ศาสนพธิ ี
ศาสนพิธี คือ พิธีกรรมหรือระเบียบแบบแผนต่าง ๆ ท่ีดีงามที่พึงปฏิบัติ ในทางศาสนา ศาสนพิธใี นพระพทุ ธศาสนาแบ่งออกเป็น ๒ ประเภท ไดแ้ ก่ ศาสนพธิ เี นอ่ื งดว้ ยพทุ ธบญั ญตั ิ ศาสนพธิ ที นี่ า้ พระพทุ ธศาสนา พธิ เี วียนเทยี น พิธีถวายสังฆทาน เขา้ ไปเกย่ี วขอ้ ง พิธถี วายผา้ อาบน้าฝน พธิ ีทอดกฐิน การทา้ บุญเลียงพระเนื่องในโอกาสต่าง ๆ พิธีปวารณา ทา้ บุญในงานมงคล ทา้ บญุ งานอวมงคล
การนมิ นตพ์ ระ งานมงคล มกั นิยมจา้ นวนค่ี เชน่ ๕-๗-๙ รปู งานอวมงคล มกั นยิ มจ้านวนคู่ เช่น ๔ รูป ๑๐ รปู วิธนี มิ นต์ ใหน้ ิมนต์ดว้ ยวาจาหรือท้าหนังสอื อาราธนา โดยระบวุ า่ นิมนต์ไปงานอะไร กา้ หนดเวลา สถานท่ี พระกร่ี ูป จะจดั รถมารับหรอื ให้ท่านไปเอง ระวงั เวลานมิ นตฉ์ นั อยา่ ระบุ อาหาร เพราะผิดพระวนิ ยั การจดั สถานที่ มีหลกั การกว้าง ๆ ดังนี - กวา้ งขวางพอแก่ผู้มาร่วมพธิ ี - สะอาด อากาศถา่ ยเทไดด้ ี ไม่มีเสียงดงั รบกวน - สะดวก สบาย ทังทางเขา้ ออก ที่จอดรถ และหอ้ งน้า - มีความเหมาะสมกับงาน เชน่ งานมงคล หรอื อวมงคล จะจดั บรเิ วณใด ชันบนหรอื ชนั ลา่ ง
การเตรยี มอปุ กรณ์ มี ๒ ประเภท คอื ๑. อุปกรณท์ วั่ ไป เช่น พระพทุ ธรูป แจกัน โต๊ะหมู่บูชา อาสนะ ๒. อปุ กรณเ์ ฉพาะพธิ ี - งานพธิ มี งคล เช่น สายสิญจน์ ขนั ทา้ น้ามนต์ - งานพธิ อี วมงคล เชน่ ภษู าโยง ธปู ไมร้ ะก้า การเตรยี มบคุ ลากร คือ เตรยี มบุคคลที่ตอ้ งปฏบิ ตั ใิ นพธิ ี ได้แก่ พระสงฆ์ ประธานพิธี ประชาสมั พนั ธ์ ศาสนพิธกี ร ตลอดจนผูท้ จี่ ะเชญิ มารว่ มงาน การเตรยี มเวลา ตอ้ งมีการจัดล้าดับเวลาของพธิ ใี หเ้ หมาะสม เช่น เวลาฤกษ์ เวลาพระสงฆ์ฉนั ภตั ตาหาร เวลาเรม่ิ ตน้ พธิ ี เวลาสนิ สุดงาน การเตรยี มกา้ หนดการ กา้ หนดการคือ เอกสารท่ีบอกลักษณะงาน สถานท่ี วัน เวลาในการ จัดงาน บอกล้าดับขนั ตอน และการแต่งกาย เพือ่ ใหผ้ ู้เกี่ยวข้องไดเ้ ขา้ ใจตรงกนั
บุญพธิ ี ทานพธิ ี กศุ ลพธิ ี ปกิณกพธิ ี ๑. บญุ พธิ ี ไดแ้ ก่ พธิ ีการทา้ บุญเนอ่ื งในโอกาสตา่ ง ๆ ๒. ทานพธิ ี เปน็ พธิ ีถวายทาน ซ่ึงระยะเวลาการถวายทานมกั แบ่งเปน็ ๒ โอกาส คอื - กาลทาน หมายถงึ ถวายในกาลทีค่ วรถวายส่ิงนัน - อกาลทาน หมายถงึ ถวายไมเ่ น่ืองดว้ ยกาล คอื นอกกาล การถวายทานในพระพทุ ธศาสนามี ๒ ประเภท ไดแ้ ก่ - ปาฏบิ คุ ลกิ ทาน หมายถึง ทานท่ถี วายเจาะจงพระสงฆร์ ปู ใดรปู หน่งึ - สังฆทาน หมายถึง ทานทีถ่ วายไม่เจาะจง คอื ถวายใหพ้ ระสงฆเ์ ฉลยี่ กนั ใช้สอย หรือเปน็ ของสว่ นรวมภายในวดั ๓. กศุ ลพธิ ี เป็นพธิ ีบา้ เพ็ญกศุ ล เชน่ พิธีเวียนเทยี น ๔. ปกณิ กพธิ ี ได้แก่ พธิ ีเบด็ เตลด็ ท่ีไม่อยู่ใน ๓ ประเภทแรกข้างต้น เชน่ พิธีพุทธาภเิ ษก พิธีมังคลาภิเษก พิธีวางศิลาฤกษ์ พธิ ยี กช่อฟา้
พธิ เี วยี นเทยี น กระทา้ ในวนั สา้ คัญทางพระพทุ ธศาสนา มอี ยู่ ๔ วัน ไดแ้ ก่ วนั วิสาขบชู า (วนั พระพุทธเจา้ ) วนั มาฆบชู า (วันพระธรรม) วนั อาสาฬหบชู า (วนั พระสงฆ)์ และวันอฐั มบี ชู า ...ระเบยี บพธิ ใี นการเวียนเทยี นในวันส้าคัญทงั ๔ วนั นันปฏบิ ัตติ ามล้าดบั ดังนี เม่อื ถงึ ก้าหนดเวลาแลว้ ใหท้ ุกคนถอื ดอกไม้ และธูปเทยี นมาประชมุ พรอ้ มกนั ท่ีหนา้ พระอุโบสถหรอื ลานพระเจดีย์ จัดให้พระภิกษุ สามเณรอยแู่ ถวหนา้ ต่อจากนันใหเ้ ปน็ เหลา่ พทุ ธศาสนกิ ชน ....
...ประธานสงฆ์จุดธูปเทียนให้ทุกคนจดุ ตาม ประธานสงฆก์ ลา่ วนา้ นะโม... แล้วว่าตาม พรอ้ มกนั ๓ จบ ตอ่ จากนนั กล่าวนา้ คา้ ถวายดอกไม้ ธปู เทียน และกลา่ วค้าบชู าพระรัตนตรัย หวั หนา้ สงฆ์เดินน้าเวยี นไปทางขวามอื ของสถานทเ่ี วยี นเทยี นนนั ทุกคนเดินตาม ขณะเดินเวยี นเทียน รอบท่ีหน่ึงให้ระลกึ ถงึ พระพุทธคุณ โดยสวดบท “อติ ปิ ิ โส ภะคะวา ...” รอบทส่ี องระลกึ ถึงพระธรรมคุณ โดยสวดบท “สวากขาโต...” และรอบทีส่ ามระลกึ ถงึ พระสงั ฆคณุ โดยสวดบท “สปุ ะฏิปนั โน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ...” จะสวดออกเสียงหรอื นึกในใจกไ็ ด้ เม่ือเดินครบสามรอบแลว้ ให้น้าดอกไม้ ธปู เทยี นไปปกั บชู าตามท่ีท่จี ดั ไว้ แลว้ จึงเขา้ ไป ประชมุ พรอ้ มกันในพระอโุ บสถเพือ่ ทา้ วัตรค่า้ และสวดมนต์ กอ่ นจะมกี ารเทศน์พเิ ศษ แสดงเร่ืองพทุ ธประวตั ิ และเรือ่ งเก่ยี วกับวันสา้ คญั นนั ๑ กัณฑ์ เป็นอันเสร็จพธิ .ี .. ...เวียนเทยี นเพอ่ื ระลกึ ถงึ คุณพระรัตนตรยั
พิธถี วายสงั ฆทาน มรี ะเบยี บพธิ ี ดงั นี ๑. จัดเตรยี มภัตตาหารใสภ่ าชนะให้เรียบร้อย จะถวายก่ีรปู กไ็ ดแ้ ลว้ แตศ่ รทั ธา การ ถวาย มี ๒ วิธี คือ ถวายพระรปู ทีอ่ อกบิณฑบาตในตอนเช้า หรอื น้าไปถวายท่ีวดั ก็ได้ ๒. สถานทถ่ี วายสงั ฆทาน ถ้าเป็นบา้ นควรเลือกจดั ในห้องที่เหมาะสม ถา้ มพี ระพทุ ธรปู ควรตังบูชาด้วย เมื่อพระสงฆม์ าพร้อมแล้วใหน้ ้าภัตตาหารทจ่ี ัดเตรียมไวม้ าตังตรงหนา้ พระสงฆ์ แล้วสมาทานศลี ตามท่ปี ระธานสงฆใ์ ห้ จบแลว้ กล่าวค้าถวายรว่ มกันโดยให้หัวหน้ากล่าวน้า ควร กลา่ วทังค้าบาลีและคา้ แปล ๓. ในขณะกล่าวคา้ ถวายให้ประนมมือ พอกล่าวค้าถวายจบ ให้รับ “สาธ”ุ พร้อมกนั แล้วประเคนภัตตาหารและของบรวิ ารแกพ่ ระสงฆ์ ๔. ขณะพระสงฆว์ ่า ยถา... ใหก้ รวดน้า แลว้ ประนมมือรับพรตอ่ ไปจนจบ ...สงั ฆทาน = ทานทถ่ี วายแกพ่ ระสงฆ์ ไมเ่ จาะจงรูปใดรปู หนงึ่
คำถวายสงั ฆทาน (ประเภทสามญั ) คา้ บาลี อิมานิ มะยัง ภนั เต ภตั ตานิ สะปะริวารานิ ภกิ ขุสงั ฆสั สะ โอโณชะยามะ สาธุ โน ภนั เต ภิกขุสงั โฆ อมิ านิ ภัตตานิ สะปะริวารานิ ปะฏิคคัณหาตุ อมั หากัง ทีฆะรตั ตัง หติ ายะ สุขายะ. ค้าแปล ขา้ แต่พระสงฆ์ผู้เจริญ ข้าพเจา้ ทงั หลาย ขอน้อมถวาย ภัตตาหาร กบั ทังบรวิ ารเหลา่ นี แด่พระภิกษุสงฆ์ ขอพระภิกษุสงฆ์จงรับภัตตาหารกับทังบริวารเหล่านีของข้าพเจ้าทังหลาย เพอ่ื ประโยชน์และความสุขแกข่ ้าพเจ้าทงั หลาย สิน (ตลอด) กาลนาน เทอญฯ
พิธีถวายผา้ อาบนา้ ฝน ผา้ วสั สิกสาฎก หรอื ผา้ อาบนา้ ฝน คอื ผา้ ท่ีพระภกิ ษุสงฆ์ ใช้สา้ หรบั นุ่งในเวลาอาบน้าฝน หรอื อาบน้าทวั่ ไป ซึ่งในการถวายมีระเบยี บปฏบิ ัติ ดังนี ๑. ในวันกา้ หนดถวายผา้ อาบน้าฝนนี ให้ภิกษุ สามเณร และอบุ าสก อุบาสิกามา พรอ้ มกนั ที่อโุ บสถหรือศาลาการเปรยี ญ ก่อนถวายเจ้าอาวาสหรือภิกษรุ ปู หน่ึงแสดงธรรม อนุโมทนาวัสสกิ สาฎกทานของทายก ๑ กัณฑ์ ถา้ ถวายในวันธรรมสวนะ (วันพระ) เมอ่ื เทศกณั ฑ์วนั ธรรมสวนะแล้ว ควรตอ่ ทา้ ยอนโุ มทนาวัสสิกสาฎกทานด้วย ๒. เมอ่ื แสดงธรรมจบแลว้ หัวหนา้ ผถู้ วายนา้ กราบพระและวา่ นะโมพรอ้ มกนั ๓ จบ ก่อน แลว้ นา้ กล่าวคา้ ถวายผ้าวสั สิกสาฎกซึ่งตงั ไว้เบืองหน้าพระสงฆ์ ทังค้าบาลแี ละค้าแปล ๓. ระหวา่ งผู้ถวายกลา่ วคา้ ถวายพระสงฆ์ทังหมดประนมมือ พอกลา่ วจบพระสงฆ์รับ สาธพุ ร้อมกัน แลว้ เจ้าอาวาสหรือภกิ ษผุ ู้แจกจีวรของวดั นันออกรบั ผ้าแทนพระสงฆ์ ๔. ประเคนเสร็จแลว้ พระสงฆอ์ นุโมทนาบท วิเสสอนุโมทนา ในทานนีใชบ้ ท กาเลททนฺติ.. ๕. ระหวา่ งพระว่า ยถา...ผถู้ วายทังหมดกรวดน้า แลว้ ประนมมอื รบั พรไปจนจบ ...นิยมถวายวันอาสาฬหบูชาและวนั เข้าพรรษา
พธิ ีทอดกฐนิ การทอดกฐินหรอื การถวายผ้ากฐิน นิยมท้ากนั ตงั แต่ วันแรม ๑ คา้่ เดือน ๑๑ ไปจนถงึ วนั ขึน ๑๕ คา่้ เดือน ๑๒ ค้าว่า กฐิน แปลว่า กรอบไมห้ รือสะดงึ ซงึ่ เปน็ แมแ่ บบส้าหรบั เย็บผ้าจีวรของภิกษุ มี ๒ ชนิด คอื จลุ กฐิน กฐนิ ท่ีทกุ ฝ่ายตอ้ งช่วยกันท้าใหเ้ สรจ็ ภายในกา้ หนดหนงึ่ วัน มหากฐิน หรือกฐนิ สามคั คี เปน็ กฐนิ ทีอ่ าศัยปจั จยั ไทยธรรมจา้ นวนมากท่ีไม่รบี ด่วน ...ทอดกฐนิ หลังออกพรรษา 1 เดอื น
การแบง่ ประเภทของกฐนิ แบง่ ตามประเภทของวัดที่จะนา้ กฐนิ ไปทอด ไดแ้ ก่ พระอารามหลวง และวดั ราษฎร์ โดยแยกประเภทได้ ดงั นี ๑. กฐินหลวง คือ ผ้าพระกฐินพระราชทานท่ีพระมหากษัตริย์เสด็จพระราชด้าเนินไป พระราชทาน หรือโปรดเกล้าฯ ใหพ้ ระบรมวงศานุวงศผ์ ใู้ หญ่ไปพระราชทาน ๒. กฐินต้น คือ ผ้าพระกฐินท่ีพระมหากษัตริย์เสด็จพระราชด้าเนินไปพระราชทาน ยังวดั ราษฎร์เป็นการส่วนพระองค์ ๓. กฐินพระราชทาน คือ ผ้าพระกฐินที่พระมหากษัตริย์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานผ้าพระกฐิน และเคร่ืองกฐินแก่พระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชบริพาร ส่วนราชการ สมาคม หรือเอกชนให้ไปทอดที่พระอารามหลวง ๔. กฐินราษฎร์ คอื กฐินทป่ี ระชาชนทั่วไปมีศรัทธาจะถวายผ้าแก่พระภิกษุผู้อยู่ จา้ พรรษาครบไตรมาส ณ วดั ราษฎรแ์ หง่ ใดแหง่ หน่ึง ได้แก่ จุลกฐินหรอื มหากฐิน
พิธีปวารณา ค้าว่า ปวารณา หมายถึง การยอมให้ว่ากล่าวตักเตือนหรือ เปิดโอกาสให้ว่ากล่าวตักเตือน เป็นสังฆกรรมที่พระสงฆ์ท้าในวันสุดท้ายของการจ้าพรรษา คือ ในวันขึน ๑๕ ค้่า เดือน ๑๑ เรียกว่า วันมหาปวารณา โดยภิกษุทุกรูปจะว่ากล่าวปวารณา คือ เปิดโอกาสให้ว่ากล่าวตักเตือนกันได้ ปวารณาเป็น สังฆกรรมประเภทญัตติกรรม คือ ทา้ โดยตังญัตติอย่างเดียว ไมต่ อ้ งสวดคา้ ขอมติ ทา้ โดยมภี กิ ษตุ ังแต่ ๕ รปู ขึนไป ...พธิ ีปวารณา เป็นพิธีกรรมของสงฆล์ ้วน ๆ ไมม่ ฆี ราวาสเกย่ี วขอ้ ง
พิธบี รรพชาอปุ สมบท หรือการบวช เป็นประเพณสี า้ คัญของชาวพทุ ธทีม่ มี าแต่ โบราณกาล การบวช แบง่ เปน็ ๒ ลกั ษณะ คือ บวชเปน็ สามเณร เรียกว่า บรรพชา ตอ้ งรกั ษาศีล ๑๐ ข้อ บวชเปน็ พระ เรยี กวา่ อุปสมบท ต้องรักษาศลี ๒๒๗ ขอ้
๑. เอหิภิกขุอุปสัมปทา - การบวชโดยพระพุทธเจา ๒. ติสรณคมนูปสัมปทา - การอุปสมบทโยการรับไตรสรณคมน ภายหลังใชบวชสามเณรอยางเดียว ๓. ญัตติจตุตถกรรมวาจาอุปสัมปทา - การอุปสมบทโดยประกาศ และยอมรับเขาหมูในที่ประชุมสงฆ วิธีการนี้ใชจนถึงปจจุบัน วิธีการอุปสมบท
คุณสมบตั ขิ องผทู้ จี่ ะบรรพชาอปุ สมบท คณุ สมบตั ิของผู้ท่จี ะบรรพชา ผทู้ ี่จะบรรพชาเป็นสามเณรต้องมีคณุ สมบตั ิหลาย ประการ เช่น ไมเ่ ป็นเด็กเกินไป ไม่เปน็ โรคตดิ ตอ่ มีอวัยวะสมบูรณ์ไมม่ อี วยั วะพกิ าร เช่น มอื ขาด เทา้ ขาด ตาบอด หูหนวก คนง่อยเปลยี คณุ สมบัติของผ้ทู ่จี ะอุปสมบทจะตอ้ งประกอบดว้ ยคุณสมบตั ิหลายประการ คือ ไม่เปน็ คนทต่ี อ้ งห้าม เชน่ ๑) อายุไมค่ รบ ๒๐ ปี ๒) บณั เฑาะก์ (กะเทย คนไมป่ รากฏชัดว่าเป็นเพศชายหรอื เพศหญิง ได้แก่ กะเทย โดยก้าเนิด ชายผถู้ ูกตอนท่ีเรียกวา่ ขันที ชายมรี าคะกลา้ ประพฤตินอกจารีตในทางเสพกามและ ย่ัวยวนชายอื่นใหเ้ ป็นเช่นนนั )
เครอ่ื งอฐั บรขิ าร คุณสมบัตทิ จี่ ะขาดไม่ไดอ้ ีกประการหน่ึง คอื ผูจ้ ะบรรพชาอปุ สมบทตอ้ งมเี ครอ่ื ง อัฐบรขิ ารครบบริบรู ณ์ บรขิ ารของสามเณร ได้แก่ ๑) สบง ๒) จีวร ๓) ประคดเอว ๔) อังสะ ๕) ผา้ รดั อก ๖) บาตร เครอื่ งอฐั บริขาร ๘ อยา่ ง สา้ หรับผ้จู ะอปุ สมบท ได้แก่ ๑) บาตร ๒) สบง (ผา้ นงุ่ ) ๓) จีวร (ผา้ ห่ม) ๔) สงั ฆาฏิ (ผา้ พาดบา่ ) ๕) ประคดเอว ๖) ผา้ กรองน้า ๗) มีดโกน ๘) กลอ่ งเข็มพร้อมดา้ ยและเขม็
ลา้ ดบั พธิ กี ารบรรพชาอปุ สมบท พธิ บี รรพชาอปุ สมบท มลี า้ ดบั ส้าคญั ดังนี ๑) การลาญาติผู้ใหญห่ รือผูท้ ีเ่ คารพนับถอื ๒) การปลงผม ๓) การน้านาคเข้าโบสถ์ (นาค หมายถงึ บรุ ุษท่ีเตรียมจะบวชเป็นภิกษุสามเณรในพระพุทธศาสนา) ๔) พิธบี รรพชาอปุ สมบท ๕) การกรวดนา้ หลงั จากพธิ ีบรรพชาอุปสมบท
การแสดงตนเปน็ พทุ ธมามกะ คือการประกาศตน ของผู้แสดงตนว่าเป็นผู้ยอมรับนับถือพระพุทธเจ้าเป็นของตน เป็นการแสดงตนใหป้ รากฏว่ายอมรับนบั ถือพระพทุ ธศาสนาเป็น ศาสนาประจ้าชวี ิตของตน คา้ ปฏญิ าณ เอสาห้ ภนเฺ ต สุจริ ปรินพิ พฺ ตุ มปฺ ิ ต้ ภควนฺต้ สรณ้ คจฉฺ ามิ ธมมฺ ญจฺ สงฺฆญฺจ พุทธมามโกติ ม้ สงโฺ ฆ ธาเรตุ คา้ แปล ข้าแต่พระสงฆ์ผูเ้ จรญิ ข้าพเจา้ ถงึ พระผมู้ พี ระภาคเจา้ พระองคน์ ัน แมป้ รินพิ พานไปนานแล้ว ทงั พระธรรมและพระสงฆ์ เป็นสรณะทรี่ ะลกึ นบั ถือ ขอพระสงฆจ์ งจ้าข้าพเจ้าไว้ว่าเป็นพุทธมามกะ ผรู้ บั เอาพระพทุ ธเจา้ เปน็ ของตน คอื ผนู้ ับถือพระพุทธเจ้า
การแสดงตนเปน็ พทุ ธมามกะ คือการประกาศตน ของผู้แสดงตนว่าเป็นผู้ยอมรับนับถือพระพุทธเจ้าเป็นของตน เป็นการแสดงตนใหป้ รากฏว่ายอมรับนบั ถือพระพทุ ธศาสนาเป็น ศาสนาประจ้าชวี ิตของตน คา้ ปฏญิ าณ เอสาห้ ภนเฺ ต สุจริ ปรินพิ พฺ ตุ มปฺ ิ ต้ ภควนฺต้ สรณ้ คจฉฺ ามิ ธมมฺ ญจฺ สงฺฆญฺจ พุทธมามโกติ ม้ สงโฺ ฆ ธาเรตุ คา้ แปล ข้าแต่พระสงฆ์ผูเ้ จรญิ ข้าพเจา้ ถงึ พระผมู้ พี ระภาคเจา้ พระองคน์ ัน แมป้ รินพิ พานไปนานแล้ว ทงั พระธรรมและพระสงฆ์ เป็นสรณะทรี่ ะลกึ นบั ถือ ขอพระสงฆจ์ งจ้าข้าพเจ้าไว้ว่าเป็นพุทธมามกะ ผรู้ บั เอาพระพทุ ธเจา้ เปน็ ของตน คอื ผนู้ ับถือพระพุทธเจ้า
Search
Read the Text Version
- 1 - 20
Pages: