การบริหารจิตและ เจริญปัญญา
๑. บทสวดมนตแ์ ปลและแผเ่ มตตำ คำนมสั กำรพระรตั นตรัย อะระหัง สัมมาสมั พุทโธ ภะคะวา พระผู้มพี ระภาคเจ้า เป็นพระอรหันต์ ดบั เพลงิ กิเลสเพลิงทกุ ข์สิ้นเชิง ตรสั รชู้ อบได้โดย พระองคเ์ อง พุทธัง ภะคะวันตงั อะภวิ าเทมิ ขา้ พเจา้ อภวิ าทพระผ้มู พี ระภาคเจา้ ผู้รู้ ผู้ตน่ื ผู้เบกิ บาน. (กราบ ๑ ครง้ั ) สะวากขาโต ภะคะวะตา ธมั โม พระธรรมอนั พระผูม้ พี ระภาคเจา้ ตรัสไวด้ ีแลว้ ธัมมัง นะมสั สามิ ข้าพเจา้ นมสั การพระธรรม. (กราบ ๑ ครง้ั ) สปุ ะฏิปนั โน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ พระสงฆส์ าวกของพระผมู้ พี ระภาคเจ้า ปฏบิ ัติดีแลว้ สงั ฆัง นะมามิ ขา้ พเจ้านอบน้อมพระสงฆ์. (กราบ ๑ ครง้ั )
คำนมัสกำรพระผูม้ พี ระภำคเจ้ำ นะโม ตสั สะ ภะคะวะโต อะระหะโต ขอนอบน้อม แดพ่ ระผู้มพี ระภาคเจ้า พระองคน์ ้นั ซึ่งเป็นผ้หู า่ งไกลจาก กิเลส สมั มาสัมพทุ ธัสสะ. เป็นผ้ตู รัสรู้ชอบได้โดยพระองคเ์ อง. (กลา่ ว ๓ คร้งั )
บทสวดพระพทุ ธคณุ (ทำนองสังโยค) อติ ปิ ิ โส (รบั พร้อมกนั ) ภะคะวา อะระหัง สมั มาสมั พทุ โธ วิชชาจะระณะสัมปนั โน สุคะโต โลกะวทิ ู อะนุตตะโร ปรุ ิสะทมั มะ สาระถิ สัตถา เทวะมะนุสสานงั พุทโธ ภะคะวาตฯิ
บทสวดพระพทุ ธคณุ (ทำนองสรภัญญะ) องค์ใดพระสมั พุทธ (รบั พร้อมกนั ) สุวสิ ทุ ธสันดาน ตัดมูลเกลศมาร บ มหิ มน่ มิหมองมวั หน่งึ นัยพระทัยท่าน ก็เบกิ บานคือดอกบวั ราคี บ พันพวั สุวคนธกาจร องคใ์ ดประกอบดว้ ย พระกรุณาดงั สาคร โปรดหมปู่ ระชากร มละโอฆกันดาร ชี้ทางบรรเทาทกุ ข์ และชส้ี ุขเกษมศานต์ ชี้ทางพระนฤพาน อนั พน้ โศกวโิ ยคภยั พร้อมเบญจพธิ จกั - ษจุ รัสวิมลใส เหน็ เหตุท่ใี กลไ้ กล ก็เจนจบประจักษจ์ ริง กาจดั นา้ ใจหยาบ สันดานบาปแห่งชายหญิง สตั วโลกได้พึ่งพงิ มละบาปบาเพ็ญบุญ ขา้ ฯ ขอประณตน้อม ศริ เกลา้ บังคมคุณ สมั พุทธการญุ - ญภาพนัน้ นริ ันดรฯ
บทสวดพระธรรมคณุ (ทำนองสงั โยค) สะวากขาโต (รบั พรอ้ มกนั ) ภะคะวะตา ธมั โม สันทิฏฐิโก อะกาลโิ ก เอหปิ สั สิโก โอปะนะยโิ ก ปจั จัตตัง เวทติ ัพโพ วญิ ญหู ตี ฯิ
บทสวดพระธรรมคณุ (ทำนองสรภญั ญะ) ธรรมะคอื คณุ ากร (รับพรอ้ มกนั ) ส่วนชอบสาธร ดุจดวงประทีปชชั วาล แห่งองคพ์ ระศาสดาจารย์ สอ่ งสตั ว์สันดาน สว่างกระจา่ งใจมล ธรรมใดนับโดยมรรคผล เปน็ แปดพงึ ยล และเก้ากับทัง้ นฤพาน สมญาโลกอดุ รพิสดาร อันลึกโอฬาร พิสุทธพิ์ เิ ศษสุกใส อีกธรรมต้นทางครรไล นามขนานขานไข ปฏบิ ัติปรยิ ตั เิ ปน็ สอง คือทางดาเนนิ ดุจคลอง ใหล้ ว่ งลปุ อง ยงั โลกอดุ รโดยตรง ข้า ขอโอนอ่อนอุตมงค์ นบธรรมจานง ด้วยจิตตแ์ ละกายวาจา (กราบ)
บทสวดพระสงั ฆคณุ (ทำนองสังโยค) สปุ ะฏปิ ันโน (รบั พร้อมกนั ) ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ อชุ ปุ ะฏปิ นั โน ภะคะวะโต สาวะกะสงั โฆ ญายะปะฏิปนั โน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ สามจี ิปะฏปิ ันโน ภะคะวะโต สาวะกะสงั โฆ ยะททิ ัง จตั ตาริ ปรุ สิ ะยคุ านิ อัฏฐะ ปุริสะปุคคะลา เอสะ ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ อาหุเนยโย ปาหเุ ณยโย ทกั ขิเณยโย อญั ชะลกี ะระณโี ย อะนุตตะรัง ปุญญกั เขตตงั โลกสั สาติฯ
บทสวดพระสงั ฆคณุ (ทำนองสรภัญญะ) สงฆ์ใดสาวกศาสดา (รบั พรอ้ มกนั ) รบั ปฏิบัติมา แตอ่ งคส์ มเดจ็ ภควนั ต์ เห็นแจง้ จตสุ จั เสร็จบรร- ลทุ างที่อัน ระงบั และดับทุกข์ภัย โดยเสดจ็ พระผ้ตู รัสไตร ปญั ญาผ่องใส สะอาดและปราศมัวหมอ เหินห่างทางข้าศึกปอง บ มิลาพอง ด้วยกายและวาจาใจ เป็นเนือ้ นาบุญอนั ไพ- ศาลแดโ่ ลกัย และเกิดพบิ ลู ย์พนู ผล สมญาเอารสทศพล มคี ุณอนนต์ อเนกจะนบั เหลอื ตรา ข้าฯ ขอนบหมู่พระศรา- พกทรงคณุ า- นุคุณประดจุ ราพัน ดว้ ยเดชบุญข้าอภวิ นั ท์ พระไตรรตั น์อนั อดุ มดเิ รกนิรตั สิ ยั จงชว่ ยขจัดโพยภัย อนั ตรายใดใด จงดับและกลบั เสื่อมสูญฯ (กราบ)
บทแผ่เมตตำ สพั เพ สัตตา สตั ว์ทั้งหลาย ที่เปน็ เพอ่ื นทุกข์ เกดิ แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกนั ท้งั หมดทงั้ สน้ิ อะเวรา โหนตุ จงเปน็ สุขเป็นสุขเถดิ อยา่ ไดม้ ีเวรซึ่งกันและกนั เลย อัพยาปัชฌา โหนตุ จงเป็นสขุ เป็นสุขเถิด อย่าได้พยาบาทเบียดเบียนซง่ึ กันและกันเลย อะนีฆา โหนตุ จงเปน็ สุขเป็นสุขเถิด อยา่ ไดม้ ีความทุกขก์ ายทุกข์ใจเลย สุขี อัตตานัง ปะรหิ ะรนั ตุ จงมคี วามสขุ กายสขุ ใจ รักษาตนใหพ้ ้นจากทุกขภ์ ัยท้งั ส้นิ เถิด.
กำรบริหำรจิต กำรบริหำรจิต หมายถึง กำรฝึกฝนอบรมจิตให้ เจริญและประณีตยิ่งขึ้น มีความปลอดโปร่ง มีความหนัก แน่นม่ันคง โดยเริม่ จากการฝึกฝนจติ ให้เกิดสติ และฝึกสมาธิ ใหเ้ กดิ ข้นึ ในจติ
วิธีกำรบรหิ ำรจติ ตำมหลกั สติปัฏฐำน ๔ กำรบรหิ ำรจติ ตำมหลักสติปัฏฐำน คอื กำรตงั้ สติกำหนดพิจำรณำ สง่ิ ท้ังหลำยใหร้ ู้เหน็ ตำมควำมเปน็ จรงิ ตำมท่ีสง่ิ นัน้ ๆ เปน็ ๑) กำยำนุปัสสนำสติปัฏฐำน คอื กำรตงั้ สตกิ ำหนดพิจำรณำกำย ให้ร้เู หน็ ตำมเป็นจรงิ ว่ำเป็นแตเ่ พียงกำย มีวธิ ีปฏิบตั หิ ลายวธิ ี คอื - อานาปานสติ - อิรยิ าบถ - สัมปชัญญะ - ปฏกิ ูลมนสิการ - ธาตุมนสิการ - นวสวี ถิกา
อำนำปำนสติ คือ วธิ กี ารบรหิ ารจติ กล่าวเฉพาะการต้ังสติกาหนดพจิ ารณากายในอิริยาบถนง่ั โดยการกาหนดลมหายใจเขา้ -ออก ข้นั เตรยี ม ๑. เลอื กสถานท่ที ่เี หมาะสม เชน่ สถานทป่ี ลอดโปรง่ ไม่มีเสยี งรบกวน ๒. เลือกเวลาท่เี หมาะสม เชน่ ตอนเช้า ก่อนนอน เวลาทใี่ ชไ้ ม่ควรนานเกนิ ไป ๓. สมาทานศีล เปน็ การแสดงเจตนาเพอื่ ทาใจให้บรสิ ทุ ธสิ์ ะอาด ๔. นมัสการพระรัตนตรัยและสวดมนตส์ รรเสริญคุณพระรัตนตรัย ๕. ตัดความกังวลต่าง ๆ ออกไป
ข้นั ตอนปฏิบตั ิ ๑. นง่ั ท่าสมาธิ คอื เท้าขวาทับเทา้ ซา้ ย มือขวาวางทับมอื ซา้ ย ตั้งตัวตรง ดารงสตมิ น่ั ๒. หลบั ตาหรือลมื ตากไ็ ด้อย่างไหนได้ผลดีกป็ ฏบิ ตั ิอยา่ งนนั้ ๓. กาหนดรลู้ มหายใจเขา้ -ออก ลมหายใจกระทบตรงไหนกร็ ชู้ ัดเจนใหก้ าหนดตรงจดุ นน้ั ๔. เมื่อลมหายใจเขา้ -ออก จะกาหนดภาวนาดว้ ยหรือไม่กไ็ ด้ แลว้ แต่ผปู้ ฏิบัติ ๕. ปฏิบตั ไิ ปเรือ่ ย ๆ จนไดเ้ วลาพอควรแกร่ ่างกาย จึงออกจากการปฏบิ ัติ ๖. แผ่เมตตาใหต้ นเองและสรรพสตั วท์ ง้ั หลาย
๒) เวทนำนปุ สั สนำสตปิ ัฏฐำน คอื มสี ติรู้ชดั เวทนำ(ความรสู้ กึ ) อันเปน็ สุขก็ดี ทกุ ขก์ ็ดี เฉย ๆ ก็ดี ทั้งท่ีเป็นสามสิ (เจือด้วยอามิส คอื เครือ่ งลอ่ ) และเป็นนิรามสิ (ไมม่ ีอามสิ คือ เหยอื่ ทเี่ ป็น เคร่ืองล่อใจ) ตามท่เี ปน็ ไปอยใู่ นขณะนน้ั ๓) จิตตำนุปสั สนำสติปัฏฐำน คอื มสี ติรู้ชัดจติ ของตนท่ีมีราคะ ไมม่ รี าคะ มีโทสะ ไมม่ ี โทสะ มโี มหะ ไม่มโี มหะ เศรา้ หมองหรอื ผอ่ งแผ้ว ฟงุ้ ซา่ นหรอื เป็นสมาธิอย่างไร ตามทีเ่ ป็นไปอยู่ใน ขณะน้ัน ๆ ๔) ธัมมำนปุ สั สนำสตปิ ฏั ฐำน คอื มีสติรู้ชดั ธรรมทงั้ หลาย ไดแ้ ก่ นวิ รณ์ ๕ , ขันธ์ ๕, อายตนะ ๑๒ , โพชฌงค์ ๗ และ อริยสัจ ๔ ว่าคอื อะไร เป็นอย่างไร มีในตนหรือไม่ เกิดขึ้น เจริญ บรบิ รู ณ์ และดับไปได้อยา่ งไร ตามทเ่ี ปน็ จริงของมันอยา่ งน้ัน
ประโยชนข์ องกำรบริหำรจิตเพ่อื พัฒนำกำรเรียนรู้ คุณภำพชวี ิตและสังคม ในพระพทุ ธศาสนาเรยี กการบริหารจิตและเจริญปญั ญาว่า สมถวิปสั สนา ประโยชนข์ อง ๑) ประโยชน์ของสมำธิ ผทู้ ่มี ีสมาธิม่ันคงย่อมมีจติ ใจทพี่ ร้อมจะกระทา สมถวิปสั สนำ สง่ิ ตา่ ง ๆ ให้สาเร็จได้โดยงา่ ย และที่สาคัญคือ ชว่ ยควบคมุ กิเลสทางด้าน การศกึ ษาเล่าเรียน เม่ือมีสมาธิท่ตี งั้ ม่ันการศกึ ษาย่อมจะไดผ้ ลดขี ้นึ ๒) ประโยชนข์ องปญั ญำ จติ ที่สงบดีแลว้ ยอ่ มเหน็ สิ่งท้ังหลายตามความ เป็นจรงิ คือ การเกิดปัญญา ประโยชน์ของปญั ญานน้ั มหี ลายลกั ษณะ ด้วยกัน เช่น ก่อใหเ้ กดิ ความเจริญรุ่งเรอื งและความสาเรจ็ ในชวี ิต เมอ่ื เกดิ ปญั หา ผู้ทีม่ ปี ญั ญากส็ ามารถแก้ไขใหส้ าเร็จไปได้ด้วยดี
๓. กำรเจริญปญั ญำตำมหลักโยนโิ สมนสิกำร โยนโิ สมนสิกำร เปน็ กระบวนการคดิ วิธีหนง่ึ ทท่ี าให้เกิดปัญญา ทเ่ี รียกว่า จินตามยปญั ญา ซึง่ มาจากการประกอบคา ๒ คา คือ - โยนโิ ส มำจำกคำว่ำ โยนิ แปลวำ่ เหตุ ตน้ เคำ้ แหล่งเกดิ วธิ ี ทำง - มนสิกำร หมำยถงึ กำรทำในใจ กำรคดิ คำนงึ พิจำรณำ
วธิ คี ิดแบบโยนโิ สมนสกิ ำร ประกอบด้วยวิธีคดิ ๑๐ แบบ ดงั น้ี ๑. วิธคี ดิ แบบสืบสำวเหตุปจั จัย = คิดหาสาเหตุ ทาไม เพราะอะไร ๒. วธิ ีคิดแบบแยกแยะส่วนประกอบ เชน่ แขน ขา อวยั วะต่าง ๆ เปน็ ส่วนประกอบของรา่ งกาย ๓. วธิ คี ิดแบบสำมญั ลกั ษณะ = คือคดิ แบบไม่ยึดติดตามหลกั ไตรลักษณ์ ร้เู ท่าทนั ธรรมดาของโลก ๔. วธิ คี ิดแบบอรยิ สัจ = คิดตามหลักอริยสัจ ๔ คือ หาสาเหตุ หาแนวทางแกไ้ ข ๕. วิธีคิดแบบอรรถธรรมสัมพนั ธ์ = คดิ แบบเชื่อมโยงหลกั การและความมงุ่ หมาย เปน็ เชงิ ปฏิบตั ิการ เชน่ ถ้านกั เรียนอยากสอบผ่าน นกั เรยี นจะตอ้ งต้งั ใจเรียน และอ่านหนงั สือทบทวนบทเรียน เป็นต้น ๖. วธิ คี ิดแบบคณุ -โทษ และทำงออก = มองท้งั ด้านดแี ละไม่ดี ๗. วธิ คี ดิ แบบคุณคำ่ แท้-คุณค่ำเทียม = คิดวา่ ส่งิ ไหนเปน็ ประโยชน์กบั เราอย่างแท้จรงิ จาเป็น ไม่จาเป็น ๘. วธิ คี ดิ แบบอุบำยปลุกเร้ำคณุ ธรรม = คิดสรา้ งกุศล สร้างสรรค์ สรา้ งคณุ งามความดี ๙. วธิ ีคดิ แบบเป็นอยูใ่ นขณะปจั จบุ นั = คิดแบบมีสติ ไม่ยึดติดในอดตี และไม่กังวลกับอนาคตจนเป็นทุกข์ ๑๐. วธิ คี ิดแบบวิภชั ชวำท = คิดวิเคราะห์ แยกแยะ จาแนก แจกแจงใหร้ อบด้าน
จบแล้วจา้
Search
Read the Text Version
- 1 - 19
Pages: