ประเพณที ้องถนิ่ ภาคกลาง ผดุงเกยี รติ เรอื งดุก 6427228001590 พชร อนิ ทพงษ์ 6427228001592 ร่งุ เกียรติ เผอื กหนู 6427228001611 วรรณวสิ า ตง่ิ ต่ำ 6427228001616 ศุภกิจ ขวญั จันทร์ 6427228001632 อัษฎายุธ สดุ จิตร์ 6427228001654 รายงานน้เี ปน็ ส่วนหน่งึ ของการศกึ ษาวชิ าเทคโนโลยสี ารสนเทศและการศกึ ษาค้นคว้า ภาคเรียนท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2564 มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏสรุ าษฎร์ธานี
ประเพณที ้องถนิ่ ภาคกลาง ผดุงเกยี รติ เรอื งดุก 6427228001590 พชร อนิ ทพงษ์ 6427228001592 ร่งุ เกียรติ เผอื กหนู 6427228001611 วรรณวสิ า ตง่ิ ต่ำ 6427228001616 ศุภกิจ ขวญั จันทร์ 6427228001632 อัษฎายุธ สดุ จิตร์ 6427228001654 รายงานน้เี ปน็ ส่วนหน่งึ ของการศกึ ษาวชิ าเทคโนโลยสี ารสนเทศและการศกึ ษาค้นคว้า ภาคเรียนท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2564 มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏสรุ าษฎร์ธานี
ก คำนำ รายงานเล่มนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชาเทคโนโลยีสารสนและการศึกษาค้นคว้า โดยมีวัตถุประสงค์ เพ่ือ การศึกษา วัฒนธรรมของภาคกลาง ซึ่งรายงานนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับ ประเพณีวัฒนธรรมของภาคกลาง ทางผู้จัดทำ ทำรายงานโดยรวบเนื้อหาจากแหลง่ สารสนเทศต่างๆ ผู้จดั ทำจะตอ้ งขอขอบคณุ อาจารย์ สุพัฒน์ สรี ะพัดสะ ผูใ้ หค้ วามรู้ และแนวทาง การศึกษา เพอื่ นๆ ทุก คนที่ให้ความช่วยเหลือมาโดยตลอด ผู้จัดทำหวังว่ารายงานฉบับนี้จะให้ความรู้ และเป็นประโยชน์แก่ผู้อ่านทุกๆ ทา่ น คณะผู้จดั ทำ 24 กนั ยายน2564
ข สารบญั เรื่อง หน้า คำนำ..........................................................................................................................................................ก สารบญั ......................................................................................................................................................ข สารบัญภาพ………………………………………………………………………………………………………………………………..ค ประเพณีท้องถ่นิ ภาคกลาง…………………………………………………………………………………………………………….1 ประเพณีรบั บวั ............................................................................................................................. .........1 ประเพณอี ุ้มพระดำนำ้ ..........................................................................................................................3 ประเพณกี ำฟา้ ……………………………………………………………………………………………………………………….6 ประเพณที ำขวญั ข้าว………………………………………………………………………………………………………….…..9 บรรณานกุ รม............................................................................................................................................13 บรรณานุกรม............................................................................................................................ ...........13 ภาคผนวก................................................................................................................................................14 ภาพผนวก ก ภาพประกอบ.................................................................................................................14
ค สารบัญภาพ ภาพที่ หน้า 1 ประเพณรี ับบัว…………………………………………………………………………………………………………………………….15 2 ประเพณีอุ้มพระดำน้ำ............................................................................................................................. ....15 3 ประเพณีกำฟา้ .............................................................................................................................................15 4 ประเพณีทำขวญั ขา้ ว............................................................................................................................. ......15
ประเพณที อ้ งถ่นิ ภาคกลาง พ้นื ที่ท้องถิน่ นั้นจะมปี ระเพณีทแ่ี ตกตา่ งกนั ออกไป แสดงให้เหน็ ถึงการใช้ชวี ิต วัฒนธรรมทีเ่ รียกว่าเป็น จดุ เดน่ ของภมู ภิ าคจำแนกได้ Sanook Campus. (2564). สืบคน้ จาก :https://www.sanook.com/campus/1403643/.ดังนี้ ประเพณีรับบวั ภาพท่ี 1 ประเพณีรบั บวั ท่มี า : https://travel.trueid.net ทมี่ า ประเพณีรับบวั ประเพณโี บราณของขาวบางพลี ประเพณีรับบัว เป็นประเพณีเก่าแก่ที่สืบทอดกันมาตั้งแต่โบราณของชาวอำเภอบางพลี จังหวัด สมุทรปราการ ซึ่งจะจัดขึ้นทุกวันขึ้น 14 ค่ำ เดือน 11 โดยจะมีการอัญเชญิ หลวงพ่อโตองคจ์ ำลอง จากวัดบาง พลีใหญ่ มาลงเรือตกแต่งอย่างสวยงามด้วยดอกไม้ และล่องไปตามคลองบางพลี เพื่อให้ชาวบ้านได้สักการะ โดยมีความเชื่อว่า หากอธิษฐานแล้วโยนบัวลงเรือที่ประดิษฐานหลวงพ่อโตจะทำให้คำอธิษฐานประสบ ความสำเรจ็ สมปรารถนา ตามทีไ่ ดข้ อพรไว้ ท่ีมาของประเพณีรับบัว มเี รอ่ื งเล่าสืบต่อกันมาวา่ คนมอญปากลัด ซึ่งในปัจจุบันคือ อำเภอพระประแดง คนกลุ่มนี้ได้ทำนาอยู่ที่บางแก้ว ในปัจจุบันคือ อำเภอบางพลี โดยใน สมัยก่อน อำเภอบางพลี จะมีคนอาศัยอยู่ 3 กลุ่มด้วยกันคือ คนไทย คนลาว และคนรามัญ หรือชาวมอญปาก ลัด เมื่อถึงช่วงเทศกาลออกพรรษา คนมอญกลุ่มนี้จะกลับไปทำบุญที่อำเภอพระประแดง และมักจะมีการ ล่องเรือมาเก็บดอกบัวหลวงทีอ่ ำเภอบางพลี โดยชาวบางพลกี จ็ ะชว่ ยอำนวยความสะดวกดว้ ยการเก็บดอกบัวไว้ รอมอบใหค้ นมอญเพอ่ื นำไปถวายพระ ในปีตอ่ มาช่วงวนั ออกพรรษา ชาวไทยและชาวมอญ ต่างพายเรือมาเก็บ ดอกบัวทอ่ี ำเภอบางพลี และไปนมัสการองค์หลวงพอ่ โตพร้อมกนั
2 โดยตลอดเสน้ ทางจากพระประแดงไปบางพลี เป็นระยะทางทไ่ี กลพอสมควร เพ่ือให้เกิดความสนกุ สนานเพลดิ เพลิน เรือแตล่ ะลำกจ็ ะร้องรำทำเพลงมาตลอดเส้นทาง ปกตจิ ะรบั สง่ ดอกบวั กนั มือต่อมือ แตห่ ากสนิทคุ้นเคย ก็จะโยนให้ กนั จงึ เป็นท่ีมาของประเพณีที่เรยี กว่า “รับบัว” จนถงึ ทกุ วันนี้ ความสำคญั ประเพณีรับบัว-โยนบัว เป็นประเพณีท้องถิ่นซึ่งมีเพียงแห่งเดียวในประเทศไทย คือ ที่อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการด้วยเหตุที่แต่เดิมนั้น พื้นที่ในละแวกอำเภอบางพลีขึ้นชื่อว่า อุดมไปด้วยดอกบัวหลวง (Nelumbo nucifera Gaertn.) สะพรั่งไปทั่วทุกลำคลองหนองบึง เมื่อใกล้จะถึงวันทำบุญในช่วงออกพรรษา ชาวบ้านในอำเภอใกล้เคียงจึงมักพากันพายเรือมาเก็บดอกบัวไปถวายพระ ชาวบางพลีเห็นเช่นนั้นจึงอาสาเป็นผู้ เก็บดอกบัวให้ ต่อมา เมื่อใกล้จึงวันออกพรรษาคราใด ชาวบางพลีจะพากันเก็บดอกบัวไว้คอยท่าเผื่อมีคนต่างถ่ิน พายเรือมาขอรับดอกบวั นานวนั นานปี จากนำ้ ใจของชาวบ้านบางพลี ก็กลายมาเปน็ ประเพณีรบั บวั พธิ ีกรรม เลา่ กันวา่ แต่เดิมนน้ั เมอื่ ถึงวันขนึ้ 13 คำ่ เดอื น 11 ชาวบา้ นต่างอำเภอจะพากนั พายเรอื มาท่ีอำเภอบางพลี พร้อมกับร้องรำทำเพลงและประโคมเครื่องดนตรีกันอย่างครื้นเครงใครรู้จักคุ้นเคยกับบ้านไหน ก็จอดเรือขึ้นไป เยี่ยมเยียนกัน เจ้าของบ้านชาวบางพลีก็มักจะตระเตรียมข้าวปลาอาหาร อีกทั้งเครื่องดองของเมาไว้คอยต้อนรับ หากการเลี้ยงดูนั้นติดพันจนดึกดื่น เจ้าของบ้านก็อาจจะต้องปูเสื่อให้ผู้มาเยือนนอนค้างเสียด้วยกันเชา้ วันรุง่ ขึ้นซง่ึ เป็นวันขึ้น 14 ค่ำ ถือเป็นวันรับบัว-โยนบัว ชาวบ้านจากต่างอำเภอจำนวนมากจะพากันพายเรือมาขอรับดอกบัว จากชาวบางพลี การใหแ้ ละการรับดอกบวั จะกระทำกันอยา่ งสุภาพ คือสง่ และรบั มอื ต่อมอื และก่อนทจี่ ะย่นื ดอกบัว ให้นัน้ กม็ กั จะมีการพนมมืออธษิ ฐานเสียกอ่ น ด้วยถือว่าเป็นการทำกุศลร่วมกนั ต่อมาประเพณรี บั บวั ได้เลือนหายไป แต่เมื่อนายชื้น วรศิริ ได้เป็นนายอำเภอบางพลีในระหว่าง พ.ศ. 2478-2481 จึงได้รื้นฟื้นประเพณีรับบวั ขึ้นมาใหม่ มีการแต่งเรือประกวดประขันกัน เรือที่จัดเข้าประกวดในคราวนั้น มีการนำไม้ไผ่มาสานเป็นโครงรูปองค์ พระพทุ ธรปู ปิดหมุ้ ดว้ ยกระดาษทองต้ังมาบนเรือ สมมติวา่ เปน็ หลวงพ่อโตแห่งวดั บางพลีใหญ่ จึงกลายมาเป็นธรรม เนยี มในปตี ่อๆ มาในการอญั เชิญพระพทุ ธรปู หลวงพ่อโตจำลองลงเรือ ล่องมาตามคลองสำโรง เพ่ือให้ชาวบางพลที ั้ง สองฝั่งคลองถวายดอกบัวด้วยการโยนดอกบัวลงไปในลำเรือขณะเดียวกัน ลูกศิษย์หลวงพ่อโตบนเรือก็จะโยน ข้าวต้มมัด (ข้าวเหนียว กล้วยน้ำว้า ถั่วดำ ถั่วเขียว)ให้ชาวบ้านสองฝั่งคลอง พร้อมทั้งร้องบอกถึงสรรพคุณสารพัด ประโยชน์ของขา้ วต้มมัดหลวงพ่อโต ประเพณีรับบัวของชาวบางพลแี ต่เดมิ จึงกลายมาเป็นประเพณีโยนบัวจนกระ ทัง้ ทุกวันนี้
3 ประเพณีอ้มุ พระดำนำ้ ภาพท่ี 2 ประเพณีอ้มุ พระดำน้ำ ทีม่ า : https://travel.mthai.com ประวตั คิ วามเป็นมา ประเพณีอุ้มพระดำน้ำที่มีตำนานความเชื่อเล่าขานสืบทอดมาว่าสมัยเมื่อราว ๔๐๐ ปีที่ผ่านมา มีชาว เพชรบรู ณ์กลุ่มหนงึ่ ได้ออกหาปลาในแม่นำ้ ป่าสกั และในวนั นนั้ ได้เกดิ เหตุการณป์ ระหลาดคือ ตง้ั แตเ่ ชา้ ยันบ่ายไม่มี ใครจับปลาได้สักตัวเดียว เลยพากันนั่งปรับทุกข์ริมตลิ่ง ท่ีบริเวณ \"วังมะขามแฟบ” อยู่ทางตอนเหนือของตัวเมือง เพชรบูรณ์ จากนั้นสายน้ำที่ไหลเชี่ยวได้หยุดนิ่ง พร้อมกับมีพรายน้ำค่อยๆ ผุดขึ้นมา และกลายเป็นวังน้ำวนขนาด ใหญ่ รวมทั้งมีพระพุทธรูปองค์หนึ่งขึ้นมาเหนือน้ำ แสดงอาการดำผุดดำว่ายอย่างน่าอัศจรรย์ ชาวบ้านคนหนึ่งใน กลุ่มจึงลงไปอัญเชิญขึ้นมาประดิษฐานที่วัดไตรภูมิ จากนั้นในปีต่อมา ซึ่งตรงกับ \"วันแรม ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๐” พระพุทธรูปองค์นี้ได้หายไปอย่างไร้ร่องรอย และมีผู้พบอีกครั้งโดยแสดงอาการดำผุดดำว่ายอยู่กลางแม่น้ำป่าสัก บริเวณเดียวกับที่พบครั้งแรก ชาวบ้านจึงร่วมกันอัญเชิญขึ้นมาประดิษฐาน ณ วัดไตรภูมิ เป็นครั้งที่ ๒ พร้อม ร่วมกันถวายนามว่า\"พระพุทธมหาธรรมราชา”จากนั้นเป็นต้นมา เจ้าเมืองเพชรบูรณ์สมัยนั้น จะต้องอัญเชิญ พระพุทธรูปดังกล่าวไปประกอบพิธี \"อุ้มพระดำน้ำ” เป็นประจำทุกปี ในวันแรม ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๐ ณ บริเวณวัง มะขามแฟบ วดั โบสถช์ นะมาร สบื ทอดมาจนกระทงั่ ปจั จุบัน และยงั มขี อ้ กำหนดอกี ว่า ผูท้ ี่จะอมุ้ พระดำน้ำไดจ้ ะต้อง เปน็ ผวู้ ่าราชการจงั หวัดเพชรบรู ณ์
4 คนเดียวเท่านน้ั เพราะมตี ำแหนง่ เทยี บเท่าเจ้าเมอื งสมยั โบราณ จะใหผ้ ้อู นื่ กระทำแทนมไิ ด้ ทง้ั นี้หลงั การประกอบพิธี เชื่อกันวา่ องคพ์ ระจะไม่หายไปดำน้ำเอง ฝนก็จะตกต้องตามฤดกู าลบ้านเมืองจะมีแต่ความสงบสุข ความสำคัญ ประเพณีอุ้มพระดำน้ำเป็นประเพณีที่มีเพียงแห่งเดียวในประเทศไทย เกิดจากความเชื่อเกี่ยวกับอภินิหาร ของพระพทุ ธรปู สำคัญคบู่ ้านคู่เมืองคือพระพุทธมหาธรรมราชา ซ่งึ คนหาปลาสองสามีภรรยาทอดแหได้ทว่ี ังเกาะระ สารในบริเวณลุ่มน้ำป่าสักในเขตตัวเมืองเพชรบรู ณ์ จึงนำไปไว้ที่วัดไตรภูมิ เมื่อถึงเทศกาลสารทพระพุทธรูปองค์น้ี จะหายไปและชาวบ้านจะพบมาเล่นน้ำทบ่ี ริเวณท่ีคน้ พบเดิม ดังนั้นในเทศกาลทำบุญสารทหลังจากทำบุญเสร็จแล้ว จะมีพิธีอัญเชิญพระพุทธมหาธรรมราชาลงริ้วขบวนเรือไปสรงน้ำที่วังเกาะระสาร แต่ปัจจุบันนำมาทำพิธีที่ท่าน้ำ ของวัดโบสถช์ นะมารในวันแรม ๑๕ คำ่ เดอื น ๑๐ ในวันสารทไทย วนั แรม๑๕ คำ่ เดือน ๑๐ ชาวเพชรบูรณ์จะร่วม ใจกันอัญเชิญพระพุทธมหาธรรมราชา พระคู่บ้านคู่เมืองเพชรบูรณ์เข้าพิธีดำน้ำที่สืบทอดปฏิบัติกันต่อมาหลายรุ่น หลายสมัยจนกลายเป็นประเพณีอุ้มพระน้ำเป็นประจำทุกปี โดยมีพ่อเมืองเพชรบูรณ์หรือผู้ว่าราชการจังหวัด เพชรบูรณท์ ำหน้าท่ีอัญเชิญลงดำนำ้ ท่บี ริเวณทา่ น้ำวัดโบสถช์ นะมาร ด้วยเชือ่ กนั ว่าการอุ้มพระดำน้ำจะทำให้ฝนตก ต้องตามฤดูกาล ข้าวปลาอาหารจะสมบูรณ์ พืชผลทางการเกษตรจะงอกงามดี ให้ผลผลิตมากที่มาของประเพณีนี้ มาจากการเล่าสืบๆ ต่อกันมาของคนรุ่นเก่าว่า ชาวประมงกลุ่มหนึ่งที่ออกหาปลาในลำน้ำป่าสักเป็นประจำทุกวัน วันหนึง่ เกิดเหตปุ ระหลาด ตั้งแต่เช้าจนบ่ายหาปลาไม่ไดส้ กั ตวั ระหว่างทน่ี ง่ั ปรกึ ษาหารอื กันอยู่วา่ จะทำเช่นไปต่อไป กระแสนน้ำในลำน้ำป่าสักก็มีฟองน้ำผุดขึ้นมาเหมือนน้ำเดือด และกลายเป็นน้ำวนขนาดใหญ่ ที่กลางน้ำวนก็มี พระพุทธรูปลอยขึ้นมาเหนือน้ำ ชาวประมงที่เห็นเหตุการณ์โดยตลอดจงึ ลงไปอัญเชิญขึน้ มาบนบก เพื่อให้ผู้คนได้ กราบไหว้บูชาและอัญเชิญไปประดิษฐานที่วัดไตรภูมิ และถวายพระนามพระพุทธรูปองค์นี้ว่า พระพุทธมหาธรรม ราชาพระพุทธมหาธรรมราชา เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ ศิลปะลพบุรีทรงเครื่องกษัตริย์ พุทธลักษณะพระพักตร์ กว้าง พระโอษฐ์แบะ พระกรรณยาวย้อยจรดพระอังสะ พระเศียรทรงชฎาเทริด ทรงสร้อยพระศอพาหุรัด ทรง ประคดเป็นลานสวยงาม สร้างด้วยเนื้อทองสำริด หน้าตักกว้าง ๑๓ นิ้ว สูง ๑๘ นิ้ว ไม่มีฐานพระพุทธรูปองค์ ดงั กล่าวประดิษฐานอย่ทู ่ีวดั ไตรภูมิได้ ๑ ปี จนกระท่งั ถงึ เทศกาลสารทไทย พระพทุ ธรปู เกดิ หายไปอย่างไร้ร่องรอย ชาวบ้านจึงออกตามหา สุดทา้ ยไปพบว่าลอยน้ำอยู่ตรงจุดที่พบพระพุทธรูปองค์นี้เป็นครง้ั แรก นับแต่นั้นมา เมื่อถึง เทศกาลสารทไทย ซึ่งตรงกับวันแรม ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๐ เจ้าเมือง ข้าราชการ ประชาชนชาวเพชรบูรณ์ จะร่วมกัน อัญเชิญพระพุทธรูปไปสรงน้ำ ณ จุดที่พบพระพุทธรูปเป็นครั้งแรกอีกความเชื่อหนึ่งกล่าวไว้ว่า พระพุทธรูปองค์น้ี นามว่า พระพุทธมหาธรรมราชา ถูกอญั เชญิ จากสโุ ขทยั ไปไว้ท่ีเพชรบูรณ์ทางเรือ พร้อมกับให้มกี ารสร้างวัดใหม่เพ่ือ ประดษิ ฐานพระพุทธรปู องค์น้ีเม่ือถึงวนั สารทไทย ชาวจังหวัดเพชรบรู ณจ์ ะรว่ มกนั อญั เชญิ พระพุทธมหาธรรมราชา ขนึ้ ประดษิ ฐานบนบษบก แห่จากวดั ไตรภมู ิไปตามเส้นทางในเขตเทศบาล เพอื่ ใหป้ ระชาชนไดส้ ักการะบูชา ก่อนที่
5 ผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบูรณ์รับหน้าที่อัญเชิญพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ประดิษฐานบนเรอื หน้าวัดไตรภมู ิ ทวนแม่น้ำ ป่าสกั ขึ้นไป และไปทำพธิ ีดำน้ำ ทที่ า่ นำ้ วัดโบสถ์ชนะมาร โดยผู้วา่ ราชการจังหวัดเพชรบูรณจ์ ะอัญเชิญพระพุทธรูป ทนู ไวเ้ หนอื หัวค่อยๆ ดำน้ำลงไป โดยหันหนา้ ไปทางเหนือ ๓ ครงั้ และหนั หน้าทางใต้ ๓ ครั้ง ปัจจบุ ันประเพณีอุ้ม พระดำน้ำ ผู้ท่ีทำหนา้ ท่อี ัญเชิญคือ ผวู้ า่ ราชการจงั หวัดเท่าน้ัน ในฐานะพ่อเมอื งเทยี บเท่ากับเจา้ เมืองในสมัยโบราณ เปน็ ผ้ทู ่ีต้องดูแลสอดส่องทุกขส์ ุขของประชาชน เป็นผมู้ หี น้าทท่ี ำนุบำรงุ พระศาสนา ดว้ ยเหตนจ้ี ึงมีเพยี งผูว้ ่าราชการ จังหวดั เทา่ น้ันทท่ี ำหน้าท่ีนี้ ชาวเพชรบรู ณ์เช่ือกนั ว่า ปใี ดไม่มกี ารอญั เชญิ พระพุทธมหาธรรมราชาดำน้ำ บ้านเมือง จะเกดิ ความแห้งแลง้ ขา้ วยากหมากแพง และพระพุทธรูปองคน์ จี้ ะหายไปโดยหาสาเหตไุ ม่ไดอ้ ีกด้วย ความเชือ่ ของประเพณอี ุ้มพระดำน้ำ นอกจากตำนานที่มาของประเพณีอุ้มพระดำน้ำแล้ว ยังมีเรื่องของเชื่ออีกด้วยค่ะ ว่ากันว่า หลังจากการ ประกอบพิธอี ้มุ พระดำนำ้ แลว้ องคพ์ ระจะไม่หายจากวดั เอง และจะมีฝนตกต้องตามฤดูกาล การเกษตร พืชผลอุดม สมบรู ณบา้ นเมอื งก็จะมีแตค่ วามสงบสขุ ชาวเพชรบรู ณก์ ็จะเจริญรุง่ เรอื ง ชว่ งเวลา เทศกาลสารทไทยตรงกบั วันแรม ๑๕ ค่ำ เดอื น ๑๐ พธิ กี รรม/กจิ กรรม ๑. จัดให้มีการตั้งศาลเพียงตาแล้วอัญเชิญพระพุทธมหาธรรมราชามาประทับ ทำพิธีสวดคาถา โดย พราหมณ์ผูท้ ำพิธนี ุ่งขาวห่มขาวแลว้ อญั เชญิ ข้ึนบนบษุ บกให้ประชาชนได้กราบไหวบ้ ูชาและมีงานฉลองสมโภช ๒. จัดให้มีพิธีอุ้มพระดำน้ำในตอนเช้าหลังทำบุญสารทโดยมีขบวนเรือแห่ นำไปโดยผู้ว่าราชการจังหวัด เมอ่ื ถึงบริเวณวดั โบสถ์ชนะมาร เจ้าเมอื งพรอ้ มข้าราชบรพิ ารจะอุ้มพระลงดำนำ้ โดยหนั หน้าองคพ์ ระไปทศิ เหนือ ๓ ครงั้ ทศิ ใต้ ๓ ครั้ง ชาวบา้ นจะโปรยขา้ วตอก ดอกไมแ้ ละข้าวต้มกลีบ เมื่อดำนำ้ เสร็จชาวบ้านจะตักน้ำรดศีรษะและ รดกนั เองเพอื่ เป็นสิริมงคล สาระ ชาวบ้านเชอื่ ว่าถ้าทำพิธอี ุ้มพระดำนำ้ แลว้ จะทำใหฝ้ นตกต้องตามฤดูกาล
6 ประเพณกี ำฟ้า ภาพที่ 3 ประเพณกี ำฟ้า ท่ีมา : https://www.museumthailand.com ประวตั ิ / ความเป็นมา “กำฟา้ ” เปน็ ประเพณขี องชาวไทยพวนในจังหวัดต่าง ที่มีชาวพวนอาศัยอยู่ได้ยึดถือปฏิบัติต่อกันมาตั้งแต่ ครงั้ โบราณ“กำ” ในภาษาไทยพวน หมายถึง การนับถือและสักการะบชู า ดังนัน้ กำฟ้า จึงหมายถงึ ประเพณีนับถือ สักการะบชู าฟ้า เน่ืองจากชาวพวนเป็นกลุ่มชนท่ปี ระกอบอาชีพทางการเกษตร โดยเฉพาะการทำนา ในสมัยดั้งเดิม การทำนาต้องอาศยั น้ำฝนจากธรรมชาติ ชาวนาในสมัยนัน้ จึงมีการเกรงกลวั ฟ้ามาก ไมก่ ลา้ ท่ีจะทำอะไรให้ฟ้าพิโรธ ถ้าฟ้าพิโรธย่อมหมายถึง ความแห้งแล้ง อดยาก หรือฟ้าอาจผ่าคนตาย ประชาชนกลัวจะได้รับความทุกข์ยากอัน เปน็ ภยั จากฟ้า จงึ มกี ารเซ่นสรวง สกั การะบชู าผฟี า้ ทัง้ นี้ เพ่ือเปน็ การเอาใจ มิใหฟ้ า้ พโิ รธ หรืออีกนยั หน่ึง ชาวบ้าน ทปี่ ระกอบอาชีพทางด้านเกษตรกรรมน้ัน รู้สกึ สำนกึ ในบญุ คุณของผีฟ้าที่ได้ใหน้ ้ำฝน อันหมายถึงความชุ่มช้ืนความ อุดมสมบูรณ์ มีชีวิตของคน สัตว์ และพืชพรรณต่างๆ จึงได้เกิดประเพณีกำฟ้าขึ้น เพื่อเป็นการประจบผีฟ้าไม่ให้ พโิ รธ และเปน็ การแสดงความขอบคุณต่อเทพยาดาแห่งท้องฟา้ หรือผีฟ้า ดงั กลา่ วมาแล้ว
7 กำหนดงาน ประเพณีกำฟ้า ยังคงปฏิบัติกันอยู่ในหมู่ชาวบ้านพวนทุกจังหวัดทั่วประเทศ แต่ละท้องที่จะกำหนด วัน เวลา คาดเคล่อื นกันไปบ้างในหว้ งเวลาของเดือนอ้าย ข้ึน 14 ค่ำ เดอื นย่ี ขนึ้ 13 ค่ำ และเดือน3 ข้ึน 3 ค่ำ ท้งั นี้เป็น การตกลงของชาวพวนในแต่ละท้องที่ เดิมทีเดียวในหมู่คนพวนโดยทั่วไปจะถือเอาวันที่มีผู้ได้ยินเสียงฟ้าร้องคร้ัง แรกในเดือน 3 ให้เป็นวนั เริ่มกำฟ้า แต่การยึดถือตามแนวน้ีมักเกดิ ปัญหาในเร่ืองข้อโต้แย้งกันอยู่เสมอว่า คนน้ันได้ ยินคนนี้ไม่ได้ยิน เป็นที่รำคาญใจ การที่ได้ยินเสียงฟ้าร้องครั้งแรกในเดือน 3 นี้ ถือกันว่าฟ้าเปิดประตูน้ำ โดยมาก กวานบา้ น (หัวหนา้ หมู่บา้ น) จะถือเอาการฟงั เสยี งฟ้าของคนหตู ึงในหมู่บา้ นเป็นเกณฑ์ ทง้ั น้ี เพ่อื ใหเ้ ปน็ เสียงฟ้าร้อง ท่ดี งั จริงๆ จนผคู้ นสามารถไดย้ ินกันอย่างทั่วถงึ กจิ กรรม / พธิ ี กจิ กรรมทชี่ าวพวนถือปฏิบัตกิ นั ในระหวา่ งกำฟา้ มี 3ประการ คือ ประการที่ 1 งดเวน้ จากการงานทป่ี ฏบิ ัตอิ ยู่เป็นประจำทัง้ หมด ประการท่ี 2 ทำบญุ ใส่บาตร ประการท่ี 3 ประกอบพิธี ต้งั บายศรบี ชู าฟ้าและประกาศขอพรจากเทพยาดาท่รี ักษาทอ้ งฟ้า หรอื ผีฟ้า ตามประเพณีนั้น “วันสุกดิบ” อันเป็นวันเตรียมงานตรงกับวันขึ้น 2 ค่ำ เดือน 3 บรรดาแม่บ้านช่วยกันทำกับข้าว ปุ้น (ขนมจีน) ข้าวหลาม ข้าวจี่ เพื่อนำไปเซ่นผีฟ้า การเผาข้าวหลามทิพย์จะทำบริเวณลานวัด เวลาประมาณบ่าย สามโมงเย็น พระสงฆ์ทำพิธีเจริญพุทธมนต์เย็น ในปะรำพิธีท่ีจัดเตรียมไว้ผู้อาวุโสในหมู่บ้านที่มีความรู้ด้านการ ประกอบพิธี จะทำหน้าที่พราหมณ์สวดเบิกบายศรี บูชาเทพยาดา ผีฟ้าแล้วอ่านประกาศอัญเชิญเทวดาให้มารับ เครื่องเซ่นสังเวย มารับรู้พิธีกรรม บางท้องที่มีการรำขอพรจากฟ้าเสร็จพิธีแล้วต่างก็แยกย้ายกันกลับบ้าน ตก กลางคืนก่อนเข้านอน คนแก่คนเฒ่าจะเอาไม้ไปเคาะที่เตาไฟแล้วกล่าวคำพูดอันเป็นมงคลในทำนองที่ให้ผีฟ้า ผี บ้าน ผีเรือน ช่วยมาปกป้องรักษาคนในครอบครัวให้มีความอยู่ดีมีสุข ให้ข้าวปลาอาหารอย่างอุดมสมบูรณ์ เช้าขึ้น เปน็ วันกำฟ้า ทกุ คนในบ้านรีบตื่นแต่เข้าตรู่ แมบ่ ้านเตรียมอาหารคาวหวานใสส่ ำรับไปถวายพระท่ีวัด ใส่บาตรพระ ดว้ ยข้าวหลาม ขา้ วจี่ เม่ือพระสงฆฉ์ ันภัตตาหารเสร็จแลว้ ชาวบา้ นจะสังสรรค์ดว้ ยการรบั ประทานอาหารรว่ มกนั
8 ตกเวลาบา่ ยไปจนเยน็ และกลางคนื มีการละเลน่ ร่นื เรงิ เช่น แตะหมา่ เบยี้ เสง็ คลอง เซ้ิงนางด้ง เซ้ิงนางกวัก เซิง้ นาง สะ ฯลฯ สำหรบั การเซง้ิ ตา่ งๆ เปน็ การเลน่ ที่เก่ียวกบั การทรงเจ้าเขา้ ผี ประกอบการร้องรำอยา่ งสนุกสนาน ในวนั กำ ฟ้า ทุกคนจะหยดุ งานหน่ึงวนั ตั้งแต่พระอาทิตย์ขึ้นจนพระอาทิตยต์ กดิน”เหลก็ บเ่ ฮอ้ ต้องฆ้องบ่เฮ้อตี” (เฮ้อ = ให้, ตอ้ ง = จบั ) คงเป็นการปอ้ งกหันมใิ ห้ผู้คนถูกฟ้าผ่าในวนั ท่มี ีฟ้าคะนองนั่นเองในวนั นีไ้ ม่มีการใช้งานสตั ว์เล้ียง ห้ามสง่ เสียงอกึ ทึกครกึ โครม ผู้ใดฝา่ ฝนื เชือ่ กันว่าจะถูกฟ้าลงโทษ หลังจากวนั กำฟ้า (ขึ้น 3 คำ่ เดือน 3) ไป 7 วัน จะมีการ กำฟ้าอีกครึ่งวัน และตอ่ จากครึ่งวนั ไปอีก 5 วนั จึงถอื วา่ “กำฟ้าแล้ว” (แลว้ = เสร็จ) ในวันนชี้ าวบา้ นจะจัดอาหาร คาวหวานไปถวายพระอีกคร้งั หลงั จากน้ันนำดุน้ ฟืนทีต่ ดิ ไฟ 1 ดุน้ ไปทำพิธที ี่ลำนำ้ เรียกว่า “การเสียแลง้ ” โดยการ ทิ้งดุ้นฟืนที่ติดไฟนั้นให้ไหลไปตามกระแสน้ำ เป็นการบูชาและระลึกถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ อีกทั้งยังเป็นการรบอก กล่าวแก่เทพยาดาผีฟ้าว่าหมดเขตกำฟ้าแล้ว ส่วนประเพณีกำฟ้าในปัจจุบัน คนเฒ่าคนแก่ที่เคยพบเห็นเป็น ประเพณีกำฟ้าในอดีต ท่ามกลางสภาพแวดล้อมของธรรมชาติอย่างแท้จริง ต่างคร่ำครวญถึงความหลัง เสียงหม่า เบ้ยี กระทบกระดาน เสยี งลำพวนเสยี งแคนสลับกบั เสียงหัวเราะสนกุ สนานเฮอา ซึง่ หาไม่ได้ในปจั จบุ ัน แต่ดว้ ยเสน่ห์ ของวันประเพณีกำฟา้ แตห่ นหลัง จึงได้มีการจัดงานวันกำฟ้า โดยประยุกตร์ ูปแบบวธิ ีการท่ีเข้ากับยุคสมัย มีการจดั งานกำฟ้ารำลึกขึ้น มีงานกินเลี้ยง สังสรรค์ประกอบเสียงดนตรี มีการแสดงสาธิต การละเล่นพื้นเมืองต่างๆ ส่วน ภาคกลางวนั มีพิธีการทางศาสนาตามเดมิ บางท้องที่จัดงานในรูปของสวนสนกุ มีมหรสพตา่ งๆ เพื่อจัดหารายได้ไป บำเพ็ญสาธารณกุศล เช่น สร้างโรงเรียน ศาลาวัด สถานีอานามัย สะพาน ฯลฯ นับว่าทุกวันนี้ประเพณีกำฟ้าได้ แปรเปลี่ยนไปอย่างมาก ได้มีการจัดตั้งชมรมในหมู่บ้านชาวพวน เพื่อรวมตัวกันอนุรักษ์ส่งเสริมฟื้นฟูประเ พณี วัฒนธรรมของชาวบ้านพวน ให้คงอยู่เพื่อชนรุ่นหลัง และชาวต่างชาติ ต่างภาษาได้เรียนรู้ถึงความเป็นอยู่ของชาว พวนในสมยั ดงั้ เดิม นับเปน็ ประโยชน์ตอ่ สงั คมอย่างยิง่
9 ประเพณีทำขวัญขา้ ว ภาพที่ 4 ประเพณที ำขวญั ขา้ ว ท่มี า : https://sites.google.com ประวตั คิ วามเป็นมา เป็นประเพณีที่เชื่อกันว่ามีเทพเจ้าเป็นเจ้าของมีอำนาจในการดลบันดาลให้ผู้ปลูกได้ผลผลิตมากหรือ นอ้ ย คอื \" เจา้ แมโ่ พสพ \"ตามความเชอ่ื ว่าแมโ่ พสพมีพระคณุ จึงต้องทำขวญั เปน็ การกล่าวขอขมาต่อต้นข้าวทุกครั้งที่ มีการเปล่ยี นแปลงเกิดข้นึ กับขา้ ว ทงั้ การเกดิ เองตามธรรมชาติ และจากการทม่ี นุษย์จะกระทำอะไรก็ตามกับต้นข้าว เช่น เก่ียวขา้ ว อีกทั้งเพ่ือเป็นการขอบคุณและเอาใจแม่โพสพท่ีให้ความอุดมสมบรู ณ์แกผ่ ืนนา และเพ่ือขออภัยและ เรยี กขวัญแม่โพสพ เปน็ สิริมงคลดลบันดาลให้ม่ังมียิ่งขึ้น ปกตจิ ะทำกันในวนั ศุกร์ซ่ึงถือว่าเปน็ วันขวัญข้าว ประเพณี ทำขวัญข้าวของบางจังหวัด อาจมีประเพณีทำขวัญข้าว อยู่ 2 ช่วง คือ ช่วงที่ข้าวตั้งท้อง และช่วงข้าวพร้อมเกี่ยว โดยในแต่ละช่วงจะมีเครื่องเซ่นไม่เหมือนกัน เครื่องเซ่นของการทำขวัญข้าวตอนตั้งท้อง ด้วยความเชื่อที่ว่า แม่ โพสพเป็นมนุษย์หรือสิ่งมีชีวิตเช่นเดียวกัน พอข้าวตั้งท้อง จึงเชื่อว่าจะอยากทานอาหารเหมือนคนท้อง สิ่งที่ขาด ไม่ได้ในเครื่องเซ่นช่วงดังกล่าวจึงเป็นของรสเปรี้ยว อ้อย น้ำมะพร้าว นอกเหนือจากหมาก พลู ธงกระดาษสีต่างๆ ผ้าแดง ผ้าขาว ใส่ลงในชะลอมเล็ก ๆ มีเส้นด้ายสีแดงและสีขาวเพื่อผูกเครื่องเซ่นเข้ากับต้นข้าว ดอกไม้ และด้วย ความเชื่อว่าแม่โพสพเป็นผู้หญิง จึงต้องมีน้ำอบ น้ำหอมด้วย โดยคนที่ทำพิธีมักจะเป็นผู้หญิงเจ้าของที่นา แต่พิธีนี้ ให้โอกาสผู้ชายทำได้แต่ไม่นิยม หลังจากมัดโยงเคร่ืองเซ่นกับต้นขา้ วด้วยดา้ ยสแี ดงและขาวเข้าดว้ ยกันแล้ว ผู้ทำพิธี จะพรนำ้ หอมแป้งรำ่ ต้นขา้ ว จากนั้นจึงจุดธปู ปักลงบนทน่ี าพรอ้ มกล่าวคำขอขมาตา่ ง ๆ
10 แล้วแต่ที่จะนึกได้ ส่วนมากก็จะเป็นการบอกกล่าวถึงสิ่งที่กำลังจะทำ เช่น ขอให้มีรวงข้าวสวย มีข้าวเยอะ ๆ ให้ ผลผลิตสูง ๆ เม่อื พูดทุกอยา่ งที่อยากพูดจบก็ตอ้ งกรู่ ้องใหแ้ ม่โพสพรบั ทราบเจตนาดงั ๆ เม่อื ข้าวเรมิ่ ต้ังท้องชาวนา จะเอาไม้ไผ่มาสานชะลอมแล้วนำเครื่องแต่งตัวของหญิง เช่นแป้ง น้ำมันใส่ผม น้ำอบไทย หวี กระจกใส่ในชะลอม พร้อมด้วยขนมหวานสักสองสามอย่าง ส้มเขียวหวาน ส้มโอแกะกลีบ ปักเสาไม้ไผ่แล้วเอาชะลอมแขวนไว้ในนา เพื่อให้แม่พระโพสพแต่งตัวและเสวยสิ่งของนั้น จะได้ออกรวงได้ผลดีเขาเรียกว่า เฉลว หลังจากพิธีทำขวัญข้าว ในช่วงขา้ วพร้อมเกี่ยว ก็ทำการเก็บเกี่ยวข้าวได้เลย หลังจากนั้นก็เตรยี มตัวทำพิธี รับขวัญแม่โพสพ ในวันขึ้น 9 ค่ำ เดือน 6 ของทุกปีต่อไป แม้ว่าการทำนาปัจจุบันจะทำได้ถึงปีละ 3 ครั้งแต่ประเพณียังคงต้องทำตามการปลูกข้าว ตามฤดกู าลในอดีตเทา่ นั้น การทำขวัญข้าว ผชู้ ายสามารถทำขวญั ขา้ วได้ แตร่ บั ขวญั ข้าวไมไ่ ดเ้ ดด็ ขาด ชว่ งเวลา กลางเดือน ๑๐ ประมาณเดือนตลุ าคม - พฤศจิกายน ของทุกปี ลักษณะความเชอ่ื เชื่อว่าถ้าได้ทำขวัญข้าว และถ้าพระแม่โพสพได้รับเครื่องสังเวยแล้ว ไม่ทำให้เมล็ดข้าวล้ม หนอน สัตว์ ต่างๆ มากล้ำกราย ได้ผลผลิตอุดมสมบูรณ์ ตลอดจนถวายแก่พระสงฆ์เมื่อข้าวนาสุกดีแล้ว เมื่อนวดข้าวเสร็จก็จะ กำหนดวันพฤหัสบดหี รือวันศุกรน์ ำข้าวขน้ึ ยงุ้ ชาวบ้านกจ็ ะมารว่ มทำขวญั ขา้ ว ร้องเพลงทำขวญั แม่โพสพ ความสำคญั การทำขวัญขา้ วนน้ั เป็นการสร้างขวญั และกำลังใจให้กับชาวนาให้ร้วู ่า การทำนาปลกู ขา้ วของตนนน้ั จะไม่ สูญเปล่า เพราะพระแม่โพสพเป็นผูด้ ูแล และเมื่อมีการเกี่ยวขา้ วก็จะมาช่วยกนั เกี่ยวข้าว เป็นการสร้างความสมัคร สมานสามัคคี และทีส่ ุดคือการรว่ มสนุกสนานเมอื่ ทุกคนเหนอ่ื ยยาก และประสบความสำเร็จดว้ ยดี
11 เครอ่ื งสังเวย ใหน้ ำเคร่ืองสังเวยไปบูชาแม่โพสพในแตล่ ะคร้ัง ๑. ชว่ งข้าวในนากำลังตั้งท้อง -กลว้ ย อ้อย ถั่ว งา ส้ม อย่างละ ๑ คำใสต่ ะกรา้ สาน -หมาก พลจู บี ๑ คำ ๒. เม่อื เกี่ยวขา้ วและนำขึน้ ยงุ้ ขา้ ว - หมาก พลูจบี ๑ คำ - บหุ ร่ี ๑ มวน - ข้าวทเ่ี กีย่ วแล้ว ๑ กำ - ผา้ แดง ผ้าขาว ขนาด ๑ คืบ อย่างละ ๑ ผืน พธิ กี รรม ช่วงแรกเมื่อข้าวตั้งท้อง ชาวนาจะนำตาแหลวไปปักไว้ที่หัวนา และขอบูชาพระแม่โพสพ ให้รับเครื่อง สังเวย อันประกอบดว้ ยกลว้ ย อ้อย ถั่ว งา ส้ม มัดแขวนไว้กบั ตาแหลว และนำหมาก พลจู บี ๑ คำ ใส่กรวยไว้หัวนา เมื่อถึงช่วงเกี่ยวข้าว ก็จะเอาหมาก พลูจีบ ๑ คำ บุหรี่มวน ๑ มวน ไปเชิญพระแม่โพสพ ผู้หญิงจะเกี่ยวข้าว ๑ กำ นำไปบูชาเปน็ ข้าวแมโ่ พสพในยุง้ พร้อมผา้ แดง ผา้ ขาว ขนาด ๑ คบื อยา่ งละ ๑ ผนื ใสก่ ระบุง คาถาบูชาพระแม่โพสพ ต้งั นะโม 3 จบ แล้วกล่าววา่ “โพสะภะโภชะนัง อตุ ตะมะ ลาภัง มยั หงั สพั พะสทิ ธิหิตงั โหต”ุ คาถาบูชาพระแมโ่ พสพ สำหรับคตคิ วามเช่ือเรื่อง แม่โพสพ ตำนานพระแม่โพสพ เป็นเทพธิดา หรือเทพีประจำพชื พรรณธัญชาติ ซง่ึ หมายถึง ตน้ ขา้ ว ซ่งึ ถอื ว่าเป็นพืชพรรณชนิดเดียวที่มีเทพธิดาประจำพระแมโ่ พสพ เปน็ ทา่ น
12 เทพธดิ าท่ีได้รบั ความเคารพนับถือกราบไหว้มาแตโ่ บราณกาล กล่าวว่าท่านเปน็ ผูท้ ี่ค้มุ ครองดูแลตน้ ขา้ วให้เจริญงอก งาม ให้ผลิตผลอุดมสมบูรณ์ แม่โพสพ จึงเป็นเทพธิดาที่มีความสำคัญอยา่ งยิ่งต่อการดำรงอยู่ของชีวิตเหลา่ ชาวนา เมื่อแรกทำนา จนกระทัง่ ถึงเวลา ไถคราด เก็บเก่ียวรวงข้าวด้วยเคยี วเหลก็ จะต้องประกอบพิธีเซ่นบชู าแม่โพสพทุก ระยะไปเชน่ ก่อนหนา้ เวลาฤกษแ์ รกนา จะปลกู ศาล เพยี งตาสงู ระดบั สายตาคนข้ึน ณ ท่ใี ดท่หี น่งึ ที่กำหนดไวเ้ ป็นท่ี แรกนา ตระเตรยี มเครือ่ งสังเวยบูชา แม่โพสพใหค้ รบถว้ น พร้อมทงั้ กล่าวคำขวญั เป็นถ้อยคำไพเราะ อ้อนวอน พระ แม่โพสพให้คุ้มครอง รักษาต้นข้าว ขอให้ปีนี้จงทำนาได้ผล ไม่ว่าจะเป็นนาหว่าน นาดำ เพราะแม่โพสพเป็นหญิง ขวัญออ่ นง่าย จงึ ตอ้ งทำ “พธิ เี รยี กขวัญ” เสมอ
บรรณานกุ รม
13 บรรณานกุ รม รายชอื่ ประเพณีไทย 4 ภาค. (2564). สบื คน้ จาก :https://www.sanook.com/campus/1403643/.
ภาคผนวก
14 ภาพผนวก ก ภาพประกอบ
15
Search
Read the Text Version
- 1 - 23
Pages: