
4.2 แบบแผนของวงจรพฒั นาระบบ การแสดงแผนภาพวงจรการพฒั นาระบบท่ีผ่านมาจะอยู่ในรูปแผนภาพนา้ ตก ออกแบบโดย Royce ในปี ค.ศ. 1970 แผนภาพน้ีเป็ นแบบท่ีไดร้ บั ความนิยมทว่ั ไป ง่ายต่อการทาความเขา้ ใจและใชก้ นั มานานนอกจากชอื่ waterfall model แลว้ มีการเรียกหลายชอื่ ไดแ้ ก่ ClassicLife , Cycle model หรือ Linear Sequential Model เป็นตน้ แต่ในสภาพการทางานจริงแลว้ มกั จะพบปัญหาในขน้ั ตอนของการพฒั นาโปรแกรมข้ึนมาใชง้ านจริง เพราะอาจมีหลายอย่างทไี่ ม่เป็ นไปตามทค่ี าดการณไ์ ว้ แบบแผนการทางานจะไมส่ อดคลอ้ งกบั แผนภาพแบบนา้ ตก จึงมีผูค้ ิดคน้ แผนภาพวงจรการพฒั นาระบบออกมาหลายแบบเพ่ือใหส้ อดคลอ้ งกบั การทางานจรงิ
Search
Read the Text Version
- 1 - 40
Pages: