เค้าโครงวจิ ัยในชัน้ เรยี น การพัฒนาทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตรโ์ ดยใชก้ ารจดั การเรยี นรู้แบบโครงงาน ในรายวชิ าวทิ ยาศาสตรช์ วี ภาพเรือ่ งการอนรุ ักษท์ รพั ยากรธรรมชาติและส่งิ แวดล้อม นกั เรยี นช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 4 โรงเรียนราชประชานเุ คราะห์ 31 ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปีที่ 4 ผู้วิจยั นางสาวจันจิรา ธนนั ชยั ตาแหนง่ ครูู กลุ่มสาระการเรยี นรูว้ ทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี โรงเรยี นราชประชานุเคราะห์ 31 จังหวดั เชียงใหม่ สานักบรหิ ารงานการศึกษาพิเศษ
วจิ ัยในช้ันเรียน เรือ่ ง การพัฒนาทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์โดยใชก้ ารจัดการเรียนรู้ แบบโครงงานในรายวชิ าวทิ ยาศาสตรช์ วี ภาพเรอ่ื งการอนรุ ักษ์ทรพั ยากร ธรรมชาตแิ ละสิ่งแวดล้อม นกั เรียนช้นั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 4 โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 31 จดั ทำโดย นางสาวจนั จริ า ธนนั ชยั ตำแหนง่ ครูผ้ชู ว่ ย โรงเรยี นราชประชานุเคราะห์ 31 ตำบลชา่ งเคง่ิ อำเภอแมแ่ จ่ม จังหวดั เชียงใหม่ สำนักบรหิ ารงานการศกึ ษาพเิ ศษ สำนกั งานการศกึ ษาขน้ั พื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ
บทท่ี 1 บทนำ ที่มาและความสำคญั : การอนุรกั ษ์ทรพั ยากรธรรมชาติและสงิ่ แวดล้อม หมายถงึ การใชท้ รพั ยากรธรรมชาตแิ ละ สง่ิ แวดล้อม อย่างฉลาด โดยใช้ให้น้อยเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด และคำนึงถึงระยะเวลาในการใช้ให้ ยาวนาน และ ก่อให้เกดิ ผลเสยี หายต่อสิ่งแวดล้อมนอ้ ยที่สุด รวมท้ังต้องมกี ารกระจายการใช้ ทรัพยากรธรรมชาติอย่างท่ัวถึง อย่างไรก็ตามในสภาพปัจจุบันทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มีความ เสื่อมโทรมมากขึ้น ดังนั้น การ อนรุ ักษท์ รพั ยากรธรรมชาติและสิง่ แวดลอ้ ม จึงมีความหมายรวมไปถึงการ พัฒนาคณุ ภาพสงิ่ แวดลอ้ มด้วย การ อนุรักษท์ รัพยากรธรรมชาตแิ ละสง่ิ แวดล้อม สามารถกระทำไดห้ ลายวธิ ีท้งั ทางตรงและ ทางอ้อม การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมโดยทางตรงซึ่งปฏิบัตไิ ดใ้ นระดับบุคคล องค์กร และ ระดับประเทศท่สี ำคัญ เชน่ 1) การใช้อย่างประหยัด 2) การนำกลบั มาใช้ซ้ำอีก 3) การบรู ณะ ซอ่ มแซม 4) การ บำบัดและการฟื้นฟู 5) การใช้สิ่งอื่นทดแทน 6) การเฝ้าระวังดูและปูองกัน การอนุรักษ์ ทรัพยากรธรรมชาติ และสง่ิ แวดล้อมโดยทางอ้อม ทำได้หลายวิธีดงั นี้ 1) การพฒั นาคณุ ภาพประชาชน 2) การใชม้ าตรการทางสังคม และกฎหมาย 3) ส่งเสริมใหป้ ระชาชนในท้องถิ่นได้มีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ 4) ส่งเสริมการศึกษาวจิ ัย ค้นหา วิธีการและพัฒนาเทคโนโลยี 5) การกำหนดนโยบายและวางแนวทางของ รัฐบาล (วัฒนธรรม สุวัณณะสังข์, 2555) ปจั จบุ ันประเทศต่างๆ รวมทั้งประเทศไทยกำลังเผชญิ ปญั หาวิกฤติทางส่งิ แวดล้อมอย่างรนุ แรง ปัญหา การลดลงทัง้ ปรมิ าณและคุณภาพของทรัพยากรธรรมชาติท่ีแผ่ขยายออกไปอย่างรวดเร็ว และทวี ความรุนแรง เพิ่มขึ้นทุกขณะ ทั้งนี้สืบเนื่องมาจากจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้นประกอบกับความ รู้เท่าไม่ถึงการณ์ในการ แก่งแย่ง แขง่ ขนั กนั ใช้ทรพั ยากรธรรมชาติทอ่ี ย่างฟุ่มเฟือย ในขณะที่ ทรัพยากรธรรมชาติมีอยู่อย่างจำกัด (วิไล ลกั ษณ์ รตั นเพียรธมั มะ, 2546. เว็บไซต)์ ซ่ึงเปน็ สภาวะทนี่ า่ วิตก เป็นอยา่ งยงิ่ ปัญหาทางดา้ นสิ่งแวดล้อมเป็นปญั หาสำคัญที่สร้างความตึงเครียดท่ีบบี บงั คับให้ทกุ คนตอ้ งหนั มาให้ ความสนใจในเรื่องของสิ่งแวดล้อมกันมากขึ้น เนื่องจากปัญหาของสิ่งแวดล้อมทั้งในอดีตและปัจจุบัน ได้ให้ บทเรียนอย่างชัดเจน ในอนาคตอันใกล้สิ่งแวดล้อมมีโอกาสที่จะเสื่อมโทรมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ จาก การ เจริญเติบโตของประชาชนท่ีเพม่ิ ขนึ้ อยา่ งรวดเรว็ และตอ่ เนอ่ื ง คือ เพิม่ จาก 61.6 ลา้ นคน ในปี 2542 เป็น 70 ล้านคน ในปี 2560 (ส านักงานคณะกรรมการสถานศึกษาแห่งชาติ, 2542) และจากการพัฒนา ประเทศและ พัฒนาเทคโนโลยีสมัยใหม่ ซึ่งความฉลาดและความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีท าให้มนุษย์ 8 สามารถแสวงหา ความเสอื่ มโทรมและความร่อยหรอของทรพั ยากรธรรมชาติตามมา ส่งผลใหธ้ รรมชาตขิ าด สมดุล ความสมั พันธ์ ระหวา่ งมนุษย์กบั สิง่ แวดลอ้ มเปลีย่ นไปจนท าให้เกิดปญั หาส่งิ แวดลอ้ ม สถานการณ์ทรพั ยากรธรรมชาติและสงิ่ แวดล้อม มกี ารเปล่ยี นแปลงไปในทิศทางที่เสื่อมโทรม มากขึ้น สังเกตได้จากทรัพยากรธรรมชาติท่ีสำคญั และมีความจำเป็นต่อการดำรงชีวติ ของมนุษย์และสตั ว์ ถูกทำลายลง อยา่ งมาก สงิ่ แวดล้อมต่างๆ ทอี่ ย่รู อบตัวมนษุ ย์กเ็ ลวร้ายลงตามลำดับ จนถงึ จดุ ที่ยอมรบั กนั โดยทั่วไปว่า เป็น วกิ ฤตสงิ่ แวดล้อม การถูกทำลายลงของทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม มีสาเหตุมา จากภัยธรรมชาติและ ด้วยน้ำมือมนษุ ย์ โดยเกดิ จากความเห็นแก่ตวั ของมนุษยเ์ อง โดยมุ่งท่ีปัจจยั ด้านวัตถุ คือ เงนิ เป็นตัวตั้ง จึงทำ ใหเ้ กดิ การทำลายลา้ งเพ่ือหาส่งิ ทมี่ าตอบสนองความตอ้ งการของตนเอง ทรพั ยากรธรรมชาตทิ ่ีกำลังเป็นปัญหา ของประเทศอยใู่ นเวลาน้ี เพราะการเส่อื มโทรมหรือรอ่ ยหรอลง ไดแ้ ก่ ดนิ และการใช้ท่ดี นิ ป่าไม้ น้ำแร่ พลงั งาน ทรพั ยากรทางทะเลและชายฝ่ัง ส่วนปญั หาสงิ่ แวดล้อม ไดแ้ ก่ มลพิษทางน้ำ มลพิษทางอากาศและเสยี ง มลพิษ
จากขยะมลู ฝอย และสิง่ ปฏกิ ูล มลพิษจากสาร อันตราย ฯลฯ ในท่ามกลางการพัฒนาประเทศในยุคโลกาภิวัตน์ ความสะดวกสบายจากเทคโนโลยี สมัยใหม่ที่ก้าวหน้า ทันสมัย การเพิ่มขึ้นของประชากรได้นำมาซึ่งปัญหา ทรัพยากรธรรมชาติและ สิ่งแวดล้อม มนุษย์เป็นทั้งผู้สร้างปัญหาและก็ต้องแก้ไขปัญหา แต่ดูเหมือนว่าการ แก้ไขปัญหาจะล่าช้า ไม่ ทันการณ์ แก้ไม่ตรงจุด ยิ่งแก้ก็ยิ่งเพ่ิมปัญหา สิ้นเปลืองงบประมาณจำนวนมาก เกิด ขอ้ ขัดแย้งระหว่างคน ในชุมชนและสงั คมวงกวา้ ง (บญุ เลศิ คชายทุ ธเดช, 2551) สิ่งแวดล้อมในโรงเรียนมีความสำคัญต่อการพัฒนาการของเด็กอย่างมาก เด็กจะเรียนรู้จาก สิ่งแวดล้อมรอบๆ ตัว ทั้งสิ่งแวดล้อมที่มีชีวิตและไม่มีชีวิต อีกทั้งมีความอยากรู้อยากเห็น มีการเรียนรู้ ตลอดเวลา ยอมท าตาม และเลียนแบบผู้อื่น เป็นวัยที่สะสมประสบการณ์ และเป็นวัยท่ีสำคญั ในการ พัฒนา ทั้งร่างกายและจิตใจ สมอง ตลอดจนลักษณะนิสัย แต่บุคคลในโรงเรียนก็เป็นผู้ทำลายหรือท าให้เกิด ปัญหา สงิ่ แวดลอ้ มในโรงเรยี น และหน่ึงในผู้มสี ่วนเกี่ยวข้องกบั การสร้างปัญหาสิ่งแวดลอ้ มกม็ าจากปญั หา ขยะมูลฝอย น้ำเสีย อากาศเสีย หรือแม้แต่ปริมาณการใช้ไฟฟูา และด้านสภาพสิ่งแวดล้อมในโรงเรียน ตลอดจนบริเวณ โรงเรียนขาดการดแู ลรกั ษาให้อยใู่ นสภาพที่สมบูรณ์ การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมมีความสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมในโรงเรียน เพราะ โรงเรียนเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนที่มีความสำคัญ และมีบทบาทในการให้ความรู้ปลูกฝังลักษณะนิสัย ต่างๆ ให้แกเ่ ด็กนกั เรียน โดยมงุ่ ให้ผู้เรยี นนำประสบการณ์ทีไ่ ด้จากการเรยี นนำไปใช้ในการดำรงชีวิต มี ความคิดริเริ่ม สรา้ งสรรค์ คิดเป็น ทำเปน็ แกป้ ญั หาต่างๆ ได้ วนั หน่ึงๆ เด็กตอ้ งใชช้ วี ติ อยใู่ นโรงเรยี น 24 ชว่ั โมง นอกจากเด็ก จะได้รับความรู้ เรียนรู้จากบทเรียน ครู อาจารย์แล้ว เด็กยังเรียนรู้จาก สิ่งแวดล้อมรอบๆ ตัว อีกด้วย ดังนนั้ การอนุรักษส์ ิง่ แวดล้อมในโรงเรียนจึงเป็นส่งิ สำคัญสำหรับเดก็ จะได้ ฝึกฝนตนเองใหร้ ับผิดชอบ อนุรักษ์สภาพ สิ่งแวดล้อม และรักธรรมชาติ มีผลทำให้นักเรียนเป็นคนที่มี คุณลักษณะที่ดี เป็นคนคุณภาพที่สังคมวาดหวัง และผลที่ดีที่สุดก็คือ สภาพแวดล้อมในโรงเรียนสะอาด ร่ม 9 รื่น สวยงาม เป็นท่ีชื่นชมแก่ผู้พบเห็นและเป็น ตวั อย่างทีด่ งี าม จะสง่ ผลใหเ้ ดก็ นัน้ เติบโตเปน็ ทรพั ยากร มนุษยท์ ีม่ ีคณุ คา่ ของประเทศชาตติ อ่ ไปในอนาคต การเรียนร้ใู นศตวรรษที่ 21 การเรยี นรโู้ ดยใช้โครงงานเป็นฐาน (PBL) เป็นทักษะท่ีไดร้ ับ การสนับสนุน อย่างเข้มแข็งด้วยเหตุผลหลายประการที่สามารถนำมากล่าวได้ เช่น มีความหลากหลาย เรื่องการคน้ ควา้ งาน การสอ่ื สารด้วยการน าเสนอ กระบวนการทีเ่ ป็นผลดีในการควบคุมการเรียนรู้ ของนักเรยี น เมือ่ 10 ปีผ่านมา มกี ารสอนรูปแบบน้ีท่ีเปน็ วิธีสมยั ใหม่ คอื ไดน้ ำการทำงานแบบ ความรว่ มมือมาใช้กับการเรียนโดยโครงงานซ่ึง ได้ผลดีอยา่ งมาก ตอ่ มาการเรียนรู้โดยใช้โครงงาน (PBL) จงึ เปน็ แบบฉบบั และเป็นรูปแบบการเรยี นรู้ท่ีมีหลาย มุมมอง เก่ียวขอ้ งกบั ความหลากหลายที่ กวา้ งขวางสำหรับความจำเป็นในการทำงานทจี่ ะทำให้ครสู ามารถท่ีจะ มีวิธีการสอนให้แตกต่างกันได้ (Bender & Waller, 2011) และปรีดี ปลื้มสำราญกิจ (2560) กล่าวว่า การ จัดการเรียนการสอน ในศตวรรษท่ี 21 มีลักษณะเน้นผู้เรยี นเปน็ ศูนย์กลาง โดยลดการบรรยายจากผู้สอน แต่ ผ้สู อนจะเปน็ ผู้กระต้นุ ใหผ้ ู้เรียนได้เรยี นรู้ดว้ ยตนเองจากการปฏิบัติจรงิ หรือการเรียนโดยการลงมือทำด้วยวิธี ที่ผู้เรียนได้ฝึกฝนจากสภาพแวดล้อมจริง ทั้งการคิดการลงมือทำเป็นสิ่งสำคัญ การสื่อสารและการเรียนแบบ ความร่วมมือจึงจำเป็นสำหรับการเรียนรู้แบบนี้ และ มีผู้นำเสนอมากมายเกี่ยวกับการเรียนรู้โดยใช้โครงงาน (PBL) ทีไ่ ดแ้ นะน าวธิ ีการเรยี นร้เู กอื บจะเหมือน ชีวติ จริงและสิ่งแวดลอ้ มในโลกของการท างานของศตวรรษท่ี 21 การเรียนรู้โดยใชโ้ ครงงาน (PBL) ซึง่ เป็นการรวมทักษะท่หี ลากหลายรวมไวด้ ้วยกนั เป็นทักษะทมี ีอยู่ในโลก แห่งความจริง เช่น วารสารวไลยอลงกรณ์ปริทัศน์ (มนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์) ปีที่ 8 ฉบับที่3 กันยายน- ธันวาคม 2561 187 การต้ังคำถาม (Driving Question) กระบวนการเสาะแสวงหาความรู้ในเชิงลกึ ด้วยตนเอง (In-Depth Inquiry) การเรียน รู้ที่ให้ความสำคัญกับเนื้อหาสาระ (Significant Content) การฝึกทักษะ กระบวนการคิด การจดั การ การเผชญิ สถานการณ์ การประยุกต์ความรมู้ าใชป้ รับปรงุ และแกไ้ ขปญั หา การจัด กจิ กรรม ทา้ ทายไดเ้ รียนรู้จากประสบการณจ์ รงิ ได้แก่ ความร่วมมือในสถานที่ท่ีทำงาน การทำงานเป็นทีมและ
คณะกรรมการทีม่ ีความเข้มแขง็ ฝกึ การปฏบิ ตั ิให้ทำได้ คิดเปน็ ทำเป็น ทำใหเ้ กดิ การเรียนรู้อย่างต่อเน่ืองและ ยั่งยืน บางโครงงานคล้ายความเป็นจริงเหมือนผู้ใหญ่ทำงาน ในโลกความเป็นจริง ทั้งหมดที่กล่าวมาจึงทำให้ การเรียนร้โู ดยใชโ้ ครงงาน (PBL) ไดม้ ากกวา่ รปู แบบ การสอนแบบดง้ั เดิม (Bender & Waller, 2011) ผูว้ ิจัยจึงเห็นว่าการจัดการเรียนการสอนให้นักเรียนเกิดความใสใ่ จในสงิ่ แวดล้อมในโรงเรียนให้ มากข้ึน จึงได้นำวิธีการจัดการเรียนการสอนแบบการเรียนรู้แบบโครงงาน มาจัดกิจกรรมการเรียนการสอน เนื่องจาก เป็นรูปแบบหนึ่งของการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนค้นคว้าหาความรู้ สร้างองค์ความรู้ด้วย ตนเองซึ่งสอดคลอ้ งกับแนวคดิ การเรียนร้ทู ย่ี ึดผู้เรียนเปน็ สำคัญ เปน็ การเรยี นรเู้ กดิ จากการปฏิบตั ิจริง จากการ หาความรู้และการลงมือกระทำ มีความสามารถในการใช้ความรู้นั้น ๆ เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด การเรียนรู้โดยใช้ โครงงานนั้น ผู้เรียนสามารถเชื่อมโยงความรู้เดิมหรือประสบการณ์เดิมกับความรู้ใหม่แล้วสามารถนำไป ประยุกต์ใช้ได้อย่างเหมาะสมขั้นตอนการเรียนรู้โดยใช้โครงงาน ประกอบด้วย (1) ขั้นการนำเสนอ (2) ขั้น วางแผน (3) ขน้ั ปฏบิ ตั ิ และ (4) ข้ันประเมินผล ทุกข้ันตอนมีการทำงานแบบความรว่ มมือทฝ่ี ึกการเป็นผู้นำ ผู้ ตาม ยอมรับฟังความคิดเหน็ ของผู้อื่น และให้เกียรติซง่ึ กันและกัน คุณคา่ ของการเรยี นรู้แบบโครงงานเป็นการ เรยี นรทู้ สี่ รา้ งทักษะการเรียนรทู้ ักษะการคดิ สร้างสรรค์ ทกั ษะทางอารมณ์ ทักษะการสอื่ สารหรือ การนำเสนอ ที่สร้างความเข้มแข็งตอ่ ผู้เรียนอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน รวมไปถึงการจัดการเรียนการสอนในเนื้อหาทีผ่ ่านมา เนื้อหาค่อยข้างเยอะและยาก สำหรับนักเรียนที่ไม่ใช่สายวิทย์ คณิต จึงทำให้นักเรียนไม่อยากเรียนรายวิชา วิทยาศาสตร์ ทำให้บางส่วนมีคะแนนการประเมินผลค่อนข้างน้อย จึงได้เปลี่ยนวิธีการจัดการเรียนการสอน และการวัดประเมินผลโดยการใช้โครงการ เพื่อให้นักเรียนได้ลงมือปฏิบัติจริง และเกิดความคิดสร้างสรรค์ ความตระหนักในการอนุรักษท์ รัพยากรธรรมชาตได้ดว้ ยตนเอง นอกจากนี้ วราลักษณ์ ไชยทพั ,บัณฑร อ่อนดา, และสามารถ ศรีจ านง (2544) กล่าวว่า การจดั กระบวนการเรียนร้แู บบมีสว่ นรว่ มเปน็ สว่ นหนงึ่ ของการพัฒนา แบบมสี ่วนรว่ มและมี เปา้ หมายสอดรับกนั กล่าวคอื กระบวนการจัดการเรียนรแู้ บบมสี ว่ นรว่ มมีเป้าหมายทกี่ าร เปลี่ยนแปลง ระดับบุคคลในด้านจิตสำนึกอุดมการณ์ทัศนคติ ความตระหนัก ความรู้ และทักษะ ซึ่งเชื่อวา่ จะ นาไปสูก่ าร รวมพลงั ศักยภาพเปน็ กลุ่มเปน็ กระบวนการในระดับตา่ งๆ จากชมุ ชนสูเ่ ครือข่ายประชาชน ซึ่งจาก แผนการ ศึกษามุ่งเน้นให้นักเรียนเกิดการตระหนักช่วยกันดูแลสิ่งแวดล้อม ผู้วจิ ัยจึงมีความเห็นว่าผูเ้ รยี นควร ตอ้ งมีกระบวนการเรยี นรอู้ ย่างเขา้ ใจและสามารถถา่ ยทอด ให้ ผ้อู ่ืนเกิดความคิดรว่ มในการอนรุ ักษ์สิ่งแวดล้อม อย่างตอ่ เนอ่ื ง ดังนั้นหนว่ ยการเรียนรู้ชีวิตในส่งิ แวดล้อม เรือ่ งการอนุรักษ์ทรพั ยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม บูรณาการ สิ่งแวดล้อมในโรงเรียนกับการพัฒนาที่ยั่งยืนสามารถสอดแทรกเนื้อหาการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม พร้อมกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดการมสี ่วนร่วมได้อย่างเป็นรูปธรรม ดังนั้นผู้วิจัยจึงได้ทำวิจัยใน ชั้นเรียนเรื่อง การ พัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบโครงงานในรายวิชาวิทยาศาสตร์ ชีวภาพเรื่องการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนราช ประชานเุ คราะห์ 31 เพ่อื พัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ โดยจดั กิจกรรมการเรียนรู้แบบโครงงาน ทมี่ ผี ลต่อพฤตกิ รรมการอนุรักษส์ ิง่ แวดล้อม และเพ่ือเปรยี บเทยี บพฤติกรรมการอนุรักษ์ส่ิงแวดลอ้ มในโรงเรียน ราชประชานุเคราะห์ 31 ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 4 รายวิชาวิทยาศาสตร์ชีวภาพ อันจะนำไปสู่การมี สง่ิ แวดล้อมที่ดีขน้ึ และการแกไ้ ขปัญหาสิ่งแวดลอ้ มอย่างมีประสิทธิภาพ จดุ ประสงค์ 1. เพอ่ื เปรยี บเทียบผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี นของการจัดกจิ กรรมการเรียนรแู้ บบโครงงาน ก่อนและหลงั เรยี น
2. เพอื่ พฒั นาทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ โดยจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้แบบโครงงาน ท่มี ีผล ต่อพฤตกิ รรมการอนุรักษส์ ่งิ แวดลอ้ ม 3. เพื่อเปรียบเทยี บพฤติกรรมการอนรุ ักษส์ ่ิงแวดลอ้ มในโรงเรยี นราชประชานเุ คราะห์ 31 ของ นกั เรยี น ช้นั มัธยมศึกษาปที ี่ 4 รายวชิ าวิทยาศาสตรช์ วี ภาพ ขอบเขต 1. ประชากร : นักเรียนชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 4 2. เนื้อหา/ตัวแปร : การเรียนรู้แบบโครงงาน ของนักเรยี นชั้นมัธยมศกึ ษาปีที่ 4 3. ระยะเวลา : ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 ประชากร กลุ่มตัวอยา่ ง : นักเรียนชน้ั มัธยมศึกษาปที ่ี 4 จำนวน 139 คน ประโยชนท์ ่คี าดวา่ จะได้รบั 1. เพอ่ื ใหน้ ักเรียนได้มีส่วนร่วมและตระหนกั ถงึ ความสำคัญของการอนรุ ักษ์ส่ิงแวดลอ้ ม ในโรงเรียน ราชประชานเุ คราะห์ 31 2. เป็นแนวทางสำหรับครูผู้สอนและผู้ที่เกี่ยวข้องในการนำวิธีการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ แบบมีส่วน รว่ มไปใช้เพ่อื พฒั นาการจัดกิจกรรมการเรียนร้สู ำหรับรายวชิ าอืน่ ๆ ต่อไป เครือ่ งมอื ทีใ่ ชใ้ นการวิจยั 1. ชนิดเครอ่ื งมอื : - แบบประเมนิ การทำโครงงาน - แบบประเมนิ บันทกึ กจิ กรรมโครงงาน - แบบสังเกตพฤตกิ รรมการทำงานกลุ่ม 2. การสรา้ ง : - หวั ข้อประเมินการทำโครงงาน - หัวขอ้ ประเมินบนั ทึกกิจกรรมโครงงาน - พฤติกรรมการทำงานกลมุ่ 3. การหาคณุ ภาพ : ร้อยละของคะแนนพฒั นาการ วเิ คราะห์ขอ้ มูล 1. คา่ สถติ ิ
บทท่ี 2 เอกสารและงานวิจยั ทเี่ กย่ี วขอ้ ง การพัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบโครงงานในรายวิชา วิทยาศาสตร์ชีวภาพเรื่องการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรยี นราชประชานุเคราะห์ 31 ผวู้ ิจยั ไดศ้ ึกษาคน้ ควา้ เอกสารและงานวิจยั ทีเ่ กี่ยวข้องดังน้ี 2.1 แนวคดิ ทฤษฎีท่เี กีย่ วขอ้ งกับการเรียนรู้โดยใช้โครงงาน 2.2 หลกั การอนุรกั ษส์ ่งิ แวดลอ้ ม 2.3 ความหมายของการอนุรกั ษ์ส่งิ แวดลอ้ ม 2.4 หลกั การอนรุ กั ษส์ ิ่งแวดลอ้ ม 2.5 พฤตกิ รรมการอนรุ ักษส์ ่งิ แวดล้อม 2.6 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี น 2.7 งานวิจัยท่เี กีย่ วข้อง 2.1 แนวคิดทฤษฎที ี่เกีย่ วขอ้ งกบั การเรยี นรู้โดยใช้โครงงาน การเรียนร้โู ดยใชโ้ ครงงาน เป็นวธิ ีการหนึง่ ที่ใหผ้ เู้ รยี นสร้างความรู้หรอื สง่ิ ประดษิ ฐใ์ หม่ ด้วยตนเองโดย ใช้แนวทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญา ของ Piaget หลักการสำคัญ กระบวนการเรียนรู้ ของเด็ก มี 2 กระบวนการ คือ การซึมซับหรือการดูดซึม (Assimilation) และการปรับและจัดระบบ (Accommodation) ทำให้เกิดความสมดุล เป็นการสร้างความรู้(Constructivism) ต่อมาพัฒนาเป็น ทฤษฎีการสร้างความรู้คอน สตรัคชันนิสต์ซึม (Constructionism) ซึ่งเป็นทฤษฎีการเรียนรู้ในกลุ่ม ปัญญานิยม (Cognitive Theory) ที่ เน้นเรื่องปัญหาการเรียนรู้โดยวิธีค้นพบ (Discovery Approach) หรือการค้นหาความรู้ด้วยวิธีสอบสวน (Inquiry Learning) ของ Bruner ซึ่งเป็นวิธีการพฒั นาทักษะ การคิด นอกจากนั้นยังมีความรู้ที่สร้างขึ้นด้วย ตนเองอย่างมีความหมาย (Meaningful Learning) ของ Ausubell เป็นการเชื่อมโยงสง่ิ ทจ่ี ะต้องเรียนร้ใู หมก่ ับ หลักการ หรือกฎทเ่ี คยเรยี นมาแล้ว เป็นความรู้ทีอ่ ยู่คงทน และยังสามารถถ่ายทอดความรู้ความเข้าใจให้ผู้อ่ืน เข้าใจความคิดของตัวเองได้ดี ความรู้ท่ีสร้างข้ึนนั้น ยังจะเปน็ รากฐานสำคัญท่ีผู้เรยี นสามารถสร้างความรู้ใหม่ ต่อไปอย่างต่อเนื่องและ เป็นการเรียนรู้ได้ตลอดชีวิต การเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นการเรียนรู้ที่เชื่อมโยง หลักการพัฒนาทักษะการคิดของ Benjamin Bloom ระดับขั้นการใช้ความคิดด้านพุทธิพิสัย (Cognitive Domain) มีทั้งหมด 6 ขั้น ซึ่งเรียงล าดับความรู้ความสามารถการคิดจากล าดับที่ง่ายไปยังล าดับที่ยาก คือ ขั้นที่ 1 ความรู้ความจ า (Knowledge) ขั้นที่ 2 ความเข้าใจ (Comprehension) ขั้นที่ 3 การนำไปใช้ (Application) Valaya Alongkorn Review (Humanities and Social Science) Vol. 8 No. 3 September- December 2018 188 ขั้นที่ 4 การวิเคราะห์ (Analysis) ขั้นที่ 5 การสังเคราะห์ (Synthesis) ขั้นที่ 6 การ ประเมนิ ค่า (Evaluation) และเป็นกระบวนการเรยี นรู้ท่ีเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญในทกุ ขัน้ ตอนของการเรียนรู้ ซึ่ง เร่มิ ต้ังแต่การวางแผนการเรียนรู้ การออกแบบการเรยี นรู้ การสร้างสรรคป์ ระยุกต์ใชผ้ ลผลิต และการประเมิน ผลงาน โดยผู้สอนมีบทบาทเป็นผู้จัดการเรียนรู้ ต่อมาในปี 2001 Lorin Anderson และ David Krathwohl ได้ปรับปรุงแนวคิดการแบ่ง ประเภทการเรียนรู้ทางปัญญา 6 ขั้น (Cognitive Processes) แบบดั้งเดิมของ Benjamin Bloom ที่รู้จักกันดีว่า Bloom Taxonomy (1956) โดยออกแบบการก าหนดวัตถุประสงค์การ เรียนรู้(Learning Objective) ให้พิจารณาเป็น 2 มิติได้แก่ ลักษณะของความรู้(Knowledge Dimension) การเรยี นรู้ ทางปัญญา 6 ขนั้ (Cognitive Processes) ลักษณะของความรู้(Knowledge Dimension) ได้แบ่ง
ออกเป็น 4 แบบ ได้แก่ 1. ความรู้เกี่ยวกบั ความเป็นจริง (Factual Knowledge) หมายถึง ความรู้ในสิ่งที่เป็น จริงอยู่ เช่น ความรู้เกี่ยวกับค าศัพท์และความรู้ในสิ่งเฉพาะต่าง ๆ 2. ความรู้ในเชิงมโนทัศน์(Conceptual Knowledge) หมายถึง ความรู้ที่มีความซับซ้อน มีการจัดหมวดหมู่เป็นกลุ่มของความรู้และโครงสร้างของ ความรู้ 3. ความรู้ในเชิงวิธีการ (Procedural Knowledge) หมายถึง ความรู้ว่าสิ่งนั้น ๆ ทำได้ อย่างไร ซึ่ง รวมถึงความรู้ที่เป็นทักษะ เทคนิค และวิธีการ 4. ความรู้เชิงอภิปริชาญ (Metacognitive Knowledge) หมายถึง ความรู้เกี่ยวกับเรื่อง ทางปัญญาของผู้เรียนเอง คือ ความรู้ที่ผู้เรียนจะทำความเข้าใจเกี่ยวกับการ วางแผนและการแก้ปญั หา ไปจนถึงการประเมิน การเรียนรู้ทางปัญญา 6 ขั้น (Cognitive Processes) ได้แก่ ข้ันที่ 1 จ า (Remember) ขนั้ ที่ 2 เข้าใจ (Understanding) ขนั้ ท่ี 3 ประยุกตใ์ ช้ (Applying) ขั้นท่ี 4 วิเคราะห์ (Analyzing) ข้นั ท่ี 5 ประเมินค่า (Evaluation) ข้นั ท่ี 6 คดิ สรา้ งสรรค์ (Creating) จะเห็นไดว้ ่าการจ าแนกระ ดับ ความรู้ทางปัญญาทั้ง 6 ขั้น ที่ได้กล่าวมาทั้ง 2 แบบนี้มีจุดสำคัญที่แตกต่างกันคือ ข้ันที่ 5 และขั้นที่ 6 มี การสลับกัน ขั้นที่ 5 ของ Bloom จะเป็นการสังเคราะห์แต่ Anderson เป็นประเมิน ขั้นที่ 6 ของ Bloom ประเมินผล แต่ Anderson จะเป็น คิดสร้างสรรค์ นอกจากนั้น การเรียนรู้โดยใช้โครงงาน ยังใช้วิธีการทาง วิทยาศาสตร์มาเป็นขนั้ ตอน การด าเนนิ การทำโครงงานเพ่ือหาค าตอบของปัญหา ซ่งึ ประกอบด้วย 5 ขน้ั (พิม พันธ์ เดชะคปุ ต์ และพเยาว์ ยินดสี ขุ , 2551) ดงั นี้ขั้นที่ 1 ระบปุ ญั หา ข้ันที่ 2 ออกแบบการรวบรวมขอ้ มลู ขั้นที่ 3 ปฏิบัติการรวบรวมข้อมูล ขั้นที่ 4 วิเคราะห์ผลและสื่อความหมายข้อมูล ขั้นที่ 5 สรุปผล ขั้นตอน ทั้งหมด เป็นสิ่งที่ช่วยให้ผู้เรียนเกิดการพัฒนาทักษะการคดิ จากระดับน้อยไปจนถึงระดับท่ีลุ่มลึก อีกประการหนึ่งเปน็ การท้าทายความสามารถของผูเ้ รียนที่จะทำให้งานของตนบรรลุเป้าหมายอกี ด้วย ส่วนสุดท้าย คือ การเรียนรู้ แบบร่วมมอื (Cooperative Learning) เปน็ ส่วนสำคัญที่ท าให้ การเรียนรโู้ ดยใชโ้ ครงงานประสบความสำเร็จ นักการศึกษาสำคัญทีเ่ ผยแพรแ่ นวคิดของการเรยี นรู้ แบบความร่วมมอื คือ Slavin (1990); David Johnson & Roger Johnson (1994) กล่าวว่า การจัด การเรียนการสอนโดยท่ัวไป มักจะไม่ให้ความสนใจเกี่ยวกับ ความสัมพันธ์และปฏิสัมพันธ์ระหว่างวารสารวไลยอลงกรณ์ปริทัศน์ (มนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์) ปีท่ี8 ฉบับท่ี3 กันยายน-ธันวาคม 2561 189 ผู้เรียน ส่วนใหญ่มักจะมุ่งไปที่ปฏิสัมพันธ์ระหว่างครูกับผู้เรียน หรือ ระหว่างผู้เรียนกับบทเรียน ความสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนเป็นมิติที่มักจะถูกละเลยหรือมองข้ามไปทั้ง ๆ ที่มี ผลการวิจัยชช้ี ัดเจนว่า ความรู้สกึ ของผเู้ รยี นต่อตนเอง ตอ่ โรงเรยี น ครูและเพ่ือนรว่ มช้ันมีผลตอ่ การเรียนรู้มาก Johnson & Johnson (1994) กล่าวว่า ปฏิสัมพันธร์ ะหว่างผู้เรยี นมี 3 ลกั ษณะ คือ 1. ลักษณะแขง่ ขันกัน ใน การศกึ ษาเรียนรู้ ผูเ้ รียนแตล่ ะคนจะพยายามเรียนให้ได้ดกี ว่า คนอน่ื เพื่อให้ไดค้ ะแนนดี ไดร้ ับการยกย่อง หรือ ไดร้ ับการตอบแทนในลักษณะต่าง ๆ 2. ลกั ษณะต่างเรยี น คอื แต่ละคนตา่ งก็รับผิดชอบดูแลตนเองให้เกิดการ เรียนรู้ ไม่ยุ่งเก่ียวกับผู้อ่ืน 3. ลักษณะร่วมมือกันหรือชว่ ยกนั ในการเรยี นรู้ คือ แต่ละคนต่างรับผิดชอบในการ เรียนรู้ ของตน และในขณะเดียวกันก็ต้องช่วยให้สมาชิกคนอื่น ๆ เรียนรู้ด้วย Johnson & Johnson (1987) กล่าวไวว้ า่ การจัดการศกึ ษาปัจจบุ ันมกั ส่งเสริมการเรียนรู้ แบบแข่งขนั ซ่ึงอาจมีผลท าใหผ้ เู้ รียนเคยชินต่อการ แขง่ ขันเพอ่ื แย่งชิงผลประโยชนม์ ากกว่าการร่วมมือ กนั แกป้ ญั หา อย่างไรกต็ ามควรให้โอกาสผ้เู รยี นได้เรยี นรู้ท้ัง 3 ลักษณะ โดยรู้จกั ใช้ลกั ษณะการเรียนรู้ อยา่ งเหมาะสมกับสภาพการณ์ ท้งั นีเ้ พราะในชีวิตประจำวัน ผู้เรียน จะตอ้ งเผชิญสถานการณ์ที่มีทั้ง 3 ลักษณะ แตเ่ น่อื งจากการศึกษาปัจจุบนั มีการส่งเสรมิ การเรียนรู้แบบแข่งขัน และแบบรายบคุ คล อยแู่ ล้ว จึงจำเป็นต้องหันมาสง่ เสรมิ การเรยี นร้แู บบร่วมมอื ที่สามารถช่วยใหผ้ ู้เรียนเกิดการ เรียนรู้ไดด้ ี รวมทั้งได้เรยี นรู้ทักษะทางสังคมและการทำงานร่วมกับผู้อื่นซึ่งเป็นทักษะที่จำเป็นอย่างยิง่ ในการ ดำรงชีวิต องค์ประกอบที่สำคัญของการเรียนรู้แบบร่วมมือ (Johnson & Johnson, 1999) มีดังนี้ 1. ความ เกี่ยวข้องสัมพันธ์กันในทางบวก (Positive Interdependence) หมายถึง การที่สมาชิกในกลุ่มทำงานอย่างมี เป้าหมายร่วมกัน มีการทำงานร่วมกัน โดยที่สมาชิกทุกคนมีส่วน ร่วมในการทำงานนั้น มีการแบ่งปันวัสดุ อุปกรณ์ ขอ้ มลู ตา่ ง ๆ ในการทำงาน ทกุ คนมบี ทบาท หน้าท่ี และประสบความสำเร็จรว่ มกัน สมาชกิ ในกลุ่มจะ
มคี วามรสู้ ึกว่าตนประสบความสำเรจ็ ได้ก็ต่อเม่อื สมาชกิ ทุกคนในกล่มุ ประสบความสำเรจ็ ด้วย สมาชิกทกุ คนจะ ไดร้ บั ผลประโยชน์ หรือรางวัลผลงาน กลุ่มโดยเทา่ เทยี มกนั เช่น ถา้ สมาชกิ ทกุ คนช่วยกันท าให้กลุม่ ได้คะแนน 90% แล้ว สมาชิกแต่ละคน จะได้คะแนนพิเศษเพิ่มอีก 5 คะแนน เป็นรางวัล เป็นต้น 2. การมีปฏิสัมพันธ์ที่ ส่งเสริมซ่ึงกันและกัน (Face to Face Promotive Interaction) เป็นการติดต่อสมั พันธ์กัน แลกเปลี่ยนความ คิดเห็นซึ่งกันและกัน การอธิบายความรู้ให้แก่เพื่อนในกลุ่ม ฟัง เป็นลักษณะสำคัญของการติดต่อปฏิสัมพนั ธ์ โดยตรงของการเรยี นแบบรว่ มมอื ดังนัน้ จึงควรมี การแลกเปล่ยี นใหข้ อ้ มลู ย้อนกลบั เปดิ โอกาสให้สมาชิกเสนอ แนวความคิดใหม่ ๆ เพื่อเลือกในสิ่งที่ เหมาะสมที่สุด 3. ความรับผิดชอบของสมาชิกแต่ละคน (Individual Accountability) ความรับผิดชอบ ของสมาชิกแต่ละบุคคล เป็นความรับผิดชอบในการเรยี นรูข้ องสมาชิกแต่ ละบคุ คล โดยมกี ารชว่ ยเหลือ สง่ เสริมซง่ึ กนั และกนั เพื่อใหเ้ กิดความสำเรจ็ ตามเปา้ หมายกลมุ่ โดยทีส่ มาชิกทุก คนในกลุ่มมีความมั่นใจ และพร้อมที่จะได้รับการทดสอบเป็นรายบุคคล Valaya Alongkorn Review (Humanities and Social Science) Vol. 8 No. 3 September-December 2018 190 4. การใช้ทักษะ ระหว่างบุคคลและทักษะการท างานกลุ่มย่อย (Interdependence and Small Group Skills) ทักษะ ระหว่างบุคคล และทักษะการท างานกลุ่มย่อย นักเรียนควรได้รับ การฝึกฝนทักษะเหล่านี้ก่อน เพราะเป็น ทักษะสำคัญที่จะช่วยให้การท างานกลุ่มประสบผลสำเร็จ นักเรียนควรได้รับการฝึกทักษะในการสื่อสาร การ เป็นผ้นู า การไวว้ างใจผอู้ น่ื การตัดสินใจ การแกป้ ญั หา ครูควรจัดสถานการณท์ ี่จะสง่ เสริมใหน้ ักเรียน เพื่อให้ นักเรียนสามารถท างานได้อยา่ งมีประสทิ ธภิ าพ 5. กระบวนการกลุ่ม (Group Process) เปน็ กระบวนการท า งานที่มขี ัน้ ตอนหรือวิธกี าร ที่จะช่วยใหก้ ารด าเนินงานกลุม่ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ นั่นคือ สมาชิกทุกคน ต้องทำความเข้าใจ ในเป้าหมายการทำงาน วางแผนปฏิบัติงานร่วมกัน ดำเนินงานตามแผนตลอดจน ประเมินผลและ ปรบั ปรุงงาน การแบ่งกล่มุ ย่อยมีจดุ ประสงค์หลกั ในการแลกเปล่ียนและปรับความคิด เพอื่ ชว่ ย ในการสรา้ ง (Construct) องค์ความรู้ใหม่ใหเ้ กดิ ขึ้น การแบง่ กลุ่มมหี ลายวธิ ีเช่น ใหเ้ ลือกกลุ่มกันเอง ข้อดีของ วิธีนคี้ ือ ถ้าเปน็ กลมุ่ ทข่ี ยนั ก็จะชว่ ยกันทำงาน แต่ถา้ เป็นกลุม่ ท่ไี มข่ ยนั หรอื ไม่เก่งจะเก่ียงกัน ทำงานทำให้งาน ออกมาไม่ดี หรือไม่มีคุณภาพ แต่หากใช้วิธีผู้สอนเป็นผู้เลือกให้จะทำให้ผู้เรียนต้อง ปรับให้เข้ากับเพื่อนที่ไม่ สนิท จึงจำเป็นต้องปรับให้เข้ากับเพื่อนร่วมกลุ่มให้ได้เพื่อให้สามารถจัดทำ โครงงานส่งผู้สอนได้สำเร็จ ซ่ึง สอดคล้องกับการทำงานจริงที่ผู้เรียนจะต้องประสบหลังจาก จบการศึกษาไปแล้ว ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการ ทำงานในอนาคตอย่างยิ่ง การทำงานโดยใช้การเรียนรู้แบบร่วมมือ ที่น่าสนใจและน่าจะทำให้การเรียนรู้ของ นักเรียน ได้ผลดีคือ เทคนิคคิดเดี่ยว-คิดคู่-คิดร่วมกัน (Think-Pair-Share) (Adams & Hamm, 1994; Johnson, Johnson & Smith 1991; Johnson & Johnson, 1999) เป็นเทคนิคที่เริ่มจากปัญหาหรือโจทย์ คำถาม โดยสมาชิกแตล่ ะคนคิดหาคำตอบด้วยตนเองก่อน แลว้ นำคำตอบไปอภปิ รายกบั เพอ่ื นเป็นคู่ จากนน้ั จึง นำคำตอบของตนหรือของเพือ่ นเป็นคู่เล่าให้เพื่อน ๆ ในกลุ่ม หรือทั้งชั้นฟัง ซึ่งมี 3 ขั้นตอน ดังนี้ ขั้นที่ 1 คิด เดย่ี ว (Think) : การให้ผู้เรียนไดค้ ดิ และไตร่ตรองจากคำถามแบบปลายเปดิ หรือ การเฝา้ สงั เกตพฤติกรรมของ ผู้เรียน ขั้นที่ 2 คิดคู่ (Pair) : การจัดให้ผู้เรียนจบั คู่กันเป็นคู่ ๆ เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึง่ กัน และกัน ใน ประเด็นปัญหาทีก่ ำหนดไว้ เพื่อร่วมกนั คน้ หาข้อสรุปหรือตอบคำถามท่ีตอ้ งการ ขั้นที่ 3 คิดร่วมกัน (Share) : การสลายจากการจบั กลุ่มกนั เปน็ คู่ ๆ แลว้ สรปุ ผลการคน้ หา ค าตอบร่วมกันทงั้ ชน้ั เพ่ือแลกเปลีย่ นความรู้ สรุป และอภิปรายผลการค้นพบ เยาวมาลย์ อรัญ (2560) ได้ศึกษา เรื่อง การใช้เทคนิคคิดเดี่ยว-คิดคู่-คิดร่วมกัน (ThinkPair-Share) สอนวิชาวิทยาศาสตร์ นักเรียนประถมปีท่ี 6 เรื่อง แหล่งทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งมี กระบวนการสอน ดังนี้ ขั้นนำ 1. ครูตั้งประเด็นคำถามเพื่อกระตุ้นให้นักเรียนคิดหาคำตอบ เช่น ทรัพยากรธรรมชาติคือ อะไร แหล่งทรัพยากรธรรมชาติสามารถนำไปใช้ประโยชน์อะไรได้บ้าง วารสารวไลย อลงกรณ์ปริทัศน์ (มนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์) ปีที่8 ฉบับที่3 กันยายน-ธันวาคม 2561 191 ขั้นกิจกรรม 1) Think (คิดเดี่ยว) 1.1 นักเรียนแต่ละคนศึกษาใบความรู้ เรื่อง ทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญและการใช้
ประโยชน์ 1.2 ครูอธิบายเก่ียวกับทักษะการตีความหมายขอ้ มูลและลงข้อสรปุ 1.3 นักเรยี นทำกิจกรรมท่ี 1.1 เรื่อง ทรัพยากรธรรมชาติและการใช้ประโยชน์ ขั้นสรุป ครูและนักเรียนลงข้อสรุปเพื่อใหไ้ ด้ข้อสรุปวา่ “โลกมี ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ที่หลากหลาย สิ่งมีชีวิตต่าง ๆ รวมทั้งมนุษย์ต่างใช้ประโยชน์จาก ทรัพยากรธรรมชาติเพื่อการดำรงชีวิต” 2) Pair (คิดคู่) 2.1 ครูให้นักเรียนจับคู่กับเพื่อน 2.2 นักเรียนแต่ละคู่ ศกึ ษาใบความรู้ เรือ่ ง ปญั หาทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละผลกระทบต่อ สิง่ แวดลอ้ ม 2.3 ครูอธิบายเก่ียวกับทักษะ การลงความเห็นจากข้อมูล 2.4 นักเรียนทำกจิ กรรมที่ 1.2 เรื่อง ปัญหาทรพั ยากรธรรมชาติและผลกระทบต่อ สิ่งแวดล้อม ขั้นสรุป ครแู ละนักเรียนลงข้อสรปุ เพ่ือให้ได้ข้อสรุปวา่ “จำนวนประชากรมนุษย์เพ่ิมขึน้ ทำใหเ้ กดิ การแก่งแย่งกันใช้ทรัพยากรธรรมชาติ และใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างฟุ่มเฟือยไม่เหมาะสม ทำให้ ทรัพยากรธรรมชาติบางชนิดมีปริมาณลดลงหรือหมดไป ส่งผลให้สิ่งแวดล้อมเสื่อมโทรม” 3) Share (คิด รว่ มกัน) 3.1 ครใู หน้ กั เรยี นแบง่ กลมุ่ กลุม่ ละ 4-5 คน 3.2 นกั เรยี นแต่ละกลุม่ ศึกษาใบความรู้ เร่อื ง การอนุรักษ์ ทรัพยากรธรรมชาติและสงิ่ แวดลอ้ ม 3.3 ครูอธิบายเกยี่ วกบั ทักษะการจัดกระทำและสื่อความหมายข้อมูล 3.4 นักเรียนทำกิจกรรมที่ 1.3 เรื่อง การอนุรักษท์ รัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ขั้นสรุป ครูและนักเรียนทุก กลุ่ม ลงข้อสรุปความรู้เก่ียวกับการอนุรักษ์ทรพั ยากรธรรมชาติและ สิ่งแวดล้อม เพื่อให้ได้ข้อสรุปว่า “ทุกคน ควรชว่ ยกันอนรุ กั ษ์ทรพั ยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในท้องถนิ่ เพือ่ ให้มีใช้อย่างยงั่ ยนื ” ไดอ้ ยา่ งไร นำเสนอ เป็นผงั ความคิดหน้าชนั้ เรยี นและหลงั จากนั้น นำไปตดิ บอร์ดหลังหอ้ งเรยี น เพ่อื เปน็ การทบทวนบทเรยี นอีกครั้ง 2.2 หลกั การอนรุ ักษส์ ิง่ แวดล้อม ก่อนที่จะกล่าวถึงหลักการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมจำเป็นจะต้องทราบเกี่ยวกับความหมายของคำที่ เกี่ยวข้องดงั นี้ 2.2.1 ความหมายของสิ่งแวดล้อม มีนักวิชาการหลายทา่ นกล่าวถึง สิ่งแวดล้อม ตามพระราชบัญญัติ ส่งเสรมิ และรกั ษา คณุ ภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ 2535 ในมาตรา 4 ไดใ้ ห้ความหมายไว้ว่า สงิ่ แวดล้อมหมายถึง สิ่งต่างๆ ที่มีลักษณะทางกายภาพและชีวภาพที่อยู่รอบตัวมนุษย์ซึ่งเกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติและที่มนุษย์ได้ สร้างขึ้นทั้งที่เป็นรูปธรรม (จับต้องมองเห็นได้) และนามธรรม (วัฒนธรรม แบบแผน ประเพณี ความ เชื่อ) มี อิทธิพลเกีย่ วโยงถึงกัน เป็นปัจจัยในการเกื้อหนุนซึง่ กันและกนั ผลกระทบจากปัจจัยหนึง่ จะมี ส่วนเสริมสรา้ ง หรือท าลายอีกส่วนหนึ่งอย่างหลีกเลี่ยงมิได้ สิ่งแวดล้อมเป็นวงจรและวัฏจักรท่ี เกี่ยวข้องกันทั้งระบบ (กรม ส่งเสริมคุณภาพสงิ่ แวดลอ้ ม. 2554) ส่ิงแวดล้อม หมายถึง สิ่งตา่ ง ๆ ท่ี รอบตัวเราซึง่ สรุปได้เปน็ 2 ประการคือ สิ่งแวดล้อมทีเ่ ป็นไปตามปรากฏการณ์ธรรมชาติรอบตัวเรา และสิ่งแวดลอ้ มทีเ่ กิดจากการประดิษฐ์คดิ คน้ หรือ ถูกสร้างขึ้นโดยมนุษย์ ทั้งสองประการมี ความสัมพันธ์เชื่อมโยงเกี่ยวเนื่องกันและมีผลกระทบซึ่งกันและกัน รวมทง้ั มีผลต่อวถิ ีชวี ติ มนุษยด์ ว้ ย (วนิ ยั วีระวฒั นานนท์. 2554) ส่งิ แวดลอ้ ม หมายถงึ สิง่ ต่างๆ รอบตวั เราเปน็ สิ่ง ซึ่งสามารถสัมผัสดว้ ย อาการทั้งหา้ ได้หรอื อาจเป็นทรัพยากรหรือไม่ใชท่ รัพยากรกไ็ ด้ สิ่งแวดล้อมอาจเกิดโดย ธรรมชาติ เรียกว่าส่งิ แวดลอ้ มธรรมชาติ เชน่ ป่าไม้ สตั ว์ป่า น้ำ ดนิ อากาศ มนุษย์ แร่ ฯลฯ หรอื เป็นส่ิงทมี่ นุษย์ ได้สร้างขึ้นมา เรียกว่าสิ่งแวดลอ้ มท่ีมนุษย์สร้างขึ้นอาทเิ ช่น เมือง ถนน สังคม วัฒนธรรม ประเพณี กฎหมาย จารีตกฎระเบียบ ฯลฯ สิ่งแวดล้อมเหล่านี้รวมทั้งทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งหมายถึง “สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นโดย ธรรมชาติและให้ประโยชน์ต่อมนุษย์” และมนุษย์ได้ดัดแปลงทรัพยากรธรรมชาติ ด้ังเดิมเป็น ทรัพยากร สำเรจ็ รูปตามความต้องการของมนษุ ย์นัน่ เอง (เกษม จันทรแ์ ก้ว. 2554) จากความหมายดังกล่าวข้างต้นสรุปได้วา่ สิ่งแวดล้อม หมายถึง สิ่งต่าง ๆ ที่มีลักษณะ ทางกายภาพ และชีวภาพที่อยู่รอบ ๆ ตัวมนุษย์ ซึ่งอาจเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ หรือเป็นสิ่งทีม่ นุษย์ สร้างขึ้น รวมถึงสิ่งท่ี เปน็ นามธรรมไดแ้ ก่ วัฒนธรรม ประเพณี วถิ ีชวี ิต ความเชือ่ ศาสนา ตลอดจน สิ่งท่ีใหท้ ัง้ คุณและโทษตอ่ มนษุ ย์
2.3 ความหมายของการอนุรักษส์ ่ิงแวดล้อม มีนกั วิชาการได้อธบิ าย ความหมายของการอนุรกั ษ์สิ่งแวดล้อมหลายท่าน ดงั วิชยั เทยี นน้อย (2553: 2) กลา่ ววา่ การอนรุ กั ษ์ หมายถงึ การน าทรพั ยากรธรรมชาติมาใชใ้ ห้เกดิ ประโยชน์สูงสดุ และยดื อายุ การใช้งานให้ยาวนานท่สี ดุ และ นิวัติ เรอื งพานิช (2557) กล่าวว่า การ อนรุ กั ษ์ หมายถึง การรจู้ กั ใช้ทรัพยากร อย่างชาญฉลาด ให้เปน็ ประโยชนต์ ่อมหาชนมากที่สุด และ ใช้ไดเ้ ปน็ เวลานานท่ีสุดทงั้ นี้ต้องสูญเสียทรัพยากร โดยเปล่าประโยชน์น้อยที่สุด และจะตอ้ งกระจาย การใช้ประโยชน์จากทรัพยากรโดยทั่วถึงกัน และ วินัย วีระ วัฒนานนท์ (2554) ได้อธิบายถึงการให้ 21 ความหมายของการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมไว้ว่า“การอนุรักษ์ สิ่งแวดล้อมและการอนุรักษ์ ทรัพยากรธรรมชาติ อาจนำไปใช้ได้ในความหมายที่เหมือนกัน กล่าวคือ ทรัพยากรธรรมชาติล้วนเป็น องค์ประกอบของสิ่งแวดล้อมที่จะต้องมคี วามสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน อันจะทำให้ สิ่งแวดล้อมหรือระบบ นิเวศเกิดความสมดุล แต่การร่อยหรอของทรพั ยากรอย่างรวดเร็วรวมทั้งกระบวนการ ผลติ การแปรรูป ทรัพยากร และการใช้ทรัพยากรท่ีเพิม่ ขึ้นไดก้ ่อให้เกิดสารพษิ ในสง่ิ แวดลอ้ มทำให้ส่ิงแวดล้อม ขาด ความสมดุล ดังนั้นการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติจึงมีความหมาย เช่นเดยี วกัน จากความหมายดังกล่าวข้างต้นสรุปได้ว่า การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม หมายถึง การรู้จักใช้ ทรัพยากร อย่างฉลาดและประหยัด โดยใช้ให้เกิดประโยชน์มากที่สุดเพื่อเอื้ออำนวยให้คุณภาพสูง ในการสนองความ เปน็ อยู่ของมนุษย์และคงไว้ ซึ่งปริมาณคุณภาพของทรัพยากรธรรมชาติ สำหรับ การศึกษาคร้งั น้ีได้ให้คำจำกัด ความว่าการอนรุ ักษ์สง่ิ แวดล้อม หมายถงึ การสงวน บำรุง รักษา ปอ้ งกนั รจู้ กั วิธใี ช้สงิ่ แวดล้อมอย่างประหยัด และได้ประโยชน์คุ้มค่ามากที่สุด เกี่ยวกับพลังงานไฟฟ่า น้ำ ต้นไม้ ศิลปวัฒนธรรมและการจัดการขยะ หรือ กลา่ วไดว้ ่า การอนุรักษ์ คือ การรจู้ ักใช้ บำรงุ ปอ้ งกัน และรกั ษาทรัพยากรหรือสง่ิ แวดล้อมอย่างฉลาด เพ่ือให้ สามารถมีเอาไว้ใช้ได้ยัง่ ยนื ยาวนาน 2.4 หลกั การอนรุ ักษ์สิง่ แวดล้อม มีนักวิชาการหลายท่านได้กล่าวไว้เกี่ยวกับหลักการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมดังเช่น เกษม จันทร์แก้ว (2554) ได้กล่าวถึงหลักหรือวิธีการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมเพื่อให้เอือ้ ประโยชนต์ ่อการนำมาใช้ ในลักษณะต่าง ๆ ของมนุษยอ์ ยา่ งยงั่ ยืน ซ่ึงการทจ่ี ะให้เกิดส่ิงดงั กลา่ วไดต้ ้องอาศัยหลกั หรอื วธิ ีการ อนุรกั ษส์ ง่ิ แวดลอ้ ม ดงั นี้ หลักการท่ี 1: ใชแ้ บบย่งั ยืน ทรัพยากรทกุ ประเภททุกกล่มุ ตอ้ งมแี ผนการใช้แบบย่ังยืน (Sustainable Utilization) ซง่ึ ตอ้ งมกี ารวางแผนการใช้ตามสมบัติเฉพาะตัวของทรพั ยากร พร้อมทงั้ มีการเลือกเทคโนโลยีที่ เหมาะสม ที่จะใช้ทรัพยากรใหเ้ หมาะสมกบั ชนิดของทรพั ยากร ปรมิ าณการ เก็บเกย่ี วเพือ่ การใช้ ช่วงเวลาท่ีจะ นำมาใช้ และกำจัด/บำบัดของเสยี และมลพิษใหห้ มดไปหรือนอ้ ย จนไมม่ พี ิษมีภัย หลักการที่ 2: การฟื้นฟูสิ่งเสื่อมโทรม ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น เมื่อ มีการใช้แล้ว ย่อมเกิดความเสื่อมโทรมเพราะใช้เทคโนโลยีทไ่ี ม่เหมาะสม เก็บเกีย่ วมากเกนิ ความสามารถในการปรับตัวของ ระบบ มีสารพิษเกดิ ขึน้ เกบ็ เกย่ี วบ่อยเกินไป และไมถ่ ูกต้องตาม กาลเวลา จำเป็นต้องทำการฟืน้ ฟใู ห้ดีเสียก่อน จนทรัพยากร/สิ่งแวดล้อมนั้น ๆ ตั้งตัวได้ จึงสามารถ นำมาใช้ได้ในโอกาสต่อไป อาจใช้เวลาฟื้นฟู การกำจัด การบำบดั หรอื การทดแทนเป็นปี ๆ หลักการที่ 3: การสงวนของหายาก ทรัพยากรบางชนิด/ประเภทมีการใช้มากเกินไป หรือมีการแปร สภาพเป็นสงิ่ อ่ืนทำให้บางชนิดของทรพั ยากร/สงิ่ แวดลอ้ มหายาก ถา้ ปล่อยใหม้ ีการใช้ เกิดข้นึ แล้ว อาจทำเกิด การสญู พันธ์ุได้ จำเป็นตอ้ งสงวนหรือเก็บไว้เพ่ือเปน็ แม่พนั ธ์ุหรือเปน็ ตวั แม่บท ในการผลิตให้มากข้ึน จนแน่ใจ ว่าไดผ้ ลผลติ ปรมิ าณมากพอแลว้ ก็สามารถนำใชป้ ระโยชนไ์ ด้ หลกั การอนรุ ักษท์ ้ัง 3 หลกั การนี้ มีความสัมพันธ์ ต่อกันและกัน กล่าวคือต้องใช้ร่วมกันตั้งแต่การใช้ ทรัพยากรต้องพินิจพิเคราะห์ให้ดีว่าจะมีทรัพยากรใช้
ตลอดไปหรือไม่ ถ้าใช้แล้วมีสิ่งใดที่มีความเสื่อม โทรมของทรัพยากรประเภทใดที่เกดิ ขึ้น หรือถ้าสิ่งใดใช้มาก เกินไปจำเป็นต้องสงวนหรือเก็บรักษา เอาไว้ จะเห็นได้ว่า ขั้นตอนทั้ง 3 หลักการจะผสมผสานกันเสมอ และ เพือ่ ให้เอ้ือประโยชน์ต่อการ น ามาใชใ้ นลกั ษณะต่าง ๆ ของมนษุ ย์อยา่ งยงั่ ยืน ซ่ึงการท่จี ะให้เกิดสิ่งดังกล่าวได้ ตอ้ งอาศัยหลักหรือ วธิ ีการอนรุ ักษส์ งิ่ แวดล้อม ดงั น้ี 1. การใช้ หมายถึง การใช้หลายรูปแบบเช่น บริโภคโดยตรง เห็น ได้ยิน/ได้ฟังได้สัมผัส การให้ความ สะดวก และความปลอดภยั รวมไปถึงพลงั งาน เหลา่ น้ีตอ้ งเป็นเรอื่ งการใชอ้ ย่างยั่งยืน 2. การเก็บกัก หมายถึง การรวบรวมและเก็บกกั ทรัพยากรที่มีแนวโน้มท่จี ะขาดแคลนใน บางเวลาหรอื คาดวา่ จะเกิดวกิ ฤตการณเ์ กดิ ขนึ้ บางคร้ังอาจเกบ็ กักเอาไวเ้ พ่ือการน าไปใช้ประโยชนใ์ น ปริมาณทค่ี วบคุมได้ 3. การรักษา/ซ่อมแซม หมายถึง การดำเนินการใด ๆ ต่อทรัพยากรที่ขาดไป/ไม่ทำงาน ตาม พฤติกรรม/เสื่อมโทรม/เกิดปัญหา เป็นจุด/พื้นที่เล็ก ๆ สามารถให้ฟื้นคืนสภาพเดิมได้อาจใช้ เทคโนโลยีที่ มนษุ ย์สรา้ งข้นึ ชว่ ยใหด้ เี หมือนเดิมจนสามารถนำมาใช้ได้ 4. การฟื้นฟู หมายถึง การดาเนินการใด ๆ ต่อทรัพยากรหรือสิ่งแวดลอ้ มทีเ่ สื่อมโทรมให้สิง่ เหล่านัน้ เป็นปกติ สามารถเออื้ ประโยชน์ ในการนำไปใชป้ ระโยชน์ตอ่ ไป ซึง่ การฟ้ืนฟตู อ้ งใช้เวลาและ เทคโนโลยเี ขา้ ช่วย เสมอ 5. การพัฒนา หมายถึง การทำสิ่งที่เป็นอยู่ให้ดีขึ้น การที่ต้องพัฒนาเพราะต้องการเร่งหรือ เพิ่ม ประสทิ ธภิ าพให้เกดิ ผลผลติ ที่ดีขน้ึ การพฒั นาท่ถี กู ตอ้ งน้ัน ต้องอาศัยทง้ั ความรเู้ ทคโนโลยีและ การวางแผนท่ีดี 6. การปูองกนั หมายถงึ การปอู งกันสง่ิ ทจ่ี ะเกดิ ขึ้นมิให้ลุกลามมากกวา่ น้ี รวมไปถงึ การ ปอู งกนั สง่ิ ท่ีไม่ เคยเกดิ ใหด้ ้วย การปอู งกันตอ้ งใช้เทคโนโลยแี ละการวางแผนเชน่ เดียวกบั วธิ ีการ อนุรกั ษอ์ น่ื ๆ 7. การสงวน หมายถึง การเก็บไว้โดยไม่แตะต้องหรือนำไปใช้ด้วยวิธีใด ๆก็ตาม การสงวน อาจ กำหนดเวลาทเี่ กบ็ ไวโ้ ดยไม่ให้มกี ารแตะตอ้ งตามเวลาที่กำหนดไว้กไ็ ด้ 8. การแบ่งเขต หมายถึง ทำการแบ่งเขตหรือแบ่งกลุ่ม/ประเภท ตามสมบัติของทรัพยากร สาเหตุท่ี สำคญั เพราะวิธีการให้ความรู้ หรือกฎระเบียบทีน่ ำมาใชไ้ ม่ได้ผล หรือตอ้ งการจะแบง่ เขตให้ ชัดเจนเพ่ือให้การ อนุรักษไ์ ดผ้ ล เชน่ อุทยานแหง่ ชาติ เขตรกั ษาพันธุ์สตั วป์ ่า เมืองควบคุมมลพิษ ฯลฯ อย่างไรกต็ ามการแบ่งเขต นี้จะตอ้ งมกี ารสรา้ งมาตรการกำกบั ดว้ ย มฉิ ะนน้ั จะไมเ่ กิดผล หลักการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมท้ัง 8 วิธีดังกล่าว อาจนำมาใช้เพียงหน่ึงหรือมากกว่านั้น หรือ ทุก ๆ ตัว ในการนำไปสู่การวางแผนในการจัดการสิ่งแวดล้อม ซึ่งสอดคล้องกับหลักในการอนุรักษ์ ทรัพยากรและ สิ่งแวดล้อมของสาคร ลือเจริญ (2551) คือ 1) การอนุรักษ์ทางตรงหรือมาตรการ ทางตรง 2) การอนุรักษ์ ทางออ้ มหรือมาตรการทางออ้ ม การอนุรกั ษท์ างตรงหรอื มาตรการทางตรง ประกอบไปด้วย 1. การปกปกั รักษา การคุ้มครอง (Reservation) หมายถงึ การรกั ษาทรพั ยากรน้นั ไว้ให้คง สภาพเดิม ตามธรรมชาติ มกี ารจำกดั การใช้ ปอู งกนั ไม่ใหถ้ ูกทำลาย เช่น การเขียนป้ายหา้ ม วิธกี าร คุม้ ครองหรือปกปักษ์ รักษาน้ีจำเป็นอย่างยงิ่ สาหรับในอนาคต ทรพั ยากรทเี่ หมาะสมแก่การอนุรกั ษ์ โดยวิธีนี้ ได้แก่ ทิวทัศน์ สิ่งมีค่า ทางประวัติศาสตร์ 2 การบรู ณปฏสิ ังขรณ์ การซอ่ มแซมหรือการสร้างข้นึ ใหม่ (Restoration) เป็นวธิ ที ีใ่ ชอ้ ยา่ ง กวา้ งขวาง กับทรัพยากรทุกชนดิ ยกเว้นแร่ธาตุ รวมถึงทรัพยากรดิน ป่าไม้ สัตว์ป่าสามารถบูรณะให้ คืนสู่สภาพเดิมหรือ สภาพท่ีเหมาะสมได้ 3. การปรับปรุงให้ดีกวา่ สภาพธรรมชาติ (Benefaction) ถอื หลกั การใหผ้ ลผลิตสงู กวา่ ระดับธรรมชาติ เชน่ การปรบั ปรุงหาดทรายใหป้ ลกู พชื ได้
4. การผลิตและการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อจะได้มีใช้ระยะเวลานานและ สำหรับคน จำนวนมากทีส่ ุดดว้ ย 5. การนำกลับมาใช้ใหม่ (Re-use) เป็นการนำทรัพยากรท่ีหมดสภาพมาดัดแปลงแก้ไขหรือ นำมาทำ ใหม่ 6. นำส่งิ อ่นื มาใช้ทดแทน (Substitution) วธิ ีการน้ใี ช้หลักทีว่ ่าใชท้ รัพยากรทีบ่ รู ณะได้ แทนทรัพยากร ทบ่ี รู ณะไม่ไดใ้ ชท้ รพั ยากรทีม่ มี าก แทน ทรพั ยากรท่ีมีนอ้ ยใช้ทรัพยากรทห่ี างา่ ย แทน ทรัพยากรท่หี ายาก 7. การตรวจสอบปรมิ าณและคุณภาพของทรพั ยากร การใชท้ รพั ยากรอย่างฉลาดรจู้ ัก ทรัพยากรน้นั ๆ ก่อน กลา่ วคอื ต้องรจู้ ักธรรมชาติ ต้นกำเนดิ ปรมิ าณ ความสำคัญและคุณภาพก่อน เพือ่ จะใช้ให้เกิดประโยชน์ มากทส่ี ดุ การอนุรกั ษท์ างอ้อมหรือมาตรการทางสังคม ประกอบไปด้วย 1) สาธารณชนให้ความร่วมมือ เช่น การดำเนินงานในรูปขององค์การ สมาคมชมรม เพื่อการอนุรักษ์ ทรัพยากร 2) การใช้กฎหมายควบคุม กฎหมายเป็นเครื่องมือสำคัญอย่างหนึ่ง ที่ทำให้การอนุรักษ์ ทรัพยากร เกดิ ผลดี ในเรือ่ งกฎหมายนี้ รฐั บาลต้องทำใหร้ ัดกมุ หรอื ตอ้ งพิจารณาออกกฎหมายท่ไี ม่เปิด โอกาสให้ผู้เห็นแก่ ตวั ใชเ้ ปน็ เคร่อื งมือทำลายประโยชน์ของส่วนรวมได้ รวมทง้ั กฎหมายน้ัน ตอ้ งทันตอ่ เหตุการณด์ ว้ ย 3) การศึกษา วิธีนี้จำเป็นอย่างยิ่งเพราะการทำให้คนมีความรู้ย่อมช่วยให้การอนุรักษ์ ทรัพยากร สง่ิ แวดลอ้ มเกดิ ผลดแี ม้จะต้องใชเ้ วลานานกต็ าม คนทกุ คนในสังคมควรได้รบั รู้และเข้าใจใน เรอ่ื งของทรพั ยากร ตระหนักถงึ ปัญหาสถานการณ์ทเี่ กดิ ขึ้นกับทรพั ยากร และเห็นคุณคา่ ของ ทรพั ยากร โดยสอดแทรกความรเู้ รื่อง นี้ในหลักสูตรการศึกษาทุกระดับ ตลอดจนการให้ความรู้แก่ ประชาชนโดยทั่วไปให้ทั่วถึง โดยการแนะนำ ชกั ชวนทางสอื่ มวลชน การฝกึ อบรมนอกหลกั สตู ร ต่าง ๆ อนั จะเป็นการทจ่ี ะท าใหป้ ระชากรทั่วไปสนใจในการ อนุรกั ษ์ ช่วยทำใหก้ ารอนุรักษ์ทรพั ยากรและ สงิ่ แวดล้อมบรรลเุ ป้าหมาย นอกจากน้วี นิ ยั วีระวัฒนานนท์ (2554) ไดเ้ สนอหลักการอนุรกั ษ์ส่ิงแวดล้อม ดังนี้ 1. การสำรวจค้นหา (Survey and Identify) เป็นการสำรวจค้นหาทรัพยากรและ สิ่งแวดล้อมที่เปน็ ประโยชน์ทสี่ ามารถนำมาใชไ้ ด้ 2. การรักษาป้องกัน (Maintenance and Protection) เป็นการรักษา ปกป้องไม่ให้ ทรัพยากรและ สง่ิ แวดลอ้ มน้นั เสื่อมโทรมหรอื ถูกทำลายหรือเกดิ มลพษิ 3. การใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด (Wise use) โดยใช้ถูกประเภทใช้ให้เหมาะสมกับศักยภาพ ของ ทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมนั้น ๆ ใช้อย่างมีประสิทธิภาพ คือ ใช้ให้น้อยแต่เกิดประโยชน์สูงสุด ใช้ได้นานท่สี ุด และใหค้ นจำนวนมากได้รับประโยชนด์ ว้ ย 4. รู้จักใช้ทรัพยากรที่มีคุณภาพรองลงมา (Audience of the Best) เลือกใช้ทรัพยากร ตามความ จำเป็นและความเหมาะสม โดยไม่จำเป็นต้องใชท้ รัพยากรทีม่ ีคุณภาพสูงสดุ 5. รู้จกั ปรบั ปรงุ คณุ ภาพ (Improvement) โดยการปรับปรุงคณุ ภาพทรัพยากรและ สงิ่ แวดล้อมนั้นให้ ดีขึน้ เพือ่ ให้ใช้ประโยชน์ได้ 6. การดัดแปลงของเก่าเป็นสิ่งใหม่ โดยนำของเสียหรอื ของเหลอื มาผ่านกระบวนการผลิต เพ่ือ ใช้ใหม่ เช่น ทำขยะเปน็ ป๋ยุ เปน็ ต้น 7. การนำสิ่งอืน่ มาใช้ทดแทน เพ่อื ประหยดั ทรพั ยากรที่ใช้แล้วสน้ิ เปลอื งนอกจากน้ี และ กรมส่งเสริม คณุ ภาพสง่ิ แวดล้อม (2554: 49-51) ได้เสนอ หลักพ้นื ฐานในการอนรุ ักษ์สิง่ แวดล้อม ไดแ้ ก่ 1) การปลูกฝังให้ประชาชนมีจิตสำนึก มีความรู้สำหรับรับผิดชอบตอ่ ทรัพยากร ธรรมชาติ ทุกชนิดท่ี ตนมีส่วนร่วมเกยี่ วข้อง
2) รัฐบาลมีบทบาทเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดในการออกนโยบายและมาตรการต่าง ๆ ใน การคุ้มครอง ดูแล จดั การการใช้ทรัพยากรสิง่ แวดลอ้ ม 3) ใช้ทรัพยากรธรรมชาติแตล่ ะชนิดให้เกิดประโยชนอ์ ย่างยั่งยืน เนื่องจากทรัพยากร ธรรมชาติชนดิ ต่าง ๆ จะมีประโยชน์หลายทาง รัฐหรือท้องถิ่นควรมีการจัดการ ดูแล ประสานการใช้ ประโยชน์ของ ทรพั ยากรธรรมชาติให้เกดิ ประโยชน์ในทางที่ควรจะเป็น 4) จดั ระบบและวางแผนในการใช้ทรพั ยากร โดยจะต้องมกี ารสำรวจและหาข้อมูลที่ เกี่ยวข้องกับการ ใช้ทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดล้อมในอนาคต ตามอัตภาคเพิ่มขึ้นของประชากร เพื่อที่จะได้จัดระบบและวาง แผนการจดั การให้มนุษย์มใี ช้ตลอดไปโดยไม่ประสบปญั หาส่งิ แวดล้อม 5) ทรัพยากรธรรมชาติและสิง่ แวดล้อมทุกประเภท มีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์พึ่งพา อาศัยกัน การใช้ ทรัพยากรไมค่ วรให้กระทบตอ่ ทรัพยากรอนื่ เพราะส่งิ มชี ีวิตย่อมมคี วามสมั พันธก์ ับ สิง่ มชี ีวติ ชนดิ อน่ื ๆ สรุป การอนุรักษ์และการพฒั นาสิ่งแวดล้อมก็เป็นเรือ่ งเดียวกันแต่ จากแนวคิด พฤติกรรมของมนุษย์ ต่อสิ่งแวดล้อม ผู้ศึกษาค้นคว้าเห็นว่าแนวความคิดดังกล่าวได้ชี้ให้เห็นถึง ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับ ส่งิ แวดล้อมว่ามคี วามสมั พันธ์กนั อย่างใกล้ชิดและมนุษย์จึงควร ตระหนักถงึ พฤตกิ รรมในด้านตา่ ง ๆ ที่ได้แสดง และกระทำต่อสิ่งแวดล้อม ในการปรับเปลี่ยน พฤติกรรมด้วยความมุ่งมั่นที่จะปกป้อง รักษาคุณภาพ ส่ิงแวดลอ้ มให้คงสภาพที่ดี แกไ้ ขปญั หา ส่ิงแวดล้อมทเ่ี ปน็ อยู่ และป้องกนั ปัญหาใหม่ทีอ่ าจเกิดขึ้นในอนาคต ซงึ่ แนวคดิ ดงั กล่าวมีความ สอดคลอ้ งกับวจิ ัยครงั้ น้ี ผู้วิจัยจึงได้นำมาเป็นกรอบในการวิจัย 2.5 พฤตกิ รรมการอนุรกั ษส์ งิ่ แวดล้อม จากความหมายของพฤตกิ รรมมีผู้ศึกษาพฤติกรรมมนุษย์และการให้ความหมายของคำว่า พฤตกิ รรม ดังนี้ พฤติกรรมเป็นผลจากการแสดงปฏกิ ิริยาตอบสนองต่อส่ิงเร้าในสถานการณ์ต่าง ๆ และประสิทธิ์ ทองอนุ่ (2554) ได้กล่าวว่าพฤติกรรม หมายถึงการกระทำ การแสดงอาการหรือ อากัปกิริยาของอนิ ทรีย์ ทั้งในส่วนที่ เจ้าของพฤติกรรมเองเท่านั้นที่รู้ได้ และในส่วนที่บุคคลอื่นอยู่ใน วิสัยท่ีจะรู้ได้ จึงทำให้จำแนกพฤติกรรม ออกเป็น 2 ประเภท คือ พฤติกรรมภายใน คือ พฤติกรรมท่ี เจ้าของพฤติกรรมเท่านั้นที่รู้ได้บุคคลอื่นที่มิใช่ เจ้าของพฤติกรรมไม่สามารถที่จะรับรู้ได้โดยตรง ถ้าไม่ แสดงออกมาเป็นพฤติกรรมภายนอก ส่วนพฤติกรรม ภายนอก คอื พฤติกรรมทบ่ี คุ คลอื่น นอกเหนือจากเจ้าของพฤตกิ รรม สามารถทจี่ ะร้ไู ด้ โดยอาศัย “การสังเกต” ไม่ว่าจะใช้ประสาทสัมผัส โดยตรงหรือการใช้เครื่องมือ (Instrument) ช่วยในการสังเกตเพื่อให้ได้ข้อมูล นอกจากนี้ ประภาเพญ็ สวุ รรณ (2556) กล่าวว่าพฤติกรรม หมายถงึ การกระทำของมนุษย์ท้ังโดยรู้สึกตัวและ ไมร่ ู้สกึ ตวั ทั้ง สงั เกตไดด้ ้วยตนเองหรอื ผู้อืน่ รวมท้ังการกระท าท่ไี ม่อาจสงั เกตได้หรอื ใชเ้ ครอ่ื งมือสงั เกตจากคำ จำกัด ความต่าง ๆ พอสรุปความหมายของ “พฤติกรรม” ว่าหมายถึง การกระทำหรือการตอบสนองของ มนุษย์ต่อสถานการณ์ใดสถานการณ์หนึ่ง หรือสิ่งกระตุ้นต่าง ๆ โดยการกระทำนั้นเป็นไปโดยมี จุดมุ่งหมาย และเป็นไปอยา่ งใคร่ครวญหรอื เป็นไปอยา่ งไม่ใคร่ครวญ และไม่วา่ สิ่งมีชีวติ และบุคคลอ่ืน สามารถสังเกตการ กระทำนนั้ ไดห้ รือไมก่ ็ตาม สำหรับการศึกษาค้นคว้าครั้งนี้ได้ให้ความหมายของ “พฤติกรรม” ว่าหมายถึงการกระทำ หรือการ ตอบสนองของนักศึกษา ที่มีต่อการอนุรักษ์พลังงานไฟฟูา การอนุรักษ์น้ำ การดูแลพื้นที่ สี เขียว การจัดการ ขยะ การอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรม ซึ่งแสดงออกมาในรูปของการกระทำ หรือ ตอบสนองต่อเครื่องมือที่ผู้ศึกษา คน้ คว้า ใชใ้ นการสงั เกตพฤตกิ รรม เป็นพฤตกิ รรมท่บี ุคคลกระทำต่อ สิ่งแวดลอ้ มมี 3 ลักษณะ ดงั ท่ี วชิ าญ มณี โชติ (2553) กล่าวว่า 1. พฤติกรรมที่แสดงถึงการกระทำ 26 เช่น การบำรุงรักษา การปรับปรุง การ เปลี่ยนแปลง ดัดแปลง การสร้างขึ้นใหม่ การควบคุม การ ประหยัด ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้จัดเป็นพฤติกรรม ควบคุม อนุรักษ์ และทำลายสิ่งแวดลอ้ ม 2. พฤติกรรมที่แสดงถึงความรู้สึก ความรัก ความผูกพนั และเมตตา
สงสาร ในรูปพฤติกรรมการเลีย้ งดู เอาใจใส่พืชและสัตว์ การซาบซึ้งในความงามของศิลปะและธรรมชาติ การ สะสม เป็นตน้ พฤติกรรมนี้ จัดเปน็ พฤตกิ รรมทแ่ี สดงถงึ ความสัมพนั ธ์ของมนุษย์ต่อสงิ่ แวดล้อม 3. พฤติกรรมท่ี แสดงถงึ ความเช่อื เช่น การกราบไหวส้ ิง่ ศักด์ิสทิ ธิ์ การเช่ือโชคลาง พฤตกิ รรมประเภทนี้ จัดวา่ เปน็ ความสมั พันธ์ ระหวา่ ง มนุษย์กบั สง่ิ ทเ่ี หนอื ธรรมชาติ และ กรมสง่ เสรมิ คุณภาพส่ิงแวดลอ้ ม (2550) กล่าววา่ วัฒนธรรมเป็น สิ่งที่ก าหนดพฤติกรรมของมนุษย์ พฤติกรรมของคนจะเป็นเช่นไรกข็ ึ้นอยู่กับวัฒนธรรมของกลุม่ สังคม นั้น ๆ เชน่ วฒั นธรรมในการพบปะทกั ทายของไทยใช้การสวัสดี ของชาวตะวันตกท่ัวไปใชก้ ารสมั ผสั มือของชาวทิเบต ใช้การแลบลิ้น ของชาวมุสลิมใช้การกล่าวสลาม เป็นต้น วัฒนธรรมเป็นสิ่งที่ควบคุม สังคม สร้างความเป็น ระเบียบเรียบร้อยให้แก่สังคม เพราะในวัฒนธรรมจะมีท้ังความศรัทธาความเชื่อ ค่านิยม บรรทัดฐาน เป็นต้น ฉะนั้นจงึ กล่าวได้วา่ ถ้าหากเข้าใจในเรื่องวัฒนธรรมดีแล้วจะท าให้ สามารถเข้าใจพฤติกรรมต่าง ๆ ของคนใน แตล่ ะสังคมไดอ้ ย่างถูกต้อง วิธกี ารวัดพฤตกิ รรม ดังท่ีได้กล่าวมาแลว้ ว่า พฤตกิ รรมของบุคคลนั้นมีทัง้ พฤติกรรมภายนอกและพฤตกิ รรม ภายใน การท่ี จะศึกษาถึงพฤติกรรมน้ันสามารถทำได้หลายวิธี ถ้าเป็นพฤติกรรมภายนอกที่บุคคล แสดงออกมาใหบ้ คุ คลอื่น เห็นได้จะทำการศึกษาได้ คอื ใช้การสังเกตโดยตรงและโดยอ้อม แตถ่ ้าเป็น พฤติกรรมภายในที่ไม่สามารถสงั เกต ได้ต้องใช้วิธีการทางอ้อม เช่น การสัมภาษณ์ การทดสอบด้วย แบบทดสอบ หรือการทดลองทั้งใน ห้องปฏิบัติการและในชุมชน ดังนั้นเครื่องมือที่ใช้วัดพฤติกรรมอาจ ทำได้โดยการสร้างแบบสอบถาม แบบ สัมภาษณ์ แบบสังเกต และประกอบการสัมภาษณ์หรือใช้ เครื่องมอื อนื่ ประกอบ เช่น เคร่อื งวัดความดันโลหิต เครื่องฟงั การเต้นของหัวใจ (เจริญจิต ลภี ทั ร พณิชย์. 2554) ได้กล่าวถึงวิธีการศึกษาพฤติกรรมว่ามี2 วิธี คอื 1. การศึกษาพฤติกรรมโดยทางตรง ทำไดโ้ ดย 1.1 การสังเกตแบบให้ผู้ถูกสังเกตรู้ตวั (Direct Observation) เชน่ ครสู งั เกตพฤติกรรม ของ นักเรียนในหอ้ งเรียน โดยบอกใหน้ ักเรียนในชัน้ ได้ทราบว่าครูจะสังเกตพฤติกรรมดวู ่าใครทำ กิจกรรม อะไรบ้างในหอ้ งเรียน การสังเกตแบบนบี้ างคนอาจไมแ่ สดงพฤตกิ รรมทแี่ ทจ้ รงิ ออกมากไ็ ด้ 1.2 การสังเกตแบบธรรมชาติ (Naturalistic Observations) เช่น การที่บุคคล ผู้ ต้องการ สงั เกตพฤตกิ รรมไมไ่ ด้กระทำตน เป็นท่ีรบกวนพฤตกิ รรมบุคคลผู้ถกู สังเกต และเปน็ ไป ใน ลักษณะที่ ทำให้ผู้ถูกสงั เกตไมท่ ราบว่าถูกสังเกตพฤตกิ รรม การสงั เกตแบบนี้จะได้พฤติกรรมทแี่ ท้จริง มาก และ จะทำให้สามารถนำผลท่ไี ดไ้ ปอธิบายพฤตกิ รรมที่ใกล้เคียงหรือเหมือนกัน ข้อจำกัดของวิธีสังเกตแบบ ธรรมชาติก็คือ ต้องใช้เวลามากถึงจะสังเกตพฤติกรรมที่ต้องการได้ และการสังเกตต้องท า เป็นเวลา ตดิ ต่อกันเปน็ จำนวนหลาย ๆ คร้งั พฤตกิ รรมบางอยา่ งอาจตอ้ งใช้เวลาสงั เกตถงึ 50 ปี 2. การศึกษาพฤติกรรมโดยอ้อม ทำไดโ้ ดย 2.1 การสมั ภาษณ์ เป็นวิธที ผ่ี ูศ้ กึ ษาต้องการซักถามขอ้ มูลจากบคุ คลหรือกลุ่มของบุคคล ซ่งึ ทำ ไดโ้ ดยการซักถามเผชิญหนา้ กันโดยตรง หรอื มีคนกลางทำหน้าที่ซักถามใหก้ ็ได้ เช่น ใช้ล่าม สัมภาษณ์ คนที่พูดกันคนละภาษา การสัมภาษณเ์ พ่ือตอ้ งการทราบถึงพฤติกรรมของบคุ คลแบ่ง ออกเป็นเรือ่ งๆ ตามที่ได้ตั้งจุดมุ่งหมายเอาไว้ อีกประการหนึ่งคือ การสัมภาษณ์โดยอ้อมหรือไม่เป็น ทางการ ผู้ถูก สมั ภาษณ์จะไม่ทราบวา่ ผูส้ ัมภาษณ์ต้องการอะไร ผู้สัมภาษณ์จะคยุ ไปเร่ือย ๆ โดย สอดแทรกเร่ืองทจี่ ะ สัมภาษณเ์ มื่อมีโอกาส ซ่ึงผู้ตอบจะไมร่ ตู้ ัวว่าเป็นสิ่งที่ผู้สมั ภาษณ์เจาะจงที่จะ ทราบถงึ พฤติกรรม การ สัมภาษณ์ท าให้ไดข้ อ้ มลู มาก แต่ก็มขี อ้ จ ากดั คือบางเรื่องผถู้ ูกสัมภาษณ์ไม่ ต้องการเปิดเผย 2.2 การใช้แบบสอบถาม เป็นวิธีการที่เหมาะสมสำหรับการศกึ ษาพฤตกิ รรมของบุคคล เป็น จำนวนมากและเป็นผู้ที่อ่านออกเขียนได้ หรือสอบถามกับบุคคลที่อยู่ห่างไกลอยู่กระจัดกระจาย นอกจากนี้ยังสามารถถามพฤติกรรมในอดีต หรือต้องการทราบแนวโน้มพฤติกรรมในอนาคตได้ ข้อดี
อีกประการหน่งึ คอื ผ้ถู กู ศกึ ษาสามารถที่จะให้ข้อมูลเก่ียวกับพฤติกรรมท่ีปกปิดหรือพฤติกรรมต่าง ๆ ที่ไม่ยอมแสดงให้บุคคลอื่นทราบได้โดยวิธีอื่น ซึ่งผู้ถูกศึกษาแน่ใจว่าเป็นความลับและการใช้ แบบสอบถามจะใชเ้ วลาศึกษาเวลาใดกไ็ ด้ 2.3 การทดลอง เป็นการศึกษาพฤติกรรมโดยผู้ถูกศึกษาจะอยู่ในสภาพการควบคุม ตามที่ผู้ ศึกษาต้องการ โดยสภาพแท้จริงการควบคุมจะทำได้ในหอ้ งทดลอง แตก่ ารศกึ ษาพฤติกรรม ของคนใน ชุมชนโดยควบคุมตวั แปรตา่ ง ๆ คงเปน็ ไปไดน้ อ้ ยมาก เน่ืองจากการทดลองใน ห้องปฏบิ ตั ิการจะทำให้ ข้อมูลได้จำกดั ซึ่งบางครั้งอาจนำไปใช้ในสภาพความเป็นจริงได้ไม่เสมอไปแต่ วิธีนี้มปี ระโยชน์มากใน การศึกษาพฤตกิ รรมของบุคคลทางการแพทย์ 2.4 การบันทึก วิธีนี้ทำให้ทราบถึงพฤติกรรมของบุคคล โดยให้บุคคลแต่ละคนทำ บันทึก พฤติกรรมของตนเอง ซง่ึ อาจเปน็ บนั ทึกประจ าวันหรอื ศกึ ษาพฤตกิ รรมแตล่ ะประเภท เช่น พฤติกรรม การกนิ พฤติกรรมการทำงาน พฤติกรรมทางสขุ ภาพ พฤติกรรมทางสิ่งแวดล้อม จากการศึกษาค้นคว้าเกย่ี วกบั พฤตกิ รรมการอนุรกั ษ์ส่ิงแวดล้อมในครั้งน้ีเป็นการศึกษา พฤตกิ รรมโดย อ้อมผู้ศึกษาค้นคว้าจึงได้เลือกแบบสอบถาม แบบสังเกต เป็นเครื่องมือในการศึกษา พฤติกรรมของกลุ่ม ตวั อยา่ ง ซ่งึ เปน็ นกั ศึกษาเนือ่ งจากขนาดและจำนวนของกล่มุ ตวั อย่าง มีความ สอดคล้องเหมาะสมกบั วิธีการใช้ แบบสอบถาม กล่าวคือ กลุ่มตัวอย่างมจี ำนวนมากและสามารถอ่าน หนงั สือได้ อีกทั้งวธิ ีการใช้แบบสอบถาม สามารถสอบถามถึงพฤติกรรมในอดีต และแนวโน้มของ พฤติกรรมในอนาคตได้ รวมทั้งยังสามารถศึกษาถึง ขอ้ มูลเกีย่ วกบั พฤติกรรมท่ปี กปดิ ไม่แสดงออกให้ ผู้อ่ืนทราบไดอ้ ีกด้วย 2.6 ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียน 1. ความหมายของผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน ผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียนได้มผี นู้ ิยามความหมาย ไว้ ดังน้ี ภาษิต สุโพธิ์ (2553) ได้ให้ความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึงคุณลักษณะ และ ประสบการณ์เรียนรู้ที่เกิดจากการฝึกอบรม หรือจากการสอน จึงเป็นการตรวจสอบความสามารถ หรือความ สัมฤทธ์ิผลของบคุ คลวา่ เรยี นรแู้ ล้วเท่าไร มคี วามสามารถชนิดใด พวงรัตน์ ทวีรัตน์ (2553)ได้ให้ความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง คุณลักษณะรวมถึง ความรคู้ วามสามารถของบุคคล อันเป็นผลมาจากการเรียนการสอน หรือประมวล ประสบการณ์ท้ังปวงทบ่ี คุ คล ไดร้ ับจากการเรยี นการสอน ทำให้บคุ คลเกิดการเปลยี่ นแปลงพฤติกรรม ในด้านตา่ ง ๆ ของสมรรถภาพสมอง วารี ว่องพินัยรัตน์ (2554) ให้ความหมายของการวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหมายถึง การวัดดูว่า นักเรียนมีพฤติกรรมต่าง ๆ ตามที่กำหนดไว้ในจุดมุ่งหมายของการเรียนการสอนมากน้อย เพียงใด เป็นการ ตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงในด้านต่าง ๆ ของสมรรถภาพทางสมอง ซึ่งเป็นผลจาก การได้รับการฝึกอบรม ในชว่ งทผ่ี ่านมา อันเปน็ เรอื่ งราวของอดตี ล้วน สายยศ และอังคณา สายยศ (2554) ได้กล่าวถึงแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิ (Achievement Test) เปน็ แบบทดสอบที่ม่งุ วดั เนอื้ หาวชิ า ที่เรยี นผ่านมาแลว้ ว่านักเรียนมคี วามรู้ ความสามารถเพียงใด ดังเช่น การสอบวดั ผลการเรียนในชนั้ เรยี นปจั จบุ นั จากนิยามความหมายผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่ได้กล่าวมา จะเห็นได้ว่า ผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน หมายถึง ผลสำเร็จหรือประสิทธิภาพและประสิทธิผลของการเปลี่ยนแปลงทางสมอง นักเรียน ภายหลังได้รบั ประสบการณ์เรียนรู้ด้วยวิธีการต่าง ๆ ผลที่เกิดขึ้นนี้จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับ ศักยภาพของแต่ละคนในการ รับรู้ โดยใชเ้ ครื่องมือชนดิ ตา่ ง ๆ มาทดสอบ เช่น แบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธิ์ เป็นตน้ 2. ประเภทของผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี น การจำแนกประเภทผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน นนั้
ภาษติ สุโพธิ์ (2553) ได้จำแนกพฤตกิ รรมการวัดผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียนออกเปน็ 4 ประเภท คอื 2.1 ความรคู้ วามจำ หมายถึง ความสามารถในการระลกึ ถงึ สง่ิ ท่ีเคยเรยี นรไู้ ปแลว้ เกี่ยวกับข้อเท็จจริง ความคดิ รวบยอด หลกั การ กฎ และทฤษฎี 2.2 ความเข้าใจ หมายถึง ความสามารถในการจำแนกความรู้ เมื่อปรากฏอยู่ในรูปแบบ ใหม่และ ความสามารถในการแปลความรู้จากสัญลกั ษณห์ นึ่งไปยงั อีกสญั ลักษณห์ นึ่ง 2.3 ทกั ษะ เช่น ทักษะการอ่าน ทักษะการคดิ ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ 2.4 การนำไปใช้ หมายถึง ความสามารถในการนำความรู้ และวิธกี ารตา่ ง ๆ ไปใชใ้ น สถานการณ์ใหม่ ทีแ่ ตกต่างไปจากท่เี คยเรยี นรมู้ าแล้ว โดยเฉพาะอยา่ งยิ่ง คอื การนำไปใช้ใน ชวี ิตประจำวนั 2.6 ความพึงพอใจในการเรยี นรู้ กาญจนา คณุ ารกั ษ์ (2553) กล่าวว่า ความพึงพอใจ หมายถงึ ระดับความรสู้ กึ หรอื ความ นึกคิดต่อส่ิง ใดสงิ่ หน่ึงทไี่ ด้รบั ตามท่ีคาดหวังหรอื มากกว่าทค่ี าดหวงั ไชยยัณห์ ชาญปรชี ารัตน์ (2553) กลา่ ววา่ ความพงึ พอใจ หมายถึง ความรูส้ กึ ของบุคคล ท่ีมีต่องานท่ี ปฏิบัติในทางบวกคือ รู้สึกชอบ รัก พอใจ หรือเจตคติที่ดีงามซึ่งเกิดได้จากการตอบสนอง ความต้องการ ทางดา้ นวตั ถแุ ละจิตใจเป็นความรสู้ กึ ทีม่ ีความสขุ เมอื่ ได้รับความสำเรจ็ ตามความ ตอ้ งการหรือแรงจูงใจ ณัฐชญา เอือ้ มอุ่น (2554) กลา่ วว่า ความพงึ พอใจ หมายถึง ความรู้สึกหรือทัศนคติของ บุคคลที่มีต่อ การทำงานหรือกิจกรรมซง่ึ สามารถเป็นไปได้ทัง้ ทางบวกและทางลบ ถ้าเปน็ ไปทางบวกก็ ทำให้เกดิ ผลดีต่องาน และกิจกรรมทที่ ำ หรอื เข้ารว่ มแตถ่ า้ เปน็ ไปทางลบก็จะเกิดผลเสยี ต่องานหรอื กิจกรรมเชน่ กัน ธิดารัตน์ นวลมณี (2554) กล่าวว่า ความรู้สึกภายในจติ ใจของมนุษย์ที่ไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กบั แต่ละ บุคคลว่าจะคาดหวังกับสิ่งหนึ่งอย่างไร ถ้าคาดหวังหรือมีความตั้งใจมากและได้รับการ ตอบสนองด้วยดีจะมี ความพึงพอใจมาก แต่ในทางตรงกันข้ามอาจผิดหวังหรือไม่พึงพอใจเปูนอย่างยิ่ง เมื่อไม่ได้รับการตอบสนอง ตามทีค่ าดหวงั ไวท้ ั้งนข้ี นึ้ อย่กู บั ส่ิงที่ตนตงั้ ใจไว้ว่ามมี ากหรือนอ้ ย Morse (2012) ก็ได้ให้ความหมายความพึงพอใจไว้ว่า ความพึงพอใจ หมายถึง ทุกสิ่งทุก อย่างท่ี สามารถลดความตึงเครียดให้น้อยลง และความตึงเครียดนี้มีผลมาจากความต้องการของมนุษย์ เมื่อมนุษย์มี ความต้องการมากจะเกิดปฏิกิริยาเรียกร้อง ถ้าเมื่อใดความต้องการ ได้รับการตอบสนอง ความเครียดก็จะ นอ้ ยลงหรือหมดไปท าให้เกดิ ความพงึ พอใจในการทำกิจกรรมได้ ถนอมทรัพย์ มะลิซ้อน (2554 ) ความพึงพอใจ หมายถึง ความรู้สึกนึกคิด หรือทัศนคติ ของ ผู้ปฏิบัติงานแต่ละคนที่มีต่องานและปัจจัยหรือองค์ประกอบที่เกี่ยวข้องกับงานนั้นๆ จนสามารถ ตอบสนอง ความต้องการขั้นพน้ื ฐานท้ังดา้ นร่างกาย และจติ ใจตลอดจนสามารถลดวามเครียดของ ผูป้ ฏิบัตงิ านใหต้ ่ำลงได้ ปทิตตา ศิลาวรรณ (2554) กล่าวว่า ความพึงพอใจเป็นปัจจัยสำคัญประการหนึ่งที่ช่วย ทำให้งาน ประสบผลสำเรจ็ โดยเฉพาะอยา่ งย่งิ ถา้ เป็นงานที่เก่ียวกบั การใหบ้ รกิ าร นอกจากผ้บู รหิ ารจะ ดำเนินการให้ผู้ทำ งานเกดิ ความพงึ พอใจในการทำงานแลว้ ยงั จำเป็นต้องดำเนนิ การท่จี ะทำให้ ผู้ใชบ้ ริการเกิดความพึงพอใจด้วย เพราะความเจริญก้าวหน้าของการบริการเป็นปัจจัยที่สำคัญประการ 30 หนึ่งที่เป็นตัวบ่งชี้ถึงจำนวนผู้มาใช้ บริการ ดงั นน้ั ผู้บริหารท่ีชาญฉลาดจึงควรอยา่ งยงิ่ ท่ีจะศกึ ษาให้ ลึกซง้ึ ถงึ ปัจจัยและองคป์ ระกอบต่าง ๆ ที่จะทำ ให้เกิดความพงึ พอใจ ทั้งผ้ปู ฏบิ ัติงานและผู้มาใช้บริการ ศภุ ศิริ โสมาเกตุ (2554) กล่าวว่าความพึงพอใจ หมายถงึ ความรสู้ ึกนึกคดิ หรอื เจตคติ ของบุคคลท่ีมี ต่อการทำงานหรือการปฏิบัติงานหรือการปฏิบัติกิจกรรมในเชิงบวก ดังนั้นความพึง พอใจในการเรียนรู้จึง หมายถึง ความรู้พอใจ ชอบใจในการร่วมปฏบิ ัติกิจกรรมการเรยี นการสอน และ ต้องการดำเนินกิจกรรมนั้นๆ จนบรรลุผลสำเร็จ
ดาริ มุศรีพันธ์ (2555) ได้ให้ความหมายว่า ความพึงพอใจ หมายถึง สภาพของ สภาวะจิตใจท่ี ปราศจากความเครียด ทั้งนี้เพราะธรรมชาติของมนุษย์นั้นมีความต้องการ ถ้าความ ต้องการนั้นได้รับการ ตอบสนองทั้งหมดหรือบางส่วนความเครียดจะลดลง ความพึงพอใจ จะเกิดขึ้น และในทางกลับกัน ถ้าความ ตอ้ งการนัน้ ไม่ไดร้ ับการตอบสนอง ความเครยี ด ความไม่พงึ พอใจจะ เกดิ ข้ึน Wallerstain (2012) ได้ให้ความหมายของความพึงพอใจไว้ว่า ความพึงพอใจหมายถึง ความรู้สึกที่ เกิดขึ้นเมื่อได้ความสำเร็จตามจุดมุ่งหมายและได้อธิบายว่าความพึงพอใจเป็นกระบวนการ ทางจิตวิทยาที่ไม่ สามารถมองเหน็ ได้ชดั เจนแต่สามารถคาดคะเนได้ว่ามีหรือไม่มจี ากการสังเกต พฤติกรรมของคน การทจ่ี ะทำให้ คนเกิดความพึงพอใจจะตอ้ งศกึ ษาปจั จยั และองคป์ ระกอบทเี่ ป็น สาเหตุของความพึงพอใจนัน้ จากความหมายทงั้ หลายดงั กล่าวสามารถสรปุ ไปไดว้ ่า ความพงึ พอใจเป็นเร่อื งที่ เก่ียวข้องกับอารมณ์ ความรู้สึก และทัศนคติของบุคคลอันเนื่องมาจากสิ่งเร้าและแรงจูงใจซึ่งปรากฏ ออกมาทางพฤติกรรมและ องค์ประกอบที่สำคัญในการท ากิจกรรมตา่ งๆ ของบุคคล 2. ทฤษฎีที่เกี่ยวกบั ความพึงพอใจ ความพึงพอใจเป็นความรู้สึกที่บุคคลมีต่อสิ่งที่ได้รับประสบการณ์ และแสดงออกหรือมี พฤติกรรมตอบสนองในลักษณะแตกต่างกันไป ความพึงพอใจต่อสิ่งต่างๆ นั้นจะมีมาก หรือน้อยขึ้นอยู่ กับแรงจูงใจ การสร้างแรงจูงใจหรือการกระตุ้นให้เกิดแรงจูงใจกับผู้ปฏิบัติงานจึงเป็นสิ่งท่ีจ าเปน็ เพ่อื ใหง้ านหรอื สง่ิ นั้นประสบความสำเรจ็ การศึกษาเกี่ยวกบั ความพงึ พอใจเป็นการศึกษาตามทฤษฎี ทาง พฤตกิ รรมศาสตร์ ทเ่ี กยี่ วกบั ความตอ้ งการของมนุษย์ มดี งั ต่อไปนี้ Scott (2012) เสนอแนวคิดในการสร้างแรงจูงใจให้เกิดความพึงพอใจต่อการทำงานที่จะ ให้ผลเชิง ปฏิบตั มิ ีลกั ษณะดงั น้ี 1. งานควรมีความสมั พันธก์ ับความปรารถนาสว่ นตวั งานจะมคี วามหมายตอ่ ผทู้ ำ 2. งานนั้นต้องมีการวางแผนและวัดความสำเร็จได้ โดยใช้ระบบการทำงานและการ ควบคุมที่มี ประสทิ ธภิ าพ 3. เพือ่ ใหไ้ ด้ผลในการสรา้ งสงิ่ จูงใจภายในเปาู หมายของงาน ต้องมีลกั ษณะดงั น้ี 3.1 คนทำงานมีสว่ นในการตั้งเปาู หมาย 3.2 ผปู้ ฏิบตั ิไดร้ ับทราบผลสำเรจ็ ในการทำงานโดยตรง 3.3 งานน้ันสามารถท าให้สำเรจ็ ได้ เมอื่ น าแนวคดิ ของ สกอ๊ ต (Scott) มาประยุกต์ใชก้ บั การ จดั กจิ กรรมการเรยี นการสอน เพือ่ สร้างแรงจงู ใจใหเ้ กดิ ความพึงพอใจต่อการจัดกิจกรรมการเรียนการ สอนมแี นวทาง ดงั น้ี 1. ศึกษาความต้องการ ความสนใจของผู้เรียน และระดับความสามารถหรือ พัฒนาการ ตามวัยของผูเ้ รียน 2. วางแผนการสอนอย่างเปน็ กระบวนการและประเมนิ ผลอยา่ งมปี ระสทิ ธิภาพ 3. กิจกรรมการเรียนการสอนที่ให้นักเรียนมีส่วนร่วมและกำหนดเป้าหมายในการ ทำงาน สะทอ้ นผลงานและการทำงานร่วมกันได้ Katz (2012) ไดก้ ล่าวถึง ทฤษฎกี ารใช้ประโยชนแ์ ละความพึงพอใจจากสื่อเปน็ ทฤษฎีที่ ใหค้ วามสำคัญ กับผู้บริโภค (Consumer) หรือผู้รับสาร(Receiver) (Active Selector of Media Communication) ซึ่งนับ ได้ว่าเป็นมุมมองที่แตกตา่ งไปจากทฤษฎีเดิมที่ไม่ให้ความสำคัญกับผู้รับสาร เพราะแต่เดิมผู้รับสารถูกมองวา่ เป็นผู้ถูกกระทำ ดังนั้น สมมติฐานของทฤษฎีการใชป้ ระโยชน์ และ ความพึงพอใจในการสือ่ สารผูส้ ่งสารจึงไม่ อาจคาดหมายความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งข่าวสารกบั ประสิทธผิ ล ของการสือ่ สาร เพราะทา่ มกลางความสัมพันธ์ของ ตวั แปรทัง้ สอง มปี ัจจยั ดา้ นการใช้สือ่ ของผู้รบั สาร เข้ามาเป็นตวั แปรแทรกซ้อนของกระบวนการส่ือสาร แคทซ์ ได้ทำการศึกษา และอธิบายเรื่องราวการ ใช้ประโยชน์และการได้รับความพึงพอใจจากสื่อ สภาวะทาง ความ
ตอ้ งการ ความคาดหวัง การเปดิ รบั จิตใจและสังคม ความจ าเปน็ ของบคุ คล จากสือ่ มวลชน ส่อื หรอื แหล่งข่าว รูปแบบต่าง ๆ การได้รับ ความพึงพอใจ ผลอื่นที่ไม่ได้ตามที่ต้องการมุ่งหวัง ทั้งนี้ ปัจจัยที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับ ผูร้ บั สารซึ่งแคทซ์ และคณะใหค้ วามสนใจ คอื 1. สภาพทางสงั คมและลักษณะทางจิตวิทยาของผู้รับสาร (The Social and Psychological Origins) 2. ความต้องการและความคาดหวังในการใช้สื่อของผู้รับสาร (Needs, Expectation of the Mass Media) ท้งั สองปัจจัยนำไปสพู่ ฤตกิ รรมการเปิดรบั ของผ้รู บั สารท่แี ตกต่างกัน อนั เปน็ ผลมาจาก ความพึงพอใจ ท่แี ตกต่างกนั และเนอื่ งจากทฤษฎีให้ความสนใจกับบทบาทของผู้รับสารว่าเป็นผู้ เลือกใช้สื่อได้มีการศึกษาถึง ปัจจยั ตา่ ง ๆ ท่เี ก่ียวข้องกับผู้รบั สาร (เชน่ รายได้ การศึกษา) โดยท้งั สอง ปจั จยั นีไ้ ด้รบั การพิจารณาว่า นามา ซงึ่ เวลาว่างในการเปิดรับสาร (Free Time of Media Use) ขณะเดียวกนั สภาวะทางสังคมและจิตใจที่ต่างกัน ก่อใหม้ นุษย์มีความต้องการแตกตา่ งกันไปความ ตอ้ งการทีแ่ ตกต่างกันน้ีท าใหแ้ ต่ละคนคาดคะเนแนวส่ือแต่ละ ประเภทเพอื่ สนองตอบความพงึ พอใจได้ แตกตา่ งกันไปดว้ ย Maslow (2013) ไดเ้ สนอทฤษฎีลาดับขั้นของความต้องการ (Hierarchy of Needs) นับวา่ เป็นทฤษฎี หนึ่งทีไ่ ด้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางซึ่งตั้งอยู่บนสมมุติฐานที่ว่า “มนุษย์เรามีความ ต้องการอยู่เสมอไมม่ ีที่ สิ้นสุดเมื่อความต้องการได้รับการตอบสนองหรือพึงพอใจอย่างใดอย่างหนึง่ แล้ว ความต้องการสิ่งอื่น ๆ ก็จะ เกิดข้นึ มาอีกความตอ้ งการของคนเราอาจจะเกิดขึน้ ซ้ำซอ้ นกัน ความ ตอ้ งการอยา่ งหน่งึ อาจยังไม่หมดไปความ ต้องการอกี อย่างหน่งึ อาจเกิดข้นึ ได้” ความต้องการของ มนษุ ย์มีล าดบั ขั้น ดังนี้ 1. ความตอ้ งการทางด้านร่างกาย (Physiological Needs) เป็นความตอ้ งการพื้นฐาน ของมนษุ ย์ เน้น สิ่งจาเป็นในการดำรงชวี ติ ได้แก่ อาหาร อากาศ ที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งหม่ ยารักษาโรค ความต้องการพักผอ่ น ความตอ้ งการทางเพศ 2. ความต้องการความปลอดภัย (Safety Needs) ความมั่นคงในชีวิตทั้งที่เป็นอยู่ใน ปัจจุบันและ อนาคต ความเจรญิ กา้ วหน้า อบอนุ่ ใจ 3. ความต้องการทางสังคม (Social Needs) เป็นสิ่งจูงใจที่สำคัญต่อการเกิดพฤติกรรม ต้องการให้ สังคมยอมรับตนเองเข้าเปน็ สมาชิก ตอ้ งการความเปน็ มิตรความรักจากเพอื่ นรว่ มงาน 4. ความตอ้ งการมฐี านะ (Esteem Needs) มีความอยากเด่นในสังคมมีช่ือเสียงอยากให้ บคุ คลยกย่อง สรรเสรญิ ตนเอง อยากมีความอสิ รเสรีภาพ 5. ความตอ้ งการทจ่ี ะประสบความสำเร็จในชวี ิต (Self-Actualization Needs) เปน็ ความต้องการใน ระดบั สูง อยากให้ตนเองประสบความสำเร็จซกั อย่างในชีวิต ซ่งึ เป็นไปไดย้ าก Mcgreger (2013) ได้ศึกษาธรรมชาตขิ องมนษุ ย์และได้อธิบายลักษณะของมนุษย์ว่ามี 2 ประเภท คือ 1. คนประเภทเอกซ์ (X) มีลักษณะดังตอ่ ไปน้ี 1.1 มีสญั ชาตญาณที่จะหลีกเล่ียงการท างานทุกอยา่ งเท่าท่ีจะทำได้ 1.2 ไม่มีความรบั ผดิ ชอบ 1.3 ชอบให้สั่งการ 1.4 ไมม่ คี วามคดิ ริเรมิ่ สรา้ งสรรค์ในการปรบั ปรุงองค์กร 1.5 มคี วามปรารถนาใหต้ อบสนองความตอ้ งการด้านร่างกายและความปลอดภยั 2. คนประเภทวาย (Y) มีลักษณะดงั ตอ่ ไปนี้ 2.1 ชอบทำงาน เหน็ วา่ การทำงานเป็นของสนุก เหมอื นการเลน่ หรอื การพกั ผ่อน 2.2 มคี วามรับผดิ ชอบในการทำงาน 2.3 มีความทะเยอทะยานและกระตือรือร้น
2.4 สั่งการตนเอง และสามารถควบคมุ คนเองได้ 2.5 มคี วามคิดริเร่ิมสร้างสรรค์ในการปรับปรงุ งานและองคก์ รพัฒนาวิธีทำงาน 2.6 ปรารถนาด้านเกยี รติยศ ชอ่ื เสยี ง ความสมหวังในชวี ติ 2.7 งานวิจัยท่เี กี่ยวข้อง จากการศึกษาเอกสารและงานวิจัยท่ีเกย่ี วข้องกบั พฤตกิ รรมการอนุรกั ษส์ งิ่ แวดล้อมมผี ู้ ทำการศกึ ษาไวห้ ลายทา่ นดังเช่น นพิ นธ์ สขุ นี งั (2550) พบวา่ 1. นักศกึ ษามพี ฤติกรรมการอนรุ ักษ์ ส่งิ แวดล้อม โดยรวมและแบง่ เปน็ รายดา้ น 3 ด้าน คือ ด้านการอนุรักษ์อากาศ ด้านการอนุรักษ์ป่าไม้ และด้านการอนุรักษ์ สัตวป์ า่ อยใู่ นระดับปานกลาง สว่ นดา้ นการอนุรักษ์น้ำ อยู่ในระดับสงู 2. นกั ศกึ ษาทม่ี เี พศ และระดบั การศึกษา ต่างกัน มีพฤติกรรมการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมทุกด้านไม่แตกต่าง กัน 3. นักศึกษาที่มีอายุ และอาชีพต่างกันมี พฤตกิ รรมการอนุรกั ษส์ ิ่งแวดลอ้ มโดยรวม ดา้ นการ อนรุ กั ษ์ดิน และดา้ นการอนุรกั ษ์ป่าไม้แตกตา่ งกัน อย่างมี นัยสำคญั ทางสถิตทิ ร่ี ะดับ .05 สว่ นดา้ นการ อนุรักษ์น้ำ ด้านการอนุรักษ์อากาศ และด้านการอนรุ ักษส์ ตั วป์ ่า มี พฤติกรรมการอนรุ ักษ์ส่ิงแวดลอ้ ม ไม่แตกต่างกัน โดยสรุปนักศึกษามีพฤตกิ รรมการอนุรักษส์ ่งิ แวดล้อมโดยรวม อยู่ในระดบั ปานกลาง โดยนกั ศึกษาทีเ่ พศ และการศกึ ษาต่างกนั มพี ฤติกรรมการอนุรกั ษส์ ิ่งแวดลอ้ มไมแ่ ตกต่าง กัน ส่วน นักศึกษาที่มีอายุ และอาชีพต่างกัน มีพฤติกรรมการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมแตกต่างกัน และหทัยรัตน์ ธรรมาภิมุข (2551) วิจัยพฤติกรรมการอนุรกั ษ์สิง่ แวดล้อมของนักเรียนช่วงชั้น ที่ 4 โรงเรียนเพชร พิทยาคม อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบูรณ์พบว่า 1. นักเรียนช่วงชั้นที่ 4 โรงเรียนเพชรพิทยาคม อำเภอ เมือง จังหวัด เพชรบูรณ์ มีพฤติกรรมการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมโดยรวมและเปน็ รายด้านอยู่ในระดบั ปฏิบัติบ่อยครัง้ (ร้อยละ 2.48) และเม่อื พจิ ารณารายด้าน พบวา่ นกั เรยี นมีพฤติกรรมการอนรุ ักษ์ สิ่งแวดลอ้ มด้านวัฒนธรรมอยู่ในระดับ ปฏิบัติบ่อยครั้ง (ร้อยละ 2.85) รองลงมาคือ พฤติกรรมการ อนุรักษ์สิ่งแวดล้อมด้านต้นไม้อยู่ในระดับปฏิบตั ิ บ่อยครั้ง (ร้อยละ 2.51) และพฤติกรรมการอนุรักษ์ สิ่งแวดล้อมด้านน้ำอยู่ในระดับปฏิบัติบ่อยครั้ง (ร้อยละ 2.50) 2. นักเรยี นช่วงชน้ั ที่ 4 มีพฤติกรรมการ อนรุ ักษส์ ิง่ แวดลอ้ มในแต่ละดา้ น โดยเฉลย่ี ดังน้ี (1) ด้านไฟฟ้า มี ระดบั การปฏิบตั ิบ่อยคร้ัง (2) ดา้ นน้ำ มรี ะดับการปฏบิ ตั บิ างคร้ัง (3) ด้านต้นไม้ มีระดับการปฏิบัติบ่อยคร้งั (4) ด้านดิน มีระดับการปฏิบัติ บางครั้ง และ (5) ด้านวัฒนธรรม มีระดับปฏิบัติประจำ 3. การเปรียบเทียบ พฤติกรรมการอนุรักษ์ สิ่งแวดล้อมของนักเรียนช่วงชั้นที่ 4 โรงเรียนเพชรพิทยาคม อำเภอเมือง จังหวัด เพชรบูรณ์ ทม่ี เี พศ ผลการเรยี น ระดบั ช้นั เรยี นท่ตี า่ งกันผลการศกึ ษาค้นคว้าปรากฏ ดังนี้ 3.1 นักเรียนช่วงชน้ั ท่ี 4 ท่ีมี เพศต่างกนั มกี ารอนรุ กั ษ์สิ่งแวดลอ้ ม โดยรวมและเป็นรายด้าน 4 ดา้ น แตกตา่ งกนั แต่มพี ฤติกรรม การ อนุรักษ์สิ่งแวดล้อมด้านน้ำ แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 โดยนักเรียนหญิงมี ระดับ พฤติกรรมการอนุรักษ์ด้านน้ำ (ร้อยละ 2.56) สูงกว่านักเรียนชาย 3.2 นักเรียนช่วงชั้นที่ 4 ที่มี ผลการเรียน ต่างกันมีพฤติกรรมการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมโดยรวมและรายด้าน 4 ด้าน ไม่แตกต่างกัน แต่มีพฤติกรรมการ อนุรกั ษ์สิง่ แวดลอ้ มของนกั เรียนด้านไฟฟูาแตกต่างกันอย่างมนี ัยสำคญั ทางสถิติที่ ระดบั .05 3.3 นักเรียนช่วง ชน้ั ที่ 4 ทม่ี ผี ลการเรียนต่างกนั พบว่า นกั เรียนกลมุ่ เกง่ มีพฤติกรรมการ อนรุ ักษ์ส่ิงแวดลอ้ มด้านไฟฟ้ามากกว่า นักเรียนกลุม่ ปานกลาง และกลุ่มออ่ นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ 34 ที่ระดับ .05 3.4 นักเรียนช่วงชั้นที่ 4 ที่มี ระดับชั้นต่างกันมีพฤติกรรมการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมโดยรวม และเป็นรายด้าน 2 ด้าน คือ มีพฤติกรรมการ อนุรักษ์สิ่งแวดล้อมโดยรวมและรายด้าน 2 ด้าน แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ซึ่ง เจริญ จติ ร ลีภทั รพณิชย์ (2554) ไดศ้ ึกษา พฤติกรรมการอนรุ กั ษ์สิง่ แวดลอ้ มของนกั เรยี นมธั ยมศึกษาสังกดั กรมสามัญ ศึกษา ในเขต กรุงเทพมหานคร พบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนในระดับที่สูงมีความสัมพันธเ์ ชงิ บวกกับ พฤติกรรมของนักเรียนที่มีต่อการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมจากการศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวข้อ งพบว่า ผลสัมฤทธทิ์ างการเรียนสูง มคี วามสมั พนั ธ์เชงิ บวกกับพฤติกรรมของนกั เรยี นท่ีมีตอ่ การอนุรักษ์ สง่ิ แวดล้อม ผู้
ศึกษาจึงตั้งสมมติฐานว่านักเรียนช่วงชั้นที่ 4 ที่มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนต่างกัน มี พฤติกรรมการอนุรักษ์ สิ่งแวดล้อมที่แตกต่างกัน และ ปาริชาติ นาคอิ่ม (2554) ได้ศึกษาพฤติกรรม ทางจริยธรรมของนักเรียนช้ัน มัธยมศึกษาปีที่ 1 จังหวัดนครสวรรค์ พบว่า นกั เรยี นท่ีมีผลสัมฤทธิ์ ทางการเรยี นสงู มีพฤติกรรมทางจริยธรรม ในด้านความรับผดิ ชอบสูงกวา่ นักเรียนที่มีผลสมั ฤทธิ์ปาน กลาง สอดคล้องกับ จันทร์วิภา อ่อนพ่ึง (2555) ได้ ศึกษาพฤติกรรมการอนุรกั ษ์สง่ิ แวดล้อมของ นักเรียนชนั้ ประถมศกึ ษาปีที่ 6 สงั กดั สำนกั งานการประถมศึกษา กรุงเทพมหานคร ผลจากการ วิเคราะห์ข้อมูลตามเพศชายพบว่าเจตคติต่อการอนุรักษ์มีความสัมพันธ์กับ พฤติกรรมการอนุรักษ์ สิ่งแวดล้อม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 โดยมีความสัมพันธ์เท่ากับ .56 หมายความว่า นกั เรยี นชายท่มี เี จตคติต่อการอนรุ ักษส์ ูง มีพฤติกรรมการอนรุ ักษ์สิง่ แวดลอ้ มสูงดว้ ย และผลจาก การวิเคราะห์ข้อมูลตามเพศหญิงพบว่าเจตคติต่อการอนุรักษ์มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการอนุรักษ์ สิ่งแวดล้อม อยา่ งมีนยั สำคญั ทางสถิตทิ ี่ระดับ .01 โดยมีความสมั พนั ธเ์ ทา่ กับ .59 หมายความว่า นกั เรียนหญิง ทม่ี ีเจตคติต่อการอนรุ กั ษ์สงู มพี ฤติกรรมการอนุรักษ์สง่ิ แวดลอ้ มสูงดว้ ย แสดงว่าตรงตาม สมมติฐานที่เจตคติต่อ การอนรุ กั ษ์และเพศ มีความสมั พนั ธก์ ับพฤติกรรมการอนุรักษส์ ิง่ แวดล้อม และ วิชาญ มณโี ชติ (2553) ไดศ้ กึ ษา พฤติกรรมการอนุรักษ์สิ่งแวดลอ้ มของนกั เรียนชั้นมัธยมศึกษาปที ี่ 3 ในจังหวัดสงขลา โดยมีวัตถุประสงค์เพือ่ ศึกษาพฤตกิ รรมการอนรุ กั ษส์ ่ิงแวดล้อมของนักเรียนช้นั มัธยมศกึ ษาปที ่ี 3 ในจังหวัดสงขลา ผลการวิจัยพบว่า นักเรียนสว่ นใหญ่มีพฤติกรรมจริง และ พฤติกรรมคาดหวังในการอนรุ กั ษ์สิง่ แวดล้อมอยู่ในระดับพอใช้ และดี ตามลำดับ นักเรียนที่มีเพศ ผล สมฤทธิ์ทางการเรียน อาชีพบิดา อาชีพมารดา การได้รับข่าวสารจากวิทยุ โทรทัศน์หนังสือพิมพ์ วารสารและสิ่งพิมพ์อื่นๆ แตกต่างกันมีพฤติกรรมการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมแตกต่างกัน อย่างมนี ัยสำคญั ทางสถิตทิ ีร่ ะดับ .05 นักเรยี นมพี ฤติกรรมคาดหวงั ในการอนรุ ักษ์ส่งิ แวดล้อมสงู กวา่ พฤติกรรม จริง นอกจากนี้ เสาวนิตย์ มงคลสกุณี (2555) ได้ศึกษาพฤติกรรมการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมของนักเรียน ชั้น มธั ยมศึกษาปีที่ 2 ในจังหวดั ฉะเชิงเทรา พบวา่ นักเรยี นทม่ี เี พศตา่ งกนั มพี ฤตกิ รรมการอนรุ ักษ์ สงิ่ แวดล้อมด้าน การอนุรักษ์น้ำ และอนุรักษ์สัตว์ป่า แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ส่วนพฤติกรรมการ อนุรักษ์สิ่งแวดล้อมด้านการอนุรักษ์ป่าไม้ด้านทรัพยากรธรณีและพลังงาน และโดย ภาพรวมไม่แตกต่างกัน ด้วยความเชื่อมั่น 95 % และ สุขุมาล เกษมสุข (2554) ศึกษาปัจจัยท่ี 35 เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมการอนรุ กั ษ์ นำ้ และพฤติกรรมการประหยัดไฟของนักเรยี นระดับประถมศึกษา โรงเรยี นสาธิต สังกดั ทบวงมหาวิทยาลัยใน กรุงเทพมหานคร โดยการเปรียบเทียบพฤติกรรมการ อนุรักษ์น้ำและพฤติกรรมการประหยดั ไฟของนักเรียน สาธิตที่มีจิตลักษณะต่างกัน พบว่านักเรียนที่มี ความเชื่ออำนาจในตนสูงมีพฤติกรรมการอนุรักษ์น้ำและ พฤตกิ รรมการประหยัดไฟสงู กวา่ นักเรยี นที่มี ความเชือ่ อำนาจในตนต่ำ ซงึ่ อทุ ยั จนั ทร์กอง (2551) การศึกษา ผลการเรียนรู้ เจตคติ พฤติกรรมการ อนุรักษ์สิง่ แวดลอ้ มของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่เรียนแบบการ สอนแบบสบื เสาะหาความรู้ แบบร่วมมือและแบบบูรณาการพบวา่ นักเรยี นทเ่ี รยี นดว้ ยวธิ สี อนแบบบรู ณาการ มี ผลการเรยี นรูส้ ูง กวา่ นกั เรียนท่เี รยี นแบบร่วมมือ และแบบสืบเสาะหาความร้อู ย่างมนี ัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และนักเรียนท่ีเรียนด้วยวิธีการสอนแบบบูรณาการ มีเจตคติต่อการอนุรักษ์ส่ิงแวดล้อมสูงกวา่ นักเรียนท่ี เรียนแบบรว่ มมอื และแบบสบื เสาะหาความรอู้ ย่างมีนัยสำคญั ทางสถติ ิที่ระดับ .01 และ นกั เรียนท่ีเรยี นดว้ ยวิธี สอนแบบสืบเสาะหาความรู้ แบบรว่ มมือ และแบบบูรณาการ มพี ฤตกิ รรมการ อนรุ กั ษ์สง่ิ แวดล้อมไม่แตกต่าง กัน และ หทัยรัตน์ ธรรมาภิมุข (2551) ศึกษาพฤติกรรมการอนุรักษ์ สิ่งแวดล้อมของนักเรียนช่วงชั้นที่ 4 โรงเรียนเพชรพทิ ยาคม อำเภอเมอื ง จงั หวดั เพชรบูรณ์ เพอ่ื ศกึ ษา และเปรียบเทียบระดับพฤตกิ รรมการอนุรกั ษ์ สง่ิ แวดล้อมของนักเรยี นชว่ งชั้นที่ 4 โรงเรยี นเพชรพิทยา คม อำเภอเมอื ง จังหวัดเพชรบรู ณ์ พบวา่ นักเรยี นช่วง ชน้ั ที่ 4 โรงเรียนเพชรพทิ ยาคม อำเภอเมือง จังหวดั เพชรบรู ณ์ มพี ฤตกิ รรมการอนรุ ักษ์สงิ่ แวดลอ้ มโดยรวมและ เป็นรายด้านอยใู่ นระดับปฏิบัติ บอ่ ยครั้ง (รอ้ ยละ 2.48) และเมอ่ื พิจารณารายดา้ น พบว่า นกั เรียนมพี ฤติกรรม การอนุรกั ษส์ งิ่ แวดล้อม ด้านวฒั นธรรมอยใู่ นระดับปฏบิ ตั ิบ่อยคร้ัง (รอ้ ยละ 2.85) รองลงมาคอื พฤติกรรมการ
อนุรักษ์ สิ่งแวดล้อมด้านต้นไม้อยู่ในระดับปฏิบัติบ่อยครั้ง (ร้อยละ 2.51) และพฤติกรรมการอนุรักษ์ ส่ิงแวดลอ้ มดา้ นน้ำอยู่ในระดบั ปฏิบตั ิบ่อยครง้ั (รอ้ ยละ 2.50) 2. นักเรยี นช่วงช้ันที่ 4 มพี ฤติกรรมการ อนุรักษ์ สิ่งแวดล้อมในแต่ละด้าน โดยเฉลี่ยดังนี้ (1) ด้านไฟฟ้า มีระดับการปฏิบัติบ่อยครั้ง (2) ด้านน้ำ มีระดับการ ปฏิบัตบิ างครั้ง (3) ด้านตน้ ไม้ มรี ะดบั การปฏบิ ตั ิบอ่ ยครงั้ (4) ด้านดิน มรี ะดับการปฏิบตั ิ บางครงั้ และ(5) ด้าน วัฒนธรรม มีระดับปฏิบัติประจำ สำหรับการเปรียบเทียบพฤติกรรมการอนุรักษ์ สิ่งแวดล้อมของนักเรียนช่วง ชน้ั ท่ี 4 โรงเรียนเพชรพิทยาคม อำเภอเมอื ง จังหวัดเพชรบูรณ์ ที่มีเพศ ผลการเรียนระดบั ชน้ั เรียนที่ต่างกันผล การศกึ ษาคน้ ควา้ ปรากฏ ดังนี้ 3.1 นักเรียนช่วงชนั้ ที่ 4 ที่มี เพศตา่ งกนั มีการอนุรักษ์ส่งิ แวดล้อม โดยรวมและ เปน็ รายด้าน 4 ดา้ น แตกตา่ งกนั แตม่ ีพฤตกิ รรม การอนุรักษ์สง่ิ แวดล้อมด้านน้ำ แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ ทางสถิตทิ รี่ ะดับ 0.05 โดยนักเรยี นหญงิ มี ระดบั พฤติกรรมการอนุรักษ์ด้านน้ำ (รอ้ ยละ 2.56) สูงกว่านักเรียน ชาย 3.2 นักเรียนชว่ งช้ันท่ี 4 ที่มี ผลการเรยี นต่างกนั มีพฤติกรรมการอนรุ ักษ์สิ่งแวดลอ้ มโดยรวมและรายด้าน 4 ด้าน ไม่แตกต่างกัน แต่มีพฤติกรรมการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมของนักเรียนด้านไฟฟ้าแตกต่างกันอย่างมี นัยสำคัญทางสถิติที่ ระดับ .05 3.3 นักเรียนช่วงชั้นที่ 4 ที่มีผลการเรียนต่างกัน พบว่า นักเรียนกลุ่มเก่งมี พฤติกรรมการ อนุรักษ์สิ่งแวดล้อมด้านไฟฟ้ามากกว่านักเรียนกลุ่มปานกลาง และกลุ่มอ่อนอย่างมีนัยสำคัญ ทางสถิติ ที่ระดับ .05 3.4 นกั เรียนชว่ งช้นั ที่ 4 ทม่ี ีระดบั ช้นั ต่างกนั มพี ฤตกิ รรมการอนุรกั ษส์ ิง่ แวดล้อมโดยรวม และเป็นรายดา้ น 2 ดา้ น คือ มพี ฤติกรรมการอนรุ กั ษ์ส่งิ แวดล้อมโดยรวมและรายดา้ น 2 ด้าน แตกต่างกนั อย่าง มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 Ozgul, William และ Hans (2014) ได้ศึกษาทัศนคติด้านสิ่งแวดล้อมของ นักเรียนตุรกีชั้น ปีที่ 4 – 8 จำนวน 458 คน โดยวิเคราะห์ความแตกต่างด้านทัศนคติระหว่างเพศ ระดับ การศึกษา คะแนนวิชาวิทยาศาสตร์ สถานภาพทางเศรษฐกิจของนักเรียนและสถานที่ตั้งของโรงเรียน พบว่า เพศ และระดับการศึกษาของนักเรียนมีทัศนคติเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมไม่แตกต่างกัน นักเรียนที่มีคะแนนวิชา วิทยาศาสตร์สูง มีทัศนคติเชิงบวกต่อสิ่งแวดล้อม และนักเรียนที่มีรายได้สูงกับนักเรียนที่อาศัยอยู่ใน เมืองมี ทศั นคตเิ ชิงบวกต่อสิง่ แวดล้อมสูงกวา่ นกั เรยี นท่คี รอบครัวมีรายไดต้ ่ำและอาศัยอยู่แถบชาน เมอื ง Kara (2014) ไดศ้ ึกษาพฤติกรรมและทศั นคตดิ า้ นสิง่ แวดล้อมของนักเรยี น มัธยมศกึ ษา ของฮ่องกง จำนวน 992 คน โดยการ ตรวจดูจากทัศนคติด้านสิ่งแวดล้อมของนักเรียนเพื่อสะท้อนให้ เห็นถึงการเตรียมความพร้อมในการสร้าง พฤติกรรมด้านสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ ให้กับนักเรียนรวมถงึ การ สร้างพฤติกรรมการใช้กระดาษรีไซเคิล กระดาษ ชำระ และถุงพลาสติกในโรงเรียนและท่ีบ้าน ผลการศึกษาพบวา่ นักเรียนส่วนใหญ่มีความเตม็ ใจและใหค้ วาม ร่วมมือใน การปรบั พฤตกิ รรมด้าน สง่ิ แวดลอ้ ม และนักเรียนหญงิ ท่ีมอี ายมุ าก กับนักเรียนที่อาศยั อยทู่ ่ีบ้านของ ตนเองจะมที ศั นคตเิ ชงิ บวกต่อสง่ิ แวดล้อมและเตม็ ใจท่ีจะปรับพฤติกรรมด้านส่ิงแวดลอ้ ม นอกจากนน้ั ยงั พบว่า โรงเรียนกับ โทรทัศน์เป็นแหล่งสื่อสารที่สำคัญมากในการให้ข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อมเมื่อเปรียบเทียบกับการ สื่อสาร ระหว่างบุคคล Hsin-Ping และ Larry (2014) ได้ศึกษาการเปรียบเทียบ พฤติกรรม ทัศนคติ ความ ตระหนัก อารมณ์ และความรู้ที่มีผลต่อสิ่งแวดล้อม ระหว่างนักเรียนชั้นปีที่ 5 ประเทศแคนาดากับ ประเทศ ไต้หวัน ซึ่งทั้งสองประเทศนี้มีประเพณีและวัฒนธรรมที่แตกต่างกันการวิเคราะห์ข้อมูลใช้ สถิติพรรณนา คา่ สถติ tิ T และการวเิ คราะหค์ วามถดถอยเชิงพหุ ผลการศึกษาตอ่ ส่ิงแวดล้อมด้าน ตา่ ง ๆ ของนักเรยี นทั้งสอง กลมุ่ พบวา่ ไมต่ า่ งกันไม่ว่าจะเปน็ การวเิ คราะห์ความถดถอยเชิงพหุ ผลการศึกษาที่มผี ลต่อส่ิงแวดล้อมด้านต่าง ๆ ของนักเรียนทั้งสองกลุ่มพบว่า ไม่ต่างกันไม่ว่าจะเป็นการ เปรียบเทียบภายในกลุ่มหรือระหว่างกลุ่มกต็ าม นอกจากนี้การศึกษาพบว่า โทรทัศน์เป็นแหล่งที่ให้ ข่าวสารด้านสิ่งแวดล้อมที่มีอิทธิพลมากที่สุดสำหรับ นักเรยี นทงั้ สองกลมุ่ และตัวแปรด้านอารมณ์ ดา้ นการเรยี นการสอนแบบได้ปฏบิ ตั ิจริงเพือ่ ใหร้ ถู้ งึ คุณค่าของการ รักษาสิ่งแวดล้อม ให้ผลสัมฤทธิ์สูง กว่า ตัวแปรด้านการเรยี นการสอนแบบการให้องค์ความรู้เพียงอยา่ งเดียว จากทฤษฏี แนวคิดและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับผลของการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบมีส่วน ร่วมในรายวิชา สิ่งแวดล้อมกับการพัฒนาที่ที่มีต่อพฤติกรรมการอนุรักษ์ของนักเรียนในโรงเรียนบ้าน หนองกุงวิทยาคาร จะ
เห็นได้ว่ามีเนื้อหาสาระเกี่ยวกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและพฤติกรรมการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมโดยมีการจัด กจิ กรรมการเรียนรู้แบบมสี ว่ นรว่ มโดยใช้หลกั การอนุรกั ษ์สงิ่ แวดลอ้ ม ทั้งทางดา้ นการอนุรกั ษน์ ้ำ การดูแลพื้นท่ี สเี ขยี ว การจดั การขยะ การอนุรกั ษ์พลังงานและหาพลงั งาน ทางเลือกในอนาคต โดยประยุกตห์ ลักการอนุรักษ์ สิ่งแวดล้อมสอดแทรกในเนื้อหาสาระ นอกจากนี้ การเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมจะเกิดขึ้นในทุกขั้นตอนของการ สอนและจะเกิดการเปล่ยี นแปลงหลังการ สอนในทางบวกคอื ในการวิจัยน้ีสามารถตอบสมมตุ ฐิ านได้ วิทยาศาสตร์มีบทบาทสำคัญยิ่งในสังคมโลกปัจจุบันและอนาคต เพราะวิทยาศาสตร์เกี่ยวข้องกับทุก คน ทั้งในชีวิตประจำวนั และการงานอาชพี ต่าง ๆ ตลอดจนเทคโนโลยี เคร่ืองมือเครอ่ื งใชแ้ ละผลผลิตต่าง ๆ ท่ี มนุษย์ ได้ใช้เพื่ออำนวยความสะดวกในชีวิตและการทำงาน เหล่านี้ล้วนเป็นผลของความรู้วิทยาศาสตร์ ผสมผสานกับ ความคิดสรา้ งสรรค์และศาสตรอ์ นื่ ๆ วทิ ยาศาสตร์ชว่ ยให้มนุษยไ์ ดพ้ ฒั นาวิธคี ดิ ทัง้ ความคิดเป็น เหตุเป็นผล คิดสร้างสรรค์ คิดวิเคราะห์วิจารณ์ มีทักษะสำคัญในการค้นคว้าหาความรู้ ใช้ความรู้และทักษะ เพื่อแก้ปัญหา หรือพัฒนางานด้วยกระบวนกำรออกแบบเชิงวิศวกรรม มีความสามารถในการแก้ปัญหาอย่าง เป็นระบบ รวมทั้ง สามารถค้นหาข้อมูลหรือสารสนเทศ ประเมินสารสนเทศ ประยุกต์ใช้ทักษะการคิดเชิง คำนวณและความรู้ ด้านวทิ ยาการคอมพิวเตอร์ สอื่ ดจิ ทิ ัล เทคโนโลยีสารสนเทศและการสอ่ื สาร เพ่ือแก้ปัญหา ในชีวิตจริง อย่างสร้างสรรค์ สามารถตัดสินใจโดยใช้ข้อมูลที่หลากหลายและมีประจักษ์พยานทีต่ รวจสอบได้ วิทยาศาสตร์ เป็นวัฒนธรรมของโลกสมัยใหม่ซึ่งเป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ (knowledge-based society) ดังนั้นทุกคน จึงจำเป็นต้องได้รับกำรพัฒนาให้รู้วิทยาศาสตร์ เพื่อที่จะมีความรู้ความเข้าใจในธรรมชาติและ เทคโนโลยที ีม่ นุษย์ สร้างสรรค์ขน้ึ สามารถนำความรู้ไปใชอ้ ยา่ งมเี หตผุ ล สรา้ งสรรค์ และมีคณุ ธรรม รุ่งนภา เหมแดง (2556) ทำวิจัย เรื่อง ความก้าวหน้าทางการเรียนของผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นและ ทักษะกระบวนการวิทยาศาสตร์ ของนักเรียนผ่านกิจกรรมการเรียนรู้แบบโครงงานเป็นฐาน เรื่อง สาร ชีวโมเลกุล โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาผลการเรียนรู้แบบโครงงานเป็นฐานต่อความก้าวหน้าทางการเรียน ของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ของนักเรียนเรื่องสารชีวโมเลกุล กลุ่ม ตัวอย่างในการวิจัย คือ นักเรียนชัน้ มัธยมศึกษาปีที่ 5 จำนวน 29 คน ของโรงเรียนเขมราฐพิทยาคม ในภาค เรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2556 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้โครงงานเป็นฐาน แบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนแบบเลือกตอบจำนวน 45 ข้อ แบบทดสอบวัดทักษะกระบวนการ วิทยาศาสตร์ จำนวน 30 ขอ้ และเกณฑก์ ารให้คะแนนทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ผลการวิจยั พบว่า ค่าเฉลี่ยคะแนนทักษะกระบวนการวิทยาศาสตร์ของนักเรียนทั้ง 13 ทักษะระหว่างการเรียน คิดเป็นร้อยละ 79.60 นักเรียนท่ไี ดร้ บั การเรยี นรแู้ บบโครงงานเปน็ ฐานมีความก้าวหนา้ ทางผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนและทักษะ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ค่าจีเท่ากับ 0.76 และ 0.74 ตามลำดับ จำนวนนักเรียนที่ได้รับความก้าวหน้า ทางการเรยี นรายบคุ คลในระดบั สูงของผลสัมฤทธทิ์ างการเรยี นและทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์คิดเป็น ร้อยละ 65.72 และ 72.40 ตามลำดับ ความก้าวหน้าทางการเรียนต่ำที่สุดในด้านเนื้อหาของผลสัมฤทธ์ิ ทางการเรียนและทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ คือ ข้อสอบประเภทคิดวิเคราะห์ เรื่อง คาร์โบไฮเดรต และทักษะการจัดกระทำและส่ือความหมายขอ้ มูล ตามลำดับ การทดสอบสถิติค่าที แบบกลมุ่ ตัวอย่าง ไม่เป็น อิสระต่อกันพบว่าทั้งผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ แตกต่างกันอย่างมี นัยสำคัญที่ .05 เมื่อคิดวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของเพียรส์ ัน พบว่าคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและทักษะ กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ของนักเรยี นมีความสมั พนั ธ์กันในทางบวกมคี ่าความสมั พันธ์เทา่ กับ 0.459 นายศิวดล กุลฤทธิกร การวิจัยครั้งน้ีมีวัตถุประสงคเพ่ือศึกษาการคิดเชิงวิทยาศาสตรของนกั เรยี นชั้น มัธยมศึกษาตอนตนที่เรียนโดยใชชุดกิจกรรมโครงงานวิทยาศาสตร ประชากรที่ใชในการวิจัยครั้งนี้ เปนนัก เรียนช้ันมัธยมศึกษาตอนตน โรงเรียนบุญวาทยวิทยาลัยจังหวัดลําปาง ภาคเรียนที่ 2 ปการศึกษา 2553 ท่ี ลงทะเบียนเรียนชุมนมุ โครงงานวิทยาศาสตรจํานวน 15 คน เคร่ืองมอื ท ีใ่ ชในการวจิ ัยคร้ังน้ี ประกอบดวย ชุด
กจิ กรรมโครงงานวทิ ยาศาสตรและแบบวดั การคดิ เชงิ วิทยาศาสตร ทีม่ ีคาความ เช่ือม่นั 0.912 วิเคราะหขอมูล โดยใชคาเฉล่ีย สวนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และรอยละของคะแนนที่ เพิ่มขึน้ ดวยโปรแกรมคอมพวิ เตอรสําเร็จรูป ผลการวิจัยพบวาคะแนนเฉลี่ยการคิดเชิงวิทยาศาสตรของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนตน ที่เรียนโดยใชชุด กิจกรรมโครงงานวิทยาศาสตรกอนเรียนมีคะแนนเฉลี่ย 10.53 คะแนน และหลัง เรียนมีคะแนนเฉลี่ย 20.60 คะแนน โดยคะแนนหลังเรียนสูงขึ้นเฉลย่ี 10.07 คะแนน คดิ เปนรอยละ 35.95 ของคะแนนเต็ม กรอบแนวคดิ ในการวิจัย ผู้วจิ ยั ใชก้ ารวจิ ัยเชิงทดลอง โดยนำหลักการและขั้นตอนตามแนวคดิ ของ Kemmis and cTagaggart (2012) เปน็ กระบวนการใน การกำหนดปัญหาการวจิ ยั ประกอบดว้ ย 4 ข้ันตอน 1. ขัน้ จดั ประสบการณ์ 2. ขน้ั สะท้อนความคดิ 3. ข้นั ความเข้าใจและเกดิ ความคิดรวบยอด 4. ขน้ั ทดลองและประยุกต์ใช้ โดยผ้วู ิจยั ได้กำหนดเปน็ กรอบแนวคิดในการวิจัย ดงั ภาพที่ 1 ตัวแปรต้น ตัวแปรตาม การจดั กิจกรรมการเรยี นรู้ แบบมีส่วนรว่ ม 1. ผลการเรียนรูก้ ารอนรุ ักษส์ ิ่งแวดล้อม ขั้นท่ี 1 ประสบการณ์ และสิง่ แวดล้อม ขน้ั ที่ 2 การสะทอ้ นความคดิ 2. พฤติกรรมการอนรุ กั ษส์ ิ่งแวดลอ้ ม ขั้นท่ี 3 เข้าใจและเกิดความคดิ รวบยอด 3. ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียน ข้นั ที่ 4 ทดลองและประยุกตใ์ ช ภาพท่ี 1 กรอบแนวคิดในการวจิ ยั
บทท่ี 3 วธิ ีดำเนนิ งานวจิ ัย งานวจิ ัยน้ีมีวตั ถปุ ระสงค์เพอื่ การพัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์โดยใช้การจดั การเรยี นรู้ แบบโครงงานในรายวชิ าวิทยาศาสตร์ชีวภาพเร่อื งการอนรุ กั ษ์ทรพั ยากรธรรมชาติและสงิ่ แวดลอ้ ม นักเรียนชัน้ มัธยมศกึ ษาปที ี่ 4 โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 31 มขี ้ันตอนในการดำเนินการวจิ ยั ดังน้ี 3.1 ประชากรที่ใช้ในการวิจยั 3.2 เคร่ืองมือที่ใช้ในการวิจัย 3.3 วิธีการสร้างและหาประสทิ ธภิ าพของเครอ่ื งมอื 3.4 การเกบ็ รวบรวมข้อมลู 3.5 การจดั กระทำและการวิเคราะหข์ ้อมูล 3.6 สถติ ิทใี่ ช้ในการวิเคราะห์ขอ้ มูล 3.1 ประชากรท่ีใช้ในการวจิ ัย ประชากรทีใ่ ชใ้ นการศกึ ษาครง้ั น้ี ไดแ้ ก่ นกั เรียนช้ันมธั ยมศกึ ษาปีท่ี 4 โรงเรยี นราชประชานุ เคราะห์ 31 ท่ีศึกษาในภาคเรียนท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2565 จำนวน 139 คน 3.2 เคร่ืองมอื ทใ่ี ช้ในการวจิ ยั 1. เครื่องมือที่ใช้ในการวจิ ัยครั้งน้ี มี 4 ชนดิ 1.1 แผนการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้รายวิชาวิทยาศาสตร์ หน่วยที่ 5 ชวี ิตกบั ส่งิ แวดล้อม เรื่อง การอนรุ กั ษท์ รัพยากรธรรมชาตแิ ละสิ่งแวดล้อม ของนกั เรียนช้นั มัธยมศึกษาปที ี่ 4 จำนวน 5 แผน 1.2 แบบวดั ผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี น เรือ่ ง พฤตกิ รรมการอนุรกั ษส์ ิ่งแวดลอ้ ม ชนดิ เลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 30 ขอ้ 1.3 แบบวัดพฤติกรรมการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) ตามวิธีการของลเิ คิร์ท 3 ระดับ จำนวน 30 ขอ้ 3.3 การสรา้ งและหาคุณภาพของเครอ่ื งมอื ที่ใช้ในการวิจยั 1. การสร้างแผนการจดั กิจกรรมการเรียนรู้ ข้นั ตอนการสร้างแผนการจัดกิจกรรมการ เรียนรู้ การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงทดลอง มีแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบโครงงาน เรื่อง การ อนุรักษท์ รัพยากรธรรมชาตแิ ละสงิ่ แวดล้อม จำนวน 5 แผน รายละเอยี ดของการสร้างแผนการจัดการ เรียนรู้ มดี งั ต่อไปนี้ 1.1 ศึกษาหนังสือ เอกสาร วารสาร งานวิจยั ทีเ่ กย่ี วกบั การจัดการเรยี นรโู้ ดยใช้ รปู แบบการจดั การเรียนรูแ้ บบการมสี ว่ นร่วม 1.2 ศกึ ษาเน้อื หาวิชาส่งิ แวดล้อมศกึ ษากบั การพฒั นา จากเอกสาร วารสาร หลกั สตู ร รายวิชาวิทยาศาสตร์ชวี ภาพ 1.3 ศกึ ษาแนวคดิ และรปู แบบการมีสว่ นร่วมจากหนงั สือ เอกสาร วารสาร งานวจิ ัย ตา่ ง ๆ ทเี่ กยี่ วกบั การสร้างแผนการจดั การเรียนรู้
1.4 วิเคราะหเ์ น้อื หาและจดุ ประสงค์เชิงพฤติกรรมสาระสิ่งแวดล้อมกบั การพฒั นา ประกอบด้วย 5 แผนการจัดการเรียนรู้ ดังนี้ แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1 เรื่อง ระบบนิเวศ เวลา 3 ชั่วโมง แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 2 เรื่อง การเปลี่ยนแปลงแทนที่ของระบบนิเวศ เวลา 3 ชั่วโมง แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 3 เรื่อง การเปลี่ยนแปลงขนาดประชากร เวลา 3 ชั่วโมง แผนการจัดการ เรียนรู้ที่ 4 มนุษย์กับทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสิง่ แวดล้อม เวลา 3 ชั่วโมง แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 5 การอนรุ กั ษ์ทรพั ยากรธรรมชาติและสง่ิ แวดล้อม เวลา 3 ช่ัวโมง รวม เวลา 15 ชัว่ โมง 1.5 สรา้ งแผนการจดั กิจกรรมการเรียนร้ตู ามรปู แบบการจัดกจิ กรรมการเรียนรแู้ บบ โครงงาน จำนวน 5 แผน ออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ ซึ่งเป็นการนำเอาข้อมูลที่ได้จากการศึกษา เอกสารที่ เกี่ยวข้องต่างๆมากำหนดแนวคิด กำหนดวัตถุประสงค์ วิเคราะห์ สังเคราะห์แล้วออกแบบ กิจกรรมการ เรยี นการสอนโดยใชก้ ิจกรรมการเรียนรู้แบบมสี ่วนรว่ มจัดให้สอดคลอ้ งกบั เน้ือหา สาระ การเรียนรู้ ผลการเรียนรูท้ ี่คาดหวัง ความรู้ทักษะและคุณลักษณะที่พึงประสงค์ใหส้ ัมพันธ์ซึ่งกันและ กัน ใชเ้ วลา จัดการเรยี นรสู้ ัปดาห์ละ 2 ช่ัวโมง เป็นเวลา 8 สัปดาห์ แผนการจดั การเรยี นรกู้ ลุ่มทดลอง เปน็ แผนที่ ผู้วิจัยสร้างข้ึน มขี ้นั ตอน 4 ข้นั ตอนดงั น้ี 1.5.1 ขน้ั ประสบการณ์ เปน็ ขนั้ ตอนท่ีผูเ้ รียนได้รบั ขอ้ มลู จากการลงมอื ปฏบิ ัตกิ ารได้ เหน็ ได้ยิน ทั้งทเี่ ปน็ ประสบการณ์จรงิ หรือประสบการณจ์ ำลอง 1.5.2 ข้ันสะทอ้ นและอภปิ ราย เป็นข้ันตอนทผี่ เู้ รียนได้แสดงความคดิ เหน็ และแสดง ความรูส้ กึ ของตน โดยแลกเปลี่ยนกบั สมาชกิ ภายในกลมุ่ 1.5.3 ข้ันความคิดรวบยอด เปน็ ขน้ั ตอนทผ่ี เู้ รียนไดเ้ รียนรเู้ กยี่ วกบั เน้อื หาวิชา โดย นกั เรียนทกุ กลุ่มจะตอ้ งนำเสนอผลการอภิปรายของกลมุ่ ตนให้เพ่ือนทั้งห้องทราบ และครูผู้สอน เป็น ผู้นำสรุปความคิดรวบยอดให้นักเรียนอีกครั้ง ในส่วนที่นักเรียนไม่ได้นำเสนอหรือเพิ่มเติมเนื้อหาใน ส่วนที่จ าเปน็ 1.5.4 ขน้ั ประยุกต์แนวคิด เปน็ ขั้นตอนทผี่ ูเ้ รยี นใช้ความคิดรวบยอดในรปู แบบตา่ งๆ เปน็ การแสดงถงึ ผลสำเร็จของการเรียนรู้ 2. การสรา้ งแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธทิ์ างการเรยี น แบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธทิ์ างการเรียน เปน็ แบบปรนัยชนดิ เลือกตอบ 4 ตวั เลือก จำนวน 30 ขอ้ ไดด้ ำเนนิ การตามข้ันตอนการสรา้ ง ดงั นี้ 2.1 ศึกษาทฤษฏีและวิธีสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้และเกณฑ์การ ตรวจสอบคะแนนจากเอกสารและงานวิจยั ท่ีเกีย่ วขอ้ ง 2.2 ศกึ ษาเนอื้ หา จุดประสงค์การเรยี นรใู้ นแผนการจัดการเรียนรู้ 2.3 สร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ ซึ่งใช้ ทดสอบนักเรียนทั้งก่อนและหลังการทดลองำจำนวน 1 ฉบับ เป็นแบบทดสอบแบบปรนัยชนิด เลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 40 ข้อ ต้องการใช้จริง 30 ข้อ โดยให้สอดคล้องกับจุดประสงค์การ เรียนรู้ 2.4 นำแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นรู้ท่ีสร้างขึ้นไปให้ผู้เช่ยี วชาญตรวจสอบ จำนวน 3 ท่าน โดยกำหนดคะแนนความคิดเห็น ดังนี้ ให้คะแนน 1 คะแนน เมื่อแน่ใจว่าข้อสอบข้อนั้นวดั ได้ ตรงจุดประสงค์ ให้คะแนน 0 คะแนน เมอ่ื ไม่แนใ่ จวา่ ขอ้ สอบขอ้ นนั้ วัดได้ตรงจดุ ประสงค์ ใหค้ ะแนน - 1 คะแนน เมอื่ แน่ใจวา่ ข้อสอบขอ้ นนั้ วัดไดไ้ ม่ตรงจุดประสงค์ บนั ทึกผลการพิจารณาลงความเห็นของ ผู้เชี่ยวชาญแตล่ ะแต้มในแตล่ ะขอ้ จากนั้นนำมา คำนวณหาค่า IOC คัดเลือกข้อสอบทีม่ ีค่าดัชนีความ สอดคลอ้ งต้งั แต่ 0.05 ไว้
2.5 นำคะแนนจากผู้เชี่ยวชาญมาคำนวณหาค่าดัชนีความสอดคล้อง ตั้งแต่ 0.67 ถึง 1.00 เป็นขอ้ สอบทอ่ี ยใู่ นเกณฑ์เทีย่ งตรงตามเน้อื หาทีใ่ ช้ได้ 2.6 ปรับปรุงแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนตามข้อเสนอแนะของผู้เชี่ยวชาญ นำ แบบทดสอบท่ีปรับปรงุ แก้ไขแล้วไปทดลอง (Try out) กับนกั เรยี นชัน้ มัธยมศึกษาปีท่ี 4 โรงเรียนราช ประชานุเคราะห์ 31 จำนวน 139 คน เพื่อนำไปวเิ คราะหค์ ุณภาพเครอื่ งมือ 2.7 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนแบบเลือกตอบ โดยนำคะแนนที่ไดม้ า วิเคราะห์ ขอ้ สอบแบบเลอื กตอบ (Multiple Choice Test) แต่ละขอ้ โดยวเิ คราะห์ขอ้ สอบองิ เกณฑ์ เป็นการหา ค่าอำนาจจำแนก (Discrimination) (B) ตามวิธีของ Brennan (สมนึก ภัททิยธนี. 2549) 42 แล้ว คดั เลือกขอ้ สอบท่มี ีค่าอำนาจจำแนกต้งั แต่ 0.28 – 0.74 จงึ คัดไว้ใช้จริง จำนวน 30 ขอ้ มา วิเคราะห์ หาความเชอ่ื มน่ั (Reliability) ทง้ั ฉบบั ของแบบทดสอบเทา่ กบั 0.76 3. แบบวัดพฤติกรรมการอนุรกั ษส์ ิ่งแวดล้อม เครื่องมือใช้ในการเก็บรวบรวมขอ้ มูลในการศึกษาค้นควา้ เป็นแบบสอบถามพฤติกรรม การ อนรุ ักษส์ ง่ิ แวดล้อมของนกั เรียนกลมุ่ ตวั อย่าง จำนวน 30 ข้อ ผูว้ จิ ยั ได้ดำเนินการสรา้ งแบบวดั พฤตกิ รรมการปฏิบัตโิ ดยมีขั้นตอนดังนี้ 3.1 ศึกษาจุดมุ่งหมายของหลักสูตรรายวิชาบูรณาการ (สิ่งแวดล้อมศึกษา) ในเรื่องของ พฤติกรรมการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เป็นแบบวัดพฤติกรรมการกระทำที่นักเรียนแสดงออกมา โดยมี ความรู้ ความเข้าใจ และการปฏิบัติเป็นตัวก่อให้เกิดการแสดง การกระทำที่มีต่อการอนุรักษ์ สิ่งแวดล้อม ตามแนวคิดของ เดวิด อาร์กราซ์ โฮว์ล (วินัย วีระวัฒนานนท์, 2546) แบ่งออกเป็น 5 ดา้ น ไดแ้ ก่ ดา้ นที่ 1 การอนรุ ักษ์น้ำ จำนวน 5 ข้อ ดา้ นที่ 2 การรักษาพน้ื ที่สีเขียว จำนวน 5 ขอ้ ด้านท่ี 3 การจดั การขยะ จำนวน 7 ข้อ ดา้ นท่ี 4 การอนรุ กั ษ์พลังงาน จำนวน 7 ข้อ ด้านท่ี 5 การคดิ และแกป้ ัญหาสิ่งแวดล้อม จำนวน 6 ขอ้ 3.2 แบบวัดพฤติกรรมที่สร้างข้ึนให้มีความสอดคล้องกับเนื้อหารายวิชาบูรณาการ (สิ่งแวดล้อมศึกษา) ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 เป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) 4 ระดับปฏิบัติ คือ ปฏิบัติเป็นประจำ ปฏิบัติบ่อยครั้ง ปฏิบัติเป็นบางครั้ง ไม่ปฏิบัตเิ ลย โดย กำหนดข้อคะแนน ดังนี้ (บญุ ชม ศรีสะอาด, 2543) เกณฑ์การปฏิบตั ิ ค่าคะแนน ไม่เคยปฏบิ ตั เิ ลย 0 คะแนน ปฏบิ ตั เิ ป็นบางครั้ง 1 คะแนน ปฏบิ ัตบิ ่อยคร้ัง 2 คะแนน ปฏบิ ัตเิ ป็นประจำ 3 คะแนน เกณฑ์การแปลความหมาย คะแนนเฉล่ยี การแปลความหมาย 2.34 – 3.00 มีพฤติกรรมการอนรุ กั ษอ์ ยู่ในระดบั สงู 1.67 – 2.33 มีพฤตกิ รรมการอนรุ ักษอ์ ย่ใู นระดบั ปานกลาง 1.00 – 1.66 มพี ฤตกิ รรมการอนุรักษอ์ ยูใ่ นระดบั ต่ำ
โดยเกณฑ์ดังกล่าวได้มาจากการนำคะแนนทุกระดับมารวมกันหารด้วยจำนวนชั้น นำมา กำหนดช่วงคะแนน โดยใช้ช่วงคะแนนมากที่สุด ( 3) – คะแนนน้อยที่สุด (1) หารด้วย 3 ได้เท่ากับ 0.66 แลว้ นำ 0.66 มากำหนดช่วงหา่ งคะแนน ช่วงคะแนน = คะแนนมากที่สดุ – คะแนนน้อยทสี่ ดุ จำนวนชั้น 3.3 ศึกษาทฤษฎี เนอ้ื หา สาระ แนวคดิ เอกสารงานวิจัยท่ีเกีย่ วขอ้ งกบั พฤตกิ รรมการ อนรุ ักษ์ ส่ิงแวดลอ้ ม และการสรา้ งแบบวัดพฤติกรรมการอนุรักษ์สิง่ แวดล้อมของนกั เรยี น ชั้น มัธยมศึกษาปีท่ี 4 ในแต่ละพฤติกรรมได้แบบวัดพฤติกรรมเป็นแบบประเมินค่า 4 ระดับ จำนวน 30 ข้อ นำไปให้ ผู้เชี่ยวชาญเป็นผู้ตรวจสอบความสอดคล้องของแบบวัดพฤติกรรมกบั วัตถุประสงค์โดยใช้ ความเห็น พอ้ งของผู้เช่ียวชาญ 3.4 นำแบบวัดพฤติกรรมที่ผา่ นการตรวจสอบคุณภาพแล้วมาจดั พมิ พ์เป็นฉบับสมบูรณ์ เพื่อ ใชเ้ ปน็ เคร่อื งมอื ในการวัดพฤติกรรมการอนุรักษ์ส่งิ แวดล้อมของนกั เรียนตอ่ ไป 4. แบบวัดความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่มีต่อกิจกรรมการเรียนแบบ มี สว่ นรว่ มเพ่ือพฒั นาพฤติกรรมการอนุรักษส์ ิ่งแวดลอ้ ม ในรายวชิ าบูรณาการ (สงิ่ แวดลอ้ มศกึ ษา) ผู้วิจัย ไดด้ าเนนิ การสรา้ งแบบวดั ความพึงพอใจตามข้นั ตอนตอ่ ไปนี้ 4.1 ศกึ ษาเอกสาร ตำรา และงานวิจัยทเี่ กยี่ วขอ้ งกบั ความพงึ พอใจ 4.2 ศึกษาวิธีการสร้างแบบวดั และก าหนดรูปบแบบการวดั จาก ต าราวัดผลทางการ ศึกษา ของ สมนึก ภัททิยธนี (2544) และบุญชม ศรีสะอาด (2543) 4.3 ศึกษาข้อความที่แสดงถึงความพึง พอใจและสร้างแบบวดั ความพึงพอใจชนิดมาตรา สว่ นประมาณค่า (Rating Scale) มี 5 ระดับ จำนวน 20 ข้อ 1) ขอ้ ความท่เี ขยี นในแงค่ วามรูส้ ึก ความเช่ือ หรอื ความต้ังใจที่จะกระท าส่งิ หนึ่ง ลง ไป ไม่ใช่เป็นขอ้ เทจ็ จรงิ 2) ขอความจะต้องสนั้ เขา้ ใจง่ายและชดั เจน 4.4 นำแบบวัดความพงึ พอใจทีผ่ ู้วิจยั สร้างขึ้นเสนอผู้เช่ียวชาญเพ่ือพิจารณาความ เหมาะสม ของขอ้ คำถาม นำสว่ นทยี่ ังไมถ่ กู ตอ้ งมาปรับปรุงแกไ้ ข 4.5 นำแบบวัดความพึงพอใจที่ปรับปรุงแก้ไขเสนอผู้เชี่ยวชาญเพื่อพิจารณาตรวจสอบใน เน้อื หาและสำนวนภาษาทใี่ ช้ตลอดจนความถูกต้องของแบบวัดความพึงพอใจทนี่ ักเรียนมีต่อกิจกรรม การเรียนรูแ้ บบมีส่วนร่วมของนกั เรยี นชั้นมัธยมศกึ ษาปีท่ี 4 เลอื กข้อคำถามทีม่ คี า่ ตง้ั แต่ 0.67 ถงึ 1.00 เป็นข้อค าถามที่อยูใ่ นเกณฑค์ วามเทย่ี งตรงไปใชไ้ ด้ 4.6 นำแบบวัดความพึงพอใจที่ปรับปรุงแก้ไขทดลองใช้ (Try-out) กับนักเรียนที่ไม่ใช่ ประชากร คอื นักเรยี นชน้ั มธั ยมศึกษาปที ่ี 4 โรงเรียนราชประชานเุ คราะห์ 31 จำนวน 139 คน 3.4 การเก็บรวบรวมข้อมลู เครอ่ื งมือทีใ่ ช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ผ้วู จิ ยั ไดด้ ำเนินการเกบ็ ขอ้ มูล ดังนี้ 1. ดำเนินการทดลองและเก็บรวบรวมข้อมลู เมื่อผู้วิจัยสร้างแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ เสรจ็ แล้วได้น าแผนการจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้ที่ผ่านการประเมนิ จากผู้เช่ียวชาญไปทดลองกับนักเรียน ชั้นมธั ยมศกึ ษาปีที่ 4 โรงเรยี นราชประชานุเคราะห์ 31 จำนวน 139 คน โดยมขี นั้ ตอนดงั นี้
1.1 ทดสอบก่อนเรียน (Pre-test) ด้วยแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ในรายวิชา วิทยาศาสตร์ชวี ภาพ ของนกั เรยี นชนั้ มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 4 ที่ผวู้ ิจยั สรา้ งขึ้น จำนวน 30 ข้อ 1.2 ทดลองสอนนักเรียนด้วยแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบโครงงานเพื่อพัฒนา พฤติกรรมการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น จำนวน 5 แผน 15 ชั่วโมง สรปุ ความเข้าใจของนกั เรยี นวา่ ได้เรยี นตรงตามจุดประสงคท์ ก่ี ำหนดไวห้ รือไม่ 1.3 ทดสอบหลงั เรยี น (Post-test) ดว้ ยแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียนฉบบั เดยี่ วกัน กบั ทใ่ี ช้ทดสอบกอ่ นเรยี นแตใ่ ชก้ ารสลับข้อกนั 1.4 ประเมินพฤติกรรมการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมของนักเรียนด้วยแบบวัดพฤติกรรมการ อนุรักษ์สง่ิ แวดลอ้ ม 2. แบบแผนท่ีใชใ้ นการวิจัย การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงกึ่งทดลอง (Quasi Experimental Research) แบบ One- Group Pretest-Postest Design (ลว้ น สายยศ และอังคณา สายยศ, 2553) ดังตาราง ตาราง แบบแผนการทดลอง ทดสอบก่อนเรียน การทดลอง ทดสอบหลงั เรียน T1 X T2 T1 หมายถงึ การทดสอบก่อนการทดลองสอนตามแผนการจัดการเรียนรู้ (Pretest) X หมายถงึ การทดลองสอนตามแผนการจดั การเรยี นรู้ (Treatment) T2 หมายถงึ การทดสอบหลงั การทดลองสอนตามแผนการจัดการเรยี นรู้ (Posttest) 3.5 การจัดกระทำและการวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยได้ทำการวิเคราะห์ข้อมูลและเก็บรวบรวม ข้อมลู ดงั น้ี 1. หาค่าเฉลี่ยคะแนนประเมินผลแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบมีส่วนร่มเพื่อพัฒนา พฤตกิ รรมการอนรุ กั ษ์สิ่งแวดล้อมในโรงเรียนของผ้เู ช่ียวชาญ 2. หาค่าสถิติพื้นฐาน ค่าร้อยละ (Percentage) ค่าคะแนนเฉลี่ย (Mean) และค่าส่วน เบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) ของคะแนนที่ได้จากการทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียน 3. วิเคราะห์พฤติกรรมการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมของนักเรียน โดยวิเคราะห์ค่าเฉลี่ย () และ สว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐาน () โดยก าหนดคา่ คะแนนเปน็ 3 ระดับ คา่ เฉลย่ี 2.34 – 3.00 หมายถึง มีพฤตกิ รรมการอนรุ ักษ์อยูใ่ นระดับสูง ค่าเฉลี่ย 1.67 – 2.33 หมายถึง มีพฤติกรรมการอนุรักษ์อยู่ในระดับปานกลาง คา่ เฉลีย่ 1.00 – 1.66 หมายถึง มพี ฤติกรรมการอนุรกั ษ์อยู่ในระดบั ต่ำ 4. วิเคราะห์ความพึงพอใจของนักเรียนด้วยแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม โดยการวเิ คราะห์หาค่าเฉลี่ย () และส่วนเบีย่ งเบนมาตรฐาน () โดยกำหนดคา่ คะแนนเป็น 5 ระดับ ตามวิธีการของลเิ คิร์ท (Likert) แล้วนำปเปรียบเทยี บกับเกณฑท์ ี่ตั้งไวด้ งั น้ี (บุญชม ศรี สะอาด, 2553)
คา่ เฉลี่ย 4.51 – 5.00 หมายถงึ ระดบั ความพงึ พอใจมากทสี่ ุด คา่ เฉลีย่ 4.51 – 5.00 หมายถึง ระดบั ความพึงพอใจมาก ค่าเฉลี่ย 4.51 – 5.00 หมายถงึ ระดับความพงึ พอใจปานกลาง คา่ เฉลยี่ 4.51 – 5.00 หมายถงึ ระดบั ความพึงพอใจนอ้ ย คา่ เฉลี่ย 4.51 – 5.00 หมายถงึ ระดับความพงึ พอใจน้อยท่ีสดุ 3.6 สถิตทิ ่ีใช้ในการวิเคราะห์ขอ้ มูล 1. ความเชื่อมั่นของแบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน (ความรู้ ความเข้าใจ) โดยใช้ สตู รของ Kuder-Richardson (KR-20) (บุญชม ศรีสะอาด, 2553) 2. ค่าอ านาจจำแนกรายข้อของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน (ความรู้ ความ เขา้ ใจ) ใช้ Item-Total Correlations (บญุ ชม ศรีสะอาด, 2553) 3. ค่าความยากง่ายรายข้อ (Difficulty) ของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ (ความรู้ ความ เข้าใจ) (บุญชม ศรสี ะอาด, 2553) 4. สถิตพิ ้นื ฐาน ไดแ้ ก่ ค่าเฉลีย่ รอ้ ยละ และส่วนเบีย่ งเบนมาตรฐาน
บทท่ี 4 ผลการวิจยั การพัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์โดยใชก้ ารจัดการเรียนรูแ้ บบโครงงานในรายวชิ า ชวี วทิ ยา นักเรยี นช้ันมธั ยมศกึ ษาปีที่ 5 สาย A ผลการวิเคราะห์ข้อมูล ในการศึกษา เรื่อง การพัฒนาทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์โดยใช้การจดั การเรียนรแู้ บบ โครงงานในรายวชิ า ชวี วทิ ยา นกั เรยี นชั้นมธั ยมศกึ ษาปที ่ี 5 สาย A ผู้วจิ ยั ไดว้ เิ คราะห์และนำเสนอในรูปแบบ ตารางประกอบคำบรรยาย จำนวน 3 ตาราง ประกอบดว้ ย ดังนี้ ตารางที่ 1 คะแนนและคา่ ร้อยละของคะแนนทดสอบก่อนเร่มิ ใชโ้ ครงงานพฒั นาทักษะกระบวนการทาง วิทยาศาสตร์โดยใชก้ ารจัดการเรยี นรู้แบบโครงงานในรายวชิ า ชีววิทยา นักเรียนชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีที่ 5 สาย A เลขที่ ชือ่ – สกุล คะแนน (30) ร้อยละ ผลประเมิน 1 ธนพล ยิ่งสนิ สวุ ิทย์ 10 33.33 ไม่ผา่ น 2 จันทนา แจม่ แจง้ 8 26.67 ไม่ผ่าน 3 ชมพนู ุช ทอ้ งถิน่ พฤกษ์ 8 26.67 ไมผ่ ่าน 4 ฐปนีย์ นิมิตพรชยั 9 30.00 ไมผ่ ่าน 5 ปรยี าภรณ์ ยง่ิ คุณจัตรุ ัส 7 23.33 ไม่ผา่ น 6 ปยิ ธดิ า ศุภพนาแจ่มไพร 8 26.67 ไมผ่ า่ น 7 ปยิ ะฉัตร จตุรธรรมวาที 9 30.00 ไม่ผา่ น 8 ฐดิ าพร ประทานเงินทอง 6 20.00 ไม่ผ่าน 9 รชั ดา เรอื งกิจเงิน 8 26.67 ไม่ผ่าน 10 จนั ทิมา กฤติกาย่ิงสกุล 10 33.33 ไม่ผา่ น 11 ชลลดา แปะโพ 12 40.00 ไม่ผ่าน 12 วรญั ญา พงศพ์ ฒุ เิ มธ 13 43.33 ไมผ่ ่าน 13 พัชริดา วิจติ รโยธิน 12 40.00 ไม่ผา่ น 14 ยศสนิ ี คณุ านาถอัปสร 10 33.33 ไม่ผา่ น 15 ธาวินี พงษพ์ นากูล 9 30.00 ไม่ผ่าน 16 วารณุ ี ฤทัยไพรวัลยก์ ุล 10 33.33 ไม่ผา่ น 17 ปาริฉตั ร สิริแจม่ พงศ์ 8 26.67 ไม่ผา่ น 18 อรณี เกษมเลศิ ตระกูล 8 26.67 ไม่ผ่าน รวม(เฉลยี่ ) 9.17 30.56 ไม่ผา่ น จากตาราง พบว่า นักเรียนทุกคนไม่ผ่านเกณฑ์การทดสอบก่อนเริ่มใช้โครงงานพัฒนาทักษะ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบโครงงานในรายวิชา ชีววิทยา นักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 5 สาย A โดยมีคะแนนเฉลี่ย 9.17 คิดเป็นร้อยละ 30.56 โดย นางสาววรัญญา พงศ์พุฒิเมธ คะแนนสูงสุด คือ 13 คะแนนคิดเป็นร้อยละ 43.33 ส่วนฐิดาพร ประทานเงินทอง มีคะแนนต่ำสุด คือ 6 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 20
ตารางที่ 2 คะแนนและคา่ รอ้ ยละของคะแนนทดสอบหลังเรมิ่ ใช้โครงงานพัฒนาทักษะกระบวนการทาง วทิ ยาศาสตร์โดยใชก้ ารจดั การเรียนรู้แบบโครงงานในรายวชิ า ชวี วิทยา นกั เรียนชั้นมัธยมศึกษาปที ี่ 5 สาย A เลขที่ ชอ่ื – สกลุ คะแนน (30) รอ้ ยละ ผลประเมนิ 1 ธนพล ยงิ่ สนิ สวุ ทิ ย์ 24 80.00 ผา่ น 2 จันทนา แจม่ แจง้ 25 83.33 ผา่ น 3 ชมพูนุช ท้องถน่ิ พฤกษ์ 24 80.00 ผ่าน 4 ฐปนยี ์ นมิ ติ พรชยั 26 86.67 ผา่ น 5 ปรยี าภรณ์ ยง่ิ คุณจตั ุรัส 25 83.33 ผา่ น 6 ปยิ ธดิ า ศุภพนาแจม่ ไพร 24 80.00 ผา่ น 7 ปยิ ะฉตั ร จตรุ ธรรมวาที 24 80.00 ผา่ น 8 ฐิดาพร ประทานเงนิ ทอง 22 73.33 ผา่ น 9 รัชดา เรอื งกจิ เงนิ 23 76.67 ผ่าน 10 จนั ทมิ า กฤติกายิง่ สกลุ 26 86.67 ผ่าน 11 ชลลดา แปะโพ 24 80.00 ผ่าน 12 วรญั ญา พงศพ์ ฒุ เิ มธ 25 83.33 ผ่าน 13 พชั รดิ า วิจติ รโยธิน 25 83.33 ผา่ น 14 ยศสินี คณุ านาถอัปสร 23 76.67 ผา่ น 15 ธาวนิ ี พงษพ์ นากูล 24 80.00 ผา่ น 16 วารุณี ฤทยั ไพรวัลย์กุล 26 86.67 ผา่ น 17 ปารฉิ ตั ร สริ แิ จ่มพงศ์ 24 80.00 ผ่าน 18 อรณี เกษมเลิศตระกูล 23 76.67 ผ่าน รวม(เฉลย่ี ) 24.28 80.93 ผ่าน จากตารางพบว่า คะแนนทดสอบเร่ิมใชโ้ ครงงานพฒั นาทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตรโ์ ดยใชก้ าร จดั การเรียนรูแ้ บบโครงงานในรายวชิ า ชวี วทิ ยา นักเรยี นชั้นมัธยมศึกษาปที ่ี 5 สาย A นกั เรยี นผา่ นเกณฑ์การ ประเมินท้ังหมด และวารณุ ี ฤทยั ไพรวลั ยก์ ุล และจันทิมา กฤติกายงิ่ สกุล มีคะแนนสงู สุด คอื 26 คะแนน คิด เป็นร้อยละ 86.67 และฐิดาพร ประทานเงนิ ทอง มคี ะแนนตำ่ สุดคอื 22 คะแนน คิดเปน็ ร้อยละ 73.33 และ คะแนนเฉล่ียของหอ้ งพบว่านักเรียนมีคะแนนเฉลยี่ ที่ 24.28 คิดเปน็ ร้อยละ 80.93 ตารางที่ 4 ร้อยละของพัฒนาการ (คำนวณจากสูตรการหารอ้ ยละของคะแนนพัฒนาการ) จำแนกตามนักเรยี น เปน็ รายบุคคล และค่าเฉล่ียรวม
เลขที่ ชอ่ื -สกลุ คะแนน ่กอนเ ีรยน (30 คะแนน) คะแนนหลังเ ีรยน (30 คะแนน) ห ัลงเ ีรยน- ่กอนเ ีรยน คะแนนเ ็ตม – ่กอนเ ีรยน ้รอยละของ พัฒนาการ (50 คะแนน) 1 ธนพล ย่ิงสนิ สุวทิ ย์ 10 24 14 20 70.00 2 จันทนา แจ่มแจง้ 22 77.27 3 ชมพนู ชุ ทอ้ งถิ่นพฤกษ์ 8 25 17 22 72.72 4 ฐปนยี ์ นมิ ติ พรชยั 21 71.42 5 ปรียาภรณ์ ย่ิงคุณจัตุรัส 8 24 16 23 78.26 6 ปยิ ธดิ า ศุภพนาแจม่ ไพร 22 72.72 7 ปยิ ะฉตั ร จตุรธรรมวาที 9 26 15 21 61.90 8 ฐิดาพร ประทานเงนิ ทอง 24 66.66 9 รชั ดา เรอื งกิจเงิน 7 25 18 22 68.18 10 จนั ทิมา กฤตกิ ายิ่งสกุล 20 80.00 11 ชลลดา แปะโพ 8 24 16 18 66.66 12 วรญั ญา พงศพ์ ฒุ เิ มธ 17 70.06 13 พชั รดิ า วิจิตรโยธนิ 9 24 13 18 72.22 14 ยศสินี คุณานาถอัปสร 20 65.00 15 ธาวินี พงษพ์ นากลู 6 22 16 21 71.42 16 วารุณี ฤทยั ไพรวัลย์กลุ 20 80.00 17 ปารฉิ ัตร สริ ิแจม่ พงศ์ 8 23 15 22 72.72 18 อรณี เกษมเลิศตระกูล 22 68.18 10 26 16 20.83 71.41 รวม(เฉล่ยี ) 12 24 12 13 25 12 12 25 13 10 23 13 9 24 15 10 26 16 8 24 16 8 23 15 9.17 24.28 14.89 จากตารางพบว่า นักเรียนกลุ่มเป้าหมายมีคะแนนพฒั นาการโดยรวม รอ้ ยละ (เฉลยี่ ) 71.41 โดย นางสาวจันทมิ า กฤตกิ ายงิ่ สกลุ และนางสาววารณุ ี ฤทัยไพรวัลย์กุล มีคะแนนพฒั นาการสูงสดุ คิดเปน็ รอ้ ยละ 80.00 และปิยะฉัตร จตรุ ธรรมวาที คะแนนพัฒนาการตำ่ สดุ คิดเป็นร้อยละ 61.90 โดยผา่ นเกณฑ์การ ประเมนิ ทกุ คนคดิ เป็นรอ้ ยละ 100.00
บทที่ 5 สรุปและอภปิ รายผล สรปุ ผลวจิ ยั ผลการพัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์โดยใช้การจัดการเรียนรู้ แบบโครงงานในรายวิชา ชีววิทยา นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 สาย A พบว่า การพัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์โดยใช้ การจัดการเรยี นรู้ แบบโครงงาน เหมาะสมต่อการนำมาใช้ในการเสริมทักษะการคิดและพัฒนาศักยภาพการ เรียนรู้ของนักเรียนได้เป็นอย่างดี โดยชุดกิจกรรมนี้ประกอบด้วย (1) โครงงาน (2) แบบประเมิน (3) แบบทดสอบ สำหรับผลการประเมนิ พฒั นาการและผลสัมฤทธ์ิ ของนกั เรยี น สรุปได้ ดงั นี้ คะแนนคะแนน พฒั นาการโดยรวม ร้อยละ (เฉลี่ย) 71.41 โดยผ่านเกณฑ์การประเมินทุกคนคดิ เป็นร้อยละ 100.00
Search
Read the Text Version
- 1 - 34
Pages: