Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หนังสืออ่านเพิ่มเติม "อุปกรณ์จราจรบนทางหลวงเพื่อความปลอดภัย"

หนังสืออ่านเพิ่มเติม "อุปกรณ์จราจรบนทางหลวงเพื่อความปลอดภัย"

Published by Kritsana Mathong, 2021-04-21 08:27:55

Description: หนังสืออ่านเพิ่มเติม ชุด “รณรงค์ป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน” เรื่อง อุปกรณ์จราจรบนทางหลวงเพื่อความปลอดภัย

Search

Read the Text Version

หนังสืออานเพิม่เตมิชุด “รณรงคปองกันและลดอบุัติเหตทุางถนน” อุปกรณจราจรบนทางหลวง เพื่อความปลอดภัย โรงเรียนดงเจริญพิทยาคมอำเภอดงเจรญิจงัหวัดพจิติร สำนักงานเขตพ้นืท่กีารศกึษามัธยมศึกษาพจิิตร สำนกังานคณะกรรมการการศกึษาขั้นพน้ืฐาน กระทรวงศึกษาธิการ



หนงั สอื อ่านเพิม่ เตมิ ชุด “รณรงคป์ อ้ งกนั และลดอุบตั ิเหตุทางถนน” อุปกรณจ์ ราจรบนทางหลวง เพอื่ ความปลอดภยั โรงเรยี นดงเจริญพทิ ยาคม อำเภอดงเจริญ จงั หวดั พจิ ติ ร สำนักงานเขตพืน้ ทกี่ ารศึกษามัธยมศึกษาพิจิตร สำนกั งานคณะกรรมการการศึกษาขนั้ พ้ืนฐาน กระทรวงศึกษาธกิ าร



คำนำ ปัจจบุ นั น้ี ปญั หาท่ีสำคญั ของประเทศไทยที่จะต้องแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง นั่นก็คือ “ปัญหาอุบัติเหตุ ทางถนน” ซึ่งเป็นต้นเหตุแห่งความสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินอย่างมหาศาล และสาเหตุของอุบัติเหตุทางถนน ในประเทศไทย เกิดจากหลายสาเหตุ ทั้งในด้านผู้ขับขี่ที่ขาดความรู้และฝ่าฝืนกฎหมายเกี่ยวกับการจราจร ทางบก ขาดจิตสำนึกที่ดีในการใช้รถใช้ถนน ด้านยาพาหนะที่ไม่สมบูรณ์ครบถ้วน ขาดการตรวจสภาพและ บำรุงรักษา ด้านสภาพแวดล้อมที่ไม่เอือ้ อำนวยต่อการสัญจร เช่น สภาพอากาศเลวร้าย ทัศนวิสัยการมองเห็น ไม่ชัดเจน สภาพถนนชำรุด เป็นหลุมเป็นบ่อ สภาพถนนไม่ปลอดภัยตามหลักวิศวกรรม เป็นต้น ซึ่งรัฐบาล ก็ได้ให้ความสำคัญกับปัญหาอุบัติเหตุทางถนน ทั้งในช่วงระยะเวลาปกติ รวมถึงช่วงวันหยุดยาว และชว่ งเทศกาลท่มี ีปริมาณจราจรสงู ขนึ้ เพอื่ ลดอุบตั เิ หตุบนทอ้ งถนนอยา่ งแท้จรงิ โรงเรียนดงเจริญพิทยาคม เป็นโรงเรียนมัธยมศึกษาประจำอำเภอดงเจริญ จังหวัดพิจิตร สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาพิจิตร สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ ปัจจุบันโรงเรียนดงเจริญพิทยาคม ได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) กับจังหวัดพิจิตร ในโครงการสานพลังสร้างมาตรการองค์กรเพื่อความปลอดภัยทางถนน จังหวัดพิจิตร ปี 2562-2563 เมื่อวันท่ี 23 กนั ยายน 2562 ณ โรงแรมมพี รสวรรค์ แกรนด์ โฮเทล แอนด์ รีสอรท์ อำเภอเมือง จังหวัดพิจิตร โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อให้ความรู้และปลูกจิตสำนึกในการขับขี่อย่างมีวินยั และถูกกฎจราจร อย่างม่งุ เน้น ใหเ้ กิดความปลอดภยั และลดอุบตั ิเหตบุ นท้องถนน การที่จะทำให้ผู้ขับขี่ยวดยานพาหนะ สามารถสัญจรบนท้องถนนได้อย่างปลอดภัยและกฎจราจร สิ่งสำคัญที่นอกเหนือจากทักษะการขับขี่ในสถานการณ์ต่าง ๆ ทั้งในสถานการณ์ปกติ และสถานการณ์ฉุกเฉิน นั่นคือ การที่ผู้ขับขี่มีความรู้และเข้าใจในกฎหมายว่าด้วยการจราจรทางบก และมีความรู้ความเข้าใจ ในเครื่องหมายและสัญญาณจราจรที่ปรากฏบนทางหลวง ดังนั้น ในที่ประชุมคณะทำงานโครงการสานพลัง สร้างมาตรการองค์กรเพื่อความปลอดภัยทางถนน โรงเรียนดงเจริญพิทยาคม ร่วมกับคณะสภานักเรียน โรงเรียนดงเจริญพิทยาคม เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2563 ต่างให้ความเห็นชอบในการรณรงค์ป้องกัน และลดอุบัติเหตุทางถนน ที่ประชุมจึงมีมติให้คณะทำงานโครงการสานพลังสร้างมาตรการองค์กรเพื่อความ ปลอดภัยทางถนน โรงเรียนดงเจริญพิทยาคม เป็นผู้ผลิตสื่อการเรียนรู้ทั้งในรูปแบบสื่อสิ่งพิมพ์ สื่ออเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ ส่อื สังคมออนไลน์ และระบบสื่อสารมวลชน หวังเป็นอย่างยิ่งว่า หนังสืออ่านเพิ่มเติมชุด “รณรงค์ป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน” จะมีประโยชน์ตอ่ นกั เรยี น ผู้ปกครอง ผู้ใช้รถใชถ้ นน และผู้ที่สนใจไม่มากก็น้อย หากมีข้อผิดพลาดประการใด กราบขออภัยมา ณ ท่ีนี้ จกั ขอบคณุ ย่งิ คณะทำงานโครงการสานพลงั สรา้ งมาตรการองค์กรเพื่อความปลอดภยั ทางถนน โรงเรยี นดงเจริญพทิ ยาคม

สารบญั บทที่ 1 บทนำ................................................................................................................................................. 1 1.1 บททั่วไป......................................................................................................................................... 1 1.2 เนือ้ หา............................................................................................................................................ 1 บทที่ 2 อุปกรณ์จราจรที่ใช้ในงานกอ่ สร้าง บรู ณะ และบำรุงรักษาทางหลวง ................................................... 2 2.1 บททวั่ ไป......................................................................................................................................... 2 2.2 กรวย (Cones) ............................................................................................................................... 3 2.3 เสาจราจรล้มลกุ (Tubular Marker) .............................................................................................. 3 2.4 แผงตง้ั (Vertical Panel) ............................................................................................................... 4 2.5 ถงั กลม (Drums) ............................................................................................................................ 5 2.6 แผงก้ัน (Barricades) ..................................................................................................................... 6 2.7 กำแพง (Traffic Barrier) ................................................................................................................ 9 2.8 อปุ กรณ์ดูดซับแรงกระแทก (Crash Cushion) ............................................................................... 9 2.9 หลักนำทาง (Guide Post) ........................................................................................................... 10 2.10 แผน่ ป้ายสัญญาณไฟลกู ศร (Arrow Panel).................................................................................. 10 2.11 ป้ายสญั ญาณแบบปรบั เปลีย่ นขอ้ ความ (Portable Changeable Message Sign) ...................... 12 2.12 ไฟกะพริบ (Flasher หรือ Flashing Light).................................................................................. 13 2.13 เคร่อื งใหส้ ญั ญาณ (Signalizing Devices).................................................................................... 14 2.14 อปุ กรณ์ส่องสวา่ ง (Lighting Devices)......................................................................................... 16 2.15 ป้ายมอื ถือ (Knockdown)............................................................................................................ 17 บทท่ี 3 อุปกรณ์จราจรที่ใช้ตดิ ตง้ั บริเวณจดุ เสยี่ งอนั ตรายบนทางหลวง หรือใชต้ ิดตั้งเพื่อเพ่ิมความปลอดภยั บน ทางหลวง ...................................................................................................................................................... 19 3.1 บททั่วไป....................................................................................................................................... 19 3.2 ราวกนั อันตราย (Guard Rail) ...................................................................................................... 19 3.3 หลกั นำทาง (Guide Post) ........................................................................................................... 20 3.4 เปา้ สะท้อนแสง ............................................................................................................................ 21 3.5 แผนกนั้ ไม้บริเวณทางแยกรูปตวั ที หรือทิมเบอรแ์ บรเิ ขต (Timber Barricade) ............................ 22 3.6 ป่มุ หรือหมุดสะท้อนแสงบนผิวจราจร (Road Stud)..................................................................... 22

3.7 ไฟฟา้ แสงสวา่ งบนทางหลวง ......................................................................................................... 23 3.8 สันชะลอความเรว็ หรอื อุปกรณส์ ยบย้งั การจราจร (Traffic Calming Equipment) .................... 24 3.9 กระจกโค้งจราจร.......................................................................................................................... 26 เอกสารอ้างองิ ............................................................................................................................................... 27 ภาคผนวก มอก.606-2549 แผน่ สะทอ้ นแสงสำหรบั ควบคมุ การจราจร......................................................... 28

-1- บทท่ี 1 บทนำ 1.1 บทท่ัวไป อปุ กรณจ์ ราจร ไดแ้ ก่ สิ่งใด ๆ ทแ่ี สดง ติดตง้ั หรอื ทำใหป้ รากฏในเขตทาง หรือบนทางหลวง ซง่ึ ถอื เป็น หนึ่งตัวช่วยเสริมในการควบคุมการจราจรบนทางหลวงให้เกิดความคล่องตัว สะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย นอกเหนอื จากการใช้ป้ายจราจร เครอ่ื งหมายจราจร และสัญญาณจราจร ในบางกรณีอาจใช้อปุ กรณ์จราจรร่วมกบั ปา้ ยจราจร เครือ่ งหมายจราจร หรอื สัญญาณจราจร เพื่อเพ่ิม ประสิทธิภาพในการสื่อสารกับผู้ขับขี่มากขึ้น รวมทั้งเป็นการกระตุ้นและเตือนให้ผู้ขับขี่ใช้ความระมัดระวังใน การขับรถและการใชค้ วามเรว็ ทีเ่ หมาะสม 1.2 เนอื้ หา เน้อื หาในหนังสืออ่านเพิ่มเติมชุด “รณรงค์ป้องกนั และลดอุบัติเหตุทางถนน” เร่ือง อุปกรณ์จราจรบน ทางหลวงเพื่อความปลอดภยั เล่มนี้ จะประกอบดว้ ย 1) บทท่ี 1 บทนำ 2) บทท่ี 2 อปุ กรณ์จราจรทีใ่ ชใ้ นงานกอ่ สร้าง บูรณะ และบำรุงรกั ษาทางหลวง 3) บทที่ 3 อุปกรณ์จราจรที่ใช้ติดตั้งบริเวณจุดเสี่ยงอันตรายบนทางหลวง หรือใช้ติดตั้งเพื่อเพิ่มความ ปลอดภัยบนทางหลวง 4) ภาคผนวก มอก.606-2549 แผน่ สะท้อนแสงสำหรับควบคุมการจราจร

-2- บทท่ี 2 อุปกรณ์จราจรทใ่ี ช้ในงานกอ่ สร้าง บูรณะ และบำรงุ รกั ษาทางหลวง 2.1 บทท่วั ไป ในบทนจ้ี ะกล่าวถึงอปุ กรณ์จราจรทใ่ี ชใ้ นงานก่อสรา้ ง บูรณะ และบำรุงรักษาทางหลวง อุปกรณ์จราจรที่ใช้ในงานก่อสร้าง งานบูรณะ และงานบำรุงรักษาทางหลวง ได้แก่ สิ่งใด ๆ ที่แสดง ติดตง้ั หรือทำให้ปรากฏไว้ในเขตทางหรอื ทางหลวง เป็นประโยชน์ตอ่ การจัดการจราจร หรือควบคมุ การจราจร เป็นการเฉพาะหน้าชั่วคราว หรือทำหน้าที่เป็นเครื่องเตือนหรืออุปกรณ์จัดช่องจราจร (Channelizing Devices) รวมไปถงึ อุปกรณ์อืน่ ๆ ทีช่ ่วยลดความรุนแรงท่ีอาจเกิดขึ้นเมอ่ื เกดิ อบุ ตั ิเหตุในบรเิ วณพื้นท่ปี ฏบิ ัติงาน อุปกรณ์จราจรที่ใช้ในงานก่อสร้าง งานบูรณะ และงานบำรุงรักษาทางหลวง มีจุดประสงค์หลัก 2 ประการ คือ 1) เพื่อเป็นเครื่องมือในการแนะนำแนวทางผู้ขับขี่ยวดยาน ให้ผ่านบริเวณการก่อสร้างไปได้อย่าง สะดวก และปลอดภยั 2) เพื่อกระตุ้นเตือนผู้ขับขี่ยวดยานให้ระมัดระวังบริเวณที่อาจจะมีอันตรายเนื่องจากการก่อสร้าง งานบูรณะ หรืองานบำรุงรกั ษาทางหลวง งานซ่อมแซม งานก่อสรา้ งสาธารณูปโภคทางหลวง ดังนั้น ลักษณะของอุปกรณ์จราจร จะต้องมองเห็นได้ง่ายตลอดเวลา จะต้องไม่ทำให้รถเสียหาย ร้ายแรงเมื่อถูกชนหรือเฉี่ยว และจะต้องติดตั้งหรือจัดวางให้เป็นแนวที่รถสามารถแล่นผ่านไปได้สะดวก ปลอดภยั อปุ กรณ์ดังกล่าว มีดังตอ่ ไปนี้ 1) กรวย (Cones) 2) เสาจราจรลม้ ลุก (Tubular Marker) 3) แผงตัง้ (Vertical Panel) 4) ถังกลม (Drums) 5) แผงกัน้ (Barricades) 6) กำแพง (Barrier) 7) อปุ กรณด์ ดู ซบั แรงกระแทก (Crash Cushion) 8) หลกั นำทาง (Guide Post) 9) ป้ายสัญญาณไฟลูกศร (Arrow Panel) 10) ปา้ ยสัญญาณแบบปรับเปลย่ี นขอ้ ความ (Portable Changeable Message Sign) 11) ไฟกระพรบิ (Flasher) 12) เครอื่ งให้สญั ญาณ (Signalizing Devices) 13) อุปกรณ์ส่องสวา่ ง (Lighting Devices) 14) ป้ายมอื ถอื (Knockdown)

-3- 2.2 กรวย (Cones) กรวยจราจรใชส้ ำหรับงานช่วั คราวบนคนั ทางระหวา่ งงานก่อสร้างทาง เพราะมีน้ำหนักเบา เคลือ่ นย้าย ได้สะดวก ไม่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รถยนต์ เมื่อมีรถมาชนหรือเฉี่ยวถูกเข้ากับกรวยโดยปกติจะวางรอบ สงิ่ กีดขวางหรือตามแนวที่ขนานกับเสน้ แบ่งทิศทางการจราจรสามารถใช้เป็นเครื่องกำกบั แนวชอ่ งจราจรได้เป็น อยา่ งดี กรวยจราจร ทำดว้ ยยางหรือพลาสตกิ อ่อนสีส้มเรืองแสง ขนาดสูงไมน่ ้อยกว่า 70 ซม. ติดแผ่นสะท้อน แสงสีขาว 2 แถบ มีค่าสะท้อนแสงไม่ต่ำกว่าแบบที่ 3 หรือแบบที่ 4 ตาม มอก.606 แผ่นสะท้อนแสงสำหรับ ควบคุมการจราจร แถบแรกกว้าง 15 ซม. ติดที่ระยะ 10 ซม. วัดจากด้านบนลงมา แถบที่สองกว้าง 10 ซม. ติดที่ระยะห่างจากแถบแรกลงมา 15 ซม. มีฐานแผ่กว้างมีน้ำหนักเพียงพอเพื่อให้ตั้งอยู่ได้เมื่อโดนแรงลมขณะ ยานพาหนะวิง่ ผ่าน การตดิ ต้ังให้ติดตง้ั กรวยเป็นแนวตลอด ตดิ ตั้งทกุ ๆ ระยะห่างไม่เกิน 10 ม. สงิ่ ทจ่ี ะต้องระวังในการใช้ กรวย คือ กรวยเคลื่อนที่ หรือล้มได้ง่ายเนื่องจากมีรถแล่นผ่านใกล้ ๆ หรือเฉี่ยวชน ฐานของกรวยจราจรต้อง แข็งแรง อาจเพ่มิ น้ำหนักท่ฐี านเพ่ือให้ม่ันคงมากข้นึ แตน่ ้ำหนักที่ใชเ้ พม่ิ ขึ้นต้องไม่ใช่หนิ อฐิ หรอื วสั ดุใด ๆ ที่อาจ ทำความเสียหายหรือก่อให้เกิดการบาดเจ็บได้เมื่อถูกรถชน การซ้อนกรวยหรือใช้ถุงทรายหรือห่วงยางอาจ นำมาใชไ้ ดท้ ั้งนต้ี อ้ งคอยจัดตงั้ กรวยใหอ้ ยใู่ นตำแหน่งทีต่ ้องการตลอดเวลา กรวยยังใชไ้ ดเ้ หมาะสมในงานตีเส้นจราจรเพื่อป้องกันไมใ่ ห้รถทบั สีที่ยงั ไมแ่ ห้ง อุปกรณ์จราจรประเภทกรวย 2.3 เสาจราจรลม้ ลกุ (Tubular Marker) ลักษณะการใช้งานเสาจราจรล้มลุกคล้ายคลึงกับการใช้งานกรวยยาง คือ การใช้เป็นอุปกรณ์จัดช่อง จราจร มีน้ำหนกั เบา เหมาะกบั การใช้งานบนพื้นผิวจราจรท่ีเรยี บ เสาจราจรล้มลุกมีลักษณะเป็นเสาทรงกระบอก ทำด้วยยางหรือพลาสติกอ่อนสีส้มเรืองแสง ขนาดสูง ไม่นอ้ ยกว่า 70 ซม. เส้นผ่าศนู ยก์ ลางอยา่ งนอ้ ย 7.5 ซม. แตไ่ ม่เกิน 10 ซม. ติดแผ่นสะท้อนแสงสีขาว 2 แถบ มี ค่าสะท้อนแสงไม่ต่ำกว่าแบบที่ 3 หรือแบบที่ 4 ตาม มอก.606 แผ่นสะท้อนแสงสำหรับควบคุมการจราจร

-4- แถบแรกกว้าง 7.5 ซม. ติดที่ระยะ 5 ซม. วัดจากด้านบนลงมา แถบที่สองกว้าง 7.5 ซม. ติดที่ระยะห่างจาก แถบแรกลงมาอย่างน้อย 5 ซม. แต่ไม่เกิน 15 ซม. ในกรณีที่ขนาดเสาสูงเกินกว่า 105 ซม. จะต้องติดแผ่น สะทอ้ นแสงสีขาว 4 แถบ โดยติดในลักษณะเดียวกัน ตวั เสาตดิ ตง้ั อยู่บนฐานแผก่ ว้างท่ีมีน้ำหนักเพียงพอเพ่ือให้ ตั้งอยู่ได้เมื่อโดนแรงลมขณะยานพาหนะวิ่งผ่าน หรือสามารถใช้น้ำหนักถ่วงทรงกลมคล้องทับทีฐ่ านเพื่อให้เสา ต้ังอยไู่ ดอ้ ย่างม่นั คงในขณะใช้งาน หรือยดึ ตดิ กบั พื้นผิวจราจรโดยใช้พกุ ยึดกับฐานเสา ในกรณีทย่ี ึดติดกับพื้นผิว จราจร ตัวเสาจะต้องสามารถพับงอและคนื ตัวได้เองเมอ่ื ถูกรถเฉี่ยวชนและไม่เกิดความเสียหายต่อรถยนต์ เสาจราจรล้มลกุ จะใช้ในกรณตี อ้ งการแบ่งช่องจราจรท่ีเดินรถในทิศทางเดียวกนั หรอื ในกรณที ตี่ ้องการ ชีข้ อบทางให้ชัดเจน ภายใตพ้ ้นื ที่ท่ีจำกดั ไมส่ ามารถตดิ ต้ังอุปกรณช์ นิดอื่นได้ ตดิ ตัง้ ทุกระยะ 10 ม. ในแนวตรง และ 4 ม. ในแนวโค้ง กรณีติดตั้งกั้นระหว่างขอบทางต่างระดับกัน ให้ติดตั้งเป็นแนวตลอดทุกระยะ 10 ม. สำหรับระดับความสูงของผิวทางต่างกันไม่เกิน 25 ซม. และติดตั้งทุกระยะ 4 ม. สาหรับระดับความสูงของผิว ทางที่ต่างกันไม่เกนิ 50 ซม. แต่หากเกิน 50 ซม. แนะนำให้ตดิ ต้งั กำแพงคอนกรตี แทน อุปกรณจ์ ราจรประเภทเสาจราจรลม้ ลุก 2.4 แผงตั้ง (Vertical Panel) แผงตั้งเป็นแผ่นป้ายรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ด้านยาวเป็นส่วนตั้ง ขนาด 15 x 60 ซม. หรือ 20 x 60 ซม. ทาสีขาวสลับสีส้ม ทามุม 45 องศากับขอบป้าย แบ่งเป็น 7 ส่วน ให้แถบสีส้มกว้าง 10 ซม. แต่ละแถบห่างกัน 8 ซม. โดยสีขาวดา้ นมมุ บนสุดกว้าง 10 ซม. ทิศทางการเฉียงของแถบสีขาวสลับสีส้ม จะขนึ้ อยู่กบั ตำแหน่งที่ตดิ ต้งั ว่าติดต้งั ทีด่ ้านซ้าย หรือขวาของ ทิศทางการเดินรถ กรณีติดตั้งด้านซ้ายของทางเดินรถ แถบสีขาวสลับสม้ จะเฉียงข้ึนไปทางซ้าย และหากติดตั้ง ด้านขวาของการเดนิ รถ แถบจะเฉียงขึ้นไปทางขวา ให้ใช้แผ่นสะท้อนแสงที่มีค่าสะท้อนแสงไม่ต่ำกว่าแบบที่ 3 หรอื แบบที่ 4 ตาม มอก.606 แผ่นสะทอ้ นแสงสำหรับควบคมุ การจราจร ติดต้ังบนเสาปักลงดิน หรอื เสาท่มี ฐาน ถ่วงน้าหนักเพื่อไม่ให้ล้มง่าย เมื่อติดตั้งแล้วจะต้องสูงไม่น้อยกว่า 90 ซม. จากผิวจราจร การติดตั้งในแนวตรง ให้ตดิ ต้งั แผงต้ังเปน็ แนวตลอด ติดต้ังทกุ ระยะ 10 ม. ในแนวโค้งให้ติดต้งั แผงตั้งห่างกนั ทุกระยะ 4 ม.

-5- กรณีติดตัง้ ทางด้านซา้ ย กรณตี ดิ ต้งั ทางดา้ นขวา ของทศิ ทางการเดินรถ ของทิศทางการเดินรถ แผงตั้งสามารถจัดทำได้ง่ายและราคาถูก อาจใช้แทนกรวยยางได้ในงานบำรุงรักษาทาง หรือใช้แทน แผงก้นั บนไหลท่ างในกรณที ี่มีพื้นท่จี ำกัดไมส่ ามารถตดิ ตัง้ แผงก้นั ได้ แผงตั้งชนดิ ฝัง แผงตงั้ ชนดิ วางบนพ้ืน อปุ กรณจ์ ราจรประเภทแผงต้ัง 2.5 ถังกลม (Drums) ถังกลมขนาด 200 ลิตร หรือ 120 ลิตร ที่ไม่ได้ใช้งานอย่างอื่นแล้ว สามารถนำมาใช้เป็นอุปกรณ์ ควบคุมการจราจรในงานก่อสร้างได้อยา่ งดี โดยการทาสสี ม้ สลบั ขาว แบ่งเปน็ 7 ส่วนเทา่ ๆ กนั โดยที่ถังกลมมี ขนาดใหญ่ มองเห็นได้ชัดเจน และสามารถเลื่อนไปมาได้ จึงเหมาะที่จะใช้เป็นเครื่องแสดงแนวขอบทางจราจร ที่ติดกับพื้นที่ก่อสร้าง เช่น งานขยายทาง โดยการตั้งถังกลมเป็นแถว แสดงขอบทางจราจรในเวลาที่หยุด ปฏิบัติงาน ส่วนในเวลาปฏิบัติงานงานก็สามารถเลื่อนถังกลมเข้าไปในผิวจราจรเพื่อให้มีพื้นที่ปฏิบัติงานได้ เพยี งพอ ในส่วนทเี่ ป็นสีขาวสว่ นบนสุดใหต้ ิดแผน่ สะทอ้ นแสงท่มี ีค่าสะท้อนแสงไม่ต่ำกว่าแบบที่ 3 หรือแบบท่ี 4 ตาม มอก.606 แผ่นสะท้อนแสงสำหรับควบคุมการจราจรเพราะจะต้องใช้ในเวลากลางคืนด้วย หรือมิฉะนั้น อาจใช้สีสะท้อนแสงร่วมกับการติดตั้งอุปกรณ์การส่องสวา่ งให้ผู้ขับขี่ยวดยานมองเห็นได้ชัดเจน การใช้ถังกล ม จะต้องตดิ ตงั้ ปา้ ยเตือนลว่ งหนา้ เสมอและถ้าจะให้ไดผ้ ลดยี งิ่ ขน้ึ ควรติดตง้ั ไฟกะพรบิ ด้วย

-6- ถงั กลมไม่ควรใส่ทรายหรือวสั ดุใด ๆ เพื่อใหม้ ีน้ำหนักเพ่ิมข้ึนเพราะจะกอ่ ใหเ้ กิดอันตรายอย่างร้ายแรง ถ้ารถยนตช์ นเข้า การติดตัง้ ให้ระยะตามยาวไม่เกิน 10 ม. อุปกรณจ์ ราจรประเภทถังกลม 2.6 แผงกั้น (Barricades) แผงกั้นใช้แสดงการปิดกั้นการจราจรบางส่วนของทาง หรือขวางตลอดทาง นอกจากนี้แผงกั้นยังทำ หน้าที่เปน็ เครอื่ งหมายเตือน หรอื อปุ กรณ์จดั ช่องจราจร (Channelizing Device) ไดอ้ กี ด้วย แผงก้นั แบ่งเปน็ 2 แบบ คอื 1) แบบที่ 1 ประกอบด้วยแผ่นแถบสี (Barricade Rail) เดี่ยวหรือคู่ ติดตั้งบนขาต้ัง สามารถเก็บหรอื ถอดและประกอบได้ง่าย เพื่อให้การเคลื่อนย้ายสะดวก ขนาดความสูงประมาณ 1 ม. ขาตั้งจะทำด้วยไม้ หรือ วัสดุอื่น แต่ต้องเบาพอทีจ่ ะให้เคลื่อนย้ายได้สะดวก และหนักพอที่จะตา้ นลมกระโชก เนื่องจากยวดยานท่แี ล่น ผ่านระยะใกล้ และที่สำคัญก็คือสามารถพับเก็บหรือถอดประกอบได้ง่ายเพื่อความรวดเร็วในการเคลื่อนย้าย แผงกั้นชนิดนี้ ใช้สำหรับงานช่ัวคราวที่ใช้ระยะเวลาทำงานสั้น หรือใช้บริเวณที่ไม่อันตรายมากนัก เช่น ทางใน เมือง ซ่ึงการจราจรใช้ความเรว็ ต่ำ 2) แบบท่ี 2 ประกอบด้วยแผ่นแถบสี 3 แผ่น ติดตั้งค่อนขา้ งถาวร ใช้ในงานก่อสร้าง งานบูรณะ และ งานบำรุงรักษาทางหลวง ที่ต้องปฏิบัติงานเป็นเวลานานวัน แผงกั้นแบบนี้อาจออกแบบให้เปิดปิดได้บางส่วน เพอ่ื การปฏบิ ัตงิ าน ขนาดความสูงจะต้องสงู ไมน่ อ้ ยกวา่ 1.50 ม. ถ้าติดต้งั บนขาต้งั โดยไม่ใช้เสาตอกลงในพ้ืนดิน กค็ วรใช้กระสอบทรายหรือวตั ถุหนกั ๆ ทับขาตั้งไวเ้ พ่อื ใหม้ ัง่ คงไม่ล้ม หรือเคล่ือนยา้ ยได้งา่ ยเมือ่ ปฏิบตั ิงานเสร็จ แผงกั้นทั้ง 2 แบบ มีขนาดของแถบสีแต่ละแผ่นกว้าง 20-25 ซม. ยาวไม่น้อยกว่า 90 ซม. สีส้มสลับ ขาว แต่ละแถบกว้าง 15 ซม. ทำมุม 45 องศา การติดตั้งให้แถบชี้ลงไปทางด้านที่ให้การจราจรผ่านไปได้ และต้องติดแผ่นสะท้อนแสงมีค่าสะท้อนแสงไม่ต่ำกว่ามาตรฐานค่าสะท้อนแสงแบบที่ 3 หรือแบบที่ 4 ตาม มอก.606 แผน่ สะท้อนแสงสำหรบั ควบคมุ การจราจร

-7- แผงก้นั - แผนก้ัน แบบท่ี 1 - แผงกั้น แบบที่ 2 อุปกรณ์จราจรประเภทแผงก้ัน

-8- แผงกนั้ แบบท่ี 1 และแบบท่ี 2 สามารถนำไปใช้หรือดดั แปลงเพือ่ ใช้ในงานต่าง ๆ ดงั น้ี 1) ใช้ปิดกั้นการจราจร ในกรณีที่ต้องการปดิ ก้ันการจราจร ไม่ให้รถผา่ นเข้าไปในเขตก่อสร้าง อาจใช้ แผงกัน้ แบบท่ี 2 ตดิ ตง้ั ขวางทางไว้ซง่ึ แผงก้ันนี้อาจยาวตลอดถึงไหล่ทางทง้ั สองขา้ ง หรอื อาจจะยาวถึงขอบทาง ถ้าจำเป็นที่จะต้องให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานผ่านเข้าออกในบางครั้ง ก็ให้จัดทำแบบที่สามารถเปิดปิดบางส่วนได้ แต่จะตอ้ งปดิ กั้นทนั ทหี ลงั จากทผี่ ่านไปแลว้ สำหรับทางท่ีปดิ เป็นทางการ แตจ่ ะตอ้ งใหป้ ระชาชนท่ีอยู่ภายในเข้าออก ใหใ้ ช้แผงกนั้ แบบท่ี 2 ติดต้ัง ไวก้ ลางเพ่ือทจี่ ะให้รถท่ีจะเขา้ ออกผ่านไปข้าง ๆ พรอ้ มทัง้ ตดิ ต้ังปา้ ยจราจรบอกไวด้ ว้ ย สำหรบั งานซ่อมบำรุงช่วั คราว ควรใช้แผงกนั แบบท่ี 1 ตง้ั ขวางช่องจราจรท่ีมีการซ่อมบำรุงทั้งสองด้าน ให้หา่ งพอสมควร เพราะแผงกน้ั แบบท่ี 1 สามารถเคลอ่ื นย้ายได้ง่ายกว่า 2) ใช้เป็นเครื่องหมายเตือน ที่จุดเริ่มต้นงานก่อสร้างที่เปิดการจราจรตามปกติ การใช้แผงก้ัน แบบที่ 2 ติดตั้งข้างทางทัง้ สองขา้ ง จะเป็นการเตือนผู้ขับขี่ยวดยานได้อย่างดี การติดตั้งแบบนี้เรียกวา่ แผงก้ัน ขา้ งทาง (Wing Barricade) แผงกน้ั ข้างทางอาจติดต้ังเป็นชดุ โดยเริ่มจากนอกไหล่ทางเขา้ มาจนถึงใกล้ขอบทาง จะทำให้ยวดยานลดความเร็วลงอย่างได้ผล สำหรับงานที่จะต้องใช้แผงกั้นข้างทางเป็นบางเวลา ก็อาจจะ ออกแบบใหพ้ บั ไปด้านข้างในเวลาไม่ใช้ได้ 3) ใช้สาหรับลดช่องจราจร บนทางหลายช่องจราจร เมื่อต้องการลดช่องจราจรลงอาจใช้แผงกั้น แบบที่ 1 ตั้งขวางกับทิศทางการจราจรโดยให้เริ่มตั้งที่ขอบทางเข้ามาทีละ 50-60 ซม. ระยะห่างกันไม่เกิน 10 ม. เป็นลักษณะการเบี่ยงเบนแนวการจราจร การใช้แผงกั้นอาจไม่สะดวก คล่องแคล่วเท่ากรวย แต่มีความ มน่ั คงสามารถตง้ั อย่นู านกวา่ จงึ เหมาะท่ีจะใชก้ ับงานทใี่ ชเ้ วลานานวัน ยวดยานผ่านไปทางซ้ายทางเดยี ว ยวดยานผา่ นไปทางขวาทางเดยี ว ยวดยานผา่ นไปไดท้ ั้งสองทาง ยวดยานผา่ นไปไมไ่ ด้ การใชแ้ ผงกน้ั ตามลักษณะแถบ

-9- 2.7 กำแพง (Traffic Barrier) กำแพงมี 2 แบบ ได้แก่ กำแพงคอนกรีตและกำแพงพลาสติกเติมน้ำหรือเติมทราย การใช้กำแพงใน งานก่อสร้างจะใช้ในงานที่มีการทำงานระยะยาว เนื่องจากไม่ต้องมีการบำรุงรักษามาก และในบริเวณพื้นท่ี กอ่ สร้างทม่ี คี วามจำเป็นต้องป้องกันการชนท่ีอาจทำใหเ้ กดิ ความเสยี หายร้ายแรง หรือบรเิ วณที่มีการขุดทำให้มี ระดบั ต่างกนั การตง้ั กำแพง แนวของกำแพงจะต้องเวน้ ระยะห่างจากขอบทางจราจรหรือเสน้ ขอบช่องจราจรไม่น้อย กว่า 60 ซม. และกรณีการใช้กำแพงเพื่อเบ่ียงการจราจร ระยะเบี่ยงในการวางกำแพงให้ใช้ระยะ 15:1 และให้ วางเรยี งชดิ กันตลอดแนว กรณกี ำแพงคอนกรีตใหท้ าสีกำแพงเป็นแถบขนาด 1 ม. สขี าวสลับสีสม้ ตลอดแนวกำแพง ส่วนกรณีใช้ กำแพงพลาสติกเติมน้ำใหว้ างกำแพงสีสม้ และสขี าวสลบั กัน กำแพงคอนกรีตและกำแพงพลาสติกเติมน้ำหรอื เติมทราย 2.8 อุปกรณ์ดูดซบั แรงกระแทก (Crash Cushion) ในบางกรณีในพื้นที่งานกอ่ สร้างมีการกอ่ สร้างเสาตอม่อ หรือวัตถถุ าวร รวมถึงแนวขอบกำแพง ที่ไม่มี การป้องกันการชนไว้ หากมีรถเสียหลักเข้ามาในพื้นที่ก่อสร้างอาจทำให้เกิดความรุนแรงของอุบัติเหตุได้ การ เตรยี มการปอ้ งกันการชนในลักษณะนี้ให้พจิ ารณาตดิ ต้งั อุปกรณด์ ูดซบั แรงกระแทก (Crash Cushion) อปุ กรณ์ดดู ซับกันกระแทก (Crash Cushion)

- 10 - 2.9 หลกั นำทาง (Guide Post) หลักนำทาง สำหรบั ใชใ้ นทางหลวงท่ีมีงานก่อสร้าง งานบูรณะ และงานบำรงุ รกั ษาทางหลวง เป็นแผ่น ป้ายรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ด้านยาวเป็นส่วนตั้งขนาด 7.5 x 125 ซม. แบ่งเป็น 7 ส่วน เท่า ๆ กัน ทาสีส้มสลับขาว โดยให้ส่วนทีส่ องนับจากดา้ นบนสุด ติดแผ่นสะท้อนแสงสีขาวที่มีค่าสะท้อนแสงไม่ต่ำกว่าแบบที่ 3 หรือแบบที่ 4 ตาม มอก.606 แผน่ สะท้อนแสงสำหรบั ควบคมุ การจราจร การติดตั้งหลักนำทาง ให้ติดตั้งห่างจากขอบไหล่ทาง 30 ซม. ปักลงดินประมาณ 50 ซม. ในบริเวณท่ี ไม่สามารถปักลงดนิ ได้ ใหท้ ำฐานถว่ งน้ำหนกั เพอื่ ไมใ่ หล้ ้มง่าย โดยตดิ ตงั้ สูงจากผิวจราจร 125 ซม. หลักนำทางใช้ติดตั้งในงานก่อสร้าง งานบูรณะ และงานบำรุงรักษาทางหลวง เพื่อช่วยให้ผู้ขับข่ี สามารถมองเห็นแนวทางหลวงได้ดีในเวลาค่ำคืนหรือในขณะที่สภาพอากาศมืดมัว ให้ใช้ติดตั้งในงานก่อสร้าง งานบูรณะ และงานบำรงุ รกั ษาทางหลวงในบรเิ วณดงั ต่อไปนี้ 1) บริเวณทางโคง้ ราบ และทางโคง้ ต้ัง 2) บรเิ วณทม่ี กี ารเปล่ียนแปลงความกว้างของผวิ จราจร 3) บริเวณทีต่ อ้ งการนำทางเพ่อื มิให้ยานพาหนะพลัดหลุดไปจากคันทางหรอื บรเิ วณทางแยกที่สับสน 4) บรเิ วณอืน่ ๆ เพอ่ื ป้องกนั อบุ ัติเหตุชนอุปกรณง์ านทาง และช่วยนำทาง หลักนำทาง (Guide Post) 2.10 แผน่ ป้ายสัญญาณไฟลูกศร (Arrow Panel) แผ่นป้ายสัญญาณไฟลูกศรเป็นอปุ กรณ์เสริม ไม่ใชก่ ารใชแ้ ทนป้ายเตือนหรืออุปกรณ์นำทางอ่ืนใดจะใช้ เม่อื มกี ารปิดหรือเบ่ยี งช่องจราจรบนทางหลวงหลายช่องจราจร ที่มคี วามเร็วรถสงู ประมาณ 70 กม./ชม. ข้ึนไป

- 11 - หรือทางหลวงที่มีปริมาณจราจรสูง หรือมีข้อจากัดของทัศนวิสัยและระยะมองเห็นข้างหน้า ทั้งนี้สัญญาณไฟ จากลูกศรจะต้องลดระดับความสว่างลง (Dimmed Mode) อย่างน้อยร้อยละ 50 ของความสว่างสูงสุด ได้ใน เวลากลางคืนเพื่อป้องกันแสงแยงตา (Glare) ต่อผู้ขับขี่อัตราการกระพริบของป้ายต้องไม่น้อยกว่า 25 ครั้งต่อ นาทแี ละไมเ่ กนิ 40 คร้งั ต่อนาที โดยรูปแบบและสถานะการเตอื นของแผน่ ป้ายสัญญาณไฟลูกศร แบ่งออกเป็น สถานะการเตอื น รูปแบบ ลกู ศรกะพริบ (เบยี่ งขวา) ลกู ศรเคลือ่ นไหว หัวลูกศร (Chevron) (เบ่ยี งขวา) เคลื่อนไหว (เบย่ี งขวา) ลูกศรกระพรบิ เตือนกระพริบ (เบีย่ งซ้ายหรือเบย่ี งขวา) หรือ (เตือนให้ระวัง) กรณเี บยี่ งซ้าย ลักษณะการเรียงทำลกั ษณะเดียวกัน อปุ กรณจ์ ราจรประเภทป้ายสัญญาณไฟลูกศร (Arrow Panel) ในบางกรณี อาจใช้เปน็ ป้ายนำทางจราจร ซึง่ มลี กั ษณะเป็นกลอ่ งโคมสัญญาณไฟลูกศรในลกั ษณะเฉียง ลงด้านซ้าย และด้านขวา โดยใช้ร่วมกับป้ายให้ชิดซ้าย (บ.40) หรือป้ายให้ชิดขวา (บ.41) โดยมีวัตถุประสงค์ เพ่ือใหส้ ามารถมองเห็นได้ในระยะไกลก่อนถึงเขตกอ่ สร้าง และสะดวกในการนำไปใชง้ านในสนาม

- 12 - ปา้ ยนำทางจราจร ป้ายใหช้ ดิ ซ้าย (บ.40) และป้ายใหช้ ิดขวา (บ.41) 2.11 ปา้ ยสญั ญาณแบบปรับเปลยี่ นขอ้ ความ (Portable Changeable Message Sign) ในบริเวณที่มีปริมาณจราจรสูง และมีความจำเป็นต้องให้ข้อมูลในการเตือนกับผู้ขับขี่เป็นพิเศษ เช่น การปิดถนนหรือช่องจราจร การปิดชอ่ งทางออก (Exit Ramp) อุบัติเหตุ หรอื เพอ่ื การบริหารจัดการจราจรจึงมี ความจำเป็นในการใช้ป้ายจราจรแบบปรับเปลย่ี นขอ้ ความได้ ป้ายจราจรแบบปรับเปลยี่ นข้อความได้จะมีขนาดไม่แน่นอนข้ึนกับจำนวนขอ้ ความและขนาดตัวอักษร แต่โดยทั่วไปจะใช้แบบตัวอักษร 3 ชั้น ความสูงของตัวอักษรไม่ควรน้อยกว่า 40 ซม. ในกรณีติดตั้งบน รถบรรทกุ ขนาดใหญ่ และไมน่ ้อยกวา่ 25 ซม. ในกรณตี ดิ ตง้ั บนรถบริการ การติดตั้งป้ายสัญญาณไฟลูกศรให้ติดตั้งฐานของป้ายสูงจากระดับผิวจราจรไม่น้อยกว่า 2.10 ม. ขอ้ ความท่ีใช้บนปา้ ยจะต้องสัน้ และกระชบั เพื่อใหผ้ ้ขู ับขไี่ มต่ ้องใช้เวลาในการอ่านและตัดสนิ ใจมากเกินไป

- 13 - อปุ กรณจ์ ราจรประเภทปา้ ยสัญญาณแบบปรบั เปล่ียนข้อความ (Portable Changeable Message Sign) 2.12 ไฟกะพรบิ (Flasher หรอื Flashing Light) ไฟกะพริบสีเหลืองแบบกะทัดรัด ใช้แบตเตอรี่แห้ง หรือแบตเตอรี่รถยนต์มีอัตราการกะพริบ 50-60 ครั้งต่อนาที การจุดสว่างประมาณ 1/3-1/2 ของเวลาที่ใช้ ความสว่างของหลอดไฟสามารถมองเห็นได้ ในระยะอยา่ งน้อย 500 ม. ในทศั นวิสยั ปกติ ไฟกะพริบใช้สาหรับติดตั้ง ณ จุดที่กำลังดำเนินการก่อสร้างหรือบำรุงรักษาทาง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทางหลวงที่มีปริมาณจราจรมากและยวดยานใช้ความเร็วสูง บริเวณตำแหน่งที่ผู้ขับขี่ไม่คาดหมายว่าจะมี อุปสรรค เช่น การก่อสร้างทางแยกต่างระดับ และการบำรุงรักษาทางคู่ ซึ่งจะต้องปิดทางจราจรข้างหนึ่ง เปน็ ตน้ เมอื่ ใชไ้ ฟกะพริบควรใช้ตลอดเวลาท้ังกลางวนั และกลางคืน การติดตั้งอาจติดตั้งบนแผงกั้นด้านท่ีติดกับการจราจร หรือตั้งบนสามขา (Tripod) หรืออาจติดตั้งอยู่ บนรถงานก็ได้ เมอ่ื ตดิ ตั้งแล้วจะต้องสงู จากผิวจราจรไม่นอ้ ยกวา่ 1.20 ม. ไมค่ วรติดตั้งไฟกะพรบิ เป็นแถวยาว ๆ เพราะจะทำให้ผ้ขู บั ข่ียวดยานเกดิ ความคลมุ เครือ หรือสับสนทำให้เกดิ อบุ ัติเหตไุ ดง้ ่าย ไฟกะพริบ (Flasher หรือ Flashing Light)

- 14 - 2.13 เคร่ืองใหส้ ัญญาณ (Signalizing Devices) ในงานกอ่ สร้าง งานบรู ณะ และงานบำรุงรักษาทางหลวง บางคร้ังมคี วามจำเปน็ ต้องจัดการจราจรการ ใช้ช่องทางเดินรถ โดยให้รถทีละด้านผ่านไปถ้าผู้ขับขี่สามารถมองเห็นรถที่สวนทางและแบ่งใช้ร่วมกันได้ ก็สามารถใช้ป้ายให้รถสวนทางมาก่อน (บ.3) ได้ แต่ถ้าปริมาณจราจรมากหรือรถในทางตรงกันข้าม มองไมเ่ หน็ กัน การจัดการจราจรจำเปน็ ตอ้ งใช้เครื่องให้สัญญาณเพ่ือจัดหลกี รถให้ไปไดท้ ีละขา้ ง ได้แก่ ป้ายใหร้ ถสวนทางมาก่อน (บ.3) 1) สญั ญาณธง (Flagging) การให้สัญญาณธง จะใช้ในกรณีที่ต้องการควบคุมการจราจร 2 ทิศทางบนถนน 1 ช่องทาง โดยที่ผู้ให้ สัญญาณทั้งสองจะต้องมองเห็นกันและกันอยู่คนละด้าน เพื่อที่จะบอกหรือให้สัญญาณอีกคนหนึง่ ให้สัญญาณ หา้ มรถโดยการยกธงแดง หรอื ใหร้ ถผ่านไปได้โดยการยกธงเขยี ว ธงที่ใช้ในการให้สัญญาณธงควรมีขนาดประมาณ 50 x 50 ซม. สีแดงหนึ่งอัน สีเขียวหนึ่งอัน แต่ละ อันมีด้ามถือยาวประมาณ 1 ม. ด้านปลายธงควรถ่วงน้าหนักเล็กน้อย เพื่อให้ธงเหยียดตรงในขณะถืออยู่ แนวราบ ผทู้ ี่จะใหส้ ัญญาณธงจะต้องไดร้ ับการฝกึ อบรม เพอ่ื ใหส้ ามารถทำหนา้ ที่ไดอ้ ย่างมีประสิทธิภาพ เพราะ ต้องรับผดิ ชอบต่อความปลอดภัยของการจราจร ตำแหน่งที่คนให้สัญญาณธงยืนอยู่ ควรห่างจากจุดที่ทำงานประมาณ 50 ถึง 100 ม. แต่ถ้าความเร็ว ยวดยานต่ำอาจจะลดระยะลงได้อีก ผู้ใหส้ ัญญาณอาจจะยืนอยู่หลังแผงกัน้ บนไหล่ทาง หรอื ฝ่ังตรงข้ามก็ได้แต่ จะต้องอยู่ในตำแหน่งที่ผู้ขับรถมองเห็นได้ชัดเจน และไม่อยู่ขวางแนวจราจร ผู้ให้สัญญาณจะต้องยืนเดี่ยว เพื่อให้เปน็ จดุ สนใจของผขู้ บั ขี่ยวดยาน โดยไมม่ ีกลุ่มคนงานอื่น ๆ อยู่ใกล้เคยี ง

- 15 - เครื่องให้สัญญาณประเภทสัญญาณธง 2) ปา้ ย “หยดุ ” และป้าย “ไป” ป้าย “หยุด” และป้าย “ไป” อาจใช้แทนการใชส้ ัญญาณธงในบริเวณงานก่อสรา้ ง โดยที่ด้าน “หยุด” ใหใ้ ชส้ ีแดง มีอกั ษรภาษาไทยคำว่าหยุด และอกั ษรภาษาองั กฤษคำว่า STOP ผู้ใชท้ างจะตอ้ งหยุดรถตรงบริเวณ ป้าย และด้าน “ไป” ให้ใช้สีเขียว มีอักษรภาษาไทยคำว่าไป และอักษรภาษาอังกฤษคำว่า GO ผู้ใช้ทางจึงจะ สามารถเคล่อื นทอี่ อกไปได้ ป้าย “หยุด” และปา้ ย “ไป” 3) สญั ญาณทางสะดวก ในกรณีที่ไม่สามารถใช้การให้สัญญาณธงได้ ซึ่งอาจเป็นเพราะทางที่จัดให้รถเดินทางเดียวสลับกันมี ระยะทางยาวจนผู้ให้สัญญาณมองไม่เห็นกัน ก็อาจใช้ธงแดง (หรือของอื่น) มอบให้ผู้ขับรถคันสุดท้าย โดยแนะนำว่าเมื่อผา่ นไปถึงอีกดา้ นให้มองธงแกเ่ จ้าหนา้ ที่ เมื่อเจ้าหน้าที่ได้รับธงแดงกท็ ราบว่าทางสะดวกแลว้ จึงให้สัญญาณใหร้ ถในทางตรงข้ามผา่ นได้และมองธงน้นั ใหแ้ ก่ผขู้ บั รถคนั สุดทา้ ยกลับมา

- 16 - วิธีการนี้อาจเปลยี่ นแปลงได้ เชน่ ให้รถเจ้าหนา้ ท่แี ลน่ ปิดท้าย เม่อื ผา่ นทางตอนนั้นไปแล้วก็ให้แล่นปิด ท้ายกลบั มา วธิ ีนเ้ี ปน็ วิธีทีส่ น้ิ เปลืองกวา่ แตจ่ ะทำให้สญั ญาณธงหมดไป และปัญหาธงหายจะหมดไป 4) ไฟสญั ญาณจราจร (Traffic Signal) ในกรณีที่มีปริมาณจราจรสูง และใช้เวลาก่อสร้างทางนาน การจัดให้รถเดินทางเดียวสลับกัน อาจใช้ ไฟสัญญาณจราจรควบคุมรถ โดยการจดั ชว่ งเวลาไฟแดงทกุ ด้าน (All Red Interval) ใหน้ านพอทีร่ ถคันสดุ ทา้ ย จะแล่นผ่านไปได้ นอกจากจะใช้ควบคุมรถเดินทางเดียวสลับกันแล้ว อาจใช้ไฟสัญญาณควบคุมการจราจรในงาน ก่อสร้างทางที่เกดิ ทางแยกชัว่ คราวขึ้นเน่ืองจากรถงาน และเครื่องจักรแล่นตัดผา่ นทางหลวงที่มปี รมิ าณจราจร สูง และอาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุได้โดยง่าย จึงสมควรควบคุมการจราจรโดยใช้สัญญาณไฟจราจร ซึ่งสามารถ จดั การระบบการจราจรในแตล่ ะด้านของทิศทางให้เหมาะสม เป็นผลใหค้ วามล่าช้าเฉลี่ยของการจราจรน้อยลง และไม่ก่อให้เกิดอุบัติเหตุ ทางแยกชั่วคราวที่สมควรติดตั้งสัญญาณไฟจราจรเพื่อควบคุมการจราจรนั้นให้ คำนึงถึงปัจจัยต่าง ๆ ดังนี้ ปริมาณการจราจร ปริมาณคนเดินข้ามทางหลวง ที่ตั้งและสภาพทางแยกชั่วคราว บรเิ วณทางแยกที่มีแนวโนม้ ว่าอาจกอ่ ให้เกดิ อบุ ัติเหตุไดง้ ่าย เป็นต้น 2.14 อุปกรณ์สอ่ งสวา่ ง (Lighting Devices) งานก่อสร้าง งานบูรณะ และงานบำรุงรักษาทางหลวง มักจะทำบนผิวจราจร หรือใกล้กับขอบทาง จราจร ซ่งึ ก่อให้เกดิ อันตรายในเวลากลางคนื เพราะความมืดได้ลดทอนความสามารถในการมองเหน็ ของผู้ขับขี่ ยวดยานลงอย่างมาก ดังนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องใช้แสงสว่างช่วยเตือนหรือช่วยให้มองเห็นป้ายจราจร แผงก้ัน เครื่องจัดช่องจราจร และสิ่งอื่น ๆ ที่อาจจะก่อให้เกิดอันตรายต่อการใช้ทาง อุปกรณ์การส่องสว่างที่ใช้ โดยท่วั ไปมีดังตอ่ ไปนี้ 1) ไฟสอ่ งป้ายจราจร (Sign Light) ป้ายจราจรในงานก่อสร้าง ใช้แผน่ สะท้อนแสงท่มี คี ่าสะท้อนแสงไมต่ ่ำกวา่ คา่ สะท้อนแสงแบบท่ี 3 หรือ แบบท่ี 4 ตาม มอก.606 แผ่นสะทอ้ นแสงสำหรับควบคุมการจราจร แตถ่ ้างานก่อสรา้ งอยู่บนทางโค้ง หรือทาง ลาดชัน เช่น ทางเขา แสงไฟรถอาจส่องไม่ถูกป้ายจราจรในระยะไกลพอทำให้ผู้ขับข่ีมองไม่เห็นปา้ ยจราจรอาจ เกดิ อันตรายได้ งานก่อสร้างในเวลากลางคนื จงึ จำเปน็ ต้องใช้ไฟส่องปา้ ยจราจรดว้ ย 2) แสงสว่างแรงสูง (Floodlight) งานก่อสร้างที่ต้องทำงานในเวลากลางคืน จำเป็นต้องใช้แสงสว่างแรงสูงเพื่อให้คนงานปฏิบัติงานได้ และยังต้องใช้แสงสวา่ งนี้ส่องไปยังจุดกีดขวางหรือจุดอันตรายด้วย เช่น บริเวณท่ีรถในงานก่อสร้างต้องแล่นตัด กับทางจราจร ฯลฯ เปน็ ต้น ค่าความสว่างที่เหมาะสมในการทางานเวลากลางคนื ไม่ควรน้อยกว่า 50 ลักซ์ การติดตั้งไฟแสงสว่างแรงสูงนี้ ข้อที่ควรระมัดระวังคือ จะต้องไม่ให้แสงสว่างส่องผู้ขับขี่ยวดยานจน เกิดตาพรา่ มวั (Glare) ได้ ผคู้ วบคมุ งานควรตรวจสอบในเร่อื งน้ีเองโดยทดลองขับรถผา่ นไปมา

- 17 - 3) แสงสวา่ งแรงต่ำ (Low Wattage Electric Lamps) แสงสว่างแรงต่ำในที่นี้ หมายถึง การใช้หลอดไฟฟ้าแรงต่ำสีเหลืองหลาย ๆ ดวง ติดตั้งเป็นแนว โดยทั่วไปให้ใช้แสงสว่างแรงต่ำเม่อื ต้องการใช้แสงสวา่ งทาหน้าทเี่ ปน็ เครอื่ งหมายนาทางผา่ นเขตก่อสรา้ งบริเวณ ไมม่ แี สงสว่างเพียงพอ และอาจเกิดอบุ ตั เิ หตุได้ง่าย เชน่ ขอบสะพานทยี่ ังไมม่ รี าวกนั้ เป็นตน้ แสงสว่างแรงต่ำไม่ได้ใช้ส่องให้เห็นวัตถุอื่น แต่ใช้ให้ผู้ขับรถเห็นตัวดวงไฟเอง จึงไม่จำเป็นต้องสว่าง มากนัก อปุ กรณ์ส่องสวา่ งประเภทแสงสวา่ งแรงต่ำ 2.15 ปา้ ยมือถือ (Knockdown) ในบางบรเิ วณทต่ี อ้ งมกี ารก่อสรา้ งทาง หรอื บำรงุ ทาง ควรจะมีการตดิ ตง้ั ป้ายจราจรเพื่อเป็นการแจ้งให้ ผู้ขับขี่ทราบถึงสภาพการณ์ล่วงหน้าที่จะต้องเจอ ซึ่งในบางพื้นที่ก่อสร้างจะใช้เวลาในการก่อสร้างไม่นานจึง เหมาะสมที่จะใช้ป้ายที่มีความสะดวกในการเคลื่อนย้ายและสามารถติดตั้งได้ง่ายเพื่อเป็นป้ายจราจรชั่วคราว ติดตัง้ ในพนื้ ทที่ ตี่ ้องการ การใชป้ ้ายมอื ถือมวี ตั ถุประสงค์ ดังน้ี 1) เพอ่ื เพ่ิมความปลอดภัยในพ้นื ท่ีก่อสร้าง หรอื ระหว่างงานซ่อมบำรงุ ทาง 2) เพอื่ ความสะดวกในการใชง้ าน 3) เพอ่ื ประหยดั งบประมาณในการก่อสร้างปา้ ยจราจร ในพ้ืนที่ก่อสรา้ งหรือพน้ื ทีซ่ ่อมบำรงุ ทาง ปา้ ยมือถอื สามารถนำไปใช้ในงานต่อไปนี้ 1) งานกอ่ สร้างขนาดเลก็ 2) งานบำรุงรกั ษาทาง 3) งานอุบัตเิ หตุ ฉุกเฉนิ

- 18 - ปา้ ยมือถอื (Knockdown)

- 19 - บทที่ 3 อปุ กรณ์จราจรที่ใช้ตดิ ตั้งบรเิ วณจุดเสี่ยงอันตรายบนทางหลวง หรือใช้ติดตงั้ เพอ่ื เพ่มิ ความปลอดภัยบนทางหลวง 3.1 บททวั่ ไป ในบทนี้จะกลา่ วถึงอุปกรณ์จราจรทใี่ ช้ตดิ ตง้ั บรเิ วณจดุ เสยี่ งอนั ตรายบนทางหลวง หรอื ใชต้ ิดตัง้ เพ่ือเพ่ิม ความปลอดภัยบนทางหลวง อุปกรณจ์ ราจรท่ีใชต้ ิดตง้ั บริเวณจุดเสี่ยงอันตรายบนทางหลวง หรือใช้ตดิ ตง้ั เพอื่ เพิม่ ความปลอดภัยบน ทางหลวงที่จะอธิบายในบทนี้ ให้หมายความรวมถึงอุปกรณ์งานทางทุกชนิด แต่ไม่รวมไปถึงหลักสำรวจ เขตทางหลวง หลักระยะ และหลักกโิ ลเมตร อุปกรณจ์ ราจรทใ่ี ช้ติดตั้งบริเวณจุดเสยี่ งอันตรายบนทางหลวง หรอื ใชต้ ิดตัง้ เพ่อื เพิม่ ความปลอดภัยบน ทางหลวงทจ่ี ะอธิบายในบทนี้ มีดังตอ่ ไปนี้ 1) ราวกันอนั ตราย (Guard Rail) 2) หลักนำทาง (Guide Post) 3) เป้าสะท้อนแสง 4) แผนก้ันไม้บรเิ วณทางแยกรปู ตวั ที หรอื ทมิ เบอร์แบริเขต (Timber Barricade) 5) ปุ่มหรอื หมุดสะทอ้ นแสงบนผิวจราจร (Road Stud) 6) ไฟฟา้ แสงสวา่ งบนทางหลวง 7) สนั ชะลอความเร็ว หรอื อปุ กรณ์สยบยงั้ การจราจร (Traffic Calming Equipment) 8) กระจกโคง้ จราจร 3.2 ราวกันอนั ตราย (Guard Rail) ราวกันอนั ตราย หรอื การด์ เรล (Guard Rail) คือราวเหลก็ กนั ตกบนทางโคง้ หรือคอสะพานเพื่อป้องกนั การเกิดอันตราย ส่วนใหญ่ทำจากเหลก็ ลูกฟูก ราวเหล็กมีลกั ษณะเป็นรปู ตัดคลา้ ยตวั อักษร W ยึดติดอยู่บนเสา เหลก็ เปน็ ระยะหา่ งเท่า ๆ กัน และอาบสังกะสีเพอ่ื ป้องกันสนิม เน่ืองจากราวกนั อนั ตรายท่ผี ลิตจากเหล็กลูกฟูก สามารถดดั ให้งอเพ่ือติดตง้ั ในทางโคง้ รศั มีแคบ เมอื่ ถกู รถชนจะไม่ทำให้ยานพาหนะเกดิ ความเสียหายทร่ี ุนแรง ในบางกรณี จะมีการติดตั้งแผ่นสะท้อนบนราวกันอันตรายเพื่อใช้นำทางแก่ผู้ขับขี่ในเวลากลางคืน ซึง่ แผ่นสะทอ้ นแสงที่ใช้ติดต้ังบนราวกนั อันตราย ให้มมี าตรฐานตาม มอก.606 แผ่นสะท้อนแสงสำหรับควบคุม การจราจร

- 20 - ราวกันอันตราย (Guard Rail) 3.3 หลกั นำทาง (Guide Post) หลักนำทาง หมายถึง หลักไม้ คอนกรีต โลหะ หรืออโลหะอื่นๆ และมีการติดตั้งแถบสะท้อนแสงหรือ เป้าสะท้อนแสง ซึ่งมีคุณสมบัติสะท้อนแสงให้มองเห็นได้อย่างชัดเจนในเวลากลางคืน เมื่อฉายด้วยไฟสูงของ รถยนต์ท่ัวไป หลักนำทางมีหน้าที่การช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถมองเห็นขอบเขตทางเดินรถได้ชัดเจนขึ้น โดยเฉพาะใน เวลากลางคนื และช่วยลดอบุ ัตเิ หตรุ ถหลดุ ออกนอกเส้นทางเน่อื งจากการมองไม่เห็นขอบทางได้ โดยปกติแล้วหลักนำทางจะติดตั้งอยู่ในบริเวณข้างทางของถนนที่มีลักษณะเป็นทางโค้งราบหรือทาง โค้งดิ่ง หรืออยู่ในบรเิ วณทางตรงที่มีการเปล่ียนแปลงความกวา้ งของผิวทาง และมีแสงสว่างไม่เพียงพอในเวลา กลางคนื การทาสีหลักนำทางด้วยสีขาวสลับสีดำ เป็นการเพิ่มความแตกต่างกับสภาพข้างทางเพื่อให้เกิดความ โดดเด่นและสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนในเวลากลางวัน นอกจากนี้ที่หลักนำทางจะมีการติดแผ่นสะท้อน แสงไวท้ ต่ี วั หลกั นำทางเพ่อื การสะท้อนแสงกับไฟหน้ารถเปน็ การทำให้มองเหน็ ได้ชัดเจนในเวลากลางคนื

- 21 - หลกั นำทาง (Guide Post) 3.4 เป้าสะท้อนแสง เป้าสะท้อนแสง หมายถงึ วสั ดสุ ะท้อนแสงทป่ี ระกอบขึ้นเป็นรูปร่างต่าง ๆ ใช้ตดิ ต้ังในงานทางเพื่อช่วย นำทางการจราจร ใช้ติดตั้งบนราวกันอันตราย ราวสะพาน ราวกำแพงคอนกรีตในทางโค้ง เกาะกลางถนน โดยมีการใชส้ ัญลกั ษณส์ เี พ่อื บง่ บอกตำแหนง่ อปุ สรรคบนทางหลวง ได้แก่ 1) เป้าสะทอ้ นแสงสขี าว ใช้ติดตัง้ ทางดา้ นซา้ ยของคนั ทาง 2) เปา้ สะทอ้ นแสงสเี หลอื ง ใช้ตดิ ต้งั บรเิ วณสันขอบทางบรเิ วณเกาะกลางถนน เป้าสะทอ้ นแสง

- 22 - 3.5 แผนกน้ั ไมบ้ ริเวณทางแยกรปู ตัวที หรอื ทมิ เบอร์แบรเิ ขต (Timber Barricade) แผนกั้นไม้บริเวณทางแยกรูปตัวที หรือทิมเบอร์แบริเขต (Timber Barricade) เป็นราวขวางกั้นทำ ด้วยไม้ ทาด้วยสขี าวสลบั ดำในแนวทำมมุ 45 องศา เฉียงลงดา้ นลา่ งซ้ายและเฉียงลงดา้ นลา่ งขวา เพือ่ แจง้ เตือน และปอ้ งกนั อนั ตรายบรเิ วณทางแยก แผนก้นั ไม้บรเิ วณทางแยกรูปตวั ที หรือทิมเบอร์แบรเิ ขต (Timber Barricade) 3.6 ป่มุ หรอื หมดุ สะทอ้ นแสงบนผิวจราจร (Road Stud) ปุ่มหรือหมุดสะท้อนแสงบนผิวจราจร ทำจากโลหะหรืออโลหะ มีทั้งแบบสะท้อนแสงกลับ และแบบ ไม่สะท้อนแสงกลับ มีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส หรือรูปวงกลม ใช้ติดตั้งบริเวณทางหลวงที่มีฝนตกชุก หรอื มหี มอกลงจัดในบางฤดกู าล บรเิ วณทางแยกที่มีช่องจราจรสับสน บรเิ วณท่ีไม่มีไฟฟา้ แสงสวา่ ง บริเวณทาง โค้งอันตราย เป็นต้น ปุ่มหรือหมดุ สะทอ้ นแสงบนผวิ จราจร (Road Stud)

- 23 - 3.7 ไฟฟ้าแสงสวา่ งบนทางหลวง วัตถุประสงค์ของการติดตั้งไฟฟ้าแสงสว่างบนทางหลวง คือ การช่วยเพิ่มความสามารถในการขับขี่ใน ช่วงเวลากลางคืนเพื่อให้การมองเห็นเส้นทางและวัตถุข้างทางที่ถูกต้องในเวลาอันรวดเร็ว ทำให้ผู้ใช้ทาง สามารถหลบหลีกหากเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน และช่วยลดโอกาสในการเกิดอุบัติเหตุ การออกแบบเพื่อติดต้ัง ไฟฟ้าแสงสว่างน้ัน ผู้ออกแบบต้องพิจารณาให้สอดคล้องกับสภาพการใช้งานจริงของผู้ใช้ทาง การติดตั้งไฟฟ้า แสงสว่างที่ดีและมีประสิทธิภาพน้ัน ควรคำนึงถงึ ประโยชน์ทางเศรษฐกิจ สงั คม และความปลอดภยั ต่อผู้ใช้ทาง โดยมวี ัตถุประสงค์ดงั นี้ 1) เพื่อลดปัญหาอุบัติเหตุทางถนนในช่วงเวลากลางคืน และลดการสูญเสียชีวิตและทรัพยส์ ินของผู้ใช้ ทางหลวง 2) เพื่อลดปัญหาอาชญากรรมและเพิม่ ความปลอดภัยตอ่ ผู้ใชท้ างหลวง 3) เพอ่ื เพ่มิ ความคล่องตวั และการมองเหน็ แก่ผใู้ ชท้ างหลวง การติดตั้งไฟฟ้าแสงสว่างบนทางหลวง กรมทางหลวงจะพิจารณาตามลักษณะทางกายภาพ ของทางหลวง สภาพการจราจร และข้อมูลข่าวสารที่ผู้ขับขี่ต้องการรับรู้ในการขับขี่ โดยมีรูปแบบการติดต้ัง ไฟฟา้ แสงสว่างออกเป็น 2 รปู แบบ ได้แก่ 1) การติดตั้งในลักษณะต่อเนื่อง เป็นการติดตั้งบนช่วงของถนนหรือทางหลวงในลักษณะต่อเนื่อง ทอดยาวตามแนวถนนหรือทางถนน โดยคำนงึ จากปริมาณจราจรเฉล่ยี เกนิ กว่า 25,000 คัน/วัน จุดที่มีปริมาณ คนเดินเท้าสูงในเวลากลางคืน จุดที่มีความสับสนของการจราจร และในบริเวณชุมชนท่ีมีสถติ ิการเกิดอบุ ัติเหตุ ในเวลากลางคนื มากกว่าสองเท่าของเวลากลางวัน 2) การติดตั้งเฉพาะบริเวณ เป็นการติดตั้งเฉพาะพ้ืนที่บริเวณ เช่น ทางแยกและสะพาน โดยคำนึง จากทางแยกที่ติดตั้งสัญญาณไฟจราจร ทางหลวงที่มีการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพอย่างทันทีทันใด ทางโค้ง รัศมีแคบ หรือทางที่มีความลาดชันมาก สะพานที่มีลักษณะโค้งหรือลาดชัน ทางแยกต่างระดับ ทางข้ามหรือ ทางมา้ ลายทีต่ ิดตงั้ สญั ญาณไฟจราจร หรอื บรเิ วณที่มปี ริมาณคนเดินเทา้ ข้ามทางสูง

- 24 - ไฟฟ้าแสงสว่างบนทางหลวง 3.8 สนั ชะลอความเรว็ หรืออุปกรณ์สยบย้ังการจราจร (Traffic Calming Equipment) สันชะลอความเร็ว หมายถึง ส่วนก่อสร้างเพิ่มเติมในแนวขวางทิศทางการจราจรที่ยกสูงจากถนนปกติ เพื่อชะลอความเร็วของยานพาหนะที่สัญจรบนถนน โดยการทำให้ผู้ขับขี่ยานพาหนะรู้สึกถึงความไม่สะดวกใน การขับขี่ผ่านสันชะลอความเรว็ ด้วยความเร็วทีม่ ากกว่าท่อี อกแบบไว้ ตามมาตรฐานการก่อสร้างสันชะลอความเร็ว มยผ. 2301-56 กรมโยธาธิการและผังเมือง กระทรวงมหาดไทย ได้กำหนดประเภทของสนั ชะลอความเร็ว ดงั ตอ่ ไปน้ี 1) ลกู ระนาด (Speed Bump) 2) เนินชะลอความเร็ว (Speed Hump) ซง่ึ แบ่งย่อยออกเป็น - เนินชะลอความเร็วแบบโค้งพาราโบลา (parabolic speed hump) - เนินชะลอความเร็วแบบผิวบนแบนราบ (flat-topped speed hump) ประเภทของสนั ชะลอความเร็วที่พบได้โดยท่ัวไป (ก) ลูกระนาด (ข) เนินชะลอความเร็ว

- 25 - การใช้สันชะลอความเร็ว ต้องมีการทำป้ายเตือนและตีเส้นเครื่องหมายจราจรบนสันชะลอความเร็ว โ ด ย ก า ร อ อ ก แ บ บ ใ น ร า ย ล ะ เ อ ี ย ด แ ล ะ ก า ร ก่ อ ส ร้ า ง ใ ห้ ป ฏ ิ บ ั ต ิ ต า ม คู่ ม ื อ เ ค ร ื ่ อ ง ห ม า ย ค ว บ ค ุ ม ก า ร จ ร า จ ร กรมทางหลวง กระทรวงคมนาคม ป้ายจำกัดความเรว็ ปา้ ยเตอื นรถกระโดด ป้ายเตอื นคนขา้ มทาง (บ.32) (ต.35) (ต.56) การตีเส้นเครอื่ งหมายจราจรบนสนั ชะลอความเรว็ ในบางกรณีอาจใช้เป็นสันชะลอความเร็วที่ผลิตจากยาง ทาสีดำสลับเหลือง เรียกว่า “ยางชะลอ ความเร็ว” ใชต้ ิดต้ังบนถนนในหมบู่ ้านจัดสรร อาคาร สำนักงาน หรอื โรงงาน ทมี่ ีปรมิ าณจราจรไมม่ ากนกั ยางชะลอความเร็ว

- 26 - 3.9 กระจกโคง้ จราจร กระจกมองโค้ง กระจกจราจรส่องทางโค้งทางแยก หรือมุมอับ เป็นกระจกที่ช่วยอำนวยความสะดวก และความปลอดภัยบริเวณทางจราจรบริเวณทางโค้งเป็นหลัก หรือทางแยกที่เป็นลักษณะมุมอับ/หักศอก กระจกส่องทางโค้ง สามารถช่วยเพิ่มทัศนวิสัยในการมองเห็นที่กว้างขึ้น ใช้ได้ทั้งภายใน และภายนอกอาคาร ทางแยก ท่ีจอดรถ โรงเรยี น หรือทีอ่ ่นื ๆ ตามความต้องการ กระจกโค้งจราจร

- 27 - เอกสารอา้ งอิง 1. มาตรฐานการป้องกนั อบุ ัตภิ ัยทางถนน กรมส่งเสริมการปกครองทอ้ งถ่นิ กระทรวงมหาดไทย 2. มาตรฐานการก่อสร้างสันชะลอความเร็ว มยผ. 2301-56 กรมโยธาธิการและผังเมือง กระทรวงมหาดไทย 3. คู่มือแนะนำการติดตั้งอุปกรณ์และสิ่งอำนวยความปลอดภัย สำนักอำนวยความปลอดภั ย กรมทางหลวง กระทรวงคมนาคม 4. คู่มือเครื่องหมายควบคุมการจราจร ภาค 1 ป้ายจราจร พ.ศ. 2531 (พฤษภาคม 2547) กรมทางหลวง กระทรวงคมนาคม 5. คู่มือเครื่องหมายควบคุมการจราจร ภาค 2 เครื่องหมายจราจร พ.ศ. 2533 กรมทางหลวง กระทรวงคมนาคม 6. คมู่ อื เลม่ ท่ี 1 ค่มู อื มาตรฐานป้ายจราจร (มีนาคม 2561) กรมทางหลวง กระทรวงคมนาคม 7. คู่มือเล่มที่ 3 คู่มือเครื่องหมายควบคุมการจราจร ในงานก่อสร้าง งานบูรณะ และงานบำรุงรักษา ทางหลวง (มนี าคม 2561) กรมทางหลวง กระทรวงคมนาคม 8. คู่มือเครื่องหมายจราจรฉบับสมบูรณ์ เล่มที่ 5 คู่มือการใช้เครื่องหมายจราจรบริเวณพื้นที่ก่อสร้าง พ.ศ. 2547 สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร กระทรวงคมนาคม

- 28 - ภาคผนวก มอก.606-2549 แผน่ สะท้อนแสงสำหรบั ควบคมุ การจราจร

เลม ๑๒๔ ตอนพเิ ศษ ๔๙ ง หนา ๒๖ ๒๕ เมษายน ๒๕๕๐ ราชกจิ จานุเบกษา ประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม ฉบบั ท่ี ๓๖๓๒ (พ.ศ. ๒๕๔๙) ออกตามความในพระราชบญั ญตั มิ าตรฐานผลิตภัณฑอุตสาหกรรม พ.ศ. ๒๕๑๑ เร่ือง ยกเลกิ มาตรฐานผลิตภัณฑอตุ สาหกรรม แผนสะทอ นแสง และกําหนดมาตรฐานผลิตภณั ฑอุตสาหกรรม แผนสะทอ นแสงสาํ หรับควบคมุ การจราจร โดยท่ีเปนการสมควรปรับปรุงมาตรฐานผลิตภัณฑอุตสาหกรรมแผนสะทอนแสง มาตรฐาน เลขที่ มอก. 606 - 2529 อาศัยอํานาจตามความในมาตรา ๑๕ แหงพระราชบัญญัติมาตรฐานผลิตภัณฑอุตสาหกรรม พ.ศ. ๒๕๑๑ รัฐมนตรวี า การกระทรวงอตุ สาหกรรมออกประกาศยกเลิกประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม ฉบับท่ี ๑๐๖๔ (พ.ศ. ๒๕๒๙) ออกตามความในพระราชบัญญตั ิมาตรฐานผลติ ภัณฑอุตสาหกรรมพ.ศ. ๒๕๑๑ เรื่อง กําหนดมาตรฐานผลิตภัณฑอุตสาหกรรมแผนสะทอนแสง ลงวันท่ี ๒๘ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๒๙ และออกประกาศกําหนดมาตรฐานผลิตภัณฑอุตสาหกรรมแผนสะทอนแสงสําหรับควบคุม การจราจร มาตรฐานเลขท่ี มอก. 606 - 2549 ข้นึ ใหม ดังมีรายการละเอียดตอทายประกาศน้ี ท้งั นี้ ใหมผี ลต้งั แตว นั ทีป่ ระกาศในราชกิจจานเุ บกษาเปนตน ไป ประกาศ ณ วนั ท่ี ๑๒ ธนั วาคม พ.ศ. ๒๕๔๙ โฆสติ ปนเปย มรัษฎ รฐั มนตรีวา การกระทรวงอุตสาหกรรม

มอก. 606–2549 มาตรฐานผลติ ภณั ฑอ ตุ สาหกรรม แผน สะทอ นแสงสำหรบั ควบคมุ การจราจร 1. ขอบขา ย 1.1 มาตรฐานผลิตภัณฑอุตสาหกรรมนี้ครอบคลุมเฉพาะแผนสะทอนแสงสำหรับควบคุมการจราจรท่ีมีวัสดุ สะทอนแสงแบบลูกแกว (glass bead lens material) และแบบไมโครปริซึม (microprismatic material) ใชก บั งานจราจร เชน ปา ยจราจร ปา ยเขตกอ สรา ง เปา สะทอ นแสง กรวยยาง แตไ มค รอบคลมุ แผน สะทอ นแสง ทใ่ี ชต ดิ เสอ้ื ผา 2. บทนยิ าม ความหมายของคำทใี่ ชใ นมาตรฐานผลติ ภณั ฑอ ตุ สาหกรรมนี้ ใหเ ปน ไปตาม มอก.635 เลม 2 และดงั ตอ ไปนี้ 2.1 แผนสะทอนแสงสำหรับควบคุมการจราจร ซึ่งตอไปในมาตรฐานนี้จะเรียกวา “แผนสะทอนแสง” หมายถึง วสั ดแุ ผน บางออ นทสี่ ะทอ นแสงไดโ ดยมมุ สะทอ นแสงเลก็ กวา มมุ ตกกระทบ อาจมวี สั ดปุ ด หลงั อยดู ว ยกไ็ ด 2.2 มุมของการวัด (observation angle) หมายถึง มุมที่เกิดขึ้นระหวางแนวของแสงจากแหลงกำเนิดแสงไปยัง แผน สะทอ นแสงกบั แนวแสงของผสู งั เกต 2.3 มุมท่ีแสงตกกระทบ (entrance angle) หมายถึง มุมที่เกิดข้ึนระหวางแนวของแสงจากแหลงกำเนิดแสงทำ มมุ ตกกระทบกบั แนวตงั้ ฉากจากผวิ หนา ของแผน สะทอ นแสง 2.4 วัสดุปดหลัง (backing) หมายถงึ แผนวัสดุที่ปดหลังแผนสะทอนแสงเพื่อปองกันช้ันกาวและตองลอกออก จากกาวไดส ะดวกโดยไมต อ งแชน ำ้ หรอื ตวั ทำละลายใด ๆ 2.5 ตวั ประกอบความสอ งสวา ง (luminance factor) (ณ จดุ หนง่ึ บนพนื้ ผวิ ของวสั ดทุ ไ่ี มแ ผร งั สใี นตวั ในทศิ ทาง และภายใตเ งอ่ื นไขการรบั แสงทก่ี ำหนด) หมายถงึ อตั ราสว นของความสอ งสวา งของวสั ดตุ อ ความสอ งสวา งของ ตวั แพรแ สงสะทอ นทสี่ มบรู ณ (perfect reflecting diffuser) ซงึ่ รบั แสงในลกั ษณะเดยี วกนั 2.6 สมั ประสทิ ธก์ิ ารสะทอ นแสง (coefficient of retroreflection, R') (ของพนื้ ผวิ สะทอ นแสง) หมายถงึ ผลลพั ธ ทไี่ ดจ ากความเขม แหง การสอ งสวา ง (I) ของวสั ดสุ ะทอ นแสงในทศิ ทางการมองตอ ผลคณู ของความสวา ง (E⊥) ทพี่ น้ื ผวิ สะทอ นแสงซง่ึ ระนาบตงั้ ฉากกบั ทศิ ทางทแ่ี สงตกกระทบกบั พนื้ ทข่ี องวสั ดสุ ะทอ นแสง (A) นนั้ I R' = E⊥A 2.7 โคออรดิเนตของรงคภาวะ (chromaticity coordinate) หมายถึง อัตราสวนของคาตัวกระตุนท้ังสาม แตล ะคา ตอ ผลรวมของคา ตวั กระตนุ ทง้ั สาม 2.8 คา ตวั กระตนุ ทงั้ สาม (tristimulus value) หมายถงึ ปรมิ าณของตวั กระตนุ สอี า งองิ ทงั้ สามทเี่ ทยี บไดก บั ตวั กระตนุ สี ทก่ี ำลงั พจิ ารณาในระบบไทรโครมาตกิ 2.9 ตวั กระตนุ สี (colour stimulus) หมายถงึ พลงั งานการแผร งั สที กี่ ระทบเขา สตู าแลว ทำใหเ กดิ ความรสู กึ เกย่ี วกบั สี –1–

มอก. 606–2549 3. ประเภท ชนดิ และแบบ 3.1 แผน สะทอ นแสง แบง เปน 2 ประเภท คอื 3.1.1 ประเภทลกู แกว เหมาะสำหรบั งานจราจรทวั่ ไป แบง เปน 2 ชนดิ คอื 3.1.1.1 ชนดิ เอน็ โคลสเลนซ (enclosed lens) 3.1.1.2 ชนดิ เอน็ แคปซลู เลท (encapsulated) 3.1.2 ประเภทไมโครปรซิ มึ เหมาะสำหรบั งานจราจรทตี่ อ งการความสวา งสงู แบง เปน 2 ชนดิ คอื 3.1.2.1 ชนดิ เคลอื บโลหะ (metallized microprismatic) 3.1.2.2 ชนดิ ไมเ คลอื บโลหะ (unmetallized microprismatic) 3.2 แผน สะทอ นแสง แบง ตามสมั ประสทิ ธกิ์ ารสะทอ นแสงเปน 10 แบบ คอื 3.2.1 แบบท่ี 1 เปน แผน สะทอ นแสงความเขม ปานกลาง (medium-intensity) หรอื เอน็ จเิ นยี รงิ เกรด (engineering grade) โดยท่ัวไปมีโครงสรางเปนประเภทลูกแกว ชนิดเอ็นโคลสเลนซ มีสัมประสิทธ์ิการสะทอนแสง ตามตารางที่ 6 ใชก บั ปา ยจราจร ปา ยเขตกอ สรา ง และเปา สะทอ นแสง 3.2.2 แบบท่ี 2 เปน แผน สะทอ นแสงความเขม ปานกลาง-สงู (medium-high-intensity) หรอื ซปุ เปอรเ อน็ จเิ นยี รงิ เกรด (super engineering grade) โดยทั่วไปมีโครงสรางเปนประเภทลูกแกว ชนิดเอ็นโคลสเลนซ มสี มั ประสทิ ธก์ิ ารสะทอ นแสงตามตารางที่ 7 ใชก บั ปา ยจราจร ปา ยเขตกอ สรา ง และเปา สะทอ นแสง 3.2.3 แบบท่ี 3 เปน แผน สะทอ นแสงความเขม สงู (high-intensity) โดยทว่ั ไปมโี ครงสรา งเปน ประเภทลกู แกว ชนิดเอ็นแคปซูลเลท มีสัมประสิทธ์ิการสะทอนแสงตามตารางท่ี 8 ใชกับปายจราจร ปายเขตกอสราง และเปา สะทอ นแสง 3.2.4 แบบท่ี 4 เปน แผน สะทอ นแสงความเขม สงู (high-intensity) โดยทวั่ ไปมโี ครงสรา งเปน ประเภทไมโครปรซิ มึ ชนิดไมเคลือบโลหะ มีสัมประสิทธิ์การสะทอนแสงตามตารางท่ี 9 ใชกับปายจราจร ปายเขตกอสราง และเปา สะทอ นแสง 3.2.5 แบบท่ี 5 เปน แผน สะทอ นแสงความเขม สงู พเิ ศษ (super-high-intensity) โดยทว่ั ไปมโี ครงสรา งเปน ประเภท ไมโครปรซิ มึ ชนดิ เคลอื บโลหะ มสี มั ประสทิ ธกิ์ ารสะทอ นแสงตามตารางท่ี 10 ใชก บั เปา สะทอ นแสง 3.2.6 แบบที่ 6 เปนแผนสะทอนแสงชนิดมีความยืดหยุน และความเขมสูง (elastomeric high-intensity) ที่ไมมีวัสดุปดหลัง โดยทั่วไปมีโครงสรางเปนประเภทไมโครปริซึม ชนิดไมเคลือบโลหะ มีสัมประสิทธ์ิ การสะทอ นแสงตามตารางท่ี 11 ใชก บั ปา ยชวั่ คราวแบบมว นเกบ็ ได กรวยยาง และเสาพลาสตกิ สำหรบั งานจราจร 3.2.7 แบบท่ี 7 เปน แผน สะทอ นแสงความเขม สงู พเิ ศษ (super-high-intensity) โดยทว่ั ไปมโี ครงสรา งเปน ประเภท ไมโครปรซิ มึ ชนดิ ไมเ คลอื บโลหะ มสี มบตั กิ ารสะทอ นแสงสงู ทม่ี องเหน็ ไดใ นระยะไกลและระยะปานกลาง โดยมีสัมประสิทธิ์การสะทอนแสงตามตารางที่ 12 ที่มุมของการวัด 0.1o และ 0.2o ใชกับปายจราจร ปา ยเขตกอ สรา ง และเปา สะทอ นแสง 3.2.8 แบบท่ี 8 เปน แผน สะทอ นแสงความเขม สงู พเิ ศษ (super-high-intensity) โดยทวั่ ไปมโี ครงสรา งเปน ประเภท ไมโครปรซิ มึ ชนดิ ไมเ คลอื บโลหะ มสี มบตั กิ ารสะทอ นแสงสงู ทมี่ องเหน็ ไดใ นระยะไกลและระยะปานกลาง โดยมีสัมประสิทธิ์การสะทอนแสงตามตารางท่ี 13 ที่มุมของการวัด 0.1o และ 0.2o ใชกับปายจราจร ปา ยเขตกอ สรา ง และเปา สะทอ นแสง –2–

มอก. 606–2549 3.2.9 แบบท่ี 9 เปน แผน สะทอ นแสงความเขม สงู มาก (very-high-intensity) โดยทว่ั ไปมโี ครงสรา งเปน ประเภท ไมโครปรซิ มึ ชนดิ ไมเ คลอื บโลหะ มสี มบตั กิ ารสะทอ นแสงสงู ทมี่ องเหน็ ไดใ นระยะใกล โดยมสี มั ประสทิ ธ์ิ การสะทอ นแสงตามตารางท่ี 14 ทม่ี มุ ของการวดั 1o ใชก บั ปา ยจราจร ปา ยเขตกอ สรา ง และเปา สะทอ นแสง 3.2.10 แบบท่ี 10 เปน แผน สะทอ นแสงความเขม สงู พเิ ศษ (super-high-intensity) โดยทวั่ ไปมโี ครงสรา งเปน ประเภทไมโครปริซึม ชนิดไมเคลือบโลหะ มีสมบัติการสะทอนแสงสูงที่มองเห็นไดในระยะปานกลาง โดยมีสัมประสิทธ์ิการสะทอนแสงตามตารางที่ 15 ที่มุมของการวัด 0.1o และ 0.2o ใชกับปายจราจร ปา ยเขตกอ สรา ง และเปา สะทอ นแสง 4. คณุ ลกั ษณะทต่ี อ งการ 4.1 ลกั ษณะทว่ั ไป ตอ งเปน แผน เรยี บ ฟล ม ชนั้ นอกและวสั ดสุ ะทอ นแสงตอ งปรากฎใหเ หน็ เปน เนอ้ื เดยี วกนั การทดสอบใหท ำโดยการตรวจพนิ จิ 4.2 สี 4.2.1 แผน สะทอ นแสง มี 10 สี คอื 4.2.1.1 สขี าว 4.2.1.2 สีเหลือง 4.2.1.3 สสี ม 4.2.1.4 สเี ขยี ว 4.2.1.5 สแี ดง 4.2.1.6 สนี ำ้ เงนิ 4.2.1.7 สนี ำ้ ตาล 4.2.1.8 สเี หลอื ง-เขยี ว ฟลอู อเรสเซนซ 4.2.1.9 สเี หลอื ง ฟลอู อเรสเซนซ 4.2.1.10 สสี ม ฟลอู อเรสเซนซ 4.2.2 สที ม่ี องเหน็ ในเวลากลางวนั (daytime color) 4.2.2.1 แผน สะทอ นแสงทง้ั 10 สี ตอ งมโี คออรด เิ นตของรงคภาวะอยใู นขดี จำกดั ของรงคภาวะ (chromaticity limit) ตามตารางที่ 1 –3–

มอก. 606–2549 ตารางท่ี 1 โคออรด เิ นตของรงคภาวะของแผน สะทอ นแสงทง้ั 10 สี (ขอ 4.2.2.1) โคออรด ิเนตของรงคภาวะ สี 1 2 3 4 xyxyxyxy ขาว 0.303 0.300 0.368 0.366 0.340 0.393 0.274 0.329 เหลอื ง 0.498 0.412 0.557 0.442 0.479 0.520 0.438 0.472 สม 0.558 0.352 0.636 0.364 0.570 0.429 0.506 0.404 เขียว 0.026 0.399 0.166 0.364 0.286 0.446 0.207 0.771 แดง 0.648 0.351 0.735 0.265 0.629 0.281 0.565 0.346 นา้ํ เงิน 0.140 0.035 0.244 0.210 0.190 0.255 0.065 0.216 นา้ํ ตาล 0.430 0.340 0.610 0.390 0.550 0.450 0.430 0.390 เหลอื ง-เขียว ฟลูออเรสเซนซ 0.387 0.610 0.369 0.546 0.428 0.496 0.460 0.540 เหลอื ง ฟลอู อเรสเซนซ 0.479 0.520 0.446 0.483 0.512 0.421 0.557 0.442 สม ฟลูออเรสเซนซ 0.583 0.416 0.535 0.400 0.595 0.351 0.645 0.355 4.2.2.2 สแี ตล ะสขี องแผน สะทอ นแสง ตอ งมตี วั ประกอบความสอ งสวา ง (Y) (1) สขี าว สเี หลอื ง สสี ม สเี ขยี ว สแี ดง สนี ้ำเงนิ และสนี ำ้ ตาลของแผน สะทอ นแสงแบบท่ี 1 แบบที่ 2 แบบที่ 3 และแบบท่ี 6 ตอ งเปน ไปตามตารางที่ 2 (2) สขี าว สเี หลอื ง สสี ม สเี ขยี ว สแี ดง สนี ำ้ เงนิ และสนี ้ำตาลของแผน สะทอ นแสงแบบที่ 4 แบบที่ 7 แบบที่ 8 แบบท่ี 9 และแบบท่ี 10 ตอ งเปน ไปตามตารางที่ 3 (3) สขี าว สเี หลอื ง สสี ม สเี ขยี ว สแี ดง สนี ำ้ เงนิ และสนี ้ำตาลของแผน สะทอ นแสงแบบท่ี 5 ตอ งเปน ไปตามตารางท่ี 4 (4) สเี หลอื ง-เขยี ว ฟลอู อเรสเซนซ สเี หลอื ง ฟลอู อเรสเซนซ และสสี ม ฟลอู อเรสเซนซ ตอ งเปน ไป ตามตารางที่ 5 การทดสอบใหป ฏบิ ตั ติ าม ASTM D 4956 ขอ 7.4 –4–

มอก. 606–2549 ตารางท่ี 2 ตวั ประกอบความสอ งสวา ง (Y) ของแผน สะทอ นแสงแบบที่ 1 แบบท่ี 2 แบบที่ 3 และแบบท่ี 6 (ขอ 4.2.2.2(1)) ตวั ประกอบความสองสวา ง (Y) % สี ตํา่ สดุ สงู สดุ ขาว 27 - เหลือง 15 45 สม 14 30 เขียว 3.0 9.0 แดง 2.5 12 นาํ้ เงิน 1.0 10 นา้ํ ตาล 4.0 9.0 ตารางที่ 3 ตวั ประกอบความสอ งสวา ง (Y) ของแผน สะทอ นแสงแบบท่ี 4 แบบที่ 7 แบบท่ี 8 แบบที่ 9 และแบบท่ี 10 (ขอ 4.2.2.2(2)) ตัวประกอบความสอ งสวาง (Y) % สี ต่าํ สุด สูงสุด ขาว 40 - เหลือง 24 45 สม 12 30 เขยี ว 3.0 12 แดง 3.0 15 น้าํ เงิน 1.0 10 น้าํ ตาล 1.0 6.0 –5–

มอก. 606–2549 ตารางที่ 4 ตวั ประกอบความสอ งสวา ง (Y) ของแผน สะทอ นแสงแบบท่ี 5 (ขอ 4.2.2.2(3)) ตวั ประกอบความสองสวา ง (Y) % สี ตํ่าสดุ สงู สุด ขาว 15 - เหลือง 12 30 สม 7.0 25 เขยี ว 2.5 11 แดง 2.5 11 นํ้าเงนิ 1.0 10 นา้ํ ตาล 1.0 9.0 ตารางท่ี 5 ตวั ประกอบความสอ งสวา ง (Y) ของแผน สะทอ นแสงสำหรบั สเี หลอื ง–เขยี ว ฟลอู อเรสเซนซ สเี หลอื ง ฟลอู อเรสเซนซ และสสี ม ฟลอู อเรสเซนซ (ขอ 4.2.2.2(4)) สี ตัวประกอบความสอ งสวาง (Y) % ต่ําสดุ สงู สุด เหลอื ง-เขยี ว ฟลูออเรสเซนซ 80 ไมม ี เหลอื ง ฟลอู อเรสเซนซ 45 ไมม ี สม ฟลอู อเรสเซนซ 25 ไมม ี 4.3 สมั ประสทิ ธก์ิ ารสะทอ นแสง แผน สะทอ นแสงแบบที่ 1 ถงึ แบบท่ี 10 ตอ งมสี มั ประสทิ ธก์ิ ารสะทอ นแสงเปน ไปตามตารางที่ 6 ถงึ ตารางท่ี 15 ตามลำดบั การทดสอบใหป ฏบิ ตั ติ าม ASTM D 4956 ขอ 7.3 หมายเหตุ 1. แผน สะทอ นแสงแบบที่ 3 ถงึ แบบท่ี 10 ใหท ดสอบทมี่ มุ ของการวดั 0.2 o ขนึ้ ไป 2. กรณที จี่ ะวดั มมุ ของการวดั 0.1o ใหเ ปน ไปตามขอ ตกลงระหวา งผซู อ้ื กบั ผขู าย –6–

มอก. 606–2549 ตารางท่ี 6 สมั ประสทิ ธกิ์ ารสะทอ นแสงของแผน สะทอ นแสงแบบท่ี 1 (ขอ 4.3 ขอ 4.4.1.1(1)) หนว ยเปน แคนเดลาตอ ลกั ซต อ ตารางเมตร มุมของ มุมท่ีแสงตก สัมประสทิ ธ์ิการสะทอนแสง ไมนอยกวา การวดั กระทบ สีขาว สเี หลอื ง สีสม สเี ขยี ว สีแดง สีนา้ํ เงนิ สีนํ้าตาล oo 0.2 -4 70 50 25 9.0 14 4.0 1.0 o +30 30 22 7.0 3.5 6.0 1.7 0.3 oo 0.5 -4 30 25 13 4.5 7.5 2.0 0.3 o +30 15 13 4.0 2.2 3.0 0.8 0.2 ตารางที่ 7 สมั ประสทิ ธก์ิ ารสะทอ นแสงของแผน สะทอ นแสงแบบท่ี 2 (ขอ 4.3 ขอ 4.4.1.1(2)) มุมของ มุมที่แสงตก หนว ยเปน แคนเดลาตอ ลกั ซต อ ตารางเมตร การวดั สมั ประสทิ ธิ์การสะทอ นแสง ไมน อยกวา กระทบ สีขาว สเี หลอื ง สสี ม สีเขยี ว สีแดง สีน้ําเงิน สีนํา้ ตาล o 140 100 60 30 30 10 5.0 o 60 36 22 10 12 4.0 2.0 0.2 50 33 20 9.0 10 3.0 2.0 -4 28 20 12 6.0 6.0 2.0 1.0 o o 0.5 +30 o -4 o +30 –7–

มอก. 606–2549 ตารางท่ี 8 สมั ประสทิ ธก์ิ ารสะทอ นแสงของแผน สะทอ นแสงแบบที่ 3 (ขอ 4.3 ขอ 4.4.1.1(3)) หนว ยเปน แคนเดลาตอ ลกั ซต อ ตารางเมตร มมุ ของ มมุ ที่แสงตก สมั ประสิทธกิ์ ารสะทอ นแสง ไมนอยกวา การวดั กระทบ สีขาว สีเหลือง สีสม สีเขียว สแี ดง สนี ํ้าเงนิ สีนา้ํ ตาล oo 0.1 -4 300 200 120 54 54 24 14 +30 180 120 72 32 32 14 10 oo 0.2 -4 250 170 100 45 45 20 12 +30 150 100 60 25 25 11 8.5 oo 0.5 -4 95 62 30 15 15 7.5 5.0 +30 65 45 25 10 10 5.0 3.5 ตารางท่ี 9 สมั ประสทิ ธก์ิ ารสะทอ นแสงของแผน สะทอ นแสงแบบท่ี 4 (ขอ 4.3 ขอ 4.4.1.1(4)) หนว ยเปน แคนเดลาตอ ลกั ซต อ ตารางเมตร มมุ ของ มุมทแ่ี สงตก สมั ประสทิ ธ์ิการสะทอนแสง ไมน อยกวา การวัด กระทบ สขี าว สีเหลือง สีสม สีเขียว สแี ดง สีนาํ้ เงิน สีน้ําตาล สเี หลือง-เขียว สีเหลือง สีสม ฟลอู อเรสเซนซ ฟลูออเรสเซนซ ฟลูออเรสเซนซ oo 0.1 -4 500 380 200 70 90 42 25 400 300 150 o 140 70 +30 240 175 94 32 42 20 12 185 oo 0.2 -4 360 270 145 50 65 30 18 290 220 105 o 100 50 +30 170 135 68 25 30 14 8.5 135 oo 120 90 45 55 40 22 0.5 -4 150 110 60 21 27 13 7.5 o +30 72 54 28 10 13 6 3.5 –8–

มอก. 606–2549 ตารางที่ 10 สมั ประสทิ ธก์ิ ารสะทอ นแสงของแผน สะทอ นแสงแบบท่ี 5 (ขอ 4.3 ขอ 4.4.1.1(5)) มมุ ของการวัด มมุ ที่แสงตก หนว ยเปน แคนเดลาตอ ลกั ซต อ ตารางเมตร สัมประสทิ ธ์ิการสะทอ นแสง ไมนอยกวา o กระทบ สขี าว สีเหลือง สสี ม สเี ขียว สแี ดง สีนํา้ เงิน 2000 1300 800 360 360 160 0.1 o 1100 740 440 200 200 88 700 470 280 120 120 56 o -4 400 270 160 72 72 32 160 110 64 28 28 13 0.2 o 75 51 30 13 13 6.0 o +30 0.5 o -4 o +30 o -4 o +30 ตารางท่ี 11 สมั ประสทิ ธกิ์ ารสะทอ นแสงของแผน สะทอ นแสงแบบที่ 6 (ขอ 4.3 ขอ 4.4.1.1(6)) มุมของ มมุ ที่แสงตก หนว ยเปน แคนเดลาตอ ลกั ซต อ ตารางเมตร สมั ประสิทธก์ิ ารสะทอ นแสง ไมนอ ยกวา การวัด กระทบ สีขาว สเี หลอื ง สสี ม สเี ขยี ว สแี ดง สีนา้ํ เงิน สเี หลอื ง-เขียว สเี หลือง สสี ม ฟลูออเรสเซนซ ฟลูออเรสเซนซ ฟลอู อเรสเซนซ oo 0.1 -4 750 525 190 90 105 68 600 450 300 o +30 300 210 75 36 42 27 240 180 120 oo 0.2 -4 500 350 125 60 70 45 400 300 200 o 120 80 +30 200 140 50 24 28 18 160 oo 135 90 0.5 -4 225 160 56 27 32 20 180 o +30 85 60 21 10 12 7.7 68 51 34 –9–

มอก. 606–2549 ตารางที่ 12 สมั ประสทิ ธก์ิ ารสะทอ นแสงของแผน สะทอ นแสงแบบที่ 7 (ขอ 4.3 ขอ 4.4.1.1(7)) มมุ ของ มุมที่แสงตก หนว ยเปน แคนเดลาตอ ลกั ซต อ ตารางเมตร สมั ประสิทธิ์การสะทอ นแสง ไมนอยกวา การวดั กระทบ สีขาว สเี หลอื ง สสี ม สเี ขยี ว สีแดง สนี ํ้าเงิน สเี หลือง-เขียว สเี หลือง สสี ม ฟลอู อเรสเซนซ ฟลอู อเรสเซนซ ฟลูออเรสเซนซ oo 0.1 -4 1000 750 375 100 200 45 800 600 300 o +30 570 430 215 57 115 26 460 340 170 oo 0.2 -4 750 560 280 75 150 34 600 450 230 o +30 430 320 160 43 86 20 340 260 130 oo 72 0.5 -4 240 180 90 24 48 11 190 145 o 81 41 +30 135 100 50 14 27 6.0 110 ตารางท่ี 13 สมั ประสทิ ธกิ์ ารสะทอ นแสงของแผน สะทอ นแสงแบบที่ 8 (ขอ 4.3 ขอ 4.4.1.1(8)) หนว ยเปน แคนเดลาตอ ลกั ซต อ ตารางเมตร มุมของ มมุ ทแี่ สงตก สมั ประสทิ ธิ์การสะทอ นแสง ไมน อยกวา การวดั กระทบ สีขาว สีเหลอื ง สสี ม สเี ขียว สีแดง สีนา้ํ เงนิ สนี ้าํ ตาล สีเหลือง-เขยี ว สเี หลอื ง สสี ม ฟลอู อเรสเซนซ ฟลอู อเรสเซนซ ฟลอู อเรสเซนซ oo 0.1 -4 1000 750 375 100 150 60 30 800 600 300 o +30 460 345 175 46 69 28 14 370 280 135 oo 0.2 -4 700 525 265 70 105 42 21 560 420 210 o 200 95 +30 325 245 120 33 49 20 10 260 oo 150 75 0.5 -4 250 190 94 25 38 15 7.5 200 o +30 115 86 43 12 17 7 3.5 92 69 35 –10–

มอก. 606–2549 ตารางที่ 14 สมั ประสทิ ธก์ิ ารสะทอ นแสงของแผน สะทอ นแสงแบบที่ 9 (ขอ 4.3 ขอ 4.4.1.1(9)) หนว ยเปน แคนเดลาตอ ลกั ซต อ ตารางเมตร มมุ ของ มมุ ทีแ่ สงตก สมั ประสิทธ์ิการสะทอ นแสง ไมน อยกวา การวัด กระทบ สขี าว สเี หลือง สีสม สีเขียว สแี ดง สนี ้ําเงนิ สีเหลอื ง-เขยี ว สเี หลือง สีสม ฟลูออเรสเซนซ ฟลูออเรสเซนซ ฟลูออเรสเซนซ oo 0.1 -4 660 500 250 66 130 30 530 400 200 o +30 370 280 140 37 74 17 300 220 110 oo 0.2 -4 380 285 145 38 76 17 300 230 115 o 130 65 +30 215 162 82 22 43 10 170 oo 145 72 0.5 -4 240 180 90 24 48 11 190 o 81 41 +30 135 100 50 14 27 6.0 110 oo 1.0 -4 80 60 30 8.0 16 3.6 64 48 24 o +30 45 34 17 4.5 9.0 2.0 36 27 14 ตารางที่ 15 สมั ประสทิ ธก์ิ ารสะทอ นแสงของแผน สะทอ นแสงแบบท่ี 10 (ขอ 4.3 ขอ 4.4.1.1(10)) มมุ ของ มุมท่ีแสงตก หนว ยเปน แคนเดลาตอ ลกั ซต อ ตารางเมตร สัมประสทิ ธ์ิการสะทอนแสง ไมน อยกวา การวดั กระทบ สีขาว สีเหลือง สสี ม สีเขียว สแี ดง สนี ํ้าเงนิ สนี ํา้ ตาล สเี หลอื ง-เขยี ว สเี หลือง สสี ม ฟลูออเรสเซนซ ฟลูออเรสเซนซ ฟลูออเรสเซนซ oo 0.1 -4 800 600 300 80 120 40 24 640 480 240 o +30 400 300 150 40 60 20 12 320 240 120 oo 0.2 -4 560 420 210 56 84 28 17 450 340 170 o +30 280 210 105 28 42 14 8.4 220 170 84 oo 0.5 -4 200 150 75 20 30 10 6.0 160 120 60 o +30 100 75 37 10 15 5.0 3.0 80 60 30 –11–

มอก. 606–2549 4.4 สมบตั ใิ นการใชง าน 4.4.1 ความทนทานตอ สภาพลมฟา อากาศโดยวธิ เี รง ภาวะ เมอ่ื ทดสอบตามขอ 8.3 แลว 4.4.1.1 สมั ประสทิ ธก์ิ ารสะทอ นแสง (1) แบบที่ 1 ตอ งไมน อ ยกวา รอ ยละ 50 ของคา ทกี่ ำหนดในตารางท่ี 6 (2) แบบท่ี 2 ตอ งไมน อ ยกวา รอ ยละ 65 ของคา ทก่ี ำหนดในตารางท่ี 7 (3) แบบท่ี 3 ตอ งไมน อ ยกวา รอ ยละ 80 ของคา ทกี่ ำหนดในตารางท่ี 8 (4) แบบท่ี 4 ตอ งไมน อ ยกวา รอ ยละ 80 ของคา ทกี่ ำหนดในตารางท่ี 9 (5) แบบที่ 5 ตอ งไมน อ ยกวา รอ ยละ 80 ของคา ทกี่ ำหนดในตารางท่ี 10 (6) แบบที่ 6 ตอ งไมน อ ยกวา รอ ยละ 50 ของคา ทก่ี ำหนดในตารางท่ี 11 (7) แบบท่ี 7 ตอ งไมน อ ยกวา รอ ยละ 80 ของคา ทกี่ ำหนดในตารางท่ี 12 (8) แบบท่ี 8 ตอ งไมน อ ยกวา รอ ยละ 80 ของคา ทกี่ ำหนดในตารางที่ 13 (9) แบบท่ี 9 ตอ งไมน อ ยกวา รอ ยละ 80 ของคา ทกี่ ำหนดในตารางท่ี 14 (10) แบบท่ี 10 ตอ งไมน อ ยกวา รอ ยละ 80 ของคา ทกี่ ำหนดในตารางท่ี 15 4.4.1.2 ตอ งไมแ ตก บมุ หรอื พอง มมุ ไมง อ และยดื หรอื หดไดไ มเ กนิ 1 มลิ ลเิ มตร 4.4.1.3 ความคงทนของสี (colourfastness) เปน ไปตามทกี่ ำหนดในขอ 4.2.2 4.5 การหดตวั เมื่อทดสอบตามขอ 8.4 แลว ตองหดตัวไมเกิน 1 มิลลิเมตร ในเวลา 10 นาที และตองหดตัวไมเกิน 3 มลิ ลเิ มตร ในเวลา 24 ชว่ั โมง 4.6 การลอกวสั ดปุ ด หลงั (เฉพาะแผน สะทอ นแสงทม่ี วี สั ดปุ ด หลงั ) เมอื่ ทดสอบตามขอ 8.5 แลว ตอ งลอกออกจากกาวไดง า ย ไมฉ กี ขาด และไมม กี าวหลดุ ตดิ ออกมา 4.7 ความทนทานตอ การดดั โคง เมื่อทดสอบตามขอ 8.6 แลว ตองไมราว แตก หลุดลอน แยกเปนช้ิน หรือแยกเปนชั้นท่ีผิวหนาของ แผน สะทอ นแสง 4.8 การตดิ แนน (เฉพาะแผน สะทอ นแสงทม่ี วี สั ดปุ ด หลงั ) เมอื่ ทดสอบตามขอ 8.7 แลว ตอ งตดิ ไดแ นน กบั แผน ทดสอบอะลมู เิ นยี มผวิ เรยี บและหลดุ ลอกไดไ มเ กนิ 50 มลิ ลเิ มตร 4.9 ความทนทานตอ การกระแทก เมอ่ื ทดสอบตามขอ 8.8 แลว ตอ งไมร า วหรอื หลดุ ลอ นเปน ชน้ิ ทผี่ วิ หนา ของแผน สะทอ นแสง 4.10 ความเงา ตอ งมคี วามเงา วดั ทม่ี มุ 85o ไมน อ ยกวา 40 การทดสอบใหป ฏบิ ตั ติ าม มอก.285 เลม 17 4.11 ความทนทานตอ เชอื้ รา เมอ่ื ทดสอบตามขอ 8.9 แลว ตอ งไมป รากฏการเจรญิ เตบิ โตของเชอื้ รา และตอ งไมล อกออกจากแผน ทดสอบ เมอ่ื ทำความสะอาดดว ยเอทานอลรอ ยละ 70 โดยปรมิ าตร –12–

มอก. 606–2549 5. การบรรจุ 5.1 ใหหอหุมแผนสะทอนแสงดวยวัสดุท่ีเหมาะสมและบรรจุในภาชนะบรรจุท่ีไมชำรุดเสียหาย และตองปด ใหเ รยี บรอ ย 5.2 จำนวนแผน ของแผน สะทอ นแสงทบี่ รรจใุ นภาชนะบรรจุ (ถา ม)ี ตอ งไมน อ ยกวา ทรี่ ะบไุ วท ฉ่ี ลาก 6. เครอ่ื งหมายและฉลาก 6.1 ทดี่ า นหลงั แผน สะทอ นแสงทกุ มว นบนพนื้ ทไี่ มเ กนิ 200 ตารางเซนตเิ มตร อยา งนอ ยตอ งมเี ลข อกั ษร หรอื เครอื่ งหมายแจง รายละเอยี ดตอ ไปนใ้ี หเ หน็ ไดง า ย ชดั เจน (1) ชอื่ ผลติ ภณั ฑต ามมาตรฐานนหี้ รอื ชอื่ อน่ื ทสี่ อ่ื ความหมายวา เปน ผลติ ภณั ฑต ามมาตรฐานนี้ (2) ประเภท ชนดิ และแบบ (3) สี (4) ชอื่ ผทู ำหรอื โรงงานทที่ ำ พรอ มสถานทต่ี งั้ หรอื เครอ่ื งหมายการคา ทจี่ ดทะเบยี น 6.2 ทภี่ าชนะบรรจแุ ผน สะทอ นแสงทกุ หนว ย อยา งนอ ยตอ งมเี ลข อกั ษร หรอื เครอ่ื งหมายแจง รายละเอยี ดตอ ไปน้ี ใหเ หน็ ไดง า ย ชดั เจน (1) ชอ่ื ผลติ ภณั ฑต ามมาตรฐานนห้ี รอื ชอ่ื อนื่ ทส่ี อ่ื ความหมายวา เปน ผลติ ภณั ฑต ามมาตรฐานน้ี (2) ประเภท ชนดิ และแบบ (3) สี (4) จำนวนแผน (ถา ม)ี (5) เดอื น ปท ท่ี ำ หรอื เดอื น ปท หี่ มดอายุ (6) ชอ่ื ผทู ำหรอื โรงงานทที่ ำ พรอ มสถานทต่ี งั้ หรอื เครอื่ งหมายการคา ทจ่ี ดทะเบยี น (7) ประเทศทท่ี ำ ในกรณที ใี่ ชภ าษาตา งประเทศ ตอ งมคี วามหมายตรงกบั ภาษาไทยทก่ี ำหนดไวข า งตน 7. การชกั ตวั อยา งและเกณฑต ดั สนิ 7.1 การชกั ตวั อยา งและเกณฑต ดั สนิ ใหเ ปน ไปตามภาคผนวก ก. 8. การทดสอบ 8.1 ภาวะทดสอบ หากมไิ ดก ำหนดไวเ ปน อยา งอน่ื ใหเ กบ็ ตวั อยา งไวท อี่ ณุ หภมู ิ (27 ± 2) องศาเซลเซยี ส และความชนื้ สมั พทั ธ รอ ยละ (65 ± 5) เปน เวลาไมน อ ยกวา 24 ชวั่ โมง 8.2 แผน ทดสอบ หากมไิ ดก ำหนดไวเ ปน อยา งอนื่ ใหใ ชแ ผน อะลมู เิ นยี มทมี่ ผี วิ เรยี บ สะอาด และปราศจากไขมนั ขนาด 200 มลิ ลเิ มตร × 200 มลิ ลเิ มตร หนาไมน อ ยกวา 0.5 มลิ ลเิ มตร –13–

มอก. 606–2549 8.3 การทดสอบความทนทานตอ สภาพลมฟา อากาศโดยวธิ เี รง ภาวะ ตดั ตวั อยา งแผน สะทอ นแสงใหม ขี นาด 70 มลิ ลเิ มตร × 70 มลิ ลเิ มตร จำนวน 4 ชน้ิ ตดิ บนแผน ทดสอบ แลว ปฏบิ ตั ติ าม ASTM G 151 และ ASTM G 152 หรอื ASTM G 155 โดยใหแ ผน แบลก็ พาเนล (black panel) มอี ณุ หภมู ิ (63 ± 3) องศาเซลเซยี ส มวี ฏั จกั รการรบั แสง 102 นาที ตามดว ยรบั แสงและพน นำ้ 18 นาที ทคี่ วามชน้ื สมั พทั ธร อ ยละ (50 ± 5) จนครบระยะเวลาตามทกี่ ำหนดในตารางท่ี 16 นำแผน ทดสอบทแ่ี หง (ไมนำแผนทดสอบออกในขณะท่ีพนนำ้ อยู) ออกจากเคร่ือง ลางแผนทดสอบโดยใชผานุมหรือฟอง นำ้ ชุบน้ำสะอาดหรือสารละลายเจือจาง (ละลายผงซักฟอกรอยละ 1 โดยน้ำหนักในนำ้ ) เช็ด ลางอีกครั้ง โดยการใหน ้ำสะอาดไหลผา น ซบั ใหแ หง ดว ยผา นมุ สะอาด แลว วางแผน ทดสอบไวท อี่ ณุ หภมู หิ อ ง (27 ± 2) องศาเซลเซยี ส ไมน อ ยกวา 2 ชว่ั โมง นำไปหาสมั ประสทิ ธก์ิ ารสะทอ นแสง ตรวจพนิ จิ และหาความคงทนของสี ตารางท่ี 16 ระยะเวลาทดสอบความทนทานตอ สภาพลมฟา อากาศโดยวธิ เี รง ภาวะ (ขอ 8.3) ระยะเวลาทดสอบ แบบท่ี ช่วั โมง 1 1 000 2 2 200 3 2 200 4 2 200 5 2 200 6 250 7 2 200 8 2 200 9 2 200 10 2 200 8.4 การทดสอบการหดตวั 8.4.1 เคร่ืองมือ 8.4.1.1 เครอ่ื งวดั ทวี่ ดั ไดล ะเอยี ดถงึ 0.1 มลิ ลเิ มตร 8.4.2 วธิ ที ดสอบ ตดั ตวั อยา งแผน สะทอ นแสงใหม ขี นาด 230 มลิ ลเิ มตร × 230 มลิ ลเิ มตร วางไวท ภ่ี าวะทดสอบตามขอ 8.1 ไมนอยกวา 1 ช่ัวโมง แลวลอกวัสดุปดหลังออก นำไปวางในแนวระนาบที่อุณหภูมิ (27 ± 2) องศาเซลเซยี ส ความชนื้ สมั พทั ธร อ ยละ (65 ± 5) โดยหนั ดา นกาวขนึ้ ดา นบน วดั ขนาดของตวั อยา ง เมอ่ื ครบ 10 นาที และ 24 ชวั่ โมง นบั จากเมอื่ ลอกวสั ดปุ ด หลงั –14–