บทที่ 1 ความเข้าใจพืน้ ฐานเกี่ยวกบั ระบบรหสั วชิ า 3204 – 2009 การวเิ คราะหแ์ ละออกแบบระบบ
สาระสาคญั การวิเคราะห์และออกแบบระบบนนั้ จะทาให้สามารถปรับปรุงและพฒั นางานต่างๆ ให้มปี ระสิทธิภาพสงู ขนึ ้ ผ้เู รียนจาเป็นต้องมีความเข้าใจในเบือ้ งต้นเก่ียวกบั ระบบ ลกั ษณะของ ระบบสารสนเทศ และลกั ษณะกระบวนการ ขององค์กรธรุ กิจ เป็นพืน้ ฐานความเข้าใจสาหรับการ พฒั นาระบบในชีวิตจริง สนบั สนนุ กระบวนการทางานในองค์กรธุรกิจ จดุ ประสงค์ทว่ั ไป 1. มีความรู้ความเข้าใจความหมายและแนวคิดของระบบ 2. มีความรู้ความเข้าใจสว่ นประกอบของระบบ 3. มีความรู้ความเข้าใจความหมายของระบบสารสนเทศ 4. มคี วามรู้ความเข้าใจแนวคดิ เร่ืองการพฒั นาระบบสารสนเทศ 5. มคี วามรู้ความเข้าใจความหมายและกระบวนการในระบบธุรกิจรหสั วชิ า 3204 – 2009 การวเิ คราะหแ์ ละออกแบบระบบ
จดุ ประสงค์เชิงพฤตกิ รรม 1. สามารถอธิบายความหมายและแนวคิดของระบบได้ 2. สามารถอธิบายสว่ นประกอบของระบบได้ 3. สามารถอธิบายความหมายของระบบสารสนเทศได้ 4. มีแนวคิดเร่ืองการพฒั นาระบบสารสนเทศได้ 5. สามารถอธิบายความหมายและกระบวนการในระบบธรุ กิจได้ เนือ้ หาสาระ 1. ภาพโดยรวมของระบบ 2. ระบบสารสนเทศ 3. ระบบธุรกิจ 4. แบบฝึกหดั หลงั เรียนรหสั วชิ า 3204 – 2009 การวเิ คราะหแ์ ละออกแบบระบบ
1. ภาพโดยรวมของระบบ 1.1 ความหมาย ระบบ (System) คอื ชดุ (Set) ขององคป์ ระกอบ (Element) ตา่ ง ๆ ที่มีความสมั พนั ธ์กนั และทางานร่วมกนั เพ่ือบรรลซุ ง่ึ จดุ ประสงค์เดยี วกนั องคป์ ระกอบตา่ งๆ อาจหมายถึงบคุ คล สิง่ ของ ระบบ ยอ่ ยๆ ท่ีประกอบเข้ากนั เป็นระบบใหญ่ รวมทงั้ กระบวนการ (Process) ที่ทาให้เกิดการทางานร่วมกนั ขององค์ประกอบในระบบ 1.2 ลกั ษณะของระบบ โดยทว่ั ไปแล้ว ระบบจะมีลกั ษณะดงั นี ้ 1. มีการกาหนดขอบเขตของตวั ระบบเอง (System Boundary) 2. องคป์ ระกอบของระบบจะอยใู่ นขอบเขตของระบบ 3. ระบบจะอยภู่ ายใต้สภาพแวดล้อมหนง่ึ ๆ (System Environment) 1.3 ระบบท่ีมีระบบยอ่ ย ระบบบางระบบอาจมีระบบยอ่ ยหลายระบบประกอบกนั จากภาพรวมของลกั ษณะระบบ จะเหน็ วา่ ระบบไมไ่ ด้เน้นท่ีสว่ นประกอบ ใดเป็นหลกั ถงึ แม้วา่ เมื่อสถานการณ์หรือกาลเวลาเปลี่ยนไป มีผลทาให้บางองค์ประกอบมีการเปลี่ยนแปลง ปรับปรุง หรือถกู ตดั ออกไป แตจ่ ะเน้นท่ีทกุ องค์ประกอบในระบบต้องมีความสมั พนั ธ์กนั ด้วยกระบวนการและเกิดผลลพั ธ์ตามจดุ ประสงค์ของระบบ และหากมีระบบตงั้ แต่ 2 ระบบขนึ ้ ไปทางานร่วมกนั ก็อาจเป็นเหตใุ ห้ก่อเกิดเป็นระบบใหม่ โดยเป็นกระบวนการใหม่ และเกิด ผลลพั ธ์ใหมข่ นึ ้ มารหสั วชิ า 3204 – 2009 การวเิ คราะหแ์ ละออกแบบระบบ
1. ภาพโดยรวมของระบบ 1.4 สว่ นประกอบของระบบ ไมว่ า่ ระบบจะมีองคป์ ระกอบตา่ งๆ อยา่ งไร โดยทวั่ ไปทงั้ ระบบจะแบง่ สว่ นประกอบแบง่ ออกเป็น 3 กลมุ่ ดงั นี ้ 1. บคุ ลากร (Person) เป็นทรัพยากรท่ีสาคญั ที่สดุ เพราะเป็นผ้ทู ี่ทางานกบั ระบบ ตงั้ แตก่ ารปฏิบตั งิ านในระบบ การใช้ประโยชน์ จากผลลพั ธ์ และเป็นตวั แปรสาคญั ที่กาหนดการดาเนินไปของระบบทงั้ ในแง่ของการพฒั นาหรือการเสื่อมลงของระบบ 2. อปุ กรณ์ (Equipment) เป็นส่งิ ที่ชว่ ยให้การดาเนินไปอยา่ งมีประสิทธิภาพ สอดคล้องกบั วตั ถปุ ระสงคแ์ ละมีความเหมาะสมตอ่ การใช้งานในระบบ ทงั้ ในแงข่ องความสามารถของอปุ กรณ์และความเหมาะสมตอ่ บคุ ลากรในระบบ ตวั อยา่ งของอปุ กรณ์ในระบบ ได้แก่ เคร่ืองคอมพวิ เตอร์ และอปุ กรณ์ประกอบตา่ ง ๆ 3. กระบวนการ (Procedure) เป็นมาตรฐานการดาเนนิ การขององคป์ ระกอบตา่ งๆ ให้สมั พนั ธ์สอดคล้องกนั ในระบบ เพื่อให้ไปถงึ จดุ ประสงค์ของระบบ 1.5 ประเภทของระบบ โดยสภาพการทางานแล้ว ระบบถกู แบง่ ออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ ดงั นี ้ 1. ระบบปิด (Closed system) ระบบปิดเป็นระบบที่อสิ ระจากสภาพแวดล้อมภายนอก มีลกั ษณะการทางานท่ีไมย่ งุ่ กบั สภาพแวดล้อมภายนอก แตใ่ ห้ความสาคญั ตอ่ การทางานภายในระบบเป็นหลกั เชน่ ระบบเปิดปิดหลอดไฟฟ้ าอตั โนมตั ติ ามถนนที่เปิด-ปิดเองเม่ือถึงเวลาที่กาหนดไว้ 2. ระบบเปิด (Open system) มีลกั ษณะการทางานที่ตรงข้ามกบั ระบบปิด นน่ั คือการให้สภาพแวดล้อมภายนอกมาเป็นตวั แปรในการกาหนดการทางานภายในของ ระบบ เชน่ ระบบไฟฟ้ าฉกุ เฉินท่ีจา่ ยไฟฟ้ าอตั โนมตั เิ มื่อเกิดเหตกุ ารณ์ไฟฟ้ าดบั หรือไฟฟ้ าตกรหสั วชิ า 3204 – 2009 การวเิ คราะหแ์ ละออกแบบระบบ
1. ภาพโดยรวมของระบบ 1.6 นกั วเิ คราะห์ระบบ นกั วเิ คราะห์ระบบจะเป็นผ้ทู ่ีศกึ ษาปัญหาตา่ ง ๆ และความจาเป็นขององคก์ รวา่ จะนาเทคโนโลยีตา่ ง ๆ มาใช้อยา่ งไรท่ีจะสามารถ ชว่ ยให้การแก้ไขปัญหาตา่ ง ๆ ทาได้ดขี นึ ้ เพ่ือเป็นการปรับปรุงองคก์ รให้มีประสิทธิภาพย่งิ ขนึ ้รหสั วชิ า 3204 – 2009 การวเิ คราะหแ์ ละออกแบบระบบ
2. ระบบสารสนเทศ 2.1 ความหมายของข้อมลู และสารสนเทศ ข้อมลู (Data) เป็นข้อเทจ็ จริงที่เกิดขนึ ้ ประจาวนั ของกิจกรรมใดๆ หรือเหตกุ ารณ์ใดๆ ข้อมลู นีอ้ าจอยใู่ นรูปแบบของคา่ ทาง ตวั เลข ข้อความตา่ งๆ รูปภาพ เสียง โดยข้อเท็จจริงนีจ้ ะยงั ไมส่ ามารถก่อประโยชน์ในแง่เป็นข้อสรุปเชิงความรู้ หรือข้อมลู เชงิ สถิติ เรียกอีกอยา่ งวา่ ข้อมลู ดบิ (Raw Data) ซง่ึ ข้อมลู นีจ้ ะถกู จดั เก็บไว้ในระบบสารสนเทศ เชน่ บนั ทกึ คา่ ใช้จา่ ยประจาวนั บนั ทกึ เวลาเข้า-ออกการทางานประจาวนั ของเจ้าหน้าท่ีในองค์กร การสงั่ ซือ้ สนิ ค้าแตล่ ะครัง้ ของลกู ค้า เป็นต้น สารสนเทศ (Information) เป็นข้อมลู ที่ผา่ นการประมวลผลจนมีความหมายและประโยชน์ตอ่ การนาไปใช้งาน เชน่ เป็น ข้อมลู ท่ีใช้ในการพิจารณาตดั สินใจในเรื่องท่ีเกี่ยวข้องได้ เป็นข้อมลู เชงิ ความรู้ที่นาไปใช้อ้างอิงได้ เชน่ สรุปรายจา่ ยประจาเดือน สถิตกิ ารเข้า-ออก การลางานหรือขาดงานของเจ้าหน้าท่ีในองค์กร สถิตยิ อดขายเฉลี่ยตอ่ เดือน เป็นต้น 2.2 ลกั ษณะสารสนเทศที่ดี ระบบสารสนเทศท่ีดีจะต้องเป็นระบบท่ีสามารถชว่ ยในการตดั สนิ ใจเรื่องนนั้ ๆ ได้ดขี นึ ้ โดยจะต้องมีความถกู ต้องแมน่ ยากวา่ การ การตดั สินใจ ลกั ษณะของสารสนเทศที่ดีนนั้ มีดงั นี ้ 1. มีความถกู ต้อง ซง่ึ เป็นผลมาจากการประมวลผลข้อมลู ท่ีถกู ต้อง ทงั้ วธิ ีการและความถกู ต้องของตวั ข้อมลู ดบิ ท่ีนามาประมวลผล 2. มีความเช่ือถือได้ ซง่ึ เป็นผลมาจากแหลง่ ข้อมลู และวิธีการรวบรวมข้อมลู ท่ีเช่ือถือได้ 3. มีความสมบรู ณ์และครบถ้วน ตามความต้องการของผ้ใู ช้งาน 4. มีความค้มุ ทนุ ทงั้ ในแง่ของเวลาและคา่ ใช้จา่ ยท่ีใช้ในการประมวลผลข้อมลู จนกระทงั่ ได้สารสนเทศ 5. มีความยืดหยนุ่ กลา่ วคือ สามารถนาไปใช้งานได้ในหลายกิจกรรมหรือเป็นประโยชน์ตอ่ หลายกลมุ่ บคุ คล 6. ตรงประเดน็ นนั่ คือสารสนเทศต้องสมั พนั ธ์กบั งานที่จะใช้สารสนเทศนนั้ ไปชว่ ยในการพิจารณาตดั สนิ ใจ 7. มีความทนั สมยั สอดคล้องกบั สถานการณ์ปัจจบุ นั 8. สามารถตรวจสอบได้ ได้แก่ แหลง่ ท่ีมาของสารสนเทศ หรือแหลง่ ของข้อมลู ดบิ ท่ีนามาประมวลผลจนได้สารสนเทศรหสั วชิ า 3204 – 2009 การวเิ คราะหแ์ ละออกแบบระบบ
2. ระบบสารสนเทศ 2.3 ความหมายระบบสารสนเทศเบอื ้ งต้น ระบบสารสนเทศ (Information System) เป็นระบบที่ทาหน้าที่จดั การข้อมลู สาหรับระบบหรือกิจกรรมใดๆ ท่ีเราต้องการ โดยทางานตงั้ แตก่ ารจดั เก็บข้อมลู การประมวลผลข้อมลู จนสามารถให้สารสนเทศออกมาเพื่อใช้ในการพิจารณาตดั สนิ ในเรื่องท่ี เก่ียวข้องได้ โดยระบบสารสนเทศนีไ้ มจ่ าเป็นต้องเป็นระบบคอมพวิ เตอร์เสมอไป แตเ่ มื่อมีเทคโนโลยีสารสนเทศที่ทนั สมยั เทคโนโลยีก็ทาหน้าที่เป็นอปุ กรณ์ในระบบสารสนเทศท่ีทาให้กระบวนการในระบบสารสนเทศมีความสะดวก รวดเร็ว ถกู ต้องและมี ประสทิ ธิภาพมากขนึ ้ 2.4 เทคโนโลยสี ารสนเทศ (Information Technology) เทคโนโลยีสารสนเทศเป็นเครื่องมือหรืออปุ กรณ์ท่ีใช้ในการจดั การกบั ข้อมลู หรือสารสนเทศ ได้แก่ การจดั เก็บ การประมวลผล การ เผยแพร่ อนั ได้แก่ ฮาร์ดแวร์และซอฟตแ์ วร์ของคอมพิวเตอร์ และอปุ กรณ์อื่นที่นามาใช้งานร่วมกนั เพ่ือใช้ในการจดั การกบั ข้อมลู และสารสนเทศของระบบสารสนเทศ ดงั นนั้ การได้มาซง่ึ สารสนเทศท่ีดนี นั้ จงึ ไมไ่ ด้ขนึ ้ กบั เทคโนโลยีท่ีใช้โดยตรง แตจ่ ะขนึ ้ อยกู่ บั กระบวนการในการดาเนินกิจกรรมตา่ งๆ ในระบบสารสนเทศเป็นหลกั ท่ีต้องใช้ความสามารถในการพฒั นาระบบการทางานขนึ ้ มา จนได้ผลลพั ธ์ทางสารสนเทศท่ีดีตามจดุ ประสงค์ของระบบสารสนเทศนน่ั เองรหสั วชิ า 3204 – 2009 การวเิ คราะหแ์ ละออกแบบระบบ
2. ระบบสารสนเทศ 2.5 ความหมายระบบสารสนเทศโดยรวมในปัจจบุ นั เม่ือกลา่ วถงึ ระบบสารสนเทศก็จะรวมความไปถงึ เทคโนโลยีสารสนเทศที่นามาใช้งานในระบบด้วย ดงั นนั้ ความหมายในทาง เทคนคิ ของระบบสารสนเทศ (Information System) คอื กลมุ่ ของระบบงานท่ีประกอบไปด้วยฮาร์ดแวร์หรืออปุ กรณ์ และ ซอฟตแ์ วร์หรือโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ที่ทาหน้าท่ีรวบรวม ประมวลผลจดั เก็บ และแจกจา่ ยข้อมลู เพื่อสนบั สนนุ การตดั สินใจและ การควบคมุ ภายในองค์กร นอกจากนีย้ งั ชว่ ยให้บคุ ลากรในองคก์ รนนั้ ในการประสานงาน การวเิ คราะห์ปัญหา การสร้าง แบบจาลองวตั ถทุ ่ีมีความซบั ซ้อนและการสร้างผลติ ภณั ฑ์ใหม่ (เลาดอน, จีนส์, ผ้แู ตง่ ร่วม, 2546:6) 2.6 ลกั ษณะการใช้งานระบบสารสนเทศในองค์กร สาหรับการใช้งานระบบสารสนเทศในองค์กรนนั้ เจ้าหน้าที่ระดบั ปฏิบตั กิ ารจะทางานกบั ข้อมลู ดบิ เป็นสว่ นใหญ่ เชน่ การรวบรวม จดั เก็บข้อมลู ประมวลผลข้อมลู สว่ นเจ้าหน้าท่ีบริหารระดบั สงู ที่ต้องมีบทบาทในการบริหารจดั การและมีหน้าท่ีตดั สนิ ใจในเร่ือง ตา่ งๆ จะอาศยั สารสนเทศท่ีเก่ียวข้องมาประกอบการตดั สินใจ กรให้ความสาคญั ทงั้ ทางด้านคณุ ภาพตอ่ ข้อมลู และสารสนเทศตาม ระดบั ตาแหนง่ ทางด้านบริหารงานรหสั วชิ า 3204 – 2009 การวเิ คราะหแ์ ละออกแบบระบบ
2. ระบบสารสนเทศ 2.7 ระบบสารสนเทศเพอ่ื การจดั การ ระบบสารสนเทศเพื่อการจดั การ (Management Information System: MIS) เป็นระบบบริการสารสนเทศสาหรับการ บริหารงาน เพ่ือให้ทางานได้อยา่ งมีประสิทธิภาพ ได้แก่สารสนเทศจากภายในและภายนอกองคก์ ร สารสนเทศที่เก่ียวพนั กบั องค์กรในอดตี ปัจจบุ นั และท่ีคาดวา่ จะเป็นในอนาคตโดยระบบจะให้สารสนเทศภายในชว่ งเวลาที่เหมาะสม เพื่อให้ผ้บู ริหารสามารถตดั สินใจในการวาง แผนการควบคมุ และการปฏิบตั กิ ารขององคก์ รได้อยา่ งถกู ต้อง ระบบนีป้ ระกอบด้วยระบบยอ่ ยตา่ งๆ ตอ่ ไปนี ้ 2.7.1 ระบบประมวลผลรายการ (Transaction Process System:TPS) เป็นระบบสารสนเทศท่ีเกี่ยวกบั การบนั ทกึ และประมวลข้อมลู ที่เกิดจากการปฏิบตั งิ านประจา หรืองานขนั้ พืน้ ฐานขององค์กร เชน่ การซือ้ ขายสินค้า การบนั ทกึ จานวนวสั ดคุ งคลงั เมื่อมีการปฏิบตั งิ านครัง้ ใดก็จะมีข้อมลู ท่ีเกี่ยวข้องเกิดขนึ ้ ทนั ที 2.7.2 ระบบจดั ทารายงานเพื่อการจดั การ (Management Reporting System: MRS) เป็นระบบท่ีชว่ ยในการทารายงานตามระยะเวลาที่กาหนดไว้ โดยการสรุปสารสนเทศที่มีอยไู่ ว้ในฐานข้อมลู หรือชว่ ยในการตดั สนิ ใจใน ลกั ษณะท่ีเป็นโครงสร้างชดั เจน 2.7.3 ระบบสนบั สนนุ การตดั สนิ ใจ (Decision Support System: DSS) เป็นระบบสารสนเทศท่ีชว่ ยในการตดั สนิ ใจ ซง่ึ มีลกั ษณะมีโครงสร้างไมช่ ดั เจน โดยนาข้อมลู มาจากหลายแหลง่ ชว่ ยในการนาเสนอและมี ลกั ษณะยืดหยนุ่ ตามความต้องการ 2.7.4 ระบบสารสนเทศสานกั งาน (Office Information System: OIS) เป็นระบบงานในสานกั งานทวั่ ไป โดยทวั่ ไปแล้วจะหมายถงึ อปุ กรณ์พืน้ ฐานทางคอมพิวเตอร์
2. ระบบสารสนเทศ 2.7.5 ระบบปัญญาระดษิ ฐ์ (Artificial Intelligence: AI) เป็นระบบคอมพวิ เตอร์ท่ีพฒั นาขนึ ้ ให้มีพฤตกิ รรมแบบมนษุ ย์ โดยเฉพาะความสามารถในการเรียนรู้ และความสามารถทาง ประสาทสมั ผสั ซง่ึ เป็นการเลียนแบบการเรียนรู้และการตดั สนิ ใจของมนษุ ย์ 2.7.6 ระบบผ้เู ช่ียวชาญ (Expert System: ES) เป็นระบบที่ทาหน้าท่ีเป็นท่ีปรึกษา ให้คาแนะนาท่ีต้องอาศยั ความเช่ียวชาญในบางสาขา ES จงึ เป็นโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่เก็บ ข้อมลู และกฎเกณฑ์ของความรู้ โดยรวบรวมมาจากสาขาวิชาที่ต้องการความเช่ียวชาญไว้ในฐานความรู้ (Knowledge Base) เม่ือผ้ใู ช้ป้ อนข้อมลู ในลกั ษณะการตอบคาถามและประมวลผล คาตอบจากท่ีผ้ใู ช้ป้ อนเข้าไปจะถกู ประมวลผลและให้ ข้อสรุปหรือคาแนะนาที่ต้องการ 2.7.7 ระบบสนบั สนนุ ผ้บู ริหารระดบั สงู (Executive Support System :ESS) เป็นระบบสารสนเทศประเภทหนง่ึ ของ DSS ท่ีสนบั สนนุ การทางานของระดบั ผ้บู ริหารโดยเฉพาะ โดยเน้นเร่ืองที่มีความสาคญั ตอ่ องคก์ ร 2.8 การพฒั นาระบบสารสนเทศ การพฒั นาระบบขององคก์ รมีความหมายรวมถึงการพฒั นาระบบสารสนเทศโดยปริยาย 1. ทกุ ระบบงานล้วนมีขนั้ ตอนการทางานที่เก่ียวข้องกบั ข้อมลู 2. เทคโนโลยีสารสนเทศมีการพฒั นาความสามารถมากขนึ ้ และมีราคาตา่ ลง 3. ประสทิ ธิภาพและความทนั สมยั ของเทคโนโลยีสารสนเทศมกั นามาซงึ่ ภาพลกั ษณ์ที่ดี
3. ระบบธรุ กิจ 3.1 ความหมายของระบบธรุ กิจ ระบบธรุ กิจเป็ นระบบทม่ี อี งค์ประกอบจากระบบยอ่ ยพนื ้ ฐานทีส่ มั พนั ธ์กนั ด้วยกระบวนการทางธรุ กิจ เพอื่ บรรลซุ งึ่ วตั ถปุ ระสงค์ทางธุรกิจ นั่นคอื ผลกาไร จากการประกอบการนนั่ เอง กระบวนการในระบบธรุ กิจจงึ เป็ นกิจกรรมหรือการปฏบิ ตั งิ านที่มกั เกี่ยวข้องกบั การค้าเป็ นหลกั และมปี ัจจยั ทางด้าน เศรษฐกิจเป็ นตวั กาหนดกิจกรรมหรือการปฏบิ ตั ิงานในระบบธรุ กิจ 3.2 ลกั ษณะองค์กรธรุ กิจ องค์กรธรุ กิจ (Business Organization) เป็ นหนว่ ยงานทจ่ี ดั ตงั้ ขนึ ้ ในลกั ษณะขององค์กร ซงึ่ มกี ระบวนการทางานโดยการนาเอาทรัพยากรทาง เศรษฐกิจ และข้อมลู ไปทาการประมวลผลด้วยกระบวนการทางธุรกิจ 3.2.1 ระบบยอ่ ยพนื ้ ฐานของระบบธุรกิจ 3.2.2 สว่ นประกอบในระบบธุรกิจ 3.2.3 ภาพรวมในระบบธุรกิจ 3.3 ประเภทองค์กรธุรกิจ การแบง่ ประเภทองค์กรธรุ กิจทาได้หลายแบบ แตเ่ พ่ือให้เห็นภาพได้งา่ ยและสอดคล้องกบั เนอื ้ หาเก่ียวกบั ระบบแล้ว จะที่แบง่ ตามกิจกรรมหลกั ซง่ึ แสดง ถงึ กระบวนการของระบบธรุ กิจท่ีก่อให้เกิดผลลพั ธ์ทางรายได้ให้กบั องค์กรธรุ กิจ ดงั นี ้ 3.3.1 ประเภทธุรกิจทแ่ี บง่ ตามกิจกรรมหลกั 1. ธุรกิจผ้ผู ลติ 2. ธรุ กิจบริการ 3. ผ้จู ดั จาหนา่ ยและร้านค้าปลกี 4. ธรุ กิจเกษตรกรรมและเหมือนแร่ 5. สถาบนั การเงินและธนาคาร
Search
Read the Text Version
- 1 - 12
Pages: