Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ปฏิบัติการเคมีพื้นฐาน

ปฏิบัติการเคมีพื้นฐาน

Published by wara.boon.ell, 2019-12-21 06:06:51

Description: ปฏิบัติการเคมีพื้นฐาน

Search

Read the Text Version

ปฏบิ ัตกิ ารเคมีพ้ืนฐาน CH 62501 Basic Chemistry Laboratory สาหรับนกั ศึกษา ชัน้ ปีที่ 1 สาขาวิชาฟส ิกส มหาวิทยาลัยราชภฎั หมูบ่ ้านจอมบงึ ภาคการศึกษาท่ี 1 ปีการศึกษา 2562

หลกั ปฏิบัติและความปลอดภัยในหอ้ งปฏิบัตกิ ารเคมี ห้องปฏิบัติการเคมีเป็นสถานที่ที่ให้นักศึกษาได้ค้นคว้าทดลองและเรียนรู้อย่างสนุก แต่ใน ขณะเดียวกันก็อาจจะเป็นสถานที่ที่มีอันตรายเกิดขึ้นได้ เพราะในการทดลองทำปฏิบัติการทางเคมีนั้น จะต้อง เกี่ยวข้องกับสารเคมีหลายชนิดรวมทั้งอุปกรณ์เครื่องแก้วต่าง ๆ ซึ่งสารเคมีบางชนิดอาจจะทำให้เกิดอันตราย แก่ร่างกายโดยตรง หรืออาจเกิดอุบัติเหตุขึ้นได้ในขณะทำการทดลอง การบาดเจ็บที่มักจะเกิดขึ้นเสมอในการ ทำการทดลอง ได้แก่ บาดแผลที่เกิดจากเครื่องแก้วบาด การไหม้พองเนื่องจากจับอุปกรณ์ที่ร้อนจัด สารเคมี กระเด็นเข้าตาหรือการปวดแสบปวดร้อนเนื่องจากผิวหนังถูกกรดเข้มข้น ดังนั้น จึงจำเป็นที่จะต้องทราบถึง การปอ้ งกนั หรอื แก้ไขเมือ่ เกิดอุบัติเหตขุ ึ้น นกั ศึกษาทุกคนควรปฏบิ ตั ิเมื่อจะทำการทดลอง ดงั น้ี 1. นักศึกษาจะต้องมีสิ่งของเครื่องใช้ประจำดังต่อไปนี้คือ หนังสือปฏิบัติการเคมี สมุดบันทึก เสือ้ คลมุ และแวน่ ตานริ ภยั 2. เมื่อเข้าห้องปฏิบัติการห้ามส่งเสียงดัง เล่น ผิวปาก สูบบุหรี่ และการแต่งกายต้องสุภาพ เรียบร้อย 3. ควรรตู้ ำแหน่งท่เี กบ็ อปุ กรณ์ สำหรับใช้ในเวลาฉุกเฉนิ และเครือ่ งดบั เพลิง 4. ก่อนทำการทดลองจะตอ้ งศกึ ษาเร่อื งทจ่ี ะทำการทดลองทกุ ครั้ง 5. ในการทดลองแต่ละครง้ั บนโตะ๊ ทำงานควรจะมแี ต่เครื่องมอื ทีจ่ ำเป็นตอ้ งใช้จรงิ ๆ เท่านน้ั 6. เมือ่ ได้รับอันตรายจากการทดลอง ตอ้ งรีบรายงานต่อผคู้ วบคมุ ทันที 7. สารทต่ี ดิ ไฟง่าย ได้แก่ อีเทอร์ เบนซีน ฯลฯ อยา่ นำไปใกลไ้ ฟ 8. ขณะทำการทดลองจะต้องระมดั ระวังอันตรายทอี่ าจเกดิ แกต่ วั เอง และผอู้ ยู่ใกลเ้ คยี ง 9. ตอ้ งไม่ทำการทดลองใด ๆ นอกเหนอื ไปจากการทดลองทีก่ ำหนดไวใ้ นบททดลอง 10. อย่าต้มของเหลวในหลอดทดลองขนาดเล็กด้วยเปลวไฟโดยตรง เพราะจะทำให้ของเหลวใน หลอดพุ่งออกไปอาจเป็นอันตรายแก่ตัวเอง และผ้อู ยใู่ กล้ ควรตม้ ในบีกเกอรซ์ งึ่ มีน้ำเดือด 11. เวลารินสารเคมีต่าง ๆ ให้รินออกด้านตรงข้ามกับฉลาก และให้วางฝาจุกหงายขึ้น เมื่อใช้แล้ว จะต้องรีบปิดฝาจุกทันที ขวดน้ำยาที่มีหลอดหยด (Dropper) เวลาหยดสารอย่าให้ปลายหลอดหยดแตะกับ ภาชนะทรี่ องรับ 12. ถ้าผิวหนังถูกกับกรดหรือเบสเข้มข้นให้รีบล้างด้วยน้ำจำนวนมาก ๆ ทันที หลังจากนั้นล้าง ด้วยสารละลาย 1% NaHCO3 อีกครั้งหนึ่งถ้าสารเคมีกระเด็นเข้าตาต้องรีบล้างด้วยน้ำทันที และแจ้งให้ผู้ ควบคมุ ปฏิบตั ิการทราบ 13. เศษขยะของแข็ง เช่น พวกไม้ขีด กระดาษที่ไม่ใช้และเศษแก้วแตกให้ห่อด้วยกระดาษให้ เรียบร้อยและทิ้งลงในภาชนะที่ทิ้งขยะ ของแข็งทุกชนิดห้ามทิ้งในอ่างน้ำ หรือตามพื้นห้อง ส่วนที่เป็นของเหลว ให้เททิ้งลงอ่างน้ำ ถ้าเป็นพวกกรดหรือด่างต้องเปิดน้ำราดทุกครั้ง และบนโต๊ะทดลองถ้าสารเคมีหกจะต้องรีบ เชด็ ออกทันที

14. ห้ามชิมสารใด ๆ ในห้องปฏิบัติการ อย่าดมกลิ่นสารต่าง ๆ ด้วยการเอามาจ่อที่จมูก แต่ให้ถือ หลอดทดลองท่ีมีสารเคมนี ั้นไวห้ ่าง ๆ แลว้ ใชม้ อื โบกกลิน่ ของสารนั้นให้เข้าจมกู เพียงเลก็ น้อย 15. เมื่อทำการทดลองเสร็จแล้วทุกครั้ง เครื่องแก้วจะต้องล้างให้สะอาดด้วยผงซักฟอก และ นำ้ ประปา แลว้ ลา้ งกลั้วอีกคร้ังดว้ ยนำ้ กลน่ั ทำใหแ้ หง้ จงึ เก็บเขา้ ตใู้ ห้เรยี บรอ้ ย 16. ก่อนออกจากห้องจะต้องตรวจตู้ โต๊ะ และที่วางขวดน้ำยาให้อยู่ในสภาพเข้าที่เรียบร้อย และ สะอาดเหมอื นเดมิ ทกุ คร้งั 17. ล้างมือใหส้ ะอาดทกุ คร้ัง กอ่ นออกจากห้องปฏิบัตกิ าร 18. ก่อนใช้ตะเกียงบุนเสนต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่า ไม่มีสารเคมี ประเภทไวไฟอยู่ในบริเวณ ใกล้เคยี ง เพอ่ื ปอ้ งกันอบุ ตั เิ หตุเกี่ยวกบั ไฟไหม้ 19. การทำให้กรดเจือจาง ให้เทกรดเขม้ ขน้ ลงในน้ำ หา้ มเทนำ้ ลงในกรด 20. เมื่อต้มของเหลวหรือสารละลายต้องใส่ Boiling chip ลงไป เพื่อป้องกันการเดือดอย่าง รนุ แรง 21. ไมป่ ิเปตตส์ ารละลายโดยใช้ปากดูด ใหใ้ ช้ลกู ยางช่วยในการดดู สารละลายเข้าไปในปิเปตต์ 22. สารเคมที เ่ี ปน็ พษิ หรอื มีกลน่ิ ควรทำการทดลองในตู้ควนั หลักการบนั ทกึ ข้อมลู ในการทดลองทางวิทยาศาสตร์ข้อมูลเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ดังนั้นผู้ทดลองจะต้องบันทึกและ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยความรอบคอบ ระมัดระวังและมีความซื่อสัตย์ ในการบันทึกผลของแต่ละการทดลองต้อง ประกอบดว้ ยหวั ข้อดังตอ่ ไปนี้ 1. หัวขอ้ การทดลอง 2. ผูร้ ว่ มทดลอง 3. วตั ถุประสงคข์ องการทดลอง 4. แผนผังการทดลอง (Flow chart) รวมถึงสมการเคมที ีเ่ ก่ียวขอ้ งกับการทดลอง 5. อุปกรณ์หรือเครื่องมอื การทดลอง 6. ผลการทดลองและอภิปรายผลการทดลอง

อปุ กรณท์ ่ีใชใ้ นการทดลอง Beaker Erlenmeyer flask Round - Heavy-walled bottomed filter flask flask (for suction Separatory filtration) funnel gas Condenser (water -cooled) gas control Polyethylene wash bottle burner Buchner funnel Hirsch funnel 100 cm3 250 (for suction filtration) (for small - scale cm3 suction filtration) Volumetric flasks Spatula Graduated Test tube Wire gauze Pinch clamp for rubber tubing (for tranferring solids) cylinder

watch glass Extraction clamp Three-linger clamp Metal ring Stirring rod Magnetic stirrer Test tube holder Teflon – coated (may be bath into magnetic stir bar hot plate/stirrer combination Graduated Transfer pipette cylinder Measuring pipette Burette

อปุ กรณ์ที่ใชเ้ พือ่ ความปลอดภยั An eyewash facility A safety shower A typical carbon dioxide with pull chain fire extinguisher Safety goggles A laboratory fume hood Lab apron A fire blanket

อปุ กรณ์และเทคนิคการใช้อุปกรณใ์ นห้องปฏิบัติการเคมี การฝึกปฏิบัติการในห้องปฏิบัติการเคมีจำเป็นต้องใช้อุปกรณ์ต่าง ๆ เป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะ อุปกรณ์พื้นฐาน ดังนั้นการเรียนรู้ถึงความสำคัญของอุปกรณ์ตลอดจนเทคนิคการใช้อุปกรณ์พื้นฐานต่าง ๆ ที่ ถูกต้องจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่จะทำให้การปฏิบัติการทดลองเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย อุปกรณ์ พนื้ ฐาน ตลอดจนเทคนิคการใช้อปุ กรณ์พืน้ ฐานที่สำคัญในการเรียนในภาคการศกึ ษาน้ี สรปุ ได้ดังน้ี 1. การรนิ การเท และการตักสารเคมี การรินและการเทสารละลาย (Pouring) ควรรินหรือเทลงบนแท่งแก้วคน (Stirring rod) หรือ ค่อย ๆ รินลงดา้ นขา้ งของภาชนะ และจับภาชนะใสส่ ารตรงดา้ นเดยี วกับฉลาก เพอื่ ป้องกันสารหกเปรอะเปื้อน ป้องกันฉลากเสียหาย ดูรูปที่ 1 (ก) (ข) การเปดิ จุกขวด การเทลงบนแท่งแก้ว (ค) (ง) การรนิ สารลงดา้ นขา้ งภาชนะ การรินสารลงด้านตรงข้ามฉลาก รปู ท่ี 1 การริน และการเทสาร สำหรับการตักสารเคมี อาจใช้ช้อนตักสารเคาะเบา ๆ หรือใช้ดินสอเคาะช้อนตักสารเบา ๆ จน ได้ปริมาณตามต้องการ ดรู ปู ที่ 2

Stopp er รปู ท่ี 2 การตกั สารเคมีจากขวด 2. การให้ความร้อนสารละลายโดยตรง การให้ความร้อนกับสารละลายโดยตรงอาจใช้ตะเกียงแก๊สหรือแผ่นให้ความร้อนกรณีที่ภาชนะใส่ สารเป็นบีกเกอร์ หรือขวดรูปชมพู่ควรให้ความร้อนโดยผ่านตะแกรงลวด (Wire gauze) เพื่อกระจายความ ร้อนก่อน ส่วนกรณีการให้ความร้อนโดยตรงกับหลอดทดลองควรใช้เปลวไฟอ่อนและเอียงหลอดทดลอง ประมาณ 45° เพื่อปอ้ งกันการเดอื ดพลุง่ ของสารละลาย และควรหนั ปลายปากหลอดใหพ้ ้นจากคน ดรู ปู ที่ 3 ตะแกรงลวด สารละลาย ถูก ไม่หนั สารละลาย ไมเ่ กนิ ครึ่งหลผอดิ ด ปากหลอด มากเกินไป เข้าหาตัว เปลวไฟอ่อน เปลวไฟ ร้อนเกินไป รปู ท่ี 3 การใหค้ วามร้อนสารละลายโดยตรง

3. การระเหยของเหลว (Evaporation) การระเหยของเหลวควรใช้ภาชนะปากกว้าง เช่น บีกเกอร์หรือถ้วยระเหย (Evaporating dish) และ ควรใช้ไฟอ่อน ๆ ป้องกันการกระเด็น หรือระเหยบนเครื่องอังน้ำ (Water bath) กรณีที่เป็นของเหลวระเหย ง่ายไม่ควรระเหยโดยใช้เปลวไฟโดยตรง แต่ควรใช้แผ่นให้ความร้อนไฟฟ้า (Electric hot plate) เพื่อป้องกัน อนั ตรายที่อาจเกิดการตดิ ไฟได้ ดรู ปู ที่ 4 ถว้ ยระเหย บกี เกอร์ นต0าะํ แกรงลวด รปู ท่ี 4 การระเหยของเหลว 4. การผสมสารละลาย การผสมสารละลายเพื่อทำให้สารละลายเป็นเนื้อเดียวกัน หรือเพื่อให้สารละลายทำปฏิกิริยากันอย่าง สมบูรณ์ กรณีที่ภาชนะที่ใช้เป็นบีกเกอร์ควรใช้แท่งแก้วคนเป็นวงไปในทางเดียวกัน หรือกรณี ที่ใช้ขวดรูปชมพู่ ใช้ข้อมือหมุนขวดรูปชมพู่เป็นวงไปในทางเดียวกัน และกรณีที่เป็นหลอดทดลองให้ใช้แท่งแก้วคนหรือสลัดให้ สัมผสั ฝ่ามอื เบา ๆ ดรู ปู ท่ี 5 หมุนขอ้ มอื คนดว้ ยแท่งแก้วเปน็ วง อยา่ เขย่า (ก) (ข) รูปท่ี 5 การผสมสารละลาย

5. การดมสาร ไม่ควรดมสารใกล้ ๆ เพราะไอของสารอาจถูกสูดดมเข้าสู่ทางเดินหายใจจนก่อให้เกิดอันตรายได้ แตค่ วรใชม้ อื โบกไอสารแทน ดูรูปที่ 6 ชอ่ งว่าง ใช้มือโบก รปู ท่ี 6 การดมสาร 7. การแยกของแขง็ ออกจากสารละลาย การแยกของแข็งออกจากสารละลายสามารถกระทำได้โดยการรินสารละลายใส ออกจากตะกอน (Decantation) ดูจากรูปที่ 7 (ก) หรือโดยการกรองแบบธรรมดาโดยผ่านกระดาษกรองดูจาก รูปที่ 7 (ข) สำหรับการกรองสารละลายที่มีตะกอนติดอยู่ ควรฉีดล้างตะกอนตามลงมาบนกระดาษกรอง แล้วล้างตะกอน บนกระดาษกรองจนแน่ใจว่าไม่มสี ารตดิ อยูบ่ นตะกอนอกี ดูรปู ที่ 7 (ค) (ก) (ข) (ค) รปู ท่ี 7 การแยกของแขง็ ออกจากสารละลาย (ก) การรนิ สารละลายใสออกจากตะกอน (ข) การพับกระดาษกรอง (ซ้าย) การกรองแบบธรรมดา (ขวา) (ค) การกรองสารละลายทม่ี ีตะกอนติดอยู่

8. เคร่อื งชงั่ (Balance) เครื่องชั่งมีหลายชนิด และมีลักษณะแตกต่างกันไปตามบริษัทผู้ผลิต ข้อสำคัญควรเลือกใช้ให้ เหมาะสมกบั งานท่ีจะทำไดแ้ ก่ Rotating top Sample pan Draft protector Power cord Tare button Sliding Power switch Mass indicator Sadmopolre (ข) Level indicaptaonr Level indicator Mass display tIimnteegsrwaitticohn Range switcThare bCuattloibnration Leveling knob STANDBY/ON switchscrew (ก) รปู ที่ 8 เคร่ืองชัง่ ระบบดิจิตอล (ก) เครือ่ งชั่งละเอียด (ข) เคร่ืองชง่ั Top loader 1. เครื่องชั่งละเอียด (Analytical balance) ชั่งได้ละเอียดถึง ±0.0001 g หรือ ±0.00001 g เครื่องชั่งชนิดนี้ควรใช้ชั่งสารตัวอย่างสารมาตรฐานปฐมภูมิหรือชั่งสารที่ต้องการค่าน้ำหนักที่มีความละเอียดสูง ดูรูปที่ 8 (ก) 2. เครื่องชั่ง Top loader (Top loader balance) ชั่งได้ละเอียดถึง ±0.1 g ถึง ±0.01 g ให้ ชงั่ สารมาตรฐานทตุ ยิ ภมู ิหรือใชช้ งั่ สารทไี่ มต่ ้องการค่านำ้ หนักที่มคี วามละเอียดสูงดูรูปที่ 8 (ข) ในการใชเ้ ครอื่ งช่งั แบบใด ๆ ควรปฏิบัติตามค่มู ือของการใชเ้ ครือ่ งชั่งนัน้ นอกเหนอื จากนจี้ ะตอ้ ง ใช้ด้วยความระมัดระวังเช่น เลือกภาชนะใส่สารให้เหมาะกับสารที่จะชั่ง เช่น ขวดชั่งสาร กระจกนาฬิกา กระดาษชั่งสาร ไม่ชั่งสารที่มีน้ำหนักเกินพิกัดของเครื่องชั่ง ชั่งด้วยความระมัดระวัง เบามือ และไม่ทำให้สาร เปรอะเป้ือนเครอื่ งชงั่ และใชแ้ ปรงออ่ น ๆ ปัด เบา ๆ เมือ่ มีสารตกหลน่ ลงบนเครื่องชงั่ ทนั ที เป็นต้น

ปฏิบตั ิการท่ี 1 เทคนคิ การชั่งสารเคมี วตั ถุประสงค์ 1. เพื่อใหน้ กั ศกึ ษาสามารถเลอื กใช้เครอ่ื งชง่ั ไดเ้ หมาะกับงาน 2. เพื่อให้นกั ศึกษาเกดิ ทักษะในการใช้เคร่อื งชั่ง 3. เพื่อให้นกั ศึกษาสามารถชัง่ แบบผลรวม และแบบผลต่างได้ 4. เพ่อื ให้นักศกึ ษาสามารถบนั ทกึ น้ำหนักดว้ ยตวั เลขนัยสำคญั หลักการ เครื่องชั่งไฟฟ้ามีหลายแบบที่ใช้ในห้องปฏิบัติการทั่วไปมีทั้งเครื่องชั่งแบบหยาบ เช่น ชั่งได้ 2 ตำแหน่ง และเครื่องชั่งละเอียดชั่งได้ 4 ตำแหน่ง เนื่องจากเครื่องชั่งมีราคาแพง จึงต้องใช้ด้วยความ ระมดั ระวัง ดังน้ี 1. ห้ามวางสารเคมี หรือรีเอเจนต์ทุกชนิดบนจานเครื่องชั่งโดยตรง ต้องใส่ในบีกเกอร์ขนาดเล็ก กระจกนาฬิกา หรือขวดช่งั สาร 2. ห้ามชั่งเกินน้ำหนกั สูงสุดท่เี ครื่องชงั่ กำหนด 3. สำหรบั เครอ่ื งช่ังละเอียดทม่ี ีต้กู ระจก จะตอ้ งปิดต้กู ระจกกอ่ นอ่านนำ้ หนักเสมอ 4. ต้องดูแลรักษาความสะอาดของเครื่องชั่งด้วยความระมัดระวังไม่ให้มีสารหกหล่นลงบนเครื่อง ชง่ั 5. การทำความสะอาดเคร่ืองชั่งควรใช้แปรงขนอ่อนปดั เบา ๆ การชัง่ สารมวี ิธชี ัง่ หลายวธิ ี ได้แก่ 1. วิธีชั่งแบบผลรวม (Weighing by addition) วิธีนี้ต้องชั่งภาชนะเปล่าก่อน แล้วกดปุ่ม Tare เพื่อปรับน้ำหนักให้เป็นศนู ย์แลว้ จึงค่อย ๆ เติมสารท่ตี อ้ งการชั่งลงไปจนได้นำ้ หนกั ที่ตอ้ งการ 2. วธิ ีชงั่ แบบผลต่าง (Weighing by difference) เปน็ วธิ ีชง่ั ทใี่ ห้ความถูกต้องสงู ใช้ไดก้ ับสารหลาย ประเภท เช่น สารปฐมภูมิ สารที่ดูดความชื้นง่ายและสารตัวอย่างที่ชั่งได้ยาก การชั่งแบบนจี้ ะชั่งสารพร้อมขวด ชั่งสารก่อน แล้วจึงเคาะสารลงในภาชนะที่ต้องการให้ได้น้ำหนักใกล้เคียงกับที่ต้องการ จากนั้นนำขวดชั่งสาร พร้อมสารที่เหลือชั่งอีกครั้งหนึ่ง น้ำหนักขวดชั่งสารครั้งสุดท้าย ลบออกจากครั้งแรกจะได้น้ำหนักของสารที่ชั่ง บันทึกน้ำหนักไว้

ขวดชง:ั รปู ที่ 1.1 การถ่ายสารลงในขวดรูปชมพู่ โดยวธิ ีการช่ังแบบผลตา่ ง (ในการถา่ ยสารผชู้ ่ังสารตอ้ งสวมถุงมือหรอื ใช้กระดาษจับขวดช่ังสาร) สำหรับสารดูดความชื้นต้องใช้ภาชนะปิดมิดชิด ไม่ควรชั่งหลายครั้งติดต่อกัน เพราะจะทำให้ สารเคมีมคี วามช้ืนเพ่ิมขึ้นเร่ือย ๆ การบันทกึ น้ำหนกั จากการชั่ง เครื่องชั่งมีความหยาบละเอียดแตกต่างกัน เช่น ถ้าชั่งสารหนัก 1 g บนเครื่องชั่งที่ชั่งได้ ละเอียด 0.1 g จะต้องบันทึกน้ำหนักเป็น 1.0 ±0.05 g ถ้าใช้เครื่องชั่งที่ชั่งได้ละเอียด 0.01 g จะต้อง บันทึกน้ำหนักเป็น 1.00 ±0.005 g และถ้าใช้เครื่องชั่งที่ชั่งได้ละเอียดถึง 0.001 g จะต้องบันทึกน้ำหนักเป็น 1.000 ±0.0005 g ตัวเลข ±0.05, ±0.005 และ ±0.0005 g เป็นตัวเลขแสดงความคลาดเคลื่อนสัมบูรณ์เชิงทฤษฎี (Theoretical absolute error) ซึ่งมีค่าเท่ากับครึ่งหนึ่งของหน่วยที่เล็กที่สุดที่อ่านได้บนมาตราส่วนของเครื่อง ชัง่ การทดลอง อปุ กรณ์ เคร่อื งชงั่ ไฟฟา้ แบบ 2 ตำแหน่ง และ 4 ตำแหนง่ สารเคมี 1. นำ้ ตาลทราย 2. เกลอื แกง

วธิ ีการทดลอง 1. ตรวจสอบดเู ครื่องชงั่ ว่าพร้อมใช้งานหรอื ไม่ เช่น ดลู กู น้ำทป่ี รับระดับว่าอยตู่ รงกลางหรอื ไม่ 2. ตรวจสอบดคู วามสะอาดของจานชัง่ 3. เสยี บปลก๊ั เปิดสวิตช์ 4. กดปุม่ ปรบั ศนู ย์ 5. ชั่งน้ำตาลทรายหนักประมาณ 1 g แบบผลรวมบนเครื่องชั่ง 2 ตำแหน่ง ใส่ลงในบีกเกอร์ขนาด 50 cm3 บันทกึ น้ำหนกั ทแี่ น่นอน 6. ชง่ั นำ้ ตาลทรายและเกลอื แกงหนกั ประมาณอยา่ งละ 1 g แบบผลต่าง บนเครอ่ื งช่งั 4 ตำแหน่ง ใสล่ งในบีกเกอร์ขนาด 50 cm3 คำนวณหานำ้ หนกั ทช่ี ่งั ไดแ้ นน่ อน บันทกึ น้ำหนักไว้

รายงานผลการทดลองท่ี 1 เทคนคิ การช่งั สารเคมี หมเู่ รียน……………………....….………..โปรแกรมวิชา……………..…….…………………..…..กลุม่ ที่……………………..…... ช่อื ผรู้ ายงาน………………………………………..…..……………..……..รหัส………………………………………….……………. ผรู้ ่วมงาน 1……………………………..…….….………………..…..รหสั ………………………………………………….……. 2………………………………….…..……….………....…รหสั ………………………………………………………. 3……………………………………..…..………………....รหสั ………………………………………………………. ทำการทดลองวันท่ี……………………………………………………………….…………………………………………………..……... อาจารยผ์ ู้สอน………………………………………………………..……………………………………………………………….……….. --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ผลการทดลอง ตวั อยา่ ง นำ้ หนกั ท้ังหมด น้ำหนักทัง้ หมด นำ้ หนกั ทชี่ ่งั ได้ ก่อนถ่ายสาร (g) หลังถ่ายสาร (g) (g) แ บ บ ผ ล ร ว ม สรปุ ผล ……………………………………………………………………….……………………………………………………………………. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..

คำถาม 1. ถ้าต้องการชั่งสาร 10 g โดยใช้บีกเกอร์ขนาด 25 cm3 จะใช้เครื่องชั่งแบบละเอียดทศนิยมสี่ ตำแหนง่ ในหอ้ งปฏิบัตกิ ารของทา่ นไดห้ รอื ไม่ เพราะเหตุใด ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. 2. ในการชั่งสาร 10 mg โดยใช้บีกเกอร์ขนาด 50 cm3 นักศึกษาคิดว่าเหมาะสมหรือไม่ เพราะ เหตุใด ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..

ปฏิบตั ิการที่ 2 การแยกสารออกจากสารผสม วัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาการแยกของผสมโดยใช้วธิ ีการกรอง การสกดั การระเหดิ และการหาปรมิ าณสารทีแ่ ยกได้ หลกั การ การแยกของผสมออกเป็นสารแต่ละอย่าง อาศัยความแตกต่างกันสมบัติทางกายภาพของสารนั้นๆ เช่นการละลาย การระเหิด และอื่นๆ สำหรับการกรอง เป็นวิธีการที่ใช้แยกของผสมซึ่งเป็นของแข็งและ ของเหลวออกจากกัน การใช้ตัวทำละลาย เนวิธีการที่ใช้ในการแยกของผสมโดยการละลายของผสมด้วยตัวทำ ละลายที่ละลายของแข็งชนิดหนึ่งแต่ไม่ละลายของแข็งอีกชนิดหนึ่งแล้วใช้การกรองเอาส่วนที่ไม่ละลายออก ของเหลวทกี่ รองได้ก็นำไประเหยให้แห้งจนได้ของแข็งหรอื ระเหยใหง้ วดแล้วทง้ิ ไว้ให้ตกผลึก วิธกี ารทดลอง สารผสมที่จะแยกประกอบด้วย NH4Cl, NaCl และ SiO2 จะทำการแยก NH4Cl ออกไปก่อนโดยการ ระเหดิ จากน้นั แยก NaCl ออกจาก SiO2 โดยการสกดั ดว้ ยนำ้ และของแขง็ ทเี่ หลือจะเป็น SiO2 1. ชั่งถ้วยระเหยที่แห้งและสะอาดให้ทราบน้ำหนักแน่นอน ใส่สารทั้งหมดลงในถ้วยระเหย ชั่งน้ำหนัก อกี ครัง้ เพ่ือหาน้ำหนักขอสารตวั อยา่ งที่ใช้ 2. ทำการทดลองในตู้ควนั (hood) วางถ้วยระเหยบนตะแกรงที่อยู่บนขาตั้ง จุดตะเกียง หรือวางถ้วย บน hot plate ให้ความร้อนแก่ถ้วยระเหยจนไม่มีควันสีขาวอีก และให้คนสารผสมเบาๆ ไปด้วย หลังจากนั้น เอาถ้วยระเหยออก ทิ้งให้เย็นจนถึงอุณหภูมิห้อง นำไปชั่งน้ำหนัก อย่าชั่งน้ำหนักในขณะที่ถ้วยยังร้อนอยู่ และ น้ำหนักทีห่ ายไปคือปริมาณของ NH4Cl ในสารผสม 3. เติมน้ำร้อนลงในถ้วยระเหย 30 ml คนสารช้าเป็นเวลา 5 นาที แล้วค่อยๆเทของเหลวออกจากถ้วย ลงในบีกเกอร์ ระวังอย่าให้ตะกอนติดไป เติมน้ำร้อนอีก 10 ml ลงในถ้วยอีก คนและเทของเหลวลงในบีกเกอร์ อนั เดิม ทำซำ้ อีกครัง้ ด้วยนำ้ รอ้ น 10 ml การทดลองน้เี ปน็ การสกัดเอา NaCl ออกจาก SiO2 4. นำถ้วยระเหยที่มี SiO2 ชื้นอยู่ไปทำให้แห้งโดยการให้ความร้อนเพื่อระเหยเอาน้ำออกไป (ทำการคน สารช้าๆ ด้วย) เมื่อเกือบแห้งให้ปิดถ้วยระเหยด้วยกระจกนาฬิกา ให้ความร้อนต่อไปจนไม่มีไอน้ำควบแน่นที่ กระจกนาฬกิ า เอาถ้วยออกมาท้ิงไว้ใหเ้ ย็น ชัง่ ถ้วยระเหยหานำ้ หนกั ของ SiO2 5. นำน้ำหนักของ NH4Cl และ SiO2 ลบออกจากน้ำหนักตัวอย่าง จะได้น้ำหนักของ NaCl คำนวณหา เปอร์เซน็ ต์ของสารแตล่ ะชนดิ ในของผสม โดยใช้สตู ร เปอร์เซน็ ตส์ าร = นำ้ หนกั สารเปน็ กรัม X 100 น้ำหนักสารตวั อย่างเป็นกรัม

รายงานผลการทดลองท่ี 2 การแยกสารออกจากสารผสม หมู่เรียน……………………....….………..โปรแกรมวิชา……………..…….…………………..…..กลุ่มท่ี……………………..…... ชอื่ ผู้รายงาน………………………………………..…..……………..……..รหสั ………………………………………….……………. ผู้รว่ มงาน 1……………………………..…….….………………..…..รหัส………………………………………………….……. 2………………………………….…..……….………....…รหัส………………………………………………………. 3……………………………………..…..………………....รหัส………………………………………………………. ทำการทดลองวันท่ี……………………………………………………………….…………………………………………………..……... อาจารยผ์ ู้สอน………………………………………………………..……………………………………………………………….……….. --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ผลการทดลอง ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. สรุปผล ……………………………………………………………………….……………………………………………………………………. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..

ปฏบิ ตั ิการท่ี 3 การเตรียมสารละลาย วตั ถปุ ระสงค์ 1. เพ่ือให้นกั ศกึ ษาสามารถเตรยี มสารละลายในหนว่ ยความเข้มข้นตา่ ง ๆ ได้ 2. เพอ่ื ให้นักศกึ ษาเรียนรู้เทคนคิ การเตรยี มสารละลาย หลักการ สารเคมีส่วนใหญ่ที่ใช้ในห้องปฏิบัติการมักอยู่ในรูปของสารละลายที่มีน้ำเป็นตัวทำละลาย และ ตัวละลายเป็นของแข็งหรือของเหลว ความเข้มข้นของสารละลายขึ้นอยู่กับปริมาณของตัวละลายและตัวทำ ละลาย ดังนั้นการบอกความเข้มข้นของสารละลายส่วนใหญ่มักจะบอกเป็นมวลของตัวละลายต่อปริมาตรของ สารละลาย หน่วยท่ีนยิ มใชบ้ อกความเข้มขน้ ของสารละลายท่ีใช้ในห้องปฏิบัติการมดี งั น้ี 1. ร้อยละ (Percentage concentration) แบง่ เปน็ 3 ชนิด 1.1 ร้อยละโดยน้ำหนัก (Percent by weight, % w/w) หมายถึงน้ำหนักของตัวละลายที่ ละลายอยูใ่ นสารละลาย 100 หน่วยนำ้ หนกั อันเดียวกนั 1.2 ร้อยละโดยปริมาตร (Percent by volume, % v/v) หมายถึงปริมาตรของตัวละลายที่ ละลายอยู่ในสารละลาย 100 หนว่ ยปริมาตรเดยี วกัน 1.3 ร้อยละโดยน้ำหนักต่อปริมาตร (Percent weight by volume, % w/v) หมายถึง น้ำหนกั ของตวั ละลายทล่ี ะลายอยใู่ นสารละลาย 100 หน่วยปรมิ าตร 2. โมลาร์ (Molar, M) หมายถึงจำนวนโมลของตัวละลายที่ละลายอยู่ในสารละลาย 1 dm3 หรือ 1 ลูกบาศกเ์ ดซิเมตร ใชห้ นว่ ยเป็นโมลาร์หรือโมลต่อลิตรหรือโมลตอ่ ลูกบาศก์เดซเิ มตร 3. ฟอร์แมล (Formal, F) หมายถึงจำนวนกรัมสูตรของตัวละลายที่ละลายอยู่ในสารละลาย 1 dm3 4. โมแลล (Molal, m) หมายถึงจำนวนโมลของตัวละลายท่ีละลายอยใู่ นตวั ทำละลาย 1 kg 5. นอร์แมล (Normal, N) หมายถึงจำนวนกรัมสมมูลของตัวละลายที่ละลายอยู่ในสารละลาย 1 dm3 6. สว่ นในลา้ นส่วน (Parts per million, ppm) หมายถึง จำนวนสว่ นของตัวละลายในสารละลาย 1 ล้านสว่ นใช้ในกรณที ี่สารละลายมตี วั ละลายละลายอยนู่ อ้ ยมาก การเตรยี มสารละลาย สารเคมี มีทั้งที่เป็นของแข็ง (Solid) และของเหลว (Liquid) การที่จะนำสารเคมีมาเตรียมเป็น สารละลายเจือจางทำได้โดยการคำนวณหาน้ำหนัก หรือปริมาตรของสารเคมีที่ต้องการใช้เสียก่อน แล้วนำไป

ชั่งหรือวัดปริมาตรให้ได้ตามที่ต้องการ หลังจากนั้นนำมาละลายหรือเจือจางด้วยน้ำกลั่นให้มีปริมาตรตามที่ ต้องการ เมื่อเตรียมสารละลายเสร็จแล้วให้บรรจุสารละลายลงในขวดเก็บสารเคมี พร้อมทั้งปิดฉลากให้ เรยี บร้อยระบขุ อ้ ความดงั นี้ ชื่อสาร………………………………………… ความเข้มข้น………………………………….. วนั ท่ีเตรียม……………………………………. ช่อื ผเู้ ตรยี ม……………………………………. การเตรียมสารละลายเคมีทำได้ 2 วิธี คอื 1. การเตรยี มสารละลายที่มีความเข้มข้นอย่างประมาณ วิธีนี้จะใช้การชั่งสารเคมีของแข็งหรือวัดปริมาตรของสารเคมีของเหลวอย่างประมาณ โดยเครื่อง ชั่งหยาบหรือกระบอกตวงแล้วนำมาละลายหรือเจือจางด้วยน้ำกลั่น วิธีนี้ใช้สำหรับการเตรียมสารละลายเคมีที่ ต้องการใช้ในการทดลองโดยที่สารเคมีนี้ไม่เป็นตัวที่เกี่ยวข้องกับการเกิดปฏิกิริยาที่ต้องใช้คำนวณหาปริมาณ ตัวอย่างเช่น เติม 20 % w/v NaOH เพื่อละลาย As2O3 สารละลาย 20% w/v NaOH ไม่จำเป็นต้อง เตรียมอย่างถูกต้องโดยใช้เครื่องชั่งละเอียดไฟฟ้า สามารถเตรียมได้อย่างหยาบๆ โดยใช้เครื่องชั่งหยาบ ถ้า ต้องการนำสารละลายที่เตรียมได้นี้ไปใช้โดยจำเป็นต้องทราบความเข้มข้น ที่แน่นอน เพราะเกี่ยวข้องกับ ปฏิกิริยาและต้องใช้ในการคำนวณ สามารถทำได้โดยทำการหาความเข้มข้นที่แน่นอน (Standardize) กับ สารละลายมาตรฐานปฐมภมู ิ (Primary standard solution) ด้วยการไทเทรต 2. การเตรยี มสารละลายมาตรฐานทม่ี ีความเขม้ ขน้ ถูกต้อง วิธีนี้ต้องชั่งสารเคมีของแข็งอย่างละเอียดด้วยเครื่องชั่งไฟฟ้า หรือวัดปริมาตรของสารเคมีที่เป็น ของเหลวด้วยปิเปตต์ แล้วละลายหรือเจือจางด้วยน้ำกลั่นให้ได้ปริมาตรตามที่ต้องการโดยใช้ขวดวัดปริมาตร (Volumetric flask) ท่มี ีขนาดตา่ ง ๆ การทดลอง อปุ กรณ์ 1. ขวดวดั ปรมิ าตร ขนาด 50 cm3 2. ปเิ ปตต์ ขนาด 25 cm3 3. บกี เกอร์ 4. แท่งแก้วคนสาร สารเคมี 1. NaCl 2. NaOH

วธิ ีทดลอง ตอนท่ี 1 เตรยี มสารละลาย 2 % w/v NaCl จำนวน 50 cm3 1.1 คำนวณหามวลของ NaCl ที่ต้องใช้แล้วชั่งอย่างละเอียด โดยใส่สารในบีกเกอร์ที่ สะอาด 1.2 นำสารที่ชั่งได้จากข้อ 1.1 เติมน้ำกลั่นประมาณ 25 cm3 ใช่แท่งแก้วคน จน สารละลายหมด แล้วเทลงในขวดวดั ปริมาตรทมี่ ีความจุ 50 cm3 โดยใช้กรวย 1.3 ล้างบีกเกอร์ที่ใช้ใส่สารละลายในข้อ 1.2 ด้วยน้ำกลั่นเล็กน้อยแล้วเทลงในขวด วัดปริมาตรทำซำ้ 2 – 3 ครั้ง 1.4 ค่อย ๆ เติมน้ำกลั่นลงในขวดวัดปริมาตร เขย่าเบา ๆ แล้วเติมน้ำกลั่นจน สารละลายมีระดับถึงขีดบอกปริมาตร ปิดจุก แล้วเขย่าให้ผสมเป็นเนื้อเดียวกัน เทลงในขวดบรรจุและเขียน ฉลากระบคุ วามเขม้ ขน้ ของสารละลายทเี่ ตรียมได้ ตอนท่ี 2 เตรียมสารละลาย 0.5 M NaOH จำนวน 100 cm3 โดยวิธีการเดียวกันกับการ ทดลองตอนที่ 1 ตอนที่ 3 เตรียมสารละลาย 0.125 M NaOH จำนวน 100 cm3 จากสารละลาย 0.5 M NaOH 3.1 คำนวณหาปรมิ าตรของ 0.5 M NaOH ทต่ี อ้ งใช้ 3.2 ใช้ปิเปตต์ดูดสารละลาย 0.5 M NaOH ตามที่คำนวณได้ ถ่ายลงในขวดวัด ปริมาตร ขนาด 100 cm3 3.3 เติมน้ำกลั่นลงในขวดวัดปริมาตรเขย่าเบา ๆ แล้วเติมน้ำกลั่นต่อไปจน สารละลายมีระดบั เท่ากับขีดบอกปรมิ าตร ปดิ จกุ แล้วเขยา่ ใหผ้ สมเป็นเนือ้ เดียวกนั หมายเหตุ การปรบั ปรมิ าตรควรระมัดระวังใหถ้ ูกตอ้ ง

รายงานผลการทดลองที่ 3 การเตรียมสารละลาย หมเู่ รยี น……………………....….………..โปรแกรมวิชา……………..…….…………………..…..กลุ่มที่……………………..…... ชื่อ ผ้รู ายงาน………………………………………..…..……………..……..รหสั ………………………………………….……………. ผรู้ ว่ มงาน 1……………………………..…….….………………..…..รหัส………………………………………………….……. 2………………………………….…..……….………....…รหัส………………………………………………………. 3……………………………………..…..………………....รหัส………………………………………………………. ทำการทดลองวันที่……………………………………………………………….…………………………………………………..……... อาจารย์ผสู้ อน………………………………………………………..……………………………………………………………….……….. --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ผลการทดลอง 1. ในการเตรียมสารละลาย 2 % w/v NaCl จำนวน 50 cm3 จะใช้ NaCl หนกั ………………. g 2. การเตรยี มสารละลาย 0.5 M NaOH จำนวน 100 cm3 จะใช้ NaOH หนัก …………. g 3. การเตรียมสารละลาย 0.125 M NaOH จำนวน 100 cm3 จากสารละลาย 0.5 M NaOH จะต้องใช้ NaOH……………………. cm3 สรุปผล ……………………………………………………………………….……………………………………………………………………. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. คำถาม 1. ถ้าต้องการเตรียมสารละลาย 4 % w/w Ca(OH)2 จำนวน 200 g จะเตรียมได้อย่างไร ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. 2. ถ้าใช้ปิเปตต์ดูดสารละลาย 0.4 F KI จำนวน 50 cm3 ใส่ลงในขวดวัดปริมาตรปรับปริมาตร เปน็ 500 cm3 สารละลายทีไ่ ดเ้ ขม้ ขน้ กี่ฟอร์แมล ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..

3. ถ้าต้องการเตรียมสารละลาย 0.5 M CH3COOH จำนวน 250 cm3 จากสารละลาย 2 % w/v CH3COOH จะทำไดอ้ ยา่ งไร ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. 4. จากสารละลาย 37% w/w HCl ความหนาแน่น 1.186 g/cm3 สารละลายน้ีเข้มขน้ กโ่ี มลาร์ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. 5. จากสารละลาย 96% w/w H2SO4 ความถ่วงจำเพาะ 1.84 ก. ความเข้มข้น H2SO4 เป็นกี่นอร์แมล และก่โี มลาร์ ข. จงเตรยี มสารละลาย 0.5 M H2SO4 จำนวน 100 cm3 ค. จงเตรยี มสารละลาย 2 N H2SO4 จำนวน 50 cm3 ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..

ปฏิบตั ิการท่ี 4 การหา pH ของสารละลายโดยใชอ้ ินดิเคเตอร์ วัตถุประสงค์ 1. เพ่อื ศกึ ษาการเปลย่ี นสีของอินดเิ คเตอร์ในสารละลาย pH ต่าง ๆ 2. เพอ่ื ศกึ ษาถึงการใช้อินดิเคเตอร์ และ pH meter หาค่า pH ของสารละลายชนดิ ตา่ ง ๆ หลักการ อินดิเคเตอร์ (indicator) เปน็ สารอนิ ทรียจ์ ำพวกกรดออ่ นมสี ูตรโครงสรา้ งทีซ่ ับซอ้ นมาก นิยมเขยี นใน รูปของสตู รทั่วไป คือ HIn เขียนปฏิกิรยิ าทภี่ าวะสมดลุ ได้ดงั นี้ HIn + H2O H3O+ + In- (สข◌องอ◌นด◌เคเีตอร◌รป◌ิ กริ ด) ์ ู (ส◌ของอน◌ด◌เคเีตอร◌รป◌ิ เบิ ส) ์ ู ถ้าหยดอินดิเคเตอร์ลงในสารละลายกรด สมดุลจะไปทางซ้ายได้สีของ HIn แต่ถ้าหยด อินดิเคเตอร์ ลงในสารละลายเบสสมดุลจะไปทางขวาได้สีของ In- เช่น ในสารละลายกรดฟีนอล์ฟทาลีนจะอยู่ในรูปที่ยัง ไม่ได้แตกตัว (HIn) จึงไม่มีสี แต่เมื่อมีเบสมากเกินพอเพียงเล็กน้อย ทำให้เกิดไอออนอิสระ (In-) ขึ้น จึง เปลีย่ นเป็นสีชมพอู อ่ น โดยปกตสิ ภาพกรด (acidity) หรือความเป็นกรดของสารละลาย หมายถึงปริมาณ H+ ทปี่ รากฏอยู่ ในสารละลายนนั้ ซง่ึ คดิ เปน็ จำนวนโมลต่อสารละลายหนึง่ ลกู บาศก์เดซเิ มตร (mol.dm-3) แตเ่ นื่องจากใน สารละลายกรดทม่ี ีความเขม้ ข้นน้อยๆ การท่ีจะกลา่ วถงึ ปรมิ าณ H+ ในสารละลายนนั้ เปน็ ส่ิงทย่ี ุ่งยากมาก เช่น [H+] = 0.000001 mol.dm-3 = 10-6 mol.dm-3 จึงได้มกี ารกำหนดรปู แบบขึน้ มาใหม่ในเทอมของ pH ซง่ึ pH = -log [H+] เมอ่ื [H+] คือ ความเขม้ ข้นของไฮโดรเจนไอออน ดงั นน้ั pH = -log 10-6 =6

ในทำนองเดียวกนั สภาพเบส (basicity) หรือ ความเปน็ เบสของสารละลาย หมายถึง ปรมิ าณ OH- ท่ี ปรากฏอยใู่ นสารละลายน้นั ซ่งึ คดิ เป็นจำนวนโมลต่อสารละลายหนงึ่ ลกู บาศกเ์ ดซิเมตร ดังนัน้ การระบคุ วาม เปน็ เบสของสารละลายอาจจะระบุในเทอมของ pOH ได้ดงั นี้ pOH = -log [OH- ] แต่เนื่องจาก pH + pOH = 14 ดังนน้ั pOH = 14 – pH ดว้ ยเหตนุ ี้เองเมอ่ื พิจารณาความเป็น กรด–เบส ของสารละลาย จงึ มักจะพิจารณาในเทอมของ pH เป็นสว่ นใหญ่ ดงั นี้ สารละลายท่ีมี pH 7 ถอื วา่ สารละลายเป็นกลาง สารละลายทมี่ ี pH ต่ำกวา่ 7 ถือวา่ สารละลายมฤี ทธิเ์ ป็นกรด สารละลายทม่ี ี pH มากกว่า 7 ถอื ว่าสารละลายมฤี ทธิเ์ ป็นเบส ตัวอยา่ ง HCl เข้มขน้ 0.0001 M จะมี pH เท่าใด เนอื่ งจาก HCl เป็นกรดแกจ่ งึ แตกตัวให้ H+ ได้หมดจงึ มี [H+] = 1 x 10- 4 mol.dm-3 pH = -log[H+] จากสตู ร = -log(1x10- 4) = -log1 - log10- 4 = -log1 + 4log10 = -0+4 =4 ตวั อย่าง สารละลายมี [H+] = 5 x 10- 3 จะมี pH เท่าใด pH = -log[H+] = -log(5x10- 3) = -log5 + 3log10 = -0.7 + 3 = 2.3

ตัวอย่างการคำนวณหา pH ของสารละลายเม่ือถกู ทำใหเ้ จอื จางลง ตวั อยา่ ง ถ้านำสารละลาย pH 1 มา 10 cm3 ทำใหเ้ จือจางลง 10 เทา่ จะไดส้ ารละลายท่มี ี pH เทา่ ใด สารละลาย pH 1 ปริมาตร 10 cm3 มีเนอ้ื กรด 0.1 x=10 mol 1000 = 0.001 mol เม่ือทำให้เจอื จางลง 10 เท่า โดยการเตมิ น้ำกลน่ั 90 cm3 ได้สารละลายปริมาตร 100 cm3 ทมี่ เี น้อื กรดเทา่ เดมิ คือ 0.001 mol = 0.001 x 1000 100 ภายหลังเติมนำ้ กลนั่ สารละลายนเี้ ข้มขน้ mol.dm-3 = 0.01 mol.dm-3 หรอื [H+] = 0.01 mol.dm-3 น่นั คอื สารละลาย pH 1 เมือ่ ถูกทำใหเ้ จือจางลง 10 เท่า จะมี pH = 2 การทดลอง อปุ กรณ์ 1. หลอดทดลอง 22 หลอด พร้อมทีว่ างหลอด 2. บีกเกอร์ขนาด 50 cm3 1 ใบ และขนาด 100 cm3 11 ใบ 3. กระบอกตวงขนาด 50 cm3 และขนาด 100 cm3 4. ขวดรปู ชมพูข่ นาด 500 cm3 1 ใบ 5. เคร่อื ง pH meter สารเคมี 1. 0.1 M hydrochloric acid (0.1 M HCl) 2. 0.001 M sodium hydroxide (0.001 M NaOH) 3. 0.1 M boric acid (0.1 M H3BO3) 4. 0.1 M acetic acid (0.1 M CH3COOH) 5. 0.1 M sulfuric acid (0.1 M H2SO4) 6. 0.1 M ammonium hydroxide (0.1 M NH4OH) 7. 0.1 M sodium carbonate (0.1 M Na2CO3)

8. อนิ ดเิ คเตอร์ ได้แก่ methyl orange methyl red bromothymol blue และ phenolphthalein 9. ใหน้ ักศกึ ษานำดอกไม้ที่คดิ ว่านา่ จะใชเ้ ปน็ อนิ ดิเคเตอร์ไดม้ าคนละ 1 ชนิดแล้วสกดั สดี ้วยนำ้ จำนวน เล็กนอ้ ยจะไดส้ ารละลายสดี อกไม้ (แตล่ ะกลมุ่ ควรเตรยี มมาอยา่ ใหซ้ ำ้ กนั ) 10. ใหน้ ักศึกษาเตรียมสารเคมีภายในบ้าน เชน่ นำ้ ฝน น้ำบาดาล น้ำขเ้ี ถา้ นำ้ โซดา ผงซักฟอก สบู่ นำ้ ผลไม้ ยาลดกรด อโี น ยาระบาย โซดาซกั ผา้ ผงฟู นำ้ ยาเชด็ กระจก หรอื นำ้ แอมโมเนยี โดยนำมาคนละ 1 ชนิด เพื่อหาค่า pH วิธกี ารทดลอง ตอนท่ี 1 การเปล่ียนสขี องอนิ ดิเคเตอร์ในสารละลายท่ีมี pH ตา่ ง ๆ นำขวดรปู ชมพขู่ นาด 500 cm3 ใส่น้ำกล่ัน 400 cm3 นำมาต้มให้เดอื ด แล้วปิดปากขวดด้วยบกี เกอร์และทิ้งไว้ใหเ้ ย็นหรือนำไปแช่น้ำประปา (การต้มเพ่อื ไล่ CO2 ทล่ี ะลายอยู่ออกไป) น้ำกลั่นท่ีตม้ แลว้ จะมี pH 7 และนำไปเตรียมสารละลายตอ่ ไปน้ี นำบกี เกอรข์ นาด 100 cm3 จำนวน 11 ใบ ตดิ ป้าย pH 1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8, 9, 10, 11 ตามลำดับ นำบกี เกอร์ pH 1 มาใส่ 0.1 M HCl 25 cm3 นำบกี เกอร์ pH 2 มาใส่ 0.1 M HCl 5 cm3 เติมน้ำกลนั่ ทีต่ ้มจนเย็นแลว้ 45 cm3 คนให้ สารละลายเข้ากันสารละลายมี [H+] = 10- 2 M หรือ pH 2 นำบีกเกอร์ pH 3 ใส่สารละลาย pH 2 จำนวน 5 cm3 เตมิ นำ้ กลั่น 45 cm3 จะได้สารละลาย ทมี่ ี pH 3 จำนวน 50 cm3 นำบกี เกอร์ pH 4 ใสส่ ารละลาย pH 3 จำนวน 5 cm3 เติมนำ้ กล่ัน 45 cm3 จะไดส้ ารละลาย ทีม่ ี pH 4 จำนวน 50 cm3 นำบีกเกอร์ pH 5 ใส่สารละลาย pH 4 จำนวน 5 cm3 เตมิ น้ำกลั่น 45 cm3 จะได้ สารละลายทมี่ ี pH 5 จำนวน 50 cm3 นำบีกเกอร์ pH 6 ใสส่ ารละลาย pH 5 จำนวน 5 cm3 เติมนำ้ กลน่ั 45 cm3 จะไดส้ ารละลาย ท่มี ี pH 6 จำนวน 50 cm3 นำบีกเกอร์ pH 7 ใสน่ ้ำกล่นั ท่ตี ้มแลว้ จำนวน 25 cm3 นำบีกเกอร์ pH 11 ใสส่ ารละลาย 0.001 M NaOH 25 cm3 นำบีกเกอร์ pH 10 ใส่สารละลาย 0.001 M NaOH 5 cm3 เตมิ น้ำกลัน่ 45 cm3 จะได้ สารละลายท่มี ี pH 10 นำบีกเกอร์ pH 9 ใสส่ ารละลาย pH 10 จำนวน 5 cm3 เตมิ น้ำกลัน่ 45 cm3 จะได้ สารละลายทีม่ ี pH 9

นำบกี เกอร์ pH 8 ใสส่ ารละลาย pH 9 จำนวน 5 cm3 เตมิ นำ้ กลน่ั 45 cm3 จะได้ สารละลายท่ีมี pH 8 จากสารละลายทเ่ี ตรียมไวท้ ้งั หมด 11 ชนิด จะมี pH ตง้ั แต่ 1 ถึง 11 แบง่ สารละลาย pH ตา่ งๆ อย่าง ละ 3 cm3 ลงในหลอดทดลอง 11 หลอดทเ่ี ตรียมไวห้ ลอดละชนดิ จากนั้นให้หยด methyl orange ลงในแต่ ละหลอดๆ ละ 2 หยด เขย่าใหเ้ ข้ากัน สงั เกตสีของแต่ละหลอด บันทกึ ผล ทำการทดลองซ้ำโดยเปล่ยี นอินดิเค เตอรเ์ ปน็ methyl red bromothymol blue phenolphthalein และสารละลายสดี อกไม้ตามลำดับ บันทกึ ผล และหาชว่ ง pH ทเี่ ปลย่ี นสขี องอินดเิ คเตอร์แตล่ ะชนดิ ใหใ้ ช้ pH meter วัดค่า pH ของ สารละลายท่ีเหลืออยู่ในบีกเกอรท์ งั้ หมด 11 ชนิด ต้งั แต่ pH 1 -11 แล้วบันทกึ ผลเปรยี บเทียบค่าทวี่ ดั ได้กับ คา่ ท่ไี ดจ้ ากการเตรียม ตอนท่ี 2 การหา pH ของสารละลายชนิดตา่ ง ๆ โดยใช้อนิ ดเิ คเตอร์ นำหลอดทดลองทีส่ ะอาด 4 หลอด ใส่ 0.1 M H3BO3 หลอดละ 5 cm3 หยดอนิ ดิเคเตอร์ท้ัง 4 ชนิด ได้แก่ methyl orange methyl red bromothymol blue และ phenolphthalein ที่ ใชใ้ นตอนที่ 1 ลงในหลอดๆ ละ ชนิดๆ ละ 2 หยด เขย่าใหเ้ ขา้ กนั แลว้ สงั เกตสี บันทกึ ผล ทำการทดลอง ซ้ำโดยใช้สารละลาย 0.1 M CH3COOH สารละลาย 0.1 M H2SO4 สารละลาย 0.1 M NH4OH สารละลาย 0.1 M Na2CO3 และสารละลายของสารเคมีภายในบา้ น 1 ชนดิ ตามลำดบั บนั ทึกผล และบอกคา่ pH ของสารละลายชนิดต่างๆ และให้วัดค่า pH ของสารละลายทั้ง 4 ชนดิ นีด้ ้วย pH meter แลว้ บันทกึ ผล เปรยี บเทียบกับค่าท่ีไดจ้ ากการใชอ้ นิ ดเิ คเตอร์

รายงานผลการทดลองที่ 3 การหา pH ของสารละลายโดยใชอ้ ินดเิ คเตอร์ หมเู่ รียน……………………....….………..โปรแกรมวิชา……………..…….…………………..…..กลุ่มท่ี……………………..…... ชื่อ ผรู้ ายงาน………………………………………..…..……………..……..รหัส………………………………………….……………. ผ้รู ว่ มงาน 1……………………………..…….….………………..…..รหัส………………………………………………….……. 2………………………………….…..……….………....…รหสั ………………………………………………………. 3……………………………………..…..………………....รหัส………………………………………………………. ทำการทดลองวนั ที่……………………………………………………………….…………………………………………………..……... อาจารย์ผสู้ อน………………………………………………………..……………………………………………………………….……….. --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ผลการทดลอง ตอนท่ี 1 การเปล่ยี นสีของอินดิเคเตอรใ์ นสารละลายท่มี ี pH ตา่ ง ๆ คา่ pH สีของสารละลายเม่ือใชอ้ ินดเิ คเตอร์ จากการ วดั จาก methyl orange methyl red bromothymol blue phenolphthalein สจี ากดอกไม้ เตรียม เครือ่ ง 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11

ตอนท่ี 1 (ตอ่ ) ช่วง pH ทเ่ี ปล่ียนสขี องอินดิเคเตอรแ์ ตล่ ะชนิด อินดิเคเตอร์ ชว่ งของ pH ทเ่ี ปลี่ยนสี methyl orange methyl red bromothymol blue phenolphthalein สารละลายสจี ากดอกไม้ (……………………….) ตอนที่ 2 การหา pH ของสารละลายชนิดตา่ ง ๆ สารละลาย สีของสารละลายเมอ่ื ใชอ้ นิ ดิเคเตอร์ pH จาก methyl orange methyl red bromothymol blue phenolphthalein อินดิเคเตอร์ เครRือง 0.1 M H3BO3 0.1 M Na2CO3 0.1 M NH4OH 0.1 M CH3COOH 0.1 M H2SO4 สารเคมีใน บา้ น

สรุปผล .........................................................................................................................................................…………… .........................................................................................................................................................…………… .........................................................................................................................................................…………… .........................................................................................................................................................…………… .........................................................................................................................................................…………… .........................................................................................................................................................…………… .........................................................................................................................................................…………… .........................................................................................................................................................…………… คำถาม 1. สารละลายทม่ี ี pH 0 จะมีฤทธิเ์ ปน็ อยา่ งไร 20 2. สารละลายที่มี pH 16 จะมี [H+ ] ก่ี mol.dm-3 40 3. สารละลาย H2SO4 ที่มี pH 2 จะมคี วามเขม้ ข้นก่ี mol.dm-3 4. สารละลาย NaOH ทีม่ ี pH 12.2 จะมีความเข้มข้นกี่ mol.dm-3 5. phenolphthalein ในสารละลายกรดมสี ีอะไร 6. หยด methyl orange ในสารละลาย NaCl จะได้สารละลายสอี ะไร 7. นำสารละลายทมี่ ี pH 2 จำนวน 10 cm3 ผสมกับสารละลายที่มี pH 3 จำนวน cm3 จะไดส้ ารละลายทมี่ ี pH เทา่ ใด 8. เมื่อผสม H2SO4 ซง่ึ มี pH 2 จำนวน 20 cm3 กบั NaOH ซึง่ มี pH 10 จำนวน cm3 เขา้ ด้วยกนั จะได้สารละลายที่มี pH เทา่ ใด

การทดลองท่ี 5 สมบัติ การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพและทางเคมีของสาร วัตถุประสงค์ 1. เพื่อศึกษาและทำความเขา้ ใจเก่ียวกบั สมบตั ทิ างกายภาพและทางเคมขี องสาร 2. เพ่ือศึกษาถึงการเปลย่ี นแปลงทางกายภาพและทางเคมี และสามารถจำแนกประเภทของการ เปลี่ยนแปลงทเี่ กิดขึน้ ในสารได้ 3. เพือ่ ศกึ ษาถึงความสัมพันธข์ องการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพและทางเคมี หลกั การ สมบัติของสารบริสุทธิ์เป็นลักษณะเฉพาะตัวของสาร ซึ่งทำให้สารชนิดหนึ่งแตกต่างไปจากสาร ชนิดอื่น ๆ สมบัติของสารโดยทั่วไปจะแบ่งออกเป็นสมบัติทางกายภาพหรือทางฟิสิกส์ (Physical property) และสมบัตทิ างเคมี (Chemical property) สมบัติทางกายภาพ เป็นสมบัติของสารที่สามารถสังเกตเห็นได้ โดยจะไม่มีการเปลี่ยนแปลง องค์ประกอบของสาร สมบัติเหล่านี้ได้แก่ สี กลิ่น รส การละลาย ความหนาแน่น ความถ่วงจำเพาะ จุด หลอมเหลว จุดเดือด เปน็ ต้น สมบัติทางเคมี เป็นสมบัติที่เกี่ยวข้องกับองค์ประกอบภายในของสารเช่น การเกิดสนิมเหล็ก การ แยกน้ำด้วยกระแสไฟฟ้า หรือการเผาไหม้ถ่านหินหรือน้ำมันเชื้อเพลิงในอากาศ จะเห็นว่าการเปลี่ยนแปลง ดังกลา่ วมีการเปลีย่ นแปลงขององคป์ ระกอบของสารได้สารใหม่ ตารางท่ี 5.1 สมบตั ิทางกายภาพและทางเคมบี างประการของน้ำและเหลก็ สาร สมบัตทิ างกายภาพ สมบตั ทิ างเคมี สี Density (g/cm3) m.p (°C) b.p (°C) นำ้ ไมม่ ีสี 0.998 0 100 ทำอเิ ลก็ โทรไลซิสไดแ้ ก๊ส H2 และ O2 เหล็ก เทา 7.871 1532 3000 เกิดสนมิ เหล็ก เมือ่ ทำปฏิกิรยิ ากับ ออกซิเจน การเปล่ยี นแปลงของสาร การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นแบ่งออกเป็น การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ (Physical change) และ การเปล่ยี นแปลงทางเคมี (Chemical change)

การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ เป็นการเปลี่ยนแปลงเฉพาะลักษณะภายนอกที่สามารถ สังเกตเห็นได้ แต่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงขององค์ประกอบภายในของสาร เป็นการเปลี่ยนแปลงชั่วคราว มวล ของสารจะเทา่ เดมิ เชน่ การเปลีย่ นแปลงสถานะของนำ้ จากน้ำแขง็ กลายเปน็ น้ำและกลายเป็นไอ น้ำแขง็ นำ้ ไอน้ำ การเปลี่ยนแปลงทางเคมี เปน็ การเปล่ียนแปลงท่ีเก่ยี วข้องกับองค์ประกอบของสาร จะได้สาร ใหม่เกิดขนึ้ ซึ่งจะมสี มบัตแิ ตกตา่ งไปจากสารเดิม ในการเปลย่ี นแปลงทางเคมี อาจมแี ก๊สเกดิ ขน้ึ มกี ารให้ ความรอ้ นออกมา อาจมีการเปลี่ยนสขี องสารละลาย หรือเกิดสารประกอบท่ีไม่ละลาย เช่น การทำอเิ ลก็ โทรไลซสี ของน้ำ จะไดแ้ กส๊ ไฮโดรเจนและแกส๊ ออกซิเจน สว่ นแก๊สคลอรีนทำปฏกิ ริ ยิ ากับโลหะโซเดยี มจะได้ สารประกอบโซเดียมคลอไรด์ ตารางที่ 5.2 การเปลีย่ นแปลงทางกายภาพและทางเคมี การเปลย่ี นแปลง ชนดิ ของการเปลี่ยนแปลง การเดอื ดของน้ำ กายภาพ การแขง็ ตัวของน้ำ กายภาพ อิเล็กโทรไลซิสของน้ำ เคมี ปฏิกิรยิ าของคลอรีนกบั โซเดยี ม เคมี การหลอมเหลวของเหลก็ กายภาพ การขึ้นสนิมของเหล็ก เคมี การเผาไหมข้ องไม้ เคมี การย่อยอาหาร เคมี การเปลี่ยนแปลงทางเคมี อาจเกิดขึ้นพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ หลักการ เปลี่ยนแปลงทางกายภาพ เช่น สถานะ สี กลิ่น แก๊ส การตกตะกอน การให้ความร้อนและแสงสว่าง ช่วย ให้สามารถติดตามการเปลี่ยนแปลงทางเคมีได้ แต่ต้องระลึกไว้เสมอว่าการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพไม่ได้มีการ เปลยี่ นแปลงทางเคมีด้วยเสมอไป การทดลอง 2. หลอดหยดสารละลาย อปุ กรณ์ 4. หลอดแกว้ 1. หลอดทดสอบ 3. แท่งแก้วสำหรับคน

5. ตะเกียงบนุ เสน 6. บีกเกอร์ 7. ตะแกรงลวด สารเคมี 2. 0.1 M NaOH 1. 0.1 M NH4Cl 4. 1.0 M CH3COOH 3. 0.1 M Cu(NO3)2 6. 1.0 M NH4OH 5. C2H5OH วธิ ีการทดลอง 1. ปฏกิ ริ ิยาทีท่ ำใหเ้ กดิ แก๊ส นำหลอดทดสอบท่ีสะอาดและแห้งมา 2 หลอด หลอดท่ี 1 เติมสารละลาย NH4Cl 20 หยด และหลอดท่ี 2 เตมิ สารละลาย NaOH 20 หยด เทสารละลายหลอดที่ 1 ลงในหลอดท่ี 2 นำเอาสารละลายท่ไี ด้ ไปอุ่นในอา่ งนำ้ รอ้ น ในขณะท่อี ุน่ ให้นำกระดาษลติ มัสทีช่ ้นื วางบนปลายแทง่ แกว้ สำหรบั คน แลว้ นำไปองั ท่ปี าก หลอดทดสอบ จงสงั เกตว่ามแี ก๊สเกิดข้ึนหรือไม่ เขียนสมการแสดงปฏิกริ ยิ าท่ีเกิดขนึ้ และจากปฏิกิรยิ านี้มีแกส๊ อะไรเกิดขนึ้ 2. ปฏกิ ริ ยิ าท่ีทำใหเ้ กิดตะกอน นำหลอดทดสอบที่สะอาดและแห้งมา 1 หลอด เติมสารละลาย Cu(NO3)2 จำนวน 20 หยด ค่อย ๆ หยดสารละลาย 1.0 M NH4OH สังเกตการเปลี่ยนแปลง หลังจากนั้นให้หยด NH4OH ต่อไปเรื่อย ๆ และสงั เกตการเปล่ียนแปลงอีกคร้ังหนึ่ง เขียนสมการเคมแี ละอธบิ ายการเปลี่ยนแปลงทเ่ี กดิ ขนึ้ ทุกขัน้ ตอน 3. ปฏิกริ ยิ าทท่ี ำให้เกดิ กลิ่น นำหลอดทดสอบที่สะอาดและแห้งมา 2 หลอด หลอดที่ 1 เติมสารละลาย C2H5OH 20 หยด หลอดที่ 2 เติมสารละลาย CH3COOH 20 หยด เทสารละลายหลอดที่ 1 ลงในหลอดที่ 2 เขย่า ให้ สารละลายผสมกนั - ดมกล่นิ ของสารท่ีเกิดขึ้นเปรยี บเทียบกับกลนิ่ ของสารตง้ั ต้น - เขยี นสมการเคมี และสารใหมท่ ่เี กิดขน้ึ คืออะไร

รายงานผลการทดลองท่ี 5 สมบัติ การเปล่ียนแปลงทางกายภาพและทางเคมขี องสาร หมูเ่ รยี น……………………....….………..โปรแกรมวชิ า……………..…….…………………..…..กลมุ่ ที่……………………..…... ชอ่ื ผูร้ ายงาน………………………………………..…..……………..……..รหัส………………………………………….……………. ผู้รว่ มงาน 1……………………………..…….….………………..…..รหัส………………………………………………….……. 2………………………………….…..……….………....…รหัส………………………………………………………. 3……………………………………..…..………………....รหัส………………………………………………………. ทำการทดลองวนั ท่ี……………………………………………………………….…………………………………………………..……... อาจารยผ์ สู้ อน………………………………………………………..……………………………………………………………….……….. --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ผลการทดลอง การเปล่ียนแปลงทางกายภาพและทางเคมี 1. ปฏิกริ ิยาที่ทำให้เกดิ แกส๊ ปฏกิ ริ ิยาทเี่ กดิ ขึน้ คือ………………………………………………………………………… แก๊สท่เี กิดข้ึนคอื …………………………………………………………………………… วธิ ที ดสอบ คือ………………………………………………………………………………. การเปลย่ี นแปลงทางกายภาพคือ …………………………………………………………. การเปล่ียนแปลงทางเคมีคอื ………………………………………………………………… 2. ปฏกิ ิรยิ าทท่ี ำให้เกิดตะกอน ปฏิกิรยิ าทเ่ี กิดขึ้นคอื ………………………………………………………………………… ตะกอนทีเ่ กดิ ขน้ึ คอื ………………………………………………………………………….. การเปล่ยี นแปลงทางกายภาพคือ …………………………………………………………. การเปลีย่ นแปลงทางเคมคี ือ………………………………………………………………… 3. ปฏิกริ ยิ าทเี่ กดิ กล่ิน ปฏิกริ ยิ าที่เกิดขึ้นคอื ………………………………………………………………………… สารใหมท่ ่เี กดิ ขน้ึ คือ…………………………………………………………………………. การเปล่ยี นแปลงทางกายภาพคือ …………………………………………………………. การเปลย่ี นแปลงทางเคมีคอื …………………………………………………………………

สรปุ ผล ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. คำถาม 1. การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพมีความสัมพันธก์ ับการเปลี่ยนแปลงทางเคมีหรือไม่ เพราะเหตุใด ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. 2. ในการทดลองน้ี มีการทดลองใดบา้ งท่มี เี ฉพาะการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพอยา่ งเดียว ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. 3. เหตใุ ดในการทดลองท่ี 2 เม่อื เติม NH4OH ชั้นตะกอนจึงหายไป ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook