Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore BImmune system

BImmune system

Published by faylovemom, 2020-02-23 23:11:02

Description: BImmune system

Search

Read the Text Version

ระบบภมู ิคุ้มกนั ระบบภมู คิ ุ้มกนั ของรา่ งกาย (Lymphatic system) ในรา่ งกายของเราได้รับส่ิงแปลกปลอมมากมาย มที ้ังเชื้อโรคไดแ้ ก่ แบคทเี รีย เชอื้ รา ไวรัส พยาธิ ตา่ ง ๆ สารเคมีที่เจือปนอยู่ในอากาศท่ีจะเขา้ ส่รู า่ งกายทาง ผิวหนัง ทางระบบหายใจ ทางระบบยอ่ ย อาหาร หรือทางระบบหมนุ เวียนเลือดโดยปกติรา่ งกายจะมีการป้องกันและกาจดั สง่ิ แปลกปลอมท่ีเป็น อนั ตรายต่อร่างกายโดยระบบภูมิคุ้มกนั (immunity) สิง่ แปลกปลอมหรือเชือ้ โรคไม่สามารถเข้าสรู่ า่ งกาย ไดโ้ ดยง่ายเพราะร่างกายมีกลไกต่อตา้ นหรือทาลายสิ่งแปลกปลอมเหลา่ นน้ั ซ่ึงแบ่งไดเ้ ป็นแบบไมจ่ าเพาะ (nonspecific defense) และแบบจาเพาะ (specific defense) 1. กลไกการต่อตา้ นหรอื ทาลายสงิ่ แปลกปลอมแบบไมจ่ าเพาะ มีหลายดา้ นด้วยกัน ผิวหนงั มีเคราตนิ ซึ่งเปน็ โปรตีนทีไ่ มล่ ะลายน้าเปน็ องค์ประกอบอดั แนน่ ภายในเซลล์และเรียงตวั กนั หลายชัน้ ชว่ ยป้องกันการเขา้ ออกของสงิ่ ตา่ ง ๆ ได้ ผวิ หนงั บางบรเิ วณยงั มตี ่อมเหงื่อและต่อมไขมนั หลงั่ สารบางชนดิ เชน่ กรดไขมนั กรดแลกติก ท้าให้ผวิ หนังมสี ภาพเป็นกรด ซงึ่ เปน็ ภาวะทีไ่ มเ่ อ้ือต่อการ เจริญเติบโตของจลุ นิ ทรีย์บางชนิด นอกจากนี้ทางเดนิ อาหาร ทางเดนิ หายใจ ท่อปัสสาวะ ช่องคลอด ซึ่ง ติดต่อกับภายนอกยังมีเยื่อบุที่ทาหนา้ ที่ควบคุมการเข้าออกของสาร มีการสรา้ งเมือกและมซี ีเลยี คอยดักจบั สิง่ แปลกปลอมและพดั ออกนอกร่างกาย และพบวา่ ในน้าตาและน้าลายมีไลโซไซม์ท่ชี ่วยทาลายเช้ือโรค บางชนดิ ได้ ในกระเพาะอาหารมสี ภาพเปน็ กรดและมเี อนไซมช์ ่วยย่อยและทาลายจุลนิ ทรีย์บางชนิดได้ การอักเสบเป็นกระบวนการต่อตา้ นเช้ือโรคหรือสิง่ แปลกปลอมของระบบภมู คิ ุ้มกันของรา่ งกาย โดยผา่ นกลไกตา่ ง ๆ เพ่ือยับยั้งและดงึ ดดู องค์ประกอบต่าง ๆ ของระบบภูมคิ ุ้มกันมายังบริเวณนน้ั เชน่ การอักเสบของบาดแผลทตี่ ิดเช้ือ จะมีอาการบวมแดง ร้อนปรากฏให้เห็น 2. กลไกการตอ่ ตา้ นหรือทา้ ลายสงิ่ แปลกปลอมแบบจาเพาะจะเก่ยี วข้องกับการทางานของเซลล์ เมด็ เลือดขาวชนิดลมิ โฟไซต์ ไดแ้ ก่ เซลลบ์ แี ละเซลลท์ ี 1) การทางานของเซลล์บี เมือ่ มีแอนติเจนถกู ทาลายด้วยวิธีฟาโกไซโทซิสช้นิ สว่ นทถ่ี กู ทาลายจะไปกระตุ้นให้เซลล์บี เพ่มิ จา้ นวน เซลลบ์ บี างเซลล์จะขยายขนาดและเปลย่ี นแปลงไปทาหน้าทส่ี ร้างแอนตบิ อดีจ้าเพาะตอ่ แอนติเจน เรียกวา่ เซลลพ์ ลาสมา (plasma cell) เซลล์ทีไ่ ด้จากการท่เี ซลล์บแี บง่ ตัวบางเซลลจ์ าทาหนา้ ที่ เปน็ เซลล์ เมมเมอรี (memory cell) คือจดจาแอนติเจนนั้น ๆ ไว้ ถ้ามีแอนติเจนนเ้ี ขา้ สู่ร่างกายอีก เซลล์ เมมเมอรีก็จะมีการแบ่งตวั อย่างรวดเร็ว และเจรญิ เป็นเซลลพ์ ลาสมา สร้างแอนติบอดีออกมาทาลาย แอนตเิ จน 2) การทางานของเซลล์ที เซลล์ทีรบั ร้แู อนตเิ จนแต่ละชนิด เชน่ เซลล์ทบี างตวั จะรับรแู้ อนตเิ จนที่เปน็ ไวรัสตบั อักเสบ

เซลล์ทีบางตวั จะรบั รแู้ อนติเจนท่ีเปน็ เช้อื ไข้หวัดใหญ่ เปน็ ต้น เซลล์ทีตวั แรกท่ีตรวจจับแอนติเจน เรียกวา่ เซลลท์ ีผชู้ ่วย (helper T cell) จะทาหนา้ ทก่ี ระตุ้นเซลล์บใี หส้ รา้ งแอนตบิ อดมี าต่อต้านแอนตเิ จน หรือ กระตุน้ การทางานของเซลลท์ ีอ่นื เช่น เซลล์ทที ี่ทาลายสิง่ แปลกปลอม (cytotoxic T cell) หรือเซลลท์ ี่มี สิง่ แปลกปลอม เช่น เซลล์มะเร็ง เซลลท์ ตี่ ิดเชื้อไวรัส เซลล์จากอวยั วะ ท่ีรา่ งกายได้รับการปลกู ถา่ ย เซลลท์ ี บางเซลลท์ าหนา้ ที่ควบคุมการตอบสนองทางภมู คิ ุ้มกันเรียกว่า เซลลท์ ีกดภูมคิ ุ้มกัน (suspressor T cell) โดยสรา้ งสารไปกดการทางานของเซลล์บหี รือเซลลท์ ีอน่ื ๆ ภาพท่ี 21 แสดงการทางานของระบบภมู ิคมุ้ กนั ของรา่ งกาย ทม่ี าของภาพ : http://www.medical-labs.net/wp- content/uploads/2014/03/Inactivating-antigens-by-antibodies-binding.jpg ภาพที่ 22 แผนภาพแสดงกลไกการทางานของระบบภูมิค้มุ กันของร่างกาย ที่มาของภาพ: http://4.bp.blogspot.com/- lQjdEUcBxng/UfAvdkiWGkI/AAAAAAAAAcE/q2WuIYQ09vA/s1600/1100361_015.jpg การสรา้ งภูมคิ มุ้ กันโรคของร่างกาย

สร้างขนึ้ ได้ 2 วิธีดงั นี้ 1. ภูมคิ ุ้มกันก่อเองหรอื การก่อภูมิคมุ้ กนั ด้วยตนเอง (Active Immunization) เมื่อรา่ งกายถูกกระตนุ้ ดว้ ยแอนตเิ จนหรือส่ิงแปลกปลอมภายนอกร่างกายอาจเป็นเชื้อโรคที่ อ่อนกาลงั แลว้ ไม่ทาอันตราย นามาฉดี กนิ หรอื ทาทีผ่ ิวหนัง เพอื่ กระตุน้ ใหร้ า่ งกายสรา้ งภมู ิคุ้มกัน หรือ สรา้ งแอนติบอดี ท่ีทาปฏกิ ิรยิ าเฉพาะกบั แอนตเิ จนนั้น เชื้อโรคที่อ่อนกาลงั แลว้ นามากระต้นุ ให้รา่ งกาย สร้างแอนตบิ อดีต่อต้านเชอื้ นั้นๆ เรียกวา่ วัคซีน (vaccine) ชนดิ ของวคั ซนี แบ่งออกเป็น 2 กลมุ่ ใหญ่ ๆ คือ 1. Killed vaccine หมายถึง วัคซีนทท่ี าจากเช้ือโรคท่ีถูกฆ่าตายแลว้ หรอื ทาจาก องค์ประกอบของไขมนั เชน่ สารพิษ สารพิษก็ต้องทาลายใหห้ มดพษิ เสยี กอ่ นโดยความร้อน หรือ โดย สารเคมี ดังนั้นจึงไม่ทาให้เกิดโรคกบั ร่างกาย แตส่ ามารถกระตุ้นระบบภมู ิคุ้มกันให้สรา้ งแอนติบอดไี ด้ วัคซีนนใ้ี ชก้ นั มากเพราะเตรียมง่าย ราคาไมแ่ พงมีหลายชนิด มีประสทิ ธภิ าพสงู ได้แก่ - วคั ซนี ทท่ี าจากเช้ือแบคทีเรีย เปน็ วัคซีนที่ทาจากเชอ้ื แบคทเี รียถูกทาให้ตายแลว้ เชน่ วัคซีน ทใี่ ชป้ ้องกนั โรคไอกรนไข้ไทฟอยท์ อหิวาตกโรค ที่ใชใ้ นสัตว์ เชน่ โรคแอนแทรก - วคั ซีนทท่ี าจากไวรสั เช่น วคั ซนี สาหรับปอ้ งกันโรคโปลโิ อ (ชนิดฉดี ) โรคกลวั นา้ โรคไข้หวัด ใหญ่ - วัคซนี ประเภททอกซอยด์ ( toxoid ) ทอกซอยด์ หมายถึง สารพิษของเช้อื แบคทเี รยี ท่ีท้าให้ หมด พิษแล้วโดยใชค้ วามร้อนหรือสารเคมี สามารถนาไปกระต้นุ ร่างกายให้สร้างภมู คิ ุ้มกนั ได้ เช่น วคั ซีน ป้องกันโรคคอตีบ บาดทะยัก วคั ซนี ผลิตจากองค์ประกอบอ่ืน เชน่ เกราะห้มุ ตวั แบคทีเรยี (capsule) จะ ชว่ ยปอ้ งกันโรคไดเ้ หมอื นกนั เช่น โรคปอดบวมบางชนดิ โรคไขสันหลังอกั เสบบางชนิด 2. Lived vaccine หมายถงึ วัคซนี ทที่ ามาจากเช้ือโรคที่ท้าให้อ่อนฤทธล์ิ ง ซงึ่ เช้ือเหล่านจี้ ะ สามารถเจรญิ เติบโตและแบง่ ตวั อยูใ่ นขอบเขตจากัดเม่ือเขา้ สู่ร่างกาย ไม่ทาใหเ้ กดิ โรครุนแรง แตม่ ี ความสามารถในการกระต้นุ ใหร้ า่ งกายสรา้ งภมู ิคุ้มกนั ได้ เชน่ วัคซีนวัณโรค (BCG vaccine) โรคไทฟอยด์ โรคโปลิโอ (ชนดิ กนิ ) โรคฝีดาษ โรคไขเ้ หลือง โรคคางทมู เป็นตน้ ขอ้ ควรค้านึงถึงในการให้และรบั วัคซีน 1) วคั ซนี จะใหป้ ระสิทธิภาพท่ีดี ถ้าการให้โดยวธิ ธี รรมชาตทิ ่ีสุด เช่น วัคซีนทีเ่ ก่ยี วกับระบบ ทางเดินอาหาร ควรเปน็ วัคซนี เดียวกนั 2) ต้องรับวัคซีนใหค้ รบตามจานวนทก่ี าหนดไว้ล่วงหน้า เพราะวคั ซนี สว่ นใหญ่จะให้ผลเตม็ ท่ี เมอ่ื ไดร้ บั การกระตนุ้ หลายคร้ัง 3) เด็กแรกเกดิ จะสร้างภูมคิ ุ้มกนั ต่อวัคซนี ไมเ่ ต็มทีเ่ พราะความต้านทานทร่ี บั จากมารดาจะ เปน็ ตวั ทาให้วัคซีนทาหนา้ ท่กี ระตุ้นได้ไม่เต็มท่ี ดังนน้ั ต้องรอใหค้ วามต้านทานจากมารดาลดลงเสยี ก่อน ซ่ึง อย่ใู นช่วง 4 - 6 เดอื น 4) ผู้ทีม่ ีความเส่ียงตอ่ การเป็นโรคตดิ ต่อเช้อื ควรได้รับการแนะนาใหฉ้ ีดวคั ซนี เชน่ หัดเยอรมัน ในสตรที ีอ่ ยูใ่ นระยะมีบตุ ร บคุ คลทอี่ ยใู่ นบรเิ วณโรคนั้นๆระบาด 5) สตรีท่ีกาลงั ต้ังครรภ์ ไม่ควรได้รบั วัคซีนประเภท Live vaccine เพราะเปน็ อนั ตรายแก่เด็ก

ได้ 6) ผทู้ ีม่ ีความผิดปกติของระบบภมู คิ มุ้ กันหรือใช้ยาบางประเภทไมค่ วรใช้ Live vaccine ดงั น้ัน ควรปรึกษาแพทย์กอ่ นทกุ คร้ัง 2. ภูมิคมุ้ กันที่รับมา (Passive Immunization) เป็นการใหแ้ อนติบอดแี กร่ ่างกายโดยตรง โดยแอนติบอดีนไี้ ดจ้ ากสัตวอ์ ืน่ ๆ ใช้ส้าหรบั รกั ษา โรคบางชนิด ทแ่ี สดงอาการรุนแรงเฉยี บพลนั โดยการฉีดเชอ้ื โรคที่อ่อนกาลังแล้วเขา้ ไปในสตั ว์พวกม้า หรอื กระตา่ ยเพื่อใหร้ า่ งกายของสัตวด์ ังกล่าวสรา้ งแอนติบอดีข้ึนมาต่อต้านเช้อื โรคน้ันๆ แลว้ นา้ เลอื ดของมา้ หรอื กระตา่ ยเฉพาะสว่ นทีเ่ ปน็ น้าใส ๆ เรียกวา่ ซรี มั (serum) ซึง่ ในซรี ัมมแี อนตบิ อดอี ยู่มาฉีดให้กบั ผู้ปว่ ย เปน็ การทาใหร้ า่ งกายไดร้ บั ภูมิคมุ้ กันโดยตรง สามารถป้องกนั โรคได้ทันทว่ งที เช่น ซรี ัมสาหรบั คอตีบ ซรี ัม แกง้ ูพษิ ซรี มั โรคกลวั ้นา้ ภูมคิ มุ้ กนั ทีแ่ มใ่ ห้ลกู โดยผา่ นทางรก หรืออาจไดร้ ับโดยการกนิ นม ขอ้ เสียของภมู ิคุ้มกันรบั มา แอนตบิ อดีอยู่ได้ไม่นาน ผ้ปู ว่ ยอาจแพซ้ ีรมั จากสตั วไ์ ด้ หรืออาจติดเชอื้ อื่น ๆ ท่ีมีใน นา้ เหลอื งของผใู้ ห้ เช่น ไวรัสตับอกั เสบและโรคเอดส์ ข้อดีของภมู คิ ุ้มกนั รบั มา สามารถให้ภมู ิคุ้มกันอยา่ งรวดเรว็ สามารถปอ้ งกันได้แมไ้ ด้รบั หลังจากทไี่ ดส้ มั ผัสกบั เชอื้ โรค นั้นแลว้ ความผดิ ปกติของระบบภูมคิ ุ้มกันโรค จะเห็นไดว้ า่ ระบบภมู ิคมุ้ กนั เป็นระบบท่ีมีกระบวนการต่างๆ ของร่างกาย เพ่ือตอบสนองจากการท่ีมีสงิ่ แปลกปลอมตา่ งๆ เข้าส่รู ่างกาย ฉะนัน้ ภูมิคมุ้ กันของร่างกาย จึงมไี วเ้ พ่ือป้องกันตนเองให้พ้นจากอันตรายที่ เกิดจากสิ่งแปลกปลอมต่างๆ ไดง้ า่ ย แต่ถา้ มีการตอบสนองรนุ แรงเกนิ ไปก็อาจทาใหเ้ กิดโรคได้ เชน่ โรคภมู แิ พ้ (allergy) โรคเอสแอลอ(ี Systemic Lupus Erythematosus : SLE) เป็นตน้ โรคภูมแิ พ้เป็นอาการทีเ่ กดิ ขึน้ เน่ืองจากรา่ งกายมีปฏกิ ริ ยิ าต่อแอนตเิ จนบางชนิดรุนแรง และ ก่อให้เกดิ อันตรายต่อรา่ งกาย เช่น การแพส้ ารเคมีในบา้ น ฝนุ่ ละออง เกสรดอกไม้ อาหารทะเล และ อากาศ เป็นตน้ แมบ้ างโรคไมร่ ุนแรงมากแต่กม็ อี าการต่อเนอื่ งต้องรับการรักษาตลอดเวลาทาให้เสยี ค่าใช้จา่ ย ในการรกั ษา จากการศึกษาทางแพทย์พบวา่ โรคภูมแิ พ้ต่อสารบางชนิดเกย่ี วข้องทางพนั ธุกรรมดว้ ย การสรา้ งภูมิคุ้มกันตอ่ เน้ือเยื่อตนเอง เชน่ กรณเี ป็นโรคเอสแอลอี เปน็ ความผดิ ปกติทรี่ า่ งกาย สรา้ งภูมคิ ุ้มกันขึน้ มาต่อตา้ นเซลล์ของตนเอง ซง่ึ โดยปกติแลว้ ภูมคิ ุ้มกนั ในร่างกายสามารถแยกความแตกตา่ ง

ได้ว่าแอนติเจนใดเป็นแอนตเิ จนของตนเอง และแอนตเิ จนใดเปน็ ส่ิงแปลกปลอม จึงสร้างแอนตบิ อดจี าเพาะ มาทาลายแอนติเจนเทา่ นั้นจะไมท่ าลายเซลล์ของตนเอง แต่ในบางกรณีเกดิ ภาวะผดิ ปกติข้ึน กลไกการ ควบคมุ เสยี ไปทาใหร้ า่ งกายสร้างแอนตบิ อดมี าต่อต้านแอนติเจนของตนเอง ผปู้ ่วยเป็นโรคเอสแอลอจี ะต้อง ดแู ลรกั ษาตนเองควบคูกบั การดแู ลของแพทยอ์ ยา่ งใกล้ชดิ เม่อื ร่างกายได้รับแอนตเิ จนหรือส่ิงแปลกปลอมระบบภูมคิ ุ้มกนั ของร่างกายจะกาจดั แอนตเิ จนน้ันให้ หมดไปเพอ่ื ไมใ่ หเ้ กิดโรค ถา้ แอนตเิ จนถูกกาจัดไม่ไดห้ รือกาจัดไม่หมด ก็จะทาให้เกดิ โรคได้ ในปจั จุบนั โรค ทที่ าลายชีวิตมนุษย์เป็นจานวนมาก และยังไม่สามารถหาวธิ รี ักษาใหห้ ายขาดได้คือ โรคเอดส์ ซึ่งมีการ แพรก่ ระจายของโรคอยา่ งรวดเรว็ มากในระยะเวลาสั้น กองควบคุมโรคระบาดไดเ้ ก็บข้อมูลคนทีป่ ่วยเป็นโรคเอดส์ในปัจจบุ ันพบวา่ เป็นดังภาพท่ี 6-47 http://www.vcharkarn.com/userfiles/102893/1%20(97).jpg ภาพท่ี 6-47 จานวนผปู้ ่วยท่ีไดร้ บั รายงานจากโรงพยาบาลท้ังภาครฐั และเอกชนของประเทศไทยระหว่างปี พ.ศ. 2535-2544 แหล่งข้อมูล : กองระบาดวิทยา สานักงานปลดั กระทรวงสาธารณสุข หมายเหตยุ งั มีผ้ปู ว่ ยท่ีไม่ไดร้ ับการรกั ษาพยาบาลในโรงพยาบาลทัง้ ภาครัฐและเอกชน คาดว่านา่ จะมจี านวน ผู้ปว่ ยเอดส์มากกว่าน้ีประมาณ 30-60%

จากการศึกษาจานวนเซลล์ทขี องผู้ป่วยท่ไี ดร้ ับเชื้อ HIV พบวา่ จานวนเซลล์ทีเปน็ ดังภาพที่ 6-48 http://www.vcharkarn.com/userfiles/74451/1%20(98).jpg โรคเอดส์ เปน็ โรคท่ีมีอาการของภูมิคมุ้ กนั บกพร่อง อนั เกดิ จากเช้ือไวรัสชนิด HIV เข้าไปเจรญิ เพม่ิ จานวน ในเซลล์ที่ผชู้ ่วยและทาลายเซลลท์ ีในเวลาต่อมา ซง่ึ มีผลทาใหร้ ะบบภูมิคุ้มกันของร่างกายเสอื่ มหรือบกพร่อง ลง ร่างกายจึงอ่อนแอและติดเชื้อโรคตา่ งๆ รวมทง้ั เป็นโรคมะเร็งบางชนิดได้งา่ ย ไวรัสเมือ่ เข้าสรู่ า่ งกายจะ แพร่กระจายไปตามอวัยวะต่างๆ ของรา่ งกาย เชน่ ไขกระดูก สมอง ปอด ไต และดวงตา เป็นตน้ นอกจากน้ี ไวรสั HIV ยงั พบในสารคัดหล่งั ตา่ งๆ ของร่างกาย เช่น เลือด อสุจิ น้านม นา้ ตา และน้าลาย เปน็ ตน้ นกั เรยี นคงสงสัยว่าทาไมติดเชอื้ ไวรสั ชนดิ อื่น เชน่ ไวรสั หวัด ไวรัสตับอกั เสบบี ไวรสั ไขเ้ ลือดออก เป็นต้น เมอื่ เกิดภมู ิตา้ นทานต่อเชื้อแล้วร้อยละ 90 ของคนไข้จะหายจากโรค แตค่ นท่ตี ดิ เช้ือ HIV แม้รา่ งกายจะสร้าง ภูมติ า้ นทานตอ่ เชื้อ HIV น้กี ต็ าม แต่ในทสี่ ดุ ภูมิต้านทานจะเสียไป อาการก็ทรดุ ลงเรื่อยๆ และเสียชีวิตใน ทสี่ ุด สาเหตุท่เี ปน็ เชน่ น้เี น่อื งมาจากเชื้อ HIV มลี ักษณะพเิ ศษตา่ งจากเชอ้ื ไวรสั อื่นๆ 4 ประการ 1. เชื้อ HIV จะทาลายเซลล์เม็ดเลอื ดขาวของร่างกายชนิดเซลล์ทีผู้ช่วยจึงทาใหไ้ ม่มีสารทจ่ี ะไป กระตุน้ เซลล์ บี แบง่ ตัวเพือ่ สร้างเซลล์พลาสมา ประสทิ ธิภาพของการสร้างแอนติบอดีที่จะทลายแอนติเจน ต่างๆ จึงลดลง 2. เช้อื HIV เพ่มิ จานวนและมกี ารกลายพนั ธุ์ไดง้ ่าย ดังนน้ั ในชว่ งแรกๆ ของการติดเชอื้ ร่างกาย จะมกี ารสร้างภูมิต้านทานสาหรับเชื้อ HIV แตใ่ นระยะต่อๆ มาเชอื้ กลายพนั ธุ์ไปบางสว่ น ทาใหภ้ ูมติ ้านทานท่ี สรา้ งข้นึ มาแลว้ น้ันไม่สามารถทาลายเชือ้ HIV ให้หมดไปได้

3. เชือ้ HIV เจรญิ และเพ่ิมจานวนอยู่ในเซลลเ์ มด็ เลอื ดขาวเซลล์ทีผ้ชู ว่ ย และใชอ้ งคป์ ระกอบ ตา่ งๆ ในเซลลเ์ ม็ดเลือดขาวในการเพ่ิมปรมิ าณเช้ือ HIV และแพรก่ ระจายไปสเู่ ซลล์เมด็ เลอื ดขาวชนดิ อ่ืนต่อไป 4. เชื้อ HIV มสี ารพนั ธุกรรมเปน็ RNA ซง่ึ เมื่อเขา้ ส่เู ซลลจ์ ะสร้างสารพนั ธุกรรมในรูป DNA และ แทรกเข้าไปอยใู่ น DNA ของเซลล์ ซึง่ อาจทาหน้าทีส่ รา้ งไวรัสหรือแฝงตวั อยเู่ ป็นเวลาก่อนทีจ่ ะถูกกระตุ้นให้ สร้างไวรัส ดังน้ันจึงไดม้ ีการรายงานวา่ งมคี นติดเชอ้ื HIV แล้วจะหายจากโรคเอดสน์ ้ีได้ การปอ้ งกันไมใ่ หต้ ดิ เช้ือจงึ เปน็ สงิ่ ทส่ี าคัญทสี่ ุด ทางการแพทย์มหี ลักฐานทส่ี าคัญที่จะระบวุ า่ โรคเอดสม์ กี ารระบาดและการติดต่อ ไดท้ างเพศสัมพันธ์ การใชเ้ ข็มฉีดยารว่ มกนั การไดร้ บั เลือดทมี่ เี ชอ้ื HIV การคลอดจากแม่ท่ีติดเช้ือ


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook