❖ ❖ ❖ ❖ ❖
❖ ❖ ❖ ❖ ❖ ❖ ❖ ❖
❖ ❖ ❖ ❖ ❖ ❖ ❖
รฐั บาลจนี ไดน้ าวธิ ีการจดั เกบ็ ภาษีแบบใหม่มาใช้ เรียกวา่ “ระบบ นาเฉลี่ย และระบบ 3 หัวหนา้ ” หมายถงึ การท่รี ัฐบาลจัดสรรท่ีนาใหแ้ ก่ ชายหญิงท่มี ีอายุตั้งแต่ 15 ปขี ้ึนไป โดยชาวนาชายจะไดร้ ับส่วนแบ่ง มากกว่าชาวนาหญงิ 1 เทา่ นอกจากน้ี ยงั มีเงื่อนไขว่า ที่ดินในส่วนน้ี ผรู้ ับมอบจะตอ้ งนาไปผลิตเสน้ ไหมให้แกร่ ัฐบาล หากไมป่ ฏิบัติตามสัญญา/ ตายไปโดยไม่มีทายาท กจ็ ะต้องสง่ คืนท่ีดินท้งั หมดใหแ้ กร่ ัฐเพอ่ื นาไป จดั สรรใหม่ สว่ นระบบ 3 หัวหนา้ ไดแ้ ก่ หัวหนา้ อาเภอ หัวหน้าตาบล หัวหน้าหมูบ่ ้านคอยสอดสอ่ งดแู ลให้เป็นไปตามเงอื่ นไขดังกล่าว
* ระบบภาษคี ู่ คือ ระบบทร่ี ัฐบาลใช้เกบ็ ภาษจี ากผูท้ ี่ไมไ่ ด้ทาสัญญากับรัฐบาล แต่เข้า ครอบครองหรือใชป้ ระโยชนจ์ ากทดี่ ินทมี่ กี ารจัดสรร โดยรฐั บาลจะเกบ็ ภาษีจากผ้คู รอบครอง ที่ดินในขณะนน้ั ปีละ 2 ครั้ง คอื ในเดอื นท่ี 2 และ เดอื นท่ี 8 ซง่ึ ภาษีท่นี ามาจ่ายจะมีทั้ง ทเ่ี ป็นผลผลติ และการใชแ้ รงงานในกิจการสาธารณะ * การบรหิ ารราชการแผ่นดินจะอาศัยหลกั คาสอนของขงจอ๊ื โดยอยู่ ภายใตก้ ารปฏบิ ตั ิงานของ 3 หน่วยงาน ไดแ้ ก่ จุงซู เหมินเซีย และชัง่ ซู รวมท้ังนาเอาระบบการสอบคัดเลอื ก เขา้ รบั ราชการที่เกิดข้ึนในสมยั ราชวงศ์ฮน่ั ยคุ แรกกลับมาใช้อีกครัง้ หนง่ึ
* สมัยนี้มกี ารก่อตั้งราชบณั ฑติ ยสถานช่ือ ฮันหลิน หยวน ข้ึนในเมอื งหลวง เพื่อใหเ้ ปน็ ศูนย์รวมเหล่านกั ปราชญ์ราชบัณฑติ นกั ดนตรี กวี และ จติ รกร * ในชว่ งตน้ คริสต์ศตวรรษที่ 10 ราชวงศถ์ ังเริ่มเสอื่ มลง เน่อื งจาก พระนางบูเชคเทียนได้ย้ายเมืองหลวงจากฉางอันไปโหลหยาง ทาให้เกิด ความขดั แย้งกันระหวา่ งพวกผู้ดขี องทั้ง 2 เมืองในเรือ่ งการเข้ารบั ราชการ นอกจากน้ี ยงั เกดิ จากการปราบกบฏอนั ลซู าน ทาใหเ้ งนิ ใน ทอ้ งพระคลังลดลงเกิดปญั หาเศรษฐกจิ ตกต่า และชาวนากอ่ การจลาจล ในปี ค.ศ. 864
ราชวงศ์ถงั สิน้ สุดใน ค.ศ. 907 เมอื่ พวกเติรก์ เข้าโจมตแี ละโคน่ ล้มราชวงศ์ ได้ แผน่ ดนิ จีนจงึ แตกแยกอีกคร้งั กอ่ นทีจ่ ะสถาปนาราชวงศ์ซ่ง/สุ้ง ราชวงศ์ เลก็ ๆ เข้ามาปกครองอาณาจักร ในแต่ละส่วน
❖ ❖ ❖
❖ ❖ ❖ ❖ ❖
❖ ❖ ❖ ❖
- ความเจริญท่ีเกดิ ขึ้นในสมัยราชวงศ์หมิง มดี งั นี้ 1) ดา้ นการปกครอง ราชวงศห์ มงิ ไดช้ ่อื ว่าเป็น “ราชวงศ์ทใ่ี ชอ้ านาจ เผดจ็ การมากทสี่ ุดในประวัติศาสตรจ์ นี ” เน่อื งจากจักรพรรดิแตล่ ะพระองค์ ไม่คอ่ ยยดึ คาสงั่ สอนของขงจ๊อื ท่ีให้มเี มตตาในการบรหิ าร ประเทศมากนัก หรอื ไมแ่ ม้แตร่ บั ฟัง คาปรึกษาของขุนนาง
2) ดา้ นเศรษฐกจิ รายได้สว่ นใหญไ่ ดม้ าจากการเกษตรกรรม โดยเฉพาะจากการใชป้ ระโยชนบ์ นทด่ี ิน นอกจากนยี้ งั มรี ายได้ท่ีสาคัญอีก 3 แหล่ง คอื รายได้จากภาษีรัชชูปการ เปน็ ภาษียกเว้นการกระทา เชน่ ภาษเี พอ่ื ยกเวน้ การเกณฑ์แรงงาน หรือยกเวน้ การเกณฑท์ หาร โดยภาษปี ระเภทนี้ถอื ว่าเป็นแหลง่ รายได้หลกั ทน่ี าไปใช้จา่ ยภายใน ราชสานกั ของจีนในสมยั สมบูรณาญาสทิ ธิราชย์
รายได้จากภาษผี กู ขาด เป็นการเสียภาษีเพอ่ื ผกู ขาดสนิ ค้าสาคญั บาง ประเภท ไดแ้ ก่ เกลอื เหลก็ และใบชา รายได้จากภาษแี บบเกบ็ รวบยอด เป็นการจัดเกบ็ ภาษีที่มีความรดั กุม ข้ึน ซึ่งมลี ักษณะสาคัญ คือ ใชโ้ ลหะมคี ่า เชน่ เหรียญเงิน แทนผลผลติ ทางการ เกษตร มกี ารกาหนดอตั ราภาษที ีแ่ นน่ อนเป็นรายปี และมเี จ้าหน้าท่รี ับผิดชอบโดยตรง ในการเกบ็ ภาษี เรยี กวา่ “หลีเจยี่ ”
3) ด้านสงั คม สงั คมจีนในสมัยนีม้ ีการแบง่ ชนชั้นออกเป็น 5 ชนช้นั โดยคานึงถงึ อาชีพเป็นหลกั ซ่ึงการแบง่ ชนช้ันดงั กล่าว ได้รบั อิทธิพลจากแนวคิดของขงจ๊ือ ไดแ้ ก่ ชนชัน้ ปกครอง ถือว่าเปน็ ชนชั้นสูงสุด และได้รับการ ยกยอ่ งว่า เปน็ “ผดู้ ี” ชาวไรช่ าวนา ชา่ งฝมี ือ
พ่อค้า ถอื วา่ เปน็ อาชีพท่ตี ่าตอ้ ย เพราะเป็นอาชพี ท่ีไมซ่ ือ่ สัตย์ บคุ คลทไ่ี ม่มอี าชีพ หรือมีอาชพี แตผ่ ดิ กฎหมาย เช่น พวกอาชญากร หญิงงามเมอื ง ฯลฯ 4) ด้านความสัมพันธก์ บั ตา่ งชาติ นับจากปี ค.ศ. 1405 เป็นตน้ มา จนี เรม่ิ มีการตดิ ต่อคา้ ขายทางเรอื กบั ชาวต่างชาติ ซ่ึงตามหลักฐานกองเรือสนิ คา้ ของจนี พบวา่ จีนไดเ้ ดินทางไปไกลถึงบรเิ วณชายฝ่ัง ตอ. ของทวปี แอฟรกิ า
สมยั นี้จึงกล่าววา่ “จนี เปน็ เจา้ ทะเลบริเวณแถบนา่ นน้าเอเชีย” ภายใตก้ ารนา ของขนั ทีชาวมุสลิม ช่ือว่า “เจ้ิงเหอ” ในปี ค.ศ. 1433 ความเป็นเจ้าทะเลเริ่มเสอ่ื มลง เนื่องจากพวก นกั ปกครอง ไม่สนับสนนุ โดยมองวา่ เปน็ งานที่ต้องเสียคา่ ใชจ้ ่ายมาก และถูกโจมตีจาก บรรดาข้าราชการท่ีอิจฉาต่อเจ้ิงเหอ
❖ ❖ ❖ ❖ ❖ ❖
นอกจากนย้ี งั มีความเจรญิ ท่เี กิดขน้ึ ในสมัยราชวงศ์ชงิ /แมนจู มีดงั น้ี 1) ด้านการปกครอง ใช้การปกครองแบบเผดจ็ การเหมือนสมยั ราชวงศ์หมิง นอกจากนีก้ ารบรหิ ารประเทศจะใชร้ ะบบรัฐบาลคู่ คือ ทกุ ตาแหนง่ ที่สาคญั จะมที ้งั ชาวแมนจูและชาวจีนบริหารร่วมกัน 2) ด้านเศรษฐกจิ มีการนาระบบการเก็บภาษแี บบ เกบ็ รวบยอดในสมัยราชวงศห์ มิงมาใช้ ตอ่ มาในปี ค.ศ. 1687 ไดม้ กี ารนาระบบการเก็บภาษอี ีกประเภทหนง่ึ มาใช้เรยี กวา่ “ระบบหลีเจยี ” เพ่อื ทาหนา้ ท่เี ก็บสถติ ิจานวนพลเมืองและ คอยเตอื นผู้เสยี ภาษแี ทนการส่งหมายเรยี ก
3) ด้านสังคม มีการแบง่ ชนชัน้ ในสงั คมโดยคานึงถงึ เชื้อชาติเปน็ หลกั แบ่งออกเปน็ 4 ชนชนั้ ไดแ้ ก่ ชาวแมนจู ถือเป็นชนชน้ั สงู สดุ กลุ่มอ่นื ๆ ทีไ่ ม่ใช่ทงั้ ชาวแมนจูและชาวจนี ชาวจนี ทางภาคเหนอื ชาวจนี ทางภาคใต้
นอกจากน้ี ราชวงศ์แมนจไู ดม้ ีการนากฎเกณฑท์ างสงั คมเข้ามาใช้ เพอื่ เปน็ มาตรการป้องกนั ความปลอดภยั และต้องการรักษาเอกลักษณข์ องชาวแมนจู ได้แก่ 1) บงั คบั ใหใ้ ช้ภาษาแมนจเู ป็นภาษาทางราชการ 2) บงั คับใชช้ าวจนี แต่งกายแบบชาวแมนจู 3) หา้ มชาวจีนแต่งงานกบั ชาวแมนจู 4) บงั คบั ใหช้ าวจีนโกนผมครึ่งศรี ษะและไว้ผมเปีย 5) หา้ มชาวแมนจูค้าขาย 6) ชาวจนี จะเขา้ รับราชการตอ้ งผา่ นการสอบไล่ ส่วนชาวแมนจไู ด้รับสิทธพิ ิเศษไมต่ อ้ งสอบ
4) ด้านวรรณคดี เกดิ ผลงานทเ่ี ก่ยี วกบั ปวศ. และโบราณคดที ่มี ีชือ่ เสียง ได้แก่ พจนานกุ รมทช่ี ่ือว่า “ของมีค่าทงั้ 4” และนวนิยายเรอ่ื ง “ความฝนั จากหอ้ ง สีแดง” ซ่ึงผลงานเหล่านไ้ี ดร้ บั การสนบั สนนุ จากจกั รพรรดิเชียงลงุ และจักรพรรดิคงั สี
5) ดา้ นความสัมพันธ์กบั ต่างชาติ ระยะแรก ความสัมพนั ธ์ระหว่าง จีนกับชาติ ตต. เป็นไปอย่างราบรนื่ แตใ่ นช่วงหลงั กลับมปี ญั หาเน่อื งจากจนี ไดก้ าหนดเงื่อนไขวา่ ผู้ใดที่ไม่ใช่ชาวจีนแตป่ รารถนาจะติดต่อสมั พันธ์กับจนี จะตอ้ งยอมรับสภาพการเปน็ เมอื งขึน้ ดว้ ยการสง่ เคร่ืองราชบรรณาการและ แสดงการคารวะดว้ ยการทาเกาเตาต่อจักรพรรดิจีน
กอ่ นทีจ่ นี จะก้าวสู่สมยั สาธารณรัฐ จนี ได้ทาสงครามกับต่างชาติ และเกดิ กบฏภายในประเทศหลายครง้ั ท่สี าคญั เช่น - สงครามฝ่ิน (ค.ศ. 1839 - 1842) เปน็ สงครามระหว่าง จนี กับอังกฤษ ผลคอื จีนเปน็ ฝ่ายแพ้ จนสง่ ผลใหจ้ ีนตอ้ งเปล่ียนสภาพ จากอาณาจกั รกลางเป็นประเทศก่ึงอาณานคิ ม
❖❖ ❖❖ ❖❖ ❖ ❖❖ ❖❖ ❖❖ ❖❖ ❖❖
- กบฏไต้ผงิ (ค.ศ. 1850 - 1864) เกดิ ขนึ้ ภายใต้ การนาของหังซิวชวน ซ่ึงเป็นผู้ทมี่ ีความเลอื่ มใสในศาสนา คริสต์ และต้องการสร้างความเสมอภาคใหเ้ กดิ ขน้ึ ทั้งทางด้าน การเมือง เศรษฐกิ และสงั คมของจีน นอกจากน้ีเขายงั ตั้ง “อาณาจักรไต้ผิง” ซ่งึ หมายถงึ อาณาจกั รท่สี งบท่ีสดุ และต้งั ตนเองเป็นกษัตริยแ์ หง่ สวรรค์ด้วย
- กบฏนักมวย (ค.ศ. 1900) เกิดขึน้ เพื่อต่อต้านอิทธิพลของพวกแมนจู และพวกผู้ดี แต่ด้วยความสามารถของรัฐบาล ทาใหก้ บฏกล่มุ นี้ได้กลายมาเป็น เครอ่ื งมอื ของพระนางซสู ไี ทเฮา เพอื่ ตอ่ ตา้ นชาวยโุ รปในทส่ี ดุ - สงครามจีน – ญีป่ ุ่นคร้ังท่ี 1 (ค.ศ. 1894 - 1895) เป็น สงครามระหว่างราชวงศ์แมนจูกับจกั รพรรดิแหง่ ญปี่ นุ่ ซ่ึงมสี าเหตมุ า จากการทีญ่ ป่ี ุน่ ต้องการครอบครองคาบสมทุ รเกาหลีซ่งึ เป็นจดุ ยุทธศาสตรด์ า้ นความม่นั คงของญ่ปี ุ่น อีกทงั้ ยงั ตอ้ งการเข้าไปขยาย อิทธพิ ลทางการเมอื งและเศรษฐกจิ ในจนี โดยผลของสงคราม จีนเป็น ฝา่ ยแพ้
จีนในสมัยสาธารณรฐั ไม่ได้รงุ่ เรือง ดงั เช่นทซี่ ุนยัดเซน็ เคยให้คาสัญญาไว้ เนื่องจาก หยวนซอื ไขเปน็ ผู้ท่ไี ร้จิตสานกึ ในความเปน็ ประชาธิปไตย ได้ทาลายโครงสรา้ งทาง การเมอื ง เศรษฐกิจ สังคม การทหาร และ การตา่ งประเทศ
ภายหลงั การเสียชวี ิตของหยวนซือไข จนี ตก อยูใ่ นยคุ การแย่งชิงอานาจจนเกิดยุคทเี่ รยี กวา่ “ยคุ ขุนศกึ ” ซ่งึ เป็นยคุ มืดของจนี ไปเกือบ 2 ทศวรรษ จนกระท่ัง เจยี งไคเชค ผ้นู าก๊กมินต๋ังได้นาทัพปราบ ขนุ ศกึ ทางภาคเหนอื ไดส้ าเร็จใน ปี ค.ศ. 1927
Search