Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 18 การเลี้ยงหมู นางจำปี ยิ่งเสมอ

18 การเลี้ยงหมู นางจำปี ยิ่งเสมอ

Published by artaaa142, 2019-05-10 04:37:38

Description: 18 การเลี้ยงหมู นางจำปี ยิ่งเสมอ

Search

Read the Text Version

ภูมิปญั ญาศกึ ษา เรือ่ ง การเลย้ี งหมู โดย 1. นางจาปี ยิง่ เสมอ (ผถู้ ่ายทอดภูมปิ ญั ญา) 2. นายธญั ญา ซอมแก้ว (ผู้เรยี บเรียงภูมิปัญญาทอ้ งถิ่น) เอกสารภูมปิ ญั ญาศึกษานีเ้ ปน็ สว่ นหน่งึ ของการศึกษา ตามหลกั สูตรโรงเรยี นผูส้ งู อายเุ ทศบาลเมอื งวังน้าเย็น ประจาปกี ารศกึ ษา 2561 โรงเรยี นผสู้ งู อายุเทศบาลเมอื งวงั น้าเยน็ สงั กดั เทศบาลเมืองวงั นา้ เย็น จงั หวดั สระแกว้

คานา ภมู ิปัญญาท้องถ่นิ หรือเรียกชื่ออีกอยา่ งหนง่ึ วา่ ภูมิปัญญาชาวบ้าน คอื องคค์ วามรู้ทีช่ าวบ้านได้ ส่ังสมจากประสบการณ์จริงที่เกิดข้ึนหรือจากบรรพบุรุษท่ีได้ถ่ายทอดสืบกันมาต้ังแต่ในอดีตมาจนถึงปัจจุบัน เพอ่ื นามาใชแ้ กป้ ัญหาในชวี ติ ประจาวัน การทามาหากิน การประกอบการงานเล้ียงชีพ หรือกิจกรรมอ่ืน ๆ เป็น การผ่อนคลายจากการทางาน หรือการย้ายถ่ินฐานเพื่อมาตั้งถิ่นฐานใหม่แล้วคิดค้นหรือค้นหาวิธีการดังกล่าว เพ่อื การแก้ปัญหา โดยสภาพพ้ืนที่น้ัน ชุมชนวังน้าเย็นแห่งน้ี เกิดข้ึนเมื่อราว ๆ 50 ปีที่ผ่านมา จากการอพยพ ถ่ินฐานของผู้คนมาจากทุก ๆ ภาคของประเทศไทย แล้วมาก่อต้ังเป็นชุมชนวังน้าเย็น ซึ่งบางคนได้นาองค์ ความรู้มาจากถิ่นฐานเดิมแล้วมีการสืบทอดสืบสานมาจนถึงปัจจุบัน เช่นเดียวกับ การเล้ียงหมู โดยนางจาปี ยิ่งเสมอ ได้รวบรวมเรียบเรียงถ่ายทอดประสบการณ์ให้คนรุ่นหลังได้สืบค้น หรือค้นคว้าเป็นภูมิปัญญาศึกษา ของเทศบาลเมืองเมืองวงั น้าเย็น จงั หวัดสระแกว้ ผศู้ กึ ษาขอขอบพระคุณ นายวนั ชัย นารรี ักษ์ นายกเทศมนตรีเมืองวงั น้าเย็น นายคนองพล เพ็ชรร่ืน ปลัดเทศบาลเมืองวังน้าเย็น คณะกรรมการโรงเรียนผู้สูงอายุ กองสวัสดิการสังคม กองสาธารณสุขและ สงิ่ แวดล้อม เทศบาลเมอื งวังนา้ เยน็ โรงเรียนเทศบาลมิตรสัมพันธ์วิทยา โรงเรียนอนุบาลเทศบาลเมือวังน้าเย็น หน่วยงานอ่ืน ๆ ที่เก่ียวข้อง และขอขอบพระคุณ นายธัญญา ซอมแก้ว ท่ีได้เป็นที่ปรึกษา ดูแลรับผิดชอบ งานด้านธุรการ บันทึกเรื่องราวและจัดทาเป็นรูปเล่มท่ีสมบูรณ์ครบถ้วน ความรู้อันใดหรือกุศลอันใดท่ีเกิดจาก การรว่ มมือรว่ มแรงรว่ มใจรว่ มพลังจนเกิดมภี มู ปิ ัญญาศกึ ษาฉบบั น้ี ขอกุศลผลบุญนั้นจงเกิดมีแก่ผู้เกี่ยวข้องดังท่ี กลา่ วมาทุก ๆ ทา่ นเพอื่ สรา้ งสงั คมแหง่ การเรียนต่อไป จาปี ยิง่ เสมอ ธัญญา ซอมแก๎ว ผูจ๎ ดั ทา

ทีม่ าและความสาคัญของภมู ปิ ญั ญาศึกษา จากพระราชดารัสของพระบาทสมเด็จพระปรมนิ ทรมหาภูมพิ ลอดุลยเดช ท่ีวํา “ประชาชนนน่ั แหละ ทเ่ี ขามีความรู๎เขาทางานมาหลายช่วั อายุคน เขาทากันอยาํ งไร เขามคี วามเฉลยี วฉลาด เขารูว๎ ําตรงไหน ควรทากสิกรรม เขารว๎ู าํ ตรงไหนควรเกบ็ รักษาไว๎ แตํท่ีเสียไปเพราะพวกไมํร๎ูเร่ือง ไมํได๎ทามานานแล๎ว ทาให๎ ลืมวําชีวิตมันเป็นไปโดยการกระทาท่ีถูกต๎องหรือไมํ” พระราชดารัสของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหา- ภูมิพลอดุลยเดช ท่ีสะท๎อนถึงพระปรีชาสามารถในการรับร๎ูและความเข๎าใจหย่ังลึก ท่ีทรงเห็นคุณคําของภูมิ ป๎ญญาไทยอยํางแท๎จริง พระองค์ทรงตระหนักเป็นอยํางย่ิงวํา ภูมิป๎ญญาท๎องถิ่นเป็นส่ิงที่ชาวบ๎านมีอยํูแล๎ว ใช๎ประโยชน์เพื่อความอยูํรอดกันมายาวนาน ความสาคัญของภูมิป๎ญญาท๎องถิ่น ซึ่งความรู๎ที่สั่งสมจากการ ปฏบิ ตั จิ รงิ ในหอ๎ งทดลองทางสังคม เปน็ ความร๎ดู ัง้ เดิมที่ถูกค๎นพบ มีการทดลองใช๎ แก๎ไข ดัดแปลง จนเป็น องค์ความรู๎ที่สามารถแก๎ป๎ญหาในการดาเนินชีวิตและถํายทอดสืบตํอกันมา ภูมิป๎ญญาท๎องถิ่น เป็นขุมทรัพย์ ทางป๎ญญาท่ีคนไทยทุกคนควรร๎ู ควรศึกษา ปรับปรุง และพัฒนาให๎สามารถนาภูมิป๎ญญาท๎องถ่ินเหลําน้ันมา แก๎ไขป๎ญหาให๎สอดคล๎องกับบริบททางสังคม วัฒนธรรมของกลํุมชุมชนน้ัน ๆ อยํางแท๎จริง การพัฒนาภูมิ ป๎ญญาศึกษานับเป็นส่ิงสาคัญตํอบทบาทของชุมชนท๎องถ่ินท่ีได๎พยายามสร๎างสรรค์ เป็นน้าพักน้าแรงรํวมกัน ของผ๎ูสงู อายแุ ละคนในชุมชนจนกลายเป็นเอกลักษณ์และวัฒนธรรมประจาถ่ินท่ีเหมาะตํอการดาเนินชีวิต หรือ ภูมิป๎ญญาของคนในท๎องถ่ินน้ัน ๆ แตํภูมิป๎ญญาท๎องถ่ินสํวนใหญํเป็นความรู๎ หรือเป็นสิ่งที่ได๎มาจาก ประสบการณ์ หรือเป็นความเชื่อสืบตํอกันมา แตํยังขาดองค์ความรู๎ หรือขาดหลักฐานยืนยันหนักแนํน การ สร๎างการยอมรบั ที่เกิดจากฐานภมู ิป๎ญญาทอ๎ งถิ่นจึงเปน็ ไปไดย๎ าก ดังน้ัน เพื่อให๎เกิดการสํงเสริมพัฒนาภูมิป๎ญญาที่เป็นเอกลักษณ์ของท๎องถ่ิน กระตุ๎นเกิดความ ภาคภูมิใจในภูมิป๎ญญาของบุคคลในท๎องถิ่น ภูมิป๎ญญาไทยและวัฒนธรรมไทย เกิดการถํายทอดภูมิป๎ญญาสํู คนรุํนหลัง โรงเรียนผ๎สู ูงอายุเทศบาลเมอื งวังนา้ เยน็ ไดด๎ าเนินการจดั ทาหลกั สูตรการเรียนการสอนเพ่ือพัฒนา ศักยภาพผ๎ูสูงอายุในท๎องถิ่นท่ีเน๎นให๎ผ๎ูสูงอายุได๎พัฒนาตนเองให๎มีความพร๎อมสํูสังคมผ๎ูสูงอายุที่มีคุณภาพใน อนาคต รวมท้ังสืบทอดภูมิป๎ญญาในการดารงชีวิตของนักเรียนผ๎ูสูงอายุที่ได๎สั่งสมมา เกิดจากการสืบทอดภูมิ ป๎ญญาของบรรพบุรุษ โดยนักเรยี นผู๎สูงอายุจะเป็นผ๎ูถํายทอดองค์ความรู๎ และมีครูพ่ีเลี้ยงซ่ึงเป็นคณะครูของ โรงเรียนในสงั กดั เทศบาลเมืองวังน้าเย็น เป็นผ๎ูเรียบเรียงองค์ความรู๎ไปสํูการจัดทาภูมิป๎ญญาศึกษา ให๎ปรากฏ ออกมาเป็นรูปเลํมภูมิป๎ญญาศึกษา ใช๎เป็นสํวนหน่ึงในการจบหลักสูตรการศึกษาของโรงเรียนผ๎ูสูงอายุ ประจาปีการศึกษา 2561 พร๎อมท้ังเผยแพรํและจัดเก็บคลังภูมิป๎ญญาไว๎ในห๎องสมุดของโรงเรียนเทศบาลมิตร สมั พนั ธว์ ิทยา เพ่ือใหภ๎ มู ปิ ๎ญญาท๎องถ่ินเหลําน้เี กิดการถํายทอดสํูคนรุนํ หลังสบื ตํอไป จากความรํวมมือในการพัฒนาบุคลากรในหนํวยงานและภาคีเครือขํายท่ีมีสํ วนรํวมในการผสมผสาน องค์ความรู๎ เพื่อยกระดับความรู๎ของภูมิป๎ญญาน้ัน ๆ เพื่อนาไปสํูการประยุกต์ใช๎ และผสมผสานเทคโนโลยี ใหมํ ๆ ให๎สอดรับกับวิถีชีวิตของชุมชนได๎อยํางมีประสิทธิภาพ การนาภูมิป๎ญญาไทยกลับสูํการศึกษา สามารถสํงเสริมให๎มีการถํายทอดภูมิป๎ญญาในโรงเรียนเทศบาลมิตรสัมพันธ์วิทยา และโรงเรียนในสังกัด เทศบาลเมอื งวงั น้าเยน็ เกิดการมีสํวนรํวมในกระบวนการถํายทอด เช่ือมโยงความร๎ูให๎กับนักเรียนและบุคคล ทัว่ ไปในท๎องถิ่น โดยการนาบุคลากรทมี่ คี วามรคู๎ วามสามารถในทอ๎ งถนิ่ เขา๎ มาเป็นวิทยากรให๎ความรู๎

กับนักเรียนในโอกาสตําง ๆ หรือการที่โรงเรียนนาองค์ความร๎ูในท๎องถิ่น เข๎ามาสอนสอดแทรกในกระบวนการ จัดการเรียนร๎ู สิ่งเหลําน้ีทาให๎การพัฒนาภูมิป๎ญญาท๎องถิ่น นาไปสํูการสืบทอดภูมิป๎ญญาศึกษา เกิด ความสาเร็จอยํางเป็นรูปธรรม นักเรียนผู๎สูงอายุเกิดความภาคภูมิใจในภูมิป๎ญญาของตนท่ีได๎ถํายทอดสูํคนรํุน หลังให๎คงอยูํในท๎องถ่ิน เป็นวัฒนธรรมการดาเนินชีวิตประจาท๎องถิ่น เป็นวัฒนธรรมการดาเนินชีวิตคํูแผํนดิน ไทยตราบนานเทํานาน นยิ ามคาศพั ทใ์ นการจดั ทาภมู ิปัญญาศกึ ษา ภูมิปัญญาศึกษา หมายถึง การนาภูมิป๎ญญาการดาเนินชีวิตในเรื่องท่ีผ๎ูสูงอายุเชี่ยวชาญท่ีสุด ของ ผ๎ูสงู อายทุ ี่เขา๎ ศกึ ษาตามหลักสูตรของโรงเรยี นผูส๎ งู อายุเทศบาลเมืองวังน้าเย็น มาศึกษาและสืบทอดภูมิป๎ญญา ในรปู แบบตําง ๆ มีการสืบทอดภูมิป๎ญญาโดยการปฏิบัติและการเรียบเรียงเป็นลายลักษณ์อักษรตามรูปแบบท่ี โรงเรยี นผ๎ูสงู อายุกาหนดขึน้ ใชเ๎ ปน็ สํวนหน่ึงในการจบหลกั สตู รการศึกษา เพื่อให๎ภูมิป๎ญญาของผ๎ูสูงอายุได๎รับ การถํายทอดสคํู นรํนุ หลังและคงอยใํู นทอ๎ งถิ่นตํอไป ซ่งึ แบงํ ภมู ิป๎ญญาศกึ ษาออกเปน็ 3 ประเภท ไดแ๎ กํ 1. ภมู ิปญ๎ ญาศกึ ษาทผ่ี ู๎สงู อายุเป็นผู๎คดิ คน๎ ภมู ปิ ญ๎ ญาในการดาเนนิ ชีวิตในเรื่องที่เชี่ยวชาญท่ีสุด ดว๎ ยตนเอง 2. ภมู ิปญ๎ ญาศกึ ษาท่ผี ส๎ู ูงอายุเปน็ ผน๎ู าภูมิป๎ญญาที่สืบทอดจากบรรพบุรุษมาประยุกต์ใช๎ในการดาเนิน ชีวติ จนเกดิ ความเชย่ี วชาญ 3. ภมู ปิ ญ๎ ญาศึกษาท่ีผ๎ูสูงอายุเป็นผ๎ูนาภูมิป๎ญญาท่ีสืบทอดจากบรรพบุรุษมาใช๎ในการดาเนินชีวิตโดย ไมํมกี ารเปลีย่ นแปลงไปจากเดิมจนเกดิ ความเชี่ยวชาญ ผู้ถา่ ยทอดภูมิปัญญา หมายถึง ผ๎ูสูงอายุที่เข๎าศึกษาตามหลักสูตรของโรงเรียนผ๎ูสูงอายุเทศบาลเมือง วังน้าเย็น เป็นผ๎ูถํายทอดภูมิป๎ญญาการดาเนินชีวิตในเรื่องท่ีตนเองเชี่ยวชาญมากที่สุด นามาถํายทอดให๎แกํผ๎ู เรียบเรียงภูมปิ ๎ญญาทอ๎ งถ่นิ ไดจ๎ ดั ทาขอ๎ มลู เปน็ รปู เลมํ ภูมปิ ญ๎ ญาศึกษา ผู้เรียบเรียงภูมิปัญญาท้องถิ่น หมายถึง ผ๎ูท่ีนาภูมิป๎ญญาในการดาเนินชีวิตในเร่ืองท่ีผ๎ูสูงอายุ เช่ียวชาญท่ีสุดมาเรียบเรียงเป็นลายลักษณ์อักษร ศึกษาหาข๎อมูลเพ่ิมเติมจากแหลํงข๎อมูลตําง ๆ จัดทาเป็น เอกสารรปู เลมํ ใชช๎ ่อื วาํ “ภูมิปญ๎ ญาศึกษา”ตามรูปแบบทโี่ รงเรยี นผ๎ูสูงอายเุ ทศบาลเมืองวงั น้าเย็นกาหนด ครูที่ปรึกษา หมายถึง ผ๎ูที่ปฏิบัติหน๎าที่เป็นครูพ่ีเล้ียง เป็นผ๎ูเรียบเรียงภูมิป๎ญญาท๎องถิ่น ปฏิบัติ หนา๎ ท่ีเปน็ ผู๎ประเมินผล เป็นผ๎ูรับรองภูมิป๎ญญาศึกษา รวมทั้งเป็นผ๎ูนาภูมิป๎ญญาศึกษาเข๎ามาสอนในโรงเรียน โดยบูรณาการการจัดการเรยี นรตู๎ ามหลกั สูตรท๎องถ่ินท่ีโรงเรียนจดั ทาข้ึน

ภูมปิ ัญญาศกึ ษาเช่อื มโยงสู่สารานกุ รมไทยสาหรับเยาวชนฯ 1. ลักษณะของภมู ิปัญญาไทย ลักษณะของภูมิป๎ญญาไทย มีดังนี้ 1. ภูมิป๎ญญาไทยมลี กั ษณะเป็นทง้ั ความร๎ู ทักษะ ความเช่ือ และพฤตกิ รรม 2. ภมู ิปญ๎ ญาไทยแสดงถึงความสัมพนั ธ์ระหวํางคนกบั คน คนกบั ธรรมชาติ สง่ิ แวดลอ๎ ม และคนกับส่ิงเหนือธรรมชาติ 3. ภมู ิปญ๎ ญาไทยเป็นองคร์ วมหรือกจิ กรรมทกุ อยํางในวิถชี ีวติ ของคน 4. ภมู ปิ ๎ญญาไทยเป็นเรอื่ งของการแกป๎ ญ๎ หา การจัดการ การปรับตวั และการเรยี นร๎ู เพื่อความอยูรํ อดของบุคคล ชุมชน และสังคม 5. ภูมิปญ๎ ญาไทยเปน็ พ้นื ฐานสาคัญในการมองชวี ติ เปน็ พนื้ ฐานความร๎ใู นเรอ่ื งตํางๆ 6. ภูมิป๎ญญาไทยมีลักษณะเฉพาะ หรือมเี อกลักษณใ์ นตวั เอง 7. ภมู ิป๎ญญาไทยมกี ารเปล่ยี นแปลงเพื่อการปรับสมดุลในพัฒนาการทางสงั คม 2. คุณสมบัตขิ องภูมปิ ญั ญาไทย ผูท๎ รงภูมปิ ๎ญญาไทยเป็นผม๎ู ีคุณสมบัตติ ามท่ีกาหนดไว๎ อยาํ งนอ๎ ยดงั ตํอไปน้ี 1. เป็นคนดีมีคุณธรรม มีความร๎ูความสามารถในวิชาชีพตํางๆ มีผลงานด๎านการพัฒนา ท๎องถิ่นของตน และได๎รับการยอมรับจากบุคคลทั่วไปอยํางกว๎างขวาง ท้ังยังเป็นผู๎ที่ใช๎หลักธรรมคาสอนทาง ศาสนาของตนเป็นเครอ่ื งยึดเหนี่ยวในการดารงวิถีชวี ิตโดยตลอด 2. เป็นผู๎คงแกํเรียนและหมั่นศึกษาหาความร๎ูอยูํเสมอ ผ๎ูทรงภูมิป๎ญญาจะเป็นผ๎ูที่หม่ันศึกษา แสวงหาความร๎ูเพ่ิมเติมอยูํเสมอไมํหยุดนิ่ง เรียนร๎ูท้ังในระบบและนอกระบบ เป็นผ๎ูลงมือทา โดยทดลองทา ตามที่เรยี นมา อีกทง้ั ลองผิด ลองถูก หรือสอบถามจากผู๎ร๎ูอื่นๆ จนประสบความสาเร็จ เป็นผู๎เชี่ยวชาญ ซ่ึงโดด เดํนเป็นเอกลักษณ์ในแตํละด๎านอยํางชัดเจน เป็นท่ียอมรับการเปลี่ยนแปลงความรู๎ใหมํๆ ท่ีเหมาะสม นามา ปรับปรุงรบั ใชช๎ ุมชน และสงั คมอยํเู สมอ 3. เป็นผ๎ูนาของท๎องถ่ิน ผู๎ทรงภูมิป๎ญญาสํวนใหญํจะเป็นผ๎ูที่สังคม ในแตํละท๎องถิ่นยอมรับให๎ เป็นผ๎ูนา ท้ังผ๎ูนาที่ได๎รับการแตํงตั้งจากทางราชการ และผ๎ูนาตามธรรมชาติ ซ่ึงสามารถเป็นผ๎ูนาของท๎องถ่ิน และชวํ ยเหลอื ผ๎อู ่นื ไดเ๎ ปน็ อยาํ งดี 4. เปน็ ผ๎ทู ีส่ นใจป๎ญหาของทอ๎ งถิ่น ผท๎ู รงภูมปิ ๎ญญาลว๎ นเปน็ ผ๎ูที่สนใจป๎ญหาของท๎องถ่ิน เอาใจ ใสํ ศึกษาป๎ญหา หาทางแก๎ไข และชํวยเหลือสมาชิกในชุมชนของตนและชุมชนใกล๎เคียงอยํางไมํยํอท๎อ จน ประสบความสาเรจ็ เปน็ ท่ียอมรับของสมาชิกและบุคคลท่ัวไป 5. เป็นผ๎ขู ยนั หม่ันเพียร ผ๎ทู รงภูมิป๎ญญาเป็นผขู๎ ยนั หมน่ั เพียร ลงมือทางานและผลิตผลงานอยํู เสมอ ปรบั ปรงุ และพฒั นาผลงานใหม๎ คี ณุ ภาพมากขน้ึ อกี ทัง้ มงุํ ทางานของตนอยํางตํอเนื่อง 6. เป็นนักปกครองและประสานประโยชน์ของท๎องถ่ิน ผู๎ทรงภูมิป๎ญญา นอกจากเป็นผู๎ท่ี ประพฤตติ นเป็นคนดี จนเป็นที่ยอมรับนับถือจากบุคคลท่ัวไปแล๎ว ผลงานท่ีทํานทายังถือวํามีคุณคํา จึงเป็นผู๎ที่ มีท้ัง \"ครองตน ครองคน และครองงาน\" เป็นผู๎ประสานประโยชน์ให๎บุคคลเกิดความรัก ความเข๎าใจ ความเหน็ ใจ และมีความสามคั คีกนั ซ่ึงจะทาให๎ท๎องถนิ่ หรือสงั คม มีความเจรญิ มีคณุ ภาพชวี ติ สงู ข้นึ กวําเดมิ

7. มคี วามสามารถในการถํายทอดความรู๎เป็นเลศิ เม่ือผทู๎ รงภูมิป๎ญญามีความรค๎ู วามสามารถ และประสบการณเ์ ปน็ เลิศ มผี ลงานท่เี ป็นประโยชน์ตํอผ๎ูอ่ืนและบุคคลทวั่ ไป ทั้งชาวบ๎าน นกั วิชาการ นักเรยี น นสิ ติ /นกั ศกึ ษา โดยอาจเขา๎ ไปศึกษาหาความรู๎ หรือเชิญทํานเหลําน้นั ไป เปน็ ผถ๎ู าํ ยทอดความรไ๎ู ด๎ 8. เป็นผู๎มีคํูครองหรือบริวารดี ผู๎ทรงภูมิป๎ญญา ถ๎าเป็นคฤหัสถ์ จะพบวํา ล๎วนมีคูํครองที่ดีท่ี คอยสนับสนุน ชํวยเหลือ ให๎กาลังใจ ให๎ความรํวมมือในงานท่ีทํานทา ชํวยให๎ผลิตผลงานท่ีมีคุณคํา ถ๎าเป็น นกั บวช ไมวํ าํ จะเป็นศาสนาใด ต๎องมบี ริวารที่ดี จงึ จะสามารถผลติ ผลงานท่มี คี ณุ คําทางศาสนาได๎ 9. เป็นผ๎ูมปี ญ๎ ญารอบร๎แู ละเช่ยี วชาญจนไดร๎ ับการยกยํองวาํ เปน็ ปราชญ์ ผ๎ูทรงภูมิป๎ญญา ต๎อง เป็นผ๎ูมีป๎ญญารอบรู๎และเชี่ยวชาญ รวมท้ังสร๎างสรรค์ผลงานพิเศษใหมํๆ ที่เป็นประโยชน์ ตํอสังคมและ มนษุ ยชาติอยํางตอํ เนอ่ื งอยูํเสมอ 3. การจดั แบ่งสาขาภูมปิ ัญญาไทย จากการศึกษาพบวาํ มีการกาหนดสาขาภมู ิป๎ญญาไทยไวอ๎ ยาํ งหลากหลาย ข้ึนอยํูกบั วัตถุประสงค์ และ หลักเกณฑ์ตํางๆ ท่ีหนํวยงาน องค์กร และนักวิชาการแตํละทํานนามากาหนด ในภาพรวมภูมิป๎ญญาไทย สามารถแบํงไดเ๎ ป็น 10 สาขา ดงั นี้ 1. สาขาเกษตรกรรม หมายถึง ความสามารถในการผสมผสานองค์ความร๎ู ทักษะ และ เทคนิคด๎านการเกษตรกับเทคโนโลยี โดยการพัฒนาบนพื้นฐานคุณคําดั้งเดิม ซ่ึงคนสามารถพ่ึงพาตนเองใน ภาวการณ์ตํางๆ ได๎ เชํน การทา การเกษตรแบบผสมผสาน วนเกษตร เกษตรธรรมชาติ ไรํนาสวนผสม และ สวนผสมผสาน การแก๎ป๎ญหาการเกษตรด๎านการตลาด การแก๎ป๎ญหาด๎านการผลิต การแก๎ไขป๎ญหาโรคและ แมลง และการรูจ๎ ักปรบั ใชเ๎ ทคโนโลยีทเ่ี หมาะสมกับการเกษตร เป็นต๎น 2. สาขาอุตสาหกรรมและหัตถกรรม หมายถึง การรู๎จักประยุกต์ใช๎เทคโนโลยีสมัยใหมํใน การแปรรูปผลิตผล เพ่อื ชะลอการนาเขา๎ ตลาด เพอ่ื แก๎ป๎ญหาดา๎ นการบริโภคอยํางปลอดภัย ประหยัด และเป็น ธรรม อันเป็นกระบวนการที่ทาให๎ชุมชนท๎องถิ่นสามารถพึ่งพาตนเองทางเศรษฐกิจได๎ ตลอดท้ังการผลิต และ การจาหนําย ผลิตผลทางหตั ถกรรม เชนํ การรวมกลมุํ ของกลุํมโรงงานยางพารา กลํุมโรงสี กลํุมหัตถกรรม เป็น ตน๎ 3. สาขาการแพทย์แผนไทย หมายถึง ความสามารถในการจัดการปูองกัน และรักษา สุขภาพของคนในชุมชน โดยเน๎นให๎ชุมชนสามารถพึ่งพาตนเอง ทางด๎านสุขภาพ และอนามัยได๎ เชํน การนวด แผนโบราณ การดูแลและรกั ษาสขุ ภาพแบบพนื้ บา๎ น การดแู ลและรกั ษาสุขภาพแผนโบราณไทย เป็นตน๎ 4. สาขาการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม หมายถึง ความสามารถเก่ียวกับ การจดั การทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสงิ่ แวดล๎อม ท้งั การอนรุ กั ษ์ การพฒั นา และการใช๎ประโยชน์จากคุณคําของ ทรพั ยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดลอ๎ ม อยํางสมดลุ และย่งั ยืน เชํน การทาแนวปะการงั เทียม การอนุรักษ์ปุาชาย เลน การจดั การปาุ ตน๎ นา้ และปุาชุมชน เป็นต๎น 5. สาขากองทุนและธุรกิจชุมชน หมายถึง ความสามารถในการบริหารจัดการด๎านการ สะสม และบริการกองทุน และธุรกิจในชุมชน ท้ังท่ีเป็นเงินตรา และโภคทรัพย์ เพื่อสํงเสริมชีวิตความเป็นอยูํ ของสมาชกิ ในชุมชน เชนํ การจดั การเรอ่ื งกองทนุ ของชมุ ชน ในรปู ของสหกรณ์ออมทรัพย์ และธนาคารหมํูบ๎าน เปน็ ตน๎ 6. สาขาสวัสดิการ หมายถึง ความสามารถในการจัดสวัสดิการในการประกันคุณภาพชีวิต ของคน ให๎เกิดความม่ันคงทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม เชํน การจัดต้ังกองทุนสวัสดิการรักษาพยาบาล ของชมุ ชน การจัดระบบสวสั ดิการบรกิ ารในชุมชน การจัดระบบส่งิ แวดลอ๎ มในชุมชน เปน็ ตน๎

7. สาขาศิลปกรรม หมายถึง ความสามารถในการผลิตผลงานทางด๎านศิลปะสาขาตําง ๆ เชนํ จิตรกรรม ประติมากรรม วรรณกรรม ทัศนศิลป์ คตี ศิลป์ ศลิ ปะมวยไทย เปน็ ตน๎ 8. สาขาการจัดการองค์กร หมายถึง ความสามารถในการบริหารจัดการดาเนินงานของ องค์กรชุมชนตํางๆ ให๎สามารถพัฒนา และบริหารองค์กรของตนเองได๎ ตามบทบาท และหน๎าท่ีขององค์การ เชนํ การจดั การองคก์ รของกลุํมแมบํ า๎ น กลุํมออมทรพั ย์ กลุํมประมงพื้นบา๎ น เปน็ ตน๎ 9. สาขาภาษาและวรรณกรรม หมายถึง ความสามารถผลติ ผลงานเกยี่ วกับด๎านภาษา ท้ังภาษาถิ่น ภาษาโบราณ ภาษาไทย และการใช๎ภาษา ตลอดทั้งด๎านวรรณกรรมทุกประเภท เชํน การจัดทา สารานกุ รมภาษาถน่ิ การปรวิ รรต หนงั สือโบราณ การฟื้นฟูการเรียนการสอนภาษาถนิ่ ของท๎องถิน่ ตําง ๆ เปน็ ตน๎ 10. สาขาศาสนาและประเพณี หมายถึง ความสามารถประยุกต์ และปรับใช๎หลักธรรมคา สอนทางศาสนา ความเช่ือ และประเพณีด้ังเดิมท่ีมีคุณคําให๎เหมาะสมตํอการประพฤติปฏิบัติ ให๎บังเกิดผลดีตํอ บุคคล และสิ่งแวดล๎อม เชํน การถํายทอดหลักธรรมทางศาสนา ลักษณะความสัมพันธ์ของภูมิป๎ญญาไทยภูมิ- ป๎ญญาไทยสามารถสะท๎อนออกมาใน 3 ลักษณะท่ีสัมพันธใ์ กล๎ชิดกัน คือ 10.1 ความสัมพันธ์อยํางใกล๎ชิดกันระหวํางคนกับโลก สิ่งแวดล๎อม สัตว์ พืช และ ธรรมชาติ 10.2 ความสมั พันธข์ องคนกับคนอ่ืนๆ ท่ีอยรูํ วํ มกนั ในสงั คม หรือในชุมชน 10.3 ความสัมพันธ์ระหวํางคนกับสิ่งศักด์ิสิทธิ์ส่ิงเหนือธรรมชาติ ตลอดทั้งส่ิงท่ีไมํ สามารถสัมผัสได๎ทั้งหลาย ท้ัง 3 ลักษณะน้ี คือ สามมิติของเร่ืองเดียวกัน หมายถึง ชีวิตชุมชน สะท๎อนออก มาถงึ ภมู ปิ ๎ญญาในการดาเนินชีวติ อยํางมีเอกภาพ เหมือนสามมุมของรูปสามเหลี่ยม ภูมิป๎ญญา จึงเป็นรากฐาน ในการดาเนินชีวิตของคนไทย ซ่ึงสามารถแสดงใหเ๎ หน็ ได๎อยาํ งชดั เจนโดยแผนภาพ ดังนี้ ลักษณะภูมิป๎ญญาที่เกิดจากความสัมพันธ์ ระหวํางคนกับธรรมชาติสิ่งแวดล๎อม จะแสดงออกมา ในลักษณะภูมิป๎ญญาในการดาเนินวิถีชีวิตข้ันพ้ืนฐาน ด๎านป๎จจัยส่ี ซ่ึงประกอบด๎วย อาหาร เคร่ืองนุํงหํม ท่ี อยูํอาศัย และยารักษาโรค ตลอดท้ังการประกอบ อ า ชี พ ตํ า ง ๆ เ ป็ น ต๎ น ภู มิ ป๎ ญ ญ า ท่ี เ กิ ด จ า ก ความสัมพันธ์ระหวํางคนกับคนอ่ืนในสังคม จะแสดง ออกมาในลักษณะ จารีต ขนบธรรมเนียมประเพณี ศลิ ปะ และนันทนาการ ภาษา และวรรณกรรม ตลอด ทงั้ การส่ือสารตาํ งๆ เปน็ ตน๎ ภูมิป๎ญญาท่ีเกิดจากความสัมพันธ์ระหวํางคนกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ สิ่งเหนือธรรมชาติ จะแสดงออกมาใน ลักษณะของส่ิงศกั ดิ์สิทธิ์ ศาสนา ความเชือ่ ตํางๆ เปน็ ต๎น

4. คุณคา่ และความสาคัญของภูมิปญั ญาไทย คุณคําของภูมิป๎ญญาไทย ได๎แกํ ประโยชน์ และความสาคัญของภูมิป๎ญญา ที่บรรพบุรุษไทย ได๎ สรา๎ งสรรค์ และสืบทอดมาอยํางตํอเนื่อง จากอดีตสูํป๎จจุบัน ทาให๎คนในชาติเกิดความรัก และความภาคภูมิใจ ที่จะรํวมแรงรวํ มใจสบื สานตํอไปในอนาคต เชํน โบราณสถาน โบราณวัตถุ สถาป๎ตยกรรม ประเพณีไทย การมี น้าใจ ศกั ยภาพในการประสานผลประโยชน์ เปน็ ต๎น ภมู ิป๎ญญาไทยจงึ มีคณุ คาํ และความสาคญั ดังน้ี 1. ภมู ิป๎ญญาไทยชํวยสร๎างชาติใหเ๎ ปน็ ปกึ แผํน พระมหากษัตริย์ไทยได๎ใช๎ภูมิป๎ญญาในการสร๎างชาติ สร๎างความเป็นปึกแผํนให๎แกํ ประเทศชาติมาโดยตลอด ต้ังแตํสมัยพํอขุนรามคาแหงมหาราช พระองค์ทรงปกครองประชาชน ด๎วยพระ เมตตา แบบพํอปกครองลูก ผ๎ูใดประสบความเดือดร๎อน ก็สามารถตีระฆัง แสดงความเดือดร๎อน เพื่อขอรับ พระราชทานความชํวยเหลือ ทาให๎ประชาชนมีความจงรักภักดีตํอพระองค์ ตํอประเทศชาติรํวมกันสร๎าง บ๎านเรอื นจนเจริญรงุํ เรืองเปน็ ปึกแผํน สมเด็จพระนเรศวรมหาราช พระองค์ทรงใช๎ภูมิป๎ญญากระทายุทธหัตถี จนชนะข๎าศึกศัตรู และทรงกอบกู๎เอกราชของชาติไทยคืนมาได๎ พระบาทสมเด็จพระเจ๎าอยูํหัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลป๎จจุบัน พระองค์ทรงใชภ๎ ูมิป๎ญญาสร๎างคุณประโยชน์แกํประเทศชาติ และเหลําพสกนิกรมากมายเหลือคณานับ ทรงใช๎ พระปรีชาสามารถ แก๎ไขวิกฤตการณ์ทางการเมือง ภายในประเทศ จนรอดพ๎นภัยพิบัติหลายครั้ง พระองค์ทรง มีพระปรีชาสามารถหลายด๎าน แม๎แตํด๎านการเกษตร พระองค์ได๎พระราชทานทฤษฎีใหมํให๎แกํพสกนิกร ทั้ง ด๎านการเกษตรแบบสมดุลและย่ังยืน ฟื้นฟูสภาพแวดล๎อม นาความสงบรํมเย็นของประชาชนให๎กลับคืนมา แนวพระราชดาริ \"ทฤษฎีใหมํ\" แบํงออกเปน็ 2 ข้นั โดยเริ่มจาก ขั้นตอนแรก ให๎เกษตรกรรายยํอย \"มีพออยูํพอ กิน\" เป็นข้ันพื้นฐาน โดยการพัฒนาแหลํงน้า ในไรํนา ซึ่งเกษตรกรจาเป็นท่ีจะต๎องได๎รับความชํวยเหลือจาก หนํวยราชการ มูลนิธิ และหนํวยงานเอกชน รํวมใจกันพัฒนาสังคมไทย ในข้ันที่สอง เกษตรกรต๎องมีความ เข๎าใจ ในการจัดการในไรนํ าของตน และมกี ารรวมกลํมุ ในรูปสหกรณ์ เพื่อสร๎างประสิทธิภาพทางการผลิต และ การตลาด การลดรายจํายด๎านความเป็นอยํู โดยทรงตระหนักถึงบทบาทขององค์กรเอกชน เม่ือกลํุ มเกษตร วิวัฒนม์ าขั้นที่ 2 แลว๎ ก็จะมศี กั ยภาพ ในการพัฒนาไปสํูขั้นที่สาม ซึ่งจะมีอานาจในการตํอรองผลประโยชน์กับ สถาบันการเงินคือ ธนาคาร และองค์กรที่เป็นเจ๎าของแหลํงพลังงาน ซ่ึงเป็นป๎จจัยหนึ่งในการผลิต โดยมีการ แปรรปู ผลติ ผล เชํน โรงสี เพื่อเพม่ิ มลู คาํ ผลิตผล และขณะเดียวกันมีการจัดต้ังร๎านค๎าสหกรณ์ เพื่อลดคําใช๎จําย ในชีวิตประจาวัน อันเป็นการพัฒนาคุณภาพชีวิตของบุคคลในสังคม จะเห็นได๎วํา มิได๎ทรงทอดท้ิงหลักของ ความสามัคคีในสังคม และการจัดตั้งสหกรณ์ ซ่ึงทรงสนับสนุนให๎กลํุมเกษตรกรสร๎างอานาจตํอรองในระบบ เศรษฐกจิ จงึ จะมคี ณุ ภาพชีวิตท่ีดี จึงจัดได๎วํา เป็นสังคมเกษตรท่ีพัฒนาแล๎ว สมดังพระราชประสงค์ที่ทรงอุทิศ พระวรกาย และพระสติปญ๎ ญา ในการพัฒนาการเกษตรไทยตลอดระยะเวลาแหํงการครองราชย์ 2. สร๎างความภาคภมู ิใจ และศักด์ิศรี เกียรตภิ มู แิ กํคนไทย คนไทยในอดีตที่มีความสามารถปรากฏในประวัติศาสตร์มีมาก เป็นท่ียอมรับของนานา อารยประเทศ เชํน นายขนมต๎มเป็นนักมวยไทย ท่ีมีฝีมือเกํงในการใช๎อวัยวะทุกสํวน ทุกทําของแมํไม๎มวยไทย สามารถชกมวยไทย จนชนะพมําได๎ถึงเก๎าคนสิบคนในคราวเดียวกัน แม๎ในป๎จจุบัน มวยไทยก็ยังถือวํา เป็น ศิลปะชั้นเยี่ยม เป็นที่ นิยมฝึกและแขํงขันในหมูํคนไทยและชาวตําง ประเทศ ป๎จจุบันมีคํายมวยไทยทั่วโลกไมํ ต่ากวาํ 30,000 แหงํ ชาวตํางประเทศทไี่ ดฝ๎ ึกมวยไทย จะรูส๎ กึ ยินดีและภาคภูมิใจ ในการท่ีจะใช๎กติกา ของมวย

ไทย เชํน การไหว๎ครูมวยไทย การออก คาสั่งในการชกเป็นภาษาไทยทุกคา เชํน คาวํา \"ชก\" \"นับหนึ่งถึงสิบ\" เป็นต๎น ถือเป็นมรดก ภูมิป๎ญญาไทย นอกจากนี้ ภูมิป๎ญญาไทยที่โดด เดํนยังมีอีกมากมาย เชํน มรดกภูมิ ป๎ญญาทาง ภาษาและวรรณกรรม โดยที่มีอักษรไทยเป็นของ ตนเองมาต้ังแตํสมัยกรุงสุโขทัย และวิวัฒนาการ มาจนถึงป๎จจุบัน วรรณกรรมไทยถือวํา เป็นวรรณกรรมท่ีมีความไพเราะ ได๎อรรถรสครบทุกด๎าน วรรณกรรม หลายเรื่องได๎รับการแปลเป็นภาษาตาํ งประเทศหลายภาษา ด๎านอาหาร อาหารไทยเป็นอาหารท่ีปรุงงําย พืชท่ี ใช๎ประกอบอาหารสํวนใหญํเป็นพืชสมุนไพร ที่หาได๎งํายในท๎องถิ่น และราคาถูก มี คุณคําทางโภชนาการ และ ยังปูองกันโรคได๎หลายโรค เพราะสํวนประกอบสํวนใหญํเป็นพืชสมุนไพร เชํน ตะไคร๎ ขิง ขํา กระชาย ใบ มะกรดู ใบโหระพา ใบกะเพรา เปน็ ต๎น 3. สามารถปรบั ประยุกต์หลักธรรมคาสอนทางศาสนาใชก๎ ับวิถชี ีวิตไดอ๎ ยาํ งเหมาะสม คนไทยสวํ นใหญนํ บั ถือศาสนาพุทธ โดยนาหลักธรรมคาสอนของศาสนา มาปรับใช๎ในวิถีชีวิต ได๎อยํางเหมาะสม ทาให๎คนไทยเป็นผู๎อํอนน๎อมถํอมตน เอ้ือเฟื้อเผื่อแผํ ประนีประนอม รักสงบ ใจเย็น มีความ อดทน ให๎อภยั แกํผ๎ูสานกึ ผดิ ดารงวิถีชวี ิตอยาํ งเรียบงําย ปกติสุข ทาให๎คนในชุมชนพึ่งพากันได๎ แม๎จะอดอยาก เพราะ แห๎งแล๎ง แตํไมํมีใครอดตาย เพราะพ่ึงพาอาศัย กัน แบํงป๎นกันแบบ \"พริกบ๎านเหนือเกลือบ๎านใต๎\" เป็น ตน๎ ทัง้ หมดน้สี บื เน่ืองมาจากหลกั ธรรมคาสอนของพระพทุ ธศาสนา เป็นการใช๎ภูมิป๎ญญา ในการนาเอาหลักขอ พระพทุ ธศาสนามา ประยุกต์ใชก๎ บั ชีวติ ประจาวนั และดาเนินกุศโลบาย ด๎านตํางประเทศ จนทาให๎ชาวพุทธทั่ว โลกยกยอํ ง ให๎ประเทศไทยเป็นผ๎ูนาทางพุทธศาสนา และเป็น ที่ตั้งสานักงานใหญํองค์การพุทธศาสนิกสัมพันธ์ แหํงโลก (พสล.) อยํูเยื้องๆ กับอุทยานเบญจสิริ กรุงเทพมหานคร โดยมีคนไทย (ฯพณฯ สัญญา ธรรมศักดิ์ องคมนตรี) ดารงตาแหนํงประธาน พสล. ตํอจาก ม.จ.หญิงพนู พิศมัย ดศิ กุล 4. สร๎างความสมดุลระหวาํ งคนในสงั คม และธรรมชาติได๎อยํางยั่งยืน ภูมิป๎ญญาไทยมีความเดํนชัดในเร่ืองของการยอมรับนับถือ และให๎ความสาคัญแกํคน สังคม และธรรมชาติอยํางยงิ่ มเี ครื่องชี้ที่แสดงใหเ๎ ห็นได๎อยาํ งชัดเจนมากมาย เชํน ประเพณีไทย 12 เดือน ตลอดท้ังปี ล๎วนเคารพคุณคําของธรรมชาติ ได๎แกํ ประเพณีสงกรานต์ ประเพณีลอยกระทง เป็นต๎น ประเพณีสงกรานต์ เป็นประเพณีท่ีทาใน ฤดูร๎อนซ่ึงมีอากาศร๎อน ทาให๎ต๎องการความเย็น จึงมีการรดน้าดาหัว ทาความสะอาด บ๎านเรือน และธรรมชาติส่ิงแวดล๎อม มีการแหํนางสงกรานต์ การทานายฝนวําจะตกมากหรือน๎อยในแตํละปี สํวนประเพณีลอยกระทง คุณคําอยูํท่ีการบูชา ระลึกถึงบุญคุณของน้า ท่ีหลํอเล้ียงชีวิตของ คน พืช และสัตว์ ให๎ได๎ใช๎ท้ังบริโภคและอุปโภค ในวันลอยกระทง คนจึงทาความสะอาดแมํน้า ลาธาร บูชาแมํน้าจากตัวอยําง ข๎างตน๎ ล๎วนเปน็ ความสัมพนั ธร์ ะหวาํ งคนกบั สังคมและธรรมชาติ ทงั้ สิ้น ในการรกั ษาปุาไม๎ต๎นน้าลาธาร ไดป๎ ระยุกตใ์ ห๎มีประเพณีการบวชปุา ให๎คนเคารพสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ธรรมชาติ และสภาพแวดล๎อม ยังความอุดมสมบูรณ์แกํต๎นน้า ลาธาร ให๎ฟื้นสภาพกลับคืนมาได๎มาก อาชีพ การเกษตรเปน็ อาชีพหลักของคนไทย ท่ีคานึงถึงความสมดลุ ทาแตนํ อ๎ ยพออยํูพอกนิ แบบ \"เฮ็ดอยูํเฮ็ดกิน\" ของ พํอทองดี นนั ทะ เม่อื เหลอื กนิ กแ็ จกญาตพิ ี่น๎อง เพอื่ นบา๎ น บ๎านใกล๎เรือนเคียง นอกจากน้ี ยังนาไปแลกเปลี่ยน กับสิ่งของอยาํ งอ่ืน ทตี่ นไมํมี เมื่อเหลอื ใชจ๎ ริงๆ จึงจะนาไปขาย อาจกลาํ วได๎วํา เปน็ การเกษตรแบบ \"กิน-แจก- แลก-ขาย\" ทาให๎คนในสังคมได๎ชํวยเหลือเกื้อกูล แบํงป๎นกัน เคารพรัก นับถือ เป็นญาติกัน ทั้งหมํูบ๎าน จึงอยํู รํวมกนั อยาํ งสงบสขุ มคี วามสมั พันธ์กันอยาํ งแนบแนํน ธรรมชาติไมํถูกทาลายไปมากนัก เน่ืองจากทาพออยูํพอ

กนิ ไมโํ ลภมากและไมํทาลายทกุ อยํางผิด กับในปจ๎ จบุ ัน ถอื เป็นภมู ปิ ญ๎ ญาท่ีสร๎างความ สมดุลระหวํางคน สังคม และธรรมชาติ 5. เปลี่ยนแปลงปรบั ปรุงไดต๎ ามยคุ สมยั แมว๎ ํากาลเวลาจะผาํ นไป ความร๎สู มัยใหมํ จะหลั่งไหลเข๎ามามาก แตํภูมิป๎ญญาไทย ก็สามารถ ปรับเปลย่ี นใหเ๎ หมาะสมกบั ยคุ สมัย เชํน การร๎จู กั นาเครื่องยนต์มาติดต้ังกับเรือ ใสํใบพัด เป็นหางเสือ ทาให๎เรือ สามารถแลํนได๎เร็วข้ึน เรียกวํา เรือหางยาว การรู๎จักทาการเกษตรแบบผสมผสาน สามารถพลิกฟ้ืนคืน ธรรมชาติให๎ อดุ มสมบูรณ์แทนสภาพเดิมท่ีถูกทาลายไป การรู๎จักออมเงิน สะสมทุนให๎สมาชิกก๎ูยืม ปลดเปลื้อง หนส้ี ิน และจัดสวัสดิการแกํสมาชิก จนชุมชนมคี วามมั่นคง เขม๎ แขง็ สามารถชวํ ยตนเองได๎หลายร๎อยหมํูบ๎านทั่ว ประเทศ เชํน กลุํมออมทรัพย์คีรีวง จังหวัดนครศรีธรรมราช จัดในรูปกองทุนหมุนเวียนของชุมชน จนสามารถ ชวํ ยตนเองได๎ เมื่อปุาถูกทาลาย เพราะถูกตัดโคํน เพื่อปลูกพืชแบบเดี่ยว ตามภูมิป๎ญญาสมัยใหมํ ท่ีหวัง ร่ารวย แตใํ นที่สุด กข็ าดทุน และมีหน้ีสิน สภาพแวดล๎อมสูญเสียเกิดความแห๎งแล๎ง คนไทยจึงคิดปลูกปุา ท่ีกิน ได๎ มีพืชสวน พืชปุาไม๎ผล พืชสมุนไพร ซึ่งสามารถมีกินตลอดชีวิตเรียกวํา \"วนเกษตร\" บางพื้นท่ี เม่ือปุาชุมชน ถูกทาลาย คนในชุมชนก็รวมตัวกัน เป็นกลํุมรักษาปุา รํวมกันสร๎างระเบียบ กฎเกณฑ์กันเอง ให๎ทุกคนถือ ปฏิบัติได๎ สามารถรักษาปุาได๎อยํางสมบูรณ์ดังเดิม เมื่อปะการังธรรมชาติถูกทาลาย ปลาไมํมีที่อยูํอาศัย ประชาชนสามารถสร๎าง \"อูหยัม\" ขึ้น เป็นปะการังเทียม ให๎ปลาอาศัยวางไขํ และแพรํพันธุ์ให๎เจริญเติบโต มี จานวนมากดังเดมิ ได๎ ถอื เปน็ การใชภ๎ มู ิป๎ญญาปรบั ปรงุ ประยกุ ตใ์ ชไ๎ ด๎ตามยุคสมยั สารานุกรมไทยสาหรับเยาวชนฯ เลํมที่ 19 ให๎ความหมายของคาวํา ภูมิป๎ญญาชาวบ๎าน หมายถึง ความรู๎ของชาวบ๎าน ซึ่งได๎มาจากประสบการณ์ และความเฉลียวฉลาดของชาวบ๎าน รวมท้ังความร๎ูที่ สัง่ สมมาแตบํ รรพบรุ ษุ สืบทอดจากคนรุํนหน่ึงไปสูํคนอีกรุํนหน่ึง ระหวํางการสืบทอดมีการปรับ ประยุกต์ และ เปลย่ี นแปลง จนอาจเกิดเปน็ ความรูใ๎ หมตํ ามสภาพการณ์ทางสังคมวัฒนธรรม และ สิ่งแวดลอ๎ ม ภูมปิ ญ๎ ญาเป็นความร๎ูที่ประกอบไปด๎วยคุณธรรม ซ่ึงสอดคล๎องกับวิถีชีวิตด้ังเดิมของชาวบ๎าน ในวิถีด้ังเดิมนั้น ชีวิตของชาวบ๎านไมํได๎แบํงแยกเป็นสํวนๆ หากแตํทุกอยํางมีความสัมพันธ์กัน การทามาหากิน การอยูํรํวมกันในชุมชน การปฏิบัติศาสนา พิธีกรรมและประเพณี ความรู๎เป็นคุณธรรม เมื่อผู๎คนใช๎ความร๎ูนั้น เพอื่ สรา๎ งความสมั พันธ์ที่ดีระหวําง คนกับคน คนกับธรรมชาติ และคนกับส่ิงเหนือธรรมชาติ ความสัมพันธ์ที่ดี เป็นความสัมพันธ์ที่มีความสมดุล ที่เคารพกันและกัน ไมํทาร๎ายทาลายกัน ทาให๎ทุกฝุายทุกสํวนอยูํรํวมกันได๎ อยํางสันติ ชุมชนดั้งเดิมจึงมีกฎเกณฑ์ของการอยูํรํวมกัน มีคนเฒําคนแกํเป็นผ๎ูนา คอยให๎คาแนะนาตักเตือน ตัดสิน และลงโทษหากมีการละเมิด ชาวบ๎านเคารพธรรมชาติรอบตัว ดิน น้า ปุา เขา ข๎าว แดด ลม ฝน โลก และจักรวาล ชาวบ๎านเคารพผ๎ูหลักผู๎ใหญํ พํอแมํ ปุูยําตายาย ท้ังที่มีชีวิตอยํูและลํวงลับไปแล๎ว ภูมิป๎ญญาจึง เป็นความรู๎ที่มีคุณธรรม เป็นความรู๎ที่มีเอกภาพของทุกสิ่งทุกอยําง เป็นความร๎ูวํา ทุกส่ิงทุกอยํางสัมพันธ์กัน อยํางมีความสมดุล เราจึงยกยํองความร๎ูขั้นสูงสํง อันเป็นความร๎ูแจ๎งในความจริงแหํงชีวิตน้ีวํา \"ภูมิป๎ญญา\" ความคดิ และการแสดงออก เพื่อจะเข๎าใจภูมิป๎ญญาชาวบ๎าน จาเป็นต๎องเข๎าใจความคิดของชาวบ๎านเก่ียวกับ โลก หรือที่เรียกวํา โลกทัศน์ และเก่ียวกับชีวิต หรือท่ีเรียกวํา ชีวทัศน์ สิ่งเหลํานี้เป็นนามธรรม อันเกี่ยวข๎อง สัมพันธ์โดยตรงกับการแสดงออกใน ลักษณะตํางๆ ท่ีเป็นรูปธรรม แนวคิดเรื่องความสมดุลของชีวิต เป็น แนวคิดพื้นฐานของภูมิป๎ญญาชาวบ๎าน การแพทย์แผนไทย หรือท่ีเคยเรียกกันวํา การแพทย์แผนโบราณน้ันมี

หลักการวํา คนมีสุขภาพดี เมื่อรํางกายมีความสมดุลระหวํางธาตุท้ัง 4 คือ ดิน น้า ลม ไฟ คนเจ็บไข๎ได๎ปุวย เพราะธาตุขาดความสมดุล จะมีการปรับธาตุ โดยใช๎ยาสมุนไพร หรือวิธีการอ่ืนๆ คนเป็นไข๎ตัวร๎อน หมอยา พื้นบา๎ นจะให๎ยาเยน็ เพื่อลดไข๎ เปน็ ตน๎ การดาเนินชีวิตประจาวันก็เชํนเดียวกัน ชาวบ๎านเช่ือวํา จะต๎องรักษา ความสมดุลในความสัมพันธ์สามด๎าน คือ ความสัมพันธ์กับคนในครอบครัว ญาติพ่ีน๎อง เพื่อนบ๎านในชุมชน ความสัมพันธ์ที่ดมี หี ลกั เกณฑ์ ท่บี รรพบุรุษได๎สง่ั สอนมา เชํน ลกู ควรปฏิบตั อิ ยํางไรกับพํอแมํ กับญาติพ่ีน๎อง กับ ผ๎ูสูงอายุ คนเฒําคนแกํ กับเพื่อนบ๎าน พํอแมํควรเล้ียงดูลูกอยํางไร ความเอ้ืออาทรตํอกันและกัน ชํวยเหลือ เกื้อกูลกัน โดยเฉพาะในยามทุกข์ยาก หรือมีป๎ญหา ใครมีความสามารถพิเศษก็ใช๎ความสามารถนั้นชํวยเหลือ ผ๎ูอน่ื เชํน บางคนเป็นหมอยา ก็ชวํ ยดแู ลรักษาคนเจ็บปุวยไมํสบาย โดยไมํคิดคาํ รกั ษา มแี ตเํ พยี งการยกครู หรือ การราลึกถึงครูบาอาจารย์ท่ีประสาทวิชามาให๎เทํานั้น หมอยาต๎องทามาหากิน โดยการทานา ทาไรํ เล้ียงสัตว์ เหมือนกบั ชาวบ๎านอื่นๆ บางคนมีความสามารถพเิ ศษด๎านการทามาหากิน กช็ ํวยสอนลกู หลานใหม๎ วี ิชาไปดว๎ ย ความสัมพันธ์ระหวํางคนกับคนในครอบครัว ในชุมชน มีกฎเกณฑ์เป็นข๎อปฏิบัติ และข๎อห๎ามอยําง ชัดเจน มีการแสดงออกทางประเพณี พิธีกรรม และกิจกรรมตํางๆ เชํน การรดน้าดาหัวผู๎ใหญํ การบายศรีสูํ ขวัญ เป็นต๎น ความสัมพันธ์กับธรรมชาติ ผ๎ูคนสมัยกํอนพ่ึงพาอาศัยธรรมชาติแทบทุกด๎าน ตั้งแตํอาหารการ กิน เครอื่ งนงุํ หํม ท่อี ยูอํ าศัย และยารักษาโรค วทิ ยาศาสตร์ และเทคโนโลยียังไมํพัฒนาก๎าวหน๎าเหมือนทุกวันน้ี ยังไมํมีระบบการค๎าแบบสมัยใหมํ ไมํมีตลาด คนไปจับปลาลําสัตว์ เพื่อเป็นอาหารไปวันๆ ตัดไม๎ เพื่อสร๎างบ๎าน และใช๎สอยตามความจาเป็นเทําน้ัน ไมํได๎ทาเพื่อการค๎า ชาวบ๎านมีหลักเกณฑ์ในการใช๎ส่ิงของในธรรมชาติ ไมํ ตัดไม๎อํอน ทาให๎ต๎นไม๎ในปุาขึ้นแทนต๎นที่ถูกตัดไปได๎ตลอดเวลา ชาวบ๎านยังไมํร๎ูจักสารเคมี ไมํใช๎ยาฆําแมลง ฆําหญ๎า ฆําสัตว์ ไมํใช๎ปุ๋ยเคมี ใช๎สิ่งของในธรรมชาติให๎เกื้อกูลกัน ใช๎มูลสัตว์ ใบไม๎ใบ หญ๎าที่เนําเปื่อยเป็นปุ๋ย ทาให๎ดนิ อุดมสมบูรณ์ น้าสะอาด และไมํเหือดแห๎ง ชาวบ๎านเคารพธรรมชาติ เช่ือวํา มีเทพมีเจ๎าสถิตอยํูในดิน น้า ปุา เขา สถานที่ทุกแหํง จะทาอะไรต๎องขออนุญาต และทาด๎วยความเคารพ และพอดี พองาม ชาวบ๎าน รค๎ู ณุ ธรรมชาติ ทไี่ ดใ๎ ห๎ชีวิตแกํตน พิธีกรรมตํางๆ ล๎วนแสดงออกถึงแนวคิดดังกลําว เชํน งานบุญพิธี ที่เก่ียวกับ น้า ข๎าว ปุาเขา รวมถึงสัตว์ บ๎านเรือน เครื่องใช๎ตํางๆ มีพิธีสูํขวัญข๎าว สํูขวัญควาย สํูขวัญเกวียน ทางอีสานมี พธิ แี ฮกนา หรือแรกนา เลย้ี งผีตาแฮก มีงานบุญบา๎ น เพอ่ื เลีย้ งผี หรอื สง่ิ ศักด์สิ ทิ ธปิ์ ระจาหมูํบา๎ น เป็นต๎น ความสัมพันธ์กับส่ิงเหนือธรรมชาติ ชาวบ๎านรู๎วํา มนุษย์เป็นเพียงสํวนเล็กๆ สํวนหน่ึง ของ จักรวาล ซึ่งเต็มไปด๎วยความเร๎นลับ มีพลัง และอานาจ ท่ีเขาไมํอาจจะหาคาอธิบายได๎ ความเร๎นลับดังกลําว รวมถงึ ญาติพ่ีน๎อง และผ๎ูคนที่ลํวงลับไปแล๎ว ชาวบา๎ นยงั สัมพันธก์ บั พวกเขา ทาบุญ และราลึกถึงอยํางสม่าเสมอ ทุกวัน หรือในโอกาสสาคัญๆ นอกนั้นเป็นผีดี ผีร๎าย เทพเจ๎าตํางๆ ตามความเช่ือของแตํละแหํง สิ่งเหลํานี้สิง สถิตอยใํู นส่งิ ตํางๆ ในโลก ในจกั รวาล และอยํูบนสรวงสวรรค์การทามาหากิน แม๎วิถีชีวิตของชาวบ๎านเมื่อกํอนจะดูเรียบงํายกวําทุกวันนี้ และยังอาศัยธรรมชาติ และ แรงงานเป็นหลัก ในการทามาหากิน แตํพวกเขาก็ต๎องใช๎สติป๎ญญา ที่บรรพบุรุษถํายทอดมาให๎ เพ่ือจะได๎อยูํ รอด ท้งั นเ้ี พราะป๎ญหาตาํ งๆ ในอดีตกย็ งั มีไมํนอ๎ ย โดยเฉพาะเมอ่ื ครอบครัวมีสมาชิกมากข้ึน จาเป็นต๎องขยายที่ ทากิน ต๎องหกั รา๎ งถางพง บกุ เบิก พ้ืนที่ทากนิ ใหมํ การปรับพื้นท่ีป๎้นคันนา เพื่อทานา ซึ่งเป็นงานท่ีหนัก การทา ไรํทานา ปลูกพืชเลี้ยงสัตว์ และดูแลรักษาให๎เติบโต และได๎ผล เป็นงานท่ีต๎องอาศัยความรู๎ความสามารถ การ จบั ปลาลาํ สัตวก์ ม็ ีวธิ ีการ บางคนมคี วามสามารถมากร๎ูวํา เวลาไหน ท่ีใด และวิธีใด จะจับปลาได๎ดีที่สุด คนท่ีไมํ เกงํ ก็ต๎องใช๎เวลานาน และไดป๎ ลานอ๎ ย การลาํ สตั วก์ เ็ ชํนเดียวกนั

การจัดการแหลํงน้า เพื่อการเกษตร ก็เป็นความรู๎ความสามารถ ท่ีมีมาแตํโบราณ คนทาง ภาคเหนือรู๎จักบริหารน้า เพื่อการเกษตร และเพ่ือการบริโภคตํางๆ โดยการจัดระบบเหมืองฝาย มีการจัด แบํงป๎นน้ากันตามระบบประเพณีท่ี สืบทอดกันมา มีหัวหน๎าท่ีทุกคนยอมรับ มีคณะกรรมการจัดสรรน้าตาม สดั สํวน และตามพ้ืนท่ีทากิน นบั เป็นความรู๎ท่ีทาให๎ชุมชนตํางๆ ที่อาศัยอยูํใกล๎ลาน้า ไมํวําต๎นน้า หรือปลายน้า ได๎รบั การแบํงป๎นน้าอยาํ งยตุ ธิ รรม ทุกคนได๎ประโยชน์ และอยรูํ วํ มกนั อยาํ งสันติ ชาวบ๎านรู๎จักการแปรรูปผลิตผลในหลายรูปแบบ การถนอมอาหารให๎กินได๎นาน การดองการ หมกั เชนํ ปลาร๎า น้าปลา ผักดอง ปลาเคม็ เนอื้ เคม็ ปลาแหง๎ เนอ้ื แหง๎ การแปรรูปข๎าว ก็ทาได๎มากมายนับร๎อย ชนิด เชํน ขนมตํางๆ แตํละพิธีกรรม และแตํละงานบุญประเพณี มีข๎าวและขนมในรูปแบบไมํซ้ากัน ต้ังแตํ ขนมจีน สังขยา ไปถึงขนมในงานสารท กาละแม ขนมครก และอ่ืนๆ ซึ่งยังพอมีให๎เห็นอยํูจานวนหนึ่ง ใน ป๎จจบุ นั สวํ นใหญปํ รับเปล่ยี นมาเปน็ การผลิตเพอ่ื ขาย หรือเป็นอุตสาหกรรมในครวั เรือน ความรู๎เรื่องการปรุงอาหารก็มีอยูํมากมาย แตํละท๎องถิ่นมีรูปแบบ และรสชาติแตกตํางกันไป มมี ากมายนับร๎อยนับพันชนิด แม๎ในชีวิตประจาวัน จะมีเพียงไมํกี่อยําง แตํโอกาสงานพิธี งาน เล้ียง งานฉลอง สาคญั จะมีการจัดเตรียมอาหารอยํางดี และพิถีพิถัน การทามาหากินในประเพณีเดิมนั้น เป็นทั้งศาสตร์และ ศิลป์ การเตรียมอาหาร การจัดขนม และผลไม๎ ไมํได๎เป็นเพียงเพ่ือให๎รับประทานแล๎วอรํอย แตํให๎ได๎ความ สวยงาม ทาใหส๎ ามารถสัมผัสกบั อาหารน้ัน ไมํเพียงแตํทางปาก และรสชาติของล้ิน แตํทางตา และทางใจ การ เตรียมอาหารเป็นงานศิลปะ ท่ีปรุงแตํด๎วยความตั้งใจ ใช๎เวลา ฝีมือ และความร๎ูความสามารถ ชาวบ๎าน สมยั กํอนสํวนใหญจํ ะทานาเปน็ หลัก เพราะเมอื่ มขี า๎ วแลว๎ ก็สบายใจ อยํางอื่นพอหาได๎จากธรรมชาติ เสร็จหน๎า นาก็จะทางานหัตถกรรม การทอผ๎า ทาเสื่อ เล้ียงไหม ทาเคร่ืองมือ สาหรับจับสัตว์ เคร่ืองมือการเกษตร และ อุปกรณต์ าํ งๆ ทจี่ าเปน็ หรอื เตรียมพ้นื ที่ เพอ่ื การทานาครั้งตอํ ไป หัตถกรรมเป็นทรัพย์สิน และมรดกทางภูมิป๎ญญาท่ีย่ิงใหญํท่ีสุดอยํางหน่ึงของบรรพบุรุษ เพราะเปน็ สอื่ ทถ่ี ํายทอดอารมณ์ ความร๎ูสึก ความคิด ความเชื่อ และคุณคําตํางๆ ที่ส่ังสมมาแตํนมนาน ลายผ๎า ไหม ผา๎ ฝูาย ฝีมอื ในการทออยํางประณีต รูปแบบเครอ่ื งมอื ทส่ี านด๎วยไมไ๎ ผํ และอุปกรณ์ เครื่องใช๎ไม๎สอยตํางๆ เครื่องดนตรี เครื่องเลํน ส่ิงเหลําน้ีได๎ถูกบรรจงสร๎างขึ้นมา เพ่ือการใช๎สอย การทาบุญ หรือการอุทิศให๎ใครคน หนึง่ ไมํใชเํ พ่ือการคา๎ ขาย ชาวบา๎ นทามาหากินเพียงเพือ่ การยังชพี ไมํไดท๎ าเพ่ือขาย มีการนาผลิตผลสํวนหนึ่ง ไปแลกสิ่งของท่ีจาเป็น ท่ีตนเองไมํมี เชํน นาข๎าวไป แลกเกลือ พริก ปลา ไกํ หรือเสื้อผ๎า การขายผลิตผลมีแตํ เพียงสํวนน๎อย และเมื่อมีความจาเป็นต๎องใช๎เงิน เพ่ือเสียภาษีให๎รัฐ ชาวบ๎านนาผลิตผล เชํน ข๎าว ไปขายใ น เมืองใหก๎ ับพอํ คา๎ หรือขายใหก๎ ับพอํ คา๎ ทอ๎ งถนิ่ เชนํ ทางภาคอีสาน เรียกวํา \"นายฮ๎อย\" คนเหลํานี้จะนาผลิตผล บางอยาํ ง เชํน ข๎าว ปลารา๎ ววั ควาย ไปขายในทไ่ี กลๆ ทางภาคเหนอื มพี อํ คา๎ ววั ตํางๆ เป็นต๎น แมว๎ ําความร๎ูเรือ่ งการคา๎ ขายของคนสมัยกํอน ไมํอาจจะนามาใช๎ในระบบตลาดเชํนป๎จจุบันได๎ เพราะสถานการณ์ได๎เปล่ียนแปลงไปอยํางมาก แตํการค๎าท่ีมีจริยธรรมของพํอค๎าในอดีต ท่ีไมํได๎หวังแตํเพียง กาไร แตคํ านึงถึงการชวํ ยเหลือ แบํงปน๎ กนั เป็นหลกั ยงั มีคุณคาํ สาหรบั ปจ๎ จบุ ัน นอกนั้น ในหลายพื้นที่ในชนบท ระบบการแลกเปลีย่ นส่งิ ของยังมีอยํู โดยเฉพาะในพนื้ ที่ยากจน ซ่งึ ชาวบา๎ นไมํมีเงินสด แตํมีผลิตผลตํางๆ ระบบ การแลกเปล่ียนไมํได๎ยึดหลักมาตราชั่งวัด หรือการตีราคาของสิ่งของ แตํแลกเปลี่ยน โดยการคานึงถึง สถานการณ์ของผ๎ูแลกท้ังสองฝุาย คนท่ีเอาปลาหรือไกํมาขอแลกข๎าว อาจจะได๎ข๎าวเป็นถัง เพราะเจ๎าของข๎าว คานงึ ถึงความจาเปน็ ของครอบครวั เจา๎ ของไกํ ถา๎ หากตรี าคาเปน็ เงนิ ข๎าวหนง่ึ ถงั ยํอมมคี าํ สูงกวําไกหํ นง่ึ ตัว

การอย่รู ่วมกันในสังคม การอยํูรํวมกันในชุมชนด้ังเดิมนั้น สํวนใหญํจะเป็นญาติพี่น๎องไมํกี่ตระกูล ซ่ึงได๎อพยพย๎ายถ่ินฐานมา อยํู หรือสืบทอดบรรพบุรุษจนนับญาติกันได๎ทั้งชุมชน มีคนเฒําคนแกํท่ีชาวบ๎านเคารพนับถือเป็นผ๎ูนาหน๎าที่ ของผู๎นา ไมํใชํการส่ัง แตํเป็นผู๎ให๎คาแนะนาปรึกษา มีความแมํนยาในกฎระเบียบประเพณีการดาเนินชีวิต ตัดสินไกลํเกล่ีย หากเกิดความขัดแย๎ง ชํวยกันแก๎ไขป๎ญหาตํางๆ ที่เกิดข้ึน ป๎ญหาในชุมชนก็มีไมํน๎อย ป๎ญหา การทามาหากิน ฝนแล๎ง น้าทํวม โรคระบาด โจรลักวัวควาย เป็นต๎น นอกจากน้ัน ยังมีป๎ญหาความขัดแย๎ง ภายในชุมชน หรือระหวํางชุมชน การละเมิดกฎหมาย ประเพณี สํวนใหญํจะเป็นการ \" ผิดผี\" คือ ผีของบรรพ บุรุษ ผ๎ูซึ่งได๎สร๎างกฎเกณฑ์ตํางๆ ไว๎ เชํน กรณีท่ีชายหนํุมถูกเน้ือต๎องตัวหญิงสาวท่ียังไมํแตํงงาน เป็นต๎น หาก เกิดการผิดผีขึ้นมา ก็ต๎องมีพิธีกรรมขอขมา โดยมีคนเฒําคนแกํเป็นตัวแทนของบรรพบุรุษ มีการวํากลําวสั่ง สอน และชดเชยการทาผิดนน้ั ตามกฎเกณฑ์ที่วางไว๎ ชาวบ๎านอยูํอยํางพึ่งพาอาศัยกัน ยามเจ็บไข๎ได๎ปุวย ยาม เกิดอุบัติเหตุเภทภัย ยามท่ีโจรขโมยวัวควายข๎าวของ การชํวยเหลือกันทางานท่ีเรียกกันวํา การลงแขก ทั้ง แรงกายแรงใจท่ีมีอยํูก็จะแบํงป๎นชํวยเหลือ เอื้ออาทรกัน การ แลกเปลี่ยนส่ิงของ อาหารการกิน และอ่ืนๆ จึง เก่ียวข๎องกับวิถีของชุมชน ชาวบ๎านชํวยกันเก็บเก่ียวข๎าว สร๎างบ๎าน หรืองานอื่นท่ีต๎องการคนมากๆ เพื่อจะได๎ เสร็จโดยเร็ว ไมมํ ีการจา๎ ง กรณตี วั อยํางจากการปลกู ขา๎ วของชาวบา๎ น ถา๎ ปีหนึง่ ชาวนาปลูกข๎าวได๎ผลดี ผลิตผลท่ีได๎จะใช๎เพื่อการ บรโิ ภคในครอบครวั ทาบุญทวี่ ัด เผอื่ แผใํ ห๎พน่ี อ๎ งทข่ี าดแคลน แลกของ และเก็บไว๎ เผ่ือวําปีหน๎าฝนอาจแล๎ง น้า อาจทํวม ผลิตผล อาจไมํดีในชุมชนตํางๆ จะมีผ๎ูมีความรู๎ความสามารถหลากหลาย บางคนเกํงทางการรักษา โรค บางคนทางการเพาะปลูกพืช บางคนทางการเลี้ยงสัตว์ บางคนทางด๎านดนตรีการละเลํน บางคนเกํง ทางด๎านพิธีกรรม คนเหลําน้ีตํางก็ใช๎ความสามารถ เพ่ือประโยชน์ของชุมชน โดยไมํถือเป็นอาชีพ ท่ีมี คาํ ตอบแทน อยํางมากกม็ ี \"คาํ คร\"ู แตเํ พยี งเล็กน๎อย ซึ่งปกติแล๎ว เงินจานวนนั้น ก็ใช๎สาหรับเคร่ืองมือประกอบ พธิ กี รรม หรอื เพื่อทาบุญท่วี ัด มากกวาํ ทห่ี มอยา หรอื บคุ คลผูน๎ ้นั จะเกบ็ ไว๎ใช๎เอง เพราะแท๎ที่จริงแล๎ว \"วิชา\" ท่ี ครูถํายทอดมาให๎แกํลูกศิษย์ จะต๎องนาไปใช๎ เพ่ือประโยชน์แกํสังคม ไมํใชํเพ่ือผลประโยชน์สํวนตัว การตอบ แทนจึงไมํใชํเงินหรือส่ิงของเสมอไป แตํเป็นการชํวยเหลือเกื้อกูลกันโดยวิธีการตําง ๆ ด๎วยวิถีชีวิตเชํนน้ี จึงมี คาถาม เพอ่ื เป็นการสอนคนรํุนหลังวาํ ถา๎ หากคนหน่งึ จบั ปลาชํอนตัวใหญํได๎หน่ึงตัว ทาอยํางไรจึงจะกินได๎ท้ังปี คนสมัยนอี้ าจจะบอกวาํ ทาปลาเคม็ ปลารา๎ หรอื เกบ็ รกั ษาดว๎ ยวิธีการตํางๆ แตํคาตอบท่ีถูกต๎อง คือ แบํงป๎นให๎ พ่ีนอ๎ ง เพอื่ นบ๎าน เพราะเมือ่ เขาได๎ปลา เขาก็จะทากับเราเชํนเดียวกัน ชีวิตทางสังคมของหมูํบ๎าน มีศูนย์กลาง อยทํู ว่ี ัด กจิ กรรมของสํวนรวม จะทากนั ที่วดั งานบญุ ประเพณตี าํ งๆ ตลอดจนการละเลํนมหรสพ พระสงฆเ์ ป็น ผ๎ูนาทางจติ ใจ เป็นครูทส่ี อนลูกหลานผชู๎ าย ซ่ึงไปรับใช๎พระสงฆ์ หรอื \"บวชเรียน\" ทั้งนเ้ี พราะกํอนน้ียงั ไมํมี โรงเรียน วดั จึงเป็นทงั้ โรงเรยี น และหอประชมุ เพื่อกิจกรรมตาํ งๆ ตํอเม่ือโรงเรียนมีขึ้น และแยกออกจากวดั บทบาทของวัด และของพระสงฆ์ จงึ เปล่ียนไป งานบญุ ประเพณีในชุมชนแตํกํอนมีอยูํทุกเดือน ตํอมาก็ลดลงไป หรือสองสามหมํูบ๎านรํวมกันจัด หรือ ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกัน เชํน งานเทศน์มหาชาติ ซ่ึงเป็นงานใหญํ หมูํบ๎านเล็กๆ ไมํอาจจะจัดได๎ทุกปี งาน เหลาํ นม้ี ที ้งั ความเช่ือ พิธีกรรม และความสนุกสนาน ซง่ึ ชุมชนแสดงออกรวํ มกนั

ระบบคุณค่า ความเช่ือในกฎเกณฑ์ประเพณี เป็นระเบียบทางสังคมของชุมชนดั้งเดิม ความเช่ือนี้เป็นรากฐานของ ระบบคุณคําตํางๆ ความกตัญํูร๎ูคุณตํอพํอแมํ ปุูยําตายาย ความเมตตาเอ้ืออาทรตํอผ๎ูอื่น ความเคารพตํอส่ิง ศักดส์ิ ทิ ธ์ใิ นธรรมชาตริ อบตวั และในสากลจักรวาล ความเช่ือ \"ผี\" หรือส่ิงศักดิ์สิทธิ์ในธรรมชาติ เป็นท่ีมาของการดาเนินชีวิต ทั้งของสํวนบุคคล และของ ชมุ ชน โดยรวมการเคารพในผีปุูตา หรือผีปุูยํา ซึ่งเป็นผีประจาหมูํบ๎าน ทาให๎ชาวบ๎านมีความเป็นหนึ่งเดียวกัน เปน็ ลูกหลานของปูตุ าคนเดียวกนั รักษาปุาท่มี บี า๎ นเลก็ ๆ สาหรับผี ปลูกอยูํติดหมํูบ๎าน ผีปุา ทาให๎คนตัดไม๎ด๎วย ความเคารพ ขออนุญาตเลือกตัดตน๎ แกํ และปลกู ทดแทน ไมํท้งิ สิ่งสกปรกลงแมํน้า ด๎วยความเคารพในแมํคงคา กนิ ข๎าวดว๎ ยความเคารพ ในแมํโพสพ คนโบราณกนิ ข๎าวเสรจ็ จะไหว๎ข๎าว พิธีบายศรีสูํขวัญ เป็นพิธีรื้อฟื้น กระชับ หรือสร๎างความสัมพันธ์ระหวํางผ๎ูคน คนจะเดินทางไกล หรือ กลับจากการเดินทาง สมาชิกใหมํ ในชุมชน คนปุวย หรือกาลังฟื้นไข๎ คนเหลําน้ีจะได๎รับพิธีสํูขวัญ เพ่ือให๎เป็น สริ มิ งคล มีความอยํูเยน็ เปน็ สขุ นอกน้ันยงั มพี ิธีสบื ชะตาชวี ิตของบุคคล หรือของชุมชน นอกจากพิธีกรรมกับคนแล๎ว ยังมีพิธีกรรมกับสัตว์และธรรมชาติ มีพิธีสูํขวัญข๎าว สูํขวัญควาย สํูขวัญ เกวียน เป็นการแสดงออกถึงการขอบคณุ การขอขมา พิธดี งั กลําวไมํได๎มีความหมายถึงวํา ส่ิงเหลํานี้มีจิต มีผีใน ตัวมันเอง แตํเป็นการแสดงออก ถึงความสัมพันธ์กับจิตและส่ิงศักด์ิสิทธิ์ อันเป็นสากลในธรรมชาติทั้งหมด ทา ให๎ผ๎ูคนมีความสัมพันธ์อันดีกับทุกสิ่ง คนขับแท็กซ่ีในกรุงเทพฯ ท่ีมาจากหมํูบ๎าน ยังซ้ือดอกไม๎ แล๎วแขวนไว๎ที่ กระจกในรถ ไมํใชํเพื่อเซํนไหว๎ผีในรถแท็กซ่ี แตํเป็นการราลึกถึงส่ิงศักดิ์สิทธิ์ ใน สากลจักรวาล รวมถึงที่สิงอยูํ ในรถคันนั้น ผู๎คนสมัยกํอนมีความสานึกในข๎อจากัดของตนเอง ร๎ูวํา มนุษย์มีความอํอนแอ และเปราะบาง หากไมํรักษาความสัมพันธ์อันดี และไมํคงความสมดุลกับธรรมชาติรอบตัวไว๎ เขาคงไมํสามารถมีชีวิตได๎อยําง เป็นสุข และยืนนาน ผู๎คนทั่วไปจึงไมํมีความอวดกล๎าในความสามารถของตน ไมํท๎าทายธรรมชาติ และสิ่ง ศกั ดิ์สทิ ธ์ิ มีความอํอนน๎อมถํอมตน และรักษากฎระเบยี บประเพณีอยาํ งเครงํ ครดั ชีวิตของชาวบ๎านในรอบหนึ่งปี จึงมีพิธีกรรมทุกเดือน เพ่ือแสดงออกถึงความเชื่อ และความสัมพันธ์ ระหวํางผู๎คนในสังคม ระหวํางคนกับธรรมชาติ และระหวํางคนกับสิ่งศักดิ์สิทธ์ิตํางๆ ดังกรณีงานบุญประเพณี ของชาวอีสานที่เรียกวํา ฮีตสิบสอง คือ เดือนอ๎าย (เดือนท่ีหน่ึง) บุญเข๎ากรรม ให๎พระภิกษุเข๎าปริวาสกรรม เดือนยี่ (เดือนที่สอง) บุญคูณลาน ให๎นาข๎าวมากองกันที่ลาน ทาพิธีกํอนนวด เดือนสาม บุญข๎าวจ่ี ให๎ถวาย ข๎าวจ่ี (ขา๎ วเหนยี วปน้๎ ชุบไขํทาเกลือนาไปยํางไฟ) เดือนส่ี บุญพระเวส ให๎ฟ๎งเทศน์มหาชาติ คือ เทศน์เรื่องพระ เวสสันดรชาดก เดือนห๎า บุญสรงน้า หรือบุญสงกรานต์ ให๎สรงน้าพระ ผู๎เฒําผู๎แกํ เดือนหก บุญบ้ังไฟ บูชา พญาแถน ตามความเชื่อเดิม และบุญวิสาขบูชา ตามความเชื่อของชาวพุทธ เดือนเจ็ด บุญซาฮะ (บุญชาระ) ให๎บนบานพระภูมิเจ๎าที่ เลี้ยงผีปูุตา เดือนแปด บุญเข๎าพรรษา เดือนเก๎า บุญข๎าวประดับดิน ทาบุญอุทิศสํวน กศุ ลให๎ญาตพิ ่นี ๎องผลู๎ ํวงลบั เดือนสิบ บุญขา๎ วสาก ทาบุญเชํนเดือนเกา๎ รวมใหผ๎ ีไมมํ ีญาติ (ภาคใต๎มีพิธีคล๎ายกัน คอื งานพธิ เี ดือนสิบ ทาบญุ ให๎แกํบรรพบรุ ุษผล๎ู วํ งลบั ไปแล๎ว แบํงข๎าวปลาอาหารสํวนหน่ึงให๎แกํผีไมํมีญาติ พวก เด็กๆ ชอบแยงํ กันเอาของที่แบํงให๎ผีไมมํ ญี าตหิ รือเปรต เรียกวาํ \"การชิงเปรต\") เดือนสบิ เอด็ บุญออกพรรษา เดือนสิบสอง บญุ กฐนิ จดั งานกฐิน และลอยกระทง ภูมปิ ญ๎ ญาชาวบ๎านในสังคมปจ๎ จุบัน ภมู ปิ ญ๎ ญาชาวบ๎านไดก๎ ํอเกดิ และสืบทอดกันมาในชุมชนหมํูบ๎าน เม่ือหมํูบ๎านเปล่ียนแปลงไปพร๎อมกับสังคมสมัยใหมํ ภูมิป๎ญญาชาวบ๎านก็มีการปรับตัวเชํนเดียวกัน ความรู๎

จานวนมากไดส๎ ูญหายไป เพราะไมํมีการปฏบิ ัตสิ บื ทอด เชํน การรักษาพ้ืนบ๎านบางอยําง การใช๎ยาสมุนไพรบาง ชนิด เพราะหมอยาท่ีเกํงๆ ได๎เสียชีวิต โดยไมํได๎ถํายทอดให๎กับคนอื่น หรือถํายทอด แตํคนตํอมาไมํได๎ปฏิบัติ เพราะชาวบ๎านไมํนิยมเหมือนเมื่อกํอน ใช๎ยาสมัยใหมํ และไปหาหมอ ท่ีโรงพยาบาล หรือคลินิก งํายกวํา งาน หันตถกรรม ทอผ๎า หรือเครื่องเงิน เครื่องเขิน แม๎จะยังเหลืออยูํไมํน๎อย แตํก็ได๎ถูกพัฒนาไปเป็นการค๎า ไมํ สามารถรักษาคุณภาพ และฝีมือแบบดั้งเดิมไว๎ได๎ ในการทามาหากินมีการใช๎เทคโนโลยีทันสมัย ใช๎รถไถแทน ควาย รถอแี ต๋นแทนเกวียน การลงแขกทานา และปลูกสร๎างบ๎านเรือน ก็เกือบจะหมดไป มีการจ๎างงานกันมากข้ึน แรงงานก็หา ยากกวําแตกํ ํอน ผู๎คนอพยพยา๎ ยถนิ่ บ๎างกเ็ ขา๎ เมอื ง บ๎างก็ไปทางานท่ีอ่ืน ประเพณีงานบุญ ก็เหลือไมํมาก ทาได๎ ก็ตอํ เม่อื ลกู หลานท่จี ากบ๎านไปทางาน กลับมาเยี่ยมบ๎านในเทศกาลสาคัญๆ เชํน ปีใหมํ สงกรานต์ เข๎าพรรษา เป็นตน๎ สังคมสมยั ใหมมํ ีระบบการศึกษาในโรงเรียน มีอนามัย และโรงพยาบาล มีโรงหนัง วิทยุ โทรทัศน์ และ เครื่องบันเทิงตํางๆ ทาให๎ชีวิตทางสังคมของชุมชนหมํูบ๎านเปลี่ยนไป มีตารวจ มีโรงมีศาล มีเจ๎าหน๎าที่ราชการ ฝุายปกครอง ฝาุ ยพัฒนา และอ่นื ๆ เขา๎ ไปในหมํบู ๎าน บทบาทของวัด พระสงฆ์ และคนเฒําคนแกํเร่ิมลดน๎อยลง การทามาหากินก็เปลี่ยนจากการทาเพื่อยังชีพไปเป็นการผลิตเพ่ือการขาย ผู๎คนต๎องการเงิน เพ่ือซ้ือเครื่อง บริโภคตํางๆ ทาให๎ส่ิงแวดล๎อม เปลี่ยนไป ผลิตผลจากปุาก็หมด สถานการณ์เชํนนี้ทาให๎ผู๎นาการพัฒนาชุมชน หลายคน ที่มีบทบาทสาคัญในระดับจังหวัด ระดับภาค และระดับประเทศ เร่ิมเห็นความสาคัญของภูมิป๎ญญา ชาวบา๎ น หนํวยงานทางภาครัฐ และภาคเอกชน ให๎การสนับสนุน และสํงเสริมให๎มีการอนุรักษ์ ฟื้นฟู ประยุกต์ และค๎นคิดสง่ิ ใหมํ ความรู๎ใหมํ เพื่อประโยชน์สุขของสังคม

ความเปน็ มาและความสาคัญของการเลย้ี งหมู หมเู ปน็ สตั ว์เลย้ี งที่ให้เนือ้ สาหรับมนุษย์ใชบ้ รโิ ภคทสี่ าคัญมากประเภทหนึ่ง และมีการเล้ียงกันอยู่ทั่วไป ทั้งนี้เพราะหมูเป็นสัตว์ท่ีเลี้ยงดูง่าย เน่ืองจากกินอาหารได้สารพัดอย่าง ขยายพันธุ์ได้รวดเร็ว และท่ีสาคัญคือ เนื้อหมูมีรสดี อ่อนนุ่ม น่ารับประทาน มีหลายประเทศทางแถบยุโรป และอเมริกา ท่ีเล้ียงหมูมาก จนเป็น อุตสาหกรรม สามารถส่งเนื้อหมูเป็นสินค้าออกจาหน่ายต่างประเทศ ทารายได้ให้ประเทศเหล่านั้นเป็นจานวน มาก เน้ือหมูที่ส่งออกจาหน่ายมีทั้งที่เป็นเน้ือสด โดยแช่ไว้ในห้องแช่แข็ง และเน้ือท่ีแปรรูปแล้ว เช่น เนื้อ กระป๋อง แฮม เบคอน และไส้กรอก เป็นต้น สาหรับประเทศไทย เน้ือหมูนับว่า เป็นอาหาร ประเภทเนื้อสัตว์ท่ี มีความสาคญั เป็นอยา่ งย่ิง เพราะประชาชนสว่ นใหญ่นิยมบรโิ ภคเนอ้ื หมมู ากกว่าเนอ้ื สตั วอ์ ่นื ๆ อาหารแทบทุก มือ้ มักจะมเี น้ือหมเู ป็นสว่ นประกอบอยูเ่ สมอ ประวัตแิ ละวิวัฒนาการของหมู หมเู ปน็ สัตวเ์ ลยี้ งท่มี คี วามสมั พันธ์กบั มนุษย์มาเปน็ เวลาช้านาน มนษุ ย์ได้นามาเลี้ยงตัง้ แต่เม่ือใดไม่มี ใครทราบ เพียงแต่ทราบวา่ ไดน้ ามาเล้ียงหลายพันปีมาแล้ว จนี เปน็ ประเทศแรกทนี่ าหมูมาเล้ยี งเปน็ สตั วเ์ ลีย้ ง ตอ่ มาก็คือ ประเทศองั กฤษ เชื่อกันว่า หมพู ันธ์ตุ า่ งๆ ท่ีเล้ียงกนั อยู่ในปัจจุบัน รวมทั้งหมูพนั ธุพ์ ื้นเมืองของบ้าน เรา มีบรรพบุรุษมาจากหมปู ่า 2 พวก คอื หมูปา่ ทางแถบยโุ รปพวกหนึ่ง และอีกพวกหน่ึงเป็นหมูปา่ แถบเอเชีย ตะวนั ออก และตะวนั ออกเฉยี งใต้ ววิ ฒั นาการของหมู ไดเ้ จริญรอยตามความเจริญของมนษุ ยม์ าเป็นเวลาชา้ นาน ดังนน้ั ลักษณะพันธขุ์ องหมู จึงมกั เปลีย่ นไปตามความตอ้ งการของมนุษย์ ลักษณะของอาหารที่ใช้เล้ยี ง ตอ่ มาไดเ้ ป็นไปตามความประสงค์หรอื ความคดิ ของนักผสมพนั ธ์ุ แหล่งผลิตหมูในโลก หมูเป็นสัตว์ท่ีกินอาหารทุกชนิด เราสามารถใช้ผลพลอยได้ของผลิตผลจากโรงงาน และบ้านเรือน มา เล้ยี งหมไู ด้ เช่น กากถ่ัวเหลือง กากถั่วลิสง และเศษผัก เป็นต้น ดังนั้นในท้องท่ีใดก็ตาม ซ่ึงมีอาหารของมนุษย์ เหลอื อยูเ่ ปน็ จานวนมาก และมรี าคาถูก หรือท่ีทม่ี ีผลพลอยได้ที่หาได้ง่าย และมีปริมาณค่อนข้างมาก ท้องท่ีน้ัน ก็จะมีการเล้ียงหมูกันเป็นจานวนมาก จานวนหมูในท้องที่ใดท้องที่หนึ่ง ยังข้ึนอยู่กับปัจจัยหลายประการ เช่น ภูมิอากาศในเขตพื้นท่ีแห้งแล้งของโลก จะมีหมูเป็นจานวนน้อย ความเช่ือของสังคม และศาสนา ก็เป็นอีก สาเหตุหนึ่ง ในประเทศท่ีมีพลเมืองนับถือศาสนาอิสลามเป็นส่วนใหญ่ จะมีหมูเป็นจานวนน้อย เพราะศาสนา อิสลามถือว่า หมูเป็นสัตว์ที่สกปรก จึงมีข้อบัญญัติห้ามเลี้ยง ห้ามแตะต้อง และห้ามรับประทานเน้ือหมู ชาว มุสลมิ จึงไม่เล้ยี งหมู การเล้ียงหมูในประเทศไทย การเลยี้ งหมูของเกษตรกรไทย แตเ่ ดิมเปน็ การเล้ยี งแบบหลังบ้านเป็นส่วนใหญ่ คอื ผู้เล้ยี งหมูประเภท นี้เลี้ยงไว้โดยให้กินเศษอาหารท่ีมีอยู่ หรือท่ีเก็บรวบรวมได้ตามบ้าน ดังนั้น ผู้เลี้ยงประเภทน้ีจึงเล้ียงหมูเป็น จานวนมากไม่ได้ จะเลีย้ งไวเ้ พียงบ้านละ 2-3 ตวั เท่าน้ัน ผู้เลย้ี งเปน็ อาชีพจริงๆ มนี ้อยมาก หรือแทบจะไม่มีเลย ผ้เู ลย้ี งไว้เปน็ จานวนมากๆ ได้ มักทาอาชพี อืน่ ๆ อยู่ด้วย เชน่ เป็นเจ้าของโรงสีเป็นต้น ผู้เลี้ยงหมูแต่ก่อนมักเป็น

ชาวจีนรองลงมากเ็ ป็นผู้เล้ียงชาวไทยเชื้อสายจีน วธิ ีการเลีย้ งหมแู ตเ่ ดมิ มายังลา้ สมยั อยู่มาก จะเหน็ ได้ว่า ผู้เล้ียง บางคนยังไมม่ ีคอกเลี้ยงหมเู ลย หมูจึงถูกปล่อยให้กินอยู่ตามลานบ้าน ใต้ถุนเรือน หรือตามทุ่ง หรือผูกติดไว้กับ โคนเสาใตถ้ ุนบา้ น เป็นต้น ส่วนที่ดีข้ึนมาหน่อยก็มีคอกเล้ียง แต่พ้ืนคอกก็ยังเป็นพ้ืนดินอยู่น่ันเอง พื้นคอกท่ีทา ดว้ ยไมแ้ ละคอนกรีตมีน้อยมาก อาหารทีใ่ ชเ้ ลย้ี งหมแู ต่เดิม นอกจากเศษอาหารตามบ้านแล้ว อาหารหลักที่ใช้ก็ คือ ราข้าว และหยวกกล้วย นามาห่ันเป็นช้ินบางๆ แล้วตาให้ละเอียดอีกทีหนึ่ง นอกจากน้ีอาจมีผักหญ้าท่ี ขนึ้ อยู่ตามธรรมชาติ เช่น จอก ผักตบชวา ผักบุ้ง สาหร่าย และผักขม เป็นต้น นามาสับเป็นช้ินเล็ก ๆ ผสมกับ ราข้าว และปลายข้าวทต่ี ม้ สกุ แลว้ เตมิ นา้ ลงในอาหารท่ผี สมแลว้ นี้ ในปริมาณทพี่ อเหมาะ แล้วจึงใหห้ มกู นิ หมู ท่เี ล้ียงในสมยั ก่อนเปน็ หมูพันธุพ์ ื้นเมือง หมูเหล่านีม้ ขี นาดตัวเล็ก และเจรญิ เตบิ โตชา้ เนือ่ งจากไม่มใี ครสนใจ ปรับปรงุ พนั ธุใ์ ห้ดขี นึ้ หมูพนั ธุ์พนื้ เมืองจงึ ถูกปล่อยใหผ้ สมพันธ์กุ ันเอง โดยไม่มกี ารคดั เลือก นอกจากนี้ ผ้เู ล้ียง มกั จะคดั หมตู วั ท่ีโตเร็วออกขายเอาเงนิ ไวก้ ่อน จึงเหลือแต่หมทู ่ีลกั ษณะไมด่ นี ามาใช้ทาพนั ธต์ุ ่อไป (ทมี่ า : http://kanchanapisek.or.th) ปจั จบุ ันการเล้ียงหมูนบั วา่ ก้าวหนา้ กว่าแตก่ ่อนมาก การเล้ียงดู ตลอดจนการปรับปรงุ พนั ธุ์ มี การศกึ ษา และพัฒนาอยตู่ ลอดเวลา แต่เดิมหมใู ห้ลกู ได้ปีละหนง่ึ คร้งั ลูกท่ใี ห้แตล่ ะครั้งก็ไม่แน่นอน บางคร้ังก็ น้อย บางครงั้ ก็มาก ครัง้ ใดท่ใี หล้ กู มาก อตั ราการตายของลูกก็จะสูง ลูกทคี่ ลอดออกมาแลว้ ต้องใช้เวลาเลยี้ ง นานนับปี จึงส่งขายได้ ส่วนปัจจบุ ัน หมูสามารถให้ลูกไดถ้ ึง 5 ครอกใน ระยะเวลา 2 ปี แต่ละครอกมีลูกหมู หลายตวั อัตราการเล้ยี งให้อยู่รอดกส็ ูง ลกู หมูหลังคลอดใชร้ ะยะเวลาเลี้ยงไป จนถงึ นา้ หนักสง่ ตลาดเพียง 5 เดอื นกว่าเท่านน้ั นอกจากนี้ ประสทิ ธภิ าพในการเปลี่ยนสารอาหารของร่างกายหมใู นปัจจบุ ัน สงู กวา่ แต่ก่อน มาก โดยสามารถเปลยี่ นอาหารทีก่ นิ เข้าไปประมาณ 2.5 - 3 กโิ ลกรัม เปน็ เนื้อได้ 1 กโิ ลกรัม ซงึ่ แตเ่ ดมิ ต้องใช้ อาหาร 5-6 กโิ ลกรัม จึงจะได้เน้อื 1 กโิ ลกรมั

(ที่มา : http://kanchanapisek.or.th) แหลง่ ท่มี ีการเล้ยี งหมูกนั มากในประเทศไทย ได้แก่ แถบบรเิ วณภาคกลางของประเทศ โดยเฉพาะที่ จังหวดั นครปฐม ราชบุรี ชลบรุ ี สุพรรณบุรี และฉะเชิงเทรา เปน็ ตน้ หมทู เี่ ลีย้ งทางแถบภาคกลางน้ี จะไม่มีพนั ธ์ุ พ้ืนเมืองเลย เป็นหมูพนั ธต์ุ ่างประเทศทั้งหมด หมูพนั ธ์ุต่างประเทศทน่ี ิยมเล้ยี งกนั ได้แก่ พันธ์แุ ลนด์เรซ พนั ธุ์ ลาร์จไวต์ พนั ธุ์ดูรอ็ ก และหมูพนั ธลุ์ ูกผสมตา่ งๆ เป็นต้น ประเภทและพันธ์หุ มู หมทู เี่ ลี้ยงในปจั จบุ ันมอี ย่หู ลายพันธ์ุ รปู รา่ งลกั ษณะของหมเู กิดจากการผสมพนั ธุ์ และการคัดเลือก พนั ธุ์ตามความตอ้ งการของนักผสมพันธ์ุ และผู้บริโภค ตลอดจนอาหารท่ใี ช้เล้ยี งดู ถา้ จัดแบง่ หมตู ามรูปร่าง ลักษณะ และคุณภาพของเนื้อแล้ว จะแบ่งออกเปน็ 3 ประเภท คอื 1. ประเภทมนั 2. ประเภทเนือ้ 3. ประเภทเบคอน 1. หมูประเภทมัน หมูประเภทนมี้ ีลักษณะอ้วนเต้ีย ลาตัวหนาแต่ส้นั สะโพกเล็ก มีมันมาก มีเน้อื แดง น้อย หมปู ระเภทมันมขี นาดเลก็ เจริญเตบิ โตชา้ และกินอาหารเปลือง สมยั ก่อนคนนยิ มเลี้ยงหมูประเภทนกี้ นั มาก เพราะต้องใช้มันหมใู นการประกอบอาหาร ปจั จบุ ันเรานิยมบริโภคนา้ มันพืชแทน ความนิยมในการใช้ นา้ มนั หมูจึงลดลงอย่างมาก ตัวอย่างพันธหุ์ มูท่จี ัดไว้ในหมปู ระเภทมนั ได้แก่ หมูพันธพุ์ น้ื เมอื ง ท้ังทีเ่ ป็นพันธุ์ ด้งั เดิมของไทย เช่น พนั ธุ์ราด พันธพ์ุ วง ฯลฯ และท่ีมถี ิ่นด้ังเดมิ จากประเทศจีน คือ พนั ธไุ์ หหลา 2. หมูประเภทเนื้อ หมูประเภทน้ีมีคณุ สมบตั ิอยู่กง่ึ กลางระหวา่ งหมปู ระเภทมนั และเบคอน ดังน้ัน หมปู ระเภทเน้ือลาตัวจึงยาวกว่าประเภทมัน แต่ไมย่ าวมากนัก มสี ่วนไหล่ และสะโพกใหญ่อวบ ลาตวั หนาและ ลึก หลงั โค้งพองาม หมปู ระเภทนีม้ ีขนึ้ โดยวธิ กี ารผสมพันธุ์ และคัดเลือกพนั ธุ์ให้มีเน้ือแดงมากขนึ้ แตม่ ันลดลง เจรญิ เติบโตเร็วและมีประสิทธิภาพในการเปลย่ี นอาหารเป็นเนอื้ ก็ดีขึ้น ตวั อยา่ งหมูประเภทนคี้ อื หมูพันธดุ์ ูรอ็ ก พันธุ์แฮมเชียร์ เป็นตน้ 3. หมูประเภทเบคอน หมปู ระเภทนมี้ ีขนาดใหญ่ ผอม ลาตัวยาวกว่าประเภทอ่ืนๆ แต่คอ่ นขา้ งบาง

กระดูกใหญ่ ขายาว สะโพกเล็ก เป็นหมูทเ่ี ปน็ หนมุ่ เปน็ สาวชา้ หมูประเภทเบคอนมีเนื้อสามชัน้ เหมาะสาหรบั ทาหมเู ค็ม ตามกรรมวิธขี องชาวต่างประเทศ เรียกว่า เบคอน ไดแ้ ก่ หมูพนั ธุแ์ ลนด์เรซ และพันธ์ุลารจ์ ไวต์ เปน็ ตน้ พนั ธ์หุ มใู นประเทศไทย 1. หมูพันธุพ์ ้ืนเมอื ง หมูพันธพุ์ ื้นเมืองปัจจุบันมจี านวนค่อนขา้ งน้อยมาก จะพบในบางท้องถ่ินเท่านน้ั ส่วนใหญม่ ักจะไดร้ ับการผสมพันธ์ุจากหมูพันธุ์ต่างประเทศ เนอ่ื งจากไม่ได้รับการปรบั ปรงุ หรอื คัดเลือกใหเ้ ปน็ หมูพนั ธท์ุ ่ีดี หมูพันธุ์พน้ื เมืองจึงมีลกั ษณะ และคุณสมบตั โิ ดยทว่ั ไปเลวลง คอื มีขนาดเล็ก เตบิ โตช้า สามารถ เปลย่ี นอาหารไป เป็นเนื้อไดน้ ้อย คุณภาพค่อนขา้ งตา่ คือ มีเนือ้ แดงน้อย มนั มาก ลาตัวสัน้ หนงั แอ่น สะโพก และไหลเ่ ล็ก หมูพนั ธุ์พน้ื เมอื งแบง่ ออกเปน็ พันธ์ตุ า่ งๆ ไดด้ งั น้ี (ที่มา : http://kanchanapisek.or.th) หมูพนั ธุ์พืน้ เมือง 1.1 หมพู นั ธุไ์ หหลา หมูพันธนุ์ ี้มถี ่ินกาเนิดทางตอนใต้ของประเทศจีน พบในภาคกลาง และ ภาคใต้ของประเทศไทย ลาตัวมีสขี าวกับดาปนกนั สดี ามากในตอนหวั ไหล่ หลัง และบ้นั ท้าย ส่วนตอนลา่ งของ ลาตวั มีสขี าวหมพู นั ธ์ุไหหลามีหวั ไดร้ ปู งาม จมูกยาวและแอ่นเลก็ น้อย คางย้อย และไหลใ่ หญ่ ลาตัวยาวปาน กลาง หลงั แอ่น สะโพกเล็ก ขาและข้อเหนือกบี เท้าอ่อน หมูไหหลาเตบิ โต และสบื พนั ธุ์ ดีกว่าหมพู ันธพ์ุ ้ืนเมือง อนื่ ๆ 1.2 หมพู ันธ์คุ วาย พบเลย้ี งในภาคเหนอื ของประเทศไทย สีของหมูพันธ์นุ ี้คล้ายสีของหมูพันธ์ุ ไหหลา แตล่ าตัวมสี ีดาเปน็ ส่วนใหญ่ จมกู ของหมูพันธคุ์ วายตรงกวา่ และสั้นกวา่ และมรี อยยน่ มากกว่า ลาตวั เลก็ กวา่ หมพู นั ธ์ุไหหลา ไหลแ่ ละสะโพกเล็ก ขาและข้อเหนือกบี เทา้ อ่อน พ่อหมูพันธ์ุควาย โตเต็มทหี่ นกั 125- 150 กโิ ลกรมั แมห่ มหู นกั 100-125 กิโลกรัม นา้ หนักท่เี หมาะสาหรับสง่ ตลาด ประมาณ 80 กโิ ลกรัม 1.3 หมพู ันธรุ์ าด พบเลยี้ งในภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนือของประเทศไทย หัวของหมูพนั ธร์ุ าดมี รปู งามยาวและตรง ลาตวั สนั้ และแน่น กระดูกแข็งแรง แต่เจรญิ เตบิ โตช้า 1.4 หมูพันธ์พุ วง เลี้ยงกันมากในภาคตะวันออกเฉยี งเหนอื ของประเทศไทย มสี ีดา หมูพันธ์ุ พวงเป็นหมทู ี่มผี ิวหนังหยาบมากท่ีสุด ดงั นัน้ จึงขายได้ในราคาตา่ กว่าหมูพันธอ์ุ ่นื หมูพันธ์ุพวง ส่วนมากใชผ้ สม กับหมูพันธ์ุราด เพ่ือให้ได้รูปขนาด และการเจรญิ เตบิ โตดีขึ้น อยา่ งไรกต็ ามการนาหมูพันธ์ุตา่ งประเทศมาผสม เพอ่ื ปรับปรุงพนั ธจุ์ ะไดผ้ ลดกี วา่

(ที่มา : http://kanchanapisek.or.th) หมูพันธพ์ุ วง 2. หมูพนั ธ์ตุ า่ งประเทศ 2.1 หมูพนั ธแุ์ ลนดเ์ รซ หมูพันธน์ุ ีม้ ีถ่นิ กาเนดิ จากประเทศเดนมารก์ เปน็ หมปู ระเภทเบคอน ทดี่ ที สี่ ดุ เจรญิ เติบโต และเนื้อมีคุณภาพดี มสี ขี าวตลอดลาตัว แตอ่ าจมีจุดดาบนผวิ หนังได้บา้ ง ลาตวั และหลัง คอ่ นข้างตรง ใบหใู หญ่และปรก จมกู ตรง คางเรยี บ ให้ลกู ดก และเลย้ี งลูกเก่ง ในประเทศไทยมีเลีย้ งกันอยู่ ท่ัวไป โดยเฉพาะภาคกลางของประเทศมีเล้ียงกันมาก 2.2 หมพู นั ธุล์ าร์จไวต์ หมูพนั ธุน์ ี้ในสหรฐั อเมรกิ าเรยี กพนั ธย์ุ อร์กเชอร์ (Yorkshire) ถ่ิน กาเนิดมาจากประเทศอังกฤษ เปน็ หมูประเภทเบคอนที่ใหเ้ น้ือมาก เตบิ โตเร็ว มีสขี าวตลอดลาตัว หัวโตปาน กลาง หูต้ัง ตวั เมียใหล้ ูกดก และเลย้ี งลูกเกง่ (ท่ีมา : http://kanchanapisek.or.th) หมพู ันธุล์ าร์จไวต์ 2.3 หมูพนั ธ์ดุ รู อ็ ก หมพู นั ธ์ดุ ูรอ็ กมีถ่ินกาเนิดมาจากประเทศสหรฐั อเมริกา เปน็ หมปู ระเภท เน้ือขนาดใหญ่ รูปรา่ งหนาลกึ ความยาวของลาตวั สัน้ กวา่ หมูพนั ธุแ์ ลนดเ์ รซ และพันธ์ลุ าร์จไวต์ สะโพกใหญ่ เดน่ ชดั มสี ีต้ังแตแ่ ดงเขม้ ไปจนออ่ น หวั มขี นาดปานกลาง หยู อ้ ยไปข้างหนา้

(ท่ีมา : http://kanchanapisek.or.th) หมพู นั ธ์ุดรู อ็ ก 2.4 หมูพนั ธล์ุ ูกผสม เกดิ จากการผสมพันธร์ุ ะหวา่ งพันธุ์ตา่ งประเทศดว้ ยกัน ส่วนใหญ่ เจริญเตบิ โตเร็ว เปน็ ทีน่ ิยมกนั มากในการเลี้ยงเป็นหมูขนุ การเลีย้ งและการดูแลหมูในระยะตา่ งๆ การเลีย้ งหมจู ะประสบความสาเรจ็ ถ้าเอาใจใสเ่ รอื่ งการเล้ียง และการดูแลหมอู ยา่ งถูกตอ้ ง แมผ้ ูเ้ ลย้ี ง จะมหี มูพนั ธดุ์ ีกต็ าม แต่ถ้าละเลยในส่ิงเหลา่ นี้แลว้ ปัญหาตา่ งๆ ก็จะเกิดข้ึนได้ เชน่ พ่อหมูผสมไม่เก่ง ผสมติด นอ้ ย แม่หมูคลอดลูกยาก ลูกหมปู ่วยเป็นโรคทอ้ งเสีย และมีอตั ราการตายสูง เป็นต้น การเลีย้ งและการดูแลหมพู ่อพนั ธุ์ หมตู ัวผทู้ ีจ่ ะนามาใชผ้ สมพันธุ์ไดด้ ี ควรมีสขุ ภาพแข็งแรงสมบูรณ์ มีขนาดและอายุที่พอเหมาะ เพือ่ ให้ สามารถผลิตน้าเชือ้ ท่ีมีคณุ ภาพดีพอเพียง มผี ลทาให้การผสมตดิ สงู และได้จานวนลูกมากเป็นปกติ แม้วา่ หมตู ัว ผสู้ ามารถผลติ อสจุ ิได้บ้างแล้ว เมือ่ มีอายุยา่ งเขา้ 4 เดือนกต็ าม แต่จานวนน้าเชื้อ และอสุจทิ ี่ผลิตได้ จะเพ่มิ มาก ขน้ึ เมื่อหมูมอี ายมุ ากข้นึ ดังนั้น หมูตัวผ้ทู ี่จะนามาใชผ้ สมพันธ์ุ ควรมีขนาดใหญ่พอเหมาะทจี่ ะผสมกับแม่หมูทม่ี ี ขนาดปกติได้ โดยปกติมักใชผ้ สมพันธุ์ ไดเ้ ม่ือมีอายุราว 8 เดอื น และมีน้าหนกั ประมาณ 80-90 กโิ ลกรมั สาหรับหมพู อ่ พนั ธุต์ ่างประเทศ ควรมนี า้ หนักราว 115 กิโลกรัมการเล้ียงหมูพ่อพันธ์ุ ปกติใหอ้ าหารวนั ละม้ือ พ่อพันธ์ทุ ่ีมีนา้ หนักมากเกนิ ไปหรอื อว้ น ควรใหอ้ อกกาลังบา้ ง หรอื ลดอาหาร และใหอ้ าหารหยาบมากข้นึ หมู พอ่ พนั ธถุ์ า้ ไดร้ ับการเลี้ยงดูอย่างดีจากผู้เล้ียง จะสามารถใชง้ านไดห้ ลายปี โดยไม่มขี ้อบกพรอ่ ง แมจ้ ะใชผ้ สม พนั ธุ์วนั ละสองคร้ังก็ตาม แตก่ ็ไมค่ วรใชง้ านมากเกินไป เพราะการผสมบ่อยๆ หรอื ติดๆ กัน จะทาให้จานวน อสุจลิ ดนอ้ ยลง และอาจมีอสุจติ ัวออ่ นท่ีไมม่ ีคณุ ภาพเพยี งพอ ดงั นัน้ หลงั จากฤดผู สมพันธุ์ ควรจะให้ตัวผไู้ ด้ พักผอ่ น และออกกาลังกาย โดยปล่อยในทุง่ หญ้า

การเล้ยี งและการดูแลหมแู ม่พนั ธ์ุ หมสู าวเจริญเติบโตในลกั ษณะเช่นเดียวกนั กบั หมูหนมุ่ เมื่อมีอายมุ ากขน้ึ ปริมาณของไข่ทต่ี กจากรังไข่ จะเพิ่มข้ึน ทาให้ปริมาณลูกท่ีคลอดมจี านวนมาก จนกระท่ังแมห่ มูมีอายปุ ระมาณ 15 เดอื น ปรมิ าณไข่ท่ตี กก็ จะคงท่ี โดยปกตจิ ะผสมพนั ธ์ุหมูสาว เมือ่ มีอายไุ ด้ราว 7-8 เดอื น หรอื นา้ หนักราว 110-115 กโิ ลกรัม (สาหรบั หมพู นั ธ์พุ น้ื เมอื งประมาณ 80-90 กิโลกรมั ขนึ้ อย่กู ับชนิดของหมูพนั ธพุ์ นื้ เมืองด้วย) การผสมพนั ธุแ์ มห่ มทู ี่มี ขนาดเล็ก หรือมอี ายุน้อยอยู่ จะทาให้อายกุ ารใช้งานของแม่หมูตวั น้นั สนั้ ลง และจานวนลูกท่ีได้กน็ ้อยด้วย ท้ังน้ี เน่ืองจากการตกไข่จากรงั ไข่มีน้อย การผสมพนั ธแุ์ ม่หมู ควรกะเวลาใหพ้ อดี กับระยะการตกไข่ เพราะจะทาให้ไดผ้ ลดีกว่าการผสมในเวลา อนื่ แม่หมสู ว่ นใหญจ่ ะกลับเป็นสดั อกี ภายใน 3-7 วัน หลังการหยา่ นม แมห่ มู แสดงการเปน็ สัดนานประมาณ 48-72 ช่ัวโมง (หมสู าวนานประมาณ 36-60 ชวั่ โมง) การตกไขเ่ กิดข้นึ ประมาณชว่ งกลางๆ ของการเป็นสดั แต่ ไขจ่ ะไมต่ กพรอ้ มกันทีเดยี วท้ังหมด การผสมหมสู าว หรอื แม่หมคู วรผสมซา้ หรือผสมครั้งที่สอง โดยทงิ้ ระยะให้ หา่ งจากคร้ังทีห่ นง่ึ ประมาณ 12 ชว่ั โมง เป็นอย่างน้อย ปกติการผสมพันธุห์ มูมักทาในตอนเชา้ และเย็น เพราะ อากาศไมร่ อ้ น ไมค่ วรผสมพันธุ์หมูขณะทีป่ ่วย หรอื หลงั การฉีดวคั ซนี ใหมๆ่ วธิ ดี ังกล่าวนจี้ ะช่วยใหก้ ารผสมพันธ์ุ ไดผ้ ลดขี ึน้ และเพมิ่ ลูกตอ่ ครอกใหม้ ากขน้ึ (ทมี่ า : http://kanchanapisek.or.th) การผสมพนั ธ์ุของหมู ขอ้ แนะนาระหวา่ งการผสมพันธ์หุ มูคือ ควรให้อาหารแม่หมู และหมสู าวให้มากขึ้น เน่อื งด้วยเหตผุ ลสอประการ คอื ประการแรก เน่อื งจากแม่หมูผสมพนั ธ์คุ ร้งั ใหม่หลังการหยา่ นมในช่วงเวลาสัน้ หมูยังอยู่ในสภาพทไ่ี มแ่ ข็งแรง เพียงพอ ประการทีส่ อง เนื่องจากระหวา่ งการให้นม แมห่ มสู ่วนใหญ่สูญเสยี น้าหนักไปมาก การให้อาหารเพ่ิมขึ้น จะช่วย ใหแ้ มห่ มูอยูใ่ นสภาพที่เหมาะสาหรับการใหน้ มคร้ังต่อไป

การเลย้ี งและการดแู ลแม่หมูระหวา่ งการอุ้มท้อง หมตู วั เมียทีไ่ มไ่ ด้รบั การผสมพันธ์ุ หรือผสมไม่ไดผ้ ล จะกลับเปน็ สัดอกี ระหวา่ งทุกๆ 18-24 วนั หรือ โดยเฉล่ียประมาณ 21 วนั แต่ถา้ ผสมไดผ้ ล กจ็ ะไม่กลับเปน็ สัดอีกเลย ตลอดการอมุ้ ท้อง เมือ่ หมูตัวเมียได้รับ การผสมแล้ว ก็ไมจ่ าเปน็ ต้องใหอ้ าหารเพ่ิมมากขึน้ อกี การเลย้ี งดใู นชว่ งนค้ี วรปฏิบัติดังน้ี 1. การจัดคอกสาหรับแม่หมู ระยะที่แม่หมูอุ้มท้องควรแยกมาเลีย้ งในคอกขงั เดยี่ ว เพราะนอกจาก จะควบคุมการให้อาหารไดแ้ ล้ว ยังช่วยป้องกนั ไม่ให้เกดิ การทะเลาะวิวาทกบั หมูตวั อนื่ ซงึ่ อาจทาให้แมห่ มูแท้ง ลูกได้ 2. การให้อาหาร 2.1 ช่วงอ้มุ ท้องระยะตน้ ตัง้ แต่เร่ิมผสมพันธุ์จนถึงอุ้มทอ้ งได้ 84 วัน ในชว่ งนี้ไมจ่ าเป็นต้อง ใหอ้ าหารมากนกั เพราะลกู ในทอ้ งเตบิ โตชา้ มาก ควรให้กนิ ประมาณตัวละ 1.5-1.8 กิโลกรมั ตอ่ วนั ก็พอเพียง แล้ว สาหรบั หมพู นั ธุ์พ้นื เมือง ก็ต้องลดลงตามส่วน 2.2 ช่วงอุ้มทอ้ งระยะหลัง (อมุ้ ทอ้ ง 84-104 วัน) ในชว่ งน้ีลกู หมใู นท้อง มีอตั ราการ เจริญเตบิ โตสงู มาก ต้องการอาหารมาก จาเปน็ ต้องเพ่ิมอาหารให้แกแ่ มห่ มู เป็นวันละ 2.5-3 กิโลกรมั ตอ่ วนั (ประมาณร้อยละ 2.5 ของ น้าหนักตวั ) (ที่มา : http://kanchanapisek.or.th) ระยะแมห่ มูอมุ้ ท้องควรแยกเลย้ี งในคอกขงั เด่ยี ว 3. ตรวจการตั้งท้อง หลงั จากวันผสมพันธป์ุ ระมาณ 21 วัน และ 42 วนั ควรตรวจดกู ารเป็นสดั ของ หมตู วั เมยี หากหมูไมแ่ สดงอาการเปน็ สัด ก็อาจกลา่ วไดว้ า่ หมูผสมติดและตั้งท้อง แต่ถา้ หมแู สดงอาการเปน็ สดั อีก ก็ให้ผสมพนั ธุ์หมตู ัวน้นั ใหม่ หมูตัวใดผสมแลว้ ยังไม่ต้ังท้องตดิ ต่อกนั 3 คร้ัง ใหค้ ดั หมตู ัวนน้ั ออกจากฝงู เพอ่ื จาหน่ายต่อไป

(ทม่ี า : http://kanchanapisek.or.th) เคร่ืองตรวจการตั้งทอ้ งของหมู 4. อณุ หภมู ิ ภายในโรงเรือนควรรกั ษาอณุ หภมู ิใหต้ ่ามากที่สุดเทา่ ทีจ่ ะทาได้ เน่ืองจากประเทศเราเปน็ ประเทศเมอื งรอ้ น และจากผลการวจิ ัยปรากฏว่า หากให้หมอู ยูใ่ นท่รี อ้ นอบอ้าวติดต่อกนั เป็นเวลานาน จะทาให้ หมใู ห้ลูกนอ้ ยตวั นอกจากนีค้ วามตอ้ งการผสมพนั ธุ์ และจานวนเช้อื อสุจขิ องพ่อหมู ก็ลดลงไปด้วย อุณหภูมิท่ี เหมาะสาหรบั หมูในช่วงนีค้ อื ระหวา่ ง 16-19 องศาเซลเซยี ส การเลีย้ งดูแมห่ มกู ่อนคลอด ระหวา่ งคลอด และระหว่างการให้นม ช่วงระยะก่อนคลอด ระหว่างคลอด และ ระยะ 2-3 วัน ของการให้นม เป็นช่วงทม่ี ีความสาคญั มาก ช่วงหนึง่ ของการเลย้ี งดหู มู ถ้าการเล้ียงดูในระหว่างชว่ งนี้ไม่ดพี อ กจ็ ะสญู เสียลกู หมูไป โดยไม่จาเป็น การเลี้ยงดแู มห่ มูก่อนคลอด ควรปฏบิ ตั ิ ดังน้ี 1. การทาความสะอาดคอกคลอด ควรทาความสะอาดไว้ล่วงหนา้ ให้เรยี บรอ้ ย ก่อนทจ่ี ะนาแม่หมเู ข้า คอกคลอด ประมาณหนงึ่ สัปดาห์ หรอื นานกวา่ นี้ก็ได้ เพ่ือลดโอกาสท่ีโรคและพยาธจิ ะ เกิดขึน้ ให้มีไดน้ อ้ ยท่ีสุด ซ่ึงโรคและพยาธินจี้ ะ ติดต่อถึงลกู ได้มาก เน่ืองจากลูกหมูพยายามหา ทางไปกินนมจากแม่ภายหลังที่คลอดได้ ไม่ก่นี าที ลูกหมูจงึ อาจตดิ โรคและพยาธเิ หลา่ น้ีได้จากคอก ทีส่ กปรก การทาความสะอาดคอกคลอด จะใช้ ผงซักฟอก หรือโซดาไฟลา้ งก็ได้ แลว้ ใชน้ ้าสะอาดลา้ งให้ทวั่ อีกครั้ง เมอื่ คอกแห้งแลว้ จึงใช้ยาฆ่าเช้ือโรคชนดิ ใด ชนดิ หนึง่ ผสมน้า เจอื จางตามคาแนะนา แลว้ พ่นใหท้ ่ัวบริเวณคอก 2. การถา่ ยพยาธิแมห่ มู ก่อนถงึ กาหนดคลอด 7-14 วัน ควรถ่ายพยาธิแมห่ มู โดยเฉพาะหมทู ่เี ลี้ยง แบบปล่อยลงแปลง หรือเล้ียงในคอกท่ีมีพืน้ เป็นดนิ วธิ กี ารใช้ยาถา่ ยพยาธใิ ห้ดจู ากฉลากที่ติดมากบั ยาชนิดนนั้ ๆ 3. การทาความสะอาดแมห่ มู ปกติทง้ั แมห่ มู และหมสู าว จะอ้มุ ท้องนานประมาณ 114 วัน เมอ่ื อุ้ม ท้องได้ 109 วัน ควรยา้ ยหมเู หลา่ นั้นไป ยังคอกคลอด อาบน้าดว้ ยสบู่ ใชแ้ ปรงทมี่ ขี นแข็ง ถูให้ท่ัวบริเวณ รา่ งกาย โดยเฉพาะตามพ้นื ท้อง ลาตวั และบริเวณเตา้ นม วิธีน้จี ะกาจัดไข่พยาธิ และส่ิงสกปรกท่ีติดมากบั ตวั หมูออกไป

4. การให้อาหารและน้าแมห่ มู อาหารทใ่ี หแ้ ม่หมใู นช่วงก่อนคลอดนี้ ควรจะเป็นอาหาร ช่วยระบาย อยา่ งออ่ นๆ ทั้งนเี้ พ่ือหลกี เล่ียงการเกดิ อาการท้องผูกของแม่หมู ช่วงน้ผี ูเ้ ลย้ี งอาจเพ่ิมอาหารท่ีมีเย่ือใยสงู ลงใน อาหารแม่หมไู ด้ ราขา้ ว หรอื จะใหห้ ญ้าสด เชน่ หญา้ ขน ก็ได้ การดูแลแมห่ มรู ะหวา่ งคลอด ควรปฏิบัตดิ งั น้ี 1. การจดั เตรียมวัดสรุ องพ้ืนสาหรับลกู หมู ควรจัดเตรยี มไวล้ ่วงหนา้ กอ่ นแม่หมูจะคลอดหนึ่งวัน หรอื สองวนั วัดสทุ ่ีรองพืน้ ทคี่ วรจัดเตรียมไว้ ได้แก่ ฟางข้าว หญา้ แหง้ หรอื กระสอบทส่ี ะอาดและแหง้ วัสดุรองพน้ื ชว่ ยป้องกันขาและเตา้ นมของลูกหมู ที่เพ่ิงคลอด ไม่ให้ไดร้ บั อนั ตรายจากพ้ืนคอกท่ีหยาบ แข็ง และยังชว่ ยให้ ความอบอุ่นแก่ลูกหมูอกี ด้วย 2. การจัดเตรยี มเครื่องมือเคร่ืองใช้ในการปฐมพยาบาลลกู หมทู ค่ี ลอดออกมา เคร่ืองมือเครอ่ื งใช้ท่ีต้อง เตรียมไว้ระหว่างหมูกาลังคลอด มีดังนี้ 2.1 ผา้ แหง้ ท่สี ะอาด 2-3 ผนื สาหรบั เชด็ ตวั ลกู หมูทคี่ ลอดออกมาใหมๆ่ 2.2 คมี สาหรบั ตดั เขยี้ วและหางลกู หมู 2.3 ดา้ ยผูกสายสะดือ 3. การให้อาหารแมห่ มู ถ้าเป็นไปไดช้ ่วงก่อนคลอด 12 ช่วั โมง และหลังคลอดอีก 12 ชั่วโมง ไมต่ ้องให้ อาหารเลย นอกจากน้าสะอาดอย่างเดียว 4. การชว่ ยเหลอื ลูกหมู เมอื่ คลอด ลกู หมเู มื่อคลอดออกมาใหม่ๆ ควรจะชว่ ยทาความสะอาด เชด็ รา่ งกายลูกหมูใหแ้ หง้ ดว้ ยผา้ แห้งทีส่ ะอาด เอาเย่อื บางๆ ที่ห่อหมุ้ ตวั ลกู หมูออก โดยเฉพาะเยอื่ ทห่ี มุ้ สว่ นจมูก และปาก ควรเชด็ และลว้ งเสมหะออกจากปากเสยี ก่อนโดยเรว็ หลังคลอดไม่ควรขงั ลกู หมไู ว้ ควรปลอ่ ยให้กนิ นมได้เลย น้านมแมเ่ มื่อแรกคลอด (colostrum) นี้ มีประโยชน์ต่อลูกหมมู าก และจะมีอยู่เพยี ง 2-3 วนั หลัง คลอดเท่าน้ัน การเล้ียงดูแม่หมูระหวา่ งการให้นม ควร ปฏิบัติดงั นี้ 1. ควรใหอ้ าหารเดิมแกแ่ ม่หมู (อาหารทีใ่ ห้แมห่ มูตอนใกล้คลอด) ภายหลังคลอดตอ่ ไปอีก ประมาณ 3 -5 วนั จึงคอ่ ยเปลยี่ นเป็นอาหารสตู รใหม่ 2. อาหารสตู รใหม่ที่ให้แก่แม่หมรู ะหวา่ งการใหน้ า้ นม ควรมโี ปรตนี และพลงั งาน ไม่น้อยกว่าในอาหาร สาหรบั แมห่ มรู ะหวา่ งการอุ้มทอ้ ง ท้ังน้ีเพื่อช่วยในการผลิตนา้ นม 3. การใหอ้ าหารควรเริ่มใหแ้ ต่น้อย วนั ถัดไปค่อยเพม่ิ จานวนอาหารทใี่ ห้กนิ มากข้ึนไปเร่ือยๆ เทา่ ทีแ่ ม่ หมจู ะสามารถกนิ ได้ เชน่ แม่หมมู ลี ูก 10 ตวั อาหารทีใ่ หแ้ มห่ มูกินเต็มทีป่ ระมาณ 5 กิโลกรมั 4. การเพิม่ อาหารให้แม่หมูกนิ เร็วเกินไป อาจทาใหล้ ูกหมเู กิดข้ีขาวได้ ถ้าเกดิ กรณีเชน่ น้ีผเู้ ล้ยี งควรลด จานวนอาหารท่ใี ห้หมลู ง

การเล้ียงและการดแู ลลกู หมูหลังคลอดไปจนถึงหย่านม การเลย้ี ง และการดแู ลลกู หมู ตง้ั แต่หลังคลอด ไปจนถึงหย่านม นบั ได้ว่า เป็นชว่ งที่มคี วามยุง่ ยาก มากกวา่ ช่วงอื่นๆ เป็นช่วงที่มีการสูญเสยี ลกู หมูมากทีส่ ุด โดยเฉลยี่ ประมาณ 2 ตวั ตอ่ ครอก ซ่งึ อาจเกิด เนื่องจากถูกแมท่ ับตาย ทอ้ งรว่ งอยา่ งแรง อดอาหาร โลหติ จาง และเสียเลอื ดมากทางสายสะดอื เมอื่ คลอด อยา่ งไรก็ตามการสูญเสยี ลูกหมูในช่วงนี้ สว่ นใหญ่เนื่องมาจากการดูแลไม่ดี มากกวา่ สาเหตอุ ื่นๆ ดงั น้นั เพ่อื ลด การสญู เสยี ลูกหมูในช่วงนี้ ผเู้ ลีย้ งควรเตรียมการดูแลลูกหมู ดงั นี้ 1. การใหค้ วามอบอนุ่ หมทู ี่มีอายตุ ่ากว่า 3 วนั กลไกทค่ี วบคุมอุณหภมู ิภายในร่างกายยังไมท่ างาน จึงไม่สามารถปรับตวั ให้เข้ากับความผันแปรของอณุ หภูมภิ ายนอกได้ ลูกหมูแรกเกิดท่ถี ูกความหนาวเยน็ มากๆ หรอื เป็นเวลานานๆ อณุ หภมู ิของร่างกายจะลดลง จะเป็นผลให้ลกู หมตู ัวนั้นตายได้ 2. การป้องกันลมโกรก ไม่ควรปล่อยให้ลูกหมูถูกลมโกรก เช่น ใหล้ กู หมอู ยู่ในคอกท่โี ปรง่ มาก หรือมี พ้นื เป็นไมร้ ะแนง เพราะจะทาให้ลูกหมูเจบ็ ป่วยไดง้ ่าย บรเิ วณสาหรบั ลูกหมแู รกคลอดหลับนอน ควรมีที่กาบัง ลมไวป้ ระมาณ 3-4 วนั จะช่วยให้ลูกหมูไมถ่ กู ลมโกรกมากนัก อยา่ งไรกต็ าม คอกลูกหมูก็ไม่ควรปิดทึบ เพราะ จะทาให้อากาศถ่ายเทไมส่ ะดวก เวลาคอกเปียกชน้ื จะแห้งยาก ทาให้เกิดเชื้อโรค ลูกหมูจะเจ็บป่วยได้งา่ ย เช่นกัน 3. การรักษาความสะอาดคอก คอกที่ ใช้เลย้ี งลกู หมูควรทาความสะอาดอยู่เปน็ ประจา พนื้ คอก ตลอดจนบริเวณทีล่ ูกหมูนอน ควรจะแหง้ และสะอาดอย่เู สมอ ถ้าจาเป็นทีจ่ ะต้องลา้ งทาความสะอาด เนื่องจาก คอกสกปรก ควรขังลกู หมเู อาไวก้ ่อน อยา่ ปลอ่ ยออกมาให้ตัวเปียกนา้ ลกู หมอู าจจะหนาวสนั่ และเจบ็ ปว่ ยได้ เม่ือเหน็ ว่า คอกแห้งพอสมควรดีแลว้ จงึ ปลอ่ ยลูกหมตู ามเดิม 4. การตัดสายสะดือ กอ่ นอ่ืนควรมัดสายสะดือ เพ่ือปอ้ งกันเลือดออกหลังตัด ควรตัดให้เหลือสาย สะดือยาวประมาณ 3-4 เซนติเมตร เมอื่ ลูกหมูยนื ข้นึ สายสะดือจะไดไ้ ม่ติดพนื้ คอก จากนั้นเช็ดแผลท่ตี ดั แลว้ ด้วยทิงเจอรไ์ อโอดนี สายสะดือเป็นสว่ นสาคญั ที่เชื้อโรคจะเข้าสู่ตัวลกู หมไู ด้ การเจบ็ ปว่ ย เช่น ลกู หมขู าเจบ็ หรอื ตาย อาจจะมาจากการละเลยการปฏิบตั ิดงั กลา่ ว 5. การตัดฟันและการตดั หาง ควรตัดภายหลังท่ลี กู หมคู ลอดได้ไม่เกนิ 24 ชวั่ โมง การตดั ฟันและหาง น้ี ควรทาพร้อมกนั ทั้งนเี้ พื่อหลกี เลีย่ งการจับต้องลูกหมูหลายๆ คร้ัง  การตดั ฟัน ลูกหมูแรกคลอดมีฟันทีแ่ หลมคมอยู่ 4 คู่ 2 คู่อยู่ท่ีขากรรไกรบน อกี 2 คู่อยู่ท่ีขากรรไกร ล่าง ฟนั 4 คู่นีไ้ มม่ ีประโยชนต่อลูกหมู แตจ่ ะทาให้ระคายเคืองต่อเตา้ นมแม่ ขณะท่ีลูกหมูดดู นม จงึ ควรตัดให้เรยี บสนั้ หลงั คลอด การตดั ต้องระมดั ระวังอยา่ ให้ฐานของฟนั เสีย หรือเหลอื รอยขรขุ ระ แหลมคมไว้ หรอื เปน็ สาเหตทุ ี่เป็นอันตรายต่อเหงือก (การตัดฟนั ลูกหมู โดยไมร่ ะมัดระวงั ก็จะทาให้ เหงอื กไดร้ ับอันตราย จากเคร่ืองมือทใ่ี ช้ได้ เช่น ไปตัดโดนเหงือก เครื่องมอื ท่ีใช้ตัดฟนั ถ้าไมค่ มกจ็ ะตดั ฟนั ได้ไม่เรยี บ ฐานฟนั อาจเสยี และทาให้เหงือกไดร้ บั อนั ตราย บางครัง้ กเ็ หลือรอยขรุขระแหลมคมไว้ เหมอื นขวดแก้วแตก ฟนั เชน่ นี้ เม่ือไปกัดหวั นมแม่ จะคมย่ิงกว่าฟนั ธรรมดาท่ไี ม่ได้ถกู ตัด)

 การตดั หาง ปัญหาเรอ่ื งลูกหมูกดั หางกนั มักจะเนื่องมาจากการเลี้ยงหมแู บบขังคอก และเล้ยี งไวค้ อก ละจานวนมาก ผู้เลี้ยงอาจจะตดั หางลูกหมทู ้ิงเสียต้งั แตย่ งั เลก็ กไ็ ด้ ควรตดั ให้เหลอื เพยี ง 1/4 น้วิ ไม่ ควรทากับหมูท่โี ตแลว้ ในกรณีทีเ่ กดิ ปัญหาการกดั หางกนั กส็ ามารถแก้ไขไดโ้ ดยการผกู โซ่หรือยาง ห้อยไวใ้ นคอก เพ่ือใหห้ มูไดก้ ัดเลน่ 6. การป้องกนั โรคโลหิตจาง โรคโลหิตจางในลกู หมมู ักเกดิ จากการขาดธาตเุ หลก็ ท้งั น้ี เพราะลูกหมู มีความต้องการธาตุเหล็กมากเกินกวา่ ที่ได้รบั จากน้านมแม่ เน่ืองจากลูกหมมู ีการเจริญเติบโตทีร่ วดเร็ว และธาตุ เหล็กทีเ่ ก็บสารองในตวั ลูกหมูทเ่ี กิดใหม่ มอี ย่จู านวนน้อย เพอ่ื ป้องกันโรคนี้ ผ้เู ลี้ยงควรฉีดธาตเุ หล็กให้ลกู หมู ประมาณ 2 ครง้ั ครั้งแรกเม่ือลูกหมูอายุได้ 3 วัน คร้ังถัดไปเมอ่ื ลกู หมูมีอายุได้ 2-3 สปั ดาห์ 7. การตอนลกู หมตู ัวผู้ ลูกหมตู วั ผู้ทไี่ มเ่ กบ็ ไว้ทาพนั ธจ์ุ ะตอนเมื่ออายเุ ทา่ ใดก็ได้ แตท่ ่ีเหมาะคือ เม่ือ อายไุ ด้ 2 หรือ 3 สัปดาห์ ในชว่ งน้อี นั ตรายจากการตอนมนี ้อยกวา่ ช่วงทลี่ กู หมโู ตแล้ว เพราะจับลกู หมูไดง้ ่าย กวา่ และแผลกจ็ ะหายเรว็ กวา่ ด้วย 8. การหดั ให้กนิ อาหารแหง้ ก่อนลกู หมหู ยา่ นมอย่างสมบูรณ์ เมื่อลกู หมมู ีอายไุ ด้ 1 หรอื 2 สัปดาห์ ควรหัดใหก้ นิ อาหารบ้าง ลูกหมูท่ีเคยหัดให้กินอาหารตัง้ แต่เล็ก โดยทว่ั ไปเม่อื หย่านม จะเรยี นรูก้ ารกินอาหาร ไดเ้ รว็ กวา่ พวกทไ่ี ม่เคยหัดเลย การเลย้ี งดลู กู หมูหลังหยา่ นม การหยา่ นมลูกหมูจะเรว็ หรือช้านนั้ นอกจากจะข้นึ อยู่กบั ความสมบรู ณข์ องลูกหมแู ลว้ ยงั ขึ้นอย่กู ับ ความสามารถของผู้เลย้ี ง และคณุ ภาพของอาหารที่ใช้เลี้ยงลกู หมูด้วย ผู้เล้ยี งหมูในบา้ นเรานยิ มหย่านมลกู หมูท่ี มีอายรุ ะหวา่ ง 3-6 สปั ดาห์ ลกู หมทู ่ีหย่านมเมื่ออายุยังน้อย หรอื นา้ หนกั ตวั น้อย มักจะอ่อนแอ และถา้ การเลย้ี ง ดูไม่ดีพอ อาจทาใหล้ กู หมแู คระแกรน็ หรืออาจถงึ ตายได้ การเลีย้ งดลู กู หมใู นระยะนี้จึงควรปฏิบตั ดิ ังน้ี 1. การหย่านมลกู หมู ใหถ้ ือนา้ หนกั เป็นเกณฑ์ ลูกหมูควรมนี ้าหนักไม่ต่ากว่า 5 กโิ ลกรมั เม่อื หยา่ นม และไม่ควรขังลูกหมทู ม่ี ีขนาดและนา้ หนกั ไลเ่ ลย่ี กนั เกินกวา่ 20 ตวั ไวใ้ นคอกเดียวกนั (ข้นึ อยกู่ ับขนาดของคอก ดว้ ย) เนือ่ งจากคอกจะสกปรกมาก และบางตวั ก็กินอาหารไมท่ นั ตัวอื่นๆ 2. การรักษาความสะอาด เนื่องจากลูกหมูในชว่ งนเ้ี ปน็ โรคไดง้ า่ ย ความสะอาดจึงเป็น สง่ิ สาคัญท่ี ควรระวงั ให้มาก รางอาหาร รางนา้ ตลอดจนคอกหมูต้องสะอาดอยู่เสมอ พืน้ คอกไมค่ วรปลอ่ ยใหเ้ ปยี กแฉะ ดังนัน้ คอกตอ้ งมีการถา่ ยเทอากาศไดด้ ี แตต่ ้องไมโ่ กรกตัวลูกหมมู ากนัก 3. การให้อาหารและนา้ ควรให้อาหาร ลกู หมูบ่อยๆ ครงั้ ละนอ้ ยๆ จะช่วยใหล้ กู หมูกินอาหาร ได้มากขึ้น อาหารทเ่ี ปยี ก เหม็นอบั ควรทิ้งไป นา้ สะอาดต้องมใี หล้ ูกหมูได้กินตลอดเวลา การขาดนา้ จะทาให้ ลูกหมกู นิ อาหารนอ้ ยลง หรือไมก่ ินอาหารเลย 4. การถา่ ยพยาธิ หลงั จากลกู หมูหยา่ นมได้ราว 2-3 สัปดาห์ ควรใหล้ กู หมกู นิ ยาถ่ายพยาธิ ลูกหมทู ี่ พบว่า มพี ยาธิควรถ่ายซ้าอกี ครั้ง 5. การฉีดวัคซีน หลังจากท่ลี ูกหมูหย่านมแล้ว ราว 3-4 สัปดาห์ขนึ้ ไป ผู้เล้ียงสามารถฉีดวัคซีนให้กับ ลูกหมูได้ ท้ังน้ีข้ึนอยกู่ ับความสมบรู ณข์ องลกู หมู และควรฉีดวัคซนี กับลกู หมูท่สี มบูรณเ์ ท่าน้นั ลูกหมหู ลังฉดี

วัคซีนแล้ว อาจมีอาการไข้ได้ จึงไมค่ วรเอานา้ รดตวั ลูกหมู การตอนไม่ควรทาในชว่ งเดยี วกบั การฉีดวัคซนี ควร ตอนก่อนการฉดี วัคซนี อยา่ งน้อย ไมต่ ่ากวา่ 10 วนั หรือหลงั การฉีดวคั ซีนประมาณสัก 1 เดอื น การเล้ยี งและการดแู ลหมูร่นุ และขุนส่งตลาด การเลย้ี งดูหมูระยะนี้ มีความยุ่งยากนอ้ ยกวา่ การเลี้ยงดหู มูระยะทย่ี งั ไม่หยา่ นม หลังจากหย่านมใหม่ๆ หมใู นช่วงนี้จะเจรญิ เติบโตดี ท้ังหมูที่เล้ยี งอยู่ในทุ่ง และบนคอกคอนกรตี ที่มีการสขุ าภิบาล การควบคุมโรคและ พยาธิ ตลอดจนการให้อาหารทีถ่ กู ต้อง การเลย้ี ง และการจัดการดแู ลหมรู ะยะน้ี ควรปฏิบตั ดิ งั น้ี 1. การจัดคอกเลย้ี ง 1.1 การจัดคอกสาหรับหมูขุนขาย ควรจดั เอาหมูทีม่ ขี นาดและเพศเดยี วกนั ขังเล้ยี งไว้ใน คอกเดยี วกนั เพื่อชว่ ยใหห้ มูเติบโตมีขนาดไลเ่ ลยี่ กนั และไม่เกิดปัญหาแยง่ อาการกันกินข้ึนในภายหลัง เนื่องจากการเจรญิ เตบิ โตไมเ่ ท่ากันของหมเู พศผู้ และเพศเมีย หมูเพศผู้ทีต่ อน มักเจริญเตบิ โตเร็วกว่าหมูเพศ เมีย แตห่ มูเพศเมียมแี นวโน้มการใชอ้ าหาร ท่ีมโี ปรตีนสงู ได้ดีกว่า และยงั ให้เน้ือแดง และมลี าตัวยาวกว่าหมู เพศผ้ทู ตี่ อนดว้ ย 1.2 การจัดคอกสาหรบั หมูพันธ์ุ หมูท่จี ะ เลีย้ งไว้เป็นพ่อพันธ์ุ และแม่พันธ์ุ ในชว่ งแรก ไม่ ควรเลีย้ งแยกเพศกันอยา่ งเดด็ ขาด กลา่ วกันว่า การเป็นหนุ่มเป็นสาวช้า การไม่แสดงการเปน็ สัดของหมตู ัวเมยี และการไมย่ อมผสมพนั ธ์ุของหมตู วั ผ้นู ้นั เป็นผลจากการมีประสบการณ์ก่อนเป็นหนุ่มเป็นสาวไมเ่ พียงพอ พ่อ หมูสามารถเรียนรใู้ นเรื่องเหล่าน้ีได้ดที ี่สดุ ในชว่ งอายรุ ะหว่าง 4-8 เดอื น เมอ่ื หมูเริ่มผสมพนั ธไุ์ ด้ ควรแยก ออกมาเล้ยี งขังเดย่ี ว และจากัดอาหารไป จนกระท่งั หมูมนี ้าหนัก 115 กโิ ลกรมั ทงั้ ตัวผู้ และตวั เมยี 2. การจัดเตรยี มรางอาหาร ควรจัดให้มีเพยี งพอกบั จานวนหมู รางอาหารชนดิ อัตโนมัติ ชอ่ ง อาหารชอ่ งหนงึ่ ๆ ควรจัดไวส้ าหรับหมูไม่เกนิ 3-4 ตวั มฉิ ะนน้ั จะมีผลต่อการเจริญเติบโตของหมู 3. การจดั เตรียมนา้ ดื่ม ควรมนี า้ ด่ืมสะอาดไวใ้ นที่ทเ่ี หมาะสม ไม่ควรจัดไวใ้ นท่ที หี่ มตู วั อ่ืนกดี ขวางได้ งา่ ย ปกติหมตู ัวหน่ึงจะกนิ นา้ ประมาณสองเท่าของน้าหนกั ของอาหารที่กนิ เขา้ ไป 4. อุณหภูมิ อณุ หภมู ิท่ีเหมาะจะช่วยให้การเจริญเตบิ โต และประสทิ ธภิ าพการใชอ้ าหารของหมูดีขนึ้ คือ อุณหภมู ปิ ระมาณ 21 องศาเซลเซยี ส หากอากาศรอ้ นเกนิ ไป หมจู ะกนิ อาหารน้อยลง และเติบโตช้า 5. การถ่ายเทอากาศ อากาศภายในคอก ควรมีการถา่ ยเท หรอื ระบายได้ดี โรงเรอื นที่อบั อากาศจะ เกดิ ก๊าซพิษสะสม ซง่ึ มีผลกระทบต่อการเจรญิ เติบโตของหมู และก่อใหเ้ กดิ สิง่ ผดิ ปกติกับหมูได้ เช่น เกิดมีการ กดั หางกันขน้ึ เป็นต้น อาหาร เนอ่ื งจากการเลี้ยงหมูในปจั จุบนั มกี ารเปลี่ยนแปลงให้ทันสมยั และเปน็ การค้ามากขน้ึ มีการนาเอาหมู พันธ์ุตา่ งประเทศเข้ามาเลยี้ ง หรือผสมกับหมูพันธ์พุ ้นื เมืองกันอย่างกวา้ งขวาง หมูพนั ธ์ุต่างประเทศน้ีมีความ ต้องการสารอาหารมากกวา่ หมูพันธพ์ุ น้ื เมอื งของไทย อาหารท่ใี ชเ้ ลีย้ งจึงตอ้ งเปลยี่ นแปลงไปดว้ ย จากการทีเ่ คย

เลีย้ งดว้ ยหยวกกลว้ ย รา หรอื เศษอาหารต่างๆ กเ็ ปล่ียนมาใชอ้ าหารผสมทม่ี ีคุณค่าอาหารมากข้นึ เพื่อให้หมู ไดร้ บั สารอาหารเพยี งพอกับความต้องการของร่างกาย หมูจะได้เจริญเตบิ โตเรว็ ขึ้น อาหารผสมทใี่ ช้ สว่ นใหญ่ ประกอบดว้ ย วตั ถุดบิ อาหารสัตวช์ นิดต่างๆ ซงึ่ ส่วนใหญเ่ ปน็ ผลพลอยได้จากการบรโิ ภคของคน เชน่ ปลายขา้ ว ราละเอียด และกากถว่ั เหลือง เป็นต้น นามาประกอบกันในอัตราส่วนทแ่ี ตกต่างกัน แลว้ แตข่ นาดและอายุของ หมู เพือ่ ใหไ้ ด้คณุ ค่าอาหารครบถว้ นทงั้ 5 หมู่ ดงั นี้ (ท่ีมา : http://kanchanapisek.or.th) วตั ถุทใี่ ช้ผสมในอตั ราสว่ นตา่ งๆ เพือ่ เปน็ อาหารของหมู 1. นา้ เป็นส่งิ จาเปน็ ตอ่ คนและสัตว์ทกุ ชนิด นา้ เป็นตัวช่วยปรบั อุณหภูมภิ ายในร่างกายใหค้ งที่ ชว่ ย ขบั ถา่ ยของเสยี ออกนอกร่างกาย และช่วยในขบวนการต่างๆ ทีเ่ กดิ ขนึ้ ภายในร่างกาย หมูต้องการนา้ อยา่ งมาก เพราะหมมู ชี ้ันไขมนั อยตู่ ดิ กบั ผวิ หนงั ทาใหย้ ากต่อการระบายความรอ้ น จึง ต้องใชน้ ้าเป็นตัวช่วยระบายความ รอ้ น ถา้ หากหมขู าดน้าเพียงครง่ึ วัน จะมอี าการหอบ และถ้าขาดน้าเป็นเวลานาน หมูอาจชอ็ กตายได้ 2. คาร์โบไฮเดรต เปน็ แหลง่ ใหพ้ ลังงาน และจะนาไปใชใ้ นกระบวนการต่างๆ เพื่อการเจริญเติบโต ของหมู อาหารประเภทนส้ี ่วนใหญ่คอื แป้งและน้าตาล ผลิตผลท่ีนยิ มใชเ้ ปน็ อาหารสัตว์ ได้แก่ ปลายขา้ ว ข้าวโพด ข้าวฟ่าง และมนั สาปะหลงั เปน็ ต้น วัตถดุ ิบเหลา่ นีม้ ีราคาถูก เพราะมีระดบั โปรตนี ตา่ แตใ่ ช้ในสูตร อาหารในปรมิ าณมาก 3. โปรตีน เปน็ สารอาหารท่ีมีความสาคญั มาก เพราะรา่ งกายตอ้ งการโปรตีน เพ่ือใชใ้ นการ เจริญเตบิ โต และการสร้างเนื้อเย่ือต่างๆ เปน็ ตน้ ถา้ สัตว์ขาดสารอาหารนี้แล้ว จะทาให้สัตวแ์ คระแกรน็ โตช้า และสขุ ภาพอ่อนแอ วตั ถุดบิ ประเภทนี้ ได้แก่ กากถวั่ เหลอื ง กากถั่วลิสง กากงา ปลาปน่ ฯลฯ เปน็ ต้น โดยทวั่ ไปมรี าคาแพงและคุณภาพไม่แน่นอน 4. ไขมนั เป็นแหลง่ ให้พลงั งาน และให้กรดไขมันชนิดต่างๆ ซ่งึ ปกติในวัตถดุ ิบอาหารสตั ว์ ส่วนใหญม่ ี ไขมันเป็นสว่ นประกอบ ในปริมาณทีแ่ ตกต่างกนั อยู่แลว้ แต่ถา้ อาหารผสมน้นั ขาดพลงั งานแล้ว จะเสริมดว้ ย

แหลง่ ไขมัน ซ่ึงมที ั้งไขมนั จากพืช เช่น น้ามันถ่วั เหลือง นา้ มันรา หรอื ไขมนั จากสัตว์ เช่น ไขวัว น้ามนั หมู เป็น ตน้ 5. วติ ามินและแร่ธาตุ ร่างกายหมูมีความต้องการวิตามิน และแร่ธาตุในปริมาณนอ้ ย แต่มีความ จาเป็นต่อร่างกายมาก เพราะกระบวนการต่างๆ ภายในรา่ งกาย จาเปน็ ต้องใชท้ งั้ วิตามิน และแรธ่ าตุตา่ งๆ ร่วม ดว้ ย วิตามินที่มคี วามจาเป็นต่อหมูแบง่ ออกเป็น 2 ชนิดคือ 5.1 วติ ามินทีล่ ะลายในไขมัน เช่น วติ ามนิ เอ ดี อี และเค 5.2 วิตามนิ ท่ลี ะลายในนา้ ได้แก่ วิตามินบตี ่างๆ สว่ นแรธ่ าตุทีม่ คี วามจาเปน็ ต่อร่างกายได้แก่ แคลเซยี ม ฟอสฟอรสั โพแทสเซียม โซเดียม แมกนีเซียม เหลก็ ทองแดง และสังกะสี เป็นต้น โดยปกติแล้วในวตั ถุดิบตา่ งๆ จะมีวติ ามิน และแรธ่ าตอุ ยแู่ ลว้ แตอ่ าจไม่ เพยี งพอ หรอื อยู่ในสภาพที่หมูนาไปใชป้ ระโยชน์ไม่ได้ ดังน้ัน จึงนยิ มเสรมิ วิตามิน และแรธ่ าตุสาเร็จรปู ไปใน อาหารหมูดว้ ย เพื่อใหห้ มูเจริญเติบโต และมสี ขุ ภาพแข็งแรง โรคทสี่ าคญั ของหมู แมว้ ่าการเลี้ยงหมูจะเจรญิ ไปมากก็ตาม แต่ปัจจุบันยังประสบปญั หาเรือ่ งโรคและพยาธิต่างๆ โดยเฉพาะโรคระบาดทกี่ ่อใหเ้ กิดความเสียหายอย่างรนุ แรง เชน่ โรคอหวิ าตห์ มู โรคปากและเทา้ เป่ือย ซงึ่ ยังไม่ สามารถกาจัดให้หมดได้ จึงเป็นเหตใุ หก้ ารเลย้ี งหมูในบา้ นเรายงั ไมเ่ จริญก้าวหนา้ ถึงทส่ี ุด ตลาดตา่ งประเทศยัง ไม่ยอมรบั เนอ้ื หมูจากประเทศไทย ตลาดหมู จึงจากดั อยู่ภายในประเทศเทา่ น้ัน โรคระบาดรา้ ยแรงทเี่ ปน็ อนั ตรายมาก ได้แก่ โรคอหวิ าตห์ มู โรคอหวิ าต์หมูเป็นโรคระบาดที่ร้ายแรงมาก และเปน็ เฉพาะหมูเท่านั้น โรคน้นี าความเสยี หาย มาสูเ่ กษตรกรผูเ้ ลย้ี งหมเู ป็นอยา่ งมาก และเคยระบาดไปทวั่ โลก รวมท้ังทวปี เอเชีย สาเหตุของโรค เกดิ จากเชอ้ื ไวรสั ชนิดหน่ึงคอื ทอร์เทอร์ซูอิส (Tortor suis) ตดิ ต่อได้โดยตรงจากการสัมผัส หรอื โดยทางอ้อม จากอาหาร น้า ทม่ี เี ชื้อปะปน นก แมลง หนู และสุนขั รวมทั้งคน ซ่ึงเป็นพาหะอยา่ งดี จากท่ี หนึ่งไปสู่อีกทหี่ น่งึ ไดโ้ ดยง่าย สาเหตุอกี ประการ ท่ีทาให้โรคนีร้ ะบาดไดเ้ รว็ คอื การเลีย้ งหมู ดว้ ยเศษอาหาร ที่ เก็บรวบรวมจากที่ตา่ งๆ ซงึ่ อาจมีเช้อื โรคปะปนติดมา หากอาหารทีน่ ามาเล้ยี งนัน้ ไมไ่ ด้ต้มให้เชอ้ื ตายเสยี ก่อน แล้ว หมจู ะได้รับเช้อื ทันที อาการ หมทู ่ีติดโรคน้ีเร่ิมแรกจะมีอาการหงอยซมึ เบ่ืออาหาร มีไข้สงู มีอาการสั่น หลังโกง่ หูและคอตก ขนลุก ไมค่ ่อยลมื ตา เย่ือตาอักเสบนัยน์ตาแดงจดั มักมีขต้ี าสีขาวสเี หลืองแถวบริเวณหวั ตาก่อน แล้วแผ่ไปเต็มลูก นัยน์ตา อาจทาใหต้ าปิดข้างเดียว หรอื สองข้างกไ็ ด้ ผิวหนงั บริเวณเนอื้ อ่อนๆ เชน่ บรเิ วณท้อง โคนขา ใบหู มี ลกั ษณะช้าเปน็ ผื่นแดงปนม่วงเป็นเม็ดๆ เนอ่ื งจากเลือดออกเปน็ จุดๆ ใตผ้ วิ หนัง เห็นได้ชดั กับหมูท่มี ผี วิ หนงั ขาว หมูจะอ่อนเพลยี ชอบนอนซุกตามมมุ คอก หมูทเ่ี ป็นโรคนี้จะมีอาการทอ้ งผูกในตอนแรก ตอ่ มาจึงมอี าการ อาเจียนเป็นน้าสเี หลอื งๆ เวลาเดนิ ตัวสัน่ เพราะไม่มีแรงทรงตัว มอี ุจจาระรว่ ง และไข้ลดลง แตม่ ีอาการหอบ เข้าแทรก จนกระท่ังตาย หมูทเ่ี ปน็ โรคน้ี ประมาณรอ้ ยละ 90 มักตาย โรคอหิวาต์หมเู ป็นไดก้ ับหมูทกุ ระยะการ เจรญิ เตบิ โต

การปอ้ งกันและรกั ษา ฉดี วัคซีนป้องกนั โรคน้ใี ห้กับหมูทกุ ๆ ตัว ปีละคร้ัง สาหรบั หมทู เี่ พ่ิงแสดงอาการเปน็ โรคน้ี อาจฉีดเซรุ่ม รักษาใหห้ ายได้ โรคปากและเทา้ เปอื่ ย โรคปากและเท้าเป่ือยเป็นโรคระบาดท่ตี ดิ ตอ่ ได้อย่างรวดเร็วของสัตวท์ ี่มีกีบคู่ เชน่ ววั ควาย แพะ แกะ และหมู โรคนีไ้ มท่ าให้สัตวถ์ งึ ตายได้ แตจ่ ะซบู ผอมลง เพราะกินอาหารไมไ่ ด้ สัตวท์ ่กี าลงั ให้นม จะหยุดใหน้ มชว่ั ระยะหนง่ึ และจานวนน้านมจะลดลง สาเหตขุ องโรค เกดิ จากเชื้อไวรสั ชนิดหนึ่ง มีแบบต่างๆ กัน ในประเทศไทยเปน็ แบบเอ โอ และเอเชยี 1 โรคน้ี ตดิ ตอ่ ได้งา่ ยทางอาหารและน้า ทีม่ เี ชื้อโรคน้ี หรือติดต่อทางสมั ผสั เม่อื หมคู ลุกคลีกบั สัตว์ท่ีเปน็ โรค นอกจากนี้ แมลงวันกเ็ ป็นพาหะของโรคน้ีด้วย อาการ อาการหมทู ่ีปว่ ยด้วยโรคนจ้ี ะเรมิ่ เบ่ืออาหาร มีไขส้ ูง จมกู แหง้ เซื่องซึม ภายในปากอักเสบแดง ต่อมามี เมด็ ตุ่มแดงทเ่ี ย่ือภายในปาก บนลน้ิ ริมฝปี าก เหงอื ก เพดาน ตามบริเวณซอกกีบ ตุ่มเหลา่ น้ีจะเกิดพุพอง และ กลดั หนอง แล้วแตกเฟะ ทาใหห้ มกู นิ อาหารและนา้ ไม่สะดวก มนี า้ ลายไหลอยเู่ สมอ เทา้ เจบ็ เดินกะเผลก บาง ตวั ตอ้ งเดนิ ดว้ ยเขา่ หรือเดินไมไ่ ด้ บางตัวที่เปน็ มากกีบจะเนา่ และหลดุ ออก ทาให้หมูหมดกาลังและตายใน ท่สี ดุ การป้องกนั และรักษา ควรฉีดวคั ซนี ให้ 6 เดือนตอ่ ครง้ั และประการสาคัญ อย่าเลี้ยงสตั วป์ ระเภทกีบคู่ใกล้กนั เพราะสามารถ ติดตอ่ กนั ได้ และอย่าให้คนเลี้ยงหมูจากท่ีอื่น เดนิ มาในบริเวณเลีย้ งหมู โดยไม่ได้จุ่มเท้าในนา้ ยาฆา่ เชื้อเสียกอ่ น การศกึ ษาภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถ่นิ ด้านการเลีย้ งหมูจากนางจาปี ยงิ่ เสมอ นักเรียนผสู้ ูงอายุโรงเรียนผู้สูงอายุเทศบาล เมืองวังน้าเย็น อาเภอวังน้าเย็น จังหวัดสระแก้วในคร้ังนี้ ทาให้ได้เรียนรู้ เข้าใจวิถีชีวิต ค่านิยม ความเชื่อ ขนบธรรมเนียมประเพณีท้องถิ่นท่ีมีความสัมพันธ์เชื่อมโยง การถ่ายทอดภูมิปัญญาการเล้ียงหมูของนางจาปี ยง่ิ เสมอ ทไี่ ด้รบั เรมิ่ ตน้ จากการที่ได้ซ้ือโรงสีข้าวที่เป็นโรงสีขนาดเล็กสาหรับใช้ในครัวเรือน หลังจากที่ได้สีข้าว มรี าและข้าวปลายเปน็ จานวนมาก หลังจากนาราและข้าวปลายไปใช้สาหรับเลี้ยงเป็ดไก่ก็ยังมีราและข้าวปลาย เหลืออีกเป็นจานวนมาก จึงเกิดความคิดที่จะนาหมูมาเล้ียง เพ่ือให้มีรายได้เพิ่มเติมมากข้ึน คร้ังแรกซ้ือหมูมา เลี้ยงจานวน 2 ตวั หมคู ู่แรกราคา 9,500 บาท ระยะเวลาในการเลย้ี ง 7 เดอื นก็ได้ผสมพันธุ์ หมูคอกแรก ทคี่ ลอดจานวน 16 ตวั หลังจากนั้นอกี ประมาณ 4-5 เดือนกส็ ามารถขายลูกหมูได้ และยังคงเหลือหมูพ่อพันธุ์ แมพ่ ันธุ์ไวเ้ ล้ยี งตอ่ ไป การเลี้ยงหมูถ้าจะใหด้ ตี อ้ งเลี้ยงหมูที่เกิดจากหมูในคอกโดยเรียกหมูที่เกิดจากหมูพ่อพันธ์ุ แม่พันธ์ุในคอกน้ีว่า “หมูครัว” การเลี้ยงหมูถ้าลงทุนซ้ืออาหารจะเสียค่าใช้จ่ายประมาณ 30,000 บาท แต่ หากใชร้ าและข้าวปลายที่ได้จากการสขี ้าว ก็จะสามารถลดคา่ ใชจ้ า่ ยลงได้มาก การเล้ยี งหมูเปน็ อาชพี ที่ภูมใิ จ เป็นอาชีพอสิ ระที่สร้างความสุขจากการเลี้ยงโดยไม่ต้องรับจ้างใครและ ไมม่ ภี าระหนี้สินจากการประกอบอาชีพ มีเงินใช้ มีเงินเก็บ โดยการพ่ึงพาตนเอง และทาให้ความเป็นอยู่ใน ครอบครัวอย่างพอพียง หากนับระยะเวลาท่ีได้รับการถ่ายทอดภูมิปัญญาการเลี้ยงหมูจากรุ่นสู่รุ่น ก็เกิดเป็น รักและความภาคภูมิใจในอาชีพท่ีสืบทอดกันมา ดังนั้นการสืบทอดการเลี้ยงหมูจากคนรุ่นเก่าสู่คนรุ่นใหม่ จึง

เป็นการสบื ทอดเพือ่ พฒั นาศกั ยภาพ ภูมิปญั ญาท้องถ่นิ ทีม่ ีอยู่ ช่วยเสริมสร้างคุณภาพชีวิตเพ่ือการดารงอยู่ของ วัฒนธรรมควบคู่กับการพฒั นาเป็นอาชพี และรายได้ของลูกหลานและคนชมุ ชน ตอ่ ไป

ภาคผนวก - ประวัตผิ ูจ้ ัดทาภูมิปญั ญาศกึ ษา - ภาพประกอบ

ประวตั ิผถู้ า่ ยทอดภูมิปญั ญา ชื่อ : นางจาปี ย่งิ เสมอ เกิด : เกดิ วนั ที่ 15 กนั ยายน พ.ศ. 2501 อายุ 60 ปี ภมู ิลาเนา : จงั หวดั นครราชสีมา ท่ีอยู่ปจั จุบนั : 216 หมูํ 5 ต.วังนา้ เย็น อ.วังน้าเยน็ จ.สระแกว๎ สถานภาพ : แตํงงานกับนายสวรรค์ ไรผํ ล มีบตุ ร 2 คน 1. นางน้าฝน ฉ่าใจหาญ 2. นางปราณี เจริญเมอื ง สถานภาพ ป๎จจบุ นั สมรส ปจั จบุ นั ประกอบอาชีพ : ทาไรํ-ทานา ประวตั ิผ้เู รยี บเรียงภูมิปัญญาศึกษา ชอื่ : นายธญั ญา ซอมแกว๎ เกิด : อายุ 41 ปี ภมู ลิ าเนา : อาเภอขุขันธ์ จังหวดั ศรสี ะเกษ ทอี่ ยู่ปัจจุบนั : 98/99 หมํู 2 ต.วังน้าเย็น อ.วงั น้าเยน็ จ.สระแก๎ว สถานภาพ : สมรส การศกึ ษา ปริญญาตรี สถาบนั ราชภัฏอุบลราชธานี ปริญญาโท มหาวทิ ยาลยั ปทมุ ธานี ปจั จุบันประกอบอาชีพ : ข๎าราชการครู โรงเรยี นเทศบาลมิตรสมั พันธว์ ทิ ยา สงั กัดเทศบาลเมอื งวงั น้าเยน็

ภาพประกอบการจดั ทาภมู ิปญั ญาศึกษา เร่อื ง การเล้ียงหมู

ภาพประกอบการจดั ทาภูมิปัญญาศกึ ษา เรอื่ งการเลี้ยงหมู นางจาปี ยง่ิ เสมอ ผถู๎ ํายทอดภูมิป๎ญญาศึกษา

ภาพประกอบการจดั ทาภูมปิ ัญญาศึกษา เร่ืองการเล้ียงหมู ประชมุ รับฟ๎งแนวทางการจัดทาภมู ิปญ๎ ญาศึกษาจากผ๎อู านวยการโรงเรยี นผู๎สงู อายเุ ทศบาลเมอื ง วงั น้าเยน็ และผ๎อู านวยการโรงเรียนเทศบาลมิตรสมั พนั ธ์วิทยา

ภาพประกอบการจัดทาภูมิปัญญาศึกษา เร่อื งการเล้ยี งหมู ประชมุ รับฟง๎ การจัดทารูปเลมํ และองค์ประกอบตํางๆ รวมถึงการเกบ็ ขอ๎ มูลภูมปิ ญ๎ ญาศกึ ษา โดยรองผอู๎ านวยการฝาุ ยวิชาการโรงเรียนเทศบาลมิตรสมั พนั ธ์วทิ ยา

ภาพประกอบการจดั ทาภูมิปัญญาศกึ ษา เรือ่ งการเลี้ยงหมู ลงพื้นท่เี พ่ือสัมภาษณ์ และเก็บขอ๎ มลู เบ้ืองตน๎ จากภูมปิ ญ๎ ญาศกึ ษา นางจาปี ย่ิงเสมอ ท่บี า๎ นวงั แดง หมํู 5 ต.วังน้าเยน็ อ. วังน้าเยน็ จ. สระแก๎ว

ภาพประกอบการจัดทาภูมิปัญญาศกึ ษา เรือ่ งการเลี้ยงหมู ลงพื้นท่เี พ่ือสัมภาษณ์ และเก็บขอ๎ มลู เบ้ืองต๎นจากภูมปิ ญ๎ ญาศกึ ษา นางจาปี ย่ิงเสมอ ท่บี า๎ นวงั แดง หมํู 5 ต.วังน้าเยน็ อ. วังน้าเยน็ จ. สระแก๎ว

ภาพประกอบการจัดทาภูมิปัญญาศกึ ษา เรือ่ งการเลี้ยงหมู ลงพื้นท่เี พ่ือสัมภาษณ์ และเก็บขอ๎ มลู เบ้ืองต๎นจากภูมปิ ญ๎ ญาศกึ ษา นางจาปี ย่ิงเสมอ ท่บี า๎ นวงั แดง หมํู 5 ต.วังน้าเยน็ อ. วังน้าเยน็ จ. สระแก๎ว

อ๎างองิ โครงการสารานุกรมไทยสาหรับเยาวชน โดยพระราชประสงคใ์ นพระบาทสมเดจ็ พระเจา๎ อยํูหวั . (2532). การเลย้ี งหมู (ออนไลน)์ . http://kanchanapisek.or.th/kp6/sub/book/book.php?book= 14&chap=10&page=t14-10-infodetail02.html: [30] http://phonsawan.nakhonphanom.doae.go.th


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook