1. ความหมายของบล็อกเชน (Blockchain) 2. วิวัฒนาการของเทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain) 3. หลกั การทางานของเทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain) 4. องคป์ ระกอบของเทคโนโลยบี ล็อกเชน (Blockchain) 5. ประเภทของบลอ็ กเชน (Blockchain) 6. รูปแบบของเครอื ขา่ ยบล็อกเชน (Blockchain) 7. คณุ ลกั ษณะพื้นฐานทสี่ าคญั ของเทคโนโลยีบลอ็ กเชน (Blockchain) 8. ประโยชน์ของเทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain) 9. การนาบลอ็ กเชน (Blockchain) ไปประยุกตใ์ ชใ้ นกระบวนการหว่ งโซ่ อปุ ทาน
1. ความหมายของบลอ็ กเชน (Blockchain) • บลอ็ กเชน (Blockchain) คือ เทคโนโลยกี ารจดั เกบ็ ขอ้ มลู แบบ Shared Database • บลอ็ กเชน (Blockchain) คือ ฐานขอ้ มลู (Database) ทท่ี ุกคนสามารถแชร์ข้อมูลรว่ มกันได้ มี ความเชือ่ ถือได้ โดยที่มีตอ้ งมผี ้ดู แู ลกลาง
2. ววิ ัฒนาการของบล็อกเชน (Blockchain) จุดเริ่มต้นของเทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain) เกิดขึ้นครั้งแรกในปี 2008 โดยการนาเสนอของ “Satoshi Nakamoto” จากเอกสาร Bitcoin: A Peer-to-Peer Electronic Cash System เป็นการนาเสนอแนวคิด เกยี่ วกบั การสร้าง Platform ท่ีสามารถสร้างความปลอดภยั ในการแลกเปลย่ี นเงินสกุลดจิ ทิ ลั ท่มี ชี อื่ วา่ “Bitcoin” โดยใช้ ทฤษฎีเก่ียวกับการทา Cryptography และ Distributed Computing ดงั รูป
3. หลักการทางานของบลอ็ กเชน (Blockchain) หลักการทางานของเทคโนโลยี Blockchain คือ ฐานข้อมูลจะถูกแชร์ให้กับทุก Note ที่อยู่ในเครือข่ายและการ ทางานของเทคโนโลยี Blockchain จะไม่มีเครื่องใดเครื่องหนึ่ง เป็นศูนย์กลางหรือเครื่องแม่ข่าย ซ่ึงการทางานแบบกระจาย ศูนย์นี้จะไม่ถูกควบคุมโดยคนเพียงคนเดียว แต่ทุก Note จะ ได้รับสาเนาฐานข้อมูลเก็บไว้และจะมีการอับเดตฐานข้อมูล แบบอตั โนมัตเิ ม่ือมขี ้อมลู ใหม่เกดิ ข้ึน
3. หลกั การทางานของบล็อกเชน (Blockchain) ประกอบดว้ ย 4 ขั้นตอนหลัก ๆ คือ ข้ันตอนที่ 1 Create คือ การสร้าง Block ที่บรรจุคาสั่งขอทารายการ ธุรกรรม ขน้ั ตอนที่ 2 Broadcast คือ การกระจาย Block ใหมใ่ หก้ บั ทกุ Node ข้ันตอนท่ี 3 Validation คือ Node ทาการตรวจสอบข้อมูลของ Block ว่าถกู ต้องตรงตามเงือ่ นไขหรอื ไม่ ขั้นตอนท่ี 4 Add to chain คือ การนา Block ท่ีเพิ่มขึ้นใหม่ ไปเรียงต่อ จาก Block กอ่ นหน้า
4. องคป์ ระกอบของบล็อกเชน (Blockchain)
4. องคป์ ระกอบของบล็อกเชน (Blockchain)
4. องค์ประกอบของบล็อกเชน (Blockchain) 1. Block คอื ชุดบรรจขุ อ้ มูล และมี Block Data หรือ Item เพ่ือใช้ใน การบรรจุขอ้ มูลต่าง ๆ 2. Chain คือ วธิ กี ารจดจาขอ้ มูลทกุ ๆ ธุรกรรมของผมู้ ีสว่ นเกี่ยวขอ้ งทกุ ๆ ฝา่ ยในระบบ 3. Consensus คอื การกาหนดข้อตกลงและความเหน็ ชอบรว่ มกนั ระหว่างสมาชิกในเครอื ข่ายบล็อกเชน 4. Validation คือ การตรวจสอบความถกู ตอ้ งแบบทบทวนทง้ั ระบบและ ทุก Node ในระบบบล็อกเชน
5. ประเภทของบลอ็ กเชน (Blockchain) 1. Public Blockchain ขอ้ ดี องคก์ รไม่ตอ้ งเสียค่าใชจ้ ่ายในดา้ น โครงสร้างพ้ืนฐาน ขอ้ เสีย ขอ้ มลู ถกู เปิ ดเผยแก่สาธารณะ
5. ประเภทของบล็อกเชน (Blockchain) 2. Private Blockchain ขอ้ ดี สามารถปรับกฎเกณฑต์ ่าง ๆ ใหท้ างานได้ ตามวตั ถุประสงคท์ ่ีตอ้ งการ ขอ้ เสีย ไม่มีการกระจายอานาจในการตรวจสอบ ทาใหผ้ ยู้ นื ยนั ความถกู ตอ้ งของ Transaction (Miner) ถกู จากดั ตามกฎของ Bitcoin ตอ้ งออกแบบระบบใหม้ ีการรอยนื ยนั (Confirm) ธุรกรรมประมาณ 10-15 นาที
5. ประเภทของบลอ็ กเชน (Blockchain) 3. Consortium Blockchain ขอ้ ดี ขอ้ มลู ขององคก์ รจะไม่กลายเป็นขอ้ มลู สาธารณะ และค่าใชจ้ ่ายนอ้ ย ขอ้ เสีย ขาดความคล่องตวั ในการปรับปรุง เปล่ียนแปลงเง่ือนไขการใชง้ านต่าง ๆ
6. รูปแบบของเครือขา่ ยบล็อกเชน (Blockchain) 1. Non-permissioned public ledgers (หรือ Permission less Ledgers) ทกุ คนมีส่วนรว่ มในการ เพ่ิมข้อมูลเขา้ ไปใน Blockchain 2. Permissioned public ledgers เชน่ Ripple 3. Permissioned private ledgers เปน็ Private Blockchain อย่างเตม็ รูปแบบ
7. คุณลกั ษณะพ้ืนฐานของบล็อกเชน (Blockchain) 1. ความถกู ต้องเทีย่ งตรงของขอ้ มลู (Data Integrity) 2. ความโปรง่ ใสในการเข้าถงึ ขอ้ มูล (Data Transparency) 3. ความสามารถในการทางานได้อยา่ งต่อเนอ่ื งของระบบ (Availability)
8. ประโยชนข์ องบลอ็ กเชน (Blockchain) บลอ็ กเชน (Blockchain) เปน็ เทคโนโลยที ม่ี ศี ักยภาพในเรื่องของ การเปลี่ยนแปลงรูปแบบการทาธุรกรรมในชีวิตประจาวัน โดย ไม่ได้จากัดเพียงแค่ธุรกรรมทางการเงินเท่าน้ัน แต่บล็อกเชน (Blockchain) สามารถนามาประยกุ ต์ใช้ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ได้อีกด้วย จากความร่วมมือของไอบีเอ็ม (IBM) กับห้างค้าปลีก รายใหญ่สัญชาติอเมริกันอย่างวอลมาร์ท (Walmart) และ มหาวิทยาลยั ชิงหวา (Tsinghua) ซ่งึ เปน็ สถาบันการศึกษาช้ันนา ของจีน
9. การนาบลอ็ กเชน (Blockchain) ไปประยุกต์ใช้ใน กระบวนการทางานห่วงโซ่อปุ ทาน กระบวนการห่วงโซ่อุปทานเป็นกระบวนการสาคัญต้ังแต่การจัดหา วตั ถุดิบสาหรับนาไปผลติ จนกระทั่งจดั ส่งสนิ คา้ ไปยังผบู้ ริโภค โดยหน่ึงใน ปญั หาสาคญั ของกระบวนการหว่ งโซ่อุปทานที่มีมาหลายทศวรรษ คือ ยัง ไม่มีเทคโนโลยีท่ีดีพอท่ีจะคอยติดตามสินค้าและตรวจสอบที่มาที่ไปของ สินค้ากรณีท่ีสินค้าได้รับความเสียหาย รวมถึงผู้ซ้ือและผู้ขายไม่มี กระบวนการอย่างชดั เจนและโปรง่ ใสในการตรวจสอบตน้ ทุนและทีม่ าของ ราคาสินคา้
9. การนาบล็อกเชน (Blockchain) ไปประยกุ ต์ใช้ในกระบวนการทางาน หว่ งโซอ่ ปุ ทาน ในปัจจุบันมีหลายองค์กรได้ทดลองนาบล็อกเชน (Blockchain) เข้าไปประยุกต์ใช้ในกระบวนการห่วงโซ่อุปทาน เช่น บริษัทสตาร์ทอัพ (Startup) อย่าง Provenance ได้นาบิทคอยน์ (Bitcoin) และ Ethereum-Based Blockchain มาใช้ในการสร้างระบบการตรวจสอบ ย้อนกลับสาหรับวัสดุและผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในกระบวนการผลิต เพ่ือสร้าง ระบบจัดการห่วงโซ่อุปทานท่ีโปร่งใส สามารถรู้ข้อมูลว่าผลิตสินค้า อย่างไร สภาพแวดล้อมที่มีผลกระทบหรือไม่ ผลิตที่ไหน และใครเป็น ผ้ผู ลิต
9. การนาบล็อกเชน (Blockchain) ไปประยกุ ต์ใช้ในกระบวนการทางาน หว่ งโซ่อุปทาน
Search
Read the Text Version
- 1 - 18
Pages: