เมฆ (Cloud) เกดิ จากไอน้าในอากาศเมอ่ื กระทบความเยน็ บางส่วนจะกลน่ั ตวั เป็ นหยด น้าเลก็ ๆ รวมตวั กนั ซ่ึงจะมีรูปร่างลกั ษณะต่าง ๆ กนั บางคร้ังจะเห็น รูปร่างเป็นกอ้ นคลา้ ยสาลีลอยอยใู่ นทอ้ งฟ้ าท่ีระดบั ความสูงต่าง ๆ กนั บางคร้ังกม็ ีลกั ษณะรูปร่างคลา้ ยขนนก ส่วนเมฆที่มีขนาดใหญ่เป็น แผ่นหนา สีดามืด ภายในกอ้ นเมฆน้นั เตม็ ไปดว้ ยหยดน้าท่ีอดั ตวั กนั แน่น จะเรียกวา่ เมฆฝน
เมฆ (Cloud) แสดงวา่ จะมีพายุ ฝนฟ้ าคะนองเกิดข้ึน ถา้ หยดน้าท่ีรวมตวั กนั เป็นเมฆมีขนาดใหญ่ข้ึนจนอากาศอุม้ ไวไ้ ม่ไดก้ จ็ ะตกลง มาเป็นฝน (rain)
แบ่งเมฆออกเป็ น 3 ช้ัน 1. เมฆช้นั สูง เกิดข้ึนท่ีระดบั ความสูงมากกว่า 6 กโิ ลเมตร ในการเรียกช่ือ จะเติมคาวา่ “เซอโร” ซ่ึงแปลวา่ “ช้นั สูง” ไวข้ า้ งหนา้ เช่น เมฆแผน่ ช้นั สูง เรียกวา่ “เมฆเซอโรสตราตสั ” (Cirrostratus) เมฆกอ้ นช้นั สูงเรียกวา่ “เมฆ เซอโรคิวมลู สั ” (Cirrocumulus) นอกจากน้นั ยงั มีเมฆช้นั สูงท่ีมีรูปร่าง เหมือนขนนก เรียกวา่ “เมฆเซอรัส” (Cirrus)
เมฆช้ันสูง เมฆเซอโรควิ มูลสั (Cirrocumulus) เมฆสีขาว เป็นผลึกน้าแขง็ มี ลกั ษณะเป็นริ้วคลื่นเลก็ ๆ มกั เกิดข้ึนปกคลมุ ทอ้ งฟ้ าบริเวณ กวา้ ง
เมฆช้ันสูง เมฆเซอโรสตราตสั (Cirrostratus) เมฆแผน่ บาง สีขาว เป็นผลึกน้าแขง็ ปกคลุมทอ้ งฟ้ าเป็นบริเวณกวา้ ง โปร่งแสงต่อแสงอาทิตย์ บางคร้ังหกั เหแสง ทาใหเ้ กิดดวงอาทิตยท์ รงกลด และดวงจนั ทร์ทรงกลด เป็นรูป วงกลม สีคลา้ ยรุ้ง
เมฆช้ันสูง เมฆเซอรัส (Cirrus) เมฆริ้ว สีขาว รูปร่างคลา้ ยขน นก เป็นผลึกน้าแขง็ มกั เกิดข้ึน ในวนั ที่มีอากาศดี ทอ้ งฟ้ าเป็น สีฟ้ าเขม้
แบ่งเมฆออกเป็ น 3 ช้ัน 2. เมฆช้นั กลาง เกิดข้ึนท่ีระดับสูง 2 – 6 กโิ ลเมตร ในการเรียกช่ือจะเติมคา วา่ “อลั โต” ซ่ึงแปลวา่ “ช้นั กลาง” ไวข้ า้ งหนา้ เช่น เมฆแผน่ ช้นั กลาง เรียกวา่ “เมฆอลั โตสตราตสั ” (Altostratus) เมฆกอ้ นช้นั กลางคือ “เมฆอลั โตคิวมลู สั ” (Altocumulus)
เมฆช้ันกลาง เมฆอลั โตคิวมูลสั (Altocumulus) เมฆกอ้ น สีขาว มีลกั ษณะ คลา้ ยฝงู แกะ ลอยเป็นแพ มี ช่องวา่ งระหวา่ งกอ้ นเลก็ นอ้ ย
เมฆช้ัน กลาง เมฆอลั โตสตราตัส (Altostratus) เมฆแผน่ หนา ส่วนมากมกั มีสีเทา เนื่องจากบงั แสงดวงอาทิตย์ ไมใ่ หล้ อด ผา่ น และเกิดข้ึนปกคลมุ ทอ้ งฟ้ าเป็น บริเวณกวา้ งมาก หรือปกคลุมทอ้ งฟ้ า ท้งั หมด
แบ่งเมฆออกเป็ น 3 ช้ัน 3. เมฆช้นั ต่า อยสู่ ูงจากพ้ืนดินไม่เกนิ 2 กโิ ลเมตร มี 5 ชนิด ไดแ้ ก่ เมฆสต ราตสั เมฆคิวมลู สั เมฆสตราโตคิวมลู สั เมฆนิมโบสตราตสั และเมฆคิวมู โลนิมบสั ตามท่ีไดก้ ล่าวมาแลว้ อยา่ งไรกต็ ามนกั อุตุนิยมวทิ ยาถือวา่ เมฆ คิวมูลสั และเมฆคิวมูโลนิมบสั เป็ นเมฆก่อตัวในแนวดิ่ง ซ่ึงมีฐานเมฆอยใู่ น ระดบั เมฆช้นั ต่า แต่ยอดเมฆอาจอยใู่ นระดบั ของเมฆข้นั กลางและช้นั สูง
เมฆช้ันตา่ เมฆสตราตสั (Stratus) เมฆแผน่ บาง ลอยสูงเหนือพ้นื ไมม่ าก นกั เช่น ลอยปกคลุมยอดเขา มกั เกิดข้ึนตอนเชา้ หรือหลงั ฝนตก บางคร้ังลอยต่ามีลกั ษณะคลา้ ยหมอก
เมฆช้ันตา่ เมฆสตราโตคิวมูลสั (Stratocumulus) เมฆกอ้ น ลอยติดกนั เป็นแพ ไม่มี รูปทรงที่ชดั เจน มีช่องวา่ งระหวา่ ง กอ้ นเพียงเลก็ นอ้ ย มกั เกิดข้ึนเวลาท่ี อากาศไมด่ ี และมีสีเทา เน่ืองจากลอย อยใู่ นเงาของเมฆช้นั บน
เมฆช้ันตา่ เมฆนิมโบสตราตสั (Nimbostratus) เมฆแผน่ สีเทา เกิดข้ึนเวลาท่ีอากาศมี เสถียรภาพทาใหเ้ กิดฝนพราๆ ฝนผา่ น หรือฝนตกแดดออกไม่มีพายฝุ นฟ้ า คะนอง ฟ้ าร้องฟ้ าผา่ มกั ปรากฏใหเ้ ห็น สายฝนตกลงมาจากฐานเมฆ
แบ่งเมฆออกเป็ น 3 ช้ัน เมฆก่อตวั ในแนวต้งั (Clouds of Vertical Development) เกิดข้ึน ทีร่ ะดบั ความสูง 500 เมตร ถงึ 3000 เมตร
เมฆก่อตวั ในแนวต้งั เมฆคิวมูลสั (Cumulus) เมฆกอ้ นปุกปุย สีขาวเป็นรูปกะหล่า ก่อตวั ในแนวต้งั เกิดข้ึนจากอากาศไม่ มีเสถียรภาพ ฐานเมฆเป็นสีเทา เน่ืองจากมีความหนามากพอที่จะบด บงั แสง จนทาใหเ้ กิดเงา มกั ปรากฏให้ เห็นเวลาอากาศดี ทอ้ งฟ้ าเป็นสีฟ้ าเขม้
เมฆก่อตวั ในแนวต้งั เมฆคิวมูโลนิมบัส (Cumulonimbus) เมฆก่อตวั ในแนวต้งั พฒั นามาจากเมฆ คิวมลู สั มีขนาดใหญ่มาก ปกคลมุ พ้นื ท่ี ครอบคลมุ ท้งั จงั หวดั ทาใหเ้ กิดพายฝุ นฟ้ า คะนอง หากกระแสลมช้นั บนพดั แรง กจ็ ะ ทาใหย้ อดเมฆรูปกะหล่า กลายเป็นรูปทง่ั ตี เหลก็ ต่อยอดออกมาเป็น เมฆเซอโรสต ราตสั หรือเมฆเซอรัส
หยาดนา้ ฟ้ า หยาดน้าฟ้ า (Precipitation) เป็นช่ือเรียกรวมของหยดน้าและน้าแขง็ ที่เกดิ จาการควบแน่นของไอนา้ แล้วตกลงมาสู่พนื้ เช่น ฝน ลกู เห็บ หิมะ เป็นตน้ หยาดน้าฟ้ าแตกต่างจากจากหยดน้าหรือละอองน้าใน กอ้ นเมฆ (Cloud droplets) ตรงที่หยาดน้าตอ้ งมขี นาดใหญ่และมี นา้ หนักมากพอทจ่ี ะชนะแรงต้านอากาศ และตกสู่พนื้ โลกได้โดยไม่ ระเหยเป็ นไอนา้ เสียก่อน
หยาดนา้ ฟ้ า ได้แก่ ละอองหมอก (Mist) เป็นหยดน้าขนาด 0.005 – 0.05 มิลลิเมตร เกดิ จากเมฆสตราตสั ทาใหเ้ รารู้สึกช้ืนเมื่อเดินผา่ น มกั พบบน ยอดเขาสูง ฝนละออง (Drizzle) เป็นหยดน้าขนาดเลก็ กวา่ 0.5 มิลลิเมตร เกดิ จากเมฆสตราตสั พบเห็นบ่อยบนยอดเขาสูง ตกต่อเน่ืองเป็น เวลานานหลายชว่ั โมง
หยาดนา้ ฟ้ า ได้แก่ ฝน (Rain) เป็นหยดน้ามีขนาดประมาณ 0.5 – 5 มิลลิเมตร ฝนส่วนใหญ่ตกลงมาจากเมฆนิมโบสตราตสั และเมฆควิ มูโลนิมบัส
หยาดนา้ ฟ้ า ได้แก่ หิมะ (Snow) เป็นผลึกน้าแขง็ ขนาดประมาณ 1 – 20 มิลลิเมตร ซ่ึงเกดิ จากไอนา้ จากนา้ เยน็ ยงิ่ ยวด ระเหิดกลบั เป็ นผลกึ นา้ แข็ง แล้วตกลงมา (เคยมีหิมะตกท่ีจงั หวดั เชียงราย ในปี ท่ีอากาศหนาว เยน็ มาก)
หยาดนา้ ฟ้ า ได้แก่ ลกู เห็บ (Hail) เป็นกอ้ นน้าแขง็ ขนาดใหญ่กวา่ 5 เซนติเมตร เกดิ ขึน้ จากกระแสในอากาศแนวดง่ิ ภายในเมฆ ควิ มูโลนิมบัส พดั ให้ผลกึ นา้ แขง็ สะสมตวั จนมขี นาดใหญ่ และตกลงมา
ฝนกรด ฝนกรด (Acid Rain) วดั ไดจ้ ากการใชเ้ สกลท่ีเรียกวา่ pH ซ่ึงค่ายงิ่ นอ้ ยแสดงความเป็นกรดท่ีแรงข้ึน น้าบริสุทธ์ิมี pH เท่ากบั 7 น้าฝน ปกติมีความเป็นกรดเลก็ นอ้ ยเพราะวา่ มีคาร์บอนไดออกไซดล์ ะลาย อยู่ ส่วนฝนกรดจะมี pH ตา่ กว่า 5.6 ฝนกรดส่วนมากพบใน บริเวณศนู ยก์ ลางอตุ สาหกรรมไดแ้ ก่ ทวปี ยโุ รป อเมริกา ญ่ีป่ ุน และ จีน
การเกดิ ของฝนกรด กรดในน้าฝนเกิดจากการละลายน้า ของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซลั เฟอร์ไดออกไซด์ และไนตริกอ อกไซด์ ท่ีมีอยใู่ นบรรยากาศ ซ่ึง เกิดข้ึนเองตามธรรมชาติและจาก การกระทาของมนุษย์
การเกดิ ของฝนกรด เมื่อฝนตกลงมาจึงละลายกา๊ ซเหลา่ น้นั ทาใหน้ ้าฝนมีค่าความเป็นกรด สูงข้ึน สาหรับธาตุไนโตรเจน ซ่ึงเป็นส่วนประกอบของส่ิงท่มี ีชีวติ ท้ังหลาย เมือ่ ตายไปซากพชื และสตั วจ์ ะเน่าสลาย มีกา๊ ซแอมโมเนียเกิดข้ึน จุลินทรียบ์ างกลุ่มจะเปลี่ยนก๊าซแอมโมเนียใหเ้ ป็นสารจาพวกไนไตรตแ์ ละ ไนเตรต และจุลินทรียก์ ลุม่ อ่ืนกอ็ าจจะแปลงสารดงั กล่าว ย้อนกลบั ไปเป็ น ก๊าซไนโตรเจนในบรรยากาศได้ ส่วนพชื จาพวกถั่วมีความสามารถต่างจาก พชื อ่ืนคือ ดึงก๊าซไนโตรเจนในบรรยากาศมาใช้ได้โดยตรง แล้วทาให้เกดิ ป๋ ุยในดินเพม่ิ ขนึ้
ผลกระทบของฝนกรด พชื ฝนกรดสามารถทาปฎิกิริยากบั ธาตุอาหารท่ีสาคญั ของ พืช เช่น Calcium, magnesium และ potassium ทาใหพ้ ืชไม่ สามารถนาธาตุอาหารไปใชไ้ ด้ และ ซลั เฟอร์ไดออกไซดใ์ น บรรยากาศยงั ไปปิ ดปากใบพืช ทาใหค้ วามสามารถในการ สงั เคราะห์แสงลดลง
ผลกระทบของฝนกรด สตั ว์ โดยเฉพาะสตั วน์ ้าจะไดร้ ับผลกระทบโดยตรง จากการศึกษา พบวา่ ความเป็นกรดท่ีเพมิ่ ข้ึนของน้าทาใหส้ ตั วน์ ้าไม่สามารถ ดารงชีวติ อยไู่ ด้ จากการศึกษาพบวา่ จานวนปลา Trout และ salmon ในประเทศนอร์เวยไ์ ดล้ ดจานวนลงเป็นจานวนมากและในระยะยาว ยงั พบวา่ ปลาหยดุ การผสมพนั ธุอ์ ีกดว้ ย นอกจากน้ีสตั วท์ ี่อยใู่ น ลาดบั ข้นั ที่สูงกวา่ กจ็ ะไดร้ ับผลกระทบเช่นเดียวกนั
ผลกระทบของฝนกรด ส่ิงก่อสร้าง ฝนกรดสามารถละลาย Calcium carbonate ใน หินเกิดการผพุ งั เช่น ปิ รามิดในประเทศอียปิ ต์ และ ทชั มา ฮาลในประเทศอินเดีย
Search
Read the Text Version
- 1 - 27
Pages: