ก v หนงั สอื เรยี นสาระการประกอบอาชพี รายวชิ าเลอื ก การทาปุ๋ยหมกั รหสั วชิ า อช02008 ระดบั ประถมศกึ ษา มธั ยมศกึ ษาตอนต้น มธั ยมศกึ ษาตอนปลาย ตามหลกั สูตรการศกึ ษานอกระบบระดบั การศกึ ษาขนั้ พน้ื ฐาน พุทธศกั ราช 2551 สำนักงำนส่งเสริมกำรศึกษำนอกระบบและกำรศึกษำตำมอธั ยำศัยจงั หวดั เชียงใหม่ สำนกั งำนส่งเสริมกำรศึกษำนอกระบบและกำรศึกษำตำมอธั ยำศัย สำนักงำนปลดั กระทรวงศึกษำธิกำร กระทรวงศึกษำธกิ ำร ห้ำมจำหน่ำย หนงั สือเรียนเล่มน้ีจดั พมิ พด์ ว้ ยเงินงบประมาณแผน่ ดินเพอ่ื การศึกษาตลอดชีวติ สาหรับประชาชน ลิขสิทธ์ิเป็นของสานกั งาน กศน.จงั หวดั เชียงใหม่
ก คำนำ หนังสือเรียนรายวิชาเลือก การทาปุ๋ยหมัก รหัสวิชา อช 02008 ตามหลักสูตรการศึกษานอกระบบ ระดับการศึกษาข้ันพ้ืนฐานพุทธศักราช 2551 ระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษาตอนต้น และมัธยมศึกษา ตอนปลาย จัดทาขึ้นเพอ่ื ให้ผู้เรียนได้รับความรู้และประสบการณ์ ซึ่งเป็นไปตามหลักการและปรัชญาการศึกษา นอกโรงเรียน และพระราชบัญญัติส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย พ.ศ.2551 ใหผ้ ูเ้ รียนมคี ุณธรรมจรยิ ธรรม มีสติปัญญา มีศักยภาพในการประกอบอาชีพและสามารถดารงชีวิตอยู่ในสังคม ไดอ้ ยา่ งมีความสขุ เพ่ือให้การจัดกระบวนการเรียนรู้ของสถานศึกษามีประสิทธิภาพ สถานศึกษาต้องใช้หนังสือเรียนท่ีมี คณุ ภาพ สอดคลอ้ งกับสภาพปัญหาความต้องการของผู้เรียน ชุมชน สังคม และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของ สถานศึกษา หนังสือเล่มนี้ได้ประมวลสาระความรู้ กิจกรรมเสริมทักษะ แบบวัดประเมินผลการเรียนรู้ไว้อย่าง ครบถ้วน โดยองค์ความรู้น้ันได้นากรอบมาตรฐานการเรียนรู้ตามท่ีหลักสูตรกาหนดไว้ นารายละเอียดเน้ือหา สาระมาเรียบเรียงอย่างมีมาตรฐานของการจัดทาหนังสือเรียน เพื่อให้ผู้เรียน สามารถอ่าน เข้าใจง่ายและ ศึกษาค้นควา้ ด้วยตนเองไดอ้ ย่างสะดวก คณะผจู้ ัดทาหวังเป็นอย่างย่ิงว่า หนังสือเรียนรายวิชา การทาปุ๋ยหมัก รหัสวิชา อช 02008 เล่มนี้จะ เป็นสื่อท่ีอานวยประโยชน์ต่อการเรียนตามหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พทุ ธศักราช 2551 เพ่อื ให้ผู้เรยี นสัมฤทธ์ผิ ลตามมาตรฐาน ตัวชี้วดั ท่ีกาหนดไว้ในหลกั สตู รทุกประการ คณะผ้จู ดั ทำ สำนักงำน กศน.จังหวดั เชียงใหม่
สำรบัญ ข คานา ก ข สารบญั ค 1 คาอธิบายรายวิชา 2 4 บทท่ี 1 การทาปยุ๋ หมัก 7 9 แผนการเรยี นรปู้ ระจาบท 10 17 เรื่องที่ 1 การเตรยี มวัสดุในการทาป๋ยุ หมัก 19 เรอ่ื งท่ี 2 การทาปยุ๋ หมัก 21 เรอื่ งท่ี 3 วธิ กี ารดูแลรกั ษาและการจดั จาหน่าย 23 เรอ่ื งท่ี 4 การแสวงหาและการนาความรู้เทคนิควิธกี ารใหม่ๆมาใชพ้ ฒั นาการทาปุ๋ยหมกั 24 เรื่องที่ 5 วธิ ีการดูแลรกั ษา การใชแ้ ละการจัดจาหน่าย 25 เรื่องที่ 6 การแสวงหาและการนาความรูเ้ ทคนิควธิ ีการใหม่ๆมาใช้พฒั นาการทาปยุ๋ หมกั 26 ใบงานบทที่ 1 28 บทที่ 2 แนวโนม้ ความต้องการพืชปลอดภัย และการอนรุ ักษ์พลงั งาน 30 แผนการเรียนรู้ประจาบท 32 34 เรื่องท่ี 1 แนวโนม้ ตอ้ งการพืชปลอดภัยจากสารพิษ 35 เรอ่ื งท่ี 2 การอนรุ ักษ์พลังงานและสิง่ แวดล้อม เร่อื งที่ 3 ปัญหาและอุปสรรคในการทาปุ๋ยหมัก ใบงานบทที่ 2 บรรณานกุ รม คณะผู้จัดทา คณะบรรณานกุ รม
ค รำยละเอียดวชิ ำ 1. คำอธิบำยรำยวิชำ แนวโนม้ ความต้องการของตลาดการผลติ พชื ปลอดภัยจากสารเคมี ความสาคัญและประโยชน์ของ ปุ๋ยหมัก ชนิดและลักษณะปุ๋ยหมัก สภาพแวดล้อมที่เหมาะสม การเตรียมวัสดุ การทาปุ๋ยหมัก การดูแล รักษา การแสวงหาความรู้ การใช้เทคโนโลยี ปัญหา อุปสรรคในการทาปุ๋ยหมัก การอนุรักษ์พลังงานและ ส่ิงแวดลอ้ ม 2. วตั ถุประสงค์ 1. เพ่อื ให้รู้และเข้าใจแนวโนม้ ความตอ้ งการของตลาดพืชปลอดภยั จากสารพษิ 2. เพื่อให้รู้และเข้าใจ ลักษณะ ความสาคัญของอาชีพทาปุ๋ยหมัก ชนิดและลักษณะของปุ๋ยหมักท่ี เหมาะสมกบั ท้องถิ่น 3. เพื่อใหส้ ามารถเตรยี มวัสดใุ นการทาปยุ๋ หมัก ขน้ั ตอนและวิธกี ารทาปุ๋ยหมัก และการดแู ลรักษาได้ 4. เพื่อให้รู้ และเข้าใจวิธีการแสวงหาและนาความรู้เทคนิควิทยาการใหม่ ๆ มาใช้พัฒนาการทา ปุย๋ หมักได้ 5. เพื่อให้ตระหนักถึงการอนุรักษ์พลังงานและส่ิงแวดล้อม รวมถึงปัญหาและอุปสรรคในการทา ปุ๋ยหมักได้ รำยชอ่ื บทที่ บทที่ 1 การทาปยุ๋ หมกั บทท่ี 2 แนวโนม้ ความต้องการพืชปลอดภยั และการอนรุ ักษพ์ ลงั งาน
ง คำอธิบำยรำยวิชำ อช02008 กำรทำปุ๋ยหมัก จำนวน 1 หนว่ ยกติ ระดบั ประถมศึกษำ/มธั ยมศึกษำตอนตน้ /มัธยมศึกษำตอนปลำย มำตรฐำนที่ 3.2 มีความรู้ความเขา้ ใจ ทักษะในอาชีพท่ีตัดสินเลอื ก 3.3 มีความรู้ ความเขา้ ใจ ในการจดั การอาชีพอย่างมีคณุ ธรรม ศึกษำและฝกึ ทกั ษะเกยี่ วกบั เร่ืองต่อไปนี้ แนวโน้มความต้องการของตลาด การผลิตพืชปลอดภัยจากสารเคมี ความสาคัญและประโยชน์ ชนิด และลักษณะปยุ๋ หมัก สภาพแวดลอ้ มที่เหมาะสม การเตรยี มวสั ดุ การทาปุ๋ยหมัก การดูแลรักษา การแสวงหา ความรู้ การใชเ้ ทคโนโลยี ปญั หา อุปสรรคในการทาปุย๋ หมกั การอนุรกั ษพ์ ลังงานและสิง่ แวดลอ้ ม กำรจดั ประสบกำรณก์ ำรเรียนรู้ 1. ศกึ ษาจากเอกสาร หนังสอื และสอ่ื อื่น ๆ เช่น วดี ีโอ เทป เทปบรรยาย สไลด์ เปน็ ต้น 2. เชญิ ผู้ประสบผลสาเรจ็ ในอาชพี มาบรรยาย สาธติ แลกเปลยี่ น ประสบการณ์ร่วมกนั 3. ศึกษาดูงานสถานที่ต่าง ๆ ท่ีทาปุ๋ยหมัก 4. ฝึกปฏิบัตงิ าน 5. รวมกลมุ่ อภิปรายปัญหา และหาแนวทางพฒั นา ตดิ ตามผล และแกไ้ ขปัญหาร่วมกัน กำรวดั และประเมินผล ประเมนิ จากสภาพจรงิ จากกระบวนการเรยี นรู้
จ รำยละเอยี ดคำอธบิ ำยรำยวิชำ อช02008 กำรทำปุ๋ยหมัก จำนวน 1 หนว่ ยกติ ระดับประถมศึกษำ/มธั ยมศกึ ษำตอนตน้ /มธั ยมศกึ ษำตอนปลำย มำตรฐำนที่ 3.2 มคี วามร้คู วามเขา้ ใจ ทักษะในอาชีพทตี่ ัดสินเลอื ก 3.3 มีความรู้ ความเขา้ ใจ ในการจัดการอาชีพอยา่ งมีคุณธรรม ที่ หัวเร่ือง ตวั ช้วี ัด เนอ้ื หำ จำนวน ช่วั โมง 1 การทาปุ๋ยหมัก 1.บอกลักษณะและ ความสาคญั และประโยชน์ ชนดิ 25 ความสาคัญของอาชพี และลกั ษณะปยุ๋ หมกั สภาพ 15 2 แนวโนม้ ความตอ้ งการพชื ทาปุย๋ หมกั ได้ แวดล้อมที่เหมาะสม การเตรียม ปลอดภยั และการอนรุ กั ษ์ วัสดุ การทาปุ๋ยหมกั การดแู ล พลงั งาน 2.อธบิ ายชนดิ และลักษณะ รักษา การจดั จาหน่าย การ ของปุ๋ยหมกั ทเี่ หมาะสม กับ แสวงหาความรู้ ทอ้ งถ่นิ ได้ การศกึ ษาแนวโน้มความต้องการ 3.อธบิ ายเตรียมวสั ดใุ น ของตลาด การใชเ้ ทคโนโลยี การ การทาปยุ๋ หมักได้ อนรุ ักษ์พลังงานและส่ิงแวดล้อม ปญั หาและอปุ สรรคในการทาปุ๋ย 4.อธบิ ายทาปุ๋ยหมัก และ หมักได้ การดูแลรักษาได้ถกู ต้อง 5.สามารถ แสวงหาและนา ความรู้เทคนิควทิ ยาการ ใหม่ ๆ มาใช้พัฒนาการทา ปุ๋ยหมักได้ 1. อธิบายแนวโนม้ ความ ตอ้ งการพืชปลอดภัย จากสารพิษได้ 2.อธิบายการอนรุ กั ษ์พลังงาน และสิ่งแวดล้อมได้ 3.อธบิ ายปญั หาและอุปสรรค ในการทาปุ๋ยหมักได้
บทท่ี 1 กำรทำปุ๋ยหมกั
2 แผนกำรเรยี นรู้ประจำบท รำยวชิ ำกำรทำปุย๋ หมกั บทท่ี 1กำรทำป๋ยุ หมกั สำระสำคัญ 1. ลกั ษณะและความสาคัญของอาชีพทาปุ๋ยหมัก คือ ช่วยปรับปรุงดินให้ดีขึ้น หรือช่วยรักษาสภาพ ความอุดมสมบรู ณ์ของดนิ ใหด้ ีอยู่เสมอ ไมเ่ สอ่ื มโทรมลงเรื่อยๆ 2. ชนิดและลักษณะของปุ๋ยหมักที่เหมาะสมกับท้องถิ่น ปุ๋ยหมัก เป็นปุ๋ยอินทรีย์ชนิดหน่ึง เป็นขุยสีดา หรือสนี ้าตาลเขม้ มีลกั ษณะพรนุ ย่ยุ รว่ นซุย 3. การเตรียมวัสดุในการทาปุ๋ยหมัก ประกอบไปด้วย การเตรียมพื้นที่ในการกองปุ๋ยหมัก และวัสดุ อปุ กรณ์ทจ่ี ะใช้ในการทาป๋ยุ หมัก 4. การทาปุ๋ยหมัก ทาได้โดยนาเศษวัสดุมากองบนพืน้ ดิน ขนาดของกอง กว้าง 2.5 เมตร สูง 1.2 เมตร ยาว 4 เมตร ช้นั ๆ ระหว่างเศษพชื ป๋ยุ คอก และป๋ยุ เคมี 5. วิธีการดูแลรักษาและการจัดจาหน่าย ทาได้โดยการรดน้าให้ชุ่มเป็นประจา และกลับกองปุ๋ยทุกๆ 10-15 วัน เพือ่ ระบายอากาศ เมื่อความร้อนกองปุ๋ยอยู่ในระดับปกตใิ ห้เกบ็ ไวใ้ นท่รี ม่ หากยังไมน่ าไปใช้ 6. การแสวงหา และการนาความรู้เทคนิควิธีการใหม่ๆ มาใช้พัฒนาการทาปุ๋ยหมัก เป็นการแสวงหา ความรู้ใหมๆ่ เทคนิค วิธกี ารมาใชใ้ นการผลิตปุย๋ หมกั เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพทั้งเชงิ คุณภาพ และปรมิ าณสูงสุด ผลกำรเรยี นรทู้ คี่ ำดหวงั 1. บอกลกั ษณะและความสาคัญของอาชพี ทาป๋ยุ หมักได้ 2. อธิบายชนดิ และลักษณะของปยุ๋ หมักที่เหมาะสมกับท้องถ่ินได้ 3. อธิบายเตรยี มวัสดใุ นการทาปุ๋ยหมกั ได้ 4. อธิบายทาปยุ๋ หมัก และการดูแลรกั ษาได้ถูกต้อง 5. สามารถแสวงหา และนาความร้เู ทคนิควิทยาการใหม่ ๆ มาใชพ้ ฒั นาการทาปุย๋ หมกั ได้ ขอบขำ่ ยเนือ้ หำ เมอื่ ศึกษาหนว่ ยที่ 1 จบแล้ว นกั ศึกษาสามารถ 1. ลกั ษณะและความสาคญั ของอาชพี ทาปุย๋ หมกั 2. ชนิดและลักษณะของปุ๋ยหมกั ท่เี หมาะสมกบั ท้องถน่ิ 3. การเตรยี มวสั ดุในการทาปุ๋ยหมัก 4. การทาปุ๋ยหมกั 5. วธิ ีการดแู ลรักษาและการจดั จาหนา่ ย 6. การแสวงหาและการนาความร้เู ทคนคิ วธิ กี ารใหมๆ่ มาใช้พฒั นาการทาปุ๋ยหมัก
3 กจิ กรรมกำรเรยี นรู้ 1. ศกึ ษาเอกสารการเรยี นรบู้ ทที่ 1 2. ปฏบิ ตั ิกิจกรรมตามท่ไี ดร้ บั มอบหมายในเอกสารการสอน 3. ทาแบบฝึกหัดทา้ ยบทท่ี 1 สือ่ ประกอบกำรเรยี นรู้ 1. เอกสารการเรียนรู้บทท่ี 1 2. แบบฝึกปฏบิ ัติ ประเมนิ ผล 1. ตรวจใบงาน 2. ทดสอบยอ่ ย 3. สังเกตพฤตกิ รรม
4 เรอ่ื งท่ี 1 ลักษณะและควำมสำคญั ของอำชพี ทำป๋ยุ หมกั กำรทำป๋ยุ หมัก คืออะไร การทาปุ๋ยหมัก คือ การนาเอาเศษซาก หรือวัสดุต่างๆ ที่ได้มาจากส่ิงมีชีวิตโดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกที่ ได้มาจากพืช เช่น เศษหญ้า ใบไม้ ฟางข้าว ผักตบชวา หรือแม้แต่ขยะมูลฝอยตามบ้านเรือน มากองรวมกัน รดนา้ ให้มคี วามชน้ื พอเหมาะ หมักไว้จนกระทั้งเศษพืชหรือวัสดุเหล่านั้นย่อยสลาย และแปรสภาพไปกลายเป็น ขุยสีดาหรือสีน้าตาลเข้ม มีลักษณะพรุน ยุ่ย ร่วนซุย ท่ีเรียกว่า \"ปุ๋ยหมัก\" การย่อยและการแปรสภาพของเศษ พืช หรือวสั ดุดงั กล่าวเกิดข้นึ เน่ืองจากสงิ่ มีชวี ิตขนาดเลก็ ๆ ท่ีเรียกว่า \"จุสินทรีย์\" ซึ่งอาศัยอยู่ในกองปุ๋ย ส่ิงมีชีวิต ขนาดเล็กเหลา่ น้มี อี ยู่มากมายหลายชนดิ ปะปนกันอยู่ และพวกทม่ี ีบทบาทในการแปรสภาพวัสดุมากที่สุด ได้แก่ เช้ือราและเช้อื บักเตรี วิธกี ารหมกั วัสดุตา่ งๆ ให้กลายเป็นปุย๋ หมกั อาจทาได้หลายๆ วิธแี ตกต่างกนั ไป เช่น การหมักเศษพืชแต่ เพียงอย่างเดียว หรือมีการเติมมูลสัตว์ หรือปุ๋ยเคมีลงไปในกองปุ๋ยด้วย เพื่อเร่งให้เศษวัสดุแปรสภาพได้เร็วขึ้น การใสผ่ งเชอ้ื จุลินทรีย์เพิม่ เตมิ ลงไปกองปุ๋ย เพอื่ เสรมิ เช้ือจลุ นิ ทรยี ท์ ม่ี อี ยู่แลว้ ในธรรมชาติ หรอื การมีรูปแบบของ การกองปุ๋ยแตกต่างกันไป ซ่ึงแต่ละวิธีอาจใช้ระยะเวลาในการหมักไม่เท่ากัน และปุ๋ยหมักที่ได้ก็มีคุณภาพ แตกตา่ งกันไป ควำมสำคญั ของปุ๋ยหมัก ปุ๋ยหมัก เป็นส่ิงที่มีคุณค่ามากในทางการเกษตร แต่ก็ยังไม่ได้รับความสนใจหรือแพร่หลายเท่าท่ีควร อาจจะเปน็ เพราะสาเหตหุ ลายประการด้วยกนั เชน่ เกษตรกรยังไม่ตระหนกั ถงึ ความสาคัญที่แท้จริงของปุ๋ยหมัก ว่ามีคุณค่าเพียงใดในการช่วยปรับปรุงดินให้ดีข้ึน หรือช่วยรักษาสภาพความอุดมสมบูรณ์ของดินให้ดีอยู่เสมอ ไม่เสื่อมโทรมลงเรื่อยๆ อย่างเช่นปัจจุบันนี้ เหตุผลสาคัญอีกประการหน่ึงก็คือ เกษตรกรยังขาด แหล่งข้อมูลท่ี จะใหค้ วามรู้ความเขา้ ใจในการทาปุ๋ยหมกั อย่างถูกวิธี เป็นเหตุให้การทาปุ๋ยหมักก็ต้องใช้ในปริมาณมาก และมัก ไม่เหน็ ผลอย่างชดั เจนในระยะเวลาอันสั้น การทาปุ๋ยหมักไว้ใช้เองก็ต้องใช้แรงงานค่อนข้างมาก ต้องดูแลเอาใจ ใส่อยู่เสมอการผลิตปุ๋ยหมักจึงจะได้ผลอย่างเต็มท่ี การท่ีเกษตรกรจะผลิตปุ๋ยหมักขึ้นมาใช้กันอย่างจริงจัง จึง ต้องอาศัยทั้งความรู้ ความเข้าใจในการทาปุ๋ยหมัก ต้องเข้าใจในคุณประโยชน์ท่ีแท้จริงของปุ๋ยหมัก และจะต้อง มีความมุ่งม่ัน ความตั้งใจจริงที่จะปรับปรุงที่ดินของตนให้เป็นผืนดินท่ีอุดมสมบูรณ์ มีประสิทธิภาพในการ เพาะปลกู ประโยชน์ของปุ๋ยหมัก ป๋ยุ หมักทส่ี ลายตัวไดท้ ่ีดีแลว้ เปน็ วัสดทุ คี่ ่อนข้างทนทานต่อการยอ่ ยสลายพอสมควร ดังนัน้ เมื่อใส่ลงไป ในดินปุย๋ หมกั จงึ สลายตวั ไดช้ ้า ไม่รวดเรว็ เหมือนกับการไถกลบเศษพืชโดยตรง ซง่ึ ก็มักว่าเป็นลักษณะท่ีดีอย่าง หนง่ึ ของปุย๋ หมัก เพราะทาใหป้ ยุ๋ หมักสามารถปรับปรงุ ดินใหอ้ ยู่ในสภาพที่เหมาะสมต่อ การเจริญเติบโตของพืช ได้เป็นระยะเวลานานๆ ปุ๋ยหมักบางส่วนจะคงทนอยู่ในดินได้นานเป็นปี แต่ก็มีบางส่วนท่ีถูกย่อยสลายไป ใน การย่อยสลายนี้จะมีแร่ธาตุอาหารพืชถูกปลดปล่อยออกมาจากปุ๋ยหมักให้พืชได้ใช้อยู่เร่ือยๆ แม้ว่าจะเป็น ปรมิ าณทไ่ี ม่มากนกั แตก่ ถ็ ูกปลดปล่อยออกมาตลอดเวลาและสมา่ เสมอ คณุ ประโยชน์ของปยุ๋ หมักอำจแบ่งออกได้เป็น 2 ลกั ษณะใหญๆ่ คือ 1. ช่วยปรับปรุงสมบัติต่างๆ ของดินให้เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของพืช ปุ๋ยหมักเป็นวัสดุท่ีมี คณุ สมบตั ใิ นการปรับปรงุ สภาพ หรอื ลักษณะของดินให้เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของพืช เช่น ถ้าดินน้ันเป็น ดินเนื้อละเอียดอัดตัวกันแน่น เช่น ดินเหนียว ปุ๋ยหมักก็จะช่วยทาให้ดินนั้นมีสภาพร่วนซุยมากข้ึน ไม่อัดตัวกัน แน่นทึบ ทาให้ดินมีสภาพการระบายน้า ระบายอากาศดี ทั้งยังช่วยให้ดินมีความสามารถในการอุ้มน้า หรือดูด
5 ซบั นา้ ทจ่ี ะเป็นประโยชนต์ อ่ พชื ไว้ได้มากขึ้น คุณสมบัติในข้อนี้เป็นคุณสมบัติที่สาคัญมากของปุ๋ยหมัก เพราะดิน ทมี่ ีลกั ษณะรว่ นซุย ระบายนา้ ระบายอากาศได้ดีนนั้ จะทาให้รากพืชเจริญเติบโตได้รวดเร็ว แข็งแรง แตกแขนง ได้มาก มีระบบรากท่ีสมบูรณ์จึงดูดซับแร่ธาตุอาหารหรือน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนในกรณีท่ีดินเป็นดิน เน้ือหยาบ เช่น ดินทราย ดินร่วนปนทราย ซ่ึงส่วนใหญ่มีความอุดมสมบูรณ์ต่า มีอินทรีย์วัตถุอยู่น้อย ไม่อุ้มน้า การใส่ปยุ๋ หมักก็จะชว่ ยเพมิ่ ความอุดมสมบูรณ์ของดิน และทาให้ดินเหล่านั้นสามารถอุ้มน้า หรือดูดซับความช้ืน ไว้ให้พืชได้มากข้ึน ในดินเนื้อหยาบจึงควรต้องใส่ปุ๋ยหมักให้มากกว่าปกติ นอกจากคุณสมบัติต่างๆ ดังกล่าว มาแล้ว ป๋ยุ หมักยังสามารถช่วยปรับปรุงลักษณะดินในแง่อื่นๆ อีก เช่น ช่วยลดการจับตัวเป็นแผ่นแข็งของหน้า ดิน ทาให้การงอกของเมล็ด หรอื การซึมของนา้ ลงไปในดนิ สะดวกขนึ้ ช่วยลดการไหลบ่าของน้าเวลาฝนตก เป็น การลดการพดั พาหน้าดนิ ที่อุดมสมบรู ณ์ไป เปน็ ต้น 2. ชว่ ยเพมิ่ ความอุดมสมบูรณข์ องดิน ในแง่ของการช่วยเพิ่มความอดุ มสมบูรณ์ของดนิ ป๋ยุ หมกั เป็น แหลง่ แร่ธาตุอาหารที่จะปลดปล่อยธาตอุ าหารออกมาใหแ้ กต่ น้ พืชอย่างชา้ ๆ และสม่าเสมอ โดยทัว่ ไปแลว้ ปยุ๋ หมกั จะมปี ริมาณแร่ธาตอุ าหารพชื ทส่ี าคญั ดงั น้ี คือ ธาตไุ นโตรเจนทั้งหมดประมาณ 0.4 - 2.5 เปอรเ์ ซนต์ ฟอสฟอรัสในรูปทเ่ี ป็นประโยชนต์ อ่ พืช ประมาณ 0.2 - 2.5 เปอรเ์ ซนต์ และโพแทสเซียมในรปู ทีล่ ะลายนา้ ได้ ประมาณ 0.5 - 1.8 เปอร์เซนต์ ปรมิ าณแรธ่ าตอุ าหารดังกล่าวจะมมี ากหรือน้อยกข็ ้นึ อยกู่ บั ชนิดของเศษพชื ที่ นามาหมักและวัสดอุ นื่ ๆ ทใ่ี ส่ลงไปในกองป๋ยุ ถงึ แมป้ ุย๋ หมักจะมธี าตุอาหารหลักดังกลา่ วอยนู่ อ้ ยกว่าปยุ๋ เคมี แต่ ปุย๋ หมักมีข้อดีกวา่ ตรงท่นี อกจากธาตอุ าหารทงั้ 3 ธาตุที่กล่าวมาแลว้ ปุ๋ยหมกั ยงั มีธาตุอาหารพชื ชนิดอนื่ ๆ อีก เช่น แคลเซียม แมกนเี ซยี ม กามะถัน เหล็ก สงั กะสี แมงกานสี โบรอน ทองแดง โมลบิ ดีนมั ฯลฯ ซ่งึ ปกติแลว้ ปยุ๋ เคมจี ะไม่มีหรอื มีเพียงบางธาตุเทา่ น้ัน แร่ธาตเุ หลา่ นมี้ ีความสาคัญต่อการเจริญเติบโตของพชื ไมน่ ้อยกว่าธาตุ อาหารหลกั เพียงแตต่ ้นพืชต้องการในปริมาณน้อยเท่าน้นั เอง นอกจากจะชว่ ยเพิ่มปริมาณธาตอุ าหารพืชแลว้ ปยุ๋ หมกั ยงั มีคุณค่าในแง่ของการปรบั ปรงุ ความอุดมสมบูรณ์อกี หลายๆ อยา่ ง เช่น ชว่ ยทาให้แร่ธาตอุ าหารพชื ท่ี มอี ย่ใู นดนิ แปรสภาพมาอยูใ่ นรปู ท่ีพืชสามารถดดู ซึมไปใช้ได้ง่ายขึน้ ช่วยดูดซบั แร่ธาตุอาหารพืชเอาไวไ้ ม่ให้ถูก นา้ ฝนหรือนา้ ชลประทานชะล้างสูญหายไปได้ง่าย เป็นการช่วยถนอมรักษาแรธ่ าตุอาหารหรอื ความอดุ มสมบรู ณ์ ของดินไวอ้ ีกทางหนึง่ เป็นต้น จากคณุ สมบัติดงั ที่กลา่ วมาจะเห็นได้วา่ แม้ปุ๋ยหมักจะมีปรมิ าณแร่ธาตุอาหารใน ปุย๋ ไม่เข้มข้นเหมือนปุ๋ยเคมี แต่กม็ ลี กั ษณะอน่ื ๆที่ช่วยรักษาและปรับปรุงความอดุ มสมบรู ณข์ องดนิ ได้เป็นอย่างดี ประโยชน์ดำ้ นกำรเกษตร 1. ช่วยปรบั สภาพความเปน็ กรด - ดา่ ง ในดนิ และนา้ 2. ชว่ ยปรบั สภาพโครงสร้างของดนิ ใหร้ ว่ นซยุ อุ้มนา้ และอากาศได้ดยี งิ่ ข้นึ 3. ช่วยย่อยสลายอินทรีย์วัตถุในดินให้เป็นธาตุอาหารแก่พืช พืชสามารถดูดซึมไปใช้ได้เลย โดยไม่ต้อง ใช้พลงั งานมากเหมอื นการใชป้ ยุ๋ วทิ ยาศาสตร์ 4. ชว่ ยเรง่ การเจริญเตบิ โตของพืชใหส้ มบรู ณ์ แข็งแรงตามธรรมชาติ ต้านทานโรคและแมลง 5. ช่วยสร้างฮอรโ์ มนพืช ทาใหผ้ ลผลติ สูง และคุณภาพของผลผลิตดขี นึ้ 6. ช่วยใหผ้ ลผลติ คงทน เกบ็ รักษาไว้ได้นาน ประโยชน์ด้ำนปศสุ ตั ว์ 1. ช่วยกาจัดกลน่ิ เหมน็ จากฟาร์มสตั ว์ ไก่ สกุ ร ได้ภายใน 24 ชม. 2. ชว่ ยกาจดั น้าเสียจากฟารม์ ไดภ้ ายใน 1 - 2 สปั ดาห์ 3. ชว่ ยป้องกนั โรคอหิวาหแ์ ละโรคระบาดต่างๆ ในสัตวแ์ ทนยาปฏิชีวนะ และอ่ืนๆได้ 4. ชว่ ยกาจัดแมลงวนั ดว้ ยการตัดวงจรชวี ติ ของหนอนแมลงวนั ไมใ่ ห้เขา้ ดักแด้เกิดเปน็ ตัวแมลงวนั 5. ช่วยเสรมิ สุขภาพสัตว์เล้ียง ทาให้สัตว์แขง็ แรง มคี วามต้านทานโรค ใหผ้ ลผลติ สงู และอัตราการรอดสงู
6 ประโยชนด์ ้ำนกำรประมง 1. ช่วยควบคมุ คุณภาพนา้ ในบอ่ เล้ยี งสัตว์น้าได้ 2. ชว่ ยแกป้ ญั หาโรคพยาธิในนา้ ซ่งึ เปน็ อันตรายต่อสัตว์นา้ 3. ช่วยรักษาโรคแผลต่างๆในปลา กบ จระเข้ ฯลฯ ได้ 4. ช่วยลดปริมาณขี้เลนในบอ่ ช่วยให้เลนไมเ่ นา่ เหม็น สามารถนาไปผสมเปน็ ปุย๋ หมกั ใชก้ บั พืชต่างๆ ได้ดี
7 เร่ืองท่ี 2 ชนดิ และลกั ษณะของปุ๋ยหมกั ทีเ่ หมำะสมกบั ท้องถ่ิน ปุ๋ยหมัก เป็นปุ๋ยอินทรีย์อีกชนิดหนึ่งท่ีได้มาจากการหมักวัสดุเหลือทิ้ง ที่เป็นสารอินทรีย์บางชนิด โดย นาสารอินทรีย์เหล่าน้ันมากองรวมกัน และเมื่อเกิดการย่อยสลายจากกิจกรรมของจุลินทรีย์ในสภาพท่ีชื้น และ สภาพแวดล้อมที่เหมาะสม ลักษณะของป๋ยุ หมักต่างๆ ตามระยะเวลาในการนามาใช้ โดยแบ่งเป็น 4 แบบ ดงั น้ี 1. ปุ๋ยหมักค้างปี ใช้เศษพืชหมักอย่างเดียวนามาหมักท้ิงไว้ค้างปีก็สามารถนามาใช้เป็นปุ๋ย หมักโดยไม่ต้องดูแลรักษา ซ่งึ ตอ้ งใช้ระยะเวลาในการหมกั นานประมาณ 1 ปี 2. ปุ๋ยหมักธรรมดาใช้มูลสัตว์ ใช้เศษพืชและมูลสัตว์ในอัตรา 100:10 ถ้าเป็นเศษพืชชิ้นส่วน เล็ก นามาคลุกผสมได้เลย แต่ถ้าเป็นเศษพืชส่วนใหญ่ๆ นามากองเป็นชั้นๆ แต่ละกองจะทาประมาณ 3 ชั้น แตล่ ะช้ันประกอบด้วยเศษพืชท่ีย่าและรดน้าสูงประมาณ 30 - 40 เซนติเมตร แล้วโรยทับด้วยมูลสัตว์แบบน้ีใช้ ระยะเวลาหมักน้อยกว่าปุย๋ หมักค้างปี เช่น ถ้าใช้ฟางขา้ วจะใชเ้ วลาประมาณ 6-8 เดอื นในการหมกั 3. ปุ๋ยหมักธรรมดาใช้จุลินทรีย์เร่ง ใช้เวลาในการทาส้ันทาได้โดยการใช้เช้ือจุลินทรีย์เร่งการ ย่อยสลายของเศษพืชและมูลสัตว์ทาให้ได้ปุ๋ยหมักเร็วขึ้นนาไปใช้ได้ทันฤดูกาลโดยใช้สูตรดังน้ี เศษพืช 1,000 กิโลกรัม มูลสัตว์ 100 กิโลกรัม และเช่ือจุลินทรีย์ (น้าหมักชีวภาพ) ตามความเหมาะสม ใช้เวลาหมักประมาณ 30 - 60 วนั มจี ดุ ประสงคเ์ พื่อเป็นการประหยดั ในการซ้ือเชื้อจลุ นิ ทรยี ์ 4. ปุ๋ยหมักต่อเชื้อ เป็นการนาปุ๋ยหมักธรรมดาใช้จุลินทรีย์เร่งจานวน 100 กิโลกรัม นาไปต่อ เชื้อการทาปุ๋ยหมักปุ๋ยหมักได้อีก 1000 กิโลกรัม (1 ตัน) การต่อเชื้อนี้สามารถทาการต่อได้เพียงอีก 3 ครั้ง ใช้ เวลาการหมกั ประมาณ 30 - 60 วนั มีจดุ ประสงค์เพ่อื เป็นการประหยดั ในการซื้อเช้ือจุลนิ ทรีย์ การแบ่งปยุ๋ หมกั ตามกระบวนการทา แบ่งเปน็ 2 แบบ ดงั นี้ 1. การทาปุ๋ยหมักแบบใช้อากาศ (aerobic compost) จะอาศัยจุลินทรีย์ที่ใช้ออกซิเจนช่วย ในการย่อยวัตถุอินทรีย์ โดยจะต้องมีสภาวะที่เหมาะสมต่อการทางานดังนี้ 1. อากาศมีออกซิเจน 2. วัตถุ อนิ ทรยี ์จะต้องมีอัตราส่วนของไนโตรเจน 1 สว่ นตอ่ คารบ์ อน 30 - 70 ส่วน 3. จะตอ้ งมนี ้าอยู่ประมาณ 40 - 60 เปอร์เซ็นต์ 4. มีออกซิเจนให้จุลินทรีย์ใช้เพียงพอ ถ้าขาดส่ิงใดส่ิงหน่ึงใน 4 สิ่งนี้การทาปุ๋ยหมักแบบใช้อากาศ ไมเ่ กิดขน้ึ ผลผลิตทไ่ี ดจ้ ากการทาปยุ๋ หมกั แบบใชอ้ ากาศ คือ ไอน้าคาร์บอนไดออกไซต์ และวัตถุอินทรีย์ท่ีย่อย สลายแลว้ ท่เี รยี กวา่ ฮิวมสั (humus) 2. การทาปุ๋ยหมักแบบไม่ใช้อากาศ (anaerobic compost) จะอาศัยจุลินทรีย์ที่ไม่ใช้ ออกซิเจนยอ่ ยวตั ถุ จลุ นิ ทรีย์ที่ไม่ใชอ้ อกซิเจนสามารถอยูไ่ ด้โดยไมม่ อี อกซเิ จน และสามารถย่อยวัตถุอินทรีย์ที่มี อัตราส่วนไนโตรเจนสูงกว่า และอัตราส่วนคาร์บอนต่ากว่าการทาปุ๋ยหมักแบบใช้การใช้อากาศและการย่อย สามารถเกิดขึ้นได้ที่ความช้ืนสูงกว่า ผลผลิตของการย่อยสลายวัตถุอินทรีย์คือ แก๊สมีเทน (methane gas) และวตั ถุอินทรยี ท์ ย่ี อ่ ยสลายแล้ว ถ้าต้องการนาแก๊สมีเทนมาใช้เป็นเช้ือเพลิงการทาปุ๋ยหมักต้องเป็นระบบปิด ทมี่ คี วามดนั
8 การแบ่งปุย๋ หมักตามลกั ษณะ และวสั ดุการผลติ แบง่ เป็น 2 แบบ ดังนี้ ปุ๋ยชีวภำพที่ผลิตจำกพืชหรือขยะเปยี ก ป๋ยุ น้ำชวี ภำพท่ีผลติ จำกสัตว์ ส่วนผสม ส่วนผสม เศษวัสดุเหลือใช้ 0.5 ถัง เศษวสั ดเุ หลือใช้ 0.5 ถัง กากนา้ ตาล 1 ลิตร กากน้าตาล 1 ลิตร น้าหมักจุลนิ ทรยี ์ 1 ลติ ร น้าหมักจลุ นิ ทรีย์ 1 ลติ ร นา้ สะอาด 0.5 ถัง นา้ สะอาด 0.5 ถัง อปุ กรณ์ อุปกรณ์ ถังพลาสติกมฝี าปดิ ขนาด 20 - 40 ถงั พลาสติกมฝี าปิดขนาด 20 - 40 ลิตร ลติ ร ถงุ ปยุ๋ ไม้สาหรบั คน วธิ ีทำ วิธที ำ เตมิ นา้ สะอาดลงในถังพลาสติก เตมิ สว่ นผสมทง้ั หมดลงในถงั แล้ว จากน้นั เตมิ กากนา้ ตาลและหัว ปิดฝา หมักไว้ในทีร่ ม่ เป็นเวลา เชือ้ จลุ ินทรยี ์ ผสมใหเ้ ขา้ กัน 1 - 2 เดือน นาเศษวัสดใุ ส่ถุงปุ๋ย ผูกปากถุง แล้ว คนส่วนผสมอย่างสม่าเสมอใน นาไปแชใ่ หจ้ มเป็นเวลา 7 วัน โดย ระหว่างการหมัก เพ่ือใหเ้ กดิ การ เกบ็ ในท่ีรม่ ยอ่ ยสลายดขี ึน้ ลักษณะของปยุ๋ หมักท่ีเสรจ็ สมบูรณ์แลว้ 1. สีของวสั ดเุ ศษพชื หลังจากเปน็ ปุ๋ยหมกั ท่ีสมบรู ณ์จะมีสีนา้ ตาลเข้มจนถงึ ดา 2. ลักษณะของวัสดุเศษพืช จะมีลักษณะอ่อนนุ่ม ยุ่ย และขาดออกจากกันได้ง่ายไม่แข็งกระด้าง เหมือนวัสดุเร่มิ แรก 3. กลิ่นของวัสดุปุ๋ยหมักที่สมบูรณ์จะไม่มีกลิ่นเหม็น ในกรณีท่ีมีกลิ่นเหม็นหรือกล่ินฉุน แสดงว่า กระบวนการยอ่ ยสลายภายในกองปุ๋ยยงั ไม่สมบรู ณ์ 4. ความรอ้ นในกองปยุ๋ หลังจากกองปุ๋ยหมักประมาณ 2-3 วัน อุณหภูมิภายในกองปุ๋ยจะสูง ประมาณ 50-60 องศาเซลเซียส อุณหภูมิจะสูงอยู่ในระดับน้ีระยะหน่ึง แล้วจึงค่อย ๆ ลดลง จนกระทั่งใกล้เคียงกับ อุณหภูมิภายนอกกองปุ๋ย จึงถือได้ว่าเป็นปุ๋ยหมักท่ีสมบูรณ์ แต่ควรพิจารณาปัจจัยอื่นประกอบด้วย เพราะใน กรณีทมี่ ีความชืน้ นอ้ ยหรือมากเกินไป อาจจะทาใหร้ ะดบั อุณหภูมภิ ายในกองปุ๋ยหมกั ลดลงไดเ้ ชน่ กัน 5. ลักษณะพืชท่ีเจริญบนกองปุ๋ยหมัก เม่ือกองปุ๋ยเกือบใช้ได้แล้ว บางครั้งอาจมีพืชเจริญบนกองปุ๋ย หมกั ได้แสดงว่าปุ๋ยหมกั ดงั กลา่ วนาไปใสใ่ นดนิ โดยไม่เป็นอันตรายตอ่ พืช
9 เร่ืองท่ี 3 กำรเตรียมวัสดใุ นกำรทำปุ๋ยหมัก การทาปุ๋ยหมัก พอจะแบ่งได้เป็น 2 วิธีใหญ่ๆ คือ วิธีต้ังกองบนพ้ืนและวิธีหมักในหลุม หรือในถัง ซีเมนต์ ซงึ่ มขี ้อดีข้อเสียแตกต่างกันไป เมื่อคานึงถึงสภาพโดยท่ัวไปของชนบทในบ้านเราแล้ว เห็นว่า วิธีการต้ัง กองป๋ยุ ท่ีเหมาะสมที่สดุ ก็คอื วธิ ีการตั้งกองบนพนื้ ดิน โดยไม่จาเป็นต้องทากรอบ หรือคอกไม้ล้อมรอบ กอง วิธี น้ีจะประหยัดค่าใช้จ่ายในการทาปุ๋ยหมักได้มาก การปฏิบัติดูแลกองปุ๋ย ไม่ยุ่งยาก ไม่สิ้นเปลืองแรงงานมากนัก ในการเตรียมสถานท่ีตั้งกอง การกลับกอง หรือการขนย้ายปุ๋ยหมัก สภาพการระบายอากาศของกองปุ๋ยดีกว่า และเศษพืชสลายตัวไดร้ วดเรว็ กวา่ ถ้าเป็นกองปยุ๋ ขนาดใหญ่ก็สามารถใชเ้ คร่ืองยนต์ทุ่นแรงได้สะดวก กำรเตรียมสถำนท่ี บรเิ วณท่ีจะตง้ั กองปุย๋ ควรเปน็ ทีท่ นี่ าไม่ท่วม แต่กอ็ ยู่ใกล้กบั แหล่งนา้ ทีจ่ ะนามาใช้รดกองปุ๋ย พอสมควร และควรเปน็ บรเิ วณที่สามารถขนย้ายเศษพืชมาใช้หมักได้ง่าย รวมท่ังเอาปุ๋ยท่ีหมักเสร็จแลว้ ไป ใช้ได้ สะดวก บริเวณท่ีจะกองปยุ๋ หมกั ให้ปรับใหเ้ รยี บไมเ่ ป็นแอ่งใหน้ า้ ขังได้ วัสดทุ ี่ใช้ 1.ซากพืช เชน่ ฟางข้าว เปลือกถั่ว ต้นถั่ว ต้นข้าวโพด ใบอ้อย ต้นและใบฝ้าย ซากพืชตระกูล ถวั่ ต่างๆ ท้งั ที่เปน็ หญา้ สด และหญ้าแห้ง ใบไม้ทุกชนิด เป็นตน้ 2.ซากสตั ว์ หรือ ปุย๋ คอก เป็นแหล่งของจลุ นิ ทรยี ์ และอาหารของจุลินทรีย์ หรืออาจจะใช้สาร เรง่ ทเี่ ป็นแหลง่ จลุ ินทรยี ์ทม่ี ีประสทิ ธภิ าพในการยอ่ ยสลาย 3.ปุ๋ยเคมี ในการทาปุ๋ยหมัก มักมีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มธาตุอาหารให้เแก่จุลินทรีย์ เช่น การ เพิ่มธาตุไนโตรเจนลงในกองปุ๋ย ซึ่งจะใช้ปุ๋ยแอมโมเนียมซัลเฟต หรือปุ๋ยยูเรีย เพ่ือเป็นแหล่งธาตุอาหารให้แก่ จุลินทรีย์ท่ีทาหน้าท่ีในการย่อยสลายซากพืชในกองปุ๋ยหมัก โดยไนโตรเจนจากปุ๋ยเคมีท่ีใส่ลงในกองปุ๋ยจะถูก จลุ นิ ทรยี น์ าไปใช้ และแปรสภาพใหเ้ ปน็ สารอินทรยี ์ไนโตรเจน 4.ปูนขาว เป็นการใส่เพื่อปรับสภาพความเป็นกรดเป็นด่างให้เหมาะสม ต่อการเจริญเติบโต และการยอ่ ยสลายซากพืชจากจลุ ินทรยี ์ โดยการใชป้ ูนขาว ประมาณ 20 กิโลกรมั ตอ่ ซากพชื แห้ง 1ตนั 5. อุปกรณ์ต่างๆท่ีใช้ในการผลิตปุย๋
10 เร่อื งที่ 4 กำรทำปยุ๋ หมัก การต้ังกอง นาเศษวัสดุมากองบนพ้ืน ดิน ขนาดของกอง กว้าง 2.5 เมตร สูง 1.2 เมตร ยาว 4 เมตร ถ้าต้องการหมักเศษพืช จานวนมากกว่าน้ีก็อาจตั้งกองปุ๋ยให้ยาวข้ึน หรือตั้งเป็นกองใหม่อีกกองหนึ่ง การต้ังกองจะ ทาเป็นช้ันๆ ระหว่างเศษพืช ปุ๋ยคอก และ ปุ๋ยเคมี ดงั น้ี 1. ชั้นล่างสุด กองเศษพืชลงไปในขอบเขต กวา้ งยาวที่กาหนดไว้ กองใหส้ ูงพอประมาณ กะว่าหลังจากรดนา้ แล้ว กองเศษพชื จะหนาประมาณ 6-8 น้วิ 2. โรยมูลสัตวล์ งบนเศษพชื ให้ทัว่ ใชม้ ลู สตั ว์ประมาณ 1 บุง้ ก๋ี ต่อ พ้นื ท่ี 1-2 ตารางเมตร (ใช้มูล สตั ว์ ประมาณ 5-10 บ้งุ กี๋ตอ่ ชั้น) คลุกเคล้าใหม้ ลู สัตว์ผสมเข้าไปในเศษพืช 3. รดนา้ ให้ท่วั ถ้าเศษพืชทน่ี ามากองเป็นเศษพืชแหง้ ไมค่ ่อยเปียกน้า ตอ้ งรดน้าให้โชก เพ่ือให้เศษพืช เปียกโดยท่ัวถงึ กนั แต่ถา้ เปน็ เศษพืชสดก็รดน้าแค่พอใหเ้ ศษพืชเปยี กช้ืน 4. หว่านปุ๋ยเคมี - ถา้ ใชป้ ุ๋ยยูเรยี ให้ใช้ปุย๋ ประมาณ 1.5-2 กโิ ลกรัมตอ่ ชั้น - ถา้ ใช้ป๋ยุ แอมโมเนียมซลั เฟต ใหใ้ ช้ปุ๋ยประมาณ 3-4 กก. ตอ่ ชัน้ 5. เรมิ่ ตน้ กองเศษพชื ในช้นั ท่ี 2 โดยวธิ เี ดียวกนั กับในชน้ั ท่ี 1 คือ - กองเศษพชื - โรยมลู สตั ว์ - รดน้า จนเศษพชื เปยี กชน้ื โดยทัว่ ถึงกนั - หว่านปยุ๋ เคมี
11 กองเศษพืชเป็นชน้ั ๆ เช่นนี้เรือ่ ยไป จนกระทงั่ ไดก้ องป๋ยุ สูงตามขนาดท่ตี อ้ งการคอื 1.20 เมตร ซึ่งจะมี จานวนชัน้ ของ กองเศษพืชประมาณ 6-8 ชั้น ในชั้นสูดทา้ ยหลงั จากโรยป๋ยุ เคมี แลว้ ตอ้ งรดน้าตาม เพอ่ื ให้ ปุ๋ยเคมลี ะลายเขา้ ไปในกองปุ๋ย แผนผงั กระบวนการทาปุ๋ยหมัก
12 กำรยอ่ ยสลำยและแปรสภำพของเศษพชื ในกำรทำปุ๋ยหมกั เมอ่ื เอาเศษพชื หรือวสั ดุทีจ่ ะใช้หมักมากองรวมกัน ทาการผสมคลุกเคล้ากับมูลสัตว์และปุ๋ยเคมี รดน้า ให้กองปุ๋ยมีความชื้นพอเหมาะ หมักไว้ เมื่อสภาพภายในกองเศษพืชเหมาะสม จุลินทรีย์ชนิดต่างๆ ที่ติดมากับ วัสดุท่ีใช้หมักจะเริ่มเจริญเติบโตเพ่ิมจานวนข้ึนมาโดยการเข้าย่อยสลายวัสดุที่เรานามาหมัก เพื่อใช้เป็นอาหาร ในช่วงแรกๆ น้ีภายในกองวัสดุจะมีอาหารชนิดที่จุลินทรีย์สามารถใช้ได้ง่ายๆ อยู่เป็น จานวนมาก จุลินทรีย์ เหล่าน้ันจึงเจริญเติบโตและเพิ่มจานวนขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เป็นเหตุให้เกิดความร้อนข้ึนมาในกองปุย ดังน้ัน นับตั้งแต่เริ่มตั้งกองปุ๋ยช้ืนมา กองปุ๋ยจะเริ่มมีความร้อนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ถ้าทาการกองปุ๋ยได้ถูกวิธี ภายใน ระยะเวลาเพียง 3-5 วัน กองปุ๋ยอาจร้อนถึง 55-70 องศาเซลเซียส ความร้อนท่ีเกิดข้ึนนี้มีความสาคัญมาก เพราะจะทาให้เศษพืชย่อยสลายได้รวดเร็ว และช่วยกาจัดจุลินทรีย์หลายชนิดท่ีไม่ต้องการ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวกที่ทาให้เกิดโรคกับคนหรือกับพืช ช่วยทาลายเมล็ดวัชพืชท่ีติดมากับเศษพืช รวมท้ังไข่ของแมลงที่มีอยู่ ภายในกองปยุ๋ ได้ กองป๋ยุ จะรอ้ นระอุอยู่ช่วงระยะเวลาหน่ึง อาจกินเวลาประมาณ 15-20 วัน แล้วความร้อนจะ คอ่ ยๆ ลดลงไปเรอื่ ยๆ ขณะเดยี วกนั เนื้อของเศษพืชทใ่ี ช้หมักก็เปอ่ื ยยยุ่ ลงและมีสีคล้าข้ึน จนในที่สุดกองปุ๋ยก็จะ เย็นลง เศษพืชกลายเป็นวัสดุท่ีมีลักษณะเป็นขุย ร่วนซุย มีสีดา หรือน้าตาลเข้มยุบตัวลงเหลือประมาณ 1/3 - 1/4 ส่วนของกองเดิม จัดเป็นปุ๋ยหมักท่ีสลายตัวได้ที่ดีแล้วสามารถเอาไปใช้โดยไม่เกิดอันตรายใดๆ ต่อพืช ระยะเวลาตงั้ แต่ต้ังกองจนถึงช่วงนี้ใช้เวลาประมาณ สองเดือนคร่ึง ถึงสามเดือนคร่ึง อาจจะเร็วหรือช้ากว่าน้ีไป บา้ งแล้วแตช่ นดิ ของวสั ดทุ ใ่ี ช้วิธีการตง้ั กองป๋ยุ การปฏบิ ตั ดิ ูแลรักษา การให้ความชื้น ตลอดจนการกลับกองปยุ๋ ปจั จยั ท่เี ก่ียวข้องกบั กำรย่อยสลำยและกำรแปรสภำพของเศษพชื การแปรสภาพของเศษพชื ไปเปน็ ปุ๋ยหมกั จะเรว็ หรอื ชา้ ข้นึ อยกู่ บั การเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ ภายใน กองป๋ยุ และการเจริญเติบโตเพ่ิมปริมาณของจุลินทรีย์นัน้ ขึน้ อยู่กับปัจจยั ทีส่ าคัญๆ ดังน้ี 1. ชนิดและขนำดของวัสดุทใี่ ชห้ มัก วัสดุท่ีสามารถนามาใช้ทาปุ๋ยหมัก ได้แก่ เศษซากของส่ิงมีชีวิตทั้งพืช และสัตว์ แต่โดยปกติแล้วใน บ้านเราส่วนใหญ่จะได้มาจากพืชมากกว่า ดังน้ันวัสดุท่ีใช้หมักจึงเพ่งเล็งไปถึงการใช้เศษซากพืชเป็นสาคัญ ซ่ึงมี อยู่มากมายหลายชนิดไม่ว่าจะเป็นเศษพืชที่เหลือจากการเก็บเก่ียวพืชผลทางการเกษตร เช่น ฟางข้าว ต้นข้าวโพด ต้นข้าวฟาง ต้นถั่ว ฝ้าย เศษผัก กากอ้อย แกลบ ขี้เล่ือย ขุยมะพร้าว ผักตบชวา เศษหญ้า หรือ วัชพืชต่างๆ แม้แต่พวกเศษขยะตามอาคารบ้านเรือน เช่น เศษกระดาษ ใบตอง ก่ิงไม้ใบไม้เป็นต้น ส่ิงเหล่านี้ สามารถรวบรวมมาทาปุ๋ยหมักได้ทั้งสิ้น วัสดุเหล่านี้เม่ือนามาทาปุ๋ยหมักบางชนิดก็ย่อยสลายได้ง่าย รวดเร็ว บางชนิดก็ย่อยสลายได้ชา้ ข้ึนอยู่กับเนื้อของวัสดุเหล่านั้นว่ามีส่วนท่ีจุลินทรีย์สามารถใช้เป็นอาหารได้ยาก หรือ ง่าย และ มีแร่ธาตุอาหารอยู่พอเพียงกับความต้องการของจุลินทรีย์หรือไม่ ดังนั้นเราจึงอาจแบ่งวัสดุเหล่าน้ี ออกเป็น 2 พวก คอื 1.1 เศษพืชพวกสลายตัวง่าย เซ่น ผักตบชวา ด้นกล้วย ใบตอง เศษหญ้าสด เศษพืชที่อวบน้า เศษผกั กากเมล็ดข้าวฟ่าง พืชตระกูลถ่ัวต่างๆ เช่น ใบกระถิน ใบจามจุรี ต้นถ่ัวเหลือง ถ่ัวเขียว ถั่วผักยาว โสน ปอเทอื ง ฯลฯ 1.2 เศษพวกสลายตัวได้ยาก เช่น ฟางข้าว แกลบ กากอ้อย ข้ีเล่ือย ขุยมะพร้าว ต้นข้าวโพด ซังข้าวโพด ต้นข้าวฟ่าง ฯลฯ ปกติเศษพืชเหล่านี้จะมีแร่ธาตุอาหารบางชนิดอยู่น้อย ไม่เพียงพอกับความ ต้องการของจุลินทรีย์ โดยเฉพาะอย่างย่ิงธาตุไนโตรเจน (ตารางที่ 1) ดังน้ันถ้าต้องการให้เศษพืชประเภทน้ี สลายตัวไดร้ วดเรว็ ขึน้ ตอ้ งเพิ่มธาตไุ นโตรเจนลงไป โดยอาจใส่ลงไปในรปู ของปุ๋ยเคมีไนโตรเจนหรือมูลสัตว์ต่างๆ ในกรณีท่ีไม่มีท้ังปุ๋ยเคมีหรือมูลสัตว์ต้องหาวัสดุอ่ืนๆ ท่ีมีแร่ธาตุอาหารอยู่มากมาใช้ทดแทนที่น่าจะหาได้ง่าย ได้แก่ เศษพืชพวกที่สลายตัวไต้ง่ายในข้อท่ี 1.1 โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกผักตบชวา หรือเศษหญ้าสด วิธีการใช้ สามารถทาไดโ้ ดยการกองสลับชั้นระหางวัสดุท่ีสลายตัวยาก กับวัสดุท่ีสลายตัวง่าย โดยกองเศษวัสดุท่ีสลายตัว
13 ยากให้หนาประมาณ 8 นวิ้ แล้วกองทับดว้ ยเศษพชื สลายตัวง่าย หนาประมาณ 4-5 น้ิว เช่นนี้สลับกันไปเรื่อยๆ จนได้ความสูงของกองปุ๋ยตามต้องการ นอกจากชนิดของเศษพืชแล้วขนาดของเศษพืชก็เป็นเรื่องท่ีควรให้ ความสาคัญ ถ้าเศษพืชที่นามาหมักมีขนาดใหญ่เกินไป เซ่น ต้นหรือใบของข้าวโพด ข้าวฟ่างที่ไม่ได้สับหรือหั่น เวลาตั้งกองปุ๋ย ภายในกองจะมีช่องว่างอยู่มาก กองปุ๋ยจะแห้งได้ง่าย ความร้อนท่ีเกิดข้ึนในกองปุ๋ยกระจาย หายไปไต้รวดเร็ว ทาให้กองป๋ยุ ไม่รอ้ นเท่าท่ีควร การย่อยสลายของเศษพืชจะช้า บรรดาศัตรูพืชต่างๆ ที่ติดมาก็ ไม่ถูกทาลายไป ดังนั้นถ้าเศษพืชที่นามาหมักมีขนาดใหญ่เกินไปควรสับหรือหั่นให้มีขนาดเล็กลง แต่ก็ไม่ควรให้ ส้นั กว่า 2-3 น้วิ การทาใหเ้ ศษพชื มขี นาดเล็กลงจะทาให้จุลนิ ทรียเ์ จริญเติบโตในช้นิ ส่วนของพืชไดท้ ่วั ถึง เม่ือเศษ พืชอยใู่ กล้ชดิ กนั มากชิน้ การแพรข่ ยายของเชอื้ จะเปน็ ไปได้อยา่ งรวดเรว็ และกองปุ๋ยร้อนระอุดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ในการทาปยุ๋ หมักปรมิ าณมากๆ การห่นั หรือการสับเศษพชื กเ็ ปน็ การสน้ิ เปลืองแรงงานมาก อาจเลี่ยงไปใช้วิธีอ่ืน ไดต้ ามความเหมาะสม เซน่ ถา้ มีรถแทรคเตอร์สามารถโรยช้ินสว่ นพชื ลงบนพื้นถนน แล้วใช้รถบดทับไปมา หรือ ใชว้ ิธีหาเศษพืชท่ีมีขนาดเล็ก เซ่น เศษหญ้าผสมคลุกเคล้า เข้าไปในกองเพื่อลดช่องว่างที่มีอยู่ แต่ถ้ามีเศษหญ้า ไม่พอกอ็ าจใชด้ นิ หรือเศษหญา้ คลุมกอง หรือเลยี่ งไปใชว้ ธิ ีกองปุ๋ยหมกั ในหลมุ หรอื บ่อหมกั แทน ตำรำงที่ 1 คำ่ เฉลย่ี ปริมำณธำตไุ นโตรเจนที่มีอยใู่ นวัสดุชนดิ ตำ่ งๆ ชนิดของวัสดุ ปรมิ ำณธำตุในโตรเจน (กโิ ลกรมั ตอ่ วสั ดุแห้ง 100 กิโลกรมั ) ตะกอนนา้ เสยี 2.0-6.0 มูลเปด็ - ไก่ 3.5-5.0 มลู สุกร 3.0 ต้นถว่ั ต่างๆ 2.0-3.0 2.2-2.5 ผักตบชวา มูลม้า 2.0 1.2-2.0 มูลววั - ควาย 1.6-1.8 เปลอื กถว่ั ลสิ ง 1.0-1.5 ต้นฝ้าย 1.0 ตน้ ข้าวฟา่ ง 0.7-1.0 ตน้ ข้าวโพด 0.4-1.5 ใบไม้แห้ง 0.4-0.6 ฟางขา้ ว 0.3-2.0 หญ้าแห้ง 0.5 กาบมะพร้าว 0.3-0.5 แกลบ 0.3-0.4 กากอ้อย ขี้เลื้อยเก่า 0.2 ข้เี ลอ้ื ยใหม่ 0.1 แทบไมม่ ี เศษกระดาษ
14 2. มลู สตั ว์ ในการตั้งกองปุ๋ยหมักน้ัน ถ้าใส่พวกมูลสัตว์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น มูลวัว มูลหมู มูลเป็ด มูลไก่ ฯลฯ ผสมคลุกเคล้าลงไปด้วยแล้ว กองปุ๋ยจะร้อนข้ึนได้รวดเร็วและย่อยสลายได้ดีกว่าการใช้เศษพืชแค่เพียงอย่าง เดยี ว ทั้งน้ีเพราะมูลสัตว์มีสารประกอบและแร่ธาตุต่างๆ ท่ีเป็นอาหารของจุลินทรีย์อยู่มากมายหลายชนิด การ ใส่มูลสัตว์จึงเป็นการเร่งเร้าให้จุลินทรีย์ทาการย่อยเศษพืชอย่างรวดเร็ว นอกจากน้ีในมูลสัตว์ท่ีใส่ลงไปยังมี จุลินทรีย์ชนิดต่างๆ ที่มีความสามารถย่อยเศษพืชได้ดีอยู่มากมาย การใส่มูลสัตว์จึงเป็นการใส่เช้ือจุลินทรีย์ จานวนมากลงไปในกองปุ๋ยน่ันเอง จุลินทรีย์เหล่าน้ีจะไปสมทบกับจุลินทรีย์ท่ีติดมากับเศษพืชช่วยย่อยและแปร สภาพเศษพชื ใหก้ ลายเปน็ ปุ๋ยหมักได้เร็วข้ึน ปริมาณของมูลสัตว์ท่ีต้องใช้ในการทาปุ๋ยหมักนั้น ถ้ามีมากก็ใส่มาก ไดต้ ามท่ตี อ้ งการ เพราะยง่ิ ใสม่ ากกจ็ ะยิ่งทาให้เศษพืชแปรสภาพได้เร็วข้ึน แต่ไม่ควรน้อยกว่ามูลสัตว์ 1 ส่วนต่อ เศษพชื 10 ส่วน (คิดเทยี บตามน้าหนกั ) ถ้ามมี ูลสัตว์น้อยกว่านี้ และเศษพืชท่ีใช้ก็เป็นพวกท่ีสลายตัวยาก ก็ควร หาวสั ดุอื่นทีม่ ีธาตุไนโตรเจนมากๆ เช่น ปุ๋ยเคมี ไนโตรเจนมาเสรมิ ทดแทน 3. ป๋ยุ เคมี เศษพืชที่นามาใช้ทาปุ๋ยหมักหากเป็นประเภทท่ีสลายตัวได้ยาก เซ่น ข้ีเล่ือย ขุยมะพร้าว ฟางข้าว แกลบ ต้นข้าวโพด ซังข้าวโพด เศษกระดาษ เศษปอกระเจา เปลือกมันสาปะหลัง ไส้ปอเทือง เศษหญ้า แห้ง ฯลฯ เศษพืชพวกน้ีจะมีแร่ธาตุอาหารอยู่น้อย ไม่เพียงพอกับความต้องการของจุลินทรีย์ จึงควรใส่ปุ๋ยเคมีเพ่ือ เพมิ่ ปริมาณแร่ธาตุอาหารลงไปในกองเศษพชื แร่ธาตุตัวสาคัญท่ีปกติจะมีไม่เพียงพอหรือขาดแคลนมากท่ีสุดใน เศษพืชพวกน้ี ได้แก่ ธาตุไนโตรเจน ดังน้ันปุ๋ยเคมีท่ีใช้โดยทั่วไปจึงเน้นเฉพาะการใช้ปุ๋ยเคมีไนโตรเจนเป็นหลัก เช่น ใช้ปุ๋ยแอมโมเนียมซัลเฟต หรือปุ๋ยยูเรีย สาหรับแร่ธาตุอาหารชนิดอ่ืนๆ นอกเหนือไปจากไนโตรเจน ปกติ ในเศษพืชจะมีอยู่มากพอสมควร แม้ว่าจะไม่ค่อยเพียงพอแต่การใส่แร่ ธาตุเหล่านั้นเพ่ิมเติมลงไปก็มักไม่ทาให้ เศษพืชสลายตัวได้รวดเร็วข้ึนเท่าใดนัก ปริมาณของปุ๋ยในโตรเจนที่จะต้องใช้ข้ึนอยู่กับชนิดของเศษพืชท่ีนามา หมัก ถ้าเป็นพวกที่ย่อยสลายได้ง่ายในเศษพืชพวกน้ีจะมีแร่ธาตุอาหารค่อนข้างมากอยู่แล้ว ก็ไม่จาเป็นต้องใส่ ปุ๋ยเคมีลงไปอีก หรือถ้าจะใส่ก็ใส่ในปริมาณเล็กน้อย เพียงเสริมหรือกระตุ้นการเจริญของเช้ือจุลินทรีย์เท่าน้ัน แต่ถ้าเป็นเศษพืชพวกย่อยสลายได้ยากก็ควรใส่ปุ๋ยไนโตรเจนด้วย หากดูจากตารางที่ 1 เศษพืชพวกที่มี ไนโตรเจนน้อยกว่า 1.5 กิโลกรัมต่อเศษพืชแห้ง 100 กิโลกรัม คือพวกท่ีควรจะใส่ปุ๋ยไนโตรเจนเพ่ิมเติม ส่วน ปรมิ าณการใชป้ ุ๋ยเคมีไนโตรเจน ในกรณีที่เป็นเศษพืชพวกสลายตัวได้ยากน้ัน อาจกะประมาณคร่าวๆว่าถ้าเป็น ปุ๋ยยูเรียก็ใส่ในอัตราประมาณ 1.52.0 กิโลกรัม ต่อขนาดกองปุ๋ยที่กองเสร็จแล้ว 2 ลูกบาศก์เมตร หรือถ้าเป็น ปุ๋ยแอมโมเนยี มซลั เฟตก็,ใช้ ประมาณ 3- 4 กิโลกรมั ต่อกองปุ๋ยขนาด 2 ลูกบาศกเ์ มตร 4. กำรระบำยอำกำศของกองป๋ยุ ในการต้ังกองปุ๋ยหมักนั้น จาเป็นอย่างยิ่งที่ต้องคานึงถึงสภาพการระบายอากาศภายในกองปุ๋ย เพราะถึงแม้ว่าในกองปุ๋ยจะมแี ร่ธาตุอาหารอยู่อย่างครบถ้วน มคี วามชื้นมากพอ แต่ถ้าไม่มีอากาศให้จุลินทรีย์ใช้ หายใจแล้ว การย่อยสลายของกองปุ๋ยหมักจะเปล่ียนสภาพไปเป็น \"การย่อยสลายแบบไม่มีอากาศ\" การ สลายตวั ของเศษพืชจะเกดิ ขึน้ แบบช้าๆ และมกั เกิดกลิ่นเหม็น ความร้อนท่ีจะช่วยกาจัดสิ่งไม่พึงประสงค์ในกอง ปุ๋ยจะไม่เกิดขึ้น ลักษณะเช่นน้ันมักพบได้เสมอๆกับกองปุ๋ยที่แน่นทึบ หรือถูกรดน้าจนเปียกแฉะ ถ้าหากหมัก เศษพืชในสภาพนี้กว่าเศษพืชจะแปรสภาพไปเป็นปุ๋ยหมักได้จะใช้ระยะเวลานาน ดังนั้นล้าต้องการให้เศษพืช สลายตัวได้รวดเร็ว ไม่มีกล่ินเหม็น และเกิดความร้อนในกองปุ๋ยมากพอที่จะกาจัดเช้ือโรค เมล็ดวัชพืช ตัวอ่อน หรือไข่ของแมลงท่ีมีอยู่แล้ว จาเป็นต้องปฏิบัติดูแลให้กองปุ๋ยมีสภาพการระบายอากาศภายในกองที่ดีอยู่เสมอ ซ่งึ กม็ ีรายละเอียดทตี่ อ้ งคานงึ ถึง ดังนี้ 4.1 ขนำดของกองปยุ๋ ไม่ควรต้งั กองปยุ๋ ให้สูงมากนกั ถ้ากองปุ๋ยสูงมาก สว่ นล่างของกองจะถูก น้าหนกั จากสว่ นบนกดทับทาให้อัดตวั แนน่ โดยเฉพาะอย่างย่ิงเม่อื กองปุ๋ยสลายตัวไประยะหน่ึงแล้ว เศษพชื ถูก ย่อยมีเนื้อละเอียดขน้ึ กองปุ๋ยจะยบุ ตวั ลงเนอ้ื ปุ๋ยดา้ นล่างของกองก็ลกู กดจนแนน่ ทบึ ไม่สามารถระบายอากาศ
15 ได้ ความสงู ของกองปุ๋ยที่พอเหมาะไม่ควรเกนิ 1.5- 1.8 เมตร สาหรับความกว้างของกองป๋ยุ อย่าให้กว้างเกินไป จะทาให้การระบายอากาศจากทางด้านข้างของกองไมด่ ี การกลับกองก็ทาได้ไม่สะดวก ถ้าจะให้ดีควรกว้างไม่ เกิน 2.4-3.0 เมตร ในทางตรงขา้ ม กองปุ๋ยก็ไม่ควรจะเตี้ยหรือ แคบเกินไป เพราะจะทาให้ความร้อนท่ีเกิดช้ืน กระจายออกไปได้งา่ ย กองปุ๋ยจะไม่ร้อนเท่าทคี่ วร อีกท้ังกองปุ๋ย ก็แหง้ ได้งา่ ย ถ้ากองปุ๋ยแหง้ การสลายตัวจะ หยดุ ชะงักลง ขนาดของกองปุ๋ยไม่ควรเลก็ ไปกว่าขนาดประมาณ 1 ลูกบาศกเ์ มตร คอื กวา้ งยาวและสูงดา้ นละ ไมต่ ่ากว่า 1 เมตร 4.2 กำรรดนำ้ กองปุ๋ย การรดน้าขณะทาการตั้งกองปุ๋ยหมกั มีส่ิงทต่ี ้องการเอาใจใส่เป็นพิเศษอยู่ 2 ประการคือ ต้องรดน้าจนเศษพืชมีความชื้นพอท่ีจุลินทรีย์จะเจริญเติบโตได้ และต้องไม่รดน้ามากเกินไป จนกระทั่งการระบายอากาศของกองปุ๋ยไม่ดี ถ้าเศษพืชนั้นแห้งและมีขนาดใหญ่ เช่น ซังข้าวโพด ต้นข้าวโพด เศษวัชพืชแห้ง จะไม่ค่อยมีปัญหาเร่ืองการระบายอากาศภายในกองปุ๋ย แต่อาจมีปัญหาเรื่องเศษพืชไม่ค่อย เปียกน้า ต้องรดน้าจานวนมากเศษพชื จึงจะช้นื พอ หรอื บางครั้งก็มีปัญหาเรื่องกองปุ๋ยโปร่งเกินไป แต่ถ้าเศษพืช มีขนาดเล็กดดู ซับน้าได้ เชน่ ชานออ้ ย ขี้เล่ือย ขุยมะพร้าว กากตะกอนน้าเสีย กากส่าเหล้า ฯลฯ การรดน้าต้อง ทาด้วยความระมัดระวัง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าเศษพืชเหล่าน้ันมีความชื้นอยู่แล้ว ต้องรดน้าพอแค่ให้วัสดุ เหล่าน้ันเปียกช้ืนสม่าเสมอ แต่อย่าให้เปียกจนแฉะ จะทาให้การระบายอากาศในกองไม่ดี นอกจากน้ีแล้วขณะ รดนา้ ควรหลกี เลยี่ งการขน้ึ ไปเหยยี บย่าบนกองวัสดุ จะทาให้กองปุย๋ แน่นทึบเกินไป เชื้อจุลินทรีย์จะเจริญได้ไม่ดี เทา่ ที่ควร ในกรณขี องเศษพชื ท่ีอวบและฉ่าน้า เช่น ผักตบชวา หลังจากนาขึ้นจากน้าจะอมน้าไว้มาก เปียกแฉะ มีน้าหนักมาก ถ้านามากองปุ๋ยทันทีจะอัดตัวกันแน่น ควรปล่อยท้ิงไว้ให้เหี่ยวเฉาพอสมควรแล้วค่อยนาไปกอง จะชว่ ยใหก้ องปุ๋ยมกี ารระบายอากาศดขี น้ึ 4.3 กำรทำชอ่ งระบำยอำกำศ ถ้าวัสดุที่นามาใช้กองมีขนาดค่อนข้างเล็ก ซึ่งเราเห็นว่าเมื่อกองไป แลว้ กองปุ๋ยจะมีลักษณะค่อนข้างทึบ หรือเมื่อเราหมักเศษพืชไประยะหน่ึงแล้วเห็นว่าเศษพืชย่อยและอัดตัวกัน แน่นมากข้ึน เกรงว่าการระบายอากาศภายในกองปุ๋ยไม่เพียงพอ อาจช่วยเพ่ิมระบบระบาย อากาศของกองปุ๋ย ได้โดยวิธีงา่ ยๆ กล่าวคือ เมื่อเราจะเริ่มต้ังกองปุ๋ยหรือจะต้ังกองปุ๋ยใหม่ หลังจากการกลับกองก็หาไม้มาหลายๆ ลา ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของลาไม้ไผ่ประมาณ 3-4 น้ิว มาปักตั้งไว้บนพื้นดินที่จะต้ังกองปุ๋ย โดยกะว่าเม่ือต้ัง กองไปแล้วลาไมไ้ ผจ่ ะกระจายอยู่ทวั่ ๆ กอง แล้วจงึ ทาการตง้ั กองปยุ๋ (ดงั ภาพ) เมื่อต้ังกองเสร็จเรียบร้อยดีแล้วก็ถอนลาไม้ไผ่ออก กองปุ๋ยของเราก็จะมีช่องระบายอากาศตามท่ี ต้องการ (ดงั ภาพ) ก่อนถอนลาไม้ไผ่ควรโยกไม้ไปรอบๆ จะทาให้ช่องระบายอากาศคงรูปได้ดีข้ึน ไม่ยุบตัว ควร ทาช่องระบาย อากาศเชน่ นท้ี กุ ครัง้ ทม่ี ีการกลับกองปุ๋ย
16 4.4 กำรกลับกองปุ๋ย หลังจากต้ังกองไประยะหนึ่งแล้วควรกลับกองปุ๋ย โดยการคุ้ยกองปุ๋ยลงมา ทง้ั หมด เกลย่ี ผสมคลกุ เคล้ากนั แล้วนาวสั ดทุ ั้งหมดกลบั ต้ังเป็นกองใหม่ในรูปทรงเดิม โดยพยายามกลับเอาเศษ พืชท่ีเคยอยู่ด้านนอกของกองให้กลับเข้าไปอยู่ด้านในของกอง การกลับกองปุ๋ยจะทาให้สภาพของกองปุ๋ยโปร่ง ข้ึน การระบายอากาศดีข้ึน รวมทงั้ เป็นการหมนุ เวียนเอาวัสดดุ า้ นนอกของกองทย่ี ังไม่สลายตัวให้เข้าไปรับความ ร้อนภายในกอง และชว่ ยกาจดั หนอนตัวอ่อนของแมลงวันท่ีอาจเกิดขึ้น บริเวณขอบนอกของกอง ขณะเดียวกัน ก็เป็นการผสมคลุกเคล้าวัสดุให้เข้ากัน มีความช้ืนสม่าเสมอท้ังกอง การกลับกองมีความสาคัญมากต่อการแปร สภาพของกองปุ๋ย ยิ่งสามารถกลับกองได้บ่อยครั้งจะยิ่งช่วยให้เศษพืชแปรสภาพไปเป็นปุ๋ยหมักได้เร็วข้ึน เช่น การกลบั กองทกุ ๆ 3-5 วัน หรือทุกอาทติ ย์จะทาใหเ้ ศษพืชยอ่ ยสลายและแปรสภาพได้อย่างรวดเร็ว แต่การกลับ กองเป็นข้ันตอนท่ีสิ้นเปลืองแรงงาน อย่างมาก ดังน้ันถ้าไม่มีความจาเป็นต้องรีบใช้ปุ๋ยหมักในระยะเวลาอันสั้น เราก็สามารถลดจานวนครั้งหรอื ความถี่ในการกลบั กองปยุ๋ ลงไดต้ ามเวลาหรือแรงงานท่ีมีอยู่ แต่อย่างน้อยท่ีสุดก็ ควรจะได้มีการกลับกองสัก ประมาณ 3-4 ครั้ง คือ กลับกองคร้ังแรกเม่ือประมาณ 10 วัน หลังจากเร่ิมต้ังกอง ปุ๋ยครั้งที่สองเมื่อประมาณ 15 วัน หลังจากกลับกองคร้ังแรก หลังจากนั้นก็อาจกลับกองทุกๆ 20 วัน จนปุ๋ย สามารถนาไปใช้ได้ 5. ควำมชื้นของกองปุ๋ย จุลินทรีย์ที่จะช่วยในการสลายวัสดุให้กลายเป็นปุ๋ยนั้น ต้องอาศัยน้าหรือความช้ืนในการดารงชีพ วัสดุที่นามากองจึงต้องเปียกชื้นหรือต้องรดน้าให้ การรดน้าก็ต้องระมัดระวังพอสมควร โดยต้องรดน้าให้อยู่ใน ระดับท่ีจุลินทรีย์ในกองปุ๋ยสามารถเจริญเติบโตได้ดีท่ีสุด นั่นคือ รดน้าพอแค่ให้เศษพืชในกอง \"เปียกช้ืน\" ไม่ เปียกจนแฉะ ส่วนใหญ่แล้วเศษพืชท่ีนามาใช้มักจะแห้งเกินไป เช่น เศษหญ้าแห้ง แกลบ ซังข้าวโพดแห้ง เมื่อ นามาตั้งกองเศษพชื มกั ไม่ค่อยดูดซบั นา้ จงึ อาจต้องรดน้าให้มากเป็นพิเศษในวันแรก อีกสองสามวันต่อมาก็ต้อง ตรวจตรา เลกิ กองเศษพืชขึ้นดวู ่าเศษพืชดา้ นในของกองเปียกน้า หรือมีความช้ืนพอเพียงหรือไม่ ถ้ายังชื้นไม่พอ ตอ้ งรดนา้ เพม่ิ เติมจนเปียกชื้นโดยท่วั ถึงกัน จากน้นั กเ็ พียงคอย ตรวจตราเป็นระยะๆ ดูแลให้กองปุ๋ยช้ืนอยู่เสมอ ความช้ืนท่ีพอดีของกองปุ๋ยอยู่ในช่วงประมาณ 40-60 เปอร์เซ็นต์โดยน้าหนัก ซ่ึงเราอาจกะประมาณคร่าวๆได้ โดยการใช้มือล้วงไปหยบิ เอาเศษพชื ในกองปุ๋ย ออกมาแล้วกาบีบให้แน่น ถ้ามีน้าไหลซึมออกมาตามซอกนิ้วไหล เปน็ ทางแสดงว่ากองปุ๋ยแฉะเกนิ ไป ไมค่ วรรดน้า แต่ควรทาการกลับกองปุ๋ยให้บ่อยข้ึน หรือหาวัสดุที่แห้งดูดซับ น้าได้ดี เช่น ข้ีเลื่อย เศษพืชแห้ง ผสมคลุกเคล้าลงไป ถ้าบีบดูแล้วมีน้าซึมออกมาตามซอกน้ิว แต่ไม่ถึงกับไหล เป็นทางแสดงว่าความช้ืน พอดีแล้ว แต่เม่ือบีบแล้วไม่มีน้าซึมออกมาเลยแสดงว่าเศษพืชนั้นแห้งเกินไป ต้องรด นา้ เพมิ่ เติม การตั้งกองปุ๋ยในท่ีโลง่ แจง้ ในฤดูฝนสิ่งท่ีต้องระวังอีกอย่างหน่ึง คือ สภาพของฝนที่ตกหนักติดต่อกัน นานๆ อาจ ทาให้ภายในกองปยุ๋ เปยี กแฉะได้ ดังนัน้ ถ้าเปน็ ชว่ งท่ีมฝี นตกมากๆ เราอาจป้องกันไม่ให้กองปุ๋ยเปียก แฉะ โดยการปรบั แต่งด้านบนของกองใหม้ ีลกั ษณะโคง้ มนเปน็ รปู ครง่ึ วงกลม การกองในลักษณะนี้ฝนที่ตกลงบน กองปุ๋ยส่วนใหญ่จะไหลออกไปทางด้านข้างๆ ของกองทาให้ด้านในของกองไม่เปียกแฉะ แต่ถ้าเราหมักกองปุ๋ย ไประยะหนง่ึ จนเศษพชื เป่อื ยยยุ่ มากแล้ว กองปยุ๋ จะดดู ซบั น้าฝนได้งา่ ย จงึ ควรหาวสั ดมุ า คลมุ ด้านบนของกองไว้ ไม่ให้เปยี กฝนจนแฉะ
17 เร่ืองที่ 5 วิธีกำรดูแลรักษำ กำรใช้และกำรจดั จำหน่ำย กำรปฏบิ ัติดแู ลรกั ษำ - รดน้ำ หมนั่ ตรวจตราคอยรดนา้ กองปุย๋ อยู่เสมอ อย่าให้กองปุ๋ยแห้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วง 2-3 วนั หลังจากเร่มิ ตัง้ กองเศษพืช บางส่วนอาจจะยังค่อนข้างแห้ง อาจต้องรดน้าให้เศษพืชเปียกชื้นอย่างท่ัวถึงกัน เสียกอ่ น จากนน้ั จึงค่อยตรวจตราเป็นระยะๆ แตก่ ต็ ้องระวงั อย่ารดน้าจนแฉะเกนิ ไป - กำรกลับกองปุ๋ย หลังจากต้ังกองปุ๋ยหมักแล้ว ต้องทาการกลับกองปุ๋ยหมักอยู่เสมอ ย่ิงกลับกอง บ่อยครั้งจะย่งิ เร่งให้เศษพืชแปรสภาพไปเปน็ ปยุ๋ หมกั ไดเ้ ร็วขน้ึ อยา่ งน้อยท่ีสุดควรได้กลับกองปุ๋ยสัก 3-4 คร้ัง คือ ครั้งแรกเมื่อประมาณ 10 วัน หลังจากเร่ิมต้ังกองปุ๋ย คร้ังท่ีสองก็ประมาณ 15 วัน หลังจากกลับกองคร้ังแรก ต่อไปก็กลบั กองทุกๆ 20 วนั จนเศษพืชแปรสภาพไปเปน็ ปยุ๋ หมักท้งั กอง ถา้ ฝนตกชกุ ตอ้ งระวงั อยา่ ให้กองปุย๋ เปียกแฉะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเม่ือเศษพืชย่อยสลายไปมาก แล้ว ควรพูนดา้ นบนของกองใหโ้ ค้งนูน และหาวัสดคุ ลมุ ไวบ้ า้ ง ไม่ใหน้ ้าฝนไหลเขา้ ในกองปุย๋ มากเกินไป กำรเกบ็ รักษำ หลังจากหมักเศษพืชไปช่วงระยะเวลาหนึ่งแล้ว ความร้อนภายในกองปุ๋ยจะค่อยๆ ลดลง เศษพืช จะเป่ือยยุ่ยสีคล้าข้ึนเรื่อยๆ จนในท่ีสุดกองปุ๋ยจะเย็นตัวลง เศษพืชจะแปรสภาพกลายเป็นปุ๋ยหมักท่ีมีเนื้อปุ๋ย ร่วนๆ เป็นขุย ยุ่ย นุ่มมือ สีน้าตาลเข้ม ไม่มีกลิ่นเหม็น ระยะเวลาต้ังแต่เร่ิมต้ังกองจนถึงระยะที่กองปุ๋ยไม่ร้อน สามารถนาไปใชไ้ ดอ้ ยา่ งปลอดภัยน้ีใชเ้ วลาประมาณสองเดือนคร่ึง ถงึ สามเดือนครึ่ง อาจเร็วหรือช้าไปกว่านี้บ้าง ถ้ายังไม่นาปุ๋ยหมักน้ีไปใช้ทันที ควรเก็บรักษาไว้ไนท่ีร่ม มีหลังคากันแดด กันฝนหรือหาวัสดุคลุมไว้ไม่ให้ถูกฝน ชะ ควรรกั ษาให้กองปุ๋ยชนื้ และอดั กองปุ๋ย ให้แนน่ วธิ ีกำรใชป้ ยุ๋ หมัก การใช้ปุ๋ยหมัก มีวัตถุประสงค์หลักเพ่ือปรับปรุงสภาพของดินให้เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของพืช ถ้าจะให้ผลดีควรต้องใส่ในปริมาณท่ีมาก เพียงพอและใส่อย่างสม่าเสมอทุกปี ในเน้ือของปุ๋ยหมัก แม้ว่าจะมี ธาตุอาหารพชื อยู่ แต่กม็ ไี ม่มากเหมือนกับปยุ๋ เคมี ดังน้ันถ้าต้องการปรับปรุงความอุดมสมบูรณ์ของดิน โดยการ เพ่มิ เติมธาตอุ าหารพชื ลงไป จึงควรใสป่ ุ๋ยเคมีร่วมไปกับการใส่ปุ๋ยหมักด้วยจะให้ผลดีที่สุด ปุ๋ยหมักไม่เพียงแต่จะ ปลดปล่อยธาตุอาหารออกมาจานวนหน่ึงเท่าน้ัน ยังมีบทบาทสาคัญ ช่วยให้การใช้ปุ๋ยเคมีเป็นไปอย่างมี ประสทิ ธิภาพ อัตราการใส่ปยุ๋ หมักในดินแต่ละแห่งก็แตกตา่ งกันไป แล้วแต่สภาพของดินและชนิดของพืชที่ปลูก ถ้าดินเป็นดินท่ีเสื่อมโทรมมีความอุดมสมบูรณ์ต่า หรือดินที่มีเนื้อดินเป็นดินทรายจัด ควรต้องใส่ปุ๋ยหมักให้ มากกว่าปกติ ปุ๋ยหมักที่สลายตัวดีแล้วจัดเป็นปุ๋ยที่สามารถใส่ให้กับพืชในปริมาณมากๆ ได้โดยไม่เกิดอันตราย ดังนั้นถ้าผลิตปุ๋ยหมักได้มากพอแล้ว เราสามารถใส่ลงไปในดินให้มากเท่าที่ต้องการได้ แต่ก็ไม่ควรใส่มากเกิน อัตราปีละ 20 ตันต่อไร่ เพราะอาจกอ่ ใหเ้ กดิ ผลเสยี ต่อดนิ ได้ กำรใชป้ ุย๋ หมักกบั พืชผกั พชื ผกั ส่วนใหญเ่ ป็นพืชที่มีระบบราก แบบรากฝอย รากสั้นอยู่ตื้นๆ ใกล้ผิวดิน การใส่ปุ๋ยหมัก จะมีประโยชน์มาก เพราะช่วยให้ดินร่วนซุยขึ้น ทาให้รากของพืชผักเจริญเติบโตได้รวดเร็ว แตกแขนง แพร่กระจายไปได้มาก มีระบบรากที่สมบูรณ์ ทาให้สามารถดูดซับแร่ธาตุอาหารได้รวดเร็ว ทนต่อการแห้งแล้ง ไดด้ ีขน้ึ วธิ กี ารใส่ปยุ๋ หมักในแปลงผกั อาจใชว้ ธิ ีโรยปยุ๋ หมักท่ีสลายตัวดีแล้ว คลุมแปลงให้หนาประมาณ 1-3 นิ้ว ใช้จอบสับผสมคลุกเคล้าลงไปในดินให้ลึกประมาณ 4 น้ิว หรือลึกกว่าน้ี ถ้าเป็นพืชท่ีลงหัว จะเป็นพืชท่ีมีการ เจริญเติบโตรวดเร็ว ต้องการแร่ธาตุอาหารจากดินเป็นปริมาณมาก ในช่วงระยะเวลาส้ันๆ ถ้าจะให้ผลผลิตท่ีดี ควรใส่ปยุ๋ เคมี ร่วมไปกับการใส่ปยุ๋ หมกั ด้วย
18 กำรใช้ปุ๋ยหมกั กบั ไมผ้ ลหรอื ไมย้ นื ตน้ ไม้ผลหรือไม้ยืนต้นเป็นพวกท่ีมีระบบรากลึก การเตรียมดินในหลุมปลูกให้ดีจะมีผลต่อระบบ รากและการเจรญิ เตบิ โตของตน้ ไมใ้ นชว่ งแรกเปน็ อย่างมาก ในการเตรียมหลุมปลูกควรขุดหลุมให้ลึก แล้วใช้ปุ๋ย หมักผสมคลุกเคลา้ กับดนิ ที่ขุดจากหลมุ ในอดั ราสว่ น ดิน 2-3 สว่ น กับปุ๋ยหมัก 1 ส่วน ใส่กลับลงไปในหลุม เพ่ือ ใช้ปลกู ต้นไม้ตอ่ ไป การใส่ปยุ๋ หมักสาหรบั ไม้ผลที่เจริญเติบโตแล้ว อาจทาโดยการพรวน ดินรอบๆ ต้น ห่างจาก โคนตน้ ประมาณ 2-3 ฟุต ออกไปจนถึงนอกทรงพุ่มของต้นประมาณ 1 ฟุต พรวนดินให้ลึกประมาณ 2 น้ิว โรย ปุย๋ หมกั ใหห้ นาประมาณ 1 นิว้ หรือมากกว่า ใช้จอบผสมคลุกเคล้าให้เข้ากับดิน แล้วรดน้าหรือจะใช้วิธีขุดร่อง รอบๆ ทรงพุ่มของต้นให้ลึก ประมาณ 30-50 เซนติเมตร แล้วใส่ปุ๋ยหมักลงไปในร่องประมาณ 40-50 กิโลกรัม ต่อต้น ใช้ดินกลบแล้ว รดน้าถ้าจะใส่ปุ๋ยเคมีด้วยก็ผสมปุ๋ยเคมีคลุกเคล้ากับปุ๋ยหมักให้ดีแล้วใส่ลงไปพร้อมกัน การใสป่ ๋ยุ หมักตามวิธดี งั กล่าวมานเี้ ป็นการใส่ปลี ะคร้ัง และเมื่อต้นไม้มขี นาดโตขน้ึ ก็ควรเพ่ิมปริมาณปุ๋ยหมักตาม ขนาดของต้นไมด้ ้วย กำรใส่ปยุ๋ หมกั กบั พชื ไร่ หรอื นำขำ้ ว ในดนิ ทมี่ คี วามอดุ มสมบูรณ์ปานกลาง แนะนาใหใ้ สป่ ๋ยุ หมักในอตั ราอยา่ งน้อยปลี ะ 1.5-2.5 ตันตอ่ ไร่ หว่านให้ทวั่ แปลงแล้วไถหรือคราดกลบก่อนการปลูกพืช ในดนิ ที่มคี วามอุดมสมบรู ณ์ต่า หรือผืนดนิ เส่อื มโทรม อาจต้องใสป่ ยุ๋ หมักในอัตราทม่ี ากกว่านี้เชน่ ปีละ 2-3 ตนั ต่อไร่ ซึ่งก็ขึน้ อยูก่ บั สภาพของดนิ และ ปริมาณการผลติ ป๋ยุ หมัก พื้นทใี่ ช้ปลูกพืชไร่หรือทานาเป็นพื้นท่ีกว้าง ปรมิ าณปุ๋ยหมักที่ใสล่ งไปในแตล่ ะปีอาจไม่ เพยี งพอ ถ้าดินนั้นไม่อดุ มสมบรู ณก์ ารปรับปรงุ ความอุดมสมบรู ณข์ องดนิ ควรต้องใช้รว่ มกบั การใส่ปยุ๋ เคมี หรอื การจัดการดินวธิ ี อนื่ ๆ เชน่ การใช้ปยุ๋ พชื สด เปน็ ต้น กำรใชป้ ยุ๋ หมักกับพชื อน่ื ๆ นอกจากจะใช้กับพวกพืชไร่ พืชสวน ดังกล่าวมาแล้ว ปุ๋ยหมักยังสามารถใช้กับพวกไม้ดอกไม้ ประดับได้เป็นอย่างดี ถ้าปลูกเป็นแปลงใช้อัตราเดียวกันกับที่ใช้ในแปลงผัก คือ โรยปุ๋ยหมักคลุม แปลงให้หนา ประมาณ 1-3 น้ิว แล้วใชจ้ อบสบั ผสมลงไปในดินให้ลึก ประมาณ 4 น้ิว การใช้ทาวัสดุปลูกสาหรับไม้กระถาง ใช้ปุ๋ยหมัก 1 ส่วน ผสมกับดินร่วนท่ีอุดมสมบูรณ์ 2 สว่ น ถา้ ผสมปุ๋ยหมกั ในอัตราสว่ นมากๆ วสั ดปุ ลกู มักจะแห้งเรว็ เกนิ ไป และมปี ญั หาเรอ่ื งวสั ดปุ ลกู ยบุ ตัวมาก การเตรียมดินสาหรับเพาะเมล็ดหรือปลูกต้นกล้า ใช้อัตราส่วน ปุ๋ยหมัก 1 ส่วน ทราย 1 ส่วน และ ดินร่วนท่ีอุดมสมบูรณ์ 2 ส่วน ถ้าใช้เพาะเมล็ดพืชที่มีขนาดเล็กๆ ก็ใช้เมล็ดโรยหรือวางบนวัสดุเพาะ ดงั กลา่ วจากน้ันใช้ ปุ๋ยหมกั โรยบางๆ ทบั ลงไปแลว้ รดนา้
19 เรอ่ื งที่ 6 กำรแสวงหำและกำรนำควำมรู้เทคนคิ วิธกี ำรใหมๆ่ มำใชพ้ ัฒนำกำรทำปุ๋ยหมกั การพัฒนาเทคโนโลยีเชิงอุตสาหกรรม ต้องอาศัยการพิจารณาเลือกใช้เทคโนโลยีท่ีมีความเหมาะสม และสอดคล้องกับบริบทของชุมชน และยังรวมไปถึงศักยภาพและขีดความสามารถในการจัดการ หรือการ ดาเนนิ การของชุมชนอย่างยั่งยืน ซ่ึงเป็นอีกปัจจัยหน่ึงที่สาคัญ การพัฒนาโดยการผสมผสานกันระหว่างวิธีการ พัฒนาเทคโนโลยีตามหลักวิชาการและวิธีวิทยาแบบ Community-Based Research (CBR) ท่ีเน้น กระบวนการทางานและถอดประสบการณ์ร่วมกับชุมชนผ่านการปฎิบัติจริงในภาคสนามและเวทีต่างๆ อาทิ เวทีแลกเปลี่ยนประสบการณ์ เวทีสรุปบทเรียน และเวทีคืนความรู้สู่ชุมชนผลการพัฒนาเทคโนโลยี พบว่าการ ทาเทคโนโลยีมาใช้ในระบบการหมกั กองสถิตย์ดดู อากาศ ช่วยให้การทาปุ๋ยหมักประสิทธิผลดี โดยให้อัตราการ ผลิตสูงถงึ 8 ตนั /เดอื น ภายใต้การใช้พลังงานทีต่ า่ (3/4-1/2 hp) และคณุ ภาพปยุ๋ หมกั จากอินทรีย์วัตถุในชุมชน เป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐานปุย๋ อินทรีย์ทุกดา้ นทก่ี าหนดโดยกรมวิชาการเกษตร (พ.ศ.2548) ปัจจุบันนักวิจัยได้มี การถ่ายทอดเทคโนโลยีกองสถิตย์ดูดอากาศให้แก่ชุมชนต่างๆทั้งในจังหวัดเชียงใหม่และเชียงรายเพื่อขยายผล ต่อไป เช่น เทศบาลตาบลป่าแดด จ.เชียงใหม่ อบต.แม่อ้อ อบต.จอมหมอกแก้ว และอบต.แม่พริก จ.เชียงราย ซ่ึงมีกลุ่มเกษตกรบางแห่งสามารถผลิตปุ๋ยหมักเพ่ือใช้ในการเกษตรอย่างต่อเนื่องท่ีอัตราการผลิตประมาณ 4 ตนั /รอบ (ประมาณรอบละ 6 เดือน ขึน้ อยู่กบั ปริมาณวัตถุดิบ) โดยใช้วสั ดเุ หลอื ทิ้งภายในชุมชน เช่น ก้านยาสูบ มูลสัตว์ และ ก้อนเห็ด เป็นต้น การผลิตปุ๋ยหมักไว้ใช้เองสามารถลดค่าใช้จ่ายในการใส่ปุ๋ยเคมีได้ประมาณ 1,700 บาท/ไร่ (จากการศึกษาการเพาะปลูกพริก) นาไปสู่กระบวนการผลิตและการใช้ประโยชน์ปุ๋ยหมักท่ี นาไปสู่การยกระดับฐานเศรษฐกิจครัวเรือน กลุ่มผักปลอดสารพิษชุมชน เกิดเป็นเครือข่ายแหล่งเรียนรู้ แลกเปลี่ยนกับกลุม่ ตา่ งๆ ทงั้ ในและต่างจงั หวัด ทาให้เกิดการต่อยอดความรใู้ นเรื่องอนื่ ๆ ต่อไป เทคโนโลยีท่ีใช้ในกระบวนกำรผลิตปยุ๋ เครื่องบดและอดั เม็ดปุ๋ย จำนปั่นเม็ดป๋ยุ
20 เครือ่ งผสมปุ๋ยแนวนอน เคร่อื งอัดเม็ดปยุ๋ ทรงกระบอก เครอ่ื งย่อยเศษพืช เครอ่ื งพ่นจุลนิ ทรยี ์
21 ใบงำนบทที่ 1 เรื่อง กำรทำปุย๋ หมัก 1. จงบอกวสั ดุท่ีมใี นท้องถน่ิ ที่สำมำรถนำมำทำปยุ๋ หมักได้พร้อมท้งั บอกเหตุผลที่เลอื กพืช ....................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................
22 2. จงบอกสูตรและวิธกี ำรทำปุ๋ยหมกั เพ่อื ใชเ้ องในครวั เรอื นมำพอสังเขป ....................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................
23 บทที่ 2 แนวโนม้ ควำมต้องกำรพชื ปลอดภยั และกำรอนุรกั ษ์พลงั งำน
24 แผนกำรเรียนรู้ประจำบท รำยวชิ ำกำรทำปยุ๋ หมัก บทท่ี 2 แนวโนม้ ควำมต้องกำรพืชปลอดภยั และกำรอนุรกั ษพ์ ลงั งำน สำระสำคญั 1. แนวโน้มความตอ้ งการพืชปลอดภัยจากสารพิษ คือ แนวโน้มในการบริโภคพืชปลอดภัยของคนใน ยคุ ปจั จุบนั นาไปส่แู นวทางการผลติ พืชปลอดภัย และการใช้ปุย๋ หมักเพอ่ื การผลติ 2. การอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม ได้แก่ การใช้ปุ๋ยหมัก เพื่อลดการใช้สารเคมี ซึ่งช่วยในการ ลดการใชพ้ ลังงาน และอนุรกั ษ์สิ่งแวดล้อม 3. ปัญหาและอุปสรรคในการทาปุ๋ยหมัก ได้แก่ การใช้ระยะเวลาค่อนข้างนานในการผลิตปุ๋ยหมัก หากไมม่ กี ารใช้ EM เป็นสว่ นประกอบในการผลติ และต้องใชแ้ รงงานมากในการกลับกอง ผลกำรเรยี นรู้ทคี่ ำดหวงั 1. อธิบายแนวโน้มความตอ้ งการพชื ปลอดภยั จากสารพิษได้ 2. อธบิ ายการอนรุ ักษ์พลงั งานและสงิ่ แวดลอ้ มได้ 3. อธิบายปัญหาและอุปสรรคในการทาปุ๋ยหมักได้ ขอบขำ่ ยเนือ้ หำ เมอ่ื ศึกษาหนว่ ยที่ 1 จบแล้ว นักศกึ ษาสามารถ 1. แนวโนม้ ความตอ้ งการพืชปลอดภยั จากสารพษิ 2. การอนรุ ักษพ์ ลงั งานและส่งิ แวดล้อม 3. ปัญหาและอุปสรรคในการทาปุ๋ยหมัก กจิ กรรมกำรเรยี นรู้ 1. ศึกษาเอกสารการเรียนร้บู ทที่ 3 2. ปฏิบตั ิกิจกรรมตามทีไ่ ดร้ ับมอบหมายในเอกสารการสอน 3. ทาแบบฝึกหดั ท้ายบทท่ี 3 ส่อื ประกอบกำรเรยี นรู้ 1. เอกสารการเรยี นรู้บทที่ 1 2. แบบฝึกปฏบิ ัติ ประเมินผล 1. ตรวจใบงาน 2. ทดสอบย่อย 3. สังเกตพฤตกิ รรม
25 เรือ่ งท่ี 1 แนวโนม้ ควำมตอ้ งกำรพชื ปลอดภัยจำกสำรพษิ ปจั จุบันไดม้ กี ารรณรงค์และส่งเสริมให้เกษตรกรได้มีการเพาะปลูกพืชปลอดสารพิษ เกษตรอินทรีย์กัน มากขึ้น เพราะมีประโยชน์หลายอย่างไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของสุขภาพของผู้บริโภค เพราะพืชปลอดสารพิษจะ เป็นพืชที่ไม่ต้องพ่ึงพาสารเคมีในการเพาะปลูก จึงหมดปัญหาในเรื่องของสารพิษตกค้างท่ีเมื่อเราบริโภคเข้าไป แล้วอาจเกิดการสะสมในร่างกาย และเกิดเป็นโทษแก่ร่างกายของผู้บริโภคได้ นอกจากนี้เกษตรกรผู้ทาการ เพาะปลูกเอง ก็มีโอกาสในการไดร้ ับสารพษิ จากสารเคมใี นระหว่างการเพาะปลูกด้วยเช่นกัน การปลูกพืชปลอด สารพษิ จงึ เป็นทางเลอื กทด่ี ใี นการเพาะปลูก และยังเปน็ วิธีทช่ี ว่ ยรักษาสิ่งแวดลอ้ มไม่ทาร้ายสภาพแวดล้อม และ ไม่ทาให้ดนิ เส่อื มสภาพอีกด้วย กรมส่งเสริมการเกษตร จึงได้มีการส่งเสริมให้มีการสร้างเครือข่ายเกษตรกรทั่วประเทศในการ เพาะปลูกพืชปลอดสารพิษเกษตรอินทรีย์ เพ่ือสามารถรองรับความต้องการของผู้บริโภคท่ีห่วงใยสุขภาพ เพราะปัจจุบันมีผู้ท่ีหันมานิยมบริโภคพืชผักปลอดสารพิษกันมากขึ้น และในปัจจุบันยังได้มีการรณรงค์ให้ ประชาชนทั่วไปหันมาใส่ใจในเร่ืองสุขภาพกันมากยิ่งข้ึน โดยเฉพาะในเร่ืองของการเลือกบริโภคอาหารท่ีถูก สุขลักษณะ ปลอดสารพิษโดยเฉพาะพืชผักต่างๆ ทาให้ในอนาคตแนวโน้มของตลาดพืชผักปลอดสารพิษจะมี ความต้องการเพิ่มสูงมากข้ึนและเติบโตขึ้นเรื่อยๆ นอกจากน้ียังไม่ใช่เฉพาะในประเทศไทยเท่านั้นที่หันมาใส่ใจ ในเรื่องของสขุ ภาพ และมีการรณรงค์ในเรื่องของการบริโภคพืชผักปลอดสารพิษ ในต่างประเทศก็ต่ืนตัวในเรื่อง น้ีเช่นเดียวกัน จึงมีแนวโน้มว่าโอกาสในการส่งออกพืชผักปลอดสารพิษของประเทศไทยก็จะมีเพ่ิมมากย่ิงข้ึน ดว้ ยเชน่ กัน การสร้างเครือข่ายพืชปลอดสารพิษเกษตรอินทรีย์ จึงเป็นวิธีท่ีดีที่สามารถช่วยทาให้เกษตรกรทั่วทุก ภาคได้เรียนรู้วิธีการผลิตท่ีได้มาตรฐาน มีการอบรมวิธีการเพาะปลูก รวมไปถึงในเรื่องของการตลาดในการจัด จาหน่ายอีกด้วย จึงมีแนวโน้มว่าการปลูกพืชปลอดสารพิษจะช่วยทาให้เกษตรกรมีรายได้ที่ม่ันคงและยั่งยืน ต่อไปได้ในอนาคต และยังสามารถเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกรได้เป็นอย่างดี เพราะตลาดพืชผักปลอดสารพิษมี แนวทางของตลาดท่ีม่ันคงและย่ังยืน พร้อมท้ังยังสามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างตรง เป้าหมาย จึงถือได้ว่าเป็นเรื่องสาคัญที่ควรมีการส่งเสริมให้เกษตรกรทั่วประเทศหันมาสนใจในการเพาะปลูก พืชผักปลอดสารพษิ กันมากยิ่งข้นึ
26 เรื่องที่ 2 กำรอนรุ กั ษพ์ ลังงำนและสิง่ แวดลอ้ ม การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม หมายถึง การใช้ทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม อย่างฉลาด โดยใช้ให้นอ้ ย เพ่ือใหเ้ กดิ ประโยชน์สูงสดุ โดยคานงึ ถงึ ระยะเวลาในการใช้ให้ยาวนาน และก่อให้เกิด ผลเสียหายต่อส่ิงแวดล้อมน้อยท่ีสุด รวมทั้งต้องมีการกระจายการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างทั่วถึง อย่างไรก็ ตามในสภาพปัจจุบันทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมมีความเส่ือมโทรมมากข้ึน ดังนั้นการอนุรักษ์ ทรพั ยากรธรรมชาติและสิง่ แวดลอ้ มจึงมีความหมายรวมไปถึงการพฒั นาคุณภาพสงิ่ แวดลอ้ มดว้ ย กำรอนุรักษส์ งิ่ แวดลอ้ มโดยทำงตรง ปฏบิ ตั ิไดใ้ นระดับบคุ คล องค์กร และระดับประเทศ ท่สี าคัญ คือ การใช้อย่างประหยัด คือ การใช้เท่าท่ี มคี วามจาเปน็ เพ่ือให้มที รัพยากรไวใ้ ชไ้ ดน้ านและเกิดประโยชน์อย่างคุ้มคา่ มากท่สี ุด 1. การนากลบั มาใช้ซ้าอีก สิง่ ของบางอยา่ งเม่ือมกี ารใช้แล้วครั้งหนึ่งสามารถท่ีจะนามาใช้ซ้าได้อีก เช่น ถงุ พลาสติก กระดาษ เปน็ ตน้ หรือสามารถทีจ่ ะนามาใช้ได้ใหม่โดยผ่านกระบวนการต่างๆ เช่น การนากระดาษ ที่ใชแ้ ล้วไปผา่ นกระบวนการต่างๆ เพ่ือทาเปน็ กระดาษแข็ง เป็นต้น ซึ่งเป็นการลดปริมาณการใช้ทรัพยากรและ การทาลายส่ิงแวดล้อมได้ 2. การบูรณะซอ่ มแซม ส่งิ ของบางอย่างเมอื่ ใช้เปน็ เวลานานอาจเกิดการชารุดได้ เพราะฉะนั้นถ้ามีการ บรู ณะซ่อมแซม ทาใหส้ ามารถยืดอายกุ ารใชง้ านต่อไปไดอ้ ีก กำรอนุรกั ษส์ ิง่ แวดล้อมโดยทำงอ้อม สามารถทาไดห้ ลายวิธี ดงั น้ี 1. การพัฒนาคุณภาพประชาชน โดยสนับสนุนการศึกษาด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและ สิ่งแวดล้อมที่ถูกต้องตามหลักวิชา ซ่ึงสามารถทาได้ทุกระดับอายุ ท้ังในระบบโรงเรียนและสถาบันการศึกษา ตา่ งๆ และนอกระบบโรงเรียนผ่านสื่อสารมวลชนต่างๆ เพื่อให้ประชาชนเกิดความตระหนักถึงความสาคัญและ ความจาเปน็ ในการอนรุ ักษ์ เกดิ ความรักความหวงแหน และใหค้ วามร่วมมืออยา่ งจริงจงั 2. การใช้มาตรการทางสังคมและกฎหมาย การจัดต้ังกลุ่ม ชุมชน ชมรม สมาคม เพื่อการอนุรักษ์ ทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อมต่างๆ ตลอดจนการให้ความร่วมมือท้ังทางด้านพลังกาย พลังใจ พลัง ความคิด ด้วยจิตสานึกในความมีคุณค่าของส่ิงแวดล้อมและทรัพยากรท่ีมีต่อตัวเรา เช่น กลุ่มชมรมอนุรักษ์ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของนักเรียน นักศึกษา ในโรงเรียนและสถาบันการศึกษาต่างๆ มูลนิธิ คมุ้ ครองสัตวป์ า่ และพรรณพชื แหง่ ประเทศไทย มลู นธิ สิ ืบ นาคะเสถยี ร มลู นธิ โิ ลกสเี ขียว เปน็ ตน้ 3. ส่งเสริมให้ประชาชนในท้องถิน่ ไดม้ ีส่วนรว่ มในการอนุรักษ์ ช่วยกันดูแลรักษาให้คงสภาพเดิม ไม่ให้ เกิดความเส่ือมโทรม เพ่ือประโยชน์ในการดารงชีวิตในท้องถิ่นของตน การประสานงานเพ่ือสร้างความรู้ความ เข้าใจ และความตระหนักระหว่างหน่วยงานของรัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นกับประชาชน ให้มีบทบาท หนา้ ที่ในการปกปอ้ ง คุ้มครอง ฟื้นฟกู ารใช้ทรัพยากรอย่างคมุ้ คา่ และเกิดประโยชนส์ งู สุด
27 กำรอนรุ กั ษส์ ่งิ แวดล้อมจำกกำรใช้ปยุ๋ หมกั 1. ช่วยบาบัดน้าเสียจากการเกษตร ปศุสัตว์ การประมง โรงงานอุตสาหกรรม ชุมชน และสถาน ประกอบการทว่ั ไป 2. ช่วยกาจดั กลิ่นเหมน็ จากกองขยะ การเลีย้ งสตั ว์ โรงงานอุตสาหกรรม และชมุ ชนตา่ งๆ 3. ปรับสภาพของเสีย เช่น เศษอาหารจากครัวเรือนให้เป็นประโยชน์ต่อการเล้ียงสัตว์ และการ เพาะปลกู พืช 4. กาจดั ขยะด้วยการย่อยสลายให้มีจานวนลดนอ้ ยลง สามารถนาไปใชป้ ระโยชนไ์ ด้ 5. ชว่ ยปรับสภาพอากาศทเ่ี สยี ใหส้ ดช่ืน และมีสภาพดขี นึ้ แนวทำงในกำรอนุรักษ์พลังงำนหรอื กำรใชพ้ ลังงำนเชิงอนุรักษท์ ีส่ ำคัญ ได้แก่ การใชพ้ ลังงานอยา่ งประหยดั และคุ้มค่าโดยการสร้างคา่ นยิ มและจติ ใตส้ านึกการใช้พลังงาน 1. การใช้พลังงานอย่างรู้คุณค่าจะต้องมีการวางแผน และควบคุมการใช้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และ เกิดประโยชน์สูงสุด มีการลดการสูญเสียพลังงานทุกขั้นตอน มีการตรวจสอบ และดูแลการใช้เครื่องใช้ไฟฟ้า ตลอดเวลา เพอ่ื ลดการรวั่ ไหลของพลังงาน เป็นตน้ 2. การใช้พลังงานทดแทนโดยเฉพาะพลังงานที่ได้จากธรรมชาติ เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม พลังงานน้า และอน่ื ๆ 3. การเลือกใช้เคร่ืองมือและอุปกรณ์ท่ีมีประสิทธิภาพสูง เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้าเบอร์ 5 หลอดผอม ประหยัดไฟ เปน็ ต้น 4. การเพิม่ ประสิทธิภาพเช้ือเพลงิ เชน่ การเปลีย่ นแปลงโครงสร้างทาให้เชอ้ื เพลงิ ให้พลังงานไดม้ ากขนึ้ 5. การหมนุ เวยี นกลับมาใชใ้ หม่ โดยการนาวัสดุทีช่ ารดุ นามาซอ่ มใชใ้ หม่ การลดการทิ้งขยะท่ีไม่จาเป็น หรือการหมนุ เวียนกลับมาผลิตใหม่ (Recycle)
28 เร่ืองที่ 3 ปญั หำและอปุ สรรคในกำรทำปุ๋ยหมัก ปัญหาที่สามารถเกิดขึ้นได้ระหว่างกระบวนการหมักปุ๋ย ได้แก่ การเกิดกลิ่นเหม็น แมลงวันและสัตว์ รบกวน กองปุ๋ยไม่รอ้ น ปัญหาเหลา่ นีเ้ กดิ จากหลายสาเหตุและมีวธิ ีแกไ้ ขดังน้ี กลน่ิ เหมน็ เกิดจากการหมักแบบใชอ้ ากาศเปลี่ยนเป็นการหมักแบบไม่ใช้อากาศ เน่ืองจากขาดออกซิเจน ในกองปุ๋ย ซึ่งมีสาเหตุจากกองปุ๋ยมีความชื้นมากเกินไป และอัดตัวกันแน่น ทาให้อากาศไม่สามารถผ่านเข้าไป ได้ การแกไ้ ขทาได้โดยการกลับกองปุ๋ย เพ่ือเติมอากาศ และเติมวัตถุสีน้าตาลประเภทฟางข้าว ก่ิงไม้แห้ง เพ่ือ ลดความแน่นของกองป๋ยุ และให้อากาศผา่ นเข้าไปในกองป๋ยุ ได้ แมลงวันและสัตว์ เช่น หนู รบกวน มีสาเหตุมาจากการใส่เศษอาหารลงในกองปุ๋ย ซ่ึงเศษอาหาร เหล่านี้ล่อแมลงวันและหนูให้เข้ามา วิธีแก้ปัญหา คือ ให้ฝังเศษอาหารลงในกองปุ๋ย และกลบด้วยดิน หรือ ใบไมแ้ หง้ หรือทาระบบปิดปอ้ งกนั แมลงวันและหนู กองปุ๋ยไม่รอ้ น มสี าเหตไุ ด้แก่ 1. มไี นโตรเจนไม่เพยี งพอ 2. มีออกซเิ จนไม่เพยี งพอ 3. ความช้ืนไม่เพียงพอ 4. การหมักเสรจ็ สมบรณู แ์ ลว้ สาเหตุแรกแก้ไขได้โดยการเติมวัตถุสีเขียวซึ่งมีไนโตรเจนสูง เช่น เศษหญ้าสด เศษอาหาร สาเหตุท่ี สองแก้ไขโดยกลับกองป๋ยุ เพอื่ เติมอากาศ สว่ นสาเหตทุ ่ีสามใหก้ ลับกองและเติมในกองปุ๋ยชื้น การขาดแคลนวัตถดุ ิบ ในการผลติ บางแหลง่ ซึง่ สว่ นใหญ่เป็นวตั ถดุ ิบจาพวกมูลค้างคาว ฮิวมัส หรือหิน ฟอสเฟต วตั ถดุ บิ ทข่ี าดแคลนมักเปน็ องค์ประกอบเสริมที่ช่วยให้ปุ๋ยหมักชีวภาพมีสมบัติเพ่ิมข้ึน แต่วัตถุดิบหลัก ได้แก่ มูลสตั ว์ แกลบ รา และหวั เช้ือ เกษตรกรยงั สามารถหาได้ภายในทอ้ งถิน่ ปญั หำและแนวทำงแกไ้ ข 1. กลิ่นเหม็น สาเหตุ : การถา่ ยเทอากาศตา่ มีความชืน้ สงู ใชพ้ ืชเป็นวสั ดหุ มักปริมาณมาก วิธีแกไ้ ข : ผสมขยะแห้ง เชน่ ใบไม้แห้ง เพื่อดดู ซบั ความชน้ื และทาให้อากาศถ่ายเทดีขึ้น 2. ภายในถังหมักไม่มีความร้อน สาเหตุ : ปรมิ าณขยะน้อยเกนิ ไป ทาใหว้ สั ดุหมักขาดไนโตรเจนและความชื้น วิธแี กไ้ ข : เติมขยะให้มปี ริมาณเพยี งพอกบั ถังหมัก 3. ใช้เวลาในการหมักนาน สาเหตุ : วสั ดุหมกั มีขนาดใหญเ่ กนิ ไป วิธีแก้ไข : ตดั หรอื สบั วัสดหุ มักใหม้ ขี นาดประมาณ 1 - 2 นว้ิ 4. ถงั หมักเปยี กเกนิ ไป สาเหตุ : ความช้ืนมากเกนิ ไป การระบายอากาศไมเ่ พียงพอ วธิ ีแกไ้ ข : วางถังหมักในบริเวณทมี่ ีการถา่ ยเทอากาศสะดวก เติมขยะแหง้ เพ่ือใหค้ วามช้ืนลดลง พลิกวัสดุหมัก เพือ่ ใหอ้ ากาศถ่ายเทได้
29 ขอ้ ควรคำนึงในกำรกองปุย๋ หมกั 1. อย่ากองปุ๋ยหมักให้มีขนาดกองใหญ่จนเกินไปเพราะจะทาให้เกิดความร้อนระอุเกิน 70 องศา เซลเซียส ซ่ึงจะเป็นผลทาให้เชื้อจุลินทรีย์ตายได้ ขนาดกองปุ๋ยหมักที่เหมาะสมคือ ความกว้างไม่เกิน 2 - 3 เมตร ความยาวไมจ่ ากัด สงู ประมาณ 1 - 1.50 เมตร 2. ถ้ากองปุ๋ยหมักมีขนาดกองเล็กเกินไป จะทาให้เก็บรักษาความร้อน และความชื้นไว้ได้น้อยทาให้ เศษพืชสลายตวั เปน็ ปุ๋ยหมักได้ชา้ 3. อยา่ รดน้ากองป๋ยุ หมกั ช่มุ จนเกนิ ไป เพราะจะทาให้การระบายอากาศในกองปุ๋ยหมักไม่ดีอาจทาให้ เกดิ กรดอนิ ทรยี ์บางอย่างเป็นเหตุให้มีกลน่ิ เหมน็ อบั ไดง้ า่ ย 4. ถ้าเกิดความร้อนในกองปุ๋ยหมักมากต้องเพิ่มน้าให้กองปุ๋ยหมัก มิฉะน้ันจุลินทรีย์ท่ีย่อยซากพืชจะ ตายได้ หรอื กลับกองปุย๋ หมกั เพอ่ื ช่วยให้ความร้อนลดลง 5. ถ้าจะมกี ารใช้ปนู ขาวอยา่ ใชป้ ยุ๋ เคมพี ร้อมกับการใส่ปูนขาว เพราะจะทาให้ธาตุไนโตรเจนสลายตัว ไป กรณีใช้ฟางขา้ วในการกองปุ๋ยหมักไมจ่ าเป็นต้องใช้ปนู ขาว 6. เศษวัสดุทีใ่ ชใ้ นการกองปยุ๋ หมกั มีทง้ั ประเภททีส่ ลายตวั เร็ว เช่น ฟางข้าว ผกั ตบชวา เปลือกถ่ัวและ ตน้ ถว่ั เศษวัชพืชต่าง ๆ และประเภททสี่ ลายตวั ยาก เช่น แกลบ ข้ีเลอื่ ย กากอ้อย ขุยมะพร้าว ซังข้าวโพดดังน้ัน ในการกองปยุ๋ หมักไมค่ วรนาเอาเศษวัสดุทส่ี ลายตัวเร็ว และสลายตัวยากกองปนกัน เพราะจะทาให้ได้ปุ๋ยหมักที่ ไม่สม่าเสมอกัน เนื่องจากเศษพชื บางส่วนยงั สลายตวั ไมห่ มด
30 ใบงำนบทท่ี 2 เรือ่ ง แนวโนม้ ควำมต้องกำรพืชปลอดภัย และกำรอนุรักษพ์ ลงั งำน 1. จงเปรียบเทียบข้อดี ข้อเสยี ระหว่ำงกำรใช้ปุย๋ เคมกี ับปุ๋ยหมักมำอยำ่ งละเอยี ด ....................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................
31 2. จำกคำกล่ำวที่วำ่ “กำรทำปยุ๋ หมักใช้เองสำมำรถลดภำวะโลกร้อนได้”ท่ำนเหน็ ดว้ ยหรือไมเ่ พรำะอะไร ....................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................
32 บรรณำนุกรม สานกั งานส่งเสรมิ การศกึ ษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศยั . มปป. หลักสูตรรำยวิชำเลือก สำระควำมรู้ พื้นฐำน. หลักสตู รการศกึ ษานอกระบบ ระดบั การศึกษาขน้ั พื้นฐาน พทุ ธศักราช 2551. อดั สาเนา. กลมุ่ พัฒนาการศึกษานอกโรงเรยี น. กำรพฒั นำหลักสตู รรำยวิชำเลือก. เขา้ ถึงเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2558 จากเว็บไซต์ www.nge.go.th/0405 กำรปฏิบตั ดิ ูแลรกั ษำ กำรเกบ็ รกั ษำ วิธกี ำรใชป้ ุ๋ยหมกั . เข้าถึงเม่ือวนั ท่ี 1 ตลุ าคม 2558 จากเว็บไซต์ https://www.gotoknow.org/posts/476213 กำรพัฒนำกำรทำปยุ๋ หมัก. เข้าถงึ เมอื่ วนั ที่ 1 ตุลาคม 2558 จากเว็บไซต์ http://www.trf.or.th/index.php?option=com_content&view=article&id=689:cbr&catid =60&Itemid=210 กำรแบ่งปุ๋ยหมัก. เข้าถึงเม่ือวันที่ 1 ตุลาคม 2558 จากเว็บไซต์ https://www.gotoknow.org/posts/447352 กำรทำปยุ๋ หมกั . เข้าถงึ เมอื่ วนั ท่ี 1 ตุลาคม 2558 จากเว็บไซต์ http://lms.wd.ac.th/digital_library/agri/puyy/fert6.htm ควำมสำคัญของปุ๋ยหมัก. เข้าถงึ เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2558 จากเวบ็ ไซต์ https://sites.google.com/site/seekhao03/khwam-sakhay-khxng-pu-y-chiw-phaph ควำมหมำยปุ๋ยหมกั . เข้าถึงเมอื่ วันท่ี 1 ตลุ าคม 2558 จากเวบ็ ไซต์ http://www.behn.go.th/th-80/th/fertilizer.html แนวโนม้ ควำมตอ้ งกำรพืชปลอดภยั จำกสำรพษิ . เข้าถึงเมื่อวันท่ี 1 ตุลาคม 2558 จากเวบ็ ไซต์ http://www.farmthailand.com/1025 แนวโน้มควำมตอ้ งกำรพืชปลอดภยั จำกสำรพิษ. เข้าถึงเมอื่ วันที่ 1 ตลุ าคม 2558 จากเว็บไซต์ http://pichai2908.blogspot.com/2013/07/blog-post_15.html ประโยชนป์ ุ๋ยหมัก. เขา้ ถึงเม่ือวันท่ี 1 ตลุ าคม 2558 จากเว็บไซต์ http://www.agriqua.doae.go.th/pdf_agricultural_data/organic/compost.pdf ประโยชนป์ ุ๋ยหมัก. เข้าถงึ เมื่อวนั ที่ 1 ตลุ าคม 2558 จากเว็บไซต์ https://sites.google.com/site/seekhao03/khwam-sakhay-khxng-pu-y-chiw- phaph/prayochn-khxng-pu-y-hmak-chiwphaph ประโยชนข์ องปุ๋ยหมักด้ำนส่ิงแวดลอ้ ม. เขา้ ถงึ เมื่อวนั ท่ี 1 ตุลาคม 2558 จากเวบ็ ไซต์ http://compostone.blogspot.com/p/blog-page_8054.html
33 บรรณำนกุ รม (ตอ่ ) ปัจจยั ที่เกี่ยวข้องกบั กำรย่อยสลำยและกำรแปรสภำพของเศษพชื . เขา้ ถึงเมื่อวันที่ 1 ตลุ าคม 2558 จากเว็บไซต์ http://www.baanjomyut.com/library_3/extension5/ agricultural_knowledge/agricultural_science/12_3.html ปัญหำกำรทำปุ๋ยหมัก. เขา้ ถึงเมื่อวนั ท่ี 1 ตลุ าคม 2558 จากเวบ็ ไซต์ http://www.researchconference.kps.ku.ac.th/conf9/article_9/pdf/p_sci_tech04.pdf ปญั หำและแนวทำงแกไ้ ข. เข้าถงึ เม่ือวนั ที่ 1 ตุลาคม 2558 จากเวบ็ ไซต์ http://www.tei.or.th/songkhlalake/database/knowledge/knowledge_fertilizer.html แผนผงั กระบวนกำรทำป๋ยุ หมัก. เข้าถึงเมื่อวันที่ 1 ตลุ าคม 2558 จากเว็บไซต์ http://www.tei.or.th/songkhlalake/database/knowledge/knowledge_fertilizer.html ลักษณะของปยุ๋ หมกั . เขา้ ถึงเมอ่ื วนั ท่ี 1 ตุลาคม 2558 จากเวบ็ ไซต์ http://www.agriqua.doae.go.th/pdf_agricultural_data/organic/compost.pdf
34 คณะผจู้ ัดทำ ทีป่ รึกษำ ธรรมบณั ฑติ ผู้อานวยการ กศน.อาเภออมก๋อย ธนภทั รศักดกิ์ ุล ครู คศ. 1 กศน.อาเภออมก๋อย นายเจรญิ นายนิตพิ งศ์ ผูจ้ ัดทำและเรียบเรียง นางสาวพรพมิ น สริ มิ ่ิงขวัญ ครู กศน.ตาบล กศน.อาเภออมก๋อย นายบญุ เรอื ง ปญั ญาเจก๊ ครู กศน.ตาบล กศน.อาเภออมก๋อย นางสาวสายพิน ชมชืน่ ครู กศน.ตาบล กศน.อาเภออมกอ๋ ย นางสาวอาภรณ์ ทตู ศริ ิ ครู กศน.ตาบล กศน.อาเภออมก๋อย นางสาวดอกสร้อย จันทร์หลา้ ครู กศน.ตาบล กศน.อาเภออมกอ๋ ย นางสาวกรรณิการ์ สยุ ะภู ครู กศน.ตาบล กศน.อาเภออมกอ๋ ย
35 ท่ปี รกึ ษำ คณะบรรณำธกิ ำร/ปรบั ปรงุ แก้ไข นายศุภกร ศรีศักดา ผอู้ านวยการสานกั งาน กศน.จงั หวดั เชียงใหม่ นางมีนา กิตชิ านนท์ รองผอู้ านวยการสานักงาน กศน.จงั หวัดเชยี งใหม่ คณะบรรณำธกิ ำร/ปรับปรุงแก้ไข นางสาวมนทกิ า ปอู นิ ตะ๊ ผู้อานวยการ กศน.อาเภอแม่อาย ประธานกรรมการ นางนชุ ลี นางยุพดี สุทธานนทก์ ลุ ครชู านาญการพิเศษ กศน.อาเภอสนั ปา่ ตอง กรรมการ นางพรวิไล นายสมยั ดวงคา ครูชานาญการ กศน.อาเภอสันทราย กรรมการ นายทวิช นายสมชาย สาระจนั ทร์ ครู คศ.1 กศน.อาเภอเมืองเชยี งใหม่ กรรมการ นางธเนตรศรี นางประกายมาศ รักรว่ ม ครู คศ.1 กศน.อาเภอแม่ออน กรรมการ นายทนง นายจกั รกฤษณ์ กนั ธะคา ครู คศ.1 กศน.อาเภอแม่อาย กรรมการ นางสาวดาริกา นายศภุ ฤกษ์ วงศเ์ ขียว ครูอาสาสมัครฯ กศน.อาเภอดอยสะเก็ด กรรมการ นายธนภมู ิ นายดนพุ งษ์ บุญหมืน่ ครู กศน.ตาบล กศน.อาเภอสารภี กรรมการ นางศาธมิ า เขมกิ าอัมพร ครู กศน.ตาบล กศน.อาเภอสารภี กรรมการ อนิ ทรัตน์ ครู กศน.ตาบล กศน.อาเภอสันกาแพง กรรมการ ปกี ่า ครู กศน.ตาบล กศน.อาเภอแม่แตง กรรมการ ชยั แกน่ ครู กศน.ตาบล กศน.อาเภอสันปา่ ตอง กรรมการ ศิรธิ นาสรรค์ ครู กศน.ตาบล กศน.อาเภอสนั ป่าตอง กรรมการ ชมภรู ัตน์ ครู กศน.ตาบล กศน.อาเภอสันป่าตอง กรรมการ บูรณะพมิ พ์ ครู กศน.ตาบล กศน.อาเภอหางดง กรรมการ ศรนี า นกั วเิ คราะห์นโยบายและแผน สานักงาน กศน.จังหวดั เชียงใหม่ กรรมการและเลขานุการ
Search
Read the Text Version
- 1 - 41
Pages: