Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore pdf_20230706_214107_0000

pdf_20230706_214107_0000

Published by Kritsakorn Intusai, 2023-07-07 06:11:07

Description: pdf_20230706_214107_0000

Search

Read the Text Version

Adolf Hitler

อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ (เป็นนักการเมืองเยอรมันเชื้อชาติออสเตรีย หัวหน้าพรรคกรรมกรชาติสังคมนิยมเยอรมันหรือที่รู้จักกันทั่วไป ในชื่อ พรรคนาซี ฮิตเลอร์ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเยอรมนี ระหว่าง ค.ศ. 1933–1945 และเป็นฟือเรอร์ของเยอรมนี ตั้งแต่ ค.ศ. 1934–1945 ฮิตเลอร์เป็นผู้นำสูงสุดของไรช์เยอรมัน ผู้จุด ชนวนสงครามโลกครั้งที่สองในทวีปยุโรป โดยเป็นที่ทราบกันดี ในประวัติศาสตร์ว่าหนึ่งในนโยบายทางการเมืองของเขาที่มีต่อ เยอรมนีได้นำไปสู่การทำลายล้างปฏิปักษ์ทางการเมืองของลัทธิ ชาติสังคมนิยมเยอรมันและเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดฮอโล คอสต์ทั่วทั้งทวีปยุโรป

ข้อมูลส่วนบุคคล เกิด 20 เมษายน ค.ศ. 1889 เบราเนาอัมอิน, จักรวรรดิออสเตรีย- เสียชีวิต 30 เมษายน ค.ศ. 1945 (56 ปี) ฟือเรอร์บุงเคอร์, เบอร์ลิน, นาซีเยอรมนี สาเหตุการเสียชีวิต อัตวินิบาตกรรม (ยิงตัวตาย) เชื้อชาติ ออสเตรีย (ค.ศ. 1889 – 7 เมษายน ค.ศ. 1925)[1] เยอรมัน (ค.ศ. 1932–1945 บิดา อาล็อยส์ ฮิตเลอร์ มารดา คลารา เพิลเซิล คู่สมรส เอฟา เบราน์ (29–30 เมษายน ค.ศ. 1945)

ฮิตเลอร์เป็นทหารผ่านศึกสงครามโลกครั้งที่หนึ่งผู้ได้รับ เหรียญกางเขนเหล็ก ต่อมา ฮิตเลอร์ได้เข้าร่วมพรรค กรรมกรเยอรมันใน ค.ศ. 1919 ซึ่งเป็นพรรคการเมืองก่อน หน้าพรรคนาซี ก่อนจะได้เป็นหัวหน้าพรรคนาซีใน ค.ศ. 1921 เขาพยายามก่อรัฐประหารซึ่งเป็นที่รู้จักกันในชื่อ กบฏโรงเบียร์ ในเมืองมิวนิก เมื่อวันที่ 8–9 พฤศจิกายน ค.ศ. 1923 แต่ล้มเหลว ฮิตเลอร์ถูกจำคุกเป็นเวลาหนึ่งปี ซึ่งในระหว่างนั้นเองที่เขาเขียนบันทึกความทรงจำ ไมน์คัมพฟ์ (\"การต่อสู้ของข้าพเจ้า\") หลังได้รับการปล่อย ตัวเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม ค.ศ. 1924 เขาได้รับการ สนับสนุนจากประชาชนโดยการโจมตีสนธิสัญญาแวร์ซาย และการเสนออุดมการณ์รวมกลุ่มเยอรมัน การต่อต้านยิว และการต่อต้านคอมมิวนิสต์ ด้วยวาทศิลป์อันมีเสน่ห์ดึงดูด และการโฆษณาชวนเชื่อนาซี หลังได้รับแต่งตั้งเป็นนายก รัฐมนตรีเมื่อวันที่ 30 มกราคม ค.ศ. 1933 เขาเปลี่ยน สาธารณรัฐไวมาร์เป็นไรช์ที่สาม รัฐเผด็จการ พรรคการเมืองเดียว ภายใต้อุดมการณ์นาซีอันมีลักษณะ เป็นเผด็จการเบ็ดเสร็จและอัตตาธิปไตย เป้าหมายของเขา คือ ระเบียบโลกใหม่ ที่ให้นาซีเยอรมนีครอบงำยุโรปภาค พื้นทวีปอย่างสมบูรณ์

นโยบายต่างประเทศและในประเทศของฮิตเลอร์ มีความมุ่งหมายเพื่อยึดเลเบินส์เราม์ (\"พื้นที่อยู่ อาศัย\") เป็นของชาวเยอรมัน เขานำการสร้าง เสริมกำลังอาวุธขึ้นใหม่และการบุกครองโปแลนด์ ในเดือนกันยายน ค.ศ. 1939 อันนำไปสู่การปะทุ ของสงครามโลกครั้งที่สองในทวีปยุโรป[2] ภายในสามปีใต้การนำของฮิตเลอร์ กองทัพ เยอรมันและพันธมิตรในยุโรปยึดครองดินแดน ยุโรปและแอฟริกาเหนือส่วนใหญ่ อย่างไรก็ดี สถานการณ์ค่อยพลิกผันหลัง ค.ศ. 1941 กระทั่ง กองทัพสัมพันธมิตรเอาชนะกองทัพเยอรมันใน ค.ศ. 1945 นโยบายความสูงสุดและที่กระตุ้นด้วย การถือชาติพันธุ์ของฮิตเลอร์ลงเอยด้วยการ ฆาตกรรมผู้คนนับ 17 ล้านคนอย่างเป็นระบบ[3] ในจำนวนนี้เป็นชาวยิวเกือบหกล้านคน.

ปลายสงคราม ระหว่างยุทธการเบอร์ลินใน ค.ศ. 1945 ฮิตเลอร์แต่งงานกับเอฟา เบราน์ ทั้งสอง ทำอัตวินิบาตกรรมเมื่อวันที่ 30 เมษายน ค.ศ. 1945 เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกกองทัพแดงของ โซเวียตจับตัว และสั่งให้เผาร่างของตน[4] วัยเด็ก อดอล์ฟ ฮิตเลอร์เกิดวันที่ 20 เมษายน ค.ศ. 1889 ที่กัสท์โฮฟซุมพ็อมเมอร์ (Gasthof zum Pommer) โรงแรมแห่งหนึ่งในรันส์โฮเฟิน (Ranshofen) [12] หมู่บ้านซึ่งถูกรวมเข้ากับเทศบาลเบราเนาอัมอิน (Braunau am Inn) จักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการีใน ค.ศ. 1938 เขาเป็นบุตรคนที่สี่จากทั้งหมดหก คนของอาล็อยส์ ฮิตเลอร์ และคลารา เพิลท์เซิล พี่ทั้งสามคนของฮิตเลอร์ (กุ สทัฟ อีดา และอ็อทโท) เสียชีวิตตั้งแต่เป็นทารก[13] เมื่อฮิตเลอร์อายุได้สาม ขวบ ครอบครัวของเขาย้ายไปพัสเซา เยอรมนี[14] ที่ซึ่งทำให้ฮิตเลอร์มีสำเนียง ท้องถิ่นแบบบาวาเรียล่างมากกว่าสำเนียงเยอรมันออสเตรีย และเป็นสำเนียงที่ ฮิตเลอร์ใช้ตลอดชีวิต[15][16][17] ใน ค.ศ. 1894 ครอบครัวได้ย้ายอีกหนหนึ่ง ไปยังเลอ็อนดิง ใกล้กับลินทซ์ และต่อมา เมื่อเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1895 อา ล็อยส์ได้เกษียณไปยังที่ดินเล็ก ๆ ที่ฮาเฟ็ลท์ ใกล้ลัมบัค ที่ซึ่งเขาพยายาม ประกอบอาชีพกสิกรรมและเลี้ยงผึ้งด้วยตนเอง ฮิตเลอร์เข้าศึกษาที่โรงเรียนที่ ฟิชเชิลฮัม (Fischlham) ในละแวกใกล้เคียง ขณะที่ยังเป็นเด็ก ฮิตเลอร์ได้เริ่ม ติดการสงครามหลังพบหนังสือภาพเกี่ยวกับสงครามฝรั่งเศส-ปรัสเซีย ท่ามกลางบรรดาสมบัติส่วนตัวของบิดา[18][19]

อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ในวัยทารก (ประมาณ ค.ศ. 1889–1890) การย้ายไปยังฮาเฟ็ลท์เกิดขึ้นไล่เลี่ยกับการเริ่มต้นความขัดแย้งอย่างรุนแรงระหว่างพ่อลูก ซึ่งเกิดจากที่ฮิตเลอร์ปฏิเสธไม่เชื่อฟังกฎ ระเบียบอันเข้มงวดของโรงเรียนเขา[20] ความพยายามทำกสิกรรมที่ฮาเฟ็ลท์ของอาล็อยส์สิ้นสุดลงด้วยความล้มเหลว และใน ค.ศ. 1897 ครอบครัวฮิตเลอร์ย้ายไปลัมบัค ฮิตเลอร์เข้าศึกษาที่โรงเรียนคาทอลิกแห่งหนึ่งในระเบียงฉันนบถเบเนดิกติน (Benedictine) คริสต์ศตวรรษที่ 11 ซึ่งที่บนธรรมาสน์นั้นมีสัญลักษณ์สวัสติกะที่ถูกปรับให้เข้ากับแบบบนตราอาร์มของเทโอโดริช ฟ็อน ฮาเกิน อดีตอธิการวัด[21] ฮิตเลอร์วัยแปดขวบเข้าเรียนร้องเพลง ร่วมอยู่ในวงประสานเสียงของโบสถ์ และกระทั่ง วาดฝันว่า ตนจะเป็นนักบวช[22] ใน ค.ศ. 1898 ครอบครัวฮิตเลอร์กลับไปอาศัย ณ เลอ็อนดิงอย่างถาวร การเสียชีวิตของเอ็ทมุนท์ (น้องชาย) จากโรคหัด เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1900 กระทบต่อฮิตเลอร์อย่างลึกซึ้ง จากที่เคยเป็นเด็กที่มั่นใจ เข้าสังคม และเป็นนักเรียนที่ ยอดเยี่ยม ฮิตเลอร์เป็นเด็กอารมณ์ขุ่นมัว เฉยชา และบึ้งตึงที่มีปัญหากับบิดาและครูอย่างต่อเนื่อง[23] อาล็อยส์ประสบความสำเร็จในอาชีพในสำนักงานศุลกากร และต้องการให้ลูกชายเจริญตามรอยเขา[24] ภายหลัง ฮิตเลอร์เล่าถึง ช่วงนี้เกินความจริงเมื่อบิดาพาเขาไปชมที่ทำการศุลกากร โดยบรรยายว่า มันเป็นเหตุการณ์ที่นำไปสู่การต่อต้านอย่างไม่อาจให้อภัย ระหว่างพ่อลูกที่ต่างมีความตั้งใจแรงกล้าทั้งคู่[25][26][27] โดยไม่สนใจความต้องการของบุตรที่อยากเข้าศึกษาในโรงเรียนมัธยม คลาสสิกและจบมาเป็นศิลปิน ในเดือนกันยายน ค.ศ. 1900 อาล็อยส์ส่งฮิตเลอร์ไปยังเรอัลชูเลอ (Realschule) ในลินทซ์[28] ฮิต เลอร์ขัดขืนต่อการตัดสินใจนี้ และใน ไมน์คัมพฟ์ ได้เปิดเผยว่า เขาตั้งใจเรียนไม่ดีในโรงเรียน ด้วยหวังว่าเมื่อบิดาเห็นว่า \"ข้าพเจ้ามี ความคืบหน้าน้อยเพียงใดที่โรงเรียนอาชีวะ เขาจะได้ปล่อยให้ข้าพเจ้าอุทิศตนแก่ความใฝ่ฝันของข้าพเจ้าเอง\"[29] ฮิตเลอร์เริ่มหลงใหลในลัทธิชาตินิยมเยอรมันตั้งแต่เยาว์วัย[30] ฮิตเลอร์แสดงความภักดีต่อเยอรมนีเท่านั้น โดยเหยียดหยามราชวงศ์ ฮาพส์บวร์คที่กำลังเสื่อมลงรวมถึงการปกครองของราชวงศ์เหนือจักรวรรดิที่มีความหลากหลายทางเชื้อชาติ[31][32] ฮิตเลอร์และ เพื่อนของเขาใช้คำทักทายภาษาเยอรมัน \"ไฮล์\" และร้องเพลงชาติเยอรมัน \"เยอรมันเหนือทุกสรรพสิ่ง\" แทนเพลงชาติจักรวรรดิ ออสเตรีย[33] หลังการเสียชีวิตกะทันหันของอาล็อยส์เมื่อวันที่ 3 มกราคม ค.ศ. 1903 พฤติกรรมของฮิตเลอร์ที่โรงเรียนอาชีวะยิ่งเลวร้ายหนักขึ้นไป อีก มารดาเขาอนุญาตให้เขาลาออกในฤดูใบไม้ผลิ ค.ศ. 1905 เขาลงเรียนที่เรอัลชูเลอในชไตเออร์ (Steyr) ในเดือนกันยายน ค.ศ. 1904 พฤติกรรมและผลการเรียนของเขาแสดงถึงพัฒนาการเล็กน้อยและต่อเนื่องอยู่บ้าง[34] ในฤดูไบ้ไม้ร่วง ค.ศ. 1905 หลังผ่าน ข้อสอบปลายภาค ฮิตเลอร์ก็ได้ออกจากโรงเรียนโดยไม่แสดงความทะเยอทะยานใด ๆ ต่อการศึกษาต่อ หรือแผนการที่ชัดเจนสำหรับ อาชีพในอนาคต[35]

วัยผู้ใหญ่ช่วงต้นใน เวียนนาและมิวนิ ก นับจาก ค.ศ. 1907 ฮิตเลอร์ออกจากลินทซ์เพื่อจะไปอาศัยและศึกษาในเวียนนาด้วยเงินสงเคราะห์เด็กกำพร้าและการ สนับสนุนจากมารดา เขาทำงานเป็นกรรมกรชั่วคราว และท้ายสุด เป็นจิตรกรขายภาพวาดสีน้ำ สถาบันวิจิตรศิลป์เวียนนา ปฏิเสธเขาสองครั้ง ใน ค.ศ. 1907 และ 1908 เพราะ \"ความไม่เหมาะสมที่จะวาดภาพ\" ของเขา ผู้อำนวยการแนะนำให้ฮิต เลอร์เรียนสถาปัตยกรรม[36] แต่เขาขาดเอกสารแสดงวิทยฐานะเพราะยังไม่เคยจบชั้นมัธยมศึกษา[37] วันที่ 21 ธันวาคม ค.ศ. 1907 มารดาของเขาเสียชีวิตในวัย 47 ปี หลังสถาบันฯ ปฏิเสธเป็นครั้งที่สอง ใน ค.ศ. 1909 ฮิตเลอร์ก็หมดเงินและ จำเป็นต้องใช้ชีวิตแบบโบฮีเมียโดยอาศัยอยู่ในที่พักคนไร้ที่บ้าน และใน ค.ศ. 1910 เขาย้ายเข้ามาอาศัยอยู่ในบ้านพักชาย รับจ้างยากจนบนถนนเม็ลเดอมัน[38] ขณะที่ฮิตเลอร์อยู่ที่นั่น เวียนนาเป็นแหล่งเพาะพันธุ์อคติทางศาสนาและคตินิยมเชื้อ ชาติแบบคริสต์ศตวรรษที่ 19[39] ความกลัวว่าจะถูกผู้อพยพจากตะวันออกล่วงล้ำแพร่ขยาย และนายกเทศมนตรีประชา นิยม คาร์ล ลือเกอร์ (Karl Lueger) ใช้วาทศิลป์เกลียดชังยิวรุนแรงเพื่อประโยชน์ทางการเมือง คติเกลียดชังยิวรวม เยอรมันของเกออร์ก เชอเนเรอร์ (Georg Schönerer) มีผู้สนับสนุนอย่างแข็งแกร่งและฐานในย่านมาเรียฮิลฟ์ ที่ฮิตเลอร์ อาศัยอยู่[40] ฮิตเลอร์อ่านหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นอย่าง ดอยท์เชส โฟลค์สบลัทท์ (Deutsches Volksblatt) ที่กระพือ อคติและเล่นกับความกลัวของคริสเตียนว่าจะต้องแบกภาระจากการไหล่บ่าเข้ามาของยิวตะวันออก[41] ความเป็นปรปักษ์ ต่อสิ่งที่ฮิตเลอร์เห็นว่าเป็น \"โรคกลัวเยอรมัน\" ของคาทอลิก เขาจึงเริ่มยกย่องมาร์ติน ลูเธอร์[42] จุดกำเนิดและการพัฒนาคติเกลียดชังยิวของฮิตเลอร์นั้นยังคงเป็นประเด็นถกเถียง[43] ฮิตเลอร์เขียนใน ไมน์คัมพฟ์ ว่า เขาเกลียดชังยิวครั้งแรกในเวียนนา[44] ไรน์โฮลด์ ฮานิช(Reinhold Hanisch) หุ้นส่วนที่มีส่วนช่วยเหลือในการขายภาพ วาดของฮิตเลอร์ ได้โต้แย้งว่า ฮิตเลอร์ยังคงติดต่อกับชาวยิวในขณะที่อยู่ในเวียนนา[45][46][47] เพื่อนสนิทของฮิตเลอร์ เอากุสท์ คูบีเซค (August Kubizek) อ้างว่า ฮิตเลอร์เป็น \"ผู้เกลียดชังยิวที่ยืนยันแล้ว\" ตั้งแต่ก่อนเขาออกจากลิ นทซ์[48] บันทึกของคูบีเซคถูกนักประวัติศาสตร์ บรีกิทเทอ ฮามัน (Brigitte Hamann) เขียนโต้แย้ง เขาเขียนว่า \"ใน บรรดาพยานคนแรก ๆ ทั้งหมดที่สามารถเชื่อถือได้อย่างจริงจัง มีคูบีเซคคนเดียวที่บรรยายฮิตเลอร์วัยหนุ่มว่าเกลียดชังยิว และชัดเจนในประเด็นนี้ว่า เขาเชื่อถือไม่ค่อยได้\"[49] แหล่งข้อมูลหลายแหล่งให้หลักฐานหนักแน่นว่าฮิตเลอร์มีเพื่อนยิวใน หอพักของเขาและในที่อื่นในเวียนนา[50][51] ฮามันยังสังเกตว่า ฮิตเลอร์ไม่มีบันทึกความเห็นเกลียดชังยิวระหว่างช่วง นี้[52] นักประวัติศาสตร์ เอียน เคอร์ชอว์ (Ian Kershaw) เสนอว่า หากฮิตเลอร์ได้ออกความเห็นเช่นนั้นจริง ความเห็น เหล่านั้นก็อาจไม่เป็นที่สังเกต เพราะคติเกลียดชังยิวที่มีอยู่ทั่วไปในเวียนนาขณะนั้น[53] นักประวัติศาสตร์ ริชาร์ด เจ. อีแวน ส์ ว่า \"ปัจจุบัน นักประวัติศาสตร์ส่วนมากเห็นว่า คติเกลียดชังยิวอย่างแรงกล้าและฉาวโฉ่ของเขาเกิดขึ้นหลังจากความ พ่ายแพ้ของเยอรมนี [ในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง] อันเป็นผลของคำอธิบายมหันตภัยว่าเป็นเพราะ 'การแทงข้างหลัง' ประเภทหวาดระแวง\"[54] ฮิตเลอร์ได้รับมรดกส่วนสุดท้ายจากทรัพย์สินของบิดาในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1913 และย้ายไปมิวนิก[55] นัก ประวัติศาสตร์เชื่อว่าฮิตเลอร์ย้ายออกจากเวียนนาเพื่อหลบเลี่ยงการเกณฑ์เข้าสู่กองทัพออสเตรีย-ฮังการี[56] ภายหลัง ฮิต เลอร์อ้างว่า เขาไม่ประสงค์จะรับใช้ราชวงศ์ฮาพส์บวร์คเพราะการผสมผสาน \"เชื้อชาติ\" ในกองทัพ[55] หลังเขาถูกเห็นว่า ไม่เหมาะสมกับราชการทหาร เพราะไม่ผ่านการตรวจร่างกายในซัลทซ์บวร์คเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1914 เขากลับไปยัง มิวนิก

สงครามโลกครั้งที่หนึ่ ง เมื่อสงครามโลกครั้งที่หนึ่งปะทุ ฮิตเลอร์สมัครเข้ารับราชการในกองทัพเยอรมัน เขาได้รับการตอบรับในเดือน สิงหาคม ค.ศ. 1914 ซึ่งมีแนวโน้มว่าเป็นผลมาจากความปล่อยปละละเลยทางธุรการ เพราะเขายังเป็นพลเมือง ออสเตรีย[58] เขาถูกจัดไปยังกรมทหารราบกองหนุนบาวาเรีย 16 (กองร้อยที่ 1 แห่งกรมลิสท์)[59][58] เขาปฏิบัติ หน้าที่เป็นพลนำสารส่งแนวรบด้านตะวันตกในฝรั่งเศสและเบลเยียม[60] ใช้เวลาเกือบครึ่งหนึ่งอยู่หลังแนวหน้า[61] [62] เขาเข้าร่วมในยุทธการอีเปอร์ครั้งที่หนึ่ง, ยุทธการที่แม่น้ำซอม ยุทธการที่อารัส และยุทธการพัสเชนแดเลอ และ ได้รับบาดเจ็บที่แม่น้ำซอม[63] ฮิตเลอร์ได้รับเชิดชูเกียรติสำหรับความกล้าหาญ ได้รับกางเขนเหล็กชั้นที่สอง ใน ค.ศ. 1914[63] และโดยการแนะนำของ ฮูโก้ กัทมันนท์ เขาได้รับกางเขนเหล็กชั้นที่หนึ่ง เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม ค.ศ. 1918[64] อิสริยาภรณ์ซึ่งน้อยครั้งนักจะมอบให้ แก่ทหารชั้นผู้น้อยเช่นพลทหารอย่างเขา ตำแหน่งของฮิตเลอร์ที่กองบัญชาการกรม ทำให้เขามีปฏิสัมพันธ์บ่อยครั้งกับนาย ทหารอาวุโส อาจช่วยให้เขาได้รับเครื่องอิสริยาภรณ์นี้[65] แม้พฤติการณ์ที่ทำให้เขาได้รับรางวัลอาจเป็นความกล้าหาญ แต่ก็อาจไม่ใช่เรื่องพิเศษมากมายนัก[66] เขายังได้รับเครื่องหมายบาดเจ็บสีดำ เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม ค.ศ. 1918[67] ระหว่างรับราชการที่กองบัญชาการ ฮิตเลอร์ยังสร้างสรรค์งานศิลปะของตนต่อไป โดยวาดการ์ตูนและคำชี้แจงแก่ หนังสือพิมพ์กองทัพ ระหว่างยุทธการแม่น้ำซอม ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1916 เขาได้รับบาดเจ็บที่บริเวณขาหนีบ[68] หรือ นขาซ้ายเมื่อกระสุนปืนใหญ่ระเบิดในหลุมของพลนำสารระหว่างยุทธการแม่น้ำซอม[69] ฮิตเลอร์ใช้เวลาเกือบสองเดือน นโรงพยาบาลกาชาดที่บีลิทซ์ เขากลับมายังกรมของเขาเมื่อวันที่ 5 มีนาคม ค.ศ. 1917[70] วันที่ 15 ตุลาคม ค.ศ. 1918 ตเลอร์ตาบอดชั่วคราวจากการโจมตีด้วยแก๊สมัสตาร์ด และรับการรักษาในโรงพยาบาลในพาเซวัลค์[71] ขณะรักษาตัวอยู่ ตเลอร์ทราบข่าวการพ่ายแพ้ของเยอรมนี[72] และ จากบันทึกของเขา เมื่อทราบข่าว เขาก็ตาบอดอีกเป็นครั้งที่สอง[73] ฮิตเลอร์รู้สึกขมขื่นต่อการพังทลายของความพยายามทำสงคราม และการพัฒนาอุดมการณ์เริ่มเป็นรูปเป็นร่างอย่าง นคง[74] เขาอธิบายสงครามว่าเป็น \"ประสบการณ์ยิ่งใหญ่ที่สุดเหนืออื่นใด\" และได้รับการยกย่องจากนายทหารผู้บังคับ บัญชาสำหรับความกล้าหาญของเขา[75] ประสบการณ์นี้ส่งผลให้ฮิตเลอร์เป็นผู้รักชาติเยอรมันอย่างหลงใหล และรู้สึก อกเมื่อเยอรมนียอมจำนนในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1918[76] เช่นเดียวกับพวกชาตินิยมเยอรมันอื่นทั้งหลาย เขาเชื่อใน ตำนานแทงข้างหลัง ซึ่งอ้างว่ากองทัพเยอรมัน \"ไม่แพ้ในสมรภูมิ\" ได้ถูก \"แทงข้างหลัง\" โดยผู้นำพลเรือนและพวกมากซิ สต์จากแนวหลัง นักการเมืองเหล่านี้ภายหลังถูกขนานนามว่า \"อาชญากรพฤศจิกายน\"[77] สนธิสัญญาแวร์ซายกำหนดให้เยอรมนีต้องสละดินแดนหลายแห่งและให้ไรน์ลันท์ปลอดทหาร สนธิสัญญากำหนดการ ลงโทษทางเศรษฐกิจและเรียกเก็บค่าปฏิกรรมสงครามจากประเทศ ชาวเยอรมันจำนวนมากเข้าใจว่าสนธิสัญญานี้ โดย พาะอย่างยิ่งข้อ 231 ซึ่งประกาศให้เยอรมนีรับผิดชอบต่อสงคราม เป็นความอัปยศอดสู[78] สภาพทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองในเยอรมนีได้รับผลกระทบจากสงครามและสนธิสัญญาแวร์ซายภายหลังถูกฮิตเลอร์ใช้แสวงประโยชน์ ทางการเมือง[79]

ฮิตเลอร์(คนที่นั่งด้านขวาสุด)กับเพื่อนทหาร ในกรมทหารราบกองหนุนบาวาเรีย 16 ระหว่าง สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง สิบตรีกองประจำ การ อดอล์ฟ ฮิตเลอ ร์ ระหว่าง สงครามโลกครั้งที่ หนึ่ง


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook