วนั มาฆบูชา ตรงกบั วันขนึ้ ๑๕ คำ่ เดือน ๓ \"มำฆะ\" เป็นช่ือของเดือน ๓ มาฆบูชาน้นั ยอ่ มาจากคาวา่ \"มาฆบุรณ มี\" แปลวา่ การบูชาพระในวนั เพญ็ เดือน ๓ วนั มาฆบูชาจึงตรงกบั วนั ข้ึน ๑๕ ค่า เดือน ๓ แต่ถา้ ปี ใดมีเดือน อธิกมาส คือมีเดือน ๘ สองคร้ัง วนั มาฆบูชากจ็ ะเลื่อนไปเป็นวนั ข้ึน ๑๕ ค่า เดือน ๔ เป็นวนั สาคญั วนั หน่ึง ในวนั พทุ ธศาสนา คือวนั ที่มีการประชุมสงั ฆสนั นิบาตคร้ังใหญ่ ในพทุ ธศาสนา ท่ีเรียกวา่ \"จาตุรงคสนั นิบาต\" และเป็นวนั ท่ีพระ สมั มาสมั พทุ ธเจา้ ไดท้ รงแสดงโอวาทปฎิโมกขแ์ ก่พระสงฆส์ าวกเป็น คร้ังแรก ณ เวฬุวนั วหิ าร กรุงราชคฤห์ เพอ่ื ใหพ้ ระสงฆน์ าไปประพฤติ ปฏิบตั ิ เพ่อื จะยงั พระพทุ ธศาสนาใหเ้ จริญรุ่งเรืองต่อไป
คาวา่ \"จาตุรงคสนั นิบาต\" แยกศพั ทไ์ ดด้ งั น้ี คือ \"จาตุร\" แปลวา่ ๔ \"องค\"์ แปลวา่ ส่วน \"สนั นิบาต\" แปลวา่ ประชุม ฉะน้นั จาตรุ งค สนั นิบาตจึงหมายความวา่ \"การประชุมดว้ ยองค์ ๔\" กล่าวคือมี เหตุการณ์พเิ ศษที่เกิดข้ึนพร้อมกนั ในวนั น้ี คือ ๑. เป็นวนั ที่ พระสงฆส์ าวกของพระพทุ ธเจา้ จานวน ๑,๒๕๐ รูป มา ประชุมพร้อมกนั ท่ีเวฬุวนั วหิ ารในกรุงราชคฤห์ โดยมิไดน้ ดั หมาย ๒. พระภิกษสุ งฆเ์ หล่าน้ีลว้ นเป็น \"เอหิภิกขอุ ุปสมั ปทา\" คือเป็นผทู้ ี่ ไดร้ ับการอุปสมบทโดยตรงจาก พระพทุ ธเจา้ ท้งั สิ้น ๓. พระภิกษสุ งฆท์ ุกองคท์ ี่ไดม้ าประชุมในคร้ังน้ี ลว้ นแต่เป็นผไุ้ ด้ บรรลุพระอรหนั ตแ์ ลว้ ทุก ๆองค์ ๔. เป็นวนั ท่ีพระจนั ทร์เตม็ ดวงกาลงั เสวยมาฆฤกษ การปฎิบตั ิตนสาหรับพทุ ธศาสนาในวนั น้ีกค็ ือ การทาบุญตกั บาตร ในตอนเชา้ หรือไม่กจ็ ดั หาอาหารคาวหวานไปทาบุญฟังเทศน์ท่ีวดั ตอนบ่ายฟังพระแสดงพระธรรมเทศนา ในตอนกลางคืน จะพากนั นาดอกไม้ ธูปเทียน ไปที่วดั เพอ่ื ชุมนุมกนั ทาพิธีเวยี นเทียนรอบพระ อุโบสถพร้อมกบั พระภิกษุสงฆ์ โดยเจา้ อาวาสจะนาวา่ นะโม ๓ จบ จากน้นั กล่าวคาถวายดอกไมธ้ ูปเทียน ทุกคนวา่ ตาม จบแลว้ เดินเวยี น ขวา ตลอดเวลาใหร้ ะลึกถึง พระพทุ ธคุณ พระธรรมคุณ พระสงั ฆ คุณ จนครบ ๓ รอบ แลว้ นาดอกไม้ ธูปเทียนไปปักบูชาตามทท่ี างวดั เตรียมไวเ้ ป็นอนั เสร็จพิธี
กจิ กรรมต่างๆ ท่คี วรปฏิบตั ิในวนั มาฆบูชา ๑. ทาบุญใส่บาตร ๒. ไปวดั เพอ่ื ปฏิบตั ิธรรม และฟังพระธรรมเทศนา ๓. ไปเวยี นเทียนท่ีวดั ๔. ประดบั ธงชาติตามอาคารบา้ นเรือนและสถานท่ี ราชการ
วนั วิสาขบูชา ตรงกบั วนั ขึน้ ๑๕ คำ่ เดือน ๖ ความหมาย คาวา่ \"วสิ าขบูชา\" หมายถึงการบูชาในวนั เพญ็ เดือน ๖ วสิ าขบูชา ยอ่ มาจาก \" วสิ าขปุรณมีบูชา \" แปลวา่ \" การบูชาในวนั เพญ็ เดือนวสิ าขะ \" ถา้ ปี ใดมีอธิกมาส คือ มี เดือน ๘ สองหน กเ็ ลื่อนไปเป็นกลางเดือน ๗ ความสาคญั วนั วสิ ำขบูชำ เป็นวนั สาคญั ยงิ่ ทาง พระพทุ ธศาสนา เพราะเป็นวนั ท่ีพระพทุ ธเจา้ ประสูติ คือ เกิด ไดต้ รัสรู้ คือสาเร็จ ไดป้ รินิพพาน คือ ดบั เกิดข้ึน ตรงกนั ท้งั ๓ คราวคือ
๑. เม่ือเจ้ำชำยสิทธัตถะประสูติทพ่ี ระรำชอุทยำนลุมพนิ ีวนั ระหวา่ ง กรุงกบิลพสั ดุก์ บั เทวทหะ เม่ือเชา้ วนั ศุกร์ ข้ึน ๑๕ ค่า เดือน ๖ ปี จอ ก่อนพทุ ธศกั ราช ๘๐ ปี ๒. เม่ือเจ้ำชำยสิทธัตถะตรัสรู้ เป็นพระพทุ ธเจา้ เม่ือพระชนมายุ ๓๕ พรรษา ณ ใตร้ ่มไมศ้ รีมหาโพธ์ิ ฝ่ังแม่น้าเนรัญชรา ตาบลอุรุเวลา เสนานิคม ในตอนเชา้ มืดวนั พธุ ข้ึน ๑๕ ค่า เดือน ๖ ปี ระกา ก่อน พทุ ธศกั ราช ๔๕ ปี หลงั จากออกผนวชได้ ๖ ปี ปัจจุบนั สถานท่ีตรัส รู้แห่งน้ีเรียกวา่ พทุ ธคยา เป็นตาบลหน่ึงของเมืองคยา แห่งรัฐพหิ าร ของอินเดีย ๓. หลงั จากตรัสรู้แลว้ ไดป้ ระกาศพระศาสนา และโปรดเวไนยสัตว์ ๔๕ ปี พระชนมายไุ ด้ ๘๐ พรรษา กเ็ สดจ็ ดบั ขนั ธปรินิพพำน เมื่อ วนั องั คาร ข้ึน ๑๕ ค่า เดือน ๖ ปี มะเส็ง ณ สาลวโนทยาน ของมลั ลกษตั ริย์ เมืองกสุ ินารา แควน้ มลั ละ (ปัจจุบนั อยใู่ นเมืองกสุ ีนคระ แควน้ อตุ ตรประเทศ ประเทศอินเดีย) นบั วา่ เป็นเร่ืองท่ีน่าอศั จรรยย์ งิ่ ท่ีเหตุการณ์ท้งั ๓ เก่ียวกบั วถิ ีชีวติ ของพระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ซ่ึงมีช่วงระยะเวลาห่างกนั นบั เวลาหลาย สิบปี บงั เอิญเกิดข้ึนในวนั เพญ็ เดือน ๖ ดงั น้นั เมื่อถึงวนั สาคญั เช่นน้ี ชาวพทุ ธท้งั คฤหสั ถ์ และบรรพชิตไดพ้ ร้อมใจกนั ประกอบพิธีบูชา พระพทุ ธองคเ์ ป็นการพิเศษ เพอ่ื นอ้ มราลึกถึงพระกรุณาธิคุณ พระ ปัญญาธิคุณ และพระบริสุทธิคุณ ของพระองคท์ ่านผเู้ ป็นดวง ประทีปของโลก
กจิ กรรมของวนั วิสาขบูชา ทางราชการประกาศชกั ชวนใหป้ ระชาชน และหน่วยงานต่างๆ ท้งั เอกชน และราชการประดบั ตกแต่งอาคารสถานท่ีดว้ ยธงชาติ ธงเสมาธรรมจกั ร จุดประทีบโคมไฟ แต่โดยทางปฎิบตั ิแลว้ ใชห้ ลอดไฟประดบั หลากสี ใน วนั ข้ึน ๑๔-๑๕ ค่า เดือน ๖ พระบามสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั และพระบรมวงศานุวงศ์ เสดจ็ ประกอบ พระราชกศุ ล ที่วดั พระศรีรัตนศาสดาราม ทรงบาตร ในตอนเชา้ ในตอน เยน็ ทรงนาเวยี นเทียนรอบพระอโุ บสถ และสดบั พระธรรมเทศนาในพระ อุโบสถ พร้อมท้งั ถวายไทยธรรม • จดั งานส่งเสริมพระพทุ ธศาสนาที่บริเวณทอ้ งสนามหลวงเป็นประจาทุก ปี แต่ละปี มีกิจกรรมทางพระพทุ ธศาสนาหลากหลายหน่วยงาน ท้งั ทาง ราชการ และเอกชนท้งั ฝ่ ายบรรพชิต และคฤหสั ถ์ ร่วมกนั จดั งานอนั ยง่ิ ใหญส่ ร้างความศรัทธาใหแ้ ก่พทุ ธศาสนิกชนบาเพญ็ กศุ ล มีการทาบุญ ตกั บาตร ใหท้ านรักษาศีลฟังธรรม สนทนาธรรม เวยี นเทียน เจริญภาวนา เป็นที่ประทบั ใจยงิ่ นกั
• สถานที่จดั กิจกรรมในวนั วสิ าขบูชาท่ียงิ่ ใหญอ่ ีกแห่งหน่ึงกค็ ือ ณ บริเวณพทุ ธมณฑล ซ่ึงมีหน่วยงานกรมการศาสนา กระทรวงศึกษา การร่วมกบั ประชาชนทวั่ ไป ไดจ้ ดั กิจกรรมปฎิบตั ิธรรมท้งั ฝ่าย พระสงฆ์ และฆราวาส มีจานวนหลายหม่ืนไดร้ ่วมทาบุญตกั บาตรให้ ทานรักษาศีล ฟังธรรม สนทนาธรรม และเจริญภาวนาแผเ่ มตตาถวาย เป๋ นพระราชกศุ ลแด่พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั องคป์ ัจจบุ นั เนื่อง ในวโรกาสท่ีพระองคท์ รงมีพระชนมายคุ รบ ๗๒ พรรษา และในวนั วิ สาขบูชา ณ บริเวณพทุ ธมณฑลน้ีเอง สมเดจ็ พระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกมุ ารี เสดจ็ เป็นองคป์ ระธานทรงเวยี นเทียนทุกปี ดว้ ย • พระสงฆผ์ จู้ ดั รายการธรรม ทางสถานีวทิ ยุ เกือบทุกรายการทว่ั ประเทศเม่ือถึงสาคญั คือวนั วสิ าขบูชาเช่นน้ี กม็ ี การประชาสมั พนั ธ์เชิญชวนพทุ ธศาสนิกชนบาเพญ็ กศุ ล เป็นกรณี พเิ ศษ คือ บรรพชาอุปสมบทนาคหมู่ และบวช เนกขมั มะ เพื่อปฎิบตั ิ ธรรมถวายเป็นพทุ ธบูชะ ธรรมบูชา เป็นการช่วยสนบั สนุน ส่งเสริม สร้างความสงบสุขใหแ้ ก่บุคคลและสร้างความสามคั คีธรรมใหแ้ ก่ สงั คม ตลอดถึงประเทศชาติอีกดว้ ย สรุปแลว้ วนั วสิ าขบูชาปี น้ี คงจะไดร้ ับความร่วมมือจากหน่วยงานทาง ราชการ และเอกชนตลอดท้งั ผจู้ ดั รายการธรรมะ ทางสถานีวทิ ยทุ วั่ ประเทศ ช่วยกนั ประชาสมั พนั ธ์ เชิญชวนสาธุชนผศู้ รัทธา จดั กิจกรรมปฎิบตั ิธรรม บาเพญ็ มหากศุ ลอนั ยง่ิ ใหญ่เป็นกรณีพิเศษ เหมือนที่เคยปฎิบตั ิมาทุกๆ ปี
วนั อาสาฬหบูชา ตรงกบั วนั ขึน้ ๑๕ คำ่ เดือน ๘ วนั ข้ึน ๑๕ ค่า เดือน ๘ นบั เป็นวนั ที่สาคญั ใน ประวตั ิศาสตร์แห่งพระพทุ ธศาสนา คือวนั ที่พระพทุ ธ องคท์ รงแสดงธรรมเทศนาหรือหลกั ธรรมท่ีทรงตรัสรู้ เป็นคร้ังแรกแก่เบญจวคั คียท์ ้งั ๕ ณ มฤคทายวนั ตาบล อิสิปตนะ เมืองพาราณสี ในชมพทู วปี สมยั โบราณ ซ่ึง ปัจจุบนั ต้งั อยใู่ นประเทศอินเดีย ดว้ ยพระพทุ ธองคท์ รง เปรียบดงั ผทู้ รงเป็นธรรมราชา กท็ รงบนั ลือธรรมเภรียงั ลอ้ แห่งธรรมใหห้ มุนรุดหนา้ เร่ิมตน้ แผข่ ยายอาณาจกั ร แห่งธรรม นาความร่มเยน็ และความสงบสุขมาใหแ้ ก่ หมู่ประชา
ความหมายของอาสาฬหบูชา “อาสาฬหบูชา” (อา-สาน-หะ-บู-ชา/อา-สาน-ละ-หะ-บู-ชา) ประกอบดว้ ยคา ๒ คา คือ อาสาฬห (เดือน ๘ ทางจนั ทรคติ) กบั บูชา (การบูชา) เมื่อรวมกนั จึงแปลวา่ การบูชาในเดือน ๘ หรือการบูชา เพ่ือระลึกถึงเหตุการณ์สาคญั ในเดือน ๘ หรือเรียกใหเ้ ตม็ วา่ อาสาฬหบูรณมีบูชา โดยสรุป วนั อาสาฬหบูชา แปลวา่ การบูชาใน วนั เพญ็ เดือน ๘ หรือการบูชาเพอื่ ระลึกถึงเหตุการณ์สาคญั ในวนั เพญ็ เดือน ๘ คือ ๑. เป็นวนั ที่พระพทุ ธเจา้ ทรงแสดงปฐมเทศนา ๒. เป็นวนั ท่ีพระพทุ ธเจา้ เร่ิมประกาศพระศาสนา ๓. เป็นวนั ท่ีเกิดอริยสงฆค์ ร้ังแรกคือการที่ท่านโกณฑญั ญะรู้แจง้ เห็น ธรรม เป็นพระโสดาบนั จดั เป็นอริยบุคคลทา่ นแรกในอริยสงฆ์ ๔. เป็นวนั ท่ีเกิดพระภิกษุรูปแรกในพระพทุ ธศาสนา คือ การท่ีท่าน โกณฑญั ญะขอบรรพชาและ ไดบ้ วชเป็นพระภิกษุ หลงั จากฟังปฐม เทศนาและบรรลุธรรมแลว้ ๕. เป็นวนั ท่ีพระพทุ ธเจา้ ทรงไดป้ ฐมสาวกคือ การที่ท่านโกณ ฑญั ญะน้นั ไดบ้ รรลุธรรม และบวชเป็นพระภิกษุ จึงเป็นสาวกรูป แรกของพระพทุ ธเจา้ เมื่อเปรียบกบั วนั สาคญั อื่น ๆ ใน พระพทุ ธศาสนา บางทีเรียกวนั อาสาฬหบูชา น้ีวา่ วนั พระสงฆ์ (คือ วนั ที่เร่ิมเกิดมีพระสงฆ)์
กจิ กรรมของวนั อาสาฬหบูชา พิธีกรรมท่ีกระทาในวนั น้ี โดยทว่ั ไป คือ ทาบุญ ตกั บาตร รักษาศีล เวยี นเทียน ฟังพระธรรมเทศนา (ธมั ม จกั กปั ปวตั ตนสูตร) และสวดมนต์ ดงั น้นั ในวนั น้ีจึงถือวา่ พทุ ธศาสนิกชนควรไดร้ ับ ประโยชน์ ที่เป็นสาระสาคญั จากอาสาฬหบูชา กล่าวคือ ควรทบทวนระลึกเตือนใจสารวจตนวา่ ชีวติ เราไดเ้ จริญงอกงามข้ึนดว้ ยความเป็นอยอู่ ยา่ งผรู้ ู้เท่าทนั โลกและชีวติ น้ีบา้ งแลว้ เพยี งใด เรายงั ดาเนินชีวติ อยู่ อยา่ งลุ่มหลงมวั เมา หรือมีจิตใจอิสระปลอดโปร่งผอ่ ง ใสบา้ งแลว้ เพยี งใด
วันเข้าพรรษา ตรงกบั วนั แรม ๑ คำ่ เดือน ๘ \"เข้ำพรรษำ\" แปลวา่ \"พกั ฝน\" หมายถึง พระภิกษสุ งฆต์ อ้ งอยปู่ ระจา ณ วดั ใดวดั หน่ึงระหวา่ งฤดูฝน โดยเหตุที่พระภิกษุในสมยั พทุ ธกาลมี หนา้ ที่จะตอ้ งจาริกโปรดสตั ว์ และเผยแผพ่ ระธรรมคาสง่ั สอนแก่ ประชาชนไปในท่ีต่าง ๆ ไม่จาเป็นตอ้ งมีที่อยปู่ ระจา แมใ้ นฤดูฝน ชาวบา้ นจึงตาหนิวา่ ไปเหยยี บขา้ วกลา้ และพชื อื่นๆ จนเสียหาย พระพทุ ธเจา้ จึงทรงวางระเบียบการจาพรรษาใหพ้ ระภิกษุอยปู่ ระจาที่ ตลอด 3 เดือน ในฤดูฝน คือ เร่ิมต้งั แต่วนั แรม 1 ค่า เดือน 8 ของทกุ ปี ถา้ ปี ใดมีเดือน 8 สองคร้ัง กเ็ ลื่อนมาเป็นวนั แรม 1 ค่า เดือนแปดหลงั และออกพรรษาในวนั ข้ึน 15 ค่า เดือน 11 เวน้ แต่มีกิจธุระเจา้ เป็นซ่ึง เม่ือเดินทางไปแลว้ ไม่สามารถจะกลบั ไดใ้ นเดียวน้นั กท็ รงอนุญาตให้ ไปแรมคืนได้ คราวหน่ึงไม่เกิน 7 คืนเรียกวา่ สัตตาหะ หากเกิน กาหนดน้ีถือวา่ ไม่ไดร้ ับประโยชน์ แห่งการจาพรรษา จดั วา่ พรรษา ขาด
ระหวา่ งเดินทางก่อนหยดุ เขา้ พรรษา หากพระภิกษสุ งฆเ์ ขา้ มา ทนั ในหมู่บา้ นหรือในเมืองกพ็ อจะหาท่ีพกั พิงไดต้ ามสมควร แต่ถา้ มาไม่ทนั กต็ อ้ งพ่งึ โคนไมใ้ หญเ่ ป็นท่ีพกั แรม ชาวบา้ น เห็นพระไดร้ ับความลาบากเช่นน้ี จึงช่วยกนั ปลูกเพิง เพ่ือให้ ท่านไดอ้ าศยั พกั ฝน รวมกนั หลาย ๆ องค์ ท่ีพกั ดงั กล่าวน้ี เรียกวา่ \"วหิ ำร\" แปลวา่ ที่อยสู่ งฆ์ เมื่อหมดแลว้ พระสงฆ์ ท่านออกจาริกตามกิจของท่านคร้ังถึงหนา้ ฝนใหม่ท่านก็ กลบั มาพกั อีกเพราะสะดวกดี แต่บางท่านอยปู่ ระจาเลย บางที เศรษฐีมีจิตศรั ทธาเล่ือมใสในพระพทุ ธศาสนา กเ็ ลือกหา สถานท่ีสงบเงียบไม่ห่างไกลจากชุมชนนกั สร้างท่ีพกั เรียกวา่ \"อำรำม\" ใหเ้ ป็นที่อยขู่ องสงฆด์ งั เช่นปัจจุบนั น้ี โดยปรกติเครื่องใชส้ อยของพระตามพทุ ธานุญาตใหม้ ี ประจาตวั น้นั มีเพียงอฏั ฐบริขารอนั ไดแ้ ก่ สบง จีวร สงั ฆาฏิ เขม็ บาตร รัดประคด หมอ้ กรองน้า และมีดโกน และกวา่ พระ ท่านจะหาที่พกั แรมได้ บางทีกถ็ ูกฝนตน้ ฤดูเปี ยกปอนมา ชาวบา้ นที่ใจบุญจึงถวายผา้ อาบน้าฝนสาหรับใหท้ ่านได้ ผลดั เปลี่ยน และถวายของจาเป็นแก่กิจประจาวนั ของทา่ น เป็นพิเศษในเขา้ พรรษานบั เป็นเหตุใหม้ ีประเพณีทาบุญเน่ือง ในวนั น้ีสืบมา
กจิ กรรมของวนั เข้าพรรษา ประเพณหี ล่อเทยี นเข้ำพรรษำ เป็นประเพณีท่ีกระทากนั เมื่อใกลถ้ ึงฤดู เขา้ พรรษาซ่ึงเป็นช่วงเวลาที่ พระภิกษจุ ะตอ้ งอยปู่ ระจาวดั ตลอด ๓ เดือน มาต้งั แต่โบราณกาล การหล่อเทียนเขา้ พรรษาน้ีมีอยเู่ ป็นประจา ทุกปี เพราะในระยะเขา้ พรรษาน้ี พระภิกษุจะตอ้ งมีการสวดมนตท์ าวตั รทุกเชา้ เยน็ และในการน้ีจะตอ้ งมีธูป เทียนจุดบูชาดว้ ย พทุ ธศาสนิกชนท้งั หลาย จึงพร้อมใจกนั หล่อเทียนเขา้ พรรษาสาหรับใหพ้ ระภิกษจุ ุดเป็น การกศุ ล ทานอยา่ งหน่ึงเพราะเช่ือกนั วา่ ในการใหท้ านดว้ ยแสงสวา่ ง จะมีอานิสงฆ์ เพิม่ พนู ปัญญาหูตาสวา่ งไสว ตามชนบท การหล่อเทียนเขา้ พรรษาทากนั อยา่ งเอิกเกริกสนุกสนานมาก เม่ือหล่อเสร็จแลว้ กจ็ ะมีการแห่แหน รอบพระอุโบสถ ๓ รอบ แลว้ นาไป บูชาพระตลอดระยะเวลา ๓ เดือน บางแห่งกม็ ีการประกวดการตกแต่งมี การแห่แหนรอบเมืองดว้ ยริ้วขบวนท่ีสวยงามและถือวา่ เป็นงานประจาปี ทีเดียว ในวนั น้นั จะมีการร่วมกนั ทาบุญตกั บาตรถวายแด่พระภิกษุสงฆ์ เป็นการร่วมกศุ ลกนั ในหมู่บา้ นน้นั
วนั ออกพรรษา ตรงกบั วนั ขนึ้ ๑๕ คำ่ เดือน ๑๑ วนั ออกพรรษา คือวนั สิ้นสุดระยะการจาพรรษา หรือออกจากการ อยปู่ ระจาท่ีในฤดูฝนซ่ึงตรงกบั วนั ข้ึน ๑๕ ค่า เดือน ๑๑ วนั ออกพรรษาน้ี เรียกอีกอยา่ งหน่ึงวา่ \"วนั มหำปวำรณำ\" คำว่ำ \"ปวำรณำ\" แปลว่ำ \"อนุญำต\" หรือ \"ยอมให้\" คือ เป็นวนั ท่ีเปิ ด โอกาสใหพ้ ระภิกษุสงฆด์ ว้ ยกนั วา่ กล่าวตกั เตือนกนั ได้ ในขอ้ ท่ีผดิ พล้งั ล่วงเกินระหวา่ งท่ีจาพรรษาอยดู่ ว้ ยกนั ในวนั ออกพรรษาน้ีกิจท่ีชาวบา้ นมกั จะกระทากค็ ือ การบาเพญ็ กศุ ล เช่น ทาบุญตกั บาตร จดั ดอกไม้ ธูป เทียน ไปบูชาพระที่วดั และฟัง พระธรรมเทศนา ของท่ีชาวพทุ ธนิยมนาไปใส่บาตรในวนั น้ีกค็ ือ ขา้ วตม้ มดั ไต้ และขา้ วตม้ ลูกโยน และการร่วมกศุ ลกรรมการ \"ตัก บำตรเทโว\" คำว่ำ \"เทโว\" ย่อมำจำก\"เทโวโรหน\" แปลวา่ การเสดจ็ จากเทวโลกการตกั บาตรเทโว จึงเป็นการระลึกถึงวนั ท่ี พระพทุ ธ องคเ์ สดจ็ กลบั จากการโปรด พระพทุ ธมารดาในเทวโลก
กจิ กรรมของวนั ออกพรรษา ประเพณีการทาบุญกศุ ลเนื่องในวนั ออกพรรษาน้ี ทุกวดั ในประเทศไทย กม็ ีพธิ ีเหมือนกนั หมด จะผดิ กนั กเ็ พียงแต่สถานท่ีที่สมมติวา่ เป็นสวรรค์ ช้นั ดาวดึงส์เท่าน้นั กิจกรรมต่างๆ ที่ควรปฏิบตั ิในวนั ออกพรรษา ๑. ทาบุญตกั บาตรอุทิศส่วนกศุ ลใหแ้ ก่ญาติผลู้ ่วงลบั ๒. ไปวดั เพอื่ ปฏิบตั ิธรรม ฟังพระธรรมเทศนา ๓. ร่วมกศุ ลธรรม \"ตกั บาตรเทโว\" ๔. ปัดกวาดบา้ นเรือนใหส้ ะอาด ประดบั ธงชาติตามอาคารบา้ นเรือน และสถานท่ีราชการและ ประดบั ธงชาติและธงธรรมจกั รตามวดั และ สถานที่สาคญั ทางพระพทุ ธศาสนา ๕. ตามสถานที่ราชการ สถานที่ศึกษาและที่วดั ควรจดั ใหม้ ี นิทรรศการ การบรรยาย หรือ บรรยายธรรม เก่ียวกบั วนั ออกพรรษาฯลฯ เพ่อื ใหค้ วามรู้แก่ประชาชนและผสู้ นใจทวั่ ไป
\"ประเพณีตกั บาตรเทโว วดั สะแกกรัง อุทยั ธานี ที่ขบวนพระภิกษุ เดินลงมาที่วดั สะแกกรัง หรือวดั สงั กสั รัตนคีรี ในจงั หวดั อุทยั ธานี ซ่ึงต้งั อยบู่ นเชิงเขาสูง พิธีตกั บาตรเทโวที่วดั น้ีบรรดาพระภิกษจุ ะพา กนั เดินขบวนลงมาจากบนเขา มาตามบนั ไดดูเหลืองอร่ามงามจบั ตา โดยมีบรรดาพทุ ธศาสนิกชนจะพากนั ใส่บาตรตามเชิงบนั ไดเร่ือยมา จนถึงพ้ืนล่าง\"
Search
Read the Text Version
- 1 - 16
Pages: