Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore สื่อการสอน

สื่อการสอน

Published by รักชนก คิดคำนวน, 2021-09-26 03:31:07

Description: สื่อการสอน

Search

Read the Text Version

 การคดิ เป็นทกั ษะพ้นื ฐานของมนุษยท์ ่สี ามารถเรียนรู้ ฝึกฝนและพฒั นา ไดเ้ ป็นกระบวนการทางานของสมอง ท่เี ป็นศนู ยก์ ลางนาสญั ญาณทไ่ี ดร้ บั รู้ จากประสาทสมั ผสั ทง้ั หา้ มาประมวล วเิ คราะห์ ถอดความ ตคี วาม เพ่อื พจิ ารณาในการตอบสนอง ตดั สนิ ใจ  ในบรบิ ทของการทางาน การคดิ หมายถงึ ความสามารถในการรบั มือและ ตอบสนองกบั สภาพการณ์แบบตา่ ง ๆ หรือการเผชิญหนา้ กบั การ เปล่ยี นแปลงตา่ ง ๆ ท่เี ป็นสง่ิ เรา้ จากภายนอก

คนไทยเราในปจั จบุ นั น้ใี ชค้ วามสามารถทส่ี มองตนเองมไี มเ่ กนิ 10%ของ ความสามารถของสมองเท่านนั้ อกี 90%ยงั ไม่ไดใ้ ชเ้พราะไมไ่ ดร้ บั การฝึก ศกั ยภาพของสมอง คนเราถา้ หากไดร้ บั การฝึกใชส้ มองใหเ้ตม็ ทจ่ี ะทาใหเ้ ราใช้ ความสามารถของสมองของเราใหเ้ป็นประโยชนไ์ ดม้ ากข้นึ การฝึกเทคนคิ การคิด หลายๆแบบเช่น การคิดสรา้ งสรรค์ การคดิ วเิ คราะห์ สงั เคราะห์ การคดิ แบบวิ พากย์ การคดิ เชงิ บวก การคดิ แบบบรู ณาการ การคดิ เป็นระบบ การคดิ เชิง ประยุกต์ การคดิ เชงิ กลยุทธแ์ ละอน่ื ๆ จะทาใหส้ มองของเรามศี กั ยภาพมากข้นึ ทา ใหเ้ราทางานไดบ้ รรลเุ ป้าหมายไดม้ ากข้นึ และแกไ้ ขปญั หาต่างๆในชวี ิตไดส้ าเร็จ คนทค่ี ดิ เป็น ปฏบิ ตั ไิ ด้ แกป้ ญั หาไดแ้ ละพฒั นาผลงานใหด้ กี ว่าเดมิ ไดท้ กุ คนนน้ั ตอ้ งผา่ นการฝึกทกั ษะการคดิ มาแลว้ ทงั้ นนั้ เรอ่ื งน้เี ราทกุ คนสามารถฝึกไดไ้ มใ่ ช่ พรสวรรคแ์ ต่เป็นพรแสวง ขอใหเ้รามาฝึกทกั ษะการคดิ กนั ตง้ั แต่บดั น้ีเถดิ

การคดิ เชงิ วพิ ากย์ Critical Thinking การคิดเชงิ ประยุกต์ การคดิ เชิงบวก Applicative Thinking ความคิดรเิ รม่ิ สรา้ งสรรค์ ositive Thinking CreatiTvehinkin การgคดิ อย่างเป็นระบบ Systematic Thinking การคิดเชงิ กลยุทธ์ Strategic การคดิ แบบบรู ณาการ Thinking การคดิ อปุ มาอปุ มยั Integrative Thinking Inductive Thinking การคดิ เชงิ อนาคต การคดิ เชงิ เปรยี บเทยี บ การคดิ วเิ คราะหแ์ ละสงั เคราะห์ FUTURISTI (Comparative Analysis and Synthesiz C Thinking) THINKING

เป็นการคดิ ท่กี อ่ ใหเ้ กดิ สง่ิ แปลกใหม่ ทส่ี ามารถนาไปใช้ ประโยชนไ์ ด้ เป็นการขยายขอบเขตความคดิ เดิมออกไปนอกกรอบ ความคดิ เดิมท่มี อี ยู่ เป็นการนาเอาความรูค้ วามสามารถและประสบการณ์ท่ี สงั่ สมไวม้ าพฒั นา คน้ หาวธิ กี ารท่แี ปลกใหม่ในการแกไ้ ข ปญั หา

ความคดิ สรา้ งสรรค์ เป็นความสามารถของมนุษยท์ ่ี จะนาไปสูส่ ง่ิ ใหมๆ่ เกดิ ผลผลติ ใหม่ ทางเทคโนโลยี รวมทง้ั ความสามารถในการประดษิ ฐค์ ิดคน้ ส่งิ แปลกใหม่ เช่น โทมสั เอดสิ นั คน้ พบหลอดไฟฟ้า และเครอ่ื งไฟฟ้านานาชนิด สง่ิ ประดษิ ฐข์ องเขาก็ เป็นความคิดสรา้ งสรรค์ คอื แปลกใหม่ แตกตา่ ง จากทเ่ี คยปรากฏและยงั เป็นประโยชน์อย่าง มากมายต่อชาวโลก

กลิ ฟอรด์ › เป็นความสามารถทางสมองทจ่ี ะคิดไดห้ ลายทศิ  ความคลอ่ งตวั ในการคดิ (Fluency)  ความคดิ ยดื หยุ่น (Flexibility)  ความคดิ ไมซ่ า้ แบบ (Originality)  ความคดิ ทแ่ี ตกต่าง (elaboration)

สุภาษิตสเปนก็สอนไว้ว่า \"If you cannot build a castle in the air , you cannot build it any where\" แปลทานอง ว่า ถ้าคณุ ไม่กล้าคดิ สร้างวมิ านในอากาศก่อน คุณก็ไม่ สามารถสร้างความสาเร็จทไี่ หนได้เลย หมายความว่าคุณ ต้องกล้า คิดกล้าฝันก่อนว่าเป็ นไปได้ จึงจะเป็ นไปได้ใน ชีวติ จริง



1. เรม่ิ จากจนิ ตนาการแลว้ ยอ้ นกลบั สู่สภาพ ความเป็นจรงิ

เมอ่ื ทา่ นดูรูปน้แี ลว้ กรุณาเขยี นคาอธบิ ายตามความคดิ ของท่าน คาอธบิ ายของทา่ นคอื ................................................................................... .....................................................................................................................

2. เรม่ิ จากความรู้ แลว้ คิดต่อยอดสูส่ ง่ิ ใหม่

หลงั จากดูภาพน้แี ลว้ ใหท้ ่านอธบิ ายตามความรู้ ความเขา้ ใจของท่านทม่ี ตี ่อภาพ คาอธบิ ายของทา่ นคอื ............................................................................... ...............................................................................................................









หมายถงึ การคดิ ทห่ี าวธิ ใี หมๆ่ ดว้ ยการมงุ่ มองไปท่ปี ญั หา มากกว่าทจ่ี ะดาเนินการตามขนั้ ตอนต่างๆทเ่ี คยปฏิบตั ิกนั มา ซ่งึ มนุษยส์ ว่ นมากมกั ทางานตามตรรกะทต่ี นเองมี ความคนุ้ เคยโดยไมม่ องหาตรรกะใหมท่ ด่ี กี ว่าเดมิ การสรา้ ง นวตั กรรมก็คือการสรา้ งใหเ้กดิ สง่ิ ใหมๆ่ ทไ่ี มเ่ คยมมี าก่อนแต่ ตรงกบั ความตอ้ งการของลูกคา้ และเป็นการพฒั นาความคิด ของบุคลากรในองคก์ รนนั้ ๆ ไมใ่ ช่การซ้อื เทคโนโลยีท่ี สาเรจ็ รูปมาใช้



ชายคนหน่ึงอาศยั บนชน้ั 10 ของตกึ อพารท์ เมนทต์ กึ หน่งึ ทกุ วนั เขา ตอ้ งใชล้ ฟิ ตล์ งมาชนั้ ลา่ งเพอ่ื ไปทางานหรือไปซ้อื ของ เมอ่ื เขากลบั มา จากทางานหรอื ซ้อื ของทกุ ครง้ั เขาตอ้ งเขา้ ลฟิ ตแ์ ละกดลฟิ ตไ์ ปทช่ี นั้ 7 เสมอและเดนิ ข้นึ บนั ไดไปทห่ี อ้ งพกั ของเขาทช่ี นั้ 10 เขาเกลยี ดการเดนิ ข้นึ บนั ไดไปอกี 3ชนั้ แต่ทาไมเขาจงึ ทาอย่างนน้ั

คดิ ฟอสบูร่ี นกั กระโดดสูงหนุ่มชาวอเมรกิ นั ไดค้ ดิ วธิ ใี หมใ่ นการกระโดดสูงท่ี นกั กีฬาทวั่ ไปไม่คดิ คอื การกระโดดสูงโดยหนั หลงั ใหก้ บั เคร่อื งกีดขวางและ หงายหนา้ ข้นึ ซ่งึ เป็นเทคนิคท่ไี ม่มใี ครคิดมาก่อน เพราะในอดตี นกั กีฬา กระโดดสูงทกุ คนมว้ ยตวั ขา้ มเคร่อื งกีดขวางดว้ ยการควา่ หนา้ ตนเอง ฟอสบูร่ี สามารถกระโดดไดถ้ งึ 2.24เมตรและไดเ้หรียญทองโอลมิ ปิคทแ่ี มก็ ซโิ ก ปีค.ศ. 1968

ขอใหท้ ่านพจิ ารณาหาขนั้ ตอนการทางานของท่านในเร่อื งใดเร่อื งหน่งึ ท่ที ่านทาอยู่เป็น ประจาโดยทาตามขน้ั ตอนของกฎระเบยี บหรือคู่มอื การทางาน เป็นงานในลกั ษณะ ROUTINE 1-2 เร่อื ง โดยใหท้ ่านทาดงั น้ี 1.เขยี นขน้ั ตอนของงานนน้ั ออกมาว่ามขี น้ั ตอนทง้ั หมดก่ขี นั้ ตอน มีขนั้ ตอนอะไรบา้ ง 2.หาวตั ถปุ ระสงคข์ องงานในแต่ละขน้ั ตอนวา่ แต่ละขน้ั ตอนทาเพอ่ื อะไร 3.หาปญั หาของการทางานในแต่ละขน้ั ตอนว่ามหี รอื ไม่ มปี ญั หาอะไร กรุณาระบุ 4. หาวธิ แี กไ้ ขปรบั ปรุงขน้ั ตอนการทางานทม่ี ปี ญั หาโดยเสนอความคดิ สรา้ งสรรคท์ จ่ี ะ ทาใหผ้ ลงานดขี ้นึ หรือแกป้ ญั หาทม่ี อี ยู่แลว้

กจิ กรรม ขอใหน้ ิสติ ลากเสน้ เพยี ง4 เสน้ ตรงใหผ้ ่านจดุ 9 จุด โดยไม่ยกปากกา ... ... ...

“ เราเป็นส่วนประกอบหน่ึงใน ปญั หาของเรา และเราไม่ สามารถแกไ้ ขมนั ไดด้ ว้ ยระดบั ความคิดเดยี วกนั กบั ระดบั ความคดิ ทส่ี รา้ งปญั หานน้ั ข้นึ มา”

1.ตงั้ ปญั หาข้นึ มาก่อนวา่ ปญั หาคอื อะไร จะแกป้ ญั หาอะไร 2.หาสมุ่ หาคาหรอื รูปภาพ จากพจนานุกรมหรอื จากทอ่ี น่ื ๆทลี ะคา 3.เมอ่ื ไดค้ าหรอื รูปภาพทส่ี มุ่ ข้นึ มา ไดแ้ ลว้ ใหห้ าสว่ นทจ่ี ะเช่อื มโยงกบั วธิ แี กไ้ ขปญั หาและจดบนั ทกึ วธิ แี กไ้ ขไวก้ ่อน

4.ใหส้ ุ่มคาหรอื รูปภาพไปเร่อื ยๆจนกวา่ จะไดว้ ธิ แี กไ้ ขปญั หาทค่ี ดิ ว่าพอแลว้ 5.พจิ ารณาวธิ แี กไ้ ขปญั หาทไ่ี ดม้ าทงั้ หมดว่ามขี อ้ ไหนทค่ี วรตดั ออกและมขี อ้ ไหนทค่ี วรนาไปใชแ้ ละทาการสรุปวธิ แี กไ้ ขทจ่ี ะ นาไปใช ้ 6.จดั ลาดบั ความสาคญั และความ เร่งดว่ นของวธิ แี กไ้ ขปญั หา

ลองคิดจากสง่ิ ท่อี ยูใ่ กลต้ วั กอ่ น 1. จะปรบั ปรงุ วิธีการทางานใหส้ บายกว่าน้ีไดห้ รอื ไม่ 2. ทาใหร้ วดเรว็ กว่าน้ีไดห้ รอื ไม่ 3. ทาใหร้ าคาถกู กว่าน้ีไดห้ รอื ไม่ 4. ทาใหถ้ กู ตอ้ งแม่นยากวา่ น้ีไดห้ รอื ไม่ 5. ทาใหล้ กู คา้ พอใจมากกว่าน้ีไดห้ รอื ไม่ 6. ทาใหป้ ระหยดั คา่ ใชจ้ า่ ยกวา่ น้ีไดห้ รอื ไม่ 7. ทาใหป้ ฏบิ ตั งิ านงา่ ยกว่าน้ีไดห้ รอื ไม่ 8. ทาใหป้ ลอดภยั กว่าน้ีไดห้ รอื ไม่

ก. ทาทาไม (WHY) ข. ทาอะไร (WHAT) ค. ทาท่ไี หน (WHERE) ง. ทาเม่ือไร (WHEN) จ. ทาโดยใคร (WHO) ฉ. ทาเพ่อื ใคร (WHOM) ช. ทาอยา่ งไร (HOW) ซ. จา่ ยเทา่ ไร (HOW MUCH)

MIND MAPPING หรือแผนทท่ี างความคดิ หมายถงึ การทาใหค้ วามคดิ เกดิ การเช่อื มโยงกนั แบบบูรณา การโดยการกาหนดคาแก่นแกนกลางของความคิดและการ เช่อื มโยงไปยงั คาต่างๆทงั้ หมดทเ่ี ก่ยี วขอ้ งโดย ใชร้ ูปภาพและคาสาคญั ช่วยใหก้ ารหาสาเหตุของปญั หา แนว ทางแกไ้ ขปญั หา ความคิดริเร่มิ ในการปฏบิ ตั ิมปี ระสทิ ธิผลและ ทาใหเ้กิดการจดจาทเ่ี ป็นระบบ

เครอ่ื งมอื ท่จี ะช่วยใหเ้ ราคดิ และเรยี นรูไ้ ดอ้ ย่างมี ประสทิ ธิภาพ เป็นวธิ ีการช่วยบนั ทึกความคิด เพอ่ื ใหเ้ หน็ ภาพความคิด ท่หี ลากหลายมมุ มอง กวา้ งขวาง และชดั เจนกวา่ การ บนั ทึกเป็นตวั อกั ษรท่ยี งั ไมไ้ ดจ้ ดั ระบบความคดิ

แผนท่คี วามคดิ ( Mind Map) คอื รูปจาลองทแ่ี สดงใหเ้หน็ ถงึ ความเช่อื งโยงของมโนภาพทส่ี มั พนั ธก์ นั ทาใหเ้หน็ ภาพความคดิ ท่ี หลากหลายมมุ มองทก่ี วา้ งและชดั เจนกวา่ การบนั ทกึ ทส่ี าคญั กค็ อื เป็น การปูแนวทางทน่ี าไปสู่ความคดิ ทว่ี า่ หากคนเราสามารถจดั แผนทร่ี ะบบความคดิ ได้ และจดั การดๆี ก็จะ ส่งผลต่อประสทิ ธภิ าพในการจดจา การทาความเขา้ ใจ การต่อยอดความคดิ ตลอดจนการประยกุ ตใ์ ชก้ บั งานในรูปแบบต่างๆ ไดเ้ ป็ นอย่างดี

คอื ดร.โทน่ี บูซาน (DR. TONY BUZAN) นกั จติ วทิ ยา ชาวองั กฤษ

การจดบนั ทึก การเขียนอย่างสรา้ งสรรค์ และ การเขียนรายงาน กลวธิ ีการเรยี นอย่างงา่ ย การพดู





MIND MAPPING หรือแผนทท่ี างความคดิ หมายถงึ การทาใหค้ วามคดิ เกดิ การเช่อื มโยงกนั แบบบูรณา การโดยการกาหนดคาแก่นแกนกลางของความคิดและการ เช่อื มโยงไปยงั คาต่างๆทงั้ หมดทเ่ี ก่ยี วขอ้ งโดย ใชร้ ูปภาพและคาสาคญั ช่วยใหก้ ารหาสาเหตุของปญั หา แนว ทางแกไ้ ขปญั หา ความคิดริเร่มิ ในการปฏบิ ตั ิมปี ระสทิ ธิผลและ ทาใหเ้กิดการจดจาทเ่ี ป็นระบบ

เครอ่ื งมอื ท่จี ะช่วยใหเ้ ราคดิ และเรยี นรูไ้ ดอ้ ย่างมี ประสทิ ธิภาพ เป็นวธิ ีการช่วยบนั ทึกความคิด เพอ่ื ใหเ้ หน็ ภาพความคิด ท่หี ลากหลายมมุ มอง กวา้ งขวาง และชดั เจนกวา่ การ บนั ทึกเป็นตวั อกั ษรท่ยี งั ไมไ้ ดจ้ ดั ระบบความคดิ

แผนท่คี วามคดิ ( Mind Map) คอื รูปจาลองทแ่ี สดงใหเ้หน็ ถงึ ความเช่อื งโยงของมโนภาพทส่ี มั พนั ธก์ นั ทาใหเ้หน็ ภาพความคดิ ท่ี หลากหลายมมุ มองทก่ี วา้ งและชดั เจนกวา่ การบนั ทกึ ทส่ี าคญั กค็ อื เป็น การปูแนวทางทน่ี าไปสู่ความคดิ ทว่ี า่ หากคนเราสามารถจดั แผนทร่ี ะบบความคดิ ได้ และจดั การดๆี ก็จะ ส่งผลต่อประสทิ ธภิ าพในการจดจา การทาความเขา้ ใจ การต่อยอดความคดิ ตลอดจนการประยกุ ตใ์ ชก้ บั งานในรูปแบบต่างๆ ไดเ้ ป็ นอย่างดี

 จากปรากฏการณ์หรือโจทยต์ ่างๆ ให้คน้ หาใจความ สาคญั หรอื Key concept ให้ได้เสียก่อนวา่ มีอะไร และ อยา่ งไร  จากนัน้ จงึ นา Key concept มาหา Key word จาก Key concept นัน้ ๆ ซึ่งจะได้ “คาสาคญั ” ออกมา และจะ มองเหน็ ความสมั พนั ธ์เช่ือมโยงของคาต่างๆ เหล่านัน้  จากนัน้ จึงนา “คาสาคญั ” มาเรียงต่อกนั ให้เหน็ ความสมั พนั ธเ์ ช่ือมโยงของเหตกุ ารณ์ โดยใช้เส้นและสี ของเส้นแสดงระดบั ความสาคญั ของความสมั พนั ธ์

1.เร่มิ ดว้ ยคาแก่นแกนกลางของความคิด 2.ใชเ้สน้ ในการเช่ือมโยงความสมั พนั ธข์ องคาทกุ คา 2.ใชภ้ าพใหม้ ากทส่ี ุด 3.เขยี นตวั อกั ษรตวั ใหญ่ๆ 4.เขยี นคาเหนอื เสน้ และแต่ละเสน้ เช่อื มกบั ตวั อกั ษรตวั อ่นื ๆ 5.คาควรมลี กั ษณะเป็นหน่วยคา 6.ใชส้ ที แ่ี ตกต่างกนั ในแต่ละเสน้ ใหท้ วั่ MIND MAP

1.ศูนยก์ ลางความคิดหลกั จะถกู กาหนดข้ึนอย่างชดั เจน 2.ความสมั พนั ธท์ ่สี าคญั ของแต่ละ ความคดิ เช่ือมโยงใหเ้ หน็ อย่างชดั เจน 3.การเช่ือมโยงคาสาคญั และลาดบั ความสาคญั จะเหน็ จากตาแหน่งใน MIND MAP อยา่ งชดั เจน 4.ช่วยเพ่ิมเติมความคิดสรา้ งสรรคใ์ หม่ๆไดง้ า่ นข้ึน 5.ทาใหฟ้ ้ื นความจาและทบทวนไดอ้ ยา่ งมีประสทิ ธิภาพ

ลองคิดจากสง่ิ ท่อี ยูใ่ กลต้ วั กอ่ น 1. จะปรบั ปรงุ วิธีการทางานใหส้ บายกว่าน้ีไดห้ รอื ไม่ 2. ทาใหร้ วดเรว็ กว่าน้ีไดห้ รอื ไม่ 3. ทาใหร้ าคาถกู กว่าน้ีไดห้ รอื ไม่ 4. ทาใหถ้ กู ตอ้ งแม่นยากวา่ น้ีไดห้ รอื ไม่ 5. ทาใหล้ กู คา้ พอใจมากกว่าน้ีไดห้ รอื ไม่ 6. ทาใหป้ ระหยดั คา่ ใชจ้ า่ ยกวา่ น้ีไดห้ รอื ไม่ 7. ทาใหป้ ฏบิ ตั งิ านงา่ ยกว่าน้ีไดห้ รอื ไม่ 8. ทาใหป้ ลอดภยั กว่าน้ีไดห้ รอื ไม่

ก. ทาทาไม (WHY) ข. ทาอะไร (WHAT) ค. ทาท่ไี หน (WHERE) ง. ทาเม่ือไร (WHEN) จ. ทาโดยใคร (WHO) ฉ. ทาเพ่อื ใคร (WHOM) ช. ทาอยา่ งไร (HOW) ซ. จา่ ยเทา่ ไร (HOW MUCH)

??????????????????????????


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook