คำนำ เอกสารความรู้ฉบับท่ี 4/2562 ท่ีได้รวบรวมจากคาบรรยาย การ ถ่ายทอดประสบการณ์ของวิทยากร อันเป็นประเด็นสาคัญท่ีจะสนับสนุนและ เป็นประโยชนต์ อ่ การบรหิ ารราชการแผน่ ดิน ตามโครงการเพ่ิมประสิทธิภาพการ ตรวจราชการของกระทรวงมหาดไทย เพื่อป้องกันการทุจริตและประพฤติมิชอบ ในหน่วยงานของรัฐ ประจาปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 เมื่อวันท่ี 15 มกราคม 2562 ณ โรงแรมแอมบาสเดอร์ ซิต้ี จอมเทียน พัทยา จังหวัดชลบุรี ซึ่ง ข้าราชการหรือเจ้าหน้าท่ีของรัฐ สามารถนาไปประยุกต์ใช้ในการปฏิบัติงาน กากับ ดูแล ติดตามและประเมินผล การดาเนินงานของหน่วยงานรัฐ ให้ สอดคล้องกับภารกิจ อานาจ หน้าท่ี และเพิ่มประสิทธิภาพการทางาน ที่ส่งผลให้ การบริหารงานของรัฐเป็นไปตามหลักธรรมาภิบาล เน้นผลประโยชน์สาธารณะ สามารถตอบสนองความต้องการท่ีแท้จริงของประชาชน เพื่อให้ประชาชนมีชีวิต ความเป็นอยดู่ ีข้นึ โดยประกอบด้วยหัวข้อเรอื่ ง ดังตอ่ ไปน้ี บทบาทของหนว่ ยงานภาครัฐตามแผนยุทธศาสตร์ชาติด้านการ ป้องกันและปราบปรามการทุจริตและกฎหมายที่เก่ียวข้อง เพ่ือป้องกันและ ปราบปรามการทจุ ริต และผลประโยชนท์ บั ซ้อน การประยุกต์ใช้หลักการ PDCA และเทคนิควิธีการอื่น ๆ ในการขับเคล่อื นการดาเนนิ งานในระดบั จงั หวดั การจดั การภัยพิบัติในกรณฉี ุกเฉิน ทั้งน้ีเอกสารความรู้ฉบับน้ีได้จัดเก็บรวบรวมไว้ในระบบคลังความรู้ของ ส ถ า บั น ด า ร ง ร า ช นุ ภ า พ ส า นั ก ง า น ป ลั ด ก ร ะ ท ร ว ง ม ห า ด ไ ท ย www. Stabundamrong.go.th เพ่อื เป็นประโยชน์ในการสืบคน้ ตอ่ ไป
สารบญั บทบาทของหนว่ ยงานภาครัฐตามแผนยุทธศาสตรช์ าติ 1 ด้านการป้องกนั และปราบปรามการทุจริตและกฎหมายท่ีเกี่ยวข้อง เพือ่ ป้องกันและปราบปรามการทจุ ริต และผลประโยชนท์ ับซอ้ น โดย นายปรีชา แนบถนอม หัวหน้าฝ่ายป้องกันการทุจริต สานักงาน คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจรติ แหง่ ชาติ ประจาจงั หวดั ชลบรุ ี การประยุกต์ใช้หลักการ PDCA และเทคนิควธิ ีการอ่ืน ๆ 10 ในการขับเคลือ่ นการดาเนนิ งานในระดบั จงั หวดั โดย ศ.ดร.สรุ สทิ ธ์ิ วชริ ขจร คณะบดี สานกั วิชารัฐศาสตรแ์ ละนิติศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั วลยั ลกั ษณ์ การจดั การภัยพบิ ัติในกรณีฉุกเฉิน 16 โดย นายธนบดี ครองยตุ ิ ผูอ้ านวยการสว่ นอานวยการ ศูนย์อานวยการบรรเทาสาธารณภยั กรมปอ้ งกนั และบรรเทาสาธารณภยั
โดย นายปรชี า แนบถนอม หัวหนา้ ฝ่ายปอ้ งกันการทุจริต สานักงานคณะกรรมการป้องกันและ ปราบปรามการทจุ รติ แห่งชาติ ประจาจงั หวดั ชลบุรี ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการปูองกันและ ปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 ในการกระทาความผิดของเจ้าหน้าท่ีของรัฐ ท่ีอย่ใู นอานาจของคณะกรรมการปอู งกันและปราบปรามการทจุ รติ แห่งชาติ ได้แก่ 1. การทุจริตต่อหนา้ ท่ี 2. กระทาความผดิ ตอ่ ตาแหนง่ หน้าที่ราชการ 3. รา่ รวยผดิ ปกติ 4. ความผิดเกีย่ วกับการเสนอราคาตอ่ หน่วยของรัฐ (ฮว้ั ) โดย คณะกรรมการ ป.ป.ช มีอานาจหน้าที่ในการไต่สวนและวินิจฉัยว่า เจ้าหน้าท่ีของรัฐร่ารวยผิดปกติ กระทาความผิดฐานทุจริตต่อหน้าท่ี หรือกระทา ความผิดต่อตาแหน่งหน้าท่ีราชการ หรือความผิดต่อตาแหน่งหน้าท่ีในการ ยุติธรรม ซ่ึงองค์ประกอบความผิดในฐานเหล่าน้ี จะต้องเป็นเจ้าหน้าท่ีของรัฐ และในส่วนฐานความผิดอ่ืน ๆ หน่วยงานสามารถดาเนินการได้เองในฐาน ความผิดกระทาการเส่ือมเสีย โดยผู้บังคับบัญชาของหน่วยงานนั้น ๆ จากนั้น
2 รายงาน ป.ป.ช. ภายใน 30 วัน ทงั้ นี้ คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีหนา้ ท่ีเพียงการช้ีมูล ความผิด สาหรบั โทษจะตัดสินโดยศาลที่เกย่ี วข้องตอ่ ไป ซงึ่ ถ้าหากผ้บู ังคบั บญั ชาไม่ดาเนินการตามมตคิ ณะกรรมการ ป.ป.ช. ให้ ถอื วา่ จงใจปฏิบัตหิ นา้ ท่ีขัดต่อกฎหมาย หรอื กระทาผดิ วนิ ยั รา้ ยแรง ดา้ นการตรวจสอบทรพั ย์สิน 1. กาหนดตาแหน่งเจ้าหน้าที่ของรัฐท่ีจะต้องย่ืนบัญชีแสดงรายการ ทรพั ย์สินและหนี้สนิ ของตนเอง คูส่ มรส และบุตรทย่ี งั ไม่บรรลุนติ ภิ าวะ 2. ตรวจสอบความถูกต้องและความมีอยู่จริง รวมท้ังความเปล่ียนแปลง ของทรัพย์สนิ และหนส้ี นิ (กรณเี ขา้ รบั ตาแหน่ง กรณีพน้ จากตาแหนง่ ) 3. ไต่สวนและวินิจฉัยว่ากรณีผู้ดารงตาแหน่งทางการเมืองและเจ้าหน้าที่ ของรัฐ ร่ารวยผดิ ปกติ พระราชบัญญัตปิ ระกอบรฐั ธรรมนญู ว่าด้วยการปูองกันและปราบปรามการทจุ ริต พ.ศ. 2561 มาตรา ๑๓๐ ให้เจ้าหน้าท่ีของรัฐที่ไม่ต้องยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินตามมาตรา ๔๒ มาตรา ๑๐๓ และมาตรา ๑๕๘ ย่ืนบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินต่อหัวหน้าส่วนราชการ รัฐวสิ าหกจิ หรือหนว่ ยงานของรฐั ทตี่ นสงั กัดหรอื ปฏบิ ตั งิ านอยู่ ทง้ั น้ี ตามที่กาหนดในพระราช กฤษฎกี า วรรค ๔ บัญชีทรัพย์สินและหน้ีสินท่ีย่ืนตามวรรคหน่ึง ให้เก็บรักษาไว้ท่ีหน่วยงาน ของรัฐที่เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้น้ันสังกัดอยู่ และให้ถือเป็นความลับในราชการท่ีจะเปิดเผยมิได้ เว้นแต่จะส่งมอบให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ตามท่ีคณะกรรมการ ป.ป.ช. ร้องขอ หรือเมื่อ คณะกรรมการ ป.ป.ช. กาหนดให้ผู้ดารงตาแหน่งนั้นต้องยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินตาม มาตรา ๑๐๓ หรอื เมือ่ มีกรณที จ่ี ะต้องดาเนนิ การสอบสวนทางวินัย แก่เจ้าหน้าทข่ี องรฐั ผู้นัน้
3 ด้วยวิสัยทัศน์ “ประเทศไทยใสสะอาด ไทยทั้งชาติต้านทุจริต” (Zero tolerance & Clean Thailand) ซง่ึ มพี นั ธกิจทต่ี ้องการสร้างวัฒนธรรมต่อต้านการ ทจุ ริต ยกระดบั ธรรมาภิบาลในการบริหารจัดการทุกภาคส่วนแบบบูรณาการ และ ปฏิรปู กระบวนการปูองกนั และปราบปรามการทจุ ริตท้งั ระบบให้มีมาตรฐานสากล โดยมีตัวชี้วัดเป็นระดับคะแนนของดัชนีการรับรู้การทุจริต (Corruption Perceptions Index: CPI) ของประเทศไทยมีเปูาหมายว่าให้ค่าคะแนนสูงกว่า ร้อยละ 50 (ปจั จุบนั พ.ศ. 2561 อยทู่ ร่ี อ้ ยละ 36) ประกอบด้วย ยทุ ธศาสตรท์ ี่ 1 สร้างสังคมท่ีไม่ทนต่อการทจุ รติ (กระทรวงมหาดไทย ดแู ลเปน็ หลกั ) ยทุ ธศาสตร์ที่ 2 ยกระดบั เจตจานงทางการเมอื งในการต่อต้านการทุจริต ยุทธศาสตรท์ ี่ 3 สกดั กน้ั การทุจรติ เชิงนโยบาย ยทุ ธศาสตรท์ ี่ 4 พฒั นาระบบปอู งกันการทุจริตเชงิ รุก ยุทธศาสตรท์ ี่ 5 ปฏริ ปู กลไกและกระบวนการปราบปรามการทจุ ริต ยทุ ธศาสตรท์ ี่ 6 ยกระดบั คะแนนดัชนีการรบั รกู้ ารทุจรติ ของประเทศไทย
4 โดยในที่น้ี จะขอกล่าวถึงรายละเอียดเฉพาะที่กระทรวงมหาดไทยเป็น เจ้าภาพหลัก คือ ยุทธศาสตร์ท่ี 1 สร้างสังคมท่ีไม่ทนต่อการทุจริต ซ่ึงกาหนด กลยทุ ธ์ ดังน้ี 1. ปรับฐานความคิดทุกช่วงวัยตั้งแต่ปฐมวัยให้สามารถแยกระหว่าง ผลประโยชนส์ ่วนตัวและผลประโยชน์ส่วนรวม 2. ส่งเสริมให้มีระบบและกระบวนการกล่อมเกลาทางสังคมเพื่อ ต้านทจุ ริต 3. ประยกุ ตห์ ลกั ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพยี งเป็นเครอ่ื งมือต้านทุจริต 4. เสริมพลังการมีส่วนร่วมของชุมชน (Civic Participation) และ การบรู ณาการทกุ ภาคสว่ นเพ่อื ต่อตา้ นการทจุ รติ โดยมีปัจจัยแห่งความสาเร็จ คือ 1. ทุกภาคส่วนส่งเสริมการกล่อมเกลา ทางสังคมและส่งเสริมการเรียนรู้ในทุกช่วงวัยต้ังแต่ปฐมวัย 2. การผนึกกาลังและ ความร่วมมือทุกภาคส่วนในการเปล่ียนสภาพแวดล้อมท่ีนาไปสู่สังคมที่มีค่านิยม ร่วมต้านทุจรติ
5 กรณโี ต้แย้งการกระทาทีเ่ ป็นการกระทาโดยทจุ ริต ใหท้ าหนงั สือโตแ้ ยง้ หรือแจง้ ต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ภายใน 30 วนั จะถือว่าไมเ่ ป็นการกระทา ความผดิ ไม่ถูกดาเนินคดี โดยจะกันใหเ้ ปน็ พยาน พระราชบญั ญัติประกอบรฐั ธรรมนูญวา่ ดว้ ยการปูองกันและปราบปรามการทจุ ริต พ.ศ. 2561 มาตรา ๑๓๔ ในกรณีที่เจ้าพนักงานของรัฐผู้ใดมีส่วนเก่ียวข้องกับการกระทา ความผิดเพราะถูกผู้บังคับบัญชาสั่งการให้ทา ถ้าได้ทาหนังสือโต้แย้งหรือให้ผู้บังคับบัญชา ทบทวนคาสั่งหรือให้ยืนยันคาสั่งแ้้ว หรือได้แจ้งให้คณะกรรมการ ปปปปชป ทราบถึงเบาะแส ข้อมู้ หรือข้อเท็จจริงภายในสามสิบวันนับแต่วันท่ีได้กระทาการน้ัน ให้เจ้าพนักงานของรัฐ ผนู้ ั้นไม่ต้องรบั โทษ มาตรา ๑๓๕ บคุ ค้ใดซงึ่ มสี ว่ นเก่ียวข้องในการกระทาความผิดกับเจ้าพนักงานของ รัฐ หากได้ให้ถ้อยคา หรือแจ้งเบาะแสหรือข้อมู้อันเป็นสาระสาคัญในการที่จะใช้เป็น พยานห้ักฐานในการวินิจฉัยช้ีมู้การกระทาผิดของเจ้าพนักงานของรัฐรายอ่ืนหรือผู้ถูก ก้่าวหารายอื่นนั้นแ้ะคณะกรรมการ ปปปปชปเห็นสมควรจะกันผู้น้ันไว้เป็นพยานโดยไม่ ดาเนินคดกี ไ็ ด้ กรณีผ้ถู ูกกลา่ วหาหลบหนีตอ่ อายุความ เมื่อหลบหนีไปในระหวา่ งถูก ดาเนินคดีหรือระหว่างพจิ ารณาของศาล อายคุ วามจะสะดุดหยุดอยู่ เป็นการ ยกเวน้ มใิ หน้ ับอายคุ วามในกรณที ผ่ี กู้ ระทาความผดิ หลบหนี เร่ืองอายุความ ตามกฎหมายท่ีแก้ไขใหม่ กาหนดให้ในการดาเนินคดี อาญาตาม พรบ. ป.ป.ช. ถ้าผู้ถูกกล่าวหาหลบหนี ไปในระหว่างถูกดาเนินคดีหรือ ระหวา่ งการพิจารณาของศาล อายุความจะสะดุดหยดุ อยู่ และเม่ือได้มีคาพิพากษา ถึง ท่ีสุดให้ลงโทษจาเลยแล้ว ถ้าจาเลยหลบหนีไปในระหว่างต้องคาพิพากษาถึง ท่ีสุดให้ลงโทษ จะไม่นาเร่ืองอายุ ความมาใช้บังคับ การแก้ไขนี้มิได้เป็นการขยาย อายุความในคดีทุจริตแต่อย่างใดแต่เป็นการยกเว้นมิให้นับอายุความในกรณีท่ี ผ้กู ระทาความผดิ ห้บหนีเทา่ นั้น กรณีการกาหนดฐานความผิดสาหรับนิติบุคคลท่ีเก่ียวข้องกับการให้ สินบนเจ้าหน้าที่ เป็นการท่ีนิติบุคคลจูงใจให้กระทาการท่ีทุจริต จะถูกลงโทษ เชน่ เดยี วกัน
6 การกาหนดฐานความผิดสาหรับนิติบุคคลที่เก่ียวข้องกับการให้สินบน เจ้าหนา้ ท่ี พระราชบัญญตั ปิ ระกอบรฐั ธรรมนูญว่าดว้ ยการปอู งกันและปราบปรามการทจุ รติ พ.ศ. 2561 มาตรา ๑๗๖ ผู้ใดให้ ขอให้ หรือรับว่าจะให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดแก่เจ้า พนกั งานของรัฐเจา้ หน้าท่ีของรัฐตา่ งประเทศ หรอื เจ้าหนา้ ทขี่ ององค์การระหว่างประเทศ เพื่อ จูงใจให้กระทาการ ไม่กระทาการหรือประวิงการกระทาอันมิชอบด้วยหน้าท่ี ต้องระวางโทษ จาคุกไมเ่ กนิ หา้ ปี หรือปรับไมเ่ กินหนึง่ แสนบาทหรอื ท้ังจาทั้งปรับ ในกรณีท่ีผู้กระทาความผิดตามวรรคหนึ่งเป็นบุคค้ท่ีมีความเก่ียวข้องกับนิติบุคค้ ใดแ้ะกระทาไปเพื่อประโยชน์ของนิติบุคค้นั้น โดยนิติบุคค้ดังก้่าวไม่มีมาตรการควบคุม ภายในท่ีเหมาะสมเพื่อป้องกันมิให้มีการกระทาความผิดนั้น นิติบุคค้น้ันมีความผิดตาม มาตรานี้ แ้ะต้องระวางโทษปรับต้ังแต่หน่ึงเท่าแต่ไม่เกนิ สองเท่าของค่าเสียหายที่เกิดข้ึนหรือ ประโยชน์ที่ได้รบั กรณีเจ้าพนักงานของรฐั ต่างประเทศ หรือองค์การระหว่างประเทศ เรียกรับหรือยอมจะรับทรัพย์สนิ หรือประโยชนอ์ ืน่ ใดสาหรับตนเองหรือผอู้ น่ื โดย มิชอบ พระราชบัญญัติประกอบรฐั ธรรมนญู วา่ ด้วยการปอู งกนั และปราบปรามการทุจรติ พ.ศ. 2561 มาตรา ๑๗๓ เจ้าพนักงานของรัฐ เจ้าหน้าที่ของรัฐต่างประเทศ หรือเจ้าหน้าท่ีของ องคก์ ารระหว่างประเทศ ผู้ใด เรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดสาหรับ ตนเองหรือผอู้ น่ื โดยมิชอบ เพื่อกระทาการหรือไม่กระทาการอย่างใดในตาแหน่งไม่ว่าการน้ัน จะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่ต้องระวางโทษจาคุกต้ังแต่ห้าปีถึงยี่สิบปี หรือจาคุกต้อดชีวิต แ้ะปรบั ตง้ั แต่หนงึ่ แสนบาทถึงสแ่ี สนบาท กรณีการริบทรัพย์ตามมูลค่า ในกรณีท่ีไม่สามารถติดตามทรัพย์ท่ีทุจริต คืนมาได้ หรือการติดตามเป็นไปได้โดยยาก ศาลสามารถกาหนดมูลค่าของ ทรัพย์สิน และให้มีการชาระเป็นเงินหรือริบทรัพย์อื่นที่มีมูลค่าเท่ากันได้ ซึ่ง หลกั การนี้จะเปน็ การสกัดการยักยา้ ย ถ่ายเททรพั ย์สิน
7 แนวความคิดพ้ืนฐาน : ประโยชนส์ าธารณะ - รฐั โดยองคก์ รของรฐั หรือเจ้าหนา้ ท่ีของรฐั เป็นผู้ดูแลรักษาประโยชน์สว่ นรวม หรือประโยชน์สาธารณะ - แต่ในกรณีท่ีประโยชน์ส่วนตัวของเอกชนไม่สอดคล้องกับประโยชน์ สาธารณะจะตอ้ งให้ประโยชน์สาธารณะอย่เู หนือประโยชนส์ ่วนตวั ของเอกชน ประโยชนท์ บั ซ้อน (Conflict Tolerance) นนั้ คอื ประโยชนท์ ีข่ ดั กัน ระหว่างประโยชนส์ ว่ นบคุ คลและประโยชนส์ ่วนรวม รูปแบบของผลประโยชนท์ ับซ้อน แบง่ ออกเปน็ 7 รปู แบบ ได้แก่ 1. การรับผลประโยชน์ต่างๆ (Accepting benefits) คือการรับ สินบน หรือรับของขวัญหรือผลประโยชน์ในรูปแบบอ่ืนๆ ที่ไม่เหมาะสมและมี ผลต่อการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าท่ี เช่น หน่วยงานราชการรับเงินบริจาคสร้าง สานักงานจากนักธุรกิจหรือบริษัทธุรกิจที่เป็นคู่สัญญากับหน่วยงาน การใช้ งบประมาณ ของรัฐเพื่อจัดซ้ือจัดจ้างแล้วเจ้าหน้าที่ได้รับของแถมหรือ ผลประโยชนอ์ ่นื ตอบแทน พระราชบัญญตั ิประกอบรัฐธรรมนญู วา่ ดว้ ยการปอู งกนั และปราบปรามการทจุ ริต พ.ศ. 2561 มาตรา ๑๒๘ กาหนดไว้ว่า ห้ามมิให้เจ้าพนักงานของรัฐผู้ใดรับทรัพย์สินหรือ ประโยชน์อ่ืนใดอันอาจคานวณเป็นเงินได้จากผู้ใด นอกเหนือจากทรัพย์สินหรือประโยชน์อัน ควรได้ตามกฎหมาย กฎ หรือข้อบังคับท่ีออกโดยอาศัยอานาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย เว้นแต่การรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อ่ืนใดโดยธรรมจรรยาตามห้ักเกณฑ์แ้ะจานวนท่ี คณะกรรมการ ปปปปชป กาหนด ความในวรรคหน่ึงมิให้ใช้บังคับกับการรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดจากบุพการี ผู้สืบสนั ดานหรือญาตทิ ใี่ ห้ตามประเพณี หรอื ตามธรรมจรรยาตามฐานานุรปู บทบญั ญตั ิในวรรคหนึ่งให้ใช้บังคับกับการรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดของผู้ซ่ึง พ้นจากการเปน็ เจา้ พนักงานของรัฐมาแ้้วยังไม่ถึงสองปีด้วยโดยอนุโ้ม
8 ตาแหน่งเจ้าหน้าที่ของรัฐ เร่ืองการรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อ่ืนใดของ เจ้าหน้าทข่ี องรัฐ ตามมาตรา ๑๒๘ ระยะเวลาในการบังคับใช้ ใช้บังคับตั้งแต่เป็นเจ้าหน้าท่ีรัฐ และพ้นจากการเป็น เจ้าหน้าทรี่ ฐั มาแล้วยังไมถ่ งึ สองปี บทกาหนดโทษ จาคุกไม่เกินสามปี ปรับไม่เกินหกหม่ืนบาท หรือทั้งจาทั้งปรับ และให้ถือเป็นความผิดต่อตาแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรมตามประมวลกฎหมาย อาญา องค์ประกอบของกฎหมายตามมาตรา ๑๒๘ ที่สามารถรับทรัพย์สิน หรอื ประโยชนอ์ ืน่ ใดได้ แบง่ เปน็ ๒ กรณี ๑. เมื่อมีกฎหมาย หรือกฎ ข้อบังคับที่ออกโดยอาศัยอานาจตามบัญญัติ แห่งกฎหมายให้เจ้าหน้าที่ของรัฐรับได้ เช่น เงินเดือน ค่าตอบแทน เบ้ียเลี้ยง เดนิ ทาง คา่ ทีพ่ กั คา่ สมนาคณุ การเป็นวทิ ยากร เปน็ ตน้ ๒. การรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดโดยธรรมจรรยา ตามประกาศ คณะกรรมการ ป.ป.ช. เร่ืองหลักเกณฑ์การรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดโดย ธรรมจรรยาของเจา้ หน้าท่ีของรัฐ พ.ศ. ๒๕๔๓ 2. การทาธุรกิจกับตัวเอง (Self-dealing) หรือเป็นคู่สัญญา (Contracts) หมายถึง สถานการณ์ท่ีเจ้าหน้าที่ของรัฐมีส่วนได้เสียในสัญญาท่ี ทากับหน่วยงานที่ตนสังกัด เช่น การใช้ตาแหน่งหน้าที่ที่ทาให้หน่วยงานทา สัญญาซ้ือสินค้าจากบริษัทของตนเองหรือจ้างบริษัทของตนเองเป็นท่ีปรึกษา หรอื ซอ้ื ทดี่ ิน ของตนเองในการจดั สรา้ งสานกั งาน ตาแหน่งเจา้ หน้าทีข่ องรัฐ ท่ีมใิ หด้ าเนินกจิ การทเี่ ป็นการขัดกันระหว่าง ประโยชน์ส่วนบุคคลและประโยชนส์ ว่ นรวม ตามมาตรา ๑๒๖ ๑. นายกรฐั มนตรี ๒. รฐั มนตรี ๓. ผบู้ รหิ ารทอ้ งถน่ิ ๔. รองผู้บริหารท้องถิน่ และคสู่ มรสของเจ้าหนา้ ทดี งั กล่าวข้างต้น
9 3. การทางานหลังจากออกจากตาแหน่งสาธารณะหรือหลังเกษียณ (Post- employment) หมายถึง การท่ีบุคลากรออกจากหน่วยงานของรัฐ และไป ทางานในบริษัทเอกชนท่ีดาเนินธุรกิจประเภทเดียวกับ ท่ีตนเองเคยมีอานาจ ควบคุม กากับ ดแู ล 4. การทางานพิเศษ (Outside employment or moonlighting) เช่น เจ้าหน้าท่ีของรัฐตั้งบริษัทดาเนินธุรกิจที่เป็นการแข่งขันกับหน่วยงานหรือ องค์กรสาธารณะท่ีตนสังกัด หรือการรับจ้างเป็นท่ีปรึกษาโครงการโดยอาศัย ตาแหนง่ ในราชการสร้างความน่าเชื่อถือว่าโครงการของผู้ว่าจ้างจะไม่มีปัญหา ติดขดั ในการพจิ ารณาจากหนว่ ยงานท่ีตนสงั กดั อยู่ 5. การรับรู้ข้อมูลภายใน (Inside information) หมายถึง สถานการณ์ที่ผู้ ดารงตาแหน่งสาธารณะใช้ประโยชน์จากการรู้ข้อมูลภายในเพื่อประโยชน์ของ ตนเอง เช่น ทราบว่าจะมีการตัดถนนไปตรงไหนก็รีบไปซ้ือท่ีดินโดยใส่ช่ือ ภรรยา หรอื ทราบวา่ จะมีการซอื้ ทีด่ ินเพื่อทาโครงการของรัฐก็รีบไปซ้ือที่ดินเพื่อ เกง็ กาไรและขายให้กบั รัฐ ในราคาท่ีสงู ขนึ้ 6. การใช้ทรัพย์สินของหน่วยงานเพ่ือประโยชน์ของธุรกิจส่วนตัว (Using your employer’s property for private advantage) เช่น การนา เครอื่ งใชส้ านักงานต่างๆกลับไปใช้ท่ีบา้ น การนารถยนต์ในราชการ ไปใชเ้ พือ่ งานส่วนตัว 7. การนาโครงการสาธารณะลงในเขตเลือกต้ังเพื่อประโยชน์ในทางการเมือง (Pork-belling) เชน่ การท่ีรัฐมนตรีอนุมัติโครงการของกระทรวงไปลงในพ้ืนที่ หรือบ้านเกิดของตนเอง หรือการใช้งบประมาณสาธารณะ เพ่ือการหาเสียง เลอื กต้ัง ......................................................
10 โดย ศ.ดร.สุรสทิ ธ์ิ วชริ ขจร คณบดี สานกั วชิ ารฐั ศาสตร์และนติ ศิ าสตร์ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ การบริหารราชการเป็นกิจกรรมสาคัญท่ีมุ่งประโยชน์สุขของประชาชน ภาครัฐจึงต้องวางแผนการปรับเปลี่ยนบทบาท ภารกิจและวิธีการบริหารงานของ ภาครัฐโดยคานึงถึงประชาชนและผลสัมฤทธ์ิของงาน เพื่อใหการทางานของ หน วยงานหรือโครงการมุ งเน นผลลัพธ ของงานมากกว าเน นปจจัยนาเข า กระบวนการทางานและกฎระเบียบที่เครงครัด โดยจะมีการวัดผลอยางเปน รปู ธรรม การบริหารมุงผลสัมฤทธ์ิ ใหความสาคัญกับการกาหนดวิสัยทัศนพันธกิจ วัตถุประสงคเปาหมายที่ชัดเจน และการกาหนดผลผลิต ผลลัพธที่สอดคลองกัน รวมถึงมีการกาหนดตัวช้ีวัดผลการดาเนินงานที่ชัดเจนในการวัดความกาวหนา ในการปฏิบัติงานเพื่อใหการทางานมีประสิทธิภาพ ประสิทธิผล และเป็นไปตาม พระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ. 2546 เปน็ สาคัญ การบริหารราชการเพื่อให้เกิดผลสัมฤทธ์ิต่อภารกิจของรัฐ ส่วนราชการ จะต้องปฏิบัติ ดังต่อไปน้ี (๑) ก่อนจะดาเนินการตามภารกิจใด ส่วนราชการต้อง จัดทาแผนปฏิบัติราชการไว้เป็นการล่วงหน้า (๒) การกาหนดแผนปฏิบัติราชการ ของส่วนราชการ ต้องมีรายละเอียดของขั้นตอนระยะเวลาและงบประมาณที่ จะต้องใช้ในการดาเนินการของแต่ละขั้นตอน เปูาหมายของภารกิจ ผลสัมฤทธ์ิ ของภารกิจ และตัวชี้วัดความสาเร็จของภารกิจ (๓) ส่วนราชการต้องจัดให้มีการ ติดตามและประเมินผลการปฏิบัติตามแผนปฏิบัติราชการ ตามหลักเกณฑ์และ วิธีการที่ส่วนราชการกาหนดขึ้น ซึ่งต้องสอดคล้องกับมาตรฐานท่ี ก.พ.ร. กาหนด (๔) ในกรณีที่มีการปฏิบัติภารกิจ หรือการปฏิบัติตามแผนปฏิบัติราชการเกิดผล
11 กระทบต่อประชาชน ให้เป็นหน้าที่ของส่วนราชการที่จะต้องดาเนินการแก้ไขหรือ บรรเทาผลกระทบนั้น หรอื เปลี่ยนแผนปฏิบตั ริ าชการให้เหมาะสม ประกอบกับใช้แนวทางการบริหารราชการแบบบูรณาการร่วมกัน สนับสนุนการทางานผวู้ ่าราชการจงั หวัด เพอื่ ใหก้ ารบรหิ ารราชการแบบบูรณาการ ในจังหวัดมีประสิทธิภาพ พร้อมพัฒนาความรู้ในส่วนราชการ เพื่อให้มีลักษณะ เป็นองค์การแห่งการเรียนรู้อย่างสม่าเสมอ โดยต้องรับรู้ข้อมูลข่าวสารและ สามารถประมวลผลความรู้ในด้านต่าง ๆ เพ่ือมาประยุกต์ใช้ในการปฏิบัติราชการ ได้อย่างถูกต้อง รวดเร็วและเหมาะสมกับสถานการณ์ รวมท้ังต้องส่งเสริมและ พัฒนาความรคู้ วามสามารถ สรา้ งวิสยั ทัศนแ์ ละปรับเปลี่ยนทัศนคติของข้าราชการ ในสังกัดให้เป็นบุคลากรท่ีมีประสิทธิภาพและมีการเรียนรู้ร่วมกัน ทั้งนี้ เพื่อ ประโยชน์ในการปฏิบัติราชการของส่วนราชการให้สอดคล้องกับการบริหาร ราชการใหเ้ กดิ ผลสัมฤทธ์ิ หลักการ PDCA เป็นวงจรที่พัฒนาโดย W.Edwards Deming ผู้เชี่ยวชาญทางด้านการ บริหารคณุ ภาพ เปน็ เทคนิคที่ช่วยให้เกิดการปรับปรุงอย่างต่อเน่ือง สามารถนาไป ประยุกต์ใช้ในชีวิตประจาวัน การทางานหรือการตั้งเปูาหมายในชีวิต ซึ่งหลายคน เรยี กวงจรนี้วา่ \"วงจร Deming \" และคนทั่วไปนยิ มเรยี กว่า PDCA Cycle PDCA (Plan-Do-Check-Act) เ ป็ น กิ จกรร มพื้ นฐา นใ นกา รพั ฒน า ประสิทธิภาพและคุณภาพของการดาเนินงาน ซึ่งประกอบด้วย ขั้นตอน 4 ขั้น คือ วางแผน-ปฏิบัติ-ตรวจสอบ-ปรับปรุง การดาเนินกิจกรรม PDCA อย่างเป็นระบบ ให้ครบวงจรอย่างต่อเน่ือง หมุนเวียนไปเรื่อย ๆ ย่อมส่งผลให้การดาเนินงานมี ประสิทธภิ าพและมีคุณภาพเพ่ิมข้นึ รายละเอียดของหลักการ PDCA ที่นามาประยุกต์ใช้ มีความสอดคล้อง กับพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ. 2546 ซึ่งเป็นวงจรพัฒนาคุณภาพงาน หรือผลลัพธ์อย่างมีประสิทธิภาพ ได้ดงั น้ี
12 Plan (วางแผน) เร่ิมจากกาหนดสิ่งที่ต้องการ ปรับปรุง เม่ือเลือกส่ิงท่ีจะปรับปรุงได้ แล้ว ก็เร่ิมวางแผน ข้ันตอนนี้ให้คิด 6 W 2 H ของสิ่งท่ีต้องการจะปรับปรุง คือวัตถุประสงค์และเปูาหมายคืออะไร ( what) ท า เ พื่ อ ใ ค ร ( Whom) จ ะ ปรับปรุงที่ไหน (Where) โดยใคร (Who) เมื่อไร (When) ทาไมถึงต้อง ปรับปรุงสิ่งน้ี (Why) เรามีวิธีในการ ปรับปรุงอย่างไร (How) จานวนกลุ่ม ผู้รับผลประโยชน์หรืองบประมาณที่ใช้ เทา่ ไร (How many) Do (ปฏิบัติ) เป็นการทาความเข้าใจกับแผนท่ีวางไว้และผู้รับผิดชอบลงมือปฏิบัติตาม แผนทีว่ างไว้ Check (การตดิ ตามผล) เป็นการตรวจสอบผลของการปฏิบัติ นาผลมาเปรียบเทียบกับแผนที่ได้ วางไว้ สามารถใช้ Balanced Scorecard ในการประเมิน Action (ดาเนนิ การใหเ้ หมาะสม) เป็นการนาผลการตรวจสอบมาพิจารณา ถ้าได้ผลตามแผนที่วางไว้ ก็กาหนดขั้นตอนปฏิบัตินั้นเป็นมาตรฐานการปฏิบัติต่อไป แต่ถ้าไม่ได้ผลตามแผน มีปัญหาระหว่างปฏิบัติ ก็ต้องหาสาเหตุของปัญหาน้ันและหาทางแก้ไขปรับปรุง เพือ่ ไม่ให้การปฏิบตั ิครั้งต่อไปเกิดปัญหานน้ั อีก
13 เม่ือได้แผนงาน (P) นาไปปฏิบัติ (D) ระหว่างปฏิบัติก็ดาเนินการ ตรวจสอบ (C) พบปัญหาก็ทาการแก้ไขหรือปรับปรุง (A) การปรับปรุงก็เร่ิมจาก การวางแผนก่อน วนไปเรอ่ื ยๆ จึงเรยี กวงจร PDCA มติ ทิ ี่ 1 มิติด้านประสิทธิผลตามยุทธศาสตร์ แสดงผลงานท่ีบรรลุ วัตถุประสงค์และเปูาหมายตามท่ีได้รับงบประมาณมาดาเนินการ เพื่อให้เกิด ประโยชน์สุขต่อประชาชน (แตกต่างกับการประเมิน Balanced Scorecard ตรงทจ่ี ะเนน้ ความคุ้มค่าของกาไร (สาคญั ท่ีสุด)) โดยให้น้าหนักในด้านความสาเร็จ ของร้อยละเฉล่ียถ่วงน้าหนักในการบรรลุเปูาหมายตามแผนยุทธศาสตร์ของ สว่ นราชการ มติ ิท่ี 2 มิติด้านคุณภาพการให้บริการ แสดงการให้ความสาคัญกับลูกค้า ในการให้บรกิ ารทม่ี คี ุณภาพ สรา้ งความพึงพอใจแก่ผรู้ ับบรกิ าร มิตทิ ี่ 3 มิตดิ า้ นประสิทธภิ าพของการปฏบิ ตั ิราชการ แสดงความสามารถ ในการปฏิบัติราชการ เช่น การลดระยะเวลาการให้บริการ และการลดค่าใช้จ่าย เป็นต้น มิตทิ ี่ 4 มติ ิดา้ นการพัฒนาองค์กร แสดงความสามารถในการเตรียมพร้อม กับการเปลยี่ นแปลงขององค์กร Balanced Scorecard จุดกาเนิดของ Balanced Scorecard ได้รับการพัฒนาขึ้นในต้นทศวรรษ ท่ี 1990 โดย Robert Kaplan และ David Norton ซ่ึงนับว่าเป็นเครื่องมือ ทางการจัดการที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพ่ือเป็นเครื่องมือในการประเมินผล การดาเนินงานตามกลยุทธ์ขององค์กรให้ครบถ้วนในทุก ๆ ด้าน ในอดีตผู้บริหาร ขององค์กรธุรกิจ จะประเมินผลการดาเนินงานโดยให้ความสาคัญกับตัวช้ีวัด ทางการเงนิ เพยี งอย่างเดียว
14 การประเมินผลการดาเนินงานตามกลยุทธ์อย่างรอบด้าน มีหลักในการ ประเมนิ ผลท้ังหมด 4 หลกั ได้แก่ 1. ดา้ นการเงนิ (Financial) 2. ดา้ นลูกค้า (Customer) 3. ดา้ นกระบวนการภายใน (Internal Process) 4. ดา้ นการเรียนรู้และพฒั นา (Learning and Growth) เพ่ือประเมินว่าองค์กรสามารถดาเนินตามวัตถุประสงค์ทางกลยุทธ์ตาม มมุ มองท้ังสดี่ า้ นหรือไม่ และใชใ้ นการแปลงกลยทุ ธส์ ูก่ ารปฏบิ ัติ ตลอดจนใช้ในการ สอ่ื สารและถ่ายทอดกลยุทธ์ แนวคดิ การประเมินผลโครงการดว้ ย CIPP Model C = Context Evaluation คอื การประเมินสภาพแวดลอ้ มหรือเง่ือนไข ตา่ ง ๆ I = Input Evaluation คอื การประเมินปัจจัยเบอื้ งตน้ P = Process Evaluation คือ การประเมินกระบวนการ P = Product Evaluation คอื การประเมินผลผลิต เป็นตวั แบบทีเ่ นน้ ใชใ้ นการประเมินระดับโครงการ โดยใช้ในการตัดสินใจ นาไปใช้ประโยชน์ ซึ่งมีลักษณะคล้ายระเบียบวิธีการวิจัย โดยใช้การวิเคราะห์ ข้อมลู ทัง้ เชงิ ปรมิ าณและเชิงคณุ ภาพ ความสัมพนั ธข์ องการตัดสินใจและประเภทการประเมนิ แบบ CIPP Model การประเมินสภาพแวดล้อม (Context Evaluation) เป็นการตัดสินใจ เพ่อื การวางแผน (Planning Decisions) การประเมินปัจจัยเบ้ืองต้น หรือตัวปูอน (Input Evaluation) เป็นการ ตัดสินใจ เพือ่ กาหนดโครงสรา้ งการดาเนินงาน (Structuring Decisions) การประเมินกระบวนการ (Process Evaluation) เป็นการตัดสินใจ เพื่อ นาโครงการไปปฏบิ ตั ิ (Implementing Decisions)
15 การประเมินผลผลิต (Product Evaluation) เป็นการตัดสินใจ เพื่อ ทบทวนโครงการ (Recycling Decisions) การประเมนิ การประเมิน การประเมิน การประเมนิ สภาพแวดล้อม ปัจจยั เบอื้ งตน้ กระบวนการ ผลผลติ ความตอ้ งการ/ ผ้บู ริหาร/ระบบ กระบวนการ คุณภาพชีวติ การสนับสนนุ / ข้อมลู /นโยบาย วางแผน ของ การใหค้ วาม ประชาชน รว่ มมอื ของผทู้ ี่ แผนงาน/ กระบวนการ เขา้ ร่วม กจิ กรรม/ ปฏิบัติ โครงการ โครงการ กิจกรรม วัตถุประสงค์ ระยะเวลา/ ของโครงการ เกณฑก์ าร ปฏิบตั งิ าน พสั ดุ/อาคาร/ สถานท่ี งบประมาณ/ บุคลากร โดยมีข้อสังเกตประการหน่ึงในเรื่องของการวิเคราะห์ C (Context Evaluation) หรอื การประเมนิ สภาพแวดล้อมหรือเง่ือนไขต่าง ๆ ควรจะประเมิน ตั้งแต่ก่อนทาโครงการ ซึ่งถ้าหากว่าประเมินสภาพแวดล้อมหลังจากจัดทา โครงการแล้ว สภาพแวดลอ้ มอาจเกดิ ความเปลย่ี นแปลงได้ .........................................................
16 โดย นายธนบดี ครองยตุ ิ ผู้อานวยการส่วนอานวยการ ศนู ย์อานวยการบรรเทาสาธารณภยั กรมปอ้ งกนั และบรรเทาสาธารณภยั การจัดการภัยพิบัติในกรณีฉุกเฉิน มีความหมายว่า ภัยท่ีสร้างความ เสียหายล่มจม ซ่ึงมักเกิดจากธรรมชาติ ไม่ใช่อุบัติเหตุ และฉุกเฉิน หมายถึง ท่ีเกิดขึ้นอย่างปัจจุบันทันด่วน และต้องรีบแก้ไขทันที ดังน้ันการดาเนินงานของ กรมปูองกันและบรรเทาสาธารณภัย คือ ภัยที่สร้างความเสียหาย ซึ่งมักเกิดจาก ธรรมชาติที่เกดิ ขึน้ อย่างปัจจบุ ันทันด่วน และตอ้ งรบี แกไ้ ขทนั ที ตัวอย่างภัยพิบัติทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศท่ัวโลกในรูปแบบ ต่าง ๆ ได้แก่ ไฟปุา สึนามิ พายุทอร์นาโด เหตุวาตภัย แผ่นดินไหว หมอกควัน การคมนาคม อุทกภัย โรคระบาด ภาวะโลกร้อน ก่อนหน้านี้โลกยังขาดการ เตรียมพร้อมเพ่ือปูองกันอย่างรอบด้าน แต่ปัจจุบันโลกได้ตื่นตัวในการค้นหา แนวทางเพื่อลดโอกาสในการเกิดผลกระทบจากสาธารณภัยอย่างเป็นรูปธรรม จึงเกิดการประชุมร่วมกัน และเกิดแนวคิดในการลดความเส่ียง ป้องกัน และ แก้ไขปัญหาสาธารณภัย ซ่ึงตามกรอบการดาเนินงานในปัจจุบันจะปฏิบัติตาม กรอบการดาเนินงานเซนได (Sendai) เพ่ือลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติ พ.ศ. 2558 – 2573 (Sendai Framework for Disaster Risk Reduction 2015 - 2030) แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 11 พ.ศ.2555- 2559 ซ่ึงได้กล่ันกรองออกมาเป็น “หลักการจัดการความเส่ียงจากสาธารณภัย” (Disaster Risk Management: DRM) โดยการนาแนวคิดเรื่องการลดความเส่ียง จากสาธารณภัย (Disaster Risk Reduction: DRR) มาเป็นปัจจัยหลักในการ
17 จัดการสาธารณภัยจากเชิงรุกไปสู่ความย่ังยืน รวมทั้งให้สอดรับกับทิศทางการ พัฒนาประเทศ โดยให้คานึงถึงการลดความเส่ียงจากสาธารณภัยในการดาเนิน โครงการและแผนงานของหน่วยงานทุกภาคส่วน เพื่อนาไปสู่การพัฒนาประเทศ อย่างย่งั ยืน กรอบเซนได คอื อะไร กรอบการดาเนินงานเซนไดเพื่อลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติ หรือ “กรอบเซนได” (Sendai Framework) เป็นเครื่องมือสาคัญในการจัดการ ความเสีย่ งจากภัยพิบัติของโลก ระยะ 15 ปี เริ่มต้ังแต่ พ.ศ.2558 – 2573 ซึง่ ประเทศสมาชิกขององค์การสหประชาชาติจานวน 187 ประเทศ ได้ร่วม ให้การรับรองในการประชุมสหประชาชาติระดับโลกว่าด้วยการลดความ เสี่ยงจากภัยพิบัติ คร้ังท่ี 3 ระหว่างวันที่ 14 – 18 มีนาคม 2558 ณ เมือง เซนได ประเทศญีป่ ุน รากของการปฏิบัติมาจากพระราชบัญญัติปูองกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ. 2550 ท่ีกาหนดอานาจหน้าที่การปฏิบัติงานเกี่ยวกับสาธารณภัย โดยได้ กาหนดผู้มีอานาจในการจัดการภัยพิบัติต้ังแต่ระดับท้องถิ่น ภูมิภาค ส่วนกลาง และระดบั ประเทศ ในปัจจุบันปัญหาในการกาหนดแผนการปูองกันและบรรเทาสาธารณภัย แห่งชาติ พ.ศ.2553-2557 คือ ขาดการมีส่วนร่วมในการกาหนดแผน ซ่ึงก่อให้เกิด ปัญหาการทางานทไี่ มร่ อบด้าน และขาดความยินยอมในการทางาน 1. ระบบการจดั การความเส่ียงจากสาธารณภัยของประเทศมีความพร้อม รับสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นโดยการบูรณาการร่วมกันทุกภาคส่วนท้ังในประเทศ และตา่ งประเทศ
18 2. สังคมไทยเป็นสังคมที่มีการเรียนรู้และมีภูมิคุ้มกันในการจัดการความ เส่ยี งจากสาธารณภัย 3. ประชาชนมคี วามตระหนกั ถงึ ความปลอดภัยโดยให้ความสาคัญกับการ สร้างองค์ความรู้ ความตระหนักและวัฒนธรรมความปลอดภัย รวมถึงการพัฒนา สกั ยภาพสงั คมและทอ้ งถน่ิ เพ่ือมุ่งเข้าสู่ “การรับรู้ – ปรับตัว – ฟื้นเร็วท่ัว – อย่าง ยงั่ ยนื ” (Resilience) จะกาหนดตามพระราชบัญญัติปูองกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ. 2550 มาตรา 4 โดยไดน้ ยิ ามไว้ว่า “สาธารณภัย” หมายความว่า อัคคีภัย วาตภัย อุทกภัย ภัยแล้ง โรคระบาดในมนุษย์ โรคระบาดสัตว์ โรคระบาดสัตว์น้า การ ระบาดของศัตรูพชื ตลอดจนภัยอื่น ๆ อันมีผลกระทบต่อสาธารณชน ไม่ว่าจะเกิด จากธรรมชาติ หรือมีผู้ทาให้เกิดข้ึน อุบัติเหตุหรือเหตุอ่ืนใด ซ่ึงก่อให้เกิดอันตราย แก่ชีวติ ร่างกายของประชาชน หรือความเสยี หายแก่ทรัพย์สินของประชาชน หรือ ของรัฐ และให้หมายความรวมถึงภัยทางอากาศและการก่อวนิ าศกรรมดว้ ย คอื โอกาสทจ่ี ะเกดิ การสูญเสียจากสาธารณภัย ท้ังตอ่ ชีวิต รา่ งกาย ทรพั ย์สิน ความเปน็ อยู่ และภาคบริการต่าง ๆ ในชมุ ชนหน่งึ ณ ห้วงเวลาใด เวลาหนงึ่ ในอนาคต การจัดการปัจจัยท้ังสามส่วน ได้แก่ ภัย ความล่อแหลม และกายภาพ ทางสังคม โดยดาเนินการปูองกันและลดผลกระทบโดยใช้โครงสร้าง (ดาเนินการ ด้านสิ่งก่อสร้าง เช่น เขื่อน อ่างเก็บน้า ฝาย สร้างพนังกั้นน้าริมแม่น้า การขยาย พื้นท่ีเส้นทางการไหลของน้า เป็นต้น) และแบบไม่ใช้โครงสร้าง (การเตรียมการ ผูค้ นในพน้ื ท่ีเสี่ยงภยั การฝึก การวางแผนรบั มือ และการรณรงค์ เป็นตน้ ) สาหรับการฝึกการปูองกันและบรรเทาสาธารณภัย จะจัดอย่างเต็ม รปู แบบ ทัง้ การฝกึ เชิงอภปิ ราย และการฝกึ เชิงปฏิบัติการ เป็นการพัฒนาบุคลากร หน่วยงาน ให้มีความรู้ด้านการปูองกันและบรรเทาสาธารณภัย เพ่ิมศักยภาพ
19 พร้อมรับมือสาธารณภัย โดยให้ กอ.ปภ. ทกุ ระดับจัดการฝึกอย่างน้อยปีละ 1 คร้ัง เป็นการสร้างความพร้อมและได้เห็นถึงความติดขัด หรือความผิดพลาดในการ ทางาน ท่ีควรทาความเข้าใจให้ถูกต้อง ประกอบกับจัดทาคลังข้อมูลเพ่ือใช้เป็น ฐานข้อมูลจัดการสาธารณภัย นับว่าเป็นสิ่งท่ีดีและสาคัญ เพราะจะเป็นสิ่งท่ีสร้าง การปฏิบัติการด้านการปูองกันและบรรเทาสาธารณภัย ได้อย่างสมบูรณ์แบบมาก ยิ่งข้ึน จากน้ันจึงทาเป็นแผนปฏิบัติการ (Scenario Planning) โดยให้เหตุการณ์ เป็นตัวตั้ง ถ้าหากเกิดเหตุการณ์หน่ึง ๆ ขึ้น จะดาเนินการอย่างไร ให้คานึงว่าอะไร จะเกิดขึน้ บา้ ง ท้ังน้ีจะตอ้ งใช้ฐานข้อมูล (Data Base) ในการวิเคราะห์ด้วย ปัญหาหนึ่งท่ีเกิดขึ้น น้ันคือ เส้นทางคมนาคมขนส่งทรัพยากรลงไปใน พ้ืนท่ีความเสี่ยง ซ่ึงปัจจุบันได้ทา MOU ร่วมกับห้างสรรพสินค้าหรือแหล่ง ทรพั ยากรในการสนบั สนุนการทางานบรรเทาสาธารณภัยดว้ ยแล้ว แนวคดิ เชิงกลยทุ ธ์การจัดการในภาวะฉกุ เฉิน ความเข้าใจในความแตกต่างระหว่างภาวะฉุกเฉินกับภาวะวิกฤต นั้นคือ ความสาคัญจาเป็นในการที่จะต้องเร่งแก้ไขปัญหา ซ่ึงวิกฤตนั้นอาจจะยังไม่ จาเป็นตอ้ งแก้ไขในทนั ทีเหมอื นกบั ภาวะฉกุ เฉนิ แนวคิดเชงิ กลยุทธ์การจดั การในภาวะฉุกเฉิน จะยึดหลัก 3 ประการ ได้แก่ 1) มาตรฐาน ภายใต้รูปแบบระบบและความเขา้ ใจท่ีเปน็ มาตรฐานเดยี วกัน 2) เอกภาพ กาหนดลาดบั การบังคับบัญชาทีช่ ัดเจน 3) ความยดื หยุ่น ระบบการจัดการในภาวะฉุกเฉิน สามารถปรับเปล่ียนตามสถานการณ์ เพอ่ื ให้งานบรรลเุ ปาู หมาย ทงั้ นี้ ควรใชภ้ าวะผนู้ าของผู้ควบคุมสถานการณ์
20 1. การเตรยี มความพร้อม - กลไกการจัดการ - ระดับการจดั การ - ระบบการเตอื นภยั - การฝกึ ปูองกันและบรรเทาสาธารณภยั - การประสานงาน - การเตรียมการอพยพ การเตรยี มการจดั ตง้ั ศูนย์พกั พิงช่วั คราว - การจดั ต้ังองค์กรเรียนรู้ด้านสาธารณภยั ศนู ย์เรยี นรู้สาธารณภยั ในพืน้ ท่ี ระดับการแจ้งเตือน อาศัยอยูใ่ นท่ีปลอดภยั ปฏิบตั ติ ามข้อสัง่ การ ภยั อพยพไปยังท่ีปลอดภยั ปฏบิ ตั ติ ามแนวทางทก่ี าหนด มีแนวโน้มรุนแรง เตรยี มความพรอ้ ม ฟังคาแนะนา อนั ตรายสงู สุด แดง สถานการณเ์ ฝูาระวงั ติดตามขา่ วสาร 24 ชั่วโมง เสยี่ งอันตรายสงู สม้ สถานการณป์ กติ ตดิ ตามขา่ วสารเป็นประจา เสยี่ งอันตราย เหลอื ง เฝาู ระวงั น้าเงิน ปกติ เขยี ว 2. สือ่ สารและการจัดการขอ้ มูลข่าวสาร - สื่อสารภาวะฉุกเฉิน - เทคโนโลยีสารสนเทศ - การประสานข้อมลู รว่ ม - ศูนย์ข้อมลู ประชาสมั พันธ์ร่วม - การปฏิบัติการขา่ วสาร
21 3. การจดั การทรัพยากร - การพัฒนาคลังข้อมูลสาธารณภัย การจัดทาคลังข้อมูลเพื่อใช้เป็น ฐานขอ้ มูลจัดการสาธารณภยั ทาระบบคลังข้อมูลสาธารณภยั แห่งชาติ - การติดตามทรัพยากร การจัดเตรียมเครื่องจักรกล เครื่องมือ และ อปุ กรณ์ การจดั ตั้งคลงั สารองทรัพยากร - ระบบรับ-ส่งทรัพยากร - การจาแนกทรัพยากร - บรหิ ารความต่อเนือ่ ง 4. การควบคุม ส่งั การ และบญั ชาการ - กองบญั ชาการปอู งกนั และบรรเทาสาธารณภัยแหง่ ชาติ (บกปภ.ช.) - กองอานวยการปูองกันและบรรเทาสาธารณภยั กลาง (กอปภ.ก.) - การสนบั สนุนการปฏิบตั งิ านในภาวะฉกุ เฉนิ (สปฉ.) - ระบบบัญชาการ - การควบคุมพนื้ ที่ 5. การประเมนิ ความจาเป็นและการบรรเทาทกุ ข์ - ระเบยี บกระทรวงการคลงั - บรรเทาทกุ ข์ - การรับบริจาค - DANA
22 การสนับสนนุ การปฏบิ ัตงิ านในภาวะฉกุ เฉิน : สปฉ. สนบั สนนุ ขอ้ มูลแก่ผมู้ อี านาจตัดสนิ ใจตามกฎหมาย ประเมินแนวโนม้ สถานการณแ์ ละความจาเปน็ สนบั สนุนการปฏิบตั งิ านของ บกปภ.ช. ประกอบด้วย สปฉ.1 : ส่วนงานดา้ นคมนาคม สปฉ.2 : ส่วนงานเทคโนโลยสี ารสนเทศและการสอ่ื สาร สปฉ.3 : ส่วนงานสาธารณูปโภค สปฉ.4 : สว่ นผจญเพลิง สปฉ.5 : ส่วนงานการจัดการในภาวะฉุกเฉนิ สปฉ.6 : สว่ นงานสวสั ดิการสงั คมและความมน่ั คงของมนษุ ย์ สปฉ.7 : ส่วนงานการสนับสนนุ ทรพั ยากรทางทหาร สปฉ.8 : ส่วนงานการแพทยแ์ ละสาธารณสขุ สปฉ.9 : ส่วนงานการค้นหาและกภู้ ยั สปฉ.10 : ส่วนงานสารเคมี วัตถอุ ันตรายและกัมมันตรงั สี สปฉ.11 : สว่ นงานการเกษตร สปฉ.12 : ส่วนงานพลังงาน สปฉ.13 : ส่วนงานรักษาความสงบเรียบร้อย สปฉ.14 : สว่ นงานการฟ้ืนฟเู ศรษฐกจิ การศึกษาและวัฒนธรรม สปฉ.15 : สว่ นงานการตา่ งประเทศ สปฉ.16 : ส่วนงานการประชาสัมพนั ธแ์ ละการจัดการขอ้ มูลขา่ วสาร สปฉ.17 : สว่ นงานทรัพยากรธรรมชาตแิ ละส่ิงแวดลอ้ ม สปฉ.18 : ส่วนงานงบประมาณและการบรจิ าค ได้กาหนดผู้บังคับบัญชา มีอานาจในการลงนโยบายในการแก้ไขปัญหา แต่ผู้ที่อยู่ใต้ระดับการบังคับบัญชาก็คงยังมีอานาจในการจัดการในพ้ืนท่ีเช่นเดิม ทั้งนก้ี ารช่วยเหลอื จากตา่ งประเทศ จะต้องผา่ น ครม. หรือในบางกรณีเท่าน้ัน โดย สามารถแบง่ ระดับของเหตกุ ารณฉ์ กุ เฉินได้ ดงั นี้
23 ระดับชาติ (ระดับ 4) – ในกรณีเกิดสาธารณภัยร้ายแรงอย่างย่ิง โดยมี นายกรัฐมนตรี หรือรองนายกรัฐมนตรีท่ีนายกรัฐมนตรีมอบหมาย เป็นผู้สั่งการ ผู้บัญชาการ ผู้อานวยการ หน่วยงานของรัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ให้ ดาเนินการปูองกนั และบรรเทาสาธารณภัยและใหค้ วามชว่ ยเหลอื แก่ประชาชน ระดับภาค (ระดับ 3) - ในกรณีเกิดสาธารณภัยขนาดใหญ่ รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงมหาดไทย ซ่ึงเป็นผู้บัญชาการปูองกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ เป็นผู้ควบคุม ส่ังการ บัญชาการ กากับการปูองกันและบรรเทาสาธารณภัยทั่ว ราชอาณาจักรให้เป็นไปตามแผนปูองกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ โดยมี ปลัดกระทรวงมหาดไทย ซ่ึงเป็นรองผู้บัญชาการปูองกันและบรรเทาสาธารณภัย ช่วยเหลือผูบ้ ัญชาการ ปฏิบตั ิหนา้ ทต่ี ามท่ผี ู้บญั ชาการมอบหมาย ระดับจงั หวดั (ระดบั 2) – ในกรณีเกิดสาธารณภัยขนาดกลาง ผู้ว่าราชการ จงั หวดั ซง่ึ เปน็ ผู้อานวยการจงั หวัด รบั ผดิ ชอบการปอู งกนั และบรรเทาสาธารณภัย ในเขตจังหวัด, จัดทาแผนการปูองกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด, กากับดูแล การฝึกอบรมอาสาสมัคร ของ อปท., กากับดูแล อปท. ให้จัดให้มีวัสดุ อุปกรณ์ เครื่องมือเครื่องใช้ ยานพาหนะ และสิ่งอื่น เพ่ือใช้ในการปูองกันและบรรเทาสา ธารณภัย, ให้หนว่ ยงานของรฐั และ อปท. ให้การสงเคราะห์เบ้ืองตน้ ฯลฯ ระดับอาเภอ (ระดับ 1) – ในกรณีเกิดสาธารณภัยขนาดเล็ก นายอาเภอ ซง่ึ เปน็ ผอู้ านวยการอาเภอ รับผดิ ชอบและปฏิบัติหน้าท่ีในการปูองกันและบรรเทา สาธารณภยั ในเขตอาเภอ ช่วยเหลอื ผ้อู านวยการจงั หวัด ตามทไี่ ดร้ บั มอบหมาย สาหรบั ผู้วา่ ราชการกรุงเทพมหานคร ซ่ึงเป็นผู้อานวยการกรุงเทพมหานคร รับผิดชอบและปฏิบัติหน้าที่ในการปูองกันและบรรเทาสาธารณภัยในเขต กรุงเทพมหานคร และให้องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินทุกแห่งพ้ืนท่ี (อบต./ เทศบาล/เมืองพัทยา/อปท.อื่น ท่ีมีกฎหมายจัดต้ัง) ซึ่งผู้บริหารท้องถิ่น เป็น ผอู้ านวยการท้องถ่ิน มหี นา้ ทป่ี ูองกนั และบรรเทาสาธารณภยั ในเขตทอ้ งถน่ิ ของตน
24 ทัง้ น้ี ในการประกาศเขตพ้ืนที่ประสบสาธารณภัย จะต้องพิจารณาว่าเหตุ ที่เกิดขึ้น เป็นสาธารณภัยตามมาตรา 4 พระราชบัญญัติปูองกันและบรรเทา สาธารณภัย พ.ศ.2550 ให้ประกาศใหเ้ ขตพื้นท่ีนั้นเป็น “เขตพื้นที่ประสบสาธารณ ภัย” เพ่ือให้หน่วยงานต่าง ๆ เข้าไปปฏิบัติหน้าท่ี ให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัย ในส่วนทีเ่ กีย่ วขอ้ งตามอานาจหน้าท่ี การยกระดบั การจดั การสาธารณภยั จะพิจารณาตามปัจจัยดงั ตอ่ ไปน้ี จานวนพนื้ ทที่ ่ไี ด้รบั ความเสยี หาย จานวนและลักษณะประชากรในพืน้ ท่ี ความยากง่าย สถานการณ์แทรกซ้อน เงื่อนไข ทาง เทคนคิ ของสถานการณ์ ความสามารถในการปฏิบัติงาน กาลังคน เครื่องมอื อุปกรณ์ งบประมาณ การประเมนิ สถานการณ์ .......................................................
Search
Read the Text Version
- 1 - 28
Pages: