การพฒั นา ทักษะการเขยี น
เรอ่ื ง การพฒั นาทักษะการเขยี น ผังมโนทศั น์สาระการเรยี นรู้ ความหมายและความสาคัญของการเขียน การเขยี น การใชต้ ัวอกั ษรเปน็ เคร่ืองมือในการถา่ ยทอดความรู้สกึ นกึ คิด เพ่ือบอกเลา่ อธิบาย จูงใจ แสดงความคิดเหน็ ล้อเลียน เสนอขา่ วสารหรือตดิ ต่อกิจธรุ ะต่างๆ หลกั การเขยี น ควรเขียนใหถ้ กู ต้อง กระชบั ชัดเจน ดว้ ยถอ้ ยคาไพเราะ ชวนใหต้ ดิ ตาม แสดงความคดิ เหน็ อยา่ งสมเหตุสมผล มงุ่ ให้เกดิ ความรู้ กระบวนการคดิ กบั กระบวนการเขยี น งานเขยี นทุกประเภทต้องใช้ความคดิ โดยคิดใหต้ รงจดุ จัดลาดบั เร่ืองราวให้เป็นระเบยี บ และมคี วามคดิ หลักเพยี งความคิดเดียว
การใชภ้ าษาในการเขียน การใชค้ าในการเขยี น ต้องเลอื กใชค้ าให้เหมาะสมตามกาลเทศะ เข้าใจงา่ ย ตรงความหมาย ถกู ตอ้ งตามจดุ ประสงค์ การเขียนและหลกี เล่ียงการใช้คาแสลง การใชส้ านวนในการเขยี น สานวน คือ ถ้อยคาเปรียบเทียบ สื่อความหมายชัดเจนกวา่ การกล่าวโดยตรง เช่น งงเปน็ ไกต่ าแตก นา้ กลง้ิ บนในบอน สีซอใหค้ วายฟัง ขงิ ก็ราขา่ ก็แรง การใช้โวหารในการเขยี น โวหาร คอื ถอ้ ยคาที่สละสลวย ถา่ ยทอดความรสู้ ึกและจินตนาการ แบง่ เปน็ ๑. พรรณนาโวหาร คอื การเลา่ โดยละเอียดเพื่อให้เหน็ ภาพ ๒. บรรยายโวหาร คือ การอธิบายอย่างถถี่ ว้ นเพอื่ ใหเ้ ขา้ ใจ ๓. อปุ มาโวหาร คือ การเปรยี บเทียบเพือ่ ให้เห็นชดั เจน ๔. เทศนาโวหาร คอื การชแ้ี จง ส่งั สอน เพ่อื ใหเ้ หน็ คุณและโทษ ๕. สาธกโวหาร คือ การยกตัวอย่างเพื่อใหเ้ ขา้ ใจเนื้อหา การเขียนในโอกาสต่างๆ การเขยี นจดหมายกจิ ธรุ ะ จดหมายกิจธรุ ะ เป็นจดหมายติดต่อธรุ กิจ มรี ปู แบบการเขยี นค่อนข้างเปน็ ทางการ สามารถ ใชเ้ ป็นหลกั ฐานทางกฎหมายและเช่อื มสมั พนั ธท์ างธุรกิจ อีกทัง้ สะดวก ประหยัดเวลา/ค่าใชจ้ ่าย และมีข้อมูลสินคา้ โดยหัวใจสาคัญของการเขยี นจดหมายกจิ ธุระ คอื การให้ข้อมลู ชัดเจน ตรงกบั วตั ถปุ ระสงค์ ให้เกียรตผิ ู้รับ ประเภทของจดหมายกจิ ธรุ ะ ไดแ้ ก่ ประเภทให้ข้อมูลเกีย่ วกับกิจธุระ เช่น จดหมายเชญิ จดหมายขอบคณุ และประเภทโน้มน้าวใจ เชน่ จดหมายเสนอขาย โครงสร้างของจดหมายกจิ ธรุ ะ ไดแ้ ก่ สว่ นตน้ (เหตผุ ลในการเขยี นจดหมาย) ส่วนกลาง (รายละเอียด/เอกสารแนบ) สว่ นทา้ ย (สรุปวตั ถปุ ระสงค)์
ขอ้ ควรปฏบิ ตั ใิ นการพมิ พจ์ ดหมายกิจธรุ ะ ควรใชก้ ระดาษสีขาวขนาดมาตรฐานเพียงหน้าเดียว เว้นขอบกระดาษ ๑.๕ นิ้ว รักษาความสะอาด ตรวจรูปแบบ การสะกดคา และทาสาเนาทกุ ฉบบั รปู แบบของจดหมายกิจธรุ ะ
การเขียนยอ่ ความ ยอ่ ความ คือ การเลือกเฉพาะเนื้อความท่สี าคัญ ต้องมชี อ่ื เรื่อง คานา ตามประเภทของขอ้ ความ เชน่ ข่าวเร่ือง............................................จาก ..............................................ความว่า จดหมาย.........................ของ.........................ถงึ ...................ลงวันท.่ี ....................ความว่า ประกาศของ..........................เรอื่ ง.....................แก.่ .....................เมือ่ ....................ความวา่ นอกจากน้หี ลกั การยอ่ ความยังต้องเปล่ียนสรรพนามบรุ ษุ ที่ ๑ และ ๒ ให้เปน็ ๓ และควรเรียบเรยี ง สาระสาคญั ในแตล่ ะยอ่ หน้า ตามสานวนของผยู้ ่อเอง
ตวั อยา่ งการยอ่ บทความทวั่ ไป ยอ่ ความอยา่ งสน้ั ทสี่ ดุ
ย่อความอยา่ งธรรมดา การเขยี นรายงานและโครงงาน การเขยี นรายงานการประชมุ รายงานการประชมุ คือบนั ทกึ ความคดิ เห็นหรือผลการประชุมทส่ี มาชกิ ตอ้ งศกึ ษาและปฏิบตั ิ ตามโดยจะระบชุ อื่ การประชุม เวลา วนั ที่ สถานที่ ผู้เข้ารว่ ม/ไมเ่ ข้าร่วมประชมุ เนอื้ ความ และชอ่ื ผู้จดรายงาน หลกั การจดรายงานการประชมุ ควรใช้ภาษาระดับทางการ อาจจดทกุ คาพูด จดเฉพาะประเดน็ สาคญั หรอื จดเฉพาะเหตุผลก็ได้ แตต่ อ้ งจดมติท่ปี ระชมุ ร่วมดว้ ยเสมอ รายงานการประชมุ ตามระเบยี บวาระ เป็นการประชมุ ตามกาหนดปกติ เช่น รายเดือน รายไตรมาส
การเขียนรายงานโครงงาน โครงงาน คือ งานวจิ ัยท่ีใชก้ ระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เพื่อสร้างความรู้ใหม่ เริ่มจากการต้งั คาถาม และคาดการณ์ คาตอบล่วงหนา้ แลว้ จึงทดลอง และสรุปผลการทดลอง ท่สี อดคลอ้ งกับสมมติฐาน การเขยี นรายงานโครงงานประกอบดว้ ย ชื่อโครงงาน ชื่อผจู้ ดั ทาและครทู ่ีปรึกษา ชื่อโรงเรียน วนั ท่ี บทคดั ย่อ กติ ติกรรมประกาศ ทม่ี าและความสาคญั วัตถปุ ระสงค์ สมมตฐิ าน เอกสาร วิธีดาเนนิ การ ผลการศกึ ษา สรปุ ผล ประโยชนท์ ่ไี ด้รับ ขอ้ เสนอแนะ และเอกสารอ้างอิง การเขยี นบรรยายและพรรณนา การเขยี นบรรยาย การอธิบายเหตกุ ารณ์ว่า ใคร ทาอะไร ท่ีไหน เม่ือไหร่ อยา่ งไร ควรบรรยายตามลาดับเหตุการณ์ ดว้ ยถอ้ ยคาท่ีกะทัดรัด อาจแทรกบทพรรณนา ข้อคิดเห็น ความรู้เพ่ิมเติมด้วย
ตวั อย่างการเขยี นบรรยายสถานที่ การเขยี นพรรณนา การเขยี นทมี่ ่งุ ใหเ้ กิดจินตนาการดว้ ยถอ้ ยคาส่ืออารมณ์ทาใหเ้ กดิ ภาพพจน์ ตวั อย่างการเขยี นพรรณนา การเขยี นเรยี งความ ยอ่ หนา้ ยอ่ หนา้ ประกอบด้วยหลายประโยคแตม่ ใี จความสาคญั เพยี งอย่างเดยี ว ลักษณะของยอ่ หน้าทดี่ ี ควรใชภ้ าษาในการเขยี นท่ีเหมาะสม มเี อกภาพและสัมพันธภาพ ขอ้ ความหลายยอ่ หน้า ใจความสาคัญของแตล่ ะยอ่ หนา้ ต้องสอดคลอ้ งกับใจความหลัก (เอกภาพ) และสมั พันธก์ ัน ตามลาดบั เวลา หรือความสาคัญ (สมั พนั ธภาพ)
การวางโครงเร่อื งของเรยี งความ การวางโครงเรื่องโดยพจิ ารณาถึงใจความทจ่ี ะนามาขยาย อาจใชว้ ลี หรือประโยคกไ็ ด้ แต่ตอ้ งใชร้ ปู แบบเดยี วกนั ท้งั เรื่อง การเขยี นแสดงความคดิ เหน็ และการเขยี นโตแ้ ยง้ การเขยี นแสดงความคดิ เหน็ การแสดงความคิดเห็นต้องมหี ลักฐาน ข้อเท็จจริง หรอื ความรู้ประกอบ ตวั อย่างการเขยี นแสดงความคดิ เหน็ การเขยี นโตแ้ ยง้ การเขียนแสดงความไม่เห็นด้วยโดยปราศจากอคติ ตัวอย่างการเขยี นโตแ้ ยง้
การเขยี นวจิ ารณ์ ผวู้ จิ ารณ์ควรแสดงความคดิ เห็นอยา่ งเหมาะสม มีความร้ใู นเรื่องที่วจิ ารณ์ และให้เกียรตผิ ถู้ ูกวจิ ารณ์ โดยใชภ้ าษาที่สภุ าพ วิจารณ์ดว้ ยความเปน็ กลาง เขยี นข้อเท็จจรงิ ช้ีใหเ้ หน็ ประโยชน์/โทษ และขอ้ มูล เปรยี บเทียบเพอ่ื ประเมนิ และเสนอแนะให้ผถู้ ูกวจิ ารณ์นาไปปรบั ปรงุ ตอ่ ไป การแตง่ บทรอ้ ยกรอง – หนา้ ๕ คา วรรคหลัง ๒ คา (เฉพาะวรรคหลังบาทท่ี ๔ มี ๔ คา) อาจมคี าสรอ้ ยท้ายบาทที่ ๑ และ ๓ – บงั คับคาเอก ๗ คา คาโท ๔ คา ใช้คาตายแทนคาเอกได้ แผนบงั คบั โคลงสส่ี ภุ าพ โคลงสสี่ ภุ าพ บทหน่ึงมี ๔ บาท บาทละ ๒ วรรค การคดั ลายมือ การคดั ลายมือมี ๒ ลักษณะ คอื คัดตัวบรรจง และคดั ตัวหวดั แกมบรรจง ซงึ่ ในการเขยี นตัวอักษร ต้องเริ่มจากหัวหรือ ส่วนหลกั กอ่ นแลว้ ลากไปจนจบปลาย ควรเขยี นใหช้ ัดเจนและลงตาแหนง่ ใหถ้ ูกต้อง มารยาทในการเขยี น ควรเขียนในเร่อื งทผี่ ู้เขียนมคี วามรู้และเปน็ ประโยชนต์ ่อสังคม โดยปราศจากอคติส่วนตัว บอกแหล่ง อ้างอิงของขอ้ มูลเสมอ และไมค่ ดั ลอกขอ้ ความหากไม่ได้รบั อนญุ าต
Search
Read the Text Version
- 1 - 14
Pages: