Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ยุทธศาสตร์การบริหารอาชีวศึกษาและเทคนิคศึกษา

ยุทธศาสตร์การบริหารอาชีวศึกษาและเทคนิคศึกษา

Published by Pravit Sanabnaen, 2022-06-16 04:57:41

Description: สรุปการเรียนรู้ โดยประวิทย์ สนับแน่น

Keywords: ยุทธศาสตร์การบริหารอาชีวศึกษา

Search

Read the Text Version

ยุ ทธศาสตร์ การบริ หารอาชี วศึ กษาและเทคนิ คศึ กษา (020617220) สรุปประเด็นที่สนใจ คุณลักษณะผู้นำทางการศึกษา แนวคิดสำคัญในการพั ฒนาองค์การ แนวคิดการวางแผนกำลังคนยุคใหม่ Learning Outcomes Smart University/Campus การค้นคว้าเพิ่ มเติม แนวทางการพัฒนาการศึกษาระดับอาชีวศึกษาให้ตอบโจทย์ การพัฒนา Learning Society ของประเทศไทยสู่ความสำเร็จ นำ เ ส น อ ดร.สุชาติ เมืองแก้ว จั ด ทำ โ ด ย นายประวิทย์ สนับแน่น DVTM 64020619-1004-7

การประยกุ ตใ์ ช้องคค์ วามรู้สูก่ ารบรหิ ารสถานศกึ ษา จากการศกึ ษารายวชิ ายุทธศาสตรก์ ารบริหารอาชีวศกึ ษาและเทคนิคศกึ ษา นายประวิทย์ สนับแนน่ : รหสั 64 020619 1004 7 เสนอ ดร.สชุ าติ เมืองแกว้ วชิ า ยุทธศาสตร์การบรหิ ารอาชวี ศกึ ษาและเทคนิคศกึ ษา รหัสวิชา 020617220 หลักสูตรดุษฏีบณั ฑติ สาขาบรหิ ารอาชวี ศึกษาและเทคนคิ ศึกษา ภาควิชาครุศาสตรอ์ ุตสาหกรรม มหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกลา้ พระนครเหนอื ภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 2564

คำนำ เอกสารรายงานสรุปการค้นคว้าเพิ่มเติมในหัวข้อที่สนใจ ของรายวิชายุทธศาสตร์การบริหาร อาชีวศึกษาและเทคนิคศึกษา ฉบับนี้ จัดทำขึ้นเพื่อใช้ในการศึกษา ทำความเข้าใจ และอ้างอิงประกอบ การศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติม เพื่อให้มีความรู้และความเข้าใจถึงความหมาย ความแตกต่าง การนำไป ประยุกตใ์ ช้และรายละเอียดตา่ งๆ ใหถ้ อ่ งแท้ยิ่งขึน้ โดยแบง่ ออกเป็น 2 สว่ น คือ ส่วนท่ี 1 การสรุปประเด็นเนื้อหาท่ีสนใจ มา 5 ประเดน็ ประกอบดว้ ย 1. คณุ ลกั ษณะผู้นำทางการศกึ ษา (เอกสาร 1) 2. แนวคิดสำคญั ในการพฒั นาองค์การ (เอกสาร 4) 3. แนวคดิ การวางแผนกำลังคนยคุ ใหม่ (เอกสาร 4) 4. Learning Outcomes (เอกสาร 5) 5. Smart University/Campus (เอกสาร 6) ส่วนที่ 2 รายงานนำเสนอ (1 เรอื่ ง เลอื กจาก 3 หัวขอ้ ) 1. แนวทางการพัฒนาการศึกษาระดับอาชีวศึกษาให้ตอบโจทย์การพัฒนา Learning Society ของประเทศไทยส่คู วามสำเรจ็ 2. แนวทางการพัฒนาสถาบันอาชีวศึกษาระดับต่างๆ สู่ความเป็นเลิศทางด้านการสอน แบบ ONLINE 3. แนวทางการพัฒนาบุคลากรในสถาบันอาชีวศึกษา สู่ความเป็นผู้บริหารมืออาชีพยุค Thailand 4.0 ข้าพเจ้าฯ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าเอกสารรายงานสรุปการค้นคว้าเพิ่มเติมฉบับนี้ จะมีความสมบูรณ์ เพยี งพอ ทจ่ี ะใชอ้ า้ งองิ เพื่อสรุปทำความเข้าใจในหวั ข้อ และประเด็นรายละเอยี ดได้เปน็ อยา่ งดี ประวทิ ย์ สนบั แน่น

สารบญั หนา้ ก เรอื่ ง ข คำนำ 1 สารบัญ 3 งานส่วนที่ 1 การสรปุ ประเด็นเน้ือหาที่สนใจ คุณลกั ษณะผูน้ ำทางการศึกษา (เอกสาร 1) 5 ประเดน็ เน้ือหาโดยสรุป แนวทางการนำไปใชป้ ระโยชน์ 7 แนวคิดสำคญั ในการพัฒนาองค์การ (เอกสาร 4) ประเดน็ เนื้อหาโดยสรปุ 9 แนวทางการนำไปใช้ประโยชน์ แนวคดิ การวางแผนกำลงั คนยคุ ใหม่ (เอกสาร 4) 11 ประเด็นเนือ้ หาโดยสรุป 11 แนวทางการนำไปใชป้ ระโยชน์ 13 Learning Outcomes (เอกสาร 5) 13 ประเด็นเนือ้ หาโดยสรปุ 15 แนวทางการนำไปใชป้ ระโยชน์ 18 Smart University/Campus (เอกสาร 6) 20 ประเด็นเนอ้ื หาโดยสรปุ 23 แนวทางการนำไปใชป้ ระโยชน์ 29 30 งานส่วนท่ี 2 รายงานนำเสนอ (1 เรอ่ื ง เลอื กจาก 3 หัวขอ้ ) 32 (หัวขอ้ 2.1) แนวทางการพัฒนาการศึกษาระดบั อาชีวศึกษาใหต้ อบโจทย์ การพฒั นา Learning Society ของประเทศไทยสู่ความสำเรจ็ Learning Society คืออะไร ความจำเป็นท่ีตอ้ งสรา้ งสังคมแหง่ การเรยี นรู้ องคป์ ระกอบของสังคมแห่งการเรียนรู้ แนวคิดที่สำคญั เก่ยี วกับสังคมแห่งการเรียนรู้ ปัจจัยที่ส่งผลต่อสังคมแหง่ การเรยี นรู้ การพฒั นาคุณภาพการจัดการอาชีวศึกษา แนวทางการพัฒนาการศึกษาระดับอาชวี ศึกษา สู่ Learning Society หลกั การเสริมสร้างสงั คมแห่งการเรียนรู้ รู้ไดอ้ ยา่ งไร..ว่าสำเร็จ!!! บรรณานุกรม

ส่วนที่ 1 สรุปประเด็นที่สนใจ

1 เอกสาร : รายงานสรปุ การคน้ ควา้ เพ่ิมเตมิ ในหวั ข้อท่ีสนใจ ❖ คณุ ลกั ษณะผู้นำทำงกำรศึกษำ (คณุ ลกั ษณะสำคญั ของ Leadership ทางการศกึ ษา : เอกสาร 1) • ความหมายของ ผูน้ ำ กบั ผู้บริหาร ผ้นู ำ หมายถงึ บคุ คลท่ีมีความร้คู วามสามารถ ใชป้ ัญญาช้ีนำและเป็นต้นแบบทด่ี ีแกผ่ อู้ ืน่ หรือสงั คม ภาวะผู้นำ หมายถึง สภาพหรือลักษณะที่แสดงออกของผู้นำ ซึ่งเป็นผลรวมของบุคลิกภาพ เช่น ลักษณะทางกาย ทางอารมณ์ ทางสงั คมและมนษุ ยสัมพันธ์ เป็นตน้ ผู้บรหิ าร หมายถึง บคุ คลซ่ึงทำหนา้ ทีห่ วั หน้างานเพื่อจัดดำเนินงานให้บรรลผุ ลสำเรจ็ ตามเป้าหมายทีว่ างไว้ ผตู้ าม หมายถึง บุคคลทปี่ ฏบิ ตั หิ รอื แสดงพฤตกิ รรมยอมตามผู้นำ ผู้นำทางการศึกษา หมายถึง บุคคลที่มีความรู้ ความสามารถใช้ปัญญาชี้นำ และเป็นต้นแบบที่ด้าน การศึกษา • คุณสมบตั ผิ ู้นำท่ีดี 1. ความรู้ (Knowledge) การเป็นผู้นำนัน้ ความรู้เป็นส่ิงจำเป็นที่สุด ความรู้ในที่นี้มิได้หมายถึงเฉพาะ ความรเู้ ก่ียวกับงานในหนา้ ท่ีเท่าน้นั หากแตร่ วมถงึ การใฝ่หาความรูเ้ พ่ิมเติมในด้านอื่นๆ ด้วย การจะเป็นผู้นำท่ี ดี หัวหนา้ งานจึงตอ้ งเป็นผู้รอบรู้ ยิ่งรอบรูม้ ากเพียงใด ฐานะแหง่ ความเป็นผุ้นำก็จะย่งิ มัน่ คงมากขน้ึ เพียงน้ัน 2. ความริเริ่ม (Initiative) ความริเริ่ม คือ ความสามารถที่จะปฏิบัติสิ่งหนึ่งสิ่งใดในขอบเขตอำนาจ หน้าที่ได้ด้วยตนเอง โดยไม่ต้องคอยคำสั่ง หรือความสามารถแสดงความคิดเห็นที่จะแก้ไขสิ่งหนึ่งสิ่งใดให้ดีข้ึน หรือเจรญิ ขึน้ ไดด้ ้วยตนเอง ความรเิ ริม่ จะเจริญงอกงามได้ หวั หนา้ งานจะตอ้ งมคี วามกระตือรือร้น คือมีใจจดจ่อ งานดี มคี วามเอาใจใสต่ ่อหน้าท่ี มพี ลังใจท่ีตอ้ งการความสำเร็จอยู่เบอื้ งหนา้ 3. มีความกล้าหาญและความเด็ดขาด (Courage and firmness) ผู้นำที่ดีจะต้องไม่กลัวต่ออันตราย ความยากลำบาก หรือความเจ็บปวดใดๆ ทั้งทางกาย วาจา และใจผู้นำที่มีความกล้าหาญ จะช่วยให้สามารถ ผจญต่องานต่างๆ ให้สำเร็จลุล่วงไปได้ นอกจากความกล้าหาญแล้ว ความเด็ดขาดก็เป็นลักษณะอันหนึ่งที่ จะตอ้ งทำให้เกิดมขี ้ึนในตวั ของผนู้ ำเองตอ้ งอยใู่ นลักษณะของการ “กลา้ ได้กลา้ เสีย” ดว้ ย 4. การมีมนุษยสัมพันธ์ (Human relations) ผู้นำที่ดีจะต้องรู้จักประสานความคิด ประสานประโยชน์ สามารถทำงานร่วมกับคนทุกเพศ ทุกวัย ทุกระดับการศึกษาได้ ผู้นำที่มีมนุษยสัมพันธ์ดีจะช่วยให้ปัญหาใหญ่ เป็นปญั หาเลก็ ได้ 5. มีความยุติธรรมและซื่อสัตย์สุจริต (Fairness and Honesty) ผู้นำที่ดีจะต้องอาศัยหลักของความ ถูกต้อง หลักแห่งเหตุผลและความซื่อสัตย์สุจริตต่อตนเองและผู้อื่น เป็นเครื่องมือในการวินิจฉัยสั่งการ หรือ ปฏิบตั งิ านดว้ ยจติ ทปี่ ราศจากอคติ ปราศจากความลำเอยี ง ไมเ่ ล่นพรรคเล่นพวก 6. มีความอดทน (Patience) ความอดทน จะเป็นพลังอันหนึ่งที่จะผลักดันงานให้ไปสู่จุดหมาย ปลายทางได้ อย่างแทจ้ ริง 7. มีความตื่นตัวแต่ไม่ตื่นตูม (Alertness) ความตื่นตัว หมายถึง ความระมัดระวัง ความสุขุมรอบคอบ ความไม่ประมาท ไม่ยืดยาขาดความกระฉับกระเฉง มีความฉับไวในการปฏิบัติงานทันต่อเหตุการณ์ ความ ตื่นตัวเป็นลักษณะที่แสดงออกทางกาย แต่การไม่ตื่นตูม เป็นพลังทางจิตที่จะหยุดคิดไตร่ตรองต่อเหตุการณ์ ต่างๆ ที่เกิดขึ้น รู้จักใช้ดุลยพินิจที่จะพิจารณาสิ่งต่างๆ หรือเหตุต่างๆได้อย่างถูกต้องพูดง่ายๆ ผู้นำที่ดีจะต้อง รจู้ กั ควบคุมตัวเองนัน่ เอง (Self control) รายวิชา : ยุทธศาสตร์การบรหิ ารอาชีวศกึ ษาและเทคนคิ ศกึ ษา (020617220)

2 เอกสาร : รายงานสรปุ การคน้ ควา้ เพิ่มเตมิ ในหวั ข้อทส่ี นใจ 8. มีความภักดี (Loyalty) การเปน็ ผูน้ ำหรือหวั หนา้ ทดี่ ีนั้น จำเป็นตอ้ งมีความจงรกั ภักดีต่อหมูค่ ณะ ต่อ ส่วนรวมและต่อองค์การ ความภักดีนี้ จะช่วยให้หัวหน้าได้รับความไว้วางใจ และปกป้องภัยอันตรายในทุกทิศ ไดเ้ ป็นอย่างดี 9. มีความสงบเสงี่ยมไม่ถือตัว (Modesty) ผู้นำที่ดีจะต้องๆไม่หยิ่งยโส ไม่จองหอง ไม่วางอำนาจ และ ไม่ภูมิใจในสิ่งที่ไร้เหตุผล ความสงบเสงี่ยมนี้ ถ้ามีอยู่ในหัวหน้างานคนใดแล้ว ก็จะทำให้ลูกน้องมีความนับถือ และใหค้ วามรว่ มมือเสมอ • ลักษณะบ่งชค้ี วามเปน็ ผู้นำ 1. คุณลักษณะ เปน็ ผมู้ คี วามรู้ ความสามารถ มที กั ษะการพูด มีบุคลกิ ลักษณะทด่ี ี 2. พฤติกรรม มีลกั ษณะเดน่ ชัดทางพฤตกิ รรม เช่น พูดดี, มมี นษุ ยสมั พันธ์ดี เป็นตน้ 3. สถานการณ์ ทำให้เกิดภาวะผู้นำได้ เช่น เรื่องปัญหาพลังงาน, ปัญหาสงคราม, จะส่งผลก่อให้เกิด การเปล่ียนแปลง สรุป ผู้นำ คือ “บุคคลที่มีความรู้ความสามารถในการใช้ปัญญาชี้นำ เพื่อปฏิบัติงานให้เกิดประโยชน์ บรรลุตามเป้าหมายและวัตถุประสงค์ ต่อองค์กรและต่อตนเอง โดยอาศัยเทคโนโลยี หรือนวัตกรรมให้เกิดการ เปลยี่ นแปลงไปสูใ่ นทิศทางที่พึงประสงค์” ➢ แนวทางการนำไปใช้ประโยชน์ ผตู้ าม.. คอื ผทู้ ่ีมีพฤตกิ รรมบง่ บอกตามพฤตกิ รรมของผ้นู ำ ผนู้ ำ.. จะต้องดูภาวะวุฒิของผตู้ ามด้วย เพอ่ื ความเหมาะสมของงาน ตอ้ งวิเคราะหผ์ ตู้ ามด้วย ขึน้ อยู่กับ ตวั แปรของบุคคล ผู้นำ.. ได้มาโดยศักยภาพ ความสามารถเฉพาะตัว ไม่จำเป็นต้องอาศัยตำแหน่ง กฎระเบียบ อาศัย ความคิดสรา้ งสรรค์เป็นแบบอย่างใหผ้ อู้ น่ื ได้ ผนู้ ำ.. ไม่จำเปน็ ต้องเป็นผู้บริหาร ผ้นู ำเชิงปฏริ ปู ..จะต้องรู้จกั การเปลี่ยนแปลง ผู้นำทางการศึกษา..จะต้องใช้ความรู้ความสามารถ นำไปสู่ผลงานทางวิชาการในการพัฒนางานหรือ ผลงานเพือ่ เปน็ ประโยชนต์ ่อตนเองและองค์กร ให้ประสบความสำเรจ็ ได้ ตอ้ งอาศยั เทคโนโลยี และมีความรูท้ ่กี ว้าง ผูบ้ รหิ าร..มีอำนาจหนา้ ทีโ่ ดยตำแหนง่ ผู้บรหิ าร..จะต้องมีภาวะผูน้ ำจงึ จะประสบความสำเร็จ (มืออาชีพ) ผู้บรหิ ารการศึกษา..มืออาชพี เรียกว่า “นกั บริหารการศึกษา” • บทบาทของผูน้ ำทางการศกึ ษา 1. จะตอ้ งเปน็ ผ้ใู ห้คำปรึกษาหารือในสิ่งท่ีถกู ตอ้ ง เหมาะสม และเปน็ ธรรม เป็นผนู้ ำทางปัญญา รอบรู้ ดา้ นใดดา้ นหนึ่งชดั เจน อาศยั ความร้ปู ระสบการณท์ ด่ี ีในอาชีพ 2. ต้องเป็นผู้จูงใจผู้อื่นให้ปฏิบัติในสิ่งที่ถูกต้อง เป็นตัวแบบ ตัวอย่างที่ดี ผู้นำจึงต้องปฏิบัติตนเป็น ตัวอยา่ งทดี่ ี ผนู้ ำตอ้ งเปน็ ผ้ยู อมรบั จากผู้อ่นื 3. ต้องเปน็ นักพฒั นา เพือ่ ให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ทำประโยชน์ส่วนรวมมากกวา่ สว่ นตน ไมเ่ ห็นแก่ตัว และพวกพอ้ งตนเอง เป็นนกั พฒั นา มีความคิดเชิงบวก มองโลกในแงด่ ี 4. บทบาทในเชงิ บริหาร วิชาการ แกป้ ัญหาได้ 5. บทบาทในการเปน็ บุคคลที่มคี วามรอบรู้ เฉลียวฉลาด อารมณ์มัน่ คง มคี วามฉลาด มอี ารมณด์ ี และ มีคุณธรรมและจรยิ ธรรมสงู รายวิชา : ยุทธศาสตร์การบริหารอาชวี ศึกษาและเทคนคิ ศึกษา (020617220)

3 เอกสาร : รายงานสรุปการค้นควา้ เพิ่มเตมิ ในหัวข้อทส่ี นใจ ❖ แนวคดิ สำคญั ในกำรพัฒนำองคก์ ำร (Organization Development: OD , เอกสาร 4) การพัฒนาองค์กรก็คือการทำให้องค์กรนั้นดีขึ้น เกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีกว่าเดิม ตั้งแต่การ เปลี่ยนแปลงพฤติกรรม การปฏิบัติงาน ระบบโครงสร้างองค์กร ไปจนถึงทัศนคติในการทำงาน ปัจจุบันการ พฒั นาองค์กรกลายเปน็ เครื่องมือท่ีถูกนำมาใช้ในการบรหิ ารตลอดจนขับเคลื่อนองค์กรให้ก้าวหน้า ก้าวทันการ เปล่ยี นแปลง และสรา้ งความเขม้ แข็งให้กบั องค์กรอยา่ งเป็นระบบตลอดจนเป็นรูปธรรมมากข้ึน การพัฒนาองค์กรยังหมายถึงการยกระดับองค์กรอย่างสร้างสรรค์และให้เกิดประสิทธิผลสูงสุด โดยที่ ยังให้ความสำคัญกับบุคลากรทุกระดับ โดยการพัฒนาองค์กรนั้นยังต้องควรตอบสนองต่อวิสัยทัศน์ (Vision) พันธกิจ (Mission) ตลอดจนค่านยิ ม (Core Value) ขององคก์ รด้วย การพัฒนาองคก์ รควรมีเป้าหมายท่ีชัดเจน และการปฏิบัติการเชิงกลยุทธ์ให้เกิดความสำเร็จอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งนั่นจะทำให้องค์กรพัฒนาได้อย่าง ต่อเน่ืองและยัง่ ยนื ตลอดไป ปัจจัยสำคัญที่ทำให้องค์กรพัฒนาได้นั้นมีอยู่หลายองค์ประกอบ ซึ่งนี่คือ 3 ปัจจัยหลักโดยรวมที่มีผล ต่อการพัฒนาขององค์กรมากที่สุด ซึ่งผู้ที่มีหน้าที่บรหิ ารองค์กรควรให้ความใสใ่ จใน 3 ปัจจัยหลักเหล่านี้ และ บริหารให้เกิดประสทิ ธิภาพสูงสดุ 1.โครงสร้างพื้นฐานขององค์กรในรูปแบบต่างๆ (Infrastructure): โครงสร้างพื้นฐานขององค์กร นั้นรวมตั้งแต่อุปกรณ์เครื่องมือที่จำเป็นไปจนถึงเทคโนโลยีตลอดจนข้อมูลสารสนเทศต่างๆ ที่ต้องพร้อมและ ชว่ ยส่งเสรมิ ให้การทำงานมปี ระสิทธิภาพ ถงึ แม้ศกั ยภาพดา้ นทรัพยากรบุคคลจะพร้อมแค่ไหน แต่หากมีปัญหา ที่ทรัพยากรด้านอื่น ก็ย่อมทำให้ลดประสิทธิภาพในการทำงาน และทำให้องค์กรพัฒนาได้อย่างเชื่องช้าหรือ ติดขัดเช่นกัน ตรงกันขา้ มกับองค์กรทใ่ี ส่ใจในโครงสร้างพื้นฐานอย่างดเี พ่ือรองรับการทำงานทีด่ ีท่สี ุด ก็สามารถ มีสว่ นชว่ ยใหบ้ คุ ลากรในองคก์ รใชศ้ ักยภาพของตนในการทำงานไดอ้ ยา่ งมีประสทิ ธภิ าพดว้ ยเช่นกนั 2.กระบวนการทำงานที่เป็นระบบระเบียบ (Process & System): ระบบการทำงานที่มีมาตรฐาน ชัดเจน มรี ะบบระเบยี บ มขี ้นั ตอนที่เหมาะสม มกี ารประเมินผล รวมถงึ มกี ารแก้ไขจุดบกพร่องได้อย่างทันท่วงที ระบบการทำงานทีด่ ีน้นั จะทำใหอ้ งค์กรพฒั นาไดอ้ ยา่ งมปี ระสิทธิภาพมากขึน้ 3.ทรัพยากรมนุษย์ (Human Resource): ทรัพยากรมนุษย์ถอื เป็นปัจจัยสำคญั อันดับต้นๆ ของทุก องค์กร การที่องค์กรมีพนักงานที่มีศักยภาพในการทำงาน มีความมุ่งมั่นในการพัฒนาตนเองและองค์กร ตลอดจนมีทัศนคติที่ดีต่อองค์กร รวมถึงมีวิสัยทัศน์ในการทำงาน จะช่วยส่งเสริมให้องค์กรพัฒนาได้ก้าวไกล และมงั่ คง 4.เป้าหมายและนโยบาย (Goal & Policy): สิ่งสำคัญที่สุดก็คือองค์กรต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจน มี วสิ ัยทศั น์ทีก่ ว้างไกล ตลอดจนมที ิศทางเดินไปสู่จดุ หมายให้เหน็ เม่ือมีเปา้ หมายท่ชี ัดเจนแลว้ ย่อมต้องมีนโยบาย ธุรกิจตลอดจนนโยบายองค์กรที่ออกมาเป็นแนวทางปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วย หากองค์ใดไม่มี เป้าหมาย หรอื ไม่มีนโยบายทกี่ ระจา่ งชัด กเ็ หมอื นเรือทแี่ ลน่ อยใู่ นทะเลโดยขาดเข็มทิศ หรอื เรอื ท่อี ยกู่ ลางทะเล ซึ่งมีหมอกหนาปกคลุม ก็ยากที่จะรู้ว่าเรือควรจะมุ่งหน้าไปทางไหน เพื่ออะไร เป้าหมายที่ชัดเจน นโยบายที่มี ประสิทธภิ าพ จะมีส่วนทีท่ ำใหอ้ งค์กรพัฒนาไดอ้ ย่างรวดเร็ว มีทิศทางและมีศกั ยภาพเพิม่ ขึน้ ดว้ ย ➢ แนวทางการนำไปใช้ประโยชน์ องค์กรที่จะประสบความสำเร็จได้นั้นต้องประกอบไปด้วยหลายส่วน ทั้งทรัพยากรบุคคลที่มี ประสิทธิภาพ ไปจนถึงระบบการบริหารองค์กรที่ยอดเยี่ยม ซึ่งเคล็ดลับที่จะทำให้การพัฒนาองค์กรประสบ ความสำเร็จไดเ้ ปน็ อยา่ งดีนน้ั มีดงั น้ี รายวชิ า : ยทุ ธศาสตร์การบรหิ ารอาชีวศึกษาและเทคนิคศกึ ษา (020617220)

4 เอกสาร : รายงานสรุปการคน้ ควา้ เพม่ิ เตมิ ในหวั ขอ้ ทีส่ นใจ 1. การไดผ้ ู้นำที่ดี ผนู้ ำที่ดีจะนำองค์กรให้ไปสู่ความสำเร็จได้ และผนู้ ำท่ีดีควรจะต้องกำหนดทิศทางของ องคก์ รตลอดจนรู้วธิ ีการขับเคล่ือนองค์กรให้ไปในทางที่เหมาะสมท่สี ุดได้เช่นกัน การทอ่ี งค์กรได้ผู้นำท่ีดีนั้นเสมือน มชี ัยไปกว่าครึ่ง เพราะผู้นำที่ดีจะมีเคล็ดลับในการบริหารงานบุคคลท่ียอดเย่ียมนอกเหนือจากการบริหารงานด้วย เช่นกัน เพราะฟันเฟืองสำคัญขององค์กรน้นั ก็คือบคุ ลากรทุกคนนน่ั เอง ผนู้ ำท่ดี จี ะเขา้ ใจการประสานงานตลอดจน แนะนำวิธีปฏิบัติที่ดีที่สุด รวมไปถึงสามารถช่วยแก้ปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งนั่นเป็นหนึ่งในเคล็ดลับท่ีทำ ใหอ้ งค์กรพฒั นาและประสบความสำเร็จ 2. การได้ผู้ตามที่มีประสิทธิภาพ เมื่อมีผู้นำที่ดีก็ต้องมีผู้ตามที่มีประสิทธิภาพจึงจะเป็นส่วนผสมท่ี ก่อให้เกิดการพัฒนาได้อย่างยอดเยี่ยม ผู้ตามที่ดีจะรู้ว่าควรนำเอาแนวทางการบริหารของผู้นำมาปรับใช้ให้เกิด ประโยชน์อย่างไร เมื่อเกิดปัญหาควรจะชว่ ยแก้อย่างไร หรอื ควรปฏบิ ัติงานอย่างไรให้มีประสิทธิภาพมากท่ีสุด ใน ขณะเดียวกันก็ควรมีไหวพริบที่ดี เสนอแนะในสิ่งที่เป็นประโยชน์ แก้ปัญหาได้อย่างฉับไว ตลอดจนเป็นตัว สนับสนุนที่ดีอีกด้วย หากแม่ทัพได้ทหารในกองที่ไร้ประสิทธิภาพ ก็ยากที่กองทัพจะรบชนะด้วยแม่ทัพเพียงคน เดียว องค์กรก็เช่นกัน การที่บุคลากรทุกคนแข็งแกร่งตั้งแต่หัวหน้าไปจนถึงลกู น้อง ก็เป็นส่วนสำคัญอย่างย่ิงท่ีจะ ทำให้องค์กรพัฒนาได้อย่างมีศักยภาพและประสบผลสำเร็จ 3. การมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน คือการทที่ ุกคนต้องรว่ มขบั เคล่อื นองค์กรรว่ มกนั การทีส่ ามารถทำให้ ทกุ คนมีส่วนรว่ มได้จะทำให้ทุกคนรสู้ ึกเป็นส่วนหน่ึงขององค์กรและรว่ มผลักดันองค์กรใหก้ ้าวไปขา้ งหน้าด้วยความ เต็มใจ เมื่อทุกคนรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งขององค์กรแล้วทุกคนจะให้ความร่วมมือกันอย่างเต็มที่ ช่วยเหลือเกื้อกูล ไม่ เกี่ยงงอน หรือกล่าวโทษกัน ที่สำคัญทุกคนควรมีส่วนร่วมในการปฏิบัติงานขององค์กร กำหนดทิศทาง และแก้ไข ปัญหาทีเ่ กิดขึ้น การได้รบั พลังจากทุกคนร่วมกันนนั้ จะทำให้องค์กรก้าวไปขา้ งหน้าอย่างแข็งแกร่งอีกด้วย และการ ร่วมมอื กนั นั้นเป็นบอ่ เกิดแหง่ ความสามัคคี ซง่ึ น่คี ือหน่ึงสิ่งสำคัญของการทำงานร่วมกันในองค์กร 4. มีการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ แม้จะดูเป็นเรื่องเล็กน้อยแต่นั่นคือสิ่งที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งของการ ทำงานไม่ว่าจะอยู่ส่วนไหนขององค์กรก็ตาม การสื่อสารกันอย่างถูกต้อง ชัดเจน และทำความเข้าใจได้ง่าย จะทำ ให้ทกุ คนมองเห็นภาพตลอดจนทิศทางทจ่ี ะมุ่งตรงไปด้วยกัน และร่วมจบั มอื กันเดินไปอยา่ งมีพลงั ในขณะท่อี งค์กร ไหนมีการสื่อสารที่ผิดพลาด หรือมีการสื่อสารกันที่ไม่มีประสิทธิภาพ ก็อาจทำให้ทุกคนเข้าใจสารไม่ตรงกันได้ นำไปปฏิบัติผิด ก็ย่อมก่อให้เกิดผลเสียต่อองค์กรได้เช่นกัน หรือการสื่อสารที่ไม่สัมฤทธิ์ผลก็ทำให้บุคลากรขาด ความเขา้ ใจ หรือไมย่ นิ ดที ีจ่ ะร่วมมือขบั เคล่ือนองค์กร ย่อมทำให้องค์กรมีปัญหา และเกิดความล้มเหลวในทส่ี ดุ 5. การสร้างแรงจูงใจในการทำงาน เมอ่ื เราทำงานไปเร่ือยๆ ย่อมเกิดความเบื่อหน่ายและท้อได้ สิ่งหนึ่ง ท่จี ะชว่ ยพลกิ สถานการณ์ทุกอยา่ งให้ดีขนึ้ ไดก้ ็คือแรงจงู ใจท่ีดีในการทำงานน่นั เอง แรงจูงใจไม่ไดห้ มายถึงเรื่องของ เงนิ หรือสวัสดกิ ารณ์เสมอไป แต่ยงั รวมถึงการให้กำลังใจ คำชม รางวลั ตลอดจนสรา้ งแรงจูงใจในรูปแบบอนื่ ๆ ดว้ ย การสร้างแรงจูงใจที่ดีจะเป็นเสมือนน้ำหล่อเลี้ยงให้เรามีชีวิตชีวาขึ้นมาได้ หรือเป็นแรงฮึดให้เรามุ่งมั่นบรรลุ เป้าหมายทว่ี างไวไ้ ด้อย่างยอดเย่ียมทเี ดียว 6. การประเมินผล องค์กรที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่มักมีการประเมินผลการทำงานเสมอ และรู้จัก นำผลการประเมินมาปรับใช้ให้เกิดประโยชน์ การประเมินผลจะทำให้เรารู้ว่าสิ่งที่เรากำลังทำอยู่นั้นประสบ ความสำเร็จหรือไม่ มากน้อยเพียงไร มสี ่งิ ไหนทีเ่ ป็นจุดบกพร่อง มีสงิ่ ไหนทคี่ วรปรบั ปรุง หรือมีสิ่งไหนยอดเยี่ยมอยู่ แล้ว มีสิ่งไหนที่ควรจะเพิ่มเติมเข้าไปอีก ตลอดจนศักยภาพของบุคลากรที่ทำนั้นเป็นอย่างไร เป็นต้น เมื่อนำการ ประเมินผลในส่วนต่างๆ มาใช้ให้เกิดประโยชน์ก็จะเกิดการพัฒนายิ่งๆ ขึ้นไป การประเมินผลจึงเป็นส่วนสำคัญ หนึ่งทจ่ี ะใช้เปน็ บรรทดั ฐานในการวัดมาตรฐานตลอดจนชว่ ยพฒั นาองค์กรใหก้ ้าวหน้าย่ิงขึน้ ไปได้ 7. การฝึกอบรมและพัฒนาศักยภาพ คือกระบวนการหนึ่งของการพัฒนาบุคลากรในองค์กรให้มีความรู้ ความสามารถตลอดจนพัฒนาศักยภาพให้ดีขึ้น แน่นอนว่ามันเป็นจุดเริ่มต้นที่จะทำให้องค์กรเกิดการพัฒนาได้ อย่างมีประสิทธิภาพดว้ ยนน่ั เอง การทีเ่ รามุ่งจะพัฒนาองค์กรใหด้ ีขึ้นนั้นก็ควรใส่ใจในการพัฒนาศักยภาพบุคลากร ดว้ ยการฝกึ อบรมต่างๆ ท้ังแบบเป็นทางการและไม่เป็นทางการ เพอื่ ให้บคุ ลากรรักทจ่ี ะพัฒนาตนเองอยู่เสมอ รายวชิ า : ยทุ ธศาสตร์การบรหิ ารอาชีวศกึ ษาและเทคนิคศกึ ษา (020617220)

5 เอกสาร : รายงานสรุปการคน้ ควา้ เพ่ิมเตมิ ในหวั ขอ้ ทสี่ นใจ ❖ แนวคิดการวางแผนกาลงั คนยคุ ใหม่ (: เอกสาร 4) โลกท่ีกำลังทรานส์ฟอร์มสู่ยุคใหม่ ยุคท่ีเปลี่ยนวิถีชีวิตการทำงานและการทำธุรกิจของผู้คนทั่วโลก วิกฤติโรคระบาดโควิด-19 เป็นหนึ่งในตัวผลักดันสำคัญที่ทำให้ทุกอย่างบนโลกเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิม วิกฤติครั้งนี้ บีบให้การทรานส์ฟอร์มในหลายด้านเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วกว่าที่คาดไว้ งานวิจัยจากมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด และองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา หรือ OECD คาดการณ์ไว้ว่า ครึ่งหนึ่งของตำแหน่งของงานทั้งหมดในปัจจุบันจะหายไปภายในหน่ึงทศวรรษ แต่จะมีการสร้างงานใหม่ที่มีคุณค่ามากกว่าเดิมเข้ามาแทนที่องค์กรต่างๆ จึงจำเป็นต้องมีผู้นำที่มีศักยภาพ เพ่ือนำพาให้ทุกฝ่ายก้าวหน้าไปพร้อมกัน โดยเฉพาะผู้นำท่ีต้องเข้าใจเทคโนโลยี และการเปลี่ยนไปของโลก กุญแจสำคัญในการดำเนนิ ธุรกิจน้ัน คือ คุณภาพ ความสามารถของพนักงาน และจำนวนกำลังคนท่ี เหมาะสมกับงาน หากกำลังคนไม่สอดคลอ้ ง มากไป กค็ า่ ใชจ้ ่ายสูง ปัญหาดา้ นคนทำงานมาก คนทำงานน้อยจะ ตามมา นอ้ ยเกินไป งานโหลดส่งผลตอ่ อารมณ์ ความเครยี ด และบรรยากาศการทำงาน ท่สี ำคัญอาจเสียโอกาส ทางธรุ กจิ เพราะไม่มกี ำลงั คนเพียงพอต่อการผลิตสนิ คา้ และบริการ สถานการณเ์ ปลย่ี นเรว็ มาต้อง “เตรียมการ ล่วงหน้า” ไม่ใช่ “แก้ปัญหาเฉพาะหน้า” “คน” เป็นทรัพยากรที่มีคุณค่าขององค์กร “ต้องพร้อมเพื่อการ แขง่ ขนั ” ซึง่ กำลังคนยคุ ใหม่ต้องมีลักษณะดงั ต่อไปน้ี ลักษณะของกำลงั คนท่สี ังคมยคุ ใหมต่ ้องการ ประเดน็ ท่ี 1 LOCAL GLOBAL โลกยุคใหม่กำลังคนต้องทำงานที่ไหนก็ได้บนโลก จากการทำงานในพื้นที่ถิ่นฐานก็จะก้าวออกไป ทำงานกับคนต่างภาษาต่างวัฒนธรรม มนุษย์ต้องพัฒนาศักยภาพของตนเอง จะต้องเรียนรู้ภาษา เรียนรู้ วัฒนธรรม เรียนรูเ้ ทคโนโลยี เรียนรสู้ ่งิ แวดล้อมของแตล่ ะสงั คม ประเดน็ ท่ี 2 INDIVIDUAL TEAMWORK โลกอนาคตการทำงานคนเดียวจะทำให้เราประสบความสำเร็จได้ช้าหรือไม่ประสบความสำเร็จเลย เพราะโลกอนาคตการทำงานเป็นทีมมคี วามสำคัญ เพราะเครื่องมือ เครื่องจักรเทคโนโลยี ต้องอาศัยการผสาน ความร่วมมือกันในการทำงานที่ต้องทำต่อเนื่องกัน เพราะฉะนั้นกำลังคนยุคใหม่ต้องเข้าใจวัฒนธรรม ภาษา ตรงต่อเวลา มวี นิ ยั มีความเอือ้ อาทรตอ่ กัน เขา้ ใจเทคนคิ กระบวนการต่าง ๆ ทต่ี ้องทำต่อเนอ่ื งกนั ประเดน็ ท่ี 3 BODY BRAIN โลกอนาคตมนษุ ยจ์ ะมเี ฉพาะร่างกายท่ีแขง็ แรงอยา่ งเดียวไม่ได้ ตอ้ งมที งั้ สตปิ ญั ญาที่ดี (IQ) อารมณ์ที่ ดี (EQ) และสงั คมทด่ี ี (SQ) ตอ้ งพฒั นาความสามารถในการคิด วเิ คราะห์ เขา้ ใจปญั หาต่าง ๆ ฝึกทำงานเป็นทีม ร้จู กั แกป้ ญั หา เรียนรูต้ ลอดเวลา มีความคิดสร้างสรรค์ ประเดน็ ที่ 4 INSIDE-OUT OUTSIDE-IN โลกอนาคตการยึดตัวเองเปน็ หลกั จะไม่ประสบผลสำเร็จ เพราะส่ิงแวดลอ้ มภายนอกน้ันเปลี่ยนแปลง ตลอดเวลาไม่ว่าจะเป็น หน่วยงาน สังคม ประเทศ สิ่งแวดล้อม เทคโนโลยี วิธีคิด หลักสูตรการเรียนรู้ มนุษย์ ต้องมองจากเหตุภายนอกเข้ามาหาตวั เรา แล้วปรับตัวเราใหเ้ ข้ากับภายนอก ก็จะทำให้เกิดการพัฒนาศักยภาพ ของตนไดอ้ ยา่ งต่อเนอ่ื ง รายวชิ า : ยทุ ธศาสตร์การบรหิ ารอาชวี ศึกษาและเทคนคิ ศกึ ษา (020617220)

6 เอกสาร : รายงานสรปุ การคน้ ควา้ เพ่มิ เตมิ ในหัวขอ้ ทส่ี นใจ ลักษณะของกำลังคนที่สังคมยุคใหม่ต้องการ 5 ประเด็น 1. ต้องทำงานที่ไหนก็ได้บนโลก ใบนี้ 2. ทำงานเป็นทีม 3. มีสติปัญญาที่ดี (IQ) อารมณ์ที่ดี (EQ) และสังคมที่ดี (SQ) 4. มองจากเหตุภายนอกเข้า มาหาตวั เรา แล้วปรบั ตวั เราใหเ้ ข้ากบั ภายนอก ซง่ึ ท้ัง 5 ประเดน็ สามารถนำมาใช้ในการวางแผนกำลงั คนยุคใหม่ เทคโนโลยี กำลังมาแย่งงานของมนุษย์ที่เคยทำกันมาหลายสบิ ปีที่ผ่านมา และมาอย่างรวดเร็ว สิ่งท่ี จะต้องทำก็คือต้องพัฒนาทักษะ หรือที่เรียกว่า Re-skill และ Up-skill เพิ่มความสามารถในการทำงาน โดยท่ี การ Re-skill คือ การกลับไปเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ เพื่อขยับขยายการทำงานที่แตกต่างออกไปจากเดิม (เพราะงาน เดิมอาจไม่มีอีกต่อไป) ส่วน Up-skill คือ การยกระดับตัวเองให้มีความสามารถสูงขึ้นแต่นอกเหนือจากการ พัฒนาทักษะการทำงานแล้ว สิ่งที่หลายคนมองข้าม แต่สำคัญไม่แพ้กันคอื การพัฒนาทักษะดา้ นความคิด เชน่ Growth Mindset การพัฒนากรอบความคิดหรือ Emotional Inteligence หรือการพัฒนาความฉลาดทาง อารมณ์ ➢ แนวทางการนำไปใชป้ ระโยชน์ คนทำงานยุคน้ี อยบู่ นพื้นฐานของ “ความไม่แน่นอน” ช่วงหลายสิบปกี ่อนหน้านี้เราทำงานบนระบบที่ พัฒนามาจากยุคปฏิวตั ิอุตสาหกรรม เรียนรู้ทักษะจากสถานศึกษาเพื่อมาทำงานแบบเดิม ๆ คล้ายๆ กันทุกวัน เป็นกิจวัตร จนกระทั่งก้าวเข้าสู่ยุคที่เรียกว่า Digital Transformation เทคโนโลยี เริ่มตั้งแต่เครื่องจักร หุ่นยนต์ และ เอไอ กำลังเข้ามาแทนที่การทำงานหลาย ๆ ส่วน คนจะตกงานมากขึ้นเรื่อย ๆ นี่เป็นเพียง จุดเริ่มต้น เพราะคนทำงานต่างกำลังสับสนและสงสัยว่า อนาคตการทำงานในอนาคตจะเป็นอย่างไร และทุก อย่างเปลยี่ นแปลงเร็วมาก จนหลายคนอาจต้งั ตวั ไมท่ นั นนั่ ทำให้เกิดคำว่า New Workforce ข้นึ หมายความว่า คนทำงานยคุ ใหม่ ที่เตรียมพร้อมรับกับความเปลีย่ นแปลงท่กี ำลงั เกดิ ขึน้ อย่างไม่สนิ้ สดุ การล็อกดาวน์และเศรษฐกิจถดถอยจากวิกฤติโรคระบาดในช่วงที่ผ่านมาจนถึงวันนี้ ส่งผลกระทบ เขย่าให้เกิดการเปล่ียนแปลง ทั้งวิถีการทำงาน และการใช้ชีวิตของคนเป็นอย่างมาก ทักษะการทำงาน และ การใช้ชีวิตยุคใหม่ มีความจำเป็นมากขึ้นในยุคที่โลกไม่เหมือนเดิม เราได้เห็นองค์กรธุรกิจตื่นตัว เสาะหา โมเดลธุรกิจใหม่ที่ตอบโจทย์ความต้องการที่ไม่เหมือนเดิมของคน เกิดบริการใหม่มากมายที่เราคาดไม่ถึง ช่วงล็อกดาวน์ แต่กลายเป็นบริการที่ได้รับความนิยมจนถึงปัจจุบัน อะไรที่คิดว่าทำไม่ได้ในโลกที่ไม่มีโรค ระบาด แต่วันนี้หลายอย่างเกิดขึ้นและดำรงอยู่จนกลายเป็น New Normal ความปกติในรูปแบบใหม่ สร้าง ให้หลายธุรกิจที่ตอบโจทย์ได้ มียอดขาย ทำกำไรได้มากกว่าช่วงเวลาปกติ สิ่งนี้ทำให้หลายองค์กรธุรกิจ เห็นความสำคัญในการ reSkills หรือปรับทักษะใหม่ ควบคู่ไปกับการ เพิ่มทักษะ หรือ upSkills ให้พนักงานตัวเอง เพื่อให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงในวิถีการทำงาน การคิดเชิง ธุรกิจแบบนอกกรอบ ซ่ึงต้องใช้ทักษะด้านเทคโนโลยี วิเคราะห์ข้อมูล องค์ความรู้เอไอ หรือปัญญาประดิษฐ์ ความคิดเชิงสร้างสรรค์ ทักษะคิดเชิงวิเคราะห์ ทักษะการแก้ปัญหาที่ซับซ้อน รวมถึงทักษะความเป็นผู้นำ ซึ่ง จำเป็นอย่างมาก ดังนั้น จึงเป็นอีกเรื่องสำคัญที่เราจำเป็นต้องทุ่มงบประมาณ เพื่อให้ประชาชนในประเทศมีทักษะที่ รองรับการเปลี่ยนแปลงของโลกได้ และยังเป็นการแก้ปัญหาทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม ที่อาจเกิดขึ้นจาก การว่างงาน หรือวิกฤติเศรษฐกิจหนักๆ อีกในอนาคต ซึ่งจะเป็นปัญหาอย่างมากหากประชากรส่วนใหญ่ของ ประเทศไม่สามารถปรับทักษะได้ทัน รายวิชา : ยุทธศาสตร์การบริหารอาชวี ศกึ ษาและเทคนคิ ศกึ ษา (020617220)

7 เอกสาร : รายงานสรุปการคน้ ควา้ เพิม่ เตมิ ในหัวข้อท่ีสนใจ ❖ Learning Outcomes (ผลลพั ธก์ ารเรียนรู้ : เอกสาร 5) Learning Outcomes หมายถึง เกณฑบ์ ง่ ชี้คณุ ลักษณะการเรียนรู้และผลของการเรียนรู้ท้ังท่ีเกิดขึ้น จากกระบวนการเรียนรู้ตามมาตรฐานการเรยี นรูข้ องหลกั สูตรที่กำหนดไว้ในแตล่ ะระดบั และประเภทการศึกษา และ/หรือประสบการณ์ที่เกิดขึ้นจากฝึกปฏิบัติและ/หรือจากการทำงาน ประกอบด้วย 3 มิติ ได้แก่ 1) ความรู้ (Knowledge) หมายถึงความรู้เกี่ยวกับข้อเท็จจริง หลักการ ทฤษฎี และแนวปฏิบัติต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับ สาขาวิชาที่เรียน/ทำงาน โดยเน้นความรู้เชิงทฤษฎีและ/หรือข้อเท็จจริงเป็นหลัก 2) ทักษะ (Skills) หมายถึง ความสามารถปฏิบัติงานซึ่งบุคคลนั้นควรทำได้เมื่อได้รับมอบหมาย โดยสามารถเลือกใช้วิธีการจัดการและ แก้ปัญหาการทำงาน ด้วยทักษะด้านกระบวนการคิด (Cognitive Skills) ที่เกี่ยวข้องกับการใช้ตรรกะ ทักษะ การหยั่งรู้และความคิดสร้างสรรค์ (Logical, Intuitive, and Creative Thinking) หรือทักษะการปฏิบัติ/วิธี ปฏิบัติที่มีความคล่องแคล่วและความชำนาญในการปฏิบัติตามกรอบคุณวุฒิแต่ละระดับ 3) ความสามารถใน การประยุกต์ใช้และความรับผิดชอบ (Application and Responsibility) หมายถึงความสามารถของบุคคลท่ี เกิดจากกระบวนการเรียนรู้ การใช้ความรู้ ทักษะทางสังคม ในการทำงาน/ศกึ ษาอบรม เพื่อการพัฒนาวิชาชพี ของบุคคล ซึ่งประกอบไปด้วยความสามารถในการสือ่ สาร ภาวะผู้นำ ความรับผิดชอบ (Responsibility) และ ความเป็นอิสระ (Autonomy) ในการดำเนินการต่างๆได้ด้วยตนเอง เช่น ความสามารถในการตัดสินใจและ ความรบั ผดิ ชอบต่อตนเองและผ้อู ืน่ สมรรถนะ (Competency) หมายถึง ความสามารถในการปฏิบัติงานที่เกิดจากการประยุกต์ใช้ ความรู้ ทักษะ และคณุ ลักษณะทพ่ี ึงประสงค์ ซง่ึ แบ่งเป็น ๒ ส่วน คอื 1) สมรรถนะแกนกลาง (Core Competency) หมายถึง ความรู้ ทักษะ และคุณลกั ษณะทั่วไปท่ีใช้ ใน การปฏิบัติงาน เช่น การสื่อสาร การคำนวณ การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ การคิดวิเคราะห์ การแก้ปัญหา และ การทำงานเป็นทีม เป็นต้น 2) สมรรถนะอาชีพ (Occupational Competency) หมายถึง ความรู้ ความสามารถและทักษะ เฉพาะในการปฏิบตั ิงานในแตล่ ะสาขางานหรอื สาขาวชิ าชีพ (Functional Competency) กรอบการศกึ ษาท่มี ุง่ ผลลัพธ์ ผลลัพธ์การเรยี นรู้ในแต่ละระดบั การทวนสอบ การประเมินระดบั สถาบัน ระดบั สถาบัน การพฒั นา คอื วิสัยทัศน์และพนั ธกิจ ปรับปรงุ การประเมินระดับหลกั สูตร ระดบั หลักสูตร การวางแผพนนั รายวิชา การประเมนิ ระดบั วชิ า คือ ผลการเรียนรขู้ องผู้เรยี น -เทคนิคการสอน พนั ตัวชี้วดั สมรรถนะและแผนท่หี ลกั สตู ร -กิจกรรมการสอน พนั -การประเมินผล ระดับพรานั ยวชิ า พนั ผลลพั ธ์การเรียนรรู้ ายวชิ า พนั รายวิชา : ยุทธศาสตร์การบรหิ ารอาชีวศกึ ษาและเทคนคิ ศึกษา (020617220)

8 เอกสาร : รายงานสรปุ การคน้ ควา้ เพ่มิ เตมิ ในหัวขอ้ ทส่ี นใจ โดยสรุปได้ว่า Learning Outcomes คือ พฤติกรรมที่ผู้เรียนสามารถแสดงออกเป็นรูปธรรมและ สามารถวัดและประเมินผลได้ ผลลัพธ์การเรียนรู้เป็นความสำเร็จ ของผู้เรียนหลังจากจบการเรียนรู้ในแต่ละ บทเรียน ชุดวิชา รายวิชา กิจกรรมเสริมหลักสูตร และหลักสูตร อีกนัย หนึ่งคือ สิ่งที่ผู้เรียนต้องสามารถทำได้ หลังกระบวนการการเรียนรู้แต่ละบทเรียน รายวิชา หลักสูตร ฯลฯ โดย พฤติกรรมเหล่านั้นเป็นสิ่งที่ผูเ้ รียนไม่ เคยทำได้มาก่อนและหรือได้รับการพัฒนาให้ดีขึ้น ผลลัพธ์การเรียนรู้ที่นอกจากจะต้องเป็นพฤติกรรมที่ผู้เรียน ต้องทำได้ สำเร็จ สามารถวัดและประเมนิ ผลได้ ผลลัพธ์การเรียนรูใ้ นหลักสูตรหนึ่งๆ ต้องมีความเชื่อมโยงและ สมั พันธก์ ันในทุกระดบั ต้งั แต่บทเรยี น รายวชิ า หลักสูตร ฯลฯ ➢ แนวทางการนำไปใชป้ ระโยชน์ การออกแบบกระบวนการเรียนรู้เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ระดับใด และจะใช้วิธีใด ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ การเรียนรู้หรือผลลัพธ์การเรียนรู้ที่คาดหวังในแต่ละวิชานั้น โดยมีหลักในการจัดการเรียนการสอน เป็นการ ตอบคาํ ถามสำคญั 3 ประเด็น คือ 1. ต้องการให้เกดิ อะไรขึ้นกับผู้เรียน ซึ่งจะนําไปสู่การกำหนดผลลพั ธ์การเรียนรู้ และวัตถปุ ระสงคเ์ ชิง พฤติกรรม 2. ทำอย่างไรใหบ้ รรลุเป้าหมาย ซง่ึ จะนาํ ไปสกู่ ารออกแบบวธิ จี ัดการเรยี นการ สอน และสือ่ การสอน 3. รู้ได้อย่างไรว่าบรรลุเป้าหมายหรือไม่ ซึ่งจะนําไปสู่การออกแบบวิธีการวัด ประเมินผล และ เครอ่ื งมือที่ใช้ในการวดั ประเมนิ ผล การออกแบบกิจกรรมการสอน ควรเน้นใหเ้ หน็ ความเชื่อมโยงของกิจกรรมและผลการเรียนรู้ (Learning Outcome: LO) ของผู้เรยี นท่ีพึงประสงค์ จะทำใหเ้ กิดรูปแบบการวัดและประเมินผลการเรยี นรู้ของผู้เรียนเชิง ประจักษ์นำไปสู่การสร้างเกณฑ์การประเมินออกมาได้ในรูปของระดับคะแนนที่สามารถแบ่งแยกระดับ ความสามารถของผูเ้ รยี นในกิจกรรมนัน้ ๆไดอ้ ยา่ งเทีย่ งตรง หลกั การออกแบบการจดั การเรียนรแู้ บบเนน้ ผลลัพธ์ คือ 1. ใหผ้ เู้ รียน ได้ใชค้ วามคิด อยเู่ สมอ 2. ให้ผู้เรยี นมีประสบการณต์ รงมากที่สุด 3. ให้ผู้เรียน ไดท้ ำงานกลมุ่ 4. เน้นให้แก้ปัญหา วเิ คราะห์ ทา้ ทาย 5. ใชเ้ ทคนิคและสื่อทีห่ ลากหลาย 6. เปิดโอกาสให้ผู้เรยี นไดแ้ สดงความคดิ เห็นอยูเ่ สมอ 7. ใชเ้ ทคนคิ จูงใจ และเสรมิ แรง 8. ประเมินผล การเรียนตลอดเวลา การประเมินตามผลลัพธก์ ารเรียนรู้ แบง่ ออกเป็น 3 โดเมน คอื ด้านปัญญา ทกั ษะ และเจตคติ หลกั ฐานการเรยี นรู้ 1. หลักฐานทางตรง เช่น คะแนนทักษะจากสหกิจศกึ ษา การตอบคำถาม แบบสะท้อนการเรียนรู้ของ นกั ศึกษา การสังเกตพฤติกรรมของนกั ศึกษาในชนั้ เรียน ผลงานของผู้เรยี น 2. หลักฐานทางอ้อม เช่น เกรดรายวชิ า ความพงึ พอใจของศิษย์เกา่ รางวลั หรอื ทุนท่ีนักศึกษาได้รบั จากการเข้าร่วมแข่งขนั ตา่ งๆ อัตราการจา้ งงาน 3. หลักฐานจากกระบวนการเรยี นรู้ เชน่ แผนการสอน หลกั สูตร กิจกรรมตา่ งๆ สนทนากลุ่มหรือ สัมภาษณน์ กั ศึกษาวา่ ประสบความสำเร็จในการเรียนด้านใดบ้าง กจิ กรรมในหอ้ งสมดุ ทีเ่ กี่ยวโยงกบั หลักสูตร รายวิชา : ยทุ ธศาสตร์การบริหารอาชีวศกึ ษาและเทคนคิ ศึกษา (020617220)

9 เอกสาร : รายงานสรุปการคน้ ควา้ เพิ่มเตมิ ในหัวข้อท่สี นใจ ❖ Smart University/Campus (มหาวิทยาลัยอจั ฉริยะ : เอกสาร 6) มหาวิทยาลัยอัจฉริยะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นใหม่และมีการพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเป็นการผสมผสาน แนวคิดเชิงนวัตกรรม สร้างสรรค์ ซอฟแวร์อัจฉริยะ และระบบการจัดการที่เข้มแข็ง ห้องเรียนอัจฉริยะพร้อม ด้วยแพล็ตฟอร์มที่มีเทคนิคที่ทันสมัย ภายใต้การจัดการสอนทีช่ าญฉลาดโดยใช้กลยุทธก์ ารสอนที่ทนั สมัยและ การเรยี นรู้ทสี่ มบูรณ์ การเรยี นรู้อยา่ งชาญฉลาดและมคี วามเป็นวชิ าการ กลยุทธ์สถานศึกษาอัจฉรยิ ะ (Smart Campus Strategy) กลยุทธ์สถานศึกษาอัจฉริยะ ประกอบด้วย 6 องคป์ ระกอบ ดังต่อไปน้ี 1. กลยุทธ์ของสถานศึกษา 2. บคุ ลากรและแผนกงานตา่ งๆตอ้ งมีความเชี่ยวชาญ 3. เครอื ข่ายความร่วมมือภาคอุตสาหกรรม 4. นวัตกรรม 5. เครอื ข่ายชมุ ชนผู้มสี ่วนได้สว่ นเสีย 6. นกั เรยี นนกั ศึกษา สถานศกึ ษาอจั ฉรยิ ะ (Smart Campus) ตอ้ งสามารถจัดการใน 4 เรอ่ื งตอ่ ไปน้ี ใหไ้ ดผ้ ลดีหรือประสบ ความสำเร็จ คือ ด้าน ดา้ น วิชาการ การเงิน ด้าน ดา้ นสงั คม สิ่งแวดล้อม 1. ด้านวิชาการ ประกอบด้วย การจัดสภาพแวดล้อมทีเ่ อื้อต่อการจดั การเรียนรู้ และ อาคารอัจฉริยะ ท่ีมคี วามทันสมัย 2. ด้านการเงิน ประกอบดว้ ย กระบวนทางธรุ กิจและดา้ นพืน้ ที่การใหบ้ รกิ าร 3. ด้านสังคม ประกอบด้วย ความปลอดภัยและความมั่นคง การขนส่งและการจราจร กิจกรรมต่อ สงั คม กจิ กรรมกฬี า และดา้ นที่อยู่อาศัย 4. ด้านสิ่งแวดล้อม ประกอบด้วย การจัดการขยะ ลานจอดรถ สุขภาพและการออกกำลังกาย การ จัดการนำ้ และการบรกิ ารทสี่ ำคัญตามความต้องการหรือความจำเป็น การเปลี่ยนแปลงของมหาวิทยาลัย จากแบบดั้งเดิมเป็นมหาวิทยาลัยที่มีความทันสมัยหรือ มหาวทิ ยาลยั อัจฉรยิ ะ (Transformation from a Traditional University into a Smart University) มอี งคป์ ระกอบท่สี ำคญั 3 ด้าน คือ 1.เทคโนโลยี 2. บุคลากร และ 3. สถาบันการศึกษา รายวิชา : ยุทธศาสตร์การบรหิ ารอาชวี ศกึ ษาและเทคนคิ ศกึ ษา (020617220)

เอกสาร : รายงานสรปุ การคน้ ควา้ เพ่ิมเตมิ ในหัวข้อทสี่ นใจ 10 - Curriculum /หลักสูตร เทคโนโลยี - Infrastructure /โครงสรา้ งพน้ื ฐาน - Classroom /หอ้ งเรยี น สถาบัน - Software /ซอฟต์แวร์ - Campus /สถานศึกษา - Network /เครือขา่ ย - Faculty /สาขาท่ีทำการสอน - Data /ข้อมลู - Learning Environment / ส่ิงแวดล้อมในการเรยี นรู้ ครู/นร.นศ. - Policy Provider /ผูก้ ำหนดนโยบาย - Administrators /ผดู้ แู ลระบบ - Students /นักเรยี น - Lecturers /ผสู้ อน - Personnel /บุคลากร - Quality manager /คุณภาพของผู้บรหิ าร - Service Receivers /ผ้รู บั บรกิ าร - Security Staff /เจ้าหนา้ ท่ีรักษาความปลอดภยั ➢ แนวทางการนำไปใชป้ ระโยชน์ ในฐานะข้าพเจ้าเป็นผู้บริหารในสถานศึกษาประเภทอาชีวศึกษา มีความคิดเห็นว่าควรนำความรู้ที่ ได้รบั ไปปรับประยกุ ตใ์ ชใ้ ห้เกิดประโยชนต์ ่อสถานศกึ ษา ชุมชน ดงั นี้ การนำไปส่งเสริมให้เกิดการพัฒนานวัตกรรมที่เชื่อมโยงกับการเรียนการสอน การวิจัย ตามแนวทาง การขับเคลื่อน วิทยาลัยให้เป็นวิทยาลัยแห่งนวัตกรรม (Innovation driven campus) ส่งเสริมการใชเ้ กิดการ ใช้นวัตกรรมทางการศึกษา (EdTech) ในการจัดการการเรียนการสอนในสถานศึกษาและเป็นแบบอย่างแก่ สถานศึกษาอาชีวศึกษาใกล้เคียงทั้งภาครัฐและเอกชน โดยส่งเสริมให้เกิดการร่วมกันคิดและวางแผนกับกลุ่ม วิจัย Digital cluster เพื่อให้ส่วนที่เป็นงานวิจัย ไม่ต้อง ซ้ำซ้อนกัน ส่งเสริมการนําเทคโนโลยีมาใช้อํานวย ความสะดวก ลดการใช้พลังงาน รักษาสิ่งแวดล้อมและส่งเสริมการใช้งานพลังงานทางเลือกด้วยเทคโนโลยี (Campus safety, security & energy saving) และ ส่งเสริมให้เกิดการใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อเพม่ิ ประสทิ ธิภาพในการบรหิ ารงานและการติดต่อสื่อสาร (Campus Management & Communication) เพอื่ ให้ วทิ ยาลยั เปน็ Smart college campus. - - - 999 999 999 - - - รายวชิ า : ยทุ ธศาสตร์การบริหารอาชวี ศกึ ษาและเทคนคิ ศกึ ษา (020617220)

ส่วนที่ 2 การค้นคว้าเพิ่ มเติม

11 เอกสาร : รายงานสรุปการคน้ ควา้ เพ่มิ เตมิ ในหัวข้อที่สนใจ แนวทางการพัฒนาการศึกษาระดับอาชีวศึกษา ให้ตอบโจทย์การ พัฒนา Learning Society ของประเทศไทย..สูค่ วามสาเรจ็ !!! ในยุคสังคมแห่งการเรียนรู้ การจัดการศึกษาต้องปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์ รูปแบบและวิธีการเพื่อให้ สนองตอบต่อความต้องการของผู้เรียน และสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติ การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ที่มุ่งพัฒนาคนให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์เรียนรู้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต (สำนักงานคณะกรรมการ การศึกษาแห่งชาติ, 2542) ประกอบกับการให้ความสำคัญกับการจัด การศึกษาที่มุ่งให้เกิดการเรียนรู้ตลอด ชีวิตและมุ่งสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ สถานศึกษาจึงจำเป็น จะต้องเป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ (Learning Society) ท่ีทง้ั สรา้ งความมนั่ ใจให้เกิดการพัฒนาอยา่ ง ต่อเนือ่ งในภารกิจทางการศึกษา และสอนให้นักเรียนทำ หน้าที่อย่างดีที่สุดในสังคม (Keatings, 1998: 706-707) เพราะสถานศึกษาต้องเผชิญหน้ากับสังคมและ สภาพการเปลี่ยนแปลงขององค์การจึงจำเป็น จะต้องปรับเปลี่ยนสังคมแห่งการเรียนรู้ (Devos, Broeck & Venderheyden, 1998: 701) นอกจากนั้น สถานศึกษายังต้องทบทวนภารกิจเสียใหม่ โดยพิจารณาถึง รูปแบบและโครงสร้างที่ส่งเสริมการเรียนรู้ ที่จะไปเติมเต็มสังคมแห่งการเรียนรู้ และปรับตัวให้เหมาะสมกับ สภาพสงั คมท่ีกำลงั เปลี่ยนแปลง (Strain, 2000: 286) ❖ Learning Society คืออะไร? Learning Society หรือ สังคมการเรียนรู้ จากการสืบค้นพบว่ามีนักการศึกษาหลายคนได้ให้ ความหมายของ สงั คมแห่งการเรยี นรไู้ ว้หลากหลายทศั นะ ซึ่งผู้ศึกษาไดร้ วบรวมทนี่ ่าสนใจไวด้ ังนี้ Drucker (1995: 52-53) ได้ให้ความหมายของสังคมแห่งความรู้ว่า เป็นสังคมที่ ประกอบด้วย องคก์ ารซงึ่ มีแกน่ สาระสำคัญอยู่ที่การจัดการ และสังคมทพ่ี ึงปรารถนาก็มิใชเ่ ป็นเพียง สงั คมแห่งข้อมูลข่าวสาร (Information) แต่ต้องเป็น “สังคมแห่งการเรียนรู้” ที่คนในสังคม มีการเรียนรู้ตลอดเวลา เป็นสังคมที่ผู้มี ความรู้จะไม่เก็บความรู้ไว้ แต่จะนำเสนอความรู้คือ สร้างสารสนเทศและแพร่กระจายสู่สังคม จะเป็นวัตถุดิบ หรือเชื้อความรู้ที่คนในสังคมจะคัดเลือก ในส่วนเนื้อหาที่ต้องการเพื่อนำไป ต่อยอดความรู้แล้วสร้างเป็น สารสนเทศแพรก่ ระจายสสู่ งั คม Hoy and Miskel (2001: 45) ได้ให้ความหมายไว้ว่า องค์การแห่งการเรียนรู้หมายถึง องค์การท่ี สมาชิกได้พัฒนาขยายขีดความสามารถของตนเพื่อสร้างสรรค์ และการบรรลุเป้าหมาย แห่งงานอย่างต่อเนื่อง สมาชิกขององค์การได้เรียนรู้ซึ่งกันและกัน และองค์การเองได้มีการขยาย ศักยภาพเพื่อการแก้ปัญหาและ สร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่อยา่ งตอ่ เนือ่ ง ประเวศ วะสี (2555) อธิบายความหมายของ “สังคมแห่งการเรียนรู้” ในหนังสือสู่สังคม การเรียนรู้ ปฏริ ปู ทางปญั ญาพาชาติออกจากวิกฤต ว่าเปน็ สภาวะแวดล้อมในสังคมทจ่ี ำเปน็ ต่อ การเรียนรู้ตลอดชีวิต ตาม เป้าหมายของการปฏิรูปการศึกษา คุณลักษณะของสังคมแห่งการเรียนรู้ หมายรวมถึงจิตสำนึกแหง่ การเรียนรู้ ประชาชนทุกวัยมีจิตสำนึกรักการเรียนรู้ ซึ่งจำเป็นต้องรณรงค์ ปลูกจิตสำนึกรักการเรียนรู้ให้เยาวชนและ ประชาชนต่นื ตัวจนซึมซับกลายเป็นค่านิยม รายวชิ า : ยทุ ธศาสตร์การบริหารอาชีวศกึ ษาและเทคนิคศกึ ษา (020617220)

12 เอกสาร : รายงานสรปุ การคน้ ควา้ เพ่ิมเตมิ ในหัวข้อทส่ี นใจ วิเชยร อนิ ทะสี (2565: ออนไลน์) อธิบายความหมายของสังคมการเรยี นรู้ วา่ 1. สังคมการเรียนรู้ คือ สังคมที่สมาชิกต้องการเพ่ิมพูนความรู้ให้สูงขึ้น หรือได้รับการฝึกอบรมให้มี ความชำนาญเหมาะสมกับงาน โดยวิธีการศึกษาและการฝกึ อบรมอย่างต่อเนื่อง และเป็นไปตลอดชวี ติ ผลของ การเขา้ ร่วมกิจกรรมดังกล่าว ทำใหบ้ คุ คลเหลานั้นมความสามารถในการวิพากษว์ ิจารณ์ หรอื ให้ความเห็นอย่าง มสี าระสำคัญ และนำความรู้และประสบการณ์ท่ไี ด้ไปใช้ในการยกระดับคุณภาพชีวติ 2. การศึกษาเป็นวิธีการที่ดีเลิศและเป็นธรรมที่จะนำไปสู่ความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ และความกลม เกลยี วทางสังคม 3. สังคมแห่งการเรียนรู้ ควรมีลักษณะ 1) ให้การศึกษาแกค่ นทุกวยั 2) สร้างโอกาส ใหเกดิ การเรียนรู้ ตลอดชีวิต (lifelong learning) 3) สนับสนุนและตระหนักถึงความสำคัญของการศึกษาตามอัธยาศัยและ การศกึ ษาดว้ ยตนเอง 4. สังคมแห่งการเรียนรู้ถือเป็นรูปแบบหนึ่งที่ทำให้การกระจายทรัพยากรไปสู่คน ส่วนใหญ่ (หมายถึง คนทอ่ี อกจากโรงเรียนไปแลว้ มีจำนวนมากกว่าคนท่อี ยู่ใน ระบบโรงเรียน) 5. ในแต่ละวันถือว่าทุกคนต่างอยู่ในกระบวนการเรียนรู้ตลอดชีวิต อาทิเช่น การเผชิญการ เปลี่ยนแปลงซึ่งเกิดขึ้นในที่ทำงาน การพูดคุยหรือพบบุคคลที่ไม่รู้จักกันมาก่อน การทำกิจกรรมเพื่อพักผ่อน หย่อนใจ อาทเิ ช่น การฟังวิทยุและดูโทรทศั น์ เป็นตน้ องค์กรความร่วมมือทางเศรษฐกิจและพัฒนา (Organization for Economic Cooperation and Development) ใหค้ วามหมายเก่ยี วกับความร้วู ่า เป็นสังคมทีร่ ะบบเศรษฐกจิ ตอ้ งอาศัย การสร้างความรู้ สร้าง นวัตกรรมการเผยแพร่ความรู้ และการใช้ความร้เู ป็นตัวขบั เคล่ือนหลักท่ที ำให้ เกดิ การเจริญเติบโต สร้างความ มั่นคงและสร้างงานในทุกภาคการผลิต ทั้งภาคเกษตรกรรม 13 ภาคอุตสาหกรรมและบริการ โดยความรู้ใน สังคมจะแบ่งออกเปน็ 4 ประเภท กล่าวคือ ประเภทที่หนึ่ง Know-what เป็นความรูท้ ี่เป็นข้อเท็จจริง (Facts) เปน็ ความร้ใู นลกั ษณะข้อมลู ประการทส่ี อง Know-why เป็นความรทู้ างวทิ ยาศาสตร์ทผี่ ลติ ขนึ้ จากสถาบันวิจัย ห้องปฏิบัติการและมหาวิทยาลัย ประการที่สาม Know-how หมายถึง ทักษะและขีดความสามารถในการทำ สิ่งใดสิ่งหนึ่ง ซึ่งส่วนใหญ่ เก็บไว้ภายในบริษัทหรือองค์กร ประเภทสุดท้าย Know-who หมายถึง ข้อมูลหรือ ความรู้ว่าใคร มีความรู้อะไร ใครรู้วิธีการที่จะทำเรื่องต่าง ๆ ความรู้ประเภทนี้จึงเกี่ยวข้องสัมพันธ์ทางสังคม เพราะมีวิธีการเข้าถึงผู้เชี่ยวชาญเหล่านั้น ในระบบเศรษฐกิจจะให้ความสำคัญต่อการเปล่ี ยนความรู้ เป็น นวัตกรรมโดยอาศยั เทคโนโลยรี ะดบั สูง สรุปได้ว่า สังคมแห่งการเรียนรู้ หมายถึง กระบวนการทางสังคมที่เกื้อหนุน ส่งเสริมให้บุคคล และ สมาชิกในชุมชน สังคม ให้เกิดการเรียนรู้โดยผ่านทางสื่อ เทคโนโลยี สารสนเทศแหล่งการเรียนรู้ต่าง ๆ จน สามารถสร้างความรู้ ทักษะ ระบบการจัดการความรู้และระบบการเรียนรู้ที่ดี มีการถ่ายทอดความรู้ แลกเปลี่ยนความรู้ร่วมกันทุกภาคส่วนในสังคมทำให้เกิดพลังสร้างสรรค์ และเกิดภูมิปัญญา ตระหนักถึง ความสำคัญ ความจำเป็นของการเรียนรู้ที่ทุกคนและทกุ ส่วนในสงั คมมคี วามใฝ่รู้และพร้อมทีจ่ ะเรยี นรู้อยูเ่ สมอ ตลอดชีวติ จนส้นิ อายุขัย เป็นการเรียนร้ทู ่ีเกิดข้ึนได้ในทุกเวลา ทุกสถานท่ี ของคนทุกคนในทุกสภาพแวดล้อมที่ เหมาะสม เป็นการเรียนรู้เพื่อให้บุคคลในสังคมเกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมทางด้านอารมณ์ สังคม และ สตปิ ญั ญาไปในทางทีด่ ีขึน้ รายวิชา : ยทุ ธศาสตร์การบรหิ ารอาชีวศึกษาและเทคนคิ ศึกษา (020617220)

13 เอกสาร : รายงานสรุปการค้นควา้ เพ่ิมเตมิ ในหัวข้อที่สนใจ ❖ ความจาเป็นทต่ี อ้ งสร้างสงั คมแห่งการเรียนรู้ 1. เหตุผลด้านเศรษฐกจิ สมาชิกในสังคมมคี วามรู้ ความคดิ และทักษะในการทำงาน และการประกอบ อาชีพมากข้ึน “Education is the best economic policy we have.” นโยบายของผู้นําอังกฤษใช้สำหรับ การหาเสียงในการเลือกตง้ั ทว่ั ไป เมอ่ื ค.ศ. 1997 การเรยี นร้ตู ลอดชีวติ จะเป็นพ้นื ฐานสำคัญในการกา้ วจากสังคมอุตสาหกรรมหรือการผลิต โดยเน้น ปัจจัยด้านแรงงานและทุนไปสู่การมภาคเศรษฐกิจบนพื้นฐานแห่ง ความรู้ (knowledge-based economy) กลุม่ เปา้ หมายไดแ้ ก่ คนอายุยังนอย และผทู้ ีก่ ําลังทำงาน 2. เหตุผลในด้านสังคม เพอ่ื ให้สามารถปรับตัวเข้ากบั การเปลี่ยนแปลงในด้านต่างๆ อันจะเกื้อหนุนให้ มคี ุณภาพชีวติ ความเป็นอยู่ทด่ี ี กลุม่ เป้าหมายไดแ้ ก่ คนสูงวัย และผูท้ มี่ ีทกั ษะและฝมี อื ตํ่า ❖ องคป์ ระกอบของสังคมแห่งการเรียนรู้ องคป์ ระกอบการเปน็ สงั คมแห่งการเรียนรู้ มีความหลากหลายข้ึนอยู่กับลักษณะบรบิ ทของพน้ื ท่ี ดังที่ เก็ปฮาร์ท และคณะ (Gephart et al., 1996: 35-45) ได้อธิบายว่า องค์การแห่งการเรียนรู้ ควรมี ลักษณะทสี่ ำคญั 5 ประการ ดังนี้ 1) มีการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องในทุกระดับของระบบภายในองค์การ ผู้คนร่วมกันเรียนรู้และ ถ่าย โอนการเรียนรแู้ ก่กนั ร่วมกนั ผลักดนั ให้เกดิ ผลในการปฏบิ ัติ 2) มีการสร้างองค์ความรู้และมีการแบ่งปันความรู้ ไม่ใช่เพียงแต่มุ่งสร้างหรือจับกระแส ใหม่ ๆ เทา่ นั้น แตย่ ังมกี ารส่งผา่ นความรแู้ ก่กนั อยา่ งรวดเรว็ เผยแพร่ให้ผู้อืน่ ท่ีตอ้ งการใชไ้ ดอ้ ยา่ ง รวดเร็วทนั ที 3) สนับสนุนการคิดอย่างเป็นระบบ และวิพากษ์วิจารณ์ให้ผู้คนได้รู้จักคิดวิธีใหม่ ๆ ตรวจสอบ ความคดิ ความเชอ่ื คา่ นยิ มของตน 4) สร้างนวัตกรรมการเรียนรู้ ให้รางวัลกับความคิดสร้างสรรค์ วัฒนธรรมการบริหารงาน และ วฒั นธรรมขององคก์ าร ระบบการประเมินผลการปฏบิ ตั ิงานเกอื้ หนนุ ความเปน็ ผทู้ ำหน้าท่เี ปน็ ครู เป็นพเ่ี ลีย้ ง 5) ยดึ คนเป็นศูนย์กลาง คำนึงถึงความเป็นปกตสิ ุข มสี ว่ นร่วมกบั องค์การและได้รับ การพัฒนาไปด้วย มาลี กลางประพันธ์ (2548) ไดส้ รปุ วา่ องคป์ ระกอบของสงั คมแห่งการเรยี นรู้ คือคนเพราะ ในโลกยุค ข้อมูลข่าวสารที่มีความหลากหลายและกว้างขวาง ไม่มีใครที่จะสามารถรู้ทุกสิ่งทุกอย่างได้หมด ดังนั้น จึงเป็น งานที่ทา้ ทายทบี่ ุคคลทีเ่ กยี่ วขอ้ งกบั การจดั การความรู้ โดยเฉพาะหน่วยงานหรอื องค์กรในกระทรวงศึกษาธิการ ที่ต้องคดั สรรสาระทจี่ ะให้บคุ คลไดเ้ รียนรู้อยา่ งเหมาะสมและมคี ุณค่า มกี ารสรา้ งบรรยากาศท่ีเอื้อต่อการเรียนรู้ ที่เหมาะสมกบั สภาพของแตล่ ะบุคคลมคี วามสามารถเลือก ที่จะเรียนรู้อย่างตอ่ เน่ืองตลอดชว่ งอายุขัย ยืดหยุ่น ตามความต้องการ ความสนใจและความถนัด สอดคล้องกับ มาลี ไชยเสนา (2549) ได้สรุปองค์ประกอบของ สงั คมแหง่ การเรยี นรู้ (Characteristic of Knowledge Society) ว่ามี 4 องคป์ ระกอบคอื 1) การพัฒนาทักษะความสามารถในการเรยี นรู้ และการแสวงหาความรู้ 2) การพัฒนาแหล่งเรียนรู้ 3) การพฒั นาสาระการเรียนรู้ และ 4) การจัดการ ความรู้ รายวชิ า : ยทุ ธศาสตร์การบริหารอาชวี ศกึ ษาและเทคนิคศึกษา (020617220)

14 เอกสาร : รายงานสรุปการคน้ ควา้ เพิม่ เตมิ ในหวั ข้อท่สี นใจ สุวิธิดา จรุงเกียรติกุล (2554) ได้ศึกษาเรื่อง อนาคตภาพรูปแบบสังคมแห่งการเรียนรู้เพื่อ การ ปรบั เปลีย่ นกระบวนทศั นเ์ ชงิ บวกสำหรับชมุ ชน พบองค์ประกอบสำคัญของสงั คมแห่งการเรยี นรู้ ประกอบด้วย 1) บุคคลแห่งการเรียนรู้หรือผู้เรียนรู้ (Learners) คือ บุคคลที่ตระหนักถึงความสำคัญ ของ การศึกษาและเรียนรู้ ใฝร่ ู้ มสี ว่ นรว่ มกบั กิจกรรมการเรียนรู้ในสงั คมและพฒั นาตนเองอย่างต่อเน่ือง 2) ผู้จัดการเรียนรู้ (Learning Providers) คือ สถาบันครอบครัว ภูมิปัญญาท้องถิ่น หน่วยงาน ภาครัฐ หน่วยงานเอกชน องค์กรท้องถิ่น สถานประกอบการ สถาบันศาสนาที่มีการวิเคราะห์ สภาพปัญหา ความต้องการท่ีแทจ้ รงิ ของชมุ ชนแลว้ ใชศ้ ักยภาพทีม่ ีจดั กิจกรรมการเรยี นรู้ให้แก่ประชาชน 3) แหล่งเรียนรู้ (Learning Resources) คือ สถานที่สำหรับการศึกษาเรียนรู้และพัฒนา ตนเอง ให้บรกิ ารความรู้ท่หี ลากหลาย ตง้ั อยู่ในพ้ืนท่เี พือ่ ใหป้ ระชาชนเขา้ ถึงขอ้ มลู ข่าวสารท่ตี ้องการ ไดท้ ันที 4) องค์ความรู้ (Knowledge) คือ เนื้อหาสาระการเรียนรู้ที่สอดคล้องและตอบสนอง ความต้องการ จำเป็นที่แทจ้ รงิ องค์ความรู้เกย่ี วกับการดำเนินชวี ติ การประกอบอาชีพ การดแู ล สขุ ภาพอนามัย เป็นตน้ 5) กิจกรรมการเรียนรู้ (Learning Activities) คือ กิจกรรมการเรียนในระบบ โรงเรียน นอก ระบบโรงเรยี นและตามอัธยาศัย เชน่ การเรียนรู้จากผ้รู ู้ การมีสว่ นร่วมในสงั คม การเรียนรู้ดว้ ยตนเอง เป็นต้น 6) บรรยากาศการเรียนรู้ (Learning Atmosphere) คือ สภาพแวดลอ้ ม เอ้ือตอ่ การเรียนรู้ มีการ ประชาสัมพันธ์ การนำเสนอผลงาน และการแลกเปลย่ี นเรียนรูร้ ะหว่างบุคคล และกลุ่มบคุ คลตลอดเวลา 7) เครือข่ายการเรียนรู้ (Learning Network) คือปัจเจกบุคคล กลุ่มบุคคล กลุ่มสนใจ นายจ้าง หน่วยงาน และสถาบนั ต่าง ๆ ร่วมมอื กันจดั กจิ กรรมการเรียนรู้ตลอดชวี ติ อยา่ งเป็นองค์รวม 8) การจัดการความรู้ (Knowledge Management) คือ การพัฒนารูปแบบ การเรียนรู้ กระบวนการถ่ายทอดความรู้ การบริหารจัดการ การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อ การเรียนรู้อย่างมี ประสิทธภิ าพ และ 9) องค์กรแห่งการเรียนรู้ (Learning Organizations) คือ องค์กรหรือหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชนจัดการเรียนรู้ขึ้นในองค์กรสนับสนุน บุคลากรให้มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้อย่าง สม่ำเสมอ จากความเห็นของนักวิชาการที่กล่าวขา้ งต้น สรุปได้ว่า การสร้างสังคมฐานความรู้ หรือสังคมแหง่ การ เรียนรู้นั้นจะต้องเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับหลายฝ่าย และมีองค์ประกอบที่สัมพันธ์กัน ระหว่างความรู้ที่จะนำไปใช้ ให้เกดิ ประโยชน์ บริบทของสังคมและสถาบันการศกึ ษา โดยจะตอ้ งมี การเชือ่ มโยงความรู้ระหวา่ งกัน สรุปได้ว่า สังคมแห่งการเรียนรู้ เป็นการส่งเสริมให้บุคลากรในองค์กรเกดิ การเรียนรู้ อยู่ตลอดเวลา มี การพัฒนาทั้งด้านความคิดและจิตใจ มีการถ่ายโอนความรู้สู่บุคคลให้แก่กัน อย่างทั่วถึง และมีการทำงาน ร่วมกันเป็นทีม มีการแก้ปัญหาการปฏิบัติงานอย่างสร้างสรรค์ รวมถึง การใช้เทคโนโลยีในการเรยี นรู้และเพิม่ ผลผลิต และการพัฒนางานอย่างต่อเนื่องไปสู่เป้าหมายร่วมกัน ขององค์กร และมีการปรับตัวให้ทันต่อการ เปล่ยี นแปลงที่เกิดขึน้ ตลอดเวลา ซึง่ อยู่ภายใต้องค์กร ทมี่ ีบรรยากาศการเรยี นรรู้ ายบุคคลและกลุ่ม ลักษณะสังคมแห่งการเรยี นรู้ o ไมจ่ ำกัดขนาดและสถานทีต่ ง้ั o เน้นการจัดการเรยี นรูเ้ ป็นปัจจัยหลกั o ประชาชนไดร้ ับโอกาสการพฒั นา (Key Individuals) o สถาบันทางสังคมในพ้ืนที่เปน็ ตัวหลกั ในการรเิ รม่ิ /ดำเนนิ การ (Key Institutions) รายวชิ า : ยุทธศาสตร์การบรหิ ารอาชีวศกึ ษาและเทคนคิ ศึกษา (020617220)

15 เอกสาร : รายงานสรุปการคน้ ควา้ เพ่มิ เตมิ ในหวั ขอ้ ทีส่ นใจ o มีกลมุ่ ภาคประชาชนเปน็ แกนกลาง (Core Groups) เพ่ือรวมตัวกนั o จัดกจิ กรรมพัฒนาชมุ ชน o มีการพัฒนานวัตกรรมและระบบการเรยี นรู้ o มภี าคเี ครอื ขา่ ยทร่ี ่วมดำเนนิ การอยา่ งต่อเนื่อง o การรเิ รมิ่ /การเปล่ยี นแปลงมอี ยู่ตลอดเวลา o สถานศึกษาเปน็ ส่วนหนงึ่ ของชุมชนแห่งการเรียนรู้ o ความรบั ผิดชอบเปน็ หน้าท่ีของบุคคลและชุมชนร่วมกนั o ทุกคนเปน็ ครูและผู้เรยี น ❖ แนวคิดทส่ี าคัญเกี่ยวกบั สังคมแห่งการเรียนรู้ 1. แนวคิดของ Peter M. Senge (1990) ช่วง ค.ศ. 1990 เซงกี้ (Senge, 1990) ศาสตราจารย์ แห่ง MIT Sloan School of Management ได้เขียน “The Fifth Discipline: The Art and The Learning Organization” หรือ “วินัย 5 ประการ” แนวคิดเพื่อนำองค์กรไปสู่การเปน็ องค์กรแห่งการเรียนรู้ (Learning Organization: LO) และไดร้ ับความนิยมปฏิบัติ กนั อยา่ งแพรห่ ลายในเวลาตอ่ มาจนถงึ ปจั จุบนั ดงั น้ี 1) บุคคลท่รี อบรู้ (Personal Mastery) หมายถงึ การเรียนร้ขู องบุคลากรจะเป็น จุดเริ่มต้นคนใน องค์กรจะต้องให้ความสำคัญกับการเรียนรู้ฝึกฝนปฏิบัติและเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง ไปตลอดชีวิต (Lifelong Learning) 2) รูปแบบความคิด (Mental Model) หมายถึง แบบแผนทางความคิดความเชื่อทัศนคติ จาก การสั่งสมประสบการณ์สะท้อนถึงพฤติกรรมของบุคคล กลายเป็นกรอบความคิดที่ทำให้บุคคลนั้น ๆ มี ความสามารถในการทำความเข้าใจวินจิ ฉัยตดั สนิ ใจในเรอ่ื งต่าง ๆ ไดอ้ ยา่ งเหมาะสม 3) การมีวิสัยทัศน์ร่วม (Shared Vision) หมายถึง การสร้างทัศนคติร่วมของคนในองค์กร ให้ สามารถมองเห็นภาพและมีความต้องการที่จะมุ่งไปในทิศทางเดียวกันเป็นการมองในระดับ ความมุ่งหวัง เปรียบเสมอื นหางเสอื ของเรือท่ีขบั เคล่อื นใหเ้ รือนัน้ มุ่งสเู่ ป้าหมายในทิศทางท่รี วดเรว็ ประหยัดและปลอดภยั 4) การเรียนรู้เป็นทีม (Team Learning) หมายถึง การเรียนรู้ร่วมกันของสมาชิก ในองค์กร โดย อาศัยความรู้และความคิดของมวลสมาชิกในการแลกเปลี่ยน และพัฒนาความฉลาดรอบรู้ และความสามารถ ของทมี ใหบ้ ังเกดิ ผลยง่ิ ข้นึ 5) การคิดเชิงระบบ (System Thinking) หมายถึง การที่คนในองค์กรมีความสามารถ ที่จะ เชื่อมโยงส่ิงตา่ ง ๆ โดยมองเห็นภาพความสัมพันธ์กนั เป็นระบบได้อย่างเข้าใจและมเี หตุ มีผลเป็น ลักษณะการ มองภาพรวมหรอื ระบบใหญ่ (Total System) 2. แนวคิดของ David A. Gavin (1993) ในช่วง ค.ศ. 1993 Garvin (1993: 80-81) ได้เสนอ หลักการในการพัฒนาองค์การสู่การเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ซึ่งเป็นองค์การที่มีทักษะ การสร้างสรรค์และ การถ่ายโอนความรู้และสามารถปรับพฤติกรรมที่สะท้อนความรู้ใหม่ และการหยั่งรู้ ประกอบด้วย หลักการ สำคญั 5 ประการ ดังนี้ 1) การแก้ปัญหาอย่างมีระบบ (Systematic Problem Solving) ถูกนำมาใช้เพื่อ การวิเคราะห์ ปัญหา (แทนการคาดเดา) เช่น วงจรของ Deming “Plan Do Check Act” รายวชิ า : ยทุ ธศาสตร์การบรหิ ารอาชีวศกึ ษาและเทคนิคศกึ ษา (020617220)

16 เอกสาร : รายงานสรุปการค้นควา้ เพ่มิ เตมิ ในหัวข้อทีส่ นใจ 2) การทดลองใช้วิธีการใหม่ ๆ (Experimentation with New Approaches) เป็นกิจกรรมที่ เกี่ยวข้องกับการหาและทดสอบความรู้ใหม่ ๆ อย่างมีระบบ โดยใช้วิธีทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งการทดลองนี้จะทำ คขู่ นานไปกบั การแกป้ ัญหาอยา่ งมรี ะบบ 3) การเรียนรู้จากประสบการณ์ของตนและเรื่องในอดีต ( Learning from Their Own Experience and Past History) องค์การจะต้องตรวจสอบทั้งการประสบความสำเร็จและล้มเหลว ของ องคก์ ารเองโดยทำอย่างเปน็ ระบบ 4) การเรยี นร้จู ากประสบการณ์และวิธีการทด่ี ีที่สุดของผู้อ่ืน (Learning from the Experiences and Best Practices of Others) การเรียนรู้ในองค์การไม่ได้มาจากการวิเคราะห์ ประสบการณ์ขององค์การ เพียงอย่างเดียว บางครั้งการเข้าใจอย่างลึกซึ้งในแนวคิดใหม่ ๆ อาจจะมาจาก การที่องค์การมองไปข้างนอก ซง่ึ หมายรวมถึงสภาพแวดล้อมท่ีเป็นอยู่ 5) การถ่ายทอดความรู้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ (Transferring Knowledge Quickly and Efficiently) การกระจายความรู้อย่างรวดเร็วทั่วทั้งองค์การอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นเรื่องสำคัญ กลไก ต่าง ๆ ท่ชี ว่ ยในการกระจายความรู้ เชน่ การเขียน การพดู รายงานต่าง ๆ 3. แนวคิดของ M. J. Marquardt and A. Reynolds (1994) ในชว่ ง ค.ศ. 1994 Marquardt and Reynolds (1994) ได้ให้ความสำคัญกับระบบการเรียนรู้ในฐานะที่เป็นระบบย่อยหลัก ในการสร้างองค์การ แห่งการเรียนรู้ ส่วนระบบยอ่ ยดา้ นองค์การ คน ความรู้ และเทคโนโลยี เป็นองค์ประกอบที่จำเป็นในการธำรง รักษาการเรยี นรทู้ ย่ี ่งั ยืน องค์กรซง่ึ มบี รรยากาศของการเรียนรู้ รายบุคคลและกลุ่มมีวธิ ีการเรยี นรูท้ ่ีเป็นพลวตั มี การสอนคนของตนเองให้มีกระบวนการคิดวิเคราะห์ เพื่อช่วยให้เข้าใจในสรรพสิ่ง สามารถเรียนรู้ จัดการและ ใช้ความรู้เป็นเครื่องมือไปสู่ความสำเร็จ ควบคู่ไปกับการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย ซึ่ง Marquardt นำเสนอ หลักการในการก้าวสู่การเป็นองค์การ แห่งการเรียนรู้ 5 องค์ประกอบ (Marquardt & Reynolds, 1994: 132-158) ได้แก่ 1) การเรียนรู้ (Learning) หรือพลวัตการเรียนรู้ (Learning Dynamics) ประกอบด้วย 3 องคป์ ระกอบ ไดแ้ ก่ 1.1) ระดบั การเรียนรู้ 1.2) ประเภทของการเรยี นรู้ 1.3) ทักษะการเรยี นรู้ 2) องค์กร (Organization) หรือการปรับเปล่ียนองค์กร (Organization Transformation) ประกอบดว้ ย 4 องค์ประกอบ ได้แก่ 2.1) วสิ ัยทัศน์ 2.2) วฒั นธรรมองคก์ ร 2.3) กลยุทธ์ และ 2.4) โครงสร้าง 3) การเพิ่มอำนาจแก่บุคคล (People Empowerment) การเสริมความรู้แก่บุคคล (People Empowerment) ประกอบด้วย 6 องค์ประกอบ ไดแ้ ก่ 3.1) บุคลากร 3.2) ผ้บู ริหาร/ผ้นู ำ 3.3) ผรู้ ับบริการ/ ลูกค้า 3.4) คูค่ ้า 3.5) พนั ธมิตร/หนุ้ สว่ น และ 3.6) ชมุ ชน 4. แนวคิดของ วิจารณ์ พานิช (2550) แนวคิดของ วิจารณ์ พานิช (2550: 167) เกี่ยวกับ องค์กร แหง่ การเรยี นร้วู า่ เป็นองค์กรท่ีทำงานผลติ ผลงานไปพร้อม ๆ กับเกิดการเรียนรู้ ส่ังสมความรู้ และสร้างความรู้ จากประสบการณ์ในการทำงาน พัฒนาวิธีทำงาน และระบบงานขององค์กรไป พร้อม ๆ กัน โดยมีหลักสำคัญ 5 ประการ ของการเป็นองค์กรแห่งการเรียนร้แู ละบุคคลรอบรู้ ไวพ้ อสังเขป ดงั นี้ 1) การคิดเชิงระบบ (System Thinking) 2) การเปน็ บุคคลรอบรู้ (Personal Mastery) 3) การมีแบบแผนความคิด (Mental Models) 4) การมีวสิ ยั ทศั นร์ ว่ มกนั (Shared Vision) 5) การเรียนร้รู ว่ มกนั เปน็ ทีม (Team Learning) รายวิชา : ยทุ ธศาสตร์การบริหารอาชวี ศกึ ษาและเทคนคิ ศึกษา (020617220)

17 เอกสาร : รายงานสรุปการคน้ ควา้ เพิ่มเตมิ ในหัวขอ้ ท่ีสนใจ 5. แนวคดิ ของ ประเวศ วะสี (2555) สำหรับยทุ ธศาสตร์ในการปฏิรูปปัญญาเพื่อนำพาชาติออกจาก วิกฤติ ประเวศ วะสี (2555) กล่าวว่า โครงสร้างใหม่ของระบบการศึกษาไทยต้องนำเรื่อง ของวิถีชีวิตเป็นตัว ตง้ั เนอื่ งจากฐานของการศึกษาที่ใหญ่ที่สุดคือฐานการศึกษาของชุมชนซ่ึงเปน็ การศกึ ษาเพื่อชีวติ ถัดมาต้องทำ เรื่องอาชีวศึกษา เมื่อทำฐานทั้งสองได้แล้วจากนั้นค่อยมุ่งสู่การศึกษา เพื่อวิชาการ พร้อมกันนี้ได้เสนอ ยุทธศาสตร์ 7 ประการ ในการสร้างวัฒนธรรมทางปัญญาขับเคลื่อน สังคมแห่งการเรียนรู้ (ประเวศ วะสี, 2555: 29-39) ได้แก่ 1) สร้างวัฒนธรรมแห่งการเรียนรู้ 2) การเรียนรู้ของเด็กปฐมวัย 3) สร้างโครงสร้าง ใหม่ของระบบการศึกษาทีเ่ อาชีวิตเปน็ ตวั ตั้ง 4) ทำให้การอ่านเป็นระเบียบวาระแห่งชาติ 5) ปฏิรูปการเรียนรู้ ในสถานศกึ ษา 6) องค์กรการเรยี นรู้-องค์กรส่งเสริมการเรยี นรู้ 7) การสือ่ สารกับการปฏริ ปู การเรียนรู้ ตารางที่ 1 สรปุ ผลการสงั เคราะห์แนวคิดเก่ียวกับองค์ประกอบของสังคมแหง่ การเรยี นรู้ Senge Marquardt & Gavin วิจารณ์ พานิช ประเวศ วะสี (1990) Rynolds (1994) (1993) (2550) (2555) 1. การคดิ เชงิ ระบบ 1. การปรับเปล่ียน 1. การแกป้ ญั หา อย่าง 1. การคดิ เชิงระบบ 1. สรา้ ง วฒั นธรรม 2. บคุ คลทรี่ อบรู้ องคก์ าร มีระบบ 2. การเปน็ บคุ คล รอบ แหง่ การเรียนรู้ 3. รูปแบบ ความคดิ 2. การจดั การกบั องค์ 2. การทดลองใช้ รู้ 2. การเรียนรขู้ อง เดก็ 4. การมีวสิ ยั ทัศน์ รว่ ม ความรู้ วธิ ีการใหม่ๆ 3. การมีแบบ แผน ปฐมวัย 5. การเรยี นรู้ เป็นทมี 3. การประยกุ ต์ ใช้ 3. การเรยี นรจู้ าก ความคดิ 3. สรา้ งโครง สร้างใหม่ เทคโนโลยี ประสบการณ์ ของ 4. การมีวสิ ยั ทัศน์ ร่วม ของ ระบบการศกึ ษา 4. การเพม่ิ อำนาจ ตนและ เร่ืองในอดีต 5. การเรยี นรู้ รว่ มกนั ทเี่ อาชีวิตเป็นตัวตงั้ 5. พลวัต การเรยี นรู้ 4. การเรยี นรจู้ าก เปน็ ทมี 4. ทำใหก้ ารอา่ น เป็น ประสบการณ์ และ ระเบยี บวาระ วิธกี ารท่ีดี ทีส่ ดุ ของ 5. ปฏิรูปการเรียนรู้ ใน ผู้อนื่ สถานศกึ ษา 5. การถ่ายทอด 6. องค์กรเรยี นรู้-องค์กร ความรูอ้ ยา่ ง รวดเรว็ ส่งเสริมการเรียนรู้ และมี ประสิทธภิ าพ 7. การสอ่ื สารกบั การ ปฏิรปู การเรยี นรู้ จากตารางที่ 1 สรุปได้ว่า นักวิชาการต่างประเทศและในประเทศ 5 ท่าน ได้เสนอแนวคิด เกี่ยวกับ องคก์ ารแหง่ การเรียนรทู้ ่มี ีความเห็นพอ้ งต้องกนั ในแตล่ ะองคป์ ระกอบ ตารางท่ี 2 สรุปผลการสงั เคราะห์องค์ประกอบของสังคมแห่งการเรียนรู้ นักคิด Senge Marquardt Gavin วิจารณ์ ประเวศ & Rynolds พานชิ วะสี องค์ประกอบ (1990) (1993) (1994) (2550) (2555) การคดิ เชงิ ระบบ ✓✓ ✓ ✓ ✓ ✓ พลวัตการเรียนรู้ ✓✓ ✓ ✓ การเรียนรรู้ ่วมกันเป็นทีม ✓ ✓ ✓ การจัดการและการถ่ายทอด องคค์ วามรู้ ✓✓ การใช้เทคโนโลยี และการส่ือสาร ✓ การเพ่มิ อำนาจสมาชิก ✓ การสร้างวฒั นธรรมการเรยี นรู้ รายวิชา : ยุทธศาสตร์การบรหิ ารอาชีวศึกษาและเทคนคิ ศึกษา (020617220)

18 เอกสาร : รายงานสรุปการค้นควา้ เพิ่มเตมิ ในหัวขอ้ ทีส่ นใจ จากตารางท่ี 2 ผู้ศกึ ษาไดส้ งั เคราะหแ์ นวคิดสำคัญในสว่ นทเี่ หมือนกนั ของนักวชิ าการ ทง้ั 5 ทา่ น โดย กำหนดเกณฑ์แนวคิดที่สำคัญในส่วนที่เหมือนกันของนักวิชาการ 3 ท่านขึ้นไป ในการคัดเลือกองค์ประกอบ ของสังคมแห่งการเรียนรู้ เพื่อจะได้เข้าใจถึงสภาพการณ์การเป็นสังคม แห่งการเรียนรู้ ผู้วิจัยได้สรุปเป็น ประเด็นต่าง ๆ ที่จะนำไปสู่การสร้างกรอบแนวคิดในการศึกษา ประกอบด้วย 1. การคิดเชิงระบบ (System Thinking) 2. พลวัตการเรียนรู้(Learning Dynamics) 3. การเรียนรู้ร่วมกันเป็นทีม (Team Learning) 4. การจัดการและการถ่ายทอดองค์ความรู้ (Knowledge Management and Knowledge Transfer) 5. การ ใช้เทคโนโลยีและการส่อื สาร (Technology and Communication) ❖ ปัจจัยท่สี ง่ ผลต่อสังคมแหง่ การเรียนรู้ ในการศึกษาประเด็นเกี่ยวกับปัจจัยที่ส่งผลต่อสังคมแห่งการเรียนรู้ ผู้ศึกษาได้ นำเอาแนวคิดของ นกั วิชาการตา่ งประเทศท่ีมชี ่อื เสียง เก่ยี วกบั ปัจจยั ทส่ี ่งผลตอ่ สังคมแห่งการเรยี นรู้ เพือ่ การสังเคราะห์แนวคิด ดงั น้ี 1. แนวคิดของ Swee C. Goh (1998) ในปี ค.ศ. 1998 Goh (1998) ได้เสนอเงื่อนไข ทจ่ี ำเปน็ ตอ่ การพัฒนาองค์การให้มีประสิทธิภาพในการเรียนรู้ ซึ่งเป็นปัจจัยหลัก 5 ประการ และปัจจัยสนับสนุน 2 ประการ ทีผ่ ้บู ริหารควรปฏิบัติมีดังนี้ 1) ความชัดเจนและการสนับสนุนพันธกิจ (Mission) กลยทุ ธ์ (Strategy) ขององค์การ แห่งการเรียนรู้ 2) ภาวะการณ์เป็นผู้นำ (Leadership) 3) การทดลอง (Experimentation) 4) การถ่ายทอดความรู้ (Transfer of Knowledge) 5) การทำงานเป็นทีมและความร่วมมือ (Teamwork and Cooperation) 6) การออกแบบองค์การ (Organizational Design) 2. แนวคิดของ John Krenmer Bennett and Micheal J. O’Brien (1994) ในปี ค.ศ.1994 Bennett and O’Brien (1994) ได้เสนอปัจจัย 12 ประการ ที่มีผลต่อความสามารถ ขององค์การแห่งการ เรียนรู้และการเปล่ยี นแปลง ดงั ต่อไปนี้ 1) กลยทุ ธแ์ ละวสิ ัยทัศน์ (Strategy and Vision) 2) การปฏบิ ตั ิเชิงการ บริหาร (Executive Practices) 3) การปฏิบัติเชิงจัดการ (Managerial Practices) 4) ประเพณีปฏิบัติของ องค์การ (Climate) 5) โครงสร้างองค์การ/งาน (Organization/Job Structure) 6) การหมุนเวียนของข้อมูล (Information Flow) 7) การปฏิบตั ขิ องแตล่ ะคนและทมี (Individual and Team Practices) 8) กระบวนการ ทำงาน (Work Processes) 9) เป้าหมายการปฏิบัติงาน (Performance Goal/Feedback) 10) การอบรม และการศึกษา (Training and Education) 11) การพัฒนาบุคคล/ทีม (Individual/Team Development) 12) รางวลั (Rewards/Recognition) 3. แนวคิดของ E. C. Nevis, A. J. DiBella and J. M. Gould (1995) ในปี ค.ศ. 1995 Nevis, DiBella and Gould (1995: 379-383) ไดเ้ สนอปัจจยั ทมี่ ีผลต่อการสร้างองคก์ ารแหง่ การเรียนรู้ จำนวน 8 ปัจจัย ดังนี้ 1) การสำรวจ สภาพแวดล้อม 2) ความแตกต่าง ด้านการปฏิบัติ 3) การให้ความสำคัญ ด้านการ วัดการ ประเมิน 4) การให้ริเริ่ม ฝึกทดลอง 5) บรรยากาศที่ เปิดเผยโปร่งใส 6) การเรียนรู้ อย่างต่อเนื่อง 7) ความหลากหลาย ของการปฏิบัติ 8) การมีผู้สนับสนุน 9) การเกี่ยวข้อง เห็นชอบด้วยของ ผู้นำ 10) การ พจิ ารณา สิ่งต่าง ๆ อยา่ งเป็นระบบ 4. แนวคิดของ Sandra M. Kaiser (2000) ในปี ค.ศ. 2000Kaiser (2000) ได้ศึกษาวิจัย และ นำเสนอปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ จำนวน 8 ปัจจัย ดังน้ี 1) ภาวะผู้นำ (Leadership) 2) วัฒนธรรมองค์การ (Organizational Culture) 3) พันธกิจและยุทธศาสตร์ (Mission and รายวชิ า : ยุทธศาสตร์การบรหิ ารอาชีวศึกษาและเทคนิคศกึ ษา (020617220)

19 เอกสาร : รายงานสรปุ การคน้ ควา้ เพิ่มเตมิ ในหัวขอ้ ทส่ี นใจ Strategy) 4) การดำเนินง าน บริ หา รจั ด กา ร ( Management Practice) 5) โ ครงสร้างอง ค ์ ก า ร (Organizational Structure) 6) ระบบองค์การ (Organizational Systems) 7) บรรยากาศในการทำงาน (Working Climate) 8) การจงู ใจ (Motivation) 5. แนวคิดของ M. J. Marquardt and A. Reynolds (1994) ในปี ค.ศ. 1994 Marquardt and Raynolds (1994) ได้กลา่ วถึงปัจจัยทีจ่ ะช่วยส่งเสริมความเป็นองค์การ แหง่ การเรยี นรไู้ ว้ 11 ปัจจยั ดังน้ี 1) โครงสร้างที่เหมาะสม 2) วฒั นธรรมการเรียนรู้ 3) ใหอ้ ำนาจพนักงานและเสริมสร้างพลังของพนักงาน 4) การ ตรวจสอบสภาพแวดล้อม 5) การสร้างและการถ่ายโอนความรู้ 6) เทคโนโลยีการเรียนรู้ 7) คุณภาพ 8) กล ยทุ ธ์ 9) บรรยากาศท่ีสนับสนนุ 10) การทำงานเปน็ ทีมและเครือขา่ ย 11) วิสยั ทัศน์ ตารางที่ 3 สรุปผลการสังเคราะห์ปัจจัยทสี่ ่งผลต่อสังคมแห่งการเรียนรู้ นกั วิชาการ Bennett & Nevis, Marquardt Dibella & & ปจั จยั Goh O’Brien Kaiser Gould Raynolds (1998) (1994) (2000) (1995) (1994) 1. โครงสร้างองคก์ าร ✓ ✓ ✓✓ ✓ 2. วฒั นธรรมองค์การ ✓ ✓✓ 3. วิสัยทศั น์องคก์ าร ✓ ✓ ✓✓ ✓ 4. ภาวะผ้นู ำ ✓ ✓ ✓✓ 5. เทคโนโลยีการเรียนรู้ ✓ ✓✓ 6. การพฒั นาบคุ ลากร ✓ ✓ ✓✓ ✓ 7. การถ่ายทอดความรู้ ✓ ✓✓ 8. การทำงานเป็นทมี ✓✓ ✓ จากการศกึ ษาปจั จัยท่ีส่งผลต่อสังคมแห่งการเรียนรู้ ผู้ศึกษาไดว้ เิ คราะห์และสังเคราะห์ ข้อมูลปัจจัยที่ ส่งผลต่อสังคมแห่งการเรียนรู้ จากหลักการแนวคิด ทฤษฎีของ Goh (1998), Marquardt and Reynolds (1994), Bennett and O’Brien (1994), Nevis, Dibella and Gould (1995) และ Kaiser (2000) เพื่อ จะได้เข้าใจถึงปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับความเป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ ผู้ศึกษาจะนำประเด็นที่ได้จากการ สังเคราะห์ดังกล่าวมาประกอบเป็นแนวคิดในการศึกษาปัจจัยที่มี ความสัมพันธ์กับความเป็นสังคมแห่งการ เรยี นรู้ ซงึ่ สรุปเปน็ ประเดน็ ตา่ ง ๆ ที่จะนำไปสู่การสรา้ งกรอบแนวคิดในการศึกษา การพฒั นาต่อไป รายวชิ า : ยทุ ธศาสตร์การบรหิ ารอาชวี ศึกษาและเทคนคิ ศึกษา (020617220)

20 เอกสาร : รายงานสรุปการค้นควา้ เพ่ิมเตมิ ในหวั ข้อทสี่ นใจ ❖ การพัฒนาคุณภาพการจัดการอาชวี ศึกษา การจัดการศึกษาอาชีวศกึ ษาต้องพฒั นาคุณภาพผู้เรียนและผู้สำเรจ็ การศึกษาใหม้ ี คุณภาพ สอดคล้อง กับความต้องการของสถานประกอบการ ชุมชน และตลาดแรงงาน โดยต้อง ผลิตและพัฒนากำลังคน อาชีวศึกษาให้สอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และมาตรฐานการศึกษาแห่ง ชาติ ที่ได้ กำหนดให้ผูเ้ รียนและผู้สำเร็จการศกึ ษาตอ้ งมีทักษะ ความรู้ และความสามารถที่เข้มแข็งและมีส่วนรว่ มในการ พัฒนาประเทศ มกี ารวิจยั และพัฒนานวัตกรรม และเทคโนโลยี รวมถงึ มรี ะบบบริหารจัดการที่มีความคล่องตัว ที่ทำให้ทุกคนสามารถเข้าถึง การศึกษาอาชีวศึกษาได้อย่างกว้างขวาง โดยสถานศึกษาอาชีวศึกษาต้องมุ่งเน้น การมีส่วนร่วมกับ สถานประกอบการในการ พัฒนาหลักสูตร การจัด สนับสนุนครุภัณฑก์ ารเรียนการสอนและ การ ฝึกอาชีพและฝึกประสบการณ์ สมรรถนะ วิชาชพี เตรียมความพร้อมในด้านสภาพแวดลอ้ มทาง การศึกษา ต่าง ๆ การพัฒนาคุณภาพการจัดการศึกษาและการจัดการเรยี นการสอน ตอ้ งมุง่ เน้นการ เรียนรสู้ กู่ ารปฏิบัติ มี การจัดกิจกรรมเสริมหลักสูตร รวมถึงมีการประเมินมาตรฐานวิชาชีพผู้เรียน อาชีวศึกษาทุกคนก่อนสำเร็จ การศึกษา โดยจัดทำเป็นแผนพัฒนาการจัดการศึกษาของสถานศึกษา และนำไปสู่การปฏิบัติอย่าง มี ประสิทธิภาพและประสทิ ธผิ ล การพัฒนาหลักสูตรในแต่ละระดับคุณวุฒิต้องมีการดำเนนิ การให้สอดคล้องกับกรอบ คุณวุฒิแหง่ ชาติ กรอบคุณวุฒิอาชีวศึกษาแห่งชาติ มาตรฐานการศึกษาของชาติ มาตรฐานอาชีพ และเกณฑ์มาตรฐานคุณวุฒิ อาชีวศึกษาแต่ละระดับ เพื่อให้ผู้สำเรจ็ การศึกษามีคณุ ภาพทัง้ ด้าน คุณธรรม จริยธรรม แล ะคุณลักษณะที่พึง ประสงค์ ด้านความรู้ ดา้ นทักษะ และดา้ นความสามารถ การประยุกต์ใชแ้ ละความรับผิดชอบ ตามประเภทวิชา และสาขาวิชาท่ศี ึกษา โดยตอ้ งมีการประกัน คุณภาพของหลกั สูตรและการจัดการเรียนการสอน เพอ่ื ให้สังคมมี ความเชือ่ มัน่ ตอ่ คณุ ภาพผู้สำเรจ็ การศึกษาอาชวี ศึกษา ทัง้ น้ี โดยคาดหวังว่าการพฒั นาหลกั สูตรท่ีสอดคล้องกับ มาตรฐานอาชีพและ ความต้องการในงานอาชีพตามระดับคุณวุฒิวิชาชีพ การบริหารหลกั สูตรของสถานศึกษา การ จัดการเรียนร้แู ละวดั ประเมินผลทมี่ ุ่งเน้นสมรรถนะ รวมทัง้ การพฒั นาคณุ ธรรม จรยิ ธรรมและ คุณลกั ษณะ ที่พึงประสงค์ ควบคู่การเรียนการสอน จะส่งผลให้ผเู้ รียนผูเ้ รยี นและผูส้ ำเร็จการศึกษา มีความรู้ สมรรถนะและ คุณลักษณะตรงตามมาตรฐานอาชีพ เทียบเคียงกับระดับคุณวุฒิอาชีวศึกษา ตลอดจน อย่างน้อยตามระดับ คุณวุฒิวิชาชีพ ที่สามารถเปิดโอกาสให้มีการเทียบโอนความรู้และ ประสบการณ์เพื่อเพิ่มวุฒิการศึกษาและ ความก้าวหนา้ ในงานอาชพี ดว้ ย ภาพท่ี 1 แสดงมาตรฐานหลกั ทเี่ ก่ยี วขอ้ งกับการจัดการอาชีวศึกษาเพ่อื นำสคู่ ุณภาพ รายวิชา : ยุทธศาสตร์การบรหิ ารอาชีวศึกษาและเทคนคิ ศึกษา (020617220)

21 เอกสาร : รายงานสรุปการค้นควา้ เพม่ิ เตมิ ในหวั ขอ้ ท่ีสนใจ ➢ เปา้ หมายของการจดั การอาชีวศึกษา พระราชบัญญัติการอาชีวศึกษา พ.ศ. 2551 มาตรา 6 กล่าวว่าการจัดการอาชีวศึกษาและการ ฝึกอบรมวิชาชีพ เป็นการจัดการศึกษาที่มุ่งเน้นการผลิตและพัฒนากำลังคนในด้านวิชาชีพระดับฝีมือ ระดับ เทคนิคและระดับเทคโนโลยี ให้มีคุณภาพและมาตรฐาน สอดคล้องกับการพัฒนาเศรษฐกิจและ สังคม ความ ตอ้ งการของตลาดแรงงาน สภาพเศรษฐกจิ สังคม วัฒนธรรม เทคโนโลยีและสง่ิ แวดล้อม โดย นำความรู้ในทาง ทฤษฎีอันเป็นสากลและภูมิปัญญาไทยมาพัฒนาผู้รับการศึกษาให้มีความรู้ความสามารถ ในทางปฏิบัติ และมี สมรรถนะที่สามารถนำไปประกอบอาชีพในลักษณะผู้ปฏิบัติหรือประกอบอาชีพโดย อิสระได้ โดยได้กำหนด รายละเอยี ดทีเ่ กี่ยวข้องกับการจัดการศึกษาอาชวี ศึกษา ดังนี้ • รปู แบบการจดั การอาชวี ศกึ ษา การจดั การอาชวี ศกึ ษาและการฝึกอบรมวชิ าชีพตามมาตรา 8 แห่งพระราชบัญญัติการ อาชีวศึกษา พ.ศ. 2551 สามารถจัดในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง หรือหลายรูปแบบ รวมกัน ดงั นี้ 1. การศึกษาในระบบ เป็นการจัดการศึกษาวิชาชีพที่เน้นการศึกษาในสถานศึกษาหรือ สถาบันการอาชีวศึกษาเป็นหลัก โดยมีการกำหนดจุดมุ่งหมาย วิธีการศึกษา หลักสูตรระยะเวลา การวัด และ การประเมินผลที่เป็นเงอื่ นไขของการสำเรจ็ การศกึ ษาทีแ่ น่นอน 2. การศึกษานอกระบบ เป็นการจัดการศึกษาวิชาชีพที่มีความยืดหยุ่นในการกำหนด จุดมุ่งหมาย รูปแบบ วิธีการศึกษา ระยะเวลา การวัดและการประเมินผลที่เป็นเงื่อนไขของการสำเร็จ การศึกษา โดยเนื้อหาและหลักสูตรจะต้องมีความเหมาะสมและสอดคล้องกับสภาพปัญหาและความ ต้องการ ของบุคคลแตล่ ะกลุ่ม 3. การศึกษาระบบทวิภาคี เป็นการจัดการศึกษาวิชาชีพที่เกิดจากข้อตกลงระหว่าง สถานศึกษาหรอื สถาบนั การอาชีวศึกษากบั สถานประกอบการ รฐั วสิ าหกจิ หรอื หน่วยงานของรัฐในเรือ่ ง การจัด หลักสตู ร การเรียนการสอน การวดั และการประเมินผล ผู้เรียนใชเ้ วลาส่วนหน่ึงในสถานศกึ ษาหรือ สถาบันการ อาชีวศึกษา และเรียนภาคปฏิบัติในสถานประกอบการ รัฐวิสาหกิจหรือหน่วยงานของรัฐ ทั้งนี้ ในการจัดการ อาชีวศึกษาได้กำหนดให้สถานศึกษาอาชีวศึกษาและสถาบันมุ่งเน้นการจัด การศึกษาระบบทวิภาคีเป็นสำคัญ เพอื่ ประโยชน์ในการผลิตและพัฒนากำลังคนไดต้ รงความต้องการของ สถานประกอบการ ➢ แนวทางการจัดการศึกษาอาชวี ศกึ ษา การจัดการศึกษาอาชีวศึกษาและการฝึกอบรมวิชาชีพให้บรรลุวัตถุประสงค์ พระราชบัญญัติ การ อาชีวศกึ ษา พ.ศ. 2551 มาตรา 10 กำหนดใหค้ ำนงึ เรือ่ งตา่ ง ๆ ดังนี้ 1. การมเี อกภาพด้านนโยบายและมีความหลากหลายในทางปฏิบตั ิ โดยมกี ารกระจายอำนาจ จากส่วนกลางไปสู่สถานศึกษาอาชวี ศกึ ษาและสถาบัน 2. การศกึ ษาในด้านวิชาชีพสำหรับประชาชนวัยเรียนและวยั ทำงานตามความถนัดและความ สนใจอยา่ งทว่ั ถึงและต่อเนอ่ื งจนถงึ ระดบั ปริญญาตรี 3. การมีส่วนร่วมชุมชน สังคมและสถานประกอบการในการกำหนดนโยบายการผลิตและ พัฒนากำลงั คน รวมทั้งการกำหนดมาตรฐานการอาชวี ศึกษา 4. การศึกษาที่มีความยืดหยุ่น หลากหลาย และมีระบบเทียบโอนผลการเรียนและระบบ เทยี บประสบการณ์การทำงานของบุคคลเพอ่ื เขา้ รับการศึกษาและการฝกึ อบรมวชิ าชีพอยา่ งต่อเน่อื ง 5. การมีระบบจูงใจให้สถานประกอบการมีส่วนร่วมในการจัดการอาชีวศึกษาและ การ ฝึกอบรมวชิ าชีพ รายวชิ า : ยทุ ธศาสตร์การบริหารอาชีวศกึ ษาและเทคนิคศกึ ษา (020617220)

22 เอกสาร : รายงานสรปุ การคน้ ควา้ เพ่ิมเตมิ ในหัวขอ้ ท่ีสนใจ 6. การระดมทรัพยากรทั้งภาครัฐและเอกชนในการจัดการอาชีวศึกษาและการฝึกอบรม วชิ าชีพ โดยคำนงึ ถงึ การประสานประโยชนอ์ ย่างทว่ั ถึงและเปน็ ธรรม 7. การมีระบบการพัฒนาครูและคณาจารย์ของการอาชีวศึกษาอย่างต่อเอง เพื่อให้ทันต่อ ความเปลย่ี นแปลงของเทคโนโลยี ➢ การพฒั นาคณุ ภาพการจดั การศึกษาและการจดั การเรยี นการสอน ในการพัฒนาคุณภาพการจัดการศึกษาและการจัดการเรียนการสอนเพื่อให้สามารถผลิต ผู้สำเร็จ การศกึ ษาได้อย่างมีคุณภาพและประสทิ ธิภาพ จำเป็นตอ้ งอาศยั ความร่วมมือของสถานประกอบการ หนว่ ยงาน ภาครัฐ รัฐวสิ าหกจิ แหล่งวทิ ยาการ ตลอดจนภมู ปิ ญั ญาท้องถิ่น ทัง้ ในดา้ นการ พัฒนาหลกั สูตรและการจัดการ เรยี นการสอน โดยเฉพาะการฝึกอาชีพและการฝึกประสบการณส์ มรรถนะ วิชาชพี ท้งั นี้ ในการบริหารการจัด การศึกษาตามหลกั สตู รทีเ่ ปดิ สอน สถานศกึ ษาอาชีวศกึ ษาและสถาบัน ควรดำเนินการ ดังนี้ 1. จัดการศึกษาให้มีความทันสมัย ยืดหยุ่น สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงาน สถาน ประกอบการและการประกอบอาชีพอิสระ เพื่อการดำรงชีวิตตามสภาพเศรษฐกิจ สังคม ท้องถิ่น วัฒนธรรม เทคโนโลยีและสง่ิ แวดลอ้ ม มุ่งเน้นการปฏบิ ตั งิ านจรงิ ตามความพร้อมและศักยภาพของ สถานศกึ ษา 2. จัดการศึกษาโดยประสานความร่วมมือกับสถานศึกษาและหน่วยงานอื่น ทั้งในด้านการ จัดการ วิชาการ การใชบ้ คุ ลากรและทรพั ยากรรว่ มกนั 3. จัดการศึกษาโดยการระดมทรัพยากรด้านการเงิน ทรัพย์สินและบุคลากร ทั้งจากรัฐ องค์การ ปกครองส่วนท้องถิ่น บุคคล ครอบครัว ชุมชน องค์การชุมชน เอกชน องค์กรเอกชน องค์กร วิชาชีพ สถาบัน ศาสนา สถานประกอบการ สถาบันสังคมอื่น รวมทั้งความร่วมมือในการจัดกิจกรรมและ การจัดการทุนเพ่ือ พฒั นาการอาชวี ศกึ ษา 4. จัดการศึกษาให้ผู้เรียนเป็นผู้มีสมรรถนะทางวิชาชีพ สามารถประกอบอาชีพ เป็นพลเมืองดี ของ สงั คม มคี วามสามารถในการคิด เรียนรู้ วางแผนและพัฒนาตนเอง 5. เป็นศูนยก์ ารเรียนรดู้ ้วยตนเอง และการให้บริการวิชาชพี แกช่ ุมชนและทอ้ งถนิ่ 6. วจิ ยั เพ่อื พัฒนาองค์ความรู้ เทคโนโลยแี ละนวตั กรรม 7. ทำนบุ ำรุงศาสนา ศลิ ปวฒั นธรรม ประเพณี สง่ เสรมิ การกฬี า พลานามยั และอนุรักษ์ ส่งิ แวดลอ้ ม 8. สง่ เสรมิ การจัดการศึกษาเชงิ ธรุ กจิ การรับงานการคา้ และการรับจดั ทำ รับบรกิ าร รบั จา้ ง ผลิตเพ่ือ จำหน่ายท่สี อดคลอ้ งกบั การเรียนการสอน สำหรับการจดั การเรยี นการสอนของสถานศกึ ษาอาชวี ศึกษาและสถาบันนั้น จำเป็นต้อง ดำเนินการใน รูปของคณะกรรมการและการมีส่วนรว่ มของหน่วยงานและบคุ คลท่ีเก่ียวข้อง ในเร่อื งตา่ ง ๆ ไดแ้ ก่ 1. การจดั ทำเอกสาร คู่มือ แนวปฏบิ ตั ิ ประกาศ ระเบียบ ปฏทิ นิ งานต่าง ๆ ของสถานศึกษา 2. การวางแผนการบริหารจัดการศึกษา ได้แก่ การจัดซ้ือ จัดหา จัดเตรียมความพร้อมด้าน อาคาร สถานที่ ทรัพยากรการเรียนการสอน ครูและบุคลากร การจัดหาและพัฒนาแหล่งความรู้สนับสนุน การเรียน การสอน การแสวงหาความร่วมมือภาครัฐและเอกชนเพื่อเป็นสถานที่ฝึกอาชีพและหรือฝึก ประสบการณ์ สมรรถนะวชิ าชพี 3. การจดั ทำแผนการเรยี น ตารางเรียน ตารางสอน ตารางการใชห้ อ้ งเรยี น หอ้ งปฏบิ ตั กิ าร 4. การพัฒนา ส่งเสริม สนับสนุนการพัฒนากระบวนการจัดการเรียนรู้และวัดประเมินผล การพัฒนา ส่ือประกอบการเรยี นการสอน 5. การนิเทศ กำกบั ตดิ ตามประเมินผลการจดั การเรยี นการสอน รายวิชา : ยทุ ธศาสตร์การบรหิ ารอาชวี ศกึ ษาและเทคนคิ ศกึ ษา (020617220)

23 เอกสาร : รายงานสรุปการค้นควา้ เพ่มิ เตมิ ในหวั ขอ้ ที่สนใจ ❖ แนวทางการพัฒนาการศกึ ษาระดับอาชีวศึกษา สู่ Learning Society จากการผลการสังเคราะห์แนวคิดของนักวิชาการเกี่ยวกับปัจจัยที่ส่งผลต่อสังคมแห่ง การเรียนรู้ ประกอบด้วย 8 ปัจจัย ได้แก่ โครงสร้างองค์การ วัฒนธรรมองค์การ วิสัยทัศน์องค์การ ภาวะผู้นำ เทคโนโลยี การเรียนร้กู ารพฒั นาบคุ ลากร การถ่ายทอดความรู้ และการทำงานเปน็ ทมี สามารถสรุปเป็นภาพได้ ดงั น้ี ปัจจัยที่ส่งผลต่อสงั คมแหง่ การเรยี นรู้ สังคมแหง่ การเรียนรู้ 1. โครงสร้างองค์การ 1. การคดิ เชิงระบบ 2. วัฒนธรรมองคก์ าร 2. พลวตั การเรยี นรู้ 3. วิสยั ทัศนอ์ งคก์ าร 3. การเรียนรรู้ ่วมกนั เป็นทมี 4. ภาวะผู้นำ 4. การจัดการและการถ่ายทอด องค์ 5. เทคโนโลยีการเรยี นรู้ 6. การพฒั นาบคุ ลากร ความรู้ 7. การถา่ ยทอดความรู้ 5. การใชเ้ ทคโนโลยีการเรียนรู้ 8. การทำงานเป็นทมี ภาพที่ 2 ปจั จัยท่ีสง่ ผลตอ่ สงั คมแหง่ การเรยี นรู้ ในประเด็นของ “แนวทางการพัฒนาการศึกษาระดับอาชีวศึกษาให้ตอบโจทย์การพัฒนา Learning Society ของประเทศไทยสู่ความสำเร็จ” ผลจากการจากสังเคราะห์ตามองค์ประกอบสังคมแห่งการเรียนรู้ พบว่า แนวทางการพัฒนาการศึกษาระดับอาชีวศึกษาสู่การเป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ มีองค์ประกอบ 5 องคป์ ระกอบ คือ 1) การคิดเชิงระบบ (System Thinking) โดยสถานศึกษาควรต้องมีโครงสร้างการบริหารงาน ท่ี เป็นระบบ มกี ารกระจายอำนาจการบริหารตามโครงสร้างการบรหิ ารงานชัดเจนและเหมาะสม บรหิ ารงานตาม ระบบวงจรคณุ ภาพ มกี ารประชมุ วางแผนการปฏิบตั ิงาน มกี ารกำกับติดตามและ ประเมนิ ผลเป็นระยะต่อเน่ือง มีคำสั่งแตง่ ตัง้ ผู้รับผิดชอบ/คณะกรรมการฝ่าย/งานชัดเจนเป็น ลายลักษณ์อกั ษร ส่งเสริมความสามารถในการ คิดอย่างเป็นระบบ คิดสร้างสรรค์ ตัดสินในการแก้ปัญหา ได้สมเหตุสมผล ดำเนินโครงการ/กิจกรรมอย่าง หลากหลายตามเป้าหมาย วิสัยทัศน์ ปรัชญา และ จุดเน้นของสถานศึกษา มีการกำหนดมาตรฐานการศึกษา จัดทำแผนพัฒนาการศึกษาที่มุ่งสู่คุณภาพ ตามมาตรฐานการศึกษา มีการประเมินผลการดำเนินงานตาม เปา้ หมายทกี่ ำหนด และมกี ารกำหนด แนวทางการพฒั นาอย่างต่อเน่ือง มีแผนปฏบิ ตั กิ ารประจำปี มีการนิเทศ ติดตามประเมินผลการปฏิบัติงาน และนำผลการประเมินมาปรับปรุงและพัฒนา สามารถตรวจสอบได้ จัด กิจกรรมต่าง ๆ ให้ผู้เรียน อย่างหลากหลายเพื่อพัฒนาผู้เรียนให้มีพัฒนาการด้านร่างกาย ด้านสติปัญญา ด้าน อารมณ์จิตใจ และ ด้านสังคม มีการนิเทศติดตามผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้อย่างเป็นระบบ จัดทำและ พัฒนาหลักสูตร เหมาะสมกับบริบทท้องถ่นิ ประชาคมอาเซียนและผู้เรียน สนบั สนุน ส่งเสริม กำกับดูแลให้ครู จัดทำ แผนการจดั การเรียนร้ทู ่เี น้นผูเ้ รียนเปน็ สำคญั และนำไปสู่การจัดกจิ กรรมการเรียนรูอ้ ย่างมีประสิทธิภาพ วัดและประเมินผลการเรียนรู้อย่างเป็นระบบ บริหารโดยใช้โรงเรียนเป็นฐานเพื่อบรรลุวิสัยทัศน์ ที่กำหนด จัดระบบการประกันคุณภาพอย่างเป็นระบบ ผู้บริหารสถานศึกษามีภาวะผู้นำ มุ่งมั่น ในการบริหารงาน รายวิชา : ยุทธศาสตร์การบรหิ ารอาชีวศึกษาและเทคนิคศึกษา (020617220)

24 เอกสาร : รายงานสรปุ การค้นควา้ เพ่ิมเตมิ ในหวั ข้อที่สนใจ ยึดหลักการบริหารโดยใช้วงจรคุณภาพในการบริหารโดยใช้โรงเรียน เป็นฐาน มีการประชุมวางแผนการ ปฏิบัติงานชัดเจนเป็นระบบ มีการวางแผน กำกับติดตามอย่างต่อเนื่อง และ พร้อมพัฒนาปรับปรุง มีการ กระจายอำนาจการบริหารงาน มีโครงสร้างการบริหารชัดเจนเป็นฝ่าย/ งาน มีคำสั่งและแผนการปฏิบัติงาน ชัดเจนเป็นระบบ ส่งเสริมให้ผู้เรียนคิดอย่างเป็นระบบ โดยมี การวางแผนก่อนปฏิบัติส่งเสริมครูอบรมเพื่อ พฒั นาคณุ ภาพผ้เู รยี นอย่างต่อเนื่อง รเิ รม่ิ ให้จดั ทำ โครงการ/หลกั สตู รโดยคำนึงถงึ ประโยชน์ของผู้เรยี น ความรู้ ความเข้าใจในนโยบายสำคัญเร่งด่วน ที่หน่วยงานต้นสังกัดมอบหมายได้อย่างถูกต้อง และมีความสามารถใน การสื่อสารให้ผู้มีส่วนได้เสีย ได้รู้และเข้าใจนโยบายที่สำคัญ ผู้บริหาร ครู บุคลากร และผู้เรียนร่วมกันกำหนด แผนงาน/โครงการ/ กิจกรรม เป้าหมายและการดำเนินงานเพื่อ ให้นโยบายประสบความสำเร็จ มีความเข้าใจ ปรัชญา และหลักการจดั การศึกษา บริหารงานด้วยความคิดริเริม่ มีวิสัยทัศน์ เป็นผู้นำทางวชิ าการ ทำให้ การ บริหารงานมีคณุ ภาพ มงุ่ เนน้ การพฒั นาอย่างต่อเนื่อง ประสานความรว่ มมอื จากทุกภาคสว่ น การจดั การเรียนรู้ ที่ส่งเสริมการสร้างประสบการณ์ตรงด้วยวิธีการที่หลากหลาย เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ อย่างมีความสุข มุ่งสู่ สังคมแห่งการเรียนรู้ ครูและบุคลากรเข้าใจบทบาทหน้าที่ของตนเอง มีความตั้งใจ และมีความรับผิดชอบ ใน การปฏิบัติงาน สามารถปฏิบัติงานที่ได้รับมอบหมายได้สำเร็จลุล่วงตาม วัตถุประสงค์อย่างมีประสิทธิภาพ มี ความรคู้ วามเข้าใจในการจัดทำแผนพัฒนาการศึกษาของ สถานศึกษา มกี ารวางแผน การปฏบิ ัติงานเป็นระบบ วางแผนการดำเนินงานเป็นขั้นตอน มีการติดตามตรวจสอบ และสรุปผล และดำเนินการตามแผนที่วางไว้ ทำ ให้การติดตามประเมินผลการปฏิบัติงาน สะดวก ชัดเจน ง่ายต่อการติดตาม สามารถใช้หลักสูตรในการจัด กิจกรรมการเรียนรู้ได้อยา่ งมีประสิทธิภาพ กำหนดเป้าหมายคุณภาพนักเรียนโดยใช้ข้อมูลผู้เรยี นรายบคุ คลใน การวางแผน การจัดการเรียนรู้ ออกแบบและจัดการเรียนรู้ 2) พลวตั การเรียนรู้ (Learning Dynamics) โดย 2.1) บุคคลรอบรู้ (Personal Mastery) สถานศึกษาควรต้องส่งเสริมให้ครูและบุคลากร ได้รับ การพัฒนาให้มีทักษะในการปฏิบัติงานมีคุณภาพตามเกณฑ์มาตรฐานวิชาชีพ ส่งเสริมทักษะ ในการแสวงหา ความรู้ใหม่ และนำความรู้เทคนิควิธีการใหม่มาพัฒนาตนเอง งานในหน้าที่ และ พัฒนาการจัดกิจกรรรมการ เรียนรูอ้ ย่างต่อเน่ือง ส่งเสริมสนับสนุนให้เข้าร่วมการอบรมเชิงปฏิบัติการ ประชุมสัมมนา ฝึกศึกษา ดูงาน เข้า รับการฝึกอบรม ศึกษาต่อ และประชุมวิชาการ ส่งเสริมการศึกษา วิจัยและพัฒนาการจัดการเรียนรู้ ส่งเสริม สนับสนุนให้ครูสอนตรงตามสาขาวิชาเอก ยกย่องเชิดชูครู และบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถ คุณธรรม จริยธรรม และมจี รรยาบรรณวิชาชีพ ส่งเสริม สนบั สนนุ ให้ครู บคุ ลากรจดั ทำแผนการเรียนรู้รายวิชาท่ีถูกต้อง ด้วยเทคนิควิธีการสอนที่หลากหลายและ บูรณาการคุณธรรม จริยธรรม คุณลักษณะที่พึงประสงค์ และหลัก ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ส่งเสริมให้ครูมกี ารวัดและประเมินผลผู้เรียนตามสภาพจริงและนำผลไปพัฒนา ผู้เรียนมกี ารนเิ ทศ กำกบั ตดิ ตาม ประเมนิ ผล และนำผลไปปรับปรงุ แก้ไข การสอนของครเู พื่อเป็นข้อมูลในการ แก้ปัญหา และพัฒนาการเรียนการสอน ส่งเสริมให้ผู้เรียนทำโครงงานพัฒนาทักษะวิชาชีพ โดยสามารถนำ ผลงาน ไปใช้ประโยชน์ได้ ส่งเสริมให้ผู้เรียนได้ฝึกประสบการณ์ทักษะวิชาชพี ในสถานประกอบการสอดคล้อง กับ สาขาท่เี รยี น ผ้บู รหิ ารสถานศึกษานำองค์ความรใู้ หม่มาพัฒนาการจดั การศึกษาต่อเนื่อง และมคี วาม มุ่งม่ัน ในการบริหารงาน และแสวงหาความรู้ใหม่เพื่อนำมาพัฒนาการจัดการศึกษา ครูและบุคลากร มีวุฒิการศึกษา ตรงตามความถนัด มีความสามารถในการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียน เป็นสำคัญ มีความรู้ความ เขา้ ใจการวัดและประเมินผลการศึกษา และนำข้อมลู ไปวางแผนพัฒนา คณุ ภาพการศกึ ษาของสถานศึกษาได้ มี การนิเทศติดตามการจัดการเรียนรู้เพื่อวางแผนพัฒนา การจัดการเรียนรู้ให้มีคุณภาพ เข้าใจปรัชญา หลักการ และการจัดการศึกษา สามารถนำมาประยุกต์ใช้ ในการจัดการเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปฏิบัติตนเป็น รายวชิ า : ยุทธศาสตร์การบรหิ ารอาชวี ศกึ ษาและเทคนคิ ศกึ ษา (020617220)

25 เอกสาร : รายงานสรปุ การค้นควา้ เพมิ่ เตมิ ในหวั ขอ้ ทีส่ นใจ แบบอยา่ งท่ดี ีตามมาตรฐานวชิ าชีพและ จรรยาบรรณวิชาชพี ครู เข้าร่วมการประชุม อบรม สัมมนา ฝึกศึกษาดู งานเพื่อเพิ่มพูนทักษะในการจัด กิจกรรมการเรียนรู้อย่างหลากหลายและต่อเนื่อง เพื่อพัฒนาศักยภาพในการ ปฏิบัติหนา้ ทท่ี ่ตี นรับผดิ ชอบ มคี วามกา้ วหนา้ ในวชิ าชพี และมีสว่ นร่วมในการพฒั นาการศึกษา แสวงหาสื่อและ เทคโนโลยมี าใชเ้ พื่อ พัฒนาการเรยี นรู้ ประเมนิ พัฒนาการผู้เรยี นที่สอดคล้องกับสภาพจริงและเหมาะสมกับวัย นำผลการประเมินมาพัฒนาผู้เรียนตามศักยภาพ และจัดประสบการณ์การเรียนรู้โดยบูรณาการ ใช้โครงงาน เป็นฐานให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้โดยตรง และผู้เรียนสามารถแก้ปัญหาและทำกิจกรรม ที่สามารถสร้างสรรค์ ผลงานแปลกใหม่ สามารถนำความรแู้ ละทักษะไปประกอบอาชีพได้ 2.2) แบบแผนทางความคิด (Mental Model) สถานศึกษาควรต้องส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพ ครูและบุคลากรให้พร้อมรับการกระจายอำนาจ การปรับตัวให้ทันกับความเปลี่ยนแปลงของ สังคมและ สภาพแวดล้อม เน้นให้ผู้เรียนได้ฝึกปฏิบตั ิจริง มีการนำเสนอวิธีคิดแก้ปัญหาต่าง ๆ การตัดสินใจแกป้ ัญหาด้วย เหตุผลประกอบ มีการคิดสร้างสรรคผ์ ลงานด้วยความภาคภูมิใจ มีทักษะ ในการสรปุ ความคิด กำหนดความคิด คาดการณ์ ตัดสินใจ ส่งเสริมการทำงานและการอยู่ร่วมกัน ในสังคมด้วยการเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดี ระหว่างบุคคล มีการจัดการแก้ปัญหาความขัดแย้งต่าง ๆ อย่างเหมาะสม จัดกิจกรรมที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนได้ ศกึ ษาค้นคว้าหาความรู้ และสรปุ ความร้ไู ด้ดว้ ย ตนเอง สง่ เสรมิ สนับสนนุ ใหผ้ บู้ ริหาร ครู บุคลากร และผู้เรียน ดำเนินงานโครงการ โดยมีการนิเทศ ตดิ ตาม และเสริมแรง ผบู้ รหิ ารสถานศึกษาประพฤติตนเป็นแบบอย่างที่ดี อุทิศเวลาในการทำงาน มีความมุ่งมั่นในการบริหารงาน มีภาวะผู้นำ มีคุณธรรม จริยธรรม และตระหนักใน จรรยาบรรณของ วิชาชีพครูและปฏิบัติตนตามมาตรฐานวิชาชีพ มีวินัย มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ มีความ ซื่อสัตย์ ตรงต่อเวลา เอาใจใส่ให้ความรักเมตตาศิษย์ ยึดหลักธรรมาภิบาล และมีความสามารถในการบริหาร จดั การสถานศึกษา ครแู ละบุคลากรมีวฒุ ิการศึกษาระดบั ปริญญาตรีขึ้นไป สอนตรงตามวชิ าเอก มีความรู้ความ เข้าใจและประพฤติตนตามมาตรฐานวิชาชีพและจรรยาบรรณวิชาชีพครู ปฏิบัติตนเป็น สมาชิก ที่ดีและเป็น แบบอยา่ งที่ดี ครจู ัดกจิ กรรมการเรียนรบู้ ูรณาการตามความถนดั ความต้องการ ของผูเ้ รยี น โดยเน้นผู้เรียนเป็น สำคัญ ครูมีการนิเทศการเรียนรู้แบบชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ โดยการชี้แนะสะท้อนคิดจากหัวหน้า กลุ่มสาระการเรยี นรู้ เพอ่ื นครู ผูบ้ รหิ ารสถานศึกษา และ ผทู้ รงคณุ วุฒภิ ายนอก มคี วามรคู้ วามเข้าใจในการจัด การศึกษาและหลักสตู รสถานศกึ ษา สามารถ จัดการเรียนการสอนหลากหลาย สง่ เสริมใหผ้ ู้เรยี นไดล้ งมอื ปฏิบัติ จริง เกิดกระบวนการเรียนรู้ตาม ศักยภาพของแต่ละบุคคล ครูนำผลการประเมินผู้เรียนมาทำวิจัยเพื่อพัฒนา บริหารจัดการชั้นเรียน สร้างวินัยเชิงบวก จัดสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้ มีปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับผู้เรียน สามารถจัด กจิ กรรมเพื่อพัฒนาคุณลักษณะอันพงึ ประสงค์ดา้ นจิตสาธารณะ ทัง้ กจิ กรรมในห้องเรียนและ นอก ห้องเรียนอย่างสม่ำเสมอ ครูจัดการเรียนรู้แบบโครงงานเน้นให้ผู้เรียนคิดวิเคราะห์และวางแผน การทำงาน อย่างเป็นระบบ ผู้เรียนมีความสามารถในการนำความรู้ ทักษะกระบวนการต่าง ๆ ไปใช้ ในการดำเนิน ชวี ติ ประจำวนั เรียนร้ดู ้วยตนเอง เรยี นรอู้ ย่างต่อเนือ่ ง กล้าคิด กล้าแสดงออก สามารถ คดิ วิเคราะห์ สงั เคราะห์ ได้อย่างสร้างสรรค์ มีความรู้ความเข้าใจในหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง สามารถปฏบิ ัติตนตามแนวหลกั ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงได้เป็นอย่างดี มีทักษะในการแสวงหา ความรู้ด้วยตนเอง มีการช่วยเหลือซึ่งกัน และกันในการเรยี นรู้ 2.3) การมวี สิ ัยทัศนร์ ว่ ม (Shared Vision) สถานศึกษาควรต้องมกี ารกำหนดมาตรฐาน การศกึ ษาของ สถานศึกษาสอดคล้องกบั ปรัชญา วสิ ัยทศั น์ พนั ธกิจ เป้าหมาย ดำเนินงานตามปรัชญา วสิ ัยทศั น์ พันธกิจ จาก การมีส่วนร่วมคิด ร่วมทำ และร่วมวางแผนของบุคลากร ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของบุคลากรในการกำหนด แผนพัฒนาการศึกษา สนับสนุนการมีส่วนร่วมของผู้ปกครอง และผู้มี ส่วนได้ส่วนเสียร่วมกันวางแผนเพื่อ พัฒนาการศึกษาตามเป้าหมาย วิสัยทัศน์ ปรัชญา และจุดเน้นของ สถานศึกษา มีการสร้างความตระหนักและ รายวิชา : ยทุ ธศาสตร์การบริหารอาชีวศกึ ษาและเทคนิคศกึ ษา (020617220)

26 เอกสาร : รายงานสรปุ การค้นควา้ เพิ่มเตมิ ในหวั ขอ้ ท่ีสนใจ จิตสำนึกที่ดีในการร่วมกันพัฒนาสถานศึกษา แก่บุคลากร ทุกคน เปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในการ บริหารงาน มีการประชุมครูประจำเดือน มีการวางแผน การดำเนินงานตามวิสัยทัศน์ อัตลักษณ์ และ เอกลกั ษณ์ของสถานศึกษา เปน็ ทย่ี อมรบั ท้งั จาก หน่วยงานภายในและภายนอก คณะกรรมการสถานศึกษาข้ัน พื้นฐาน และสมาคมผู้ปกครองและศิษย์ เก่าให้ความร่วมมืออย่างเข้มแข็ง สร้างความร่วมมือในการจัด การศึกษากับทุกฝ่ายที่มีส่วนเกี่ยวข้อง สถานศึกษามีการให้ความรู้และสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับสถานศึกษา คุณธรรม แก่ผู้บริหาร ครู บุคลากรและผู้เรียนร่วมกัน มีการกำหนดคุณธรรมอัตลักษณ์ของสถานศึกษา พฤตกิ รรมทพี่ งึ ประสงค์ และเป้าหมายของกลมุ่ ผู้บริหาร กลุ่มครแู ละบุคลากร และกลุ่มผเู้ รยี น ดว้ ยความสมัคร ใจ เต็มใจ และโดยการมสี ่วนร่วมของทุกคน กำหนดมาตรฐานการศึกษาและจัดทำแผนพฒั นาการศึกษาท่มี ่งุ สู่ คุณภาพ โดยการมีสว่ นร่วมของครู บุคลากร ผู้เรียน ชุมชน สถานประกอบการและหน่วยงาน ทเี่ ก่ยี วข้อง เปิด โอกาสให้ผูท้ ี่เก่ียวขอ้ งแสดงความคิดเห็นและเข้ามามสี ่วนร่วมในการจัดการศึกษา มีการสำรวจ ความคิดเห็นผู้ ที่เกี่ยวข้องต่อการจัดการศกึ ษาเพือ่ เป็นฐานข้อมูลในการจัดทำแผนพัฒนาสถานศึกษา ให้เกิดผลสอดคล้องกับ ปรัชญา วิสัยทัศน์ บริบทและความต้องการของผู้ปกครอง ชุมชน ท้องถิ่น บริหารจัดการสถานศึกษาโดยใช้ โรงเรียนเป็นฐาน ตามวิสัยทัศน์และพันธกิจ เน้นการมีส่วนร่วมจาก ทุกภาคส่วนในการพัฒนาคุณภาพ การศึกษา มีหลักสูตรสถานศึกษาที่เปิดโอกาสให้ทุกคนเข้ามามี ส่วนร่วมในการจัดทำและปรับปรุงหลักสูตร ผู้บริหารสถานศึกษามีการบริหารจัดการให้บรรลุ เป้าหมายตามที่กำหนดไว้ ส่งเสริมให้คณะกรรมการ สถานศึกษาขั้นพื้นฐาน ผู้ปกครองนักเรียน ชุมชน มีส่วนร่วมในการกำหนดปรัชญา วิสัยทัศน์ พันธกิจ เป้าหมายของสถานศึกษา มีการกำกับ ติดตาม ผลการดำเนินงานให้บรรลุเป้าหมาย ตามวิสัยทัศน์ ปรัชญา จุดเน้น มีการดำเนินงานโครงการ/ กิจกรรมเป็นไปตามวิสัยทัศน์ที่กำหนด ครูและบุคลากร มีความรู้ความ เข้าใจในเป้าหมายการจัด การศึกษา มีส่วนร่วมในการระดมความคิดกำหนดปรัชญา วิสัยทัศน์ พันธกิจ และ พัฒนาการจัด การศึกษา ให้บรรลุตามเป้าหมาย วิสัยทัศน์ของสถานศึกษา ปฏิบัติงานมุ่งสู่เป้าหมายตาม วิสัยทัศน์ ของสถานศึกษา จัดทำแผนพัฒนาการศกึ ษาโดยการมสี ่วนร่วมของครู บุคลากร นักเรียน ผู้ปกครอง ชมุ ชน คณะกรรมการสถานศึกษาขน้ั พ้นื ฐาน และผ้เู รยี นมีความภาคภูมิใจในสถานศึกษา 3) การเรียนรู้ร่วมกันเป็นทีม (Team Learning) สถานศึกษาควรต้องสนับสนุนการใช้และพัฒนา แหล่งเรียนรู้ ภูมิปัญญาท้องถิ่น ชุมชนเข้ามามีส่วนร่วม คณะกรรมการสถานศึกษา ผู้ปกครอง ชุมชน ให้ความ ร่วมมือกับสถานศึกษาในการระดมทรัพยากร และการจัดการศึกษาเป็น อย่าง มีการสร้างเครือข่ายในระบบ ของโรงเรียนและชุมชน มีการระดมทรัพยากรจากหน่วยงาน ภายนอก ยึดหลักประชาธิปไตย สร้างความ ร่วมมือในการจัดการศึกษากับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องมีการประชุมกลุ่มงานต่าง ๆ เพ่ือให้ทุกฝ่ายมีส่วนร่วมในการ พัฒนางานให้มีประสทิ ธภิ าพ มีการนิเทศ การสอนแบบชี้แนะสะท้อนคิด ให้ครูได้เห็นและยอมรับฟังเหตุผลซึง่ กันและกัน สนับสนุน วางแผนการทำงานเป็นทีม การแก้ปัญหา การมีส่วนร่วมเพื่อพัฒนาการจัดการศึกษา มี การประชุมครู ประจำเดือน โครงการประชุมผู้ปกครอง โครงการประชุมคณะกรรมการสถานศึกษาข้ันพ้ืนฐาน ส่งเสริมการทำงานเป็นทีมและทำงานร่วมกันอย่างมีความคิดสร้างสรรค์ การจัดทำแผนพัฒนา การศึกษาโดย ความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งครู นักเรียน ผู้ปกครอง และคณะกรรมการสถานศึกษา ขั้นพื้นฐาน สถานศึกษาส่งเสริมการปฏิบัติงานเป็นระบบ มีขั้นตอน โดยการมีส่วนร่วมของครู บุคลากร ทางการศึกษา ผเู้ รยี น และชุมชน มกี ารประสานความร่วมมือกับบคุ คล ชุมชน สมาคม ชมรม สถานประกอบการ หน่วยงานที่ เกี่ยวข้องเพื่อระดมทรัพยากรในการบริหารจัดการ และร่วมมือ ในการจัดการศึกษาทวิภาคี ส่งเสริมให้ผู้เรียน ใช้ความรู้ความสามารถทำงานโดยกระบวนการกลุ่ม ชุมชน บุคลากร ผู้ปกครองเข้ามามีส่วนร่วมในการให้ ความรู้ผเู้ รียนโดยปราชญช์ าวบ้าน สถานศึกษา จดั โครงการ/กจิ กรรมใหช้ ุมชน ผปู้ กครองเขา้ มามีสว่ นร่วม เกิด รายวิชา : ยทุ ธศาสตร์การบริหารอาชวี ศึกษาและเทคนคิ ศกึ ษา (020617220)

27 เอกสาร : รายงานสรปุ การคน้ ควา้ เพ่มิ เตมิ ในหวั ขอ้ ท่สี นใจ ความร่วมมือของชุมชน บ้าน วัด และโรงเรียน ผู้บริหารสถานศึกษา ใช้หลักการบริหารแบบมีส่วนร่วม และ พร้อมส่งเสริมศักยภาพของ บุคลากรในการอบรม ประชุม สัมมนา ร่วมมือกับบุคลากรในการจัดปรับปรุง หลักสูตรสถานศึกษา มีการนิเทศ ติดตามภายใต้ความร่วมมือของคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน ผู้ปกครอง ชุมชน ส่งผลให้สถานศึกษามีประสิทธิภาพ และมีการประชุมครู บุคลากร ผู้ปกครอง และ คณะกรรมการ สถานศึกษาขั้นพื้นฐานอย่างต่อเนื่อง ผู้บริหารสถานศึกษายึดหลักการบริหารแบบมีส่วนร่วม ร่วมคิด ร่วมวางแผน ร่วมปฏิบตั ิของบุคลากรทุกระดับ มีการสร้างขวัญกำลังใจ สร้างแรงจูงใจครแู ละบุคลากร ในการปฏิบัติงานให้มีประสิทธิภาพสงู ขึ้น เผยแพร่ผลงานดีเด่น ยกยอ่ งแบบอยา่ งการทำความดี ส่งเสริมทักษะ ในการทำงานร่วมกับผู้อื่น ครูและบุคลากรมีการทำงานเป็นทีม มีส่วนร่วม ในการวางแผนและดำเนินงาน โครงการ/กิจกรรม ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องมีส่วนร่วมกำหนดแผนพัฒนา การศึกษา และให้ความร่วมมือกันทำงาน เปน็ ทมี มคี วามเขม้ แข็งในการปฏิบตั ิหน้าท่ี เปิดโอกาสให้ ผปู้ กครอง ชมุ ชน มสี ว่ นร่วมแสดงความคิดเห็นท่ีมีต่อ การจัดการศึกษา ผู้เรียนสามารถใช้กระบวนการ กลุ่มและเรียนรู้ร่วมกันเป็นทีม มีภาวะผู้นำ ผู้ตาม สามารถ ทำงานเป็นทมี และทำงานร่วมกันไดอ้ ย่างมี ประสิทธิภาพ และมคี วามสุข 4) การจัดการและการถ่ายทอดองค์ความรู้(Knowledge Management and Knowledge Transfer) สถานศึกษาควรต้องมีการจัดทำข้อมูลแหล่งเรียนรู้ ภูมิปัญญาท้องถิ่นและแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เชื่อมโยงการจัดการเรียนการสอน สนับสนุน ส่งเสริมให้ผู้เรียนศึกษาเรียนรู้จากแหล่งเรียนรู้ทั้งภา ยในและ ภายนอก เพ่ือแลกเปลย่ี นเรยี นรขู้ ้อมูล ความรู้ จากภมู ิปัญญาทอ้ งถน่ิ และ ส่งเสรมิ การมสี ว่ นร่วมของชมุ ชน ใช้ แหล่งเรียนรู้และภูมิปัญญาท้องถิ่นจังหวัดนครปฐมต่อเนื่อง ส่งเสริมการเรียนรู้กับภูมิปัญญาท้องถิ่นมาให้ ความรนู้ ักเรยี น ผปู้ กครองเข้ามามสี ่วนรว่ มเป็นวิทยากรถ่ายทอดความรู้ มีโครงการสรา้ งความร่วมมือในการจัด กิจกรรมการเรียนรู้กับหน่วยงานภายนอก สถานศึกษาได้รับความร่วมมือในการรับเชิญเป็นวิทยากร ครูพิเศษ เพ่ือร่วมพัฒนาผเู้ รียนในทุกสาขา งานทจี่ ดั การเรียนการสอน สถานศึกษามีการจัดทำระบบข้อมูลสารสนเทศที่ ถูกต้อง โรงเรียนสนับสนุน การเรียนรู้กับภูมิปัญญาท้องถิ่นมาช่วยในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ มีการจัด โครงการส่งเสริม ภูมิปัญญาท้องถิ่น สนับสนุนให้ใช้แหล่งเรียนรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่น มีการจัดประชุม คณะกรรมการ สถานศึกษาขั้นพื้นฐานและผู้ปกครองเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็น และการร่วมมือในการ พัฒนา การศึกษา โครงการนิเทศเพื่อส่งเสริมศักยภาพการจัดการเรียนรู้หลังจากการนิเทศมีการแลกเปลี่ยน เรียนรู้ซึ่งกันและกันเพื่อพัฒนาการจดั การเรียนรู้ต่อไป ผู้บริหารสถานศึกษามีข้อมูลสารสนเทศที่เป็น ปัจจุบัน เพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจในการบริหารสถานศึกษา ทำให้ผู้ที่เกี่ยวข้องได้รับทราบข้อมูล ข่าวสารและการ พัฒนาโรงเรียน ครูและบุคลากรมีการส่งต่อข้อมูลนักเรียนเพ่ือร่วมมอื ในการดูแลและ พัฒนาผูเ้ รียนมโี ครงการ ส่งเสริมการอ่าน ส่งเสรมิ ทกั ษะการแสวงหาความรู้ ด้วยตนเอง จดบนั ทึก รวบรวมความรู้ มกี ารนิเทศภายในที่ นำผลไปพัฒนาปรบั ปรุงการสอนอย่างสม่ำเสมอ ส่งเสรมิ ความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนกับชุมชน ส่งเสริมการ ประชาสัมพันธ์และสร้างเครือข่ายพัฒนา การศึกษา เสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างบ้าน วัด โรงเรียน เรียนรู้ร่วมกันเป็นกลุ่ม แลกเปลี่ยน ความคิดเห็นเพื่อการเรียนรู้ระหว่างกัน นำบริบทท้องถิ่นและภูมิปัญญา ท้องถิ่นมาบูรณาการ นำผลการประเมินคุณภาพมาวางแผนเพื่อพัฒนา ส่งเสริมสนับสนุนให้สถานศึกษาเป็น สังคม แห่งการเรียนรู้ มีการสร้างและพัฒนาแหล่งเรียนรู้หลากหลาย และใช้ประโยชน์จากภายใน และ ภายนอกสถานศึกษา มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างบุคลากร ครอบครัว ชุมชน และองค์กรอื่น แลกเปลี่ยน เรียนรู้ความรู้ที่ได้จากการอบรม สัมมนาในที่ประชุมครูประจำเดือน มีการแสวงหาความรู้ และนำความรู้มา ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ผู้เรียนสามารถถ่ายทอดเรื่องราวต่าง ๆ จากการเรียนรู้ แลกเปลี่ยนเรียนรู้ข้อมูล ข่าวสาร และประสบการณ์ตอ่ การพัฒนาตนเองและสงั คม รายวิชา : ยทุ ธศาสตร์การบรหิ ารอาชวี ศกึ ษาและเทคนคิ ศกึ ษา (020617220)

28 เอกสาร : รายงานสรปุ การค้นควา้ เพ่มิ เตมิ ในหวั ข้อท่สี นใจ 5) การใชเ้ ทคโนโลยแี ละการส่อื สาร (Technology and Communication) สถานศกึ ษาควรต้อง ส่งเสริมสนับสนุนการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ มีสื่อเทคโนโลยี ที่ทันสมัย และ หลากหลายบริการผู้เรียน มีการประชาสัมพันธ์งานการศึกษา ผ่านเฟซบุ๊ก แผ่นพับ ข่าวสาร หนังสือพิมพ์ ท้องถิ่น ส่งเสริมสนับสนุนให้ผู้เรียนใช้เทคโนโลยีในการปฏิบตั ิงานและ ทำกิจกรรมต่าง ๆ ใช้เทคโนโลยใี นการ เรียนรู้และนำเสนอผลงาน มีการจัดหาสื่อ นวัตกรรมและ เทคโนโลยีที่ทันสมัยและเพียงพอ มีห้องสมุด ให้บริการสื่อและเทคโนโลยีที่เอื้อตอ่ การเรียนรู้ มีโครงการพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ โครงการพัฒนา ทักษะการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ โครงการให้บริการอินเทอร์เน็ตเพื่อการศึกษาค้นคว้า มีระบบสืบค้นข้อมูล ทางอินเทอร์เน็ต มีการประชาสัมพันธ์โรงเรียนสู่ชุมชนและผู้ปกครองอย่างต่อเนื่อง สถานศึกษามีการนำ เทคโนโลยี คอมพวิ เตอรม์ าใช้ มีการบริหารจัดการระบบฐานข้อมูล อยา่ งเปน็ ระบบและมีประสิทธิภาพ ส่งเสรมิ ให้ครู บุคลากร และผู้เรียนสามารถใช้ประโยชน์จากการบริหารจัดการฐานข้อมูลสารสนเทศอย่างมี คุณภาพ สถานศึกษามีการระดมทรัพยากร สื่อเทคโนโลยีสารสนเทศให้เพียงพอในการจัดการเรียนรู้ มีสื่อเทคโนโลยี สารสนเทศและนวัตกรรมท่ีเหมาะสมต่อการจัดการเรียนรู้ มีระบบเทคโนโลยี สารสนเทศและติดตามงานอย่าง เป็นระบบและต่อเนื่อง มีการจัดเก็บเอกสารเปน็ ระบบ มีการประชาสัมพันธ์โรงเรียนต่อเนือ่ ง ครูและบุคลากร แสวงหาสื่อเทคโนโลยีมาใช้เพื่อการพัฒนา การเรียนรู้ มีการระดมงบประมาณและทรัพยากรในการพัฒนาสื่อ เทคโนโลยใี หเ้ พยี งพอ ครใู ชส้ ่ือและ เทคโนโลยมี าบรู ณาการจัดการเรยี นรู้ มกี ารจดั ระบบข้อมลู สารสนเทศและ การใช้เทคโนโลยี สารสนเทศในการจัดการศึกษาเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษา ผู้เรียนมีทักษะด้านการสื่อสาร และ ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างสร้างสรรค์สามารถ เลือกใช้เทคโนโลยีและมีทักษะกระบวนการ ทาง เทคโนโลยีเพื่อพัฒนาตนเองและสังคมในการเรียนรู้ การสื่อสาร การทำงาน การแก้ปัญหา อย่างสร้างสรรค์ ถูกตอ้ ง เหมาะสม และมคี ุณธรรม ผบู้ ริหารควรปฏิบตั ิ ดงั น้ี 1) ความชดั เจนและการสนบั สนุนพันธกิจ (Mission) กลยทุ ธ์ (Strategy) ขององค์การ แห่งการเรียนรู้ เป็นองค์การที่พนักงานได้รับอำนาจในการทำงานที่เกี่ยวข้องกับความรู้และทักษะ ที่ได้รับมา การรู้ถึงพันธกิจ ขององค์การเปน็ ส่งิ สำคญั ทจี่ ะใหพ้ นักงานรวู้ ่าเขามอี ำนาจอะไรและยังเป็น การพฒั นาการสร้างสรรค์ 2) ภาวะการณ์เป็นผู้นำ (Leadership) การเป็นผู้นำท่ีรู้ถึงการให้อำนาจพนักงาน กระตุ้นและ สนับสนนุ วัฒนธรรมองค์การในเร่ืองการทดลอง และความมุง่ ม่ันท่ีมีต่อองค์การ ในสภาพแวดล้อมทางธุรกิจท่ีมี การแข่งขันอย่างมาก ผบู้ รหิ ารหรือผจู้ ัดการจะมสี ถานะเปน็ โค้ชหรือ ผู้ฝึกสอน พนักงานจะถกู กระตุ้นให้ทำงาน ในสภาพแวดล้อมที่มีความเสี่ยง ความไมแ่ น่นอน และ สร้างสรรค์ ซึง่ สภาพแวดลอ้ มในลักษณะนี้ จะต้องมีการ แชรภ์ าวะความเป็นผู้นำ โดยทกุ คนจะมี สว่ นร่วมในผลการดำเนินงานขององคก์ าร 3) การทดลอง (Experimentation) ในองค์การแห่งการเรียนรู้จะให้ความสำคัญของ วัฒนธรรม องค์การที่เน้นถึงการทดลอง กล่าวคือเป็นวัฒนธรรมองค์การท่ีเนน้ การใหร้ างวัลและ สนับสนุนการทดลองทกุ ๆ ระดับในองค์การเพื่อให้พนักงานพยายามคิดโครงการที่สร้างสรรค์ เช่น ที่บริษัท 3M นอกจากจะสนับสนุน ให้พนักงานแต่ละคนทำการทดลองแล้ว ยังอนุญาตให้พนักงาน ใช้เวลาในการทำงานบางส่วนไปคิดโครงการ ส่วนตวั อื่น 4) การถ่ายทอดความรู้ (Transfer of Knowledge) เป็นทักษะในการถ่ายทอดความรู้ ทั้งจากภายใน และภายนอกองค์การ รวมทั้งการเรียนรู้จากความล้มเหลว ทักษะที่มีหรือความรูท้ ีไ่ ด้มา จะไม่มีประโยชน์หาก ไม่มีการถ่ายทอดและนำไปใช้ปฏิบัติงาน ความรู้และทักษะเหล่านี้จะเป็น ประโยชน์มากยิ่งขึ้นถ้าได้มีการ ถ่ายทอดไปยงั ส่วนอื่น ๆ ในองคก์ ารเพอ่ื ชว่ ยในการแก้ปญั หาหรือเปน็ ปจั จัยกระตนุ้ ใหเ้ กิดความคดิ ใหม่ๆ รายวิชา : ยุทธศาสตร์การบริหารอาชวี ศึกษาและเทคนิคศกึ ษา (020617220)

29 เอกสาร : รายงานสรปุ การคน้ ควา้ เพิม่ เตมิ ในหวั ขอ้ ที่สนใจ 5) การทำงานเป็นทีมและความร่วมมือ (Teamwork and Cooperation) หลักสำคัญ ประการหน่ึง ในการพัฒนาองค์การเพื่อเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ คือ การเน้นถึงการทำงานเป็นทีม โดยที่การทำงานเป็น ทีมนี้ พนักงานหรือสมาชิกในทมี จะนำเอาทักษะและความรู้ที่สะสมมาแก้ไข ปัญหาและพัฒนาความคิดใหม่ ๆ ให้องค์การ การเป็นทีมทม่ี ปี ระสิทธภิ าพสมาชกิ ในทีมควรมาจาก หลาย ๆ หนว่ ยงานภายในองคก์ าร 6) การออกแบบองค์การ (Organizational Design) โครงสร้างองค์การในองค์การ แห่งการเรียนร้จู ะ ไม่ซับซ้อนและเนน้ การกระจายอำนาจ และมกี ระบวนการท่ีเป็นทางการ ในการทำงานน้อย 7) ทักษะและความสามารถในการทำงานของพนักงาน (Employees Skills and Competencies) องค์การที่เป็นองค์การแห่งการเรียนรู้จะเน้นการฝึกอบรมและพัฒนาทักษะ ของพนักงาน การฝึกอบรมใน องค์การแห่งการเรียนรู้นี้จะแตกต่างจากการฝึกอบรมสมัยก่อน กล่าวคือ จะเน้นที่การฝึกประสบการณ์ที่จะ สามารถพฒั นาทงั้ ทีมหรือท้ังหนว่ ยงานโดยรวม ❖ หลกั การเสริมสรา้ งสังคมแหง่ การเรียนรู้ การเสรมิ สรา้ งสังคมแห่งการเรยี นรู้เป็นกระบวนการสำคญั ทจ่ี ะตอ้ งเร่งดำเนินการเพ่ือประกันโอกาสให้ คนไทยทุกคนมีสิทธิและความเสมอภาคในการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต โดยการพัฒนาองค์ประกอบท่ี สำคญั ของสงั คมแห่งการเรียนรู้ ซึ่งมี 4 องคป์ ระกอบ (กุลธร เลศิ สุริยกลุ . 2548 ) ดังน้ี คือ 1. บุคคลแห่งการเรียนรู้เป็นการพัฒนาทักษะ ความสามารถในการเรียนรู้ แสวงหาความรู้เพื่อให้ ประชาชนโดยรวมเปน็ บคุ คลแหง่ การเรยี นรู้ ซึ่งบุคคลแห่งการเรียนรนู้ นั้ จะตอ้ งมลี ักษณะดังนคี้ ือ 1.1 ตระหนักถงึ ความสําคญั และความจาํ เป็นของการเรยี นรู้ 1.2 มีทักษะและกระบวนการคิด วิเคราะห์ และแกปัญหา สามารถใช้ความรู้ได้อย่างถูกต้อง เหมาะสม 1.3 มคี วามใฝ่รู้ สามารถสรา้ งกระบวนการเรยี นรดู้ ว้ ยตนเอง 1.4 สามารถที่จะเรียนรู้อยางต่อเนื่องตลอดช่วงอายุแต่ละวัยด้วยรูปแบบที่หลากหลาย ยืดหยุ่น และมีคุณภาพตามความตอ้ งการ ความสนใจ และความถนัด 2. แหลง่ การเรียนรู้ มีการพัฒนาแหล่งการเรยี นรู้ ด้วยเหตผุ ลดังนีค้ ือ 2.1 เพอ่ื ใหม้ ีแหลง่ เรยี นรูอ้ ยางเพียงพอ หลากหลาย ท่วั ถึง ครอบคลุมประชากรทุกพื้นที่ทุกกลุ่ม 2.2 มรี ะบบขอ้ มูล สารสนเทศ แหลง่ การเรียนรู้ เพื่อการใชป้ ระโยชน์ร่วมกัน 2.3 มีการจัดระบบเครือขา่ ยเช่ือมโยงแหลง่ การเรยี นรู้ เพอ่ื การใช้ประโยชนร์ ่วมกนั 2.4 มีการพัฒนาทรัพยากรการเรียนรู้ให้เป็นแหล่งการเรียนรู้ที่มีศักยภาพในการให้บริการการ เรยี นรู้ และมคี วามพร้อมของปจั จยั อาํ นวยความสะดวกตอ่ การเรยี นรู้ 3. องค์ความรเู้ ป็นการพัฒนาเน้อื หาสาระการเรียนรใู้ หเ้ ป็นองค์ความรู้ โดยวิธีการต่าง ๆ ดังน้ี คอื 3.1 มีระบบการจัดหาและรวบรวมความรู้จากแหล่งต่าง ๆ ทั้งภายในและภายนอก เพื่อแสวงหา องค์ความรู้ทีม่ ีประโยชน์สงู สุดต่อองค์กรหรอื ชุมชนท้องถิ่น 3.2 มีการพัฒนาระบบสารสนเทศเพื่อการจัดเก็บและค้นคืนองค์ความรู้ได้อย่างสะดวกรวดเร็ว สามารถใช้ประโยชน์ไดท้ ันเหตกุ ารณ์ รายวิชา : ยทุ ธศาสตร์การบรหิ ารอาชีวศกึ ษาและเทคนคิ ศึกษา (020617220)

30 เอกสาร : รายงานสรปุ การค้นควา้ เพ่ิมเตมิ ในหวั ข้อท่สี นใจ 3.3 มีการสร้างองค์ความรู้ใหม่ท่ีสอดคลอ้ งกับกระแสการเปลี่ยนแปลงของ สังคมโลกและบริบท ของสังคมไทย 3.4 มีการสร้างองค์ความรู้หรือเนื้อหาการเรียนรู้ที่สอดคล้องเหมาะสมกับศักยภาพ และความ ต้องการการเรียนรู้ของบุคคล กลุ่มบุคคล องค์กรหรือชุมชนท้องถิ่น โดยพัฒนาความรู้จากฐานของภูมิปัญญา ท้องถิ่นที่มีอยูเดิม และจากฐานความรู้ด้านนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของการพัฒนาแต่ละ ชมุ ชนท้องถิ่น 4. การจัดการความรู้โดยมีวิธีการที่เอื้อให้การจัดการความรู้ในองค์กรหรือชุมชนท้องถิ่นหรือสังคม เป็นไปได้โดยงา่ ย ดงั นีค้ อื 4.1 พัฒนารูปแบบการเรียนรู้ที่หลากหลาย มีระบบการจัดการสร้างแรงจูงใจรณรงค์ ส่งเสริมให้ เกิดกิจกรรมการเรียนรู้อยา่ งต่อเนอ่ื งตลอดชวี ติ 4.2 พฒั นาบุคคล องค์กร ผูด้ าํ เนินงานและผู้เกี่ยวข้องในการจัดส่งเสริมการเรยี นรู้ของประชาชน รวมทง้ั การพัฒนาทักษะความสามารถในการถ่ายทอดความรู้ภมู ปิ ญั ญาท้องถ่นิ และแหลง่ เรียนรปู้ ระเภทตา่ ง ๆ 4.3 พัฒนากลไก กระบวนการถ่ายทอดความรู้ให้ประชาชน สามารถเข้าถึงองค์ ความรู้ได้อย่าง เสมอภาค รวมทงั้ การพัฒนาระบบบริหารจดั การการใช้สอื่ และเทคโนโลยีเพื่อการเรียนร้ไู ด้อยางเสมอภาค 4.4 การสร้างบรรยากาศเพือ่ เอื้อต่อการเรียนรู้ให้เกดิ ข้ึนในทกุ หนทุกแหง่ ไม่วาจะเป็นครอบครัว องค์กร สถาบัน ชมุ ชนท้องถ่ิน สงั คม ใหป้ ระชาชนมีโอกาสเข้าสู่กระบวนการเรยี นรู้ไดต้ ลอดเวลา 4.5 มีการบูรณาการใช้ความรู้เป็นฐานในการแกปัญหาและการพัฒนาที่เหมาะสมกับสภาพของ ชมุ ชนทอ้ งถิ่น สรุปได้ว่า “การสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้” นั้น จะต้องเสริมสรา้ งให้คนไทยทกุ คนเป็นบุคคลแห่งการ เรียนรู้ ที่สามารถเรียนรู้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต และมีการจัดระบบ การจัดเก็บข้อมูล สารสนเทศและความรู้ ทำให้สะดวกต่อการเรียนรู้ การถ่ายทอด การเผยแพร่ความรู้ และการแบ่งปันความรู้ เพื่อสนับสนุน กระบวนการเรยี นรแู้ ละการสร้างนวัตกรรมใหมใ่ หเ้ กดิ ขึน้ ในชุมชนท้องถ่ินหรือสงั คม ❖ รูไ้ ดอ้ ยา่ งไร.. วา่ สาเร็จ!!! ตวั ช้ีวดั ความสำเร็จการเสริมสรา้ งสงั คมแหง่ การเรียนรู้ ในการเสริมสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ เพื่อเป็นการสนับสนุนให้สังคมทุกภาคส่วน ทุกระดับได้รับการ พัฒนาเต็มตามศักยภาพ และการสร้างสภาพแวดล้อมให้เอื้อต่อการเรียนรู้ จะทําให้เกิดพลังชุมชนที่เข้มแข็ง อันเป็นรากฐานที่มั่นคงในการเสริมสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ที่มีความยังยืนตลอดไป ซึ่งการเสริมสร้างสังคม แหง่ การเรยี นรู้นัน้ มีตวั ชว้ี ดั ความสาํ เรจ็ (กลุ ธร เลศิ สุรยิ ะกุล. 2548) ดังนค้ี ือ 1. ชมุ ชนมีกระบวนการกลมุ่ มปี ระเด็นปญั หาร่วมและมกี ระบวนการแก้ปัญหาร่วมกนั อย่างเปร็ ปู ธรรม 2. มีการจัดการให้เกิดกิจกรรมการเรียนรู้ที่หลากหลายอย่างต่อเนื่อง โดยอยูบนพื้นนฐานของการมี ส่วนรว่ มของประชาชนและทุกภาคสว่ นในสงั คม 3. เกิดความรู้ ความคิด และทางเลือกใหม่ ๆ ขึ้นในสังคม โดยบุคคล กลุ่มคน ชุมชนท้องถิ่น มีโอกาส เขา้ ถึงความรู้ มกี ารเรียนรู้ เกดิ ความคิดใหม่ ความรู้ใหม่ ทางเลอื กใหม่ พลงั ใหม่ขึ้นในสงั คม 4. ชุมชนมีการเปลี่ยนแปลงที่ดีเกิดการพึ่งพาตนเองและจัดการตนเองได้ มีการพัฒนาชุมชนท้องถ่ิน สังคมด้วยองค์ความรู้อยางตอ่ เน่อื ง รายวิชา : ยทุ ธศาสตร์การบรหิ ารอาชีวศึกษาและเทคนิคศึกษา (020617220)

31 เอกสาร : รายงานสรุปการคน้ ควา้ เพิม่ เตมิ ในหัวขอ้ ท่สี นใจ สรุปไดว้ ่า ตัวชี้วดั “ความสำเร็จของการพัฒนาการศึกษาระดับอาชวี ศึกษา สู่สงั คมแห่งการเรียนรู้ของ ประเทศไทย” คือ สังคม ชุมชน ทอ้ งถน่ิ มกี ระบวนการกลมุ่ มกี ารจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้านอาชีวศึกษา หรือ การร่วมกันส่งเสริม เรียนรู้ในกลุ่มสาขาอาชีพที่หลากหลาย อย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดความรู้ ความคิด และ ทางเลอื กใหม่ๆ ทำใหช้ มุ ชนทอ้ งถ่ินเกดิ การเปลย่ี นแปลง ทเ่ี กดิ จากจัดการแบบพ่ึงพา คนจะพัฒนาตนเองได้ต้องแสวงหาความรู้อยู่เสมอ ถ้ามีแหล่งความรู้ให้ศึกษาค้นคว้ามีระบบ เทคโนโลยีสารสนเทศเพ่ือสง่ ทอดความรู้ มีเครือข่ายคอมพวิ เตอร์ให้เข้าถึงความรู้และคนรจู้ ักวิธีแสวงหาความรู้ ยิ่งสามารถเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ได้มากขึ้น เมื่อเรียนรู้ได้มากขึ้น ก็สามารถสร้างความรู้ใหม่ได้มากขึ้น เมื่อนำมา บรู ณาการระหว่างความรู้เก่ากับความรู้ใหม่ กจ็ ะเกิดความรู้ใหม่ข้ึนมาอีก สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้มากข้ึน เป็นวงจรทต่ี อ่ เนอื่ งไมส่ ้ินสดุ ทเ่ี รยี กวา่ “วงจรแห่งการเรยี นรู้” การนำความรู้ที่ได้จากการศึกษาค้นคว้าไปประยุกตใ์ ช้ โดยจะพฒั นาตนเองหรือนักเรียนให้มีความใฝ่รู้ และกระตือรือร้นในการแสวงหาความรู้อย่ตู ลอดเวลา เพื่อพฒั นาให้เปน็ บุคคลแหง่ การเรยี นรู้ เพราะสังคมแห่ง การเรียนรู้ เป็นสังคมที่มีการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ดังนั้น การเรียนรู้ จึงเป็นสิ่งสำคัญใน การดำรงชีวิตของมนุษย์ โดยบุคคลแห่งการเรียนรู้เป็นกระบวนการขับเคลื่อนสังคม ให้เกิดการเคลื่อนไหว พฒั นาอยา่ งต่อเนอ่ื งอยู่..ตลอดเวลา ๙๙๙๙๙๙๙๙๙ รายวชิ า : ยุทธศาสตร์การบริหารอาชวี ศึกษาและเทคนิคศกึ ษา (020617220)

32 เอกสาร : รายงานสรุปการค้นควา้ เพมิ่ เตมิ ในหวั ขอ้ ทส่ี นใจ บรรณานุกรม กระทรวงศึกษาธิการ. (2546). พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2545). กรงุ เทพมหานคร: องคก์ ารรบั สง่ สนิ ค้าและพสั ดุภณั ฑ์. นฤมล จันทร์สุข. (2556). “รูปแบบและกลยุทธ์การพัฒนาการเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ของ วิทยาลัย พยาบาล.” วิทยานิพนธ์ปริญญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาอุดมศึกษา ภาควิชานโยบาย การจัดการ และ ความเปน็ ผู้นำทางการศึกษา คณะครศุ าสตร์ จฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลัย. ประเวศ วะสี. (2555). สู่สังคมแห่งการเรียนรู้ ปฏิรูปทางปัญญา พาชาติออกจากวิกฤต. สำนักงาน กองทุน สนบั สนนุ การสร้างเสรมิ สขุ ภาพ (สสส.). กรงุ เทพมหานคร: บริษัทมาตาการพมิ พ์. มาลี สืบกระแส. (2552). “การพัฒนารูปแบบองค์การแห่งการเรียนรู้ของสำนักงานเขตพื้นที่ การศึกษา.” วทิ ยานิพนธ์ปรญิ ญาปรัชญาดุษฎีบณั ฑิต สาขาวิชาการบรหิ ารการศึกษา มหาวทิ ยาลยั สยาม. วิจารณ์ พานิช. (2547). โรงเรียนแห่งคุณภาพและสร้างสรรค์. กรุงเทพมหานคร: สำนักงาน เลขาธิการสภา การศึกษา กระทรวงศึกษาธกิ าร. วิจารณ์ พานิช. (2547). การจัดการความรู้กับการบริหารราชการไทย. กรุงเทพมหานคร: สำนักงาน กองทุน สนบั สนนุ การวิจัย. วิจารณ์ พานิช. (2548). การจัดการความรู้เพื่อการพัฒนาองค์กรอัจฉริยะ. กรุงเทพมหานคร: สถาบันส่งเสริม การจัดการความรู้เพ่อื สังคม. วิจารณ์ พานิช และประพนธ์ ผาสุขยืด. (2550). การจัดการความรู้เพื่อการพัฒนาองค์กรอัจฉริยะ. กรุงเทพมหานคร: สถาบันส่งเสริมการจัดการความรู้เพื่อสังคม. วิจารณ์ พานิช. (2551). การจัดการ ความรู:้ ฉบบั นกั ปฏบิ ตั ิ. กรงุ เทพมหานคร: สขุ ภาพใจ. วจิ ารณ์ พานชิ . (2555). วิธีสรา้ งการเรยี นรู้เพ่อื ศษิ ยใ์ นศตวรรษที่ 21. กรงุ เทพมหานคร: ตถาตาพับลเิ คช่ัน. วิเชยร อนิ ทะส.ี (2565: ออนไลน์). กระบวนการสร้างสังคมการเรียนรู้ ของประเทศเกาหลีใต.้ เขา้ ถึงเม่ือ 25 เมษายน 2565. เขา้ ถึงได้ จาก chrome-extension://efaidnbmnnnibpcajpcglclefindmkaj/ https://www.tkpark.or.th/stocks/extra/000c60.pdf สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ. (2559). แผนพัฒนาเศรษฐกิจและ สังคม แห่งชาติ ฉบบั ท่ี 12 (พ.ศ. 2560 – 2564). กรงุ เทพมหานคร. สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา. (2551). คู่มือการสรรหาและคัดเลือกสังคมแห่งการเรียนรู้ ต้นแบบ. กรุงเทพมหานคร: โรงพมิ พช์ ุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จำกัด. สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา. (2551). รายงานการวิจัยวิธีวิทยาการประเมินความสำเร็จของ การศึกษา เพือ่ เสริมสรา้ งสังคมแหง่ การเรยี นร้.ู กรงุ เทพมหานคร: บริษัท เพลนิ สตดู ิโอ จำกดั . สำนกั งานเลขาธิการสภาการศึกษา. (2552). รายงานการพัฒนาตวั บ่งชี้และเคร่ืองมือวดั ตัวบ่งช้ี ตามมาตรฐาน การศกึ ษาของชาต.ิ กรุงเทพมหานคร. สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา. (2560). แผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2560 - 2579. กรุงเทพมหานคร: พรกิ หวานกราฟฟิก. สุวิธิดา จรุงเกียรติกุล. (2554). “อนาคตภาพรูปแบบสังคมแห่งการเรียนรู้เพื่อการปรับเปลี่ยนกระบวน ทัศน์ เชิงบวกสำหรับชุมชน.” วิทยานิพนธ์ปริญญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาการศึกษานอกระบบ โรงเรียน ภาควชิ าการศกึ ษาตลอดชีวิต คณะครุศาสตร์ จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลัย. รายวิชา : ยทุ ธศาสตร์การบริหารอาชีวศึกษาและเทคนคิ ศึกษา (020617220)

33 เอกสาร : รายงานสรปุ การค้นควา้ เพ่มิ เตมิ ในหัวข้อท่ีสนใจ Drucker, P. (1995). Innovation and entrepreneurship. Boston: Butterworth-Heineman. Garvin, D. A. (1 9 9 3 ) . “Building a learning organization.” Harvard Business Review 71, 4: 78-91. Garvin, D. A. (1 9 9 8 ) . Harvard business review on knowledge management: Building a learning organization. Boston: Harvard Business School Publishing. Garvin, D. A. (2000). Learning in action: A guide to putting the learning organization work. Boston: Harvard Business School Press. Gephart, M. A., et al. (1 9 9 6 ) . “ Learning organizations come alive.” Training & development 50, 12: 35-45. Hoy, W. K., & Miskel, C. G. (2 0 0 1 ) . Educational administration: Theory, research, and practice. 6 th ed. McGraw-Hill International Edition. Marquardt, M. J., & Reynolds, A. (1 9 9 4 ). The global learning organization. New York: IRWIN. Senge, P. M. (1994). The fifth discipline field book: Strategies and tools for building a learning organization. London. Century Business. รายวชิ า : ยุทธศาสตร์การบริหารอาชีวศึกษาและเทคนิคศึกษา (020617220)


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook