เอกสารประกอบการใบสคอวานมรู้ รหัส 2101-2105 วิชา งานปรบั อากาศรถยนต์ เรือ่ ง ความร้เู บ้อื งตน้ ทางฟิสิกส์ที่เก่ยี วกับการปรับอากาศ ครูผู้สอน นายชาตรี สรงประเสรฐิ ตาแหนง่ ครู วทิ ยฐานะชานาญการพิเศษ แผนกวิชาช่างยนต์ วิทยาลัยเทคนิคสมทุ รปราการ สานกั งานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา
ใบความรู้ หน่วยท่ี 1 ชื่อวิชา งานปรับอากาศรถยนต์ สอนครงั้ ท่ี 1 ชือ่ หน่วย ความรู้เบื้องตน้ ทางฟิสกิ สท์ ี่เกี่ยวกับการปรบั อากาศ คาบรวม 6 คาบ ชือ่ เรอ่ื ง ความรเู้ บือ้ งต้นทางฟิสิกส์ที่เกีย่ วกบั การปรบั อากาศ จานวนคาบ 6 คาบ สาระสาคัญ การศึกษาระบบการทางานในงานช่าง จาเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีความรู้ ความเข้าใจในทฤษฎี เบื้องต้นทางวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะทฤษฎีด้านฟิสิกส์ เพราะทฤษฎีด้านฟิสิกส์จะทาให้เข้าใจระบบปรับ อากาศได้เป็นอย่างดี ที่จะศกึ ษาถึงการทางานของระบบนั้น ๆ ตอ่ ไประบบปรับอากาศเป็นอีกระบบหน่ึงที่ ผศู้ กึ ษาการทางานของระบบ จะต้องทาความเข้าใจกับทฤษฎีทางฟิสิกส์เกี่ยวกบั ระบบนี้ให้ดี เพราะระบบ ปรบั อากาศได้นาทฤษฎีทางด้านฟิสิกส์ของสสารมาประยุกต์ใช้ จนเกิดเป็นเคร่ืองปรบั อากาศทีใ่ ช้กันอยู่ใน ปจั จุบัน สาระการเรียนรู้ 1. สสาร 2. ความรอ้ น 3. แรง 4. ความดนั 5. สุญญากาศ 6. ความชนื้ ผลการเรียนรทู้ ีค่ าดหวัง 1. อธิบายโครงสร้างและสถานะของสสารได้ 2. บอกหน่วยการวดั ปริมาณความรอ้ น ความดัน สญุ ญากาศ และอุณหภูมใิ นแต่ละระบบได้ 3. สามารถคานวณค่าอุณหภูมิทีม่ หี น่วยการวดั ในระบบหน่งึ เป็นอีกระบบหนว่ ยได้ 4. ยกตัวอย่างการถ่ายเทความรอ้ นแตล่ ะวธิ ีได้ 5. บอกองค์ประกอบของอัตราการถ่ายเทความรอ้ นได้ 6. บอกความหมายประเภทของความดันและสญุ ญากาศได้ 7. บอกความหมายของความชื้นได้ 8. ปฏิบตั ิงานด้วยความปลอดภยั และมีกิจนิสยั ทีด่ ใี นการทางาน 9. มีเจตคติที่ดีตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงโดยพึ่งตนเองในการเรียนรู้ได้
ความรู้เบือ้ งตน้ ทางฟิสกิ ส์ทีเ่ กี่ยวกับการปรบั อากาศ ระบบปรบั อากาศเปน็ อีกระบบหนง่ึ ที่ผศู้ กึ ษาการทางานของระบบรถยนต์ตอ้ งทาความเข้าใจกับ ทฤษฎีทางฟิสิกส์เกี่ยวกับระบบปรับอากาศนี้ให้ดี เพราะระบบปรับอากาศได้นาทฤษฎีทางด้านฟิสิกส์ ของสสารมาประยุกต์ใชจ้ นเกิดเป็นเครื่องปรับอากาศใชก้ นั อยู่ในปจั จุบัน สสาร (Matter) 1. ความหมายของสสาร สสาร หมายถึง วัตถุต่าง ๆ ที่อยู่รอบตัวเรา เช่น อากาศ ก๊าช ดิน ก้อนหิน น้า ต้นไม้ มนษุ ย์ เปน็ ต้น หากสงั เกตจะพบว่าทุกสิ่ง ทุกอย่างที่อยู่รอบ ๆ ตัวเราลว้ นเปน็ สสารท้ังสิน้ 2. โครงสรา้ งของสสาร สสารประกอบด้วยส่วนเล็ก ๆ มากมายประกอบกนั ขึ้นเป็นสสาร ซึง่ ส่วนเล็ก ๆ นั้น เรียกว่า อะตอม และเมือ่ นาหลาย ๆ อะตอมมารวมกัน เรียกว่า โมเลกุล H อะตอมของออ๊ กซเิ จน O อะตอมของไฮโดรเจน H รูปท่ี 1.1 โครงสร้างโมเลกุลของนา้ ทม่ี า (ชาตรี สรงประเสริฐ, 2552) สสารใด ๆ กต็ ามตอ้ งการทีอ่ ยู่ เชน่ ถ้วยแก้วทีม่ องดวู ่าว่างเปล่า แท้ทีจ่ รงิ แล้วมอี ากาศ อยู่ภายใน แตม่ องไม่เห็น ลองเอากระดาษมาหนง่ึ ชนิ้ ใส่ลงไปในก้นแก้วเปล่า แล้วควา่ ถ้วยแก้วลงไปใน ถังน้า หรืออ่างน้ากดให้แก้วจมอยู่ในน้าสักครู่ จึงยกถ้วยแก้วขึ้นมาตรง ๆ จะเห็นว่า กระดาษจะไม่ เปียก เพราะน้าเข้าไปในแก้วไม่ได้ แสดงว่ามีสิ่งใดสิ่งหนึ่งอยู่ในแก้วน่ันก็คือ อากาศ ดังน้ันอากาศก็ ต้องการที่อยู่ น้าจงึ เข้าไปในแก้วไม่ได้ นอกจากนีส้ สารยงั มีมวลนา้ หนัก เช่น นาลกู บอลทีย่ งั ไม่ได้สบู ลมมาวางไว้บนตาชัง่ แล้วดู ว่าหนักเท่าไร หลังจากน้ันนาลูกบอลไปสูบให้อากาศเข้าไปจนเต็มลูกบอล แล้วนาไปวางบนตาชั่งอีก คร้ัง จะเห็นว่า คร้ังนี้ลูกบอลจะหนักกว่าคร้ังแรกแสดงว่า อากาศที่เพิ่มเข้าไปในลูกบอลนั้นมีน้าหนัก เปน็ ต้น
3. ลักษณะของสสาร สสารสามารถแบ่งออกได้ 3 สถานะ คือ ของแข็ง ของเหลว และก๊าซ สสารสามารถ เปลีย่ นจากสถานะหน่ึงไปยังอีกสถานะหน่ึงได้ และสามารถเปลี่ยนกลบั ไปกลบั มาได้โดยอาศัยอุณหภูมิ เช่น เปลี่ยนจากสถานะของแข็งเป็นของเหลว จากสถานะของเหลวเป็นก๊าซ และเปลี่ยนกลับจาก สถานะก๊าซเป็นของเหลวและของแข็งได้เมือ่ อุณหภูมิเปลีย่ นไป เช่น น้า ของเหลว การละลาย การระเหิด การแขง็ ตัว การควบแน่น การระเหิด ของแข็ง การเกาะรวมตวั ก๊าซ รปู ท่ี 1.2 สถานะของสสาร ท่มี า (ชาตรี สรงประเสริฐ, 2552) ปกติน้าจะมีสถานะเป็นของเหลว หากเรานาน้าไปแช่ตู้เย็น น้าจะกลายเป็นน้าแข็ง ซึ่งมี สถานะเป็นของแข็ง แต่ถ้านาน้าไปต้มให้ความร้อน น้าจะเดือดกลายเป็นไอ ซึ่งจะอยู่ในสถานะก๊าซ เมื่อไอน้าปะทะกับความเย็นกจ็ ะกลบั มาเปน็ น้า ซึ่งอยู่ในสถานะของเหลวอีกครั้ง ความรอ้ น (Heat) 1. ความหมายของความร้อน ความร้อน หมายถึง การที่โมเลกุลของวัตถุเกิดการเคลื่อนที่และเกิดการเสียดสีระหว่าง โมเลกุล ความร้อนเป็นพลังงานชนิดหนึ่งซึ่งสามารถทางานและสามารถเปลี่ยนเป็นพลังงานรูป อื่น ๆ ได้
2. การถ่ายเทความรอ้ น (Heat Transfer) การถ่ายเทความร้อน หมายถึง การเคลื่อนที่ของความร้อนจากบริเวณที่ ๆ มีอุณหภูมิสูง ไปยังบริเวณที่มีอุณหภูมิต่ากว่า และเม่ือมีอุณหภูมิเท่ากัน ความร้อนก็จะหยุดการเคลื่อนที่ การ ถ่ายเทความรอ้ นสามารถแบ่งออกได้ 3 วิธี คือ 1. การถ่ายเทความร้อนโดยการนา (Conduction) หมายถึง การที่ความรอ้ นเคลื่อนที่ ผา่ นวัตถุไปได้โดยวตั ถุไม่ได้เคลื่อนทีไ่ ปด้วย วัตถุเหล่านีอ้ ยู่ในสถานะของแขง็ เช่น โลหะต่าง ๆ 2. การถ่ายเทความร้อนโดยการพา (Convection) หมายถึง การเคลื่อนที่ของ ความร้อนไปพร้อมกับวัตถุซึ่งอยู่ในสถานะของเหลวหรือก๊าซเป็นสารตัวกลาง เช่น น้า อากาศ สาร ทาความเยน็ 3. การถ่ายเทความร้อนโดยการแผ่รังสี (Radiation) หมายถึง การเคลื่อนที่ของ ความรอ้ นโดยไม่ต้องอาศยั ตวั กลางใด ๆ แต่จะอยู่ในลกั ษณะคลืน่ ความร้อน เมื่อไปกระทบกับวตั ถุทา ให้โมเลกลุ ภายในของวตั ถเุ คลื่อนที่จึงทาให้เกิดความร้อน การนาความร้อน การพาความร้อน การแผร่ ังสี รูปท่ี 1.3 การถ่ายเทความรอ้ น ท่มี า (ชาตรี สรงประเสริฐ, 2552) 3. ชนิดของความร้อน ชนิดของความรอ้ น แบ่งออกเปน็ 2 ประเภท คอื 1. ความร้อนสัมพทั ธ์ (Sensible Heat) เป็นปริมาณความรอ้ นทีท่ าให้อุณหภูมิของ สสารเปลี่ยนแปลง แตไ่ ม่ทาให้สสารเปลีย่ นสถานะ 2. ความรอ้ นแฝง (Latent Heat) เปน็ ปริมาณความรอ้ นทีไ่ ม่ทาใหอ้ ณุ หภมู ิของ สสาร เปลี่ยนแปลง แต่จะทาให้สสารนั้นเปลี่ยนสถานะ
4. ปริมาณความรอ้ น ปริมาณความรอ้ น หมายถึง ค่าที่บอกระดบั ความรอ้ นว่า มมี ากน้อยแค่ไหนของสสารน้ัน หรือที่เรียกว่า อุณหภูมิ (Temperature) อุปกรณ์ที่ใช้วัดระดับความร้อนคือ เทอร์โมมิเตอร์ (Thermometer) เม่ือต้องการทราบอุณหภูมิของสสารใด ให้นาส่วนรับความรู้สึกของเทอร์โมมิเตอร์ไป สัมผัสกับสสารที่ต้องการทราบอุณหภูมิ สสารนั้นจะถ่ายทอดระดับความร้อนสู่เทอร์โมมิเตอร์ให้ แสดงผลบนสเกล (Scale) ว่า สสารมอี ุณหภมู ิอยู่ระดบั ใด ค่าของอุณหภมู ิที่วดั ได้ปัจจุบนั ทีใ่ ชม้ ีอยู่ 2 หนว่ ย คอื องศาเซลเซียส (Celsius) ใช้ สัญลักษณ์ “0C” เป็นหน่วยวัดระบบเมตริก และองศาฟาเรนไฮต์ (Fahrenheit) ใช้สัญลักษณ์ “0F” เป็นหนว่ ยวดั ระบบอังกฤษ ซึง่ สามารถเปรียบเทียบอณุ หภมู ิโดยใช้สตู ร ดังนี้ สูตร การเปรียบเทียบอุณหภูมิ C = F − 32 59 เมือ่ 0C หมายถึง ค่าอุณหภูมิที่มหี นว่ ยเปน็ องศาเซลเซียส 0F หมายถึง ค่าอุณหภูมิที่มหี นว่ ยเป็นองศาฟาเรนไฮต์ ตวั อยา่ งที่ 1 วัดอณุ หภมู ขิ องอากาศได้เท่ากบั 40 0C จะมีคา่ เท่ากับกี่องศาฟาเรนไฮต์ วิธีทา จากสูตร C = F − 32 เมือ่ 59 C = 40 F=? แทนค่า 40 = F − 32 59 8 x 9 = F – 32 72+32 = F จะได้อุณหภมู ขิ องอากาศ = 104 0F แสดงวา่ อุณหภูมขิ องอากาศ 40 0C มีคา่ เท่ากับ 104 0F
ตัวอย่างที่ 2 วัดอุณหภูมขิ องอากาศได้เท่ากับ 104 0F จะมีคา่ เท่ากับกีอ่ งศาเซลเซียส วิธีทา จากสูตร C = F − 32 เมื่อ 59 F = 1040F C=? แทนค่า C = 104 − 32 59 C = 8x5 จะได้อณุ หภมู ขิ องอากาศ = 40 0C แสดงวา่ อณุ หภมู ขิ องอากาศ 104 0F มีคา่ เท่ากบั 40 0C 5. อุปกรณท์ ่ใี ช้วัดระดบั ความรอ้ นแบง่ ออกเป็น 2 ลักษณะ คอื 1. เทอร์โมมิเตอร์กระเปาะแห้ง (Dry Bulb thermometer) เป็นเทอร์โมมิเตอร์ที่บรรจุด้วย ปรอท เมื่อนากระเปาะของเทอร์โมมเิ ตอร์ไปสัมผสั กับความรอ้ นโดยตรงจะทาให้ปรอทเกิดการขยายตัว 2. เทอร์โมมิเตอร์กระเปาะเปียก (Wet Bulb thermometer) ซึ่งกระเปาะของ เทอร์โมมิเตอร์จะถูกหุ้มไว้ด้วยผ้าที่เป็นตาข่าย ผ้าหยาบที่สะอาด หรือสาลี แล้วนาไปจุ่มลงในน้ากล่ัน เพื่อให้น้าซึมผ่านเข้าไปที่กระเปาะของเทอร์โมมิเตอร์ ทาให้เกิดความชื้นและทาให้อุณหภูมิของอากาศ รอบ ๆ กระเปาะลดลง สาลีชุบนา้ พันรอบ กข รูปท่ี 1.4 กระเปาะแห้ง (ก) กระเปาะเปียก (ข) ทม่ี า (ชาตรี สรงประเสริฐ, 2552) เม่ือนาเอาเทอร์โมมิเตอร์กระเปาะเปียก และกระเปาะแห้งมารวมกันจะมีชื่อเรียกว่า ไซโครมิเตอร์ (Psy Chrometer) ซึ่งเป็นเคร่ืองมือที่ใช้หาค่าความชื้นสัมพัทธ์เฉพาะที่ โดยการ เปรียบเทียบอณุ หภมู ิของเทอร์โมมเิ ตอร์กระเปาะเปียกและกระเปาะแหง้
แรง (Force) 1. ความหมายของแรง แรง หมายถึง อานาจชนิดหนึง่ ที่สามารถเปลี่ยนแปลงสถานภาพของวัตถุ เช่น ทาให้วัตถุ เคลื่อนที่จากหยุดนิ่ง หรือเปลี่ยนทิศทาง หรือเคลื่อนที่เร็วขึ้นหรือช้าลง แรงยังทาให้เกิด การ เปลี่ยนรูปร่าง เช่น การบิดงอ เป็นต้น แรงมีหน่วยวัดเป็นนิวตัน (Newton) โดยคานวณหาแรงได้ จากการนามวลของวัตถุคูณกับการเคลื่อนที่ด้วยอัตราเรง่ ของวตั ถุ สตู ร การคานวณหาแรง F = ma เมื่อ F = แรงมีหน่วยเปน็ นิวตัน (N) m = มวลของวัตถมุ ีหนว่ ยเป็นกิโลกรัม (kg) a = อัตราเร่งของวัตถมุ ีหน่วยเป็นเมตรตอ่ วินาที2 (m/s2) ตัวอย่างท่ี 3 จงหาขนาดของแรงที่กระทากับวัตถุมวล 10 กิโลกรัม ให้เคลื่อนที่ด้วยอัตรา เร่ง 15 เมตรต่อวนิ าที2 ในทิศทางที่ถกู แรงกระทา วิธีทา จากสูตร F = ma เมือ่ m = 10 kg a = 15 m/s2 แทนค่า F = 10 kg x 15 m/s2 จะได้ขนาดของแรงกระทา = 150 kg m/s2 = 150 N หมายเหตุ แรง 1 N หมายถึง แรงที่กระทาให้มวลวัตถุ 1 kg เคลื่อนทีด่ ว้ ยอัตราเร่ง 1 m/s2 ความดัน (Pressure) 1. ความหมายของความดัน
ความดัน หมายถึง แรงที่มากระทากับวัตถุต่อหน่วยของพื้นที่ หรือเป็นการวัด ความหนาแน่นของแรงที่จุดใดจุดหนึ่งบนพื้นที่ผิวของวัตถุ ขณะที่แรงกระทาบนพื้นที่ผิวทั้งหมดเท่ากัน สามารถคานวณได้โดยใช้แรงทั้งหมดที่กระทาบนพืน้ ที่หารด้วย พืน้ ผิวทีร่ บั แรงท้ังหมด สตู ร การคานวณหาความดนั P = F A เมือ่ P = ความดันมหี นว่ ยเปน็ นิวตันต่อตารางเมตร (N/m2) F = แรงกระทามหี นว่ ยเปน็ นิวตัน (N) A = พืน้ ทีม่ ีหน่วยเป็นตารางเมตร (m2) ตัวอย่างท่ี 4 ถังทรงกระบอกขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 2 เมตร สูง 4 เมตร ถ้าบรรจุน้า เตม็ ถังมวลของน้าหนกั ทั้งหมดหนกั 180 กิโลกรมั จงคานวณหาค่าของ ก) แรงที่แรงทาทีก่ ้นถัง ข) ความดันที่กระทาที่ก้นถัง วิธีทา ก) จากสูตร F = ma เมื่อ m = 180 kg a = แรงโน้มถ่วงของโลกมีค่า = 9.81 m/s2 จะได้แรงทีก่ ระทากบั ถงั = 1765.8 N ข) จากสูตร P=F เมือ่ A F = 1765.8 N แทนค่า A = d 2 = 3.14x(2m)2 = 3.14 m2 จะได้ความดันกี่ถงั 44 P = 1765.8 3.14m 2 = 562.357 (N/m2) = 562.357 Pa หมายเหตุ ความดัน 1 N/m2 เท่ากับ ความดัน 1 Pa ความดัน 1 bar เท่ากับ ความดนั 100,000 Pa (105) 2. หนว่ ยการวดั ความดนั หนว่ ยที่ใชส้ าหรบั วดั ความดนั ในระบบต่าง ๆ ประกอบด้วย
1. ระบบอังกฤษ มีหน่วยเปน็ ปอนด์ตอ่ ตารางน้วิ (lb/in2 หรอื psi) 2. ระบบเมตริกมีหน่วยเป็น กิโลกรัมตอ่ ตารางเซนติเมตร (kg/cm2) 3. ระบบเอสไอ มีหน่วยเปน็ นิวตันตอ่ ตารางเมตร (N/m2 หรอื bar) 1 lb/in2 = 0.07 kg/cm2 1 kg/cm2 = 14.226 in2 1 lb/in2 = 6892.857 Pa 1 bar = 100,000 Pa 3. ประเภทของความดัน ความดันสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภท คือ 1. ความดันเกจ (Gauge Pressure) - (Pg) หมายถึง ความดันที่วัดค่าเทียบกบั ความ ดนั บรรยากาศทีค่ วามดันปกติ จะอ่านค่าที่ความดันเกจเท่ากบั ศนู ย์ 2. ความดนั บรรยากาศ (Atmospheric Pressure) - (Patm) หมายถึง ความดนั ของ อากาศ ที่อยู่รอบ ๆ ตัว เนอ่ื งจากอากาศที่อยู่รอบตวั เราจะมีน้าหนกั หรอื แรงอยู่ เม่อื แรงหรอื น้าหนัก ของอากาศทีม่ ากระทาบนพืน้ ที่ของอากาศ จงึ ทาให้อากาศเกิดแรงดนั ซึ่งน้าหนกั ของอากาศทีอ่ ยู่ห่าง จากผิวโลกไม่เท่ากัน จะทาให้เกิดความดันบรรยากาศไม่เท่ากัน วัดเทียบความดันบรรยากาศที่ระดบั ผวิ น้าทะเลจะมีค่าเท่ากับ 14.7 lb/in2 3. ความดันสมบูรณ์ (Absolute Pressure) - (Pabs) หมายถึง ผลรวมของความดันเกจ กับความดันบรรยากาศ ความดนั สมบรู ณ์มคี ่าเท่ากับ 101.325 KPa ที่ความดนั บรรยากาศ (1 Patm) สญุ ญากาศ (Vacuum) 1. ความหมายของสญุ ญากาศ สุญญากาศ หมายถึง ปริมาตรของช่องว่างซึง่ ไม่มีสสารอยู่ภายใน มคี ่าความดันที่ต่ากว่า ความดันบรรยากาศ จึงทาให้เกจวัดความดันโดยท่ัวไปไม่สามารถวัดความดันที่ต่ากว่าบรรยากาศได้ ดังนนั้ จงึ ตอ้ งใชเ้ ครื่องมือที่วดั ได้เฉพาะสุญญากาศ ทีเ่ รยี กว่า เกจสุญญากาศ (Vacuum Gauge) 2. หนว่ ยการวัดสุญญากาศ หนว่ ยทีใ่ ชส้ าหรับสุญญากาศในระบบต่าง ๆ ดงั น้ี 1. ระบบองั กฤษ มีหน่วยเปน็ นวิ้ ปรอท (in.Hg) 2. ระบบเมตริก มีหน่วยเป็น มิลลเิ มตรปรอท (mm.Hg) 3. ระบบ SI Unit มีหน่วยเป็น มิลลเิ มตรปรอท (mm.Hg) ความชื้น (Humidity) 1. ความหมายของความชืน้
ความชื้น หมายถึง ปริมาณของไอน้าที่มีอยู่ในอากาศ เราจะสังเกตได้จากการนาน้าแข็ง ใส่แก้ววางทิ้งไว้สักครู่จะเห็นว่ามีหยดน้าที่ข้างแก้ว หยดน้านี้มาจากไอน้าที่อยู่ในอากาศ เม่ือไอน้าใน อากาศมาปะทะกับความเย็นของน้าแข็งทีแ่ ก้ว จะเกิดการกลนั่ ตัวหรือเปลี่ยนสถานะจากก๊าซกลายเป็น ของเหลวหรือหยดน้าน่ันเอง ความชื้นดังกล่าวนี้สามารถวัดได้ในรูปของความชื้นสัมพัทธ์ (Relative Humidity) เชน่ ความชนื้ สมั พทั ธ์ 50% หมายความว่า อากาศมปี ริมาณไอน้าอยู่ครึ่งหนึ่งของอากาศ ทีส่ ามารถอุ้มไอน้าไว้ได้ในอุณหภูมิ ณ จุดนนั้ รูปท่ี 1.5 นา้ ระเหยสบู่ รรยากาศ ทม่ี า (ชาตรี สรงประเสริฐ, 2552) ขณะอากาศมีความชื้นต่าจะทาให้ร่างกายถ่ายเทความร้อนได้ดี แต่ถ้าอากาศมีความชื้น สมั พัทธ์สงู จะมีผลทาให้กระบวนการถ่ายเทความรอ้ นลดลง โดยทวั่ ไปแล้ว มนษุ ย์เราจะรู้สกึ ไม่คอ่ ยสบาย เมือ่ มีความชืน้ ในอากาศสูงเราจะรู้สึกเหนียว ตัว เน่ืองจากเหง่ือระเหยออกจากร่างกายได้ยาก แต่ถ้าความชื้นในอากาศต่า จะรู้สึกสบายขึ้น เนือ่ งจากเหงือ่ ระเหยออกได้ง่าย
Search
Read the Text Version
- 1 - 11
Pages: