โดย นางสาวสริ าวรรณ ฟองแก้ว เลขท1ี 9 ม.5/4
ภมู ปิ ญญาไทยภาคเหนือ ผา ไหมยกดอก รม กระดาษสา การแกะสลกั ไม
ผา้ ไหมยกดอก จ.ลําพูน เปนทีรจู้ กั กันแพรห่ ลายทังภายในประเทศและต่างประเทศ เนอื งจากลักษณะของผา้ ไหมลําพูน หรอื ผา้ ไหมยกดอกลําพูน มเี อกลักษณท์ ีโดดเดน่ คือเนอื ผา้ แนน่ ละเอียด มคี วามมนั วาว ซกั แล้วสไี มต่ ก ไมซ่ ดี เมอื นาํ ไปตัดเยบ็ เสอื ผา้ ตะเขบ็ ไมแ่ ตก ง่าย มคี วามพถิ ีพถิ ันในการทอ ตังแต่กรรมวธิ กี ารทอ การออกแบบลวดลายใหห้ ลาก หลาย การยอ้ มสี ทังสธี รรมชาติ และสเี คมี แต่ยงั มกี ารอนรุ กั ษ์รปู แบบเดมิ ๆไว้ จาก การทอผา้ ไหมเพอื ใชเ้ องมาเปนของฝาก จนกระทังทอผา้ ไหมเพอื จาํ หนา่ ยทังใน และ ต่างประเทศ
การแกะสลักไม้ การแกะสลักไมเ้ ปนงานศิลปกรรมพนื บา้ นของชาวล้านนา ทีทําสบื ต่อกันมาเปนเวลาชา้ นาน ในอดตี การแกะสลักไมส้ ว่ นใหญจ่ ะเปนงานศิลปกรรมทีมคี วามเกียวขอ้ งกับสงิ ก่อสรา้ ง เนอื งในพุทธศาสนา นอกจากนนั ก็จะการแกะไมเ้ พอื ใชป้ ระดบั ตกแต่งบา้ นเรอื นบา้ ง หรอื ทํา เปนสงิ ของเครอื งใชเ้ ล็กๆ นอ้ ยๆ บา้ ง แต่ปจจุบนั รปู แบบของการแกะสลักไมไ้ ดเ้ ปลียน แปลงไป กลายเปนงานศิลปกรรมเชงิ พาณชิ ย์ เนอื งจากผลิตภัณฑ์ไมแ้ กะสลักเปนที ต้องการของตลาดอยา่ งมาก ดว้ ยเหตนุ รี ปู แบบทางศิลปกรรมของ
รม่ กระดาษสา บา้ นบอ่ สรา้ งอยูใ่ นเขตอําเภอสนั กําแพงจงั หวดั เชยี งใหมเ่ ปนหมูบ่ า้ นทีมกี ารทํารม่ ซงึ มี ลักษณะเดน่ ไมเ่ หมอื นทีอืนคือตัวรม่ ทําดว้ ยกระดาษสาและผา้ แพรสสี นั สดใสมลี วดลาย ดอกไมส้ วยงามซงึ ถือวา่ เปนหตั ถกรรมพนื บา้ นทีนา่ สนใจและไดร้ บั การขนานนามจากชาว ต่างประเทศวา่ เปนหมูบ่ า้ นทํารม่ หรอื BUmbrella Village และแต่ละวนั จะมนี กั ท่องเทียว เดนิ ทางไปเทียวชมบา้ นบอ่ สรา้ งเปนประจาํ โดยเฉพาะในชว่ งทีมงี านเทศกาลรม่ บอ่ สรา้ งดว้ ย แล้วดรู าวกับวา่ ทกุ คนจะพากันหลังไหลไปเทียวบา้ นบอ่ สรา้ งกันเปนจาํ นวนมาก
ภมู ปิ ญญาภาคตะวนั ออกเฉียงเหนอื หมอนขดิ ผา ไหมมัดหม่ี กระติบขา ว
หมอนขดิ เปนงานหตั ถกรรมทีสาํ คัญของชาวอีสานทีมคี วามผกู พนั กับคติความเชอื ของชาวอีสานมาชา้ นาน ดงั จะเหน็ ไดจ้ าก “ผา้ ขดิ ” ซงึ เปนวตั ถดุ บิ ในการทําหมอนขดิ ทีต้องใชฝ้ มอื และความสามารถในการ ทอสงู กวา่ ผา้ ชนดิ อืน “ขดิ ” เปนภาษาพนื บา้ นของภาคอีสานหรอื ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนอื มาจาก คําวา่ “สะกิด” หมายถึงงัดชอ้ นขนึ หรอื สะกิดขนึ สนั นษิ ฐานวา่ มาจาก ภาษาบาลีคําวา่ “ขจดิ ” แปล วา่ “ทําใหง้ ดงาม” ชา่ งอีสานถือวา่ ผา้ ขดิ เปนของสงู จงึ มกั จะทอใชใ้ นโอกาสทีเปนมงคล
กระติบขา้ ว เปนภาชนะบรรจุขา้ วเหนยี วของชาวอีสาน กระติบขา้ วนนั พบเหน็ ไดท้ ัวไป เปนภาชนะสานทรงกลมมฝี าปด ฐานของกระติบจะทําจากก้านตาล ขดเปนวงกลม มมี ากมายหลายขนาด การสานทําไดง้ ่าย เพราะใชต้ อกไมไ่ ผท่ ีมคี วามบางอ่อนตัว
ผา้ ไหมมดั หมี การทอผา้ มดั หมโี บราณนยิ มการยอ้ มสดี ว้ ยสธี รรมชาติ เชน่ สแี ดงจากครงั สนี าํ เงินจากคราม เปนต้น สว่ นผา้ ไหมมดั หมจี ะนยิ มทําในกล่มุ ไท-ลาวในภาคตะวนั ออกเฉียงเหนอื จากเสน้ ทางการรบั แบบอยา่ งของผา้ มดั หมี คือจากอินเดยี ผา่ น มาทางอินโดนเี ซยี และกัมพูชาหรอื เขมร ดงั ทีเราจะเหน็ ได้วา่ ผา้ ไหมมดั หมขี อง จงั หวดั สรุ นิ ทร์ และบุรรี มั ย์ จะเปนวฒั นธรรมทีเปนแบบเขมรอยา่ งเหน็ ได้ชดั
ภมู ปิ ญญาภาคกลาง โองมงั กร บา นเรือนไทย ประเพณรี าํ พาขา วสาร
โอ่งมงั กร โอ่งมงั กรไดถ้ ือกําเนดิ ขนึ บนแผน่ ดนิ ไทยมากวา่ 80 ปแล้ว ณ ดนิ แดนฝงตะวนั ตก ของประเทศไทย ทีไดช้ อื วา่ ดนิ ดเี หมาะแก่การทําโอ่ง ทีจงั หวดั ราชบุรี เมอื ป 2476 นาย ฮง แซเ่ ตีย และ นาย จอื เหมง็ แซอ่ ึง เปนชาวจนี จากเมอื งปงโคย ไดอ้ พยพมาตังถินฐาน ในประเทศไทย และไดพ้ บวา่ แหล่งดนิ ทีจงั หวดั ราชบุรเี หมาะแก่การปนโอ่ง จงึ หนุ้ กันก่อ ตังโรงโอ่ง จนเปนทีมาของโรงโอ่ง เก้าแซไถ่ และ เถ้าฮงไถ่ โดย โรงโอ่งเถาแซไถ่เนน้ ผลิตโอ่งและกระถางต้นไม้ สว่ น โรงโอ่งเถ้าฮงไถ่ เนน้ เครอื งเซรามกิ และเครอื งประดบั ตกแต่ง ปจจุบนั ทายาทรนุ่ ที 3 คณุ พงษ์ศักดิ สพุ านชิ ารภาชนเ์ ปนเจา้ ของ
บา้ นเรอื นไทย บา้ นเรอื นไทยภาคกลาง นนั เปนหนงึ ในสรี ปู แบบของเรอื นไทยทังสภี าคทีไดร้ บั ความนยิ มสรา้ งขนึ เพอื อยูอ่ าศัยมาตังแต่สมยั โบราณ เรอื นไทยภาคกลางนนั จดั วา่ เปนเรอื นไทยทีได้ รบั ความนยิ มมากกวา่ เรอื นไทย ภาคอืน ๆ
ประเพณีราํ พาขา้ วสาร การราํ พาขา้ วสาร นยิ มจดั ขนึ ในชว่ งหนา้ นาํ ประมาณชว่ งออกพรรษาและเปนชว่ งที ชาวบา้ นจะไดร้ ว่ มงานบุญใหญซ่ งึ เรยี กวา่ การทอดกฐนิ การราํ พาขา้ วสาร เปนการ บอกบุญทางเรอื โดยบอกบุญกับชาวบา้ นทีอาศัยอยูร่ มิ ฝงแมน่ าํ การราํ พาขา้ วสาร จะ รอ้ งราํ พาในชว่ งกลางคืน ก่อนทีจะถึงวนั ทอดกฐนิ เพอื รวมรวมสงิ ของ จตปุ จจยั ไปรว่ มทอดกฐนิ
ภมู ปิ ญญาภาคใต้ มโนราห การชักพระ ชงิ เปรต
มโนราห์ การแสดงโนรา เปนการละเล่นทีมที ังการรา่ ยราํ บทรอ้ งประกอบดนตรี บท เจรจา และบางทีก็มกี ารแสดงเรอื งดว้ ย เครอื งดนตรขี องโนราคล้ายกับเครอื ง ดนตรขี องหนงั ตะลงุ คือมี ทับ กลอง ป โหมง่ ฉิง และแตระ เครอื งดนตรเี หล่านี จะใชป้ ระกอบจงั หวะและเสยี งรอ้ งใหเ้ ขา้ กันกับการราํ
การชกั พระ ประเพณชี กั พระ บางท้องถินเรยี กวา่ \"ประเพณลี ากพระ \" เปนประเพณพี นื เมอื งของ ชาวภาคใต้ ไดม้ กี ารสบื ทอดกันมาตังแต่สมยั ศรวี ชิ ยั โดยสนั นษิ ฐานวา่ ไดเ้ กิดมขี นึ ครงั แรกในประเทศอินเดยี
ชงิ เปรต \"ชงิ เปรต\" เปนประเพณขี องภาคใต้ทีกระทํากันในวนั สารท เดอื น ๑๐ เปนประเพณี สาํ คัญทีจดั ขนึ เพอื ทําบุญอุทิศแก่บรรพบุรษุ ผลู้ ่วงลับไปแล้ว พระยาอนุมานราชธนได้ กล่าวไวใ้ นสารานกุ รมฉบบั ราชบณั ฑิตยสถานวา่ การชงิ เปรตทีปฏิบตั ิกันในประเพณี สารทเดอื น ๑๐ นี
Search
Read the Text Version
- 1 - 17
Pages: