GHOST พชร สินชู ม.6/12 เลขที่39 AND SPIRITUALITY
สารบัญ 1 ผีึืคืออะไร 2-5 ตำนานเมืองญี่ปุ่น 3-6 ตำนานเมืองตะวันตก 7-12 วิทยาศาสตร์กับการเห็นผี 13-27 การพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์
ผี (Ghost) คืออะไร ตามความเชื่อและบันเทิงคดีแต่โบราณ ผี เป็นวิญญาณ ของคนหรือสัตว์ที่ตาย ซึ่งสามารถ ปรากฏให้คนเป็นเห็นได้ ไม่ว่าจะในรูปที่มองเห็นได้หรือสำแดงออกมาในรูปอื่น รายละเอียดการ ปรากฏตัวของผีมีหลากหลายมากตั้งแต่การแสดงตนแบบมองไม่เห็น ปรากฏเป็นรูปร่างบอบบาง ที่โปร่งแสงหรือแทบมองไม่เห็น ไปจนถึงการเห็นภาพสมจริงดุจมีชีวิต การมีอยู่ของผีและวิญญาณต่างๆ หล่อหลอมกลายเป็นความเชื่อที่สืบทอดกันมารุ่นสู่รุ่น แต่ ความพิเศษของผีและวิญญาณคือ ในแต่ละประเทศในโลกนี้ ลักษณะของผีจะเปลี่ยนแปลงไปตาม ความเชื่อของแต่ละประเทศ เกิดเป็นตำนาน หรือตำนานเมืองที่เล่าขานสืบต่อกันมาทุกยุคทุก สมัย
URBAN LEGENDS (ตำนานเมือง)
JAPAN ฮานาโกะซัง เล่ากันว่า หากเคาะประตูห้องน้ำที่ชั้นสาม เคาะสามครั้งแล้วถามว่า “ฮานาโกะ ซังอยู่ไหม” หากมีเสียงตอบว่า “ไฮ่” ประตูก็จะเปิดออก และมีเด็กผู้หญิงใส่ กระโปรงสีแดงลากตัวเราไป สถานที่จะพบเจอได้ต้องเป็นห้องน้ำเด็กผู้หญิงเวลา หลังเลิกเรียน ส่วนความเป็นมาของฮานาโกะนั้น เชื่อกันว่าเธอเป็นเด็กที่เสียชีวิตในช่วงสงครามโลก ขณะที่มีเครื่องบินมาทิ้งระเบิด เธอได้หนีเข้าไปหลบในห้องน้ำ ผลก็คือเปลวเพลิงจาก ระเบิดครอกตายทั้งเป็น นั่นจึงทำให้ดวงวิญญาณของเธอต้องคอยเร่ร่อนไปมาใน ห้องน้ำ
เทเคะเทเคะ ตำนานผีครึ่งท่อน เทเคะเทเคะนั้น เกิดจากหญิงสาวคนหนึ่งที่ถูกทำร้าย และข่มขืน เธอตัดสินใจกระโดดฆ่าตัวตายลงบนทางรถไฟ ร่างของเธอถูกรถไฟ ทับจนขาดครึ่งท่อน แต่ด้วยความหนาวเย็นของอากาศในตอนนั้น ทำให้เธอไม่ตายในทันที และต้องทรมานอยู่อย่างนั้นจนกว่าจะ ขาดใจตาย กลายเป็นวิญญาณอาฆาตที่จะฆ่าทุกคนที่โชคร้ายไปเจอ เธอเข้า โดยจะตัดร่างของเหยื่อเป็นสองท่อน และเอาร่างท่อนล่างไป
ป่าฆ่าตัวตาย อะโอกิงะฮะระ ป่าที่ชื่อน่ากลัวแห่งนี้ทอดตัวอยู่บริเวณเชิงภูเขาฟูจิทางด้านตะวันตก เฉียงเหนือ นับตั้งแต่ ค.ศ. 1950 เป็นต้นมา พบศพผู้เสียชีวิตในป่าแห่งนี้ มากกว่า 500 คน เฉลี่ยแล้วมีผู้ฆ่าตัวตายในป่าแห่งนี้ถึงปีละประมาณ 30 ราย โดยสาเหตุที่ผู้คนนิยมมาฆ่าตัวตายที่นี่ เป็นเพราะสามารถปลิด ชีวิตตนเองได้โดยเงียบสงบ ไม่มีใครขัดขวาง และไม่เดือดร้อนใครอีกด้วย ปัจจุบัน รัฐบาลท้องถิ่นพยายามมที่จะลดจำนวนคนที่เข้ามาฆ่าตัวตายในป่า ทั้ง การจัดหาอาสาสมัครคอยดูแลทั่วบริเวณ ทั้งปักป้ายเชิญชวนให้ฉุกใจคิด พร้อม Hotline สายด่วนให้คำปรึกษา ก็ช่วยลดจำนวนได้บ้าง แต่ก็ยังมีผู้คนลักลอบเข้าไป จนได้ คนที่เคยเข้าไปเดินที่นี่ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าบรรยากาศในป่านั้นมันช่าง ชวนหลอน และหดหู่จนคนที่คิดสั้นอยู่แล้วยิ่งตัดสินใจได้ง่ายขึ้น
ตำนาน ผีนับจานปราสาทฮิเมจิ หนึ่งในปราสาทที่สวยงาม และโด่งดังที่สุดของญี่ปุ่น ปราสาทฮิเมจิ เองก็มีเรื่อง เล่าอยู่เช่นกัน ถึงเรื่องราวการปรากฏตัวของวิญญาณผีสาวข้างบ่อน้ำ แล้วออกเสียง นับจานอย่างช้าๆ กระทั่งนับถึงใบที่ 9 เธอจะเริ่มร้องไห้ ส่งเสียงโหยหวนชวนขนหัวลุก ตำนานเล่าว่า โอคิคุเป็นสาวใช้ของซามูไรนามว่า อาโอยามา เท็ตซัน เขา ตกหลุมรักเธอจึงได้วางแผนหลอกด้วยการนำชุดเครื่องจานราคาแพงจากดัตช์ มา มอบให้เป็นหน้าที่ของโอคิคุคอยดูแล วันหนึ่งเขาจึงนำจานหนึ่งใบไปซ่อน แล้วสั่ง สาวใช้ให้นำชามทั้ง 10 ใบมาให้ เมื่อโอคิคุไม่สามารถหาได้ครบ เธอจึงหวาดกลัวว่า จะถูกลงโทษ เท็ตซันจึงยื่นข้อเสนอจะยกโทษให้หากเธอยอมเป็นภรรยาน้อยของ เขา โอคิคุไม่ยอม และเลือกที่จะรักษาเกียรติของตนด้วยการกระโดดลงบ่อน้ำ
Western Urban Legend
Skinwalker สกินวอร์กเกอร์ เป็นความเชื่อพื้นเมืองของอินเดียแดง ซึ่งเป็น ชนพื้นเมืองของอเมริกาเหนือ เช่น เผ่านาวาโฮ สกินวอร์กเกอร์ คือ มนุษย์ที่กลายร่างเป็นสัตว์ป่าที่ดุร้าย เช่น หมาป่า, ไคโยตี้ หรือ หมี กริซลีย์ ด้วยอำนาจของเวทมนตร์หรือคำสาป หรือในพิธีกรรมที่เอา หนังสัตว์มาสวมใส่ ซึ่งผู้ที่กลายเป็นสกินวอร์กเกอร์อาจกลายเป็น สัตว์ป่าไปทั้งตัวหรือครึ่งคนครึ่งสัตว์ก็ได้
Wendigo เวนดิโกเป็นความเชื่อรวมกันของอินเดียนแดงเผ่าต่าง ๆ ทั้งใน แคนาดาและสหรัฐอเมริกา เช่น เผ่าครี, เผ่าอินนู และเผ่าซอเท็ก เวนดิโก คล้ายกับซอมบี้ เป็นปีศาจร้ายแห่งป่าที่เข้าสิงผู้คนให้กินเนื้อมนุษย์ด้วยกัน เป็นอาหาร โดยเชื่อว่า เวนดิโกมีรูปร่างคล้ายมนุษย์กึ่งสัตว์ป่า แต่มีรูปร่างที่ ผอมบางจนเห็นกระดูก ผิวหนังซีดเหมือนศพ มีตาลึกโบ๋และริมฝีปากแห้ง มีเลือดนองอยู่ตลอดเวลา มีเขี้ยวสีเหลืองยาวและลิ้นยาวที่ตวัดไปมาได้ นอกจากนี้แล้ว เวนดิโกยังมีกลิ่นตัวเหม็นคล้ายกับกลิ่นซากศพขณะ เน่าเปื่อยอย่างเต็มที่ ซึ่งเวนดิโกสามารถเติบโตและมีร่างกายที่ใหญ่โตตาม ระยะเวลาที่ได้สั่งสมการกินเนื้อมนุษย์
Goatman สิ่งลี้ลับชนิดนี้แลดูแล้วอาจเป็นเรื่องที่โอเวอร์ไปสักหน่อยเกิดจากการพบเห็นในเมืองปริ นซ์จอร์จ รัฐแมรีแลนด์ สหรัฐฯ มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2513 ว่ากันว่ามีคนพบเห็นสัตว์ประหลาด ที่รูปร่างหน้าตาคล้ายกับการผสมกันระหว่างคนกับแพะ บริเวณท่อนล่างไม่ว่าจะเป็นขา หรือเท้าจะมีกีบเหมือนกับแพะ ท่อนบนจะมีรูปร่างเหมือนมนุษย์ หัวมีเขาแพะ ผิวหนังจะ เต็มไปด้วยขน สูงราว 2 เมตร หนัก 130 กิโลกรัม จากลักษณะนี้ทำให้รู้สึกได้เหมือนกับ สิ่งมีชีวิตจากเทพนิยายที่มีเสียงร้องแหลมตัวหนึ่ง มีคนพบเห็นศพของสัตว์ที่ตายอย่าง ทารุณโหดร้ายบ่อยมากๆ ในบริเวณที่มีคนพบเห็น Goatman มีครั้งหนึ่งศพของสัตว์ที่ถูก ฆ่าตายถูกเอาไปด้วย ซึ่งก็เชื่อว่าน่าจะเป็นฝีมือของ Goatman ที่ฆ่าเพื่อนำไปเป็นอาหาร Goatman จัดว่าเป็นญาติห่างๆ กับบิ๊กฟุตหรือบางคนก็เชื่อว่า Goatman อาจเกิดจากการ ตัดต่อพันธุกรรมของนักวิทยาศาสตร์ระหว่างคนกับแพะเข้าด้วยกันที่ศูนย์ค้นคว้าและวิจัย Beltsville
Spirituality & Science
เหตุผลทางวิทยาศาสตร์ 5 ข้อ ที่ทำให้คนเห็นผี 1. ความผิดปกติในการนอน ประสบการณ์เผชิญหน้ากับวิญญาณที่บอกเล่ากันมาบ่อยครั้งก็คือ การถูก \"ผีอำ\" มองเห็นร่างคนหรือถูกเงาดำกดทับจนขยับไม่ได้ รวม ทั้งหูก็ได้ยินเสียงประหลาดต่าง ๆ นักวิทยาศาสตร์เรียก ปรากฏการณ์นี้ว่า \"ความฝันขณะตื่น\" (Waking dream ) ซึ่งเป็น ภาวะเคลิ้มที่สมองตื่นอยู่แต่ร่างกายยังหลับไม่ตอบสนอง มีความ เกี่ยวข้องกับอาการตัวแข็งเป็นอัมพาตขณะหลับอีกด้วย
2. ภาวะกลัวผีและสิ่งลึกลับอย่างรุนแรง ความกลัวที่ฝังลึกในจิตใจและส่งผลให้เกิดปฏิกิริยารุนแรงทางกาย ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้มองเห็นภูตผีได้ โดยนายแบรนดอน อัลวิส ผู้ก่อตั้งสมาคมวิจัยปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติอเมริกัน (APRA) บอกว่าภาวะดังกล่าวสามารถทำให้เกิดอาการแพนิก (Panic Attack) หรือการตื่นตระหนกหวาดกลัวอย่างรุนแรงควบคุมไม่ได้ จนมองเห็นภาพหลอนขึ้นมา
3. การขาดออกซิเจน การขาดออกซิเจนในสมอง (Cerebral anoxia) สามารถทำให้ ประสาทสัมผัสและการรับรู้บิดเบี้ยวผิดจากความเป็นจริงออกไปได้ รวมทั้งยังทำให้มองเห็นภาพหลอนได้ง่ายอีกด้วย โดยนายอัลวิสบอก ว่าการขาดออกซิเจนในสมองทำให้ผู้ป่วยหนักรู้สึกถึงประสบการณ์ แปลก ๆ ขณะใกล้ตาย และมีความรู้สึกว่าวิญญาณล่องลอยออกจาก ร่างในหลายกรณีด้วย
4. ก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์เป็นพิษ ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า ก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์มีความเกี่ยวข้องกับกรณี บ้านผีสิงหลายแห่งมาตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1920 แล้ว โดยมีหลักฐาน การวิจัยที่ชี้ว่า เมื่อสมองได้รับก๊าซดังกล่าวเข้าไปมากจะทำให้ร่างกาย เกิดอาการวิงเวียนคลื่นเหียน หายใจขัด รู้สึกเหนื่อยล้าสับสน รวม ทั้งเห็นภาพหลอนหรือหูแว่วได้ยินเสียงหลอนประสาทได้
5. คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ผู้เชี่ยวชาญจากสมาคมวิจัยปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติอเมริกัน (APRA) ยังบอกว่า การที่เกิดจุดอากาศเย็นผิดปกติ หรือมีผู้สัมผัส ถึงพลังงานเคลื่อนไหวประหลาดในบางสถานที่นั้น ความรู้สึกดัง กล่าวเกิดขึ้นได้จากการเกิดสนามแม่เหล็กไฟฟ้าชั่วคราว ซึ่งหลายครั้ง ก็เป็นผลมาจากฝีมือมนุษย์นั่นเอง
พิสูจน์ผี หาวิธีโกงความตาย เมื่อวิทยาศาสตร์มองหาความเป็น ไปได้มาอธิบายเรื่องลึกลับ หากความตายไม่ใช่จุดสิ้นสุดที่ดับสูญโดยสมบูรณ์ แต่เป็นจุดเปลี่ยนผ่านไปสู่การเริ่มต้น ใหม่ของชีวิตอีกครั้ง โลกหลังความตายอาจมีอยู่จริง วิทยาศาสตร์กับความเรื่องลี้ลับคือขั้ว ตรงข้ามระหว่างความจริงที่พิสูจน์ได้กับความงมงายที่หาที่มาที่ไปไม่เจอ แต่ถึงอย่างนั้นนับ ตั้งแต่อดีต นักวิทยาศาสตร์ต่างพยายามใช้วิทยาศาสตร์ศึกษาเรื่องนี้ ด้วยหวังว่าสักวัน พวกเขาจะไขความกระจ่างได้ ท่ามกลางข้อกังขาและการถกเถียงเรื่องความไม่น่าเชื่อถือมากมายต่อการทดลอง วิญญาณ ผี และโลกหลังความตาย แต่อย่างน้อยที่สุด ความพยายามเหล่านี้บอกให้รู้ได้ว่า มนุษย์ไม่เคยหยุดหาคำตอบในเรื่องที่ตนสงสัย ต่อให้ถูกมองว่าไร้สาระแค่ไหนก็ตาม
The Spirit Phone ฟังเสียงผู้ล่วงลับ ปลายช่วงปี 1920 เวลาไม่นานก่อนที่ โทมัส อัลวา เอดิสัน นักประดิษฐ์และ นักธุรกิจชาวอเมริกันผู้ทำให้หลอดไฟกลายเป็นสินค้าที่ผู้คนต้องมีทุกบ้านจะ เสียชีวิต เขาหารือกับนักวิทยาศาสตร์จำนวนหนึ่งอย่างลับๆ เพื่อร่วมกันคิด วิธีติดต่อกับคนตาย เอดิสันเคยให้สัมภาษณ์กับ American Magazine ว่า เขาใช้เวลาศึกษามา ระยะหนึ่งแล้ว ตั้งใจจะสร้างเครื่องมือบางอย่างเพื่อพูดคุยกับวิญญาณ ซึ่ง ไม่ใช่วิธีแปลกประหลาด แต่เป็นความพยายามใช้วิธีทางวิทยาศาตร์มาเป็นสื่อ กลางพิสูจน์เรื่องนี้ เขายังหวังด้วยว่าจะทำได้สำเร็จในเร็ววัน ทั้งหมดเกิดจาก ความสงสัยส่วนตัว เขาตั้งสมมติฐานว่า ถ้าหากวิญญาณคือพลังงานรูปแบบ หนึ่ง ก็น่าจะสื่อสารกับคนที่ยังมีชีวิตอยู่ได้
แต่นักประวัติศาสตร์ไม่เชื่อ เพราะไม่มีหลักฐานใดยืนยันว่าเป็นความจริง จน กระทั่งในปี 2015 ฟิลิปส์ บอลด์วิน (Philippe Baudouin) นักข่าวชาว ฝรั่งเศสพบหนังสือหายากในร้านขายของมือสองด้วยความบังเอิญ คือ The Diary and Sundry Observations of Thomas Alva Edison (1948) หรือบันทึกส่วนตัวของเอดิสันฉบับแปลภาษาฝรั่งเศส ความน่าสนใจจึงอยู่ตรงที่ว่า ในฉบับแปลภาษาฝรั่งเศสพูดถึงทฤษฎีและมุม มองของเอดิสันต่อ spirit world หรือโลกวิญญาณหลังความตาย รวมถึง สารพัดวิธีที่อาจใช้ติดต่อวิญญาณได้ ซึ่งเป็นบทที่ถูกตัดออกจากต้นฉบับ ภาษาอังกฤษ สาเหตุคงเป็นเรื่องที่รับไม่ได้ หากนักประดิษฐ์คนสำคัญใน แวดวงวิทยาศาสตร์กลับไปสนใจและหมกมุ่นอยู่กับความลึกลับ แต่ถึงอย่าง นั้น แนวคิดของเอดิสันได้สร้างแรงบันดาลใจและจุดกระแสการประดิษฐ์ Spirit Phone หรืออุปกรณ์พูดคุยกับคนตายในยุคต่อมา
ปี 1941 แอตติลา วอน ซาเลย์ (Attila von Szalay) ช่างภาพชาวอเมริกัน และ เรย์มอนด์ เบย์เรส (Raymond Bayless) ศิลปินผู้วาดภาพประกอบชาว อเมริกัน ร่วมกันพยายามบันทึกเสียงวิญญาณด้วยอุปกรณ์ที่พวกเขาปรับ แต่งใหม่โดยป้องกันไม่ให้มีเสียงแทรกเข้า ผ่านไป 15 ปี ซาเลย์กล่าวอ้างว่า บันทึกเสียงคนที่ตายได้เป็นครั้งแรก การค้นคว้าของทั้งคู่ได้รับการกล่าวถึงใน บทความ The Dead Speak To Us ซึ่งตีพิมพ์ลงวารสา American Society for Psychical Research ในปี 1959 ด้วย ปีเดียวกันนั้น เฟรดริช ยูเกนสัน (Friedrich Jürgenson) ผู้ควบคุมดูแลการ ผลิตภาพยนตร์ชาวสวีเดน ได้ยินเสียงพูดผู้ชายปริศนาระหว่างที่เขากำลัง บันทึกเสียงนกเพื่อนำไปใช้ในหนัง ยูเกนสันจึงบันทึกเสียงมากขึ้นเพื่อหวังให้ ได้ยินเสียงแปลกๆ เพิ่ม ปรากฏว่าเขายิ่งได้ยินเสียงคนพูดซึ่งไม่ทราบแห่ง ที่มา
คอนสแตนติน รอดดีฟ (Konstantin Raudive) นักจิตวิทยาเชื้อสาย แลตเวีย จึงร่วมศึกษาเรื่องนี้กับยูเกนสัน พวกเขาบันทึกเสียงคนปริศนาได้ จำนวนมาก ช่วงปี 1960 รอดดีฟจึงสร้างห้องทดลอง เขาติดตั้งฉนวนเพื่อ ป้องกันสัญญาณวิทยุสื่อสารจากภายนอกไม่ให้หลุดรอดเข้าไปได้ แต่พวกเขา ยังคงได้ยินเสียงคนพูดผ่านเครื่องบันทึกเสียงเหมือนเดิม การทดลองของเขา ถูกตั้งคำถามมากมาย ซึ่งรอดดีฟเองก็ไม่อาจหาคำตอบใดมาอธิบายได้ ปัจจุบัน Electronic Voice Phenomena หรือปรากฏการณ์ตรวจจับและ บันทึกเสียงลึกลับ ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็น Pseudo-Science หรือการลวง ให้หลงเชื่อว่าเป็นวิทยาศาสตร์
The Soul Weight น้ำหนักของวิญญาณ หากความเชื่อเรื่องวิญญาณจะหลุดออกจากร่างคนตายคือความจริง เป็นไป ได้ว่าน้ำหนักของร่างกายระหว่างยังมีชีวิตกับเพิ่งหมดลมหายใจย่อม เปลี่ยนแปลงตามไปด้วย แล้ววิธีง่ายที่สุดที่จะทำให้รู้ได้ว่า วิญญาณของ มนุษย์มีน้ำหนักเท่าไหร่ ก็คือการชั่ง ในปี 1901 ดันแคน แม็คดูกัลล์ (Duncan MacDougall) แพทย์ประจำโรง พยาบาลในเมืองเฮเวอร์ฮิลล์ รัฐแมสซาชูเซตส์ สหรัฐอเมริกา จึงคิดค้นการ ทดลองเพื่อหาคำตอบในเรื่องนี้ แม็คดูกัลล์เริ่มต้นคัดเลือกผู้ป่วยระยะวิกฤต ในโรงพยาบาลที่เขาทำงานอยู่มา 6 คน แบ่งเป็นผู้ป่วยวัณโรค 4 คน ผู้ ป่วยโรคเบาหวาน 1 คน และผู้ป่วยไม่ทราบสาเหตุของโรค 1 คน ผู้ป่วยทุกคนผ่านการประเมินและตรวจวินิจฉัยอย่างละเอียดแล้วว่าคงมีชีวิต อยู่ต่อไปอีกได้ไม่นาน และต้องอยู่ในภาวะอ่อนแรง เพื่อผู้ป่วยจะได้นอนนิ่งๆ สาเหตุที่เขาไม่อยากให้ผู้ป่วยขยับตัวบ่อย เพราะการสั่นไหวของร่างกายแม้ เพียงเล็กน้อยจะทำให้เครื่องชั่งบอกน้ำหนักได้ไม่คงที่ จากนั้นแม็คดูกัลล์จะ เคลื่อนย้ายผู้ป่วยไปนอนพักบนเตียงซึ่งดัดแปลงให้วางบนเครื่องชั่งน้ำหนัก ขนาดใหญ่ที่ใช้ในอุตสาหกรรม เพื่อสังเกตการเปลี่ยนแปลงของน้ำหนักตัว
แม็คดูกัลล์พยายามควบคุมทุกอย่างที่มีผลต่อน้ำหนักผู้ป่วย โดยเฉพาะการ สูญเสียน้ำในร่างกายระหว่างวันจากการหายใจและการขับถ่าย แต่ความยาก ที่สุดของการทดลองนี้คือ ความเอาแน่เอานอนไม่ได้ เขาไม่มีทางรู้ล่วงหน้าว่า ผู้ป่วยแต่ละคนจะตายตอนไหน เพราะข้อมูลที่เขาต้องการคือ น้ำหนักตัวที่ ชั่งได้ทันทีหลังจากผู้ป่วยตาย ยังดีที่แม็คดูกัลล์พอจะคาดคะเนเวลาตายของผู้ป่วยวัณโรคได้ในระดับชั่วโมง เมื่อผู้ป่วยจากไปอย่างสงบ แม็คดูกัลล์เขียนไว้ในบันทึกการทดลองว่าน้ำหนัก ตัวที่เครื่องชั่งวัดได้ลดลงทันที 3 ส่วน 4 ออนซ์ เทียบเท่า 21.3 กรัม แต่ ผลลัพธ์ของผู้ป่วยแต่ละคนกลับไม่เท่ากัน เขายังจำเป็นต้องตัดผลการทดลอง ของผู้ป่วย 2 คน เพราะความคลาดเคลื่อนของผลลัพธ์ เนื่องจากตาชั่งมี ปัญหาและวัดไม่ทันเวลาตาย แม้น้ำหนักที่วัดได้ไม่ใช่ค่าคงที่ แต่แม็คดูกัลล์กลับเลือกสรุปผลการทดลองว่า วิญญาณมนุษย์มีน้ำหนัก 21 กรัม และตั้งชื่อการทดลองนี้ว่า 21 Grams Experiment เขายังทดลองด้วยวิธีการเดียวกันกับสุนัข 15 ตัวเพื่อหาน้ำหนัก วิญญาณสัตว์ แต่ไม่พบการเปลี่ยนแปลง
Near-Death Experiences ประสบการณ์ใกล้ตาย ทำไมคนที่ผ่านประสบการณ์ใกล้ตตายจึงมักจะบอกเล่าเรื่องราวทำนองกันว่า พวกเขาเห็นแสงจ้า หรือเห็นผู้คนในชีวิตที่ล่วงลับไปแล้วมาหา บ้างก็เห็นตัว เองนอนแน่นิ่งขณะหมอและพยาบาลช่วยกันปั๊มหัวใจให้ร่างกายของเขาฟื้น เกิดอะไรขึ้นกับมนุษย์กันแน่ ความจริงที่วิทยาศาสตร์ยืนยันได้ตอนนี้คือ ชีวิตกับความตายไม่ได้แบ่งแยก จากกันฉับพลันทันทีเหมือนสับสวิตซ์จากเปิดเป็นปิด แต่ความเป็นและความ ตายมีระยะทางเชื่อมถึงกัน หมายความว่า กว่าร่างกายจะยุติการทำงาน อย่างสมบูรณ์ต้องใช้ระยะพักใหญ่ จึงเป็นไปได้ว่า หากมนุษย์ได้รับการกู้ชีพ ให้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง สิ่งใดๆ ที่เกิดขึ้นบนระยะทางระหว่าง อยู่ หรือ ไป อาจกลายเป็นประสบการณ์ที่ร่างกายจดจำได้
แซม พาร์เนีย (Sam Parnia) แพทย์เวชบำบัดวิกฤต และนักวิจัยด้านการ ช่วยฟื้นคืนชีพด้วยวิธีปั๊มหัวใจ หนึ่งในคนที่สนใจศึกษาเรื่องจิตสำนึกและ ประสบการณ์ใกล้ตาย (Near-Death Experiences หรือ Shared Death Experiences) หลังเก็บข้อมูลเป็นเวลากว่า 3 ปี ด้วยการสัมภาษณ์ประกอบ กับสังเกตการณ์ผู้ป่วยระยะวิกฤตที่เข้ารักษาตัวในห้อง ICU ราว 1,500 คน ซึ่งทั้งหมดรอดชีวิตจากอาการหัวใจวาย ทำให้แบ่งผู้ป่วยกลุ่มได้เป็น 3 กลุ่ม กลุ่มแรกจำอะไรไม่ได้เลย เหมือนนอนหลับไปแล้วตื่นมา กลุ่มสองมองเห็น แสงสีขาวปลายอุโมงค์หรือได้ปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นๆ อาจเป็นญาติหรือคนรู้จัก ที่ตายไปก่อนแล้ว กลุ่มสามเห็นร่างของตนนอนหมดสติ และเห็นทุกอย่างที่ เกิดขึ้นรอบตัวในห้องผู้ป่วย ทั้งเสียงการทำงานของเครื่องไม้เครื่องมือ บาง คนจดจำคำพูดของหมอและพยายาลได้อย่างละเอียด
พาร์เนียสนใจประสบการณ์วิญญาณออกจากร่างของผู้ป่วยกลุ่มสาม เพราะ ความรู้ทางการแพทย์บอกว่า เมื่อหัวใจหยุดเต้น ไม่มีเลือดไปเลี้ยงสมอง ภายใน 20 วินาที สมองจะหยุดสั่งการ จึงเป็นไปไม่ได้ที่ผู้ป่วยจะรู้เห็น เหตุการณ์ทุกอย่าง ส่วนแสงที่เห็น อาจเป็นผลจากความดันเลือดบริเวณ ดวงตาลดลง รูม่านตาจึงหดตัวตาม ทำให้แสงผ่านเข้าตาน้อยเป็นจุดเล็กๆ แต่เขาก็ยังหาคำตอบทางวิทยาศาสตร์ที่จะมาอธิบายประสบการณ์ใกล้ตาย อย่างครอบคลุมไม่ได้ ที่ผ่านมายังมีกรณีศึกษาที่น่าสนใจอื่นๆ อย่างกรณีผู้ป่วยชาวแคนาดาคน หนึ่งในปี 2017 หลังจากประกาศเวลาตายเสร็จสิ้น ปรากฏว่าคลื่นสมองยัง แสดงผลอยู่ในภาวะหลับลึกนานถึง 10 นาที ก่อนจะหยุดทำงาน ถือเป็น หลักฐานใหม่ที่หักล้างความรู้เก่า กลายเป็นโจทย์ให้แพทย์ศึกษาเรื่องนี้ต่อไป เพื่อพัฒนาการกู้ชีพด้วยวิธีปั๊มหัวใจ โดยสมองยังไม่ได้รับความเสียหาย เท่ากับว่าเพิ่มโอกาสดึงมนุษย์กลับมาจากความตายได้อีกครั้ง
Ghost Images คนเห็นผี \"หากบอกว่าผีคือสิ่งที่มองไม่เห็น บางคนอาจเถียงขาดใจเพราะเขามอง เห็นเต็มสองตา\" ย้อนไปสู่คำถามที่ว่า ผีมีจริงหรือไม่? แม้ยังพิสูจน์ไม่ได้ชัดเจน แต่มนุษย์ จะแน่ใจได้อย่างไรว่าสิ่งที่ตนมองเห็นคือผีหรือวิญญาณตัวเป็นๆ ผีอาจไม่มี อยู่จริงตั้งแต่แรกก็เป็นได้ เพราะการมีอยู่ของผีที่หลายคนเห็น อธิบายได้ ด้วยเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ โดยตีความ ผี เท่ากับ ภาพหลอน ที่เกิด จากผลข้างเคียงในระบบการทำงานของร่างกาย บางคนกลัวผีมาก จนอยู่คนเดียวแทบไม่ได้ ไม่ชอบความมืด และพยายาม หลีกเลียงทุกความเสี่ยงที่เปิดโอกาสให้เผชิญหน้ากับผี หรืออาจเป็นคนที่ กลัวผีโดยไม่มีสาเหตุ เพราะปักใจเชื่ออย่างงมงายแล้วว่าผีมีจริง ทั้งหมด เป็นอาการกลัวผีและสิ่งลึกลับอย่างรุนแรงไร้เหตุผล หรือ Phasmophobia ความตื่นตระหนกจากความกลัวสุดขีดจะสร้างภาพหลอนขึ้นมา หรือเห็น บางอย่างที่ไม่ชอบมาพากล ก็คิดว่าเป็นผี
นอกจากนี้ หากร่างกายได้รับสารพิษ โดยเฉพาะก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ อาจเกิดภาพหลอนและหูแว่ว ซึ่งเป็นอาการประสาทหลอน ร่วมกับอาการ เหนื่อยล้าสับสน ซึ่งคาร์บอนมอนอกไซด์เป็นก๊าซไร้กลิ่นและสี จึงตรวจจับ ได้ยาก ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าร่างกายได้รับสารพิษเป็นเวลานาน จะส่งผลกระทบต่อ การทำงานของสมองในระยะยาว ทำให้ความคิด ความจำ และพฤติกรรม ผิดเพี้ยนไป บางคนรู้สึกว่ามีบางสิ่งมาแตะต้องตัวตลอดเวลา หรือเข้าไป อยู่ในพื้นที่แคบๆ เก่าๆ เป็นเวลานาน ซึ่งอากาศนิ่ง ไม่ค่อยไหลเวียน จน ร่างกายได้รับก๊าซออกซิเจนไม่เพียงพอ ก็อาจทำให้เห็นภาพหลอนได้ เหมือนกัน
The Spirit Molecule เดินทางสู่โลกอื่น ความตายคือความลับดำมืดที่มนุษย์ไม่มีวันรู้ว่าเป็นอย่างไรจนกว่าจะถึงวัน ที่หมดลมหายใจ แต่มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่อยากรู้ อยากเห็น อยากลองโดย ธรรมชาติ จึงพยายามทุกวิถีทางเพื่อหาคำตอบเบื้องหลังความตาย แม้ ความเป็นไปได้จะน้อยมากๆ ที่คนปกติ ซึ่งไม่ได้เจ็บป่วยหรือประสบอุบัติเหตุ ร้ายแรงจะมีโอกาสสัมผัสกับประสบการณ์เฉียดความตายแล้วรอดชีวิตกลับ มา จนกระทั่งนักวิทยาศาสตร์ได้รู้จักกับ DMT หรือ Dimethyltryptamine (ไดเมทธิลทริปตามีน) สารเสพติดออกฤทธิ์หลอนประสาทที่พบในพืชและ สัตว์บางชนิด เป็นสารที่ชนเผ่าพื้นเมืองแถบอเมริกาใต้ บราซิล และเปรู นิยมใช้เพราะพวกเขาเชื่อว่าเป็นสื่อกลางพาไปพบกับพระเจ้าที่นับถือ หลัง เสพเข้าร่างกาย จะรู้สึกว่าตัวเองได้รับประสบการณ์ราววิญญาณออกจาก ร่างไปมิติคู่ขนานหรือเป็นหนึ่งกับธรรมชาติ สารนี้จึงมีชื่อเรียกอีกอย่างว่า The Spirit Molecule
นักวิทยาศาสตร์จึงเริ่มหันมาสนใจศึกษาผลลัพธ์จากการเสพ DMT ว่า ให้ประสบการณ์หลังความตายได้จริงหรือไม่ เช่นเดียวกับ คริส ทิมเมอร์ แมน (Chris Timmerman) ผู้ช่วยวิจัยด้านสมอง ประจำคณะแพทยศาสตร์ ราชวิทยาลัยลอนดอน (Imperial College London) เขากำลังศึกษาเรื่อง นี้ในระดับปริญญาเอก เพื่อดูผลกระทบของสาร DMT ต่อระบบประสาทและ สมองของมนุษย์ ทิมเมอร์แมนพบว่าในภาวะปกติ DMT เป็นสารที่สมองผลิตได้ และจะ ผลิตมากที่สุดเมื่อร่างกายอยู่ในช่วงหลับลึก หรือ REM sleep ทำให้เกิดการ คิดเป็นจินตนาการในความฝัน ซึ่งเพิ่มโอกาสที่จะได้สัมผัสกับสภาวะที่ ร่างกายจำลองประสบการณ์เฉียดตายมากขึ้น 2.8 เท่า
บรรณานุกรม - https://travel.trueid.net/detail/ZpPDr49EBkqp - https://www.thrillist.com/travel/nation/creepiest- urban-legend-in-every-state-american-folklore - https://becommon.co/life/the-science-of-ghosts-spirits- and-death/ - https://www.bbc.com/thai/international-41819139
Search
Read the Text Version
- 1 - 34
Pages: