Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ทวีปยุโรป.kunanon treesongkiat

ทวีปยุโรป.kunanon treesongkiat

Published by student8966, 2020-07-03 10:48:20

Description: ยุโรป การปกครอง สังคม เศรษฐกิจ ศิลปะ

Keywords: ยุโรป, การปกครอง สังคม เศรษฐกิจ ศิลปะ

Search

Read the Text Version

พฒั นาการด้านสังคม สมัยกลาง

ประวตั ศิ าสตรโ์ ลกเกา่ (โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ ยโุ รป แผนที่ยโุ รป ค.ศ. 1000 และเมดเิ ตอรเ์ รเนยี น) โดยทัว่ ไปแบง่ เป็ น ยคุ โบราณ ถงึ ค.ศ. 476 สมยั กลาง ตงั้ แตค่ รสิ ตศ์ ตวรรษ ที่ 5 ถงึ 15 ซงึ่ รวมยคุ ทองของอสิ ลาม (ประมาณ ค.ศ. 750-1258) และยคุ ฟ้ืนฟศู ลิ ปวทิ ยายโุ รปตอนตน้ (เรมิ่ ตน้ ประมาณ ค.ศ. 1300) ยคุ ใหมต่ อนตน้ ตงั้ แต่ ครสิ ตศ์ ตวรรษที่ 15 ถงึ ปลายครสิ ตศ์ ตวรรษที่ 18 ซง่ึ รวม ยคุ เรอื งปัญญา และยคุ ใหมต่ อนปลาย นับแตก่ ารปฏวิ ัติ อตุ สาหกรรมถงึ ปัจจบุ นั รวมทัง้ ประวตั ศิ าสตรร์ ว่ มสมยั ตะวันออกใกลโ้ บราณ กรซี โบราณและโรมโบราณมคี วามโดดเดน่ ในยคุ โบราณ ในประวตั ศิ าสตรย์ โุ รปตะวนั ตก การเสยี กรงุ โรมมกั ยดึ เป็ นการสนิ้ สดุ ของยคุ โบราณและการเรม่ิ ตน้ ของ สมยั กลาง ขณะทย่ี โุ รปตะวันออกมกี ารเปลยี่ นผา่ นจาก จกั รวรรดโิ รมนั เป็ นจกั รวรรดไิ บแซนไทน์ ซงึ่ รงุ่ เรอื งตอ่ มา อกี เป็ นเวลานาน กลางครสิ ตศ์ ตวรรษท่ี 15 การประดษิ ฐ์ การพมิ พส์ มยั ใหมข่ องโยฮนั น์ กเู ทนแบรก์ ซง่ึ ใชก้ าร สอื่ สารแบบเคลอื่ นทไ่ี ดแ้ ละเปลยี่ นแปลงอยา่ งสนิ้ เชงิ เป็ นจดุ สนิ้ สดุ ของยคุ กลางและนาไปสกู่ ารปฏวิ ตั ิ วทิ ยาศาสตร์ เมอื่ ครสิ ตศ์ ตวรรษที่ 18 การสะสมความรู ้ และเทคโนโลยี โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ ในยโุ รป ไดถ้ งึ จานวน วกิ ฤต (critical mass) อนั นามาซง่ึ การปฏวิ ัตอิ ตุ สาหกรรม

แผนที่ลำดบั เหตกุ ำรณ์ในยโุ รปและโลกสมยั โบรำณ

ลกั ษณะของสงั คมยโุ รปสมยั กลาง 1.กษัตรยิ :์ น่ังอยบู่ นยอดสดุ ของสงั คมศกั ดนิ า ครอบครองพน้ื ดนิ ขนาดใหญ่ การลม่ สลายของกรงุ โรมในครสิ ตศ์ กั ราช 476 เรม่ิ ขน้ึ 2. เจา้ หนา้ ทแี่ หง่ ครสิ ตจักรและขนุ นาง: เป็ นเจา้ ของทด่ี นิ ในชว่ งประมาณ 1,000 ปี ซงึ่ รจู ้ กั กนั วา่ เป็ นยคุ กลาง (Middle ยดึ ครองอานาจและความมงั่ คง่ั เป็ นอนั มาก Ages) ในยคุ กลางนภ้ี มู ทิ ศั นท์ างการเมอื งและวฒั นธรรมของ 3. อศั วนิ : เป็ นนักรบจดั การดา้ นการทหารใหก้ บั ขนุ นาง ยโุ รปเปลย่ี นแปลงอยา่ งมากหลงั จากการลม่ สลายของกรงุ เพอ่ื แลกเปลย่ี นทดี่ นิ หลายแปลง โรม 4. ชาวไรช่ าวนาชาวสวน เกษตรกร: ทางานใหก้ บั ขนุ นาง ในฐานะเป็ นขา้ แผน่ ดนิ และงานอน่ื ๆ ทเ่ี หน็ดเหน่ือยมาก ยโุ รปยคุ กลางมรี ะบบการเมอื งและสงั คมทเ่ี รยี กวา่ ระบบฟิวดลั หรอื ระบบศกั ดนิ าสวามภิ กั ด์ิ ระบบศกั ดนิ าขน้ึ อยกู่ บั ขอ้ ตกลงระหวา่ งกลมุ่ ขนุ นางสองกลมุ่ คอื ขนุ นางและขา้ ราชบรพิ าร ลอรด์ (Lord) คอื ขนุ นางผู ้ ทรงอานาจซงึ่ เป็ นเจา้ ของทดี่ นิ ขนุ นางอนุญาตใหข้ นุ นางชนั้ ผนู ้ อ้ ย ซงึ่ เรยี กขา้ ราชบรพิ าร ใชท้ ดี่ นิ หลายสว่ น ทดี่ นิ หลาย แปลงเหลา่ นถี้ กู เรยี กวา่ ศกั ดนิ า เพอื่ เป็ นการแลกเปลยี่ นศกั ดิ นา ขา้ ราชบรพิ ารจะทาหนา้ ทใี่ นศาลของและกองทพั บกของ ขนุ นางชนั้ ผใู ้ หญ่ ขนุ นางชนั้ ผใู ้ หญป่ ้องกนั ดนิ แดนไมใ่ หม้ ี การโจมตดี ว้ ยกองทพั ของขา้ ราชบรพิ าร ขา้ ราชบรพิ ารบาง พวกเป็ นนักรบ เรยี กกนั วา่ อศั วนิ

ผู้คนในสังคม ประกอบด้วย 3 ชนชัน้ ฐานันดรท่ี 1 คอื ราชวงศ์และขุนนาง

ฐานันดรท่ี 2 คอื พระหรือบาทหลวงในคริสต์ศาสนา

ฐานันดรท่ี 3 คือราษฎร สามญั ชน ชาวนาเสรี และทาสตดิ ท่ดี นิ

กาเนิดชนชัน้ กลาง ในปลำยคริสต์ศตวรรษท่ี 11 เม่ือมีกำรฟืน้ ตวั ของเศรษฐกิจและ เมืองขนึ ้ สงั คมยโุ รปเริ่มมีชนชนั้ ใหมเ่ กิดขนึ ้ ได้แก่ ชนชนั้ กลำง หรือ ชนชนั้ กระฎมุ พี เป็นชนชนั้ ท่ีมีรำยได้จำกกำรทำกำรค้ำ ธุรกิจส่วนตวั รับจ้ำง และเป็นอำจำรย์-นกั ศกึ ษำ เป็นต้น มิได้มีรำยได้จำกกำรทำ กำรเกษตรหรือถือที่ดนิ จำนวนมำกเหมือนพวกขนุ นำงหรือผู้ใช้ แรงงำน ซงึ่ ชนชนั้ กลำงเป็นผ้รู ่วมวำงรำกฐำนควำมเจริญให้แก่สงั คม ยโุ รปและปลกู ฝังอดุ มกำรณ์และวิธีกำรปฏบิ ตั ใิ นกำรอย่รู ่วมกนั ทงั้ ชนชนั้ กลำงยงั เป็นสว่ นหนง่ึ ในกำรสนบั สนนุ และกำรส่งเสริมขยำย กำรศกึ ษำ ก่อให้เกิดมหำวิทยำลยั และกำรฟืน้ ฟศู ิลปวทิ ยำกำร (Renaissance) และควำมเจริญอ่ืนๆ ตลอดจนพฒั นำกำรของ ระบอบประชำธิปไตยในเวลำต่อมำ จนในคริสต์ศตวรรษท่ี 19 และ เม่ือเกิดกำรปฏิวตั ิอตุ สำหกรรมในประเทศองั กฤษ ชนชนั้ กลำง กลำยเป็นกลมุ่ ท่ีมีบทบำทสำคญั ในด้ำนกำรเมือง เศรษฐกิจ สงั คม และวฒั นธรรม อย่ำงไม่เคยมีมำก่อน

ในกรณีของประเทศองั กฤษในคริสต์ศตวรรษท่ี 19 ชนชนั้ กลำงแบง่ ชนชนั้ กลำงระดบั สงู ออกเป็น 2 กล่มุ คือ กล่มุ ชนชนั้ กลำงระดบั ล่ำงคือ “ผ้ใู ห้บริกำร” แก่ ชนชนั้ ขนุ นำงและชนชนั้ กลำงระดบั สงู ได้แก่ บรรดำชำ่ งฝีมือ นำยทนุ รำยยอ่ ย เจ้ำของร้ำนค้ำ เป็นต้น สว่ นกล่มุ ชนชนั้ กลำงระดบั สงู มกั เป็นผ้นู ำสร้ำงควำมเปล่ียนแปลง ให้กบั สงั คมและมีวิถีชีวิตเชน่ เดียวกบั ขนุ นำง ต่ำงกันในเรื่องชำติ ตระกลู กล่ำวคือชนชนั้ ขนุ นำงสืบเชือ้ สำยและมง่ั คง่ั กันมำเป็น เวลำนำน สว่ นชนชนั้ กลำงระดบั สงู คือ เศรษฐีใหมห่ รือพวกผ้ดู ีใหม่ มกั เป็นตวั แทนของชนชนั้ กลำงทว่ั ไป ซงึ่ ชนชนั้ กลำงมีบทบำท สำคญั ในด้ำนต่ำงๆของสงั คม กล่มุ ชนชนั้ กลำงระดบั ล่ำง

พฒั นาการด้านสังคม สมยั ปัจจุบนั

สังคมยุโรปในปัจจุบัน เป็ นสังคมเมือง เป็ นผลมาจากการปฏวิ ัตอิ ุตสาหกรรมทาให้มีผู้คนจากชนบทอพยพ เข้ามาทางานในเมือง ซ่งึ ปรากฏเด่นชัดตงั้ แต่ตอนกลางคริสต์ศตวรรษท่ี 19 เป็ นต้นมา ประชากรขององั กฤษและประเทศท่มี ีความก้าวหน้าทางอุตสาหกรรม มากกว่าคร่ึงหน่ึงของประชากร ทัง้ หมดอาศัยอยู่ในเขตเมืองและเป็ นชนชนั้ กลาง

สรุปพฒั นาการด้านสังคม สมัยกลาง ทวีปยุโรป • สงั คมแบบฟิวดลั มีกำรแบง่ เป็นชนชนั ้ ต่ำงๆ • ชนชนั ้ กลำง หรือชนชนั ้ กระฎมุ พี ร่วมกนั วำงรำกฐำนควำมเจริญ ให้แก่สงั คมยโุ รป ปลกู ผงั อดุ มกำรณ์ และวิธีกำรปฏบิ ตั ใิ นกำรอยู่ ร่วมกนั สมัยปัจจุบัน • สงั คมเมอื ง จำกกำรปฏวิ ตั อิ ตุ สำหกรรม

พฒั นาการด้านเศรษฐกจิ สมยั กลาง

เศรษฐกจิ แบบแมเนอร์ (Manor)

ระบบแมเนอร์เป็นระบบกำรปกครองท่ีพงึ่ พำตนเองเกิดในยโุ รป ระบบนีเ้ป็นระบบที่นำ่ สนใจมำก เพรำะเป็นระบบที่เป็นต้นแบบของ กำรปกครองแบบยอ่ ย คือในแมเนอร์หนง่ึ ๆนนั้ จะมี 4 ชนชนั้ คอย ควบคมุ ดแู ลซงึ่ กนั ได้แก่ ชนชนั้ ขนุ นำงหรือเจ้ำของแมนเนอร์ ชนชนั้ ไพร่ ชนชนั้ ทำส ชนชนั้ อื่นๆ เชน่ เสรีชน ทำส ชำวเมือง แมนเนอร์จะประกอบด้วย หมบู่ ้ำนมีปรำสำทคฤหำสน์และวงั สำหรับขนุ นำงและกษัตริย์ โดยจะมีคฤหำสน์ของผ้ปู กครองตงั้ อยู่ ตรงกลำงล้อมรอบด้วยคกู นั้ เป็นที่อยขู่ องครอบครัว เจ้ำของท่ีดนิ และอศั วนิ รวมถงึ ผ้จู ดั กำรดแู ลแมเนอร์ พระของหมบู่ ้ำน ถดั จำกคู ที่ล้อมรอบจะเป็นที่อยอู่ ำศยั ของชำวไร่ชำวนำ ส่วนท่ีดีท่ีสดุ ไว้เป็น สมบตั สิ ่วนตวั ของเจ้ำของท่ีดินและพระ ที่เหลือเจ้ำของท่ีดินจะ แบ่งให้พวกไพร่ติดที่ดนิ แตล่ ะครอบครัวจะขยำยหรือโยกย้ำยไมไ่ ด้ ถ้ำเจ้ำของท่ีดินไม่สง่ั และมีที่ดนิ เพ่อื เพำะปลกู

กำรเกษตรถือว่ำเป็นกิจกรรมที่สำคญั ท่ีสดุ และวถิ ีชีวิตทำง เศรษฐกิจในแมเนอร์สว่ นใหญ่ผกู พนั กบั กำรเกษตรและกำรเลีย้ ง สตั ว์ โดยอำจมีกำรค้ำบ้ำงตำมเมืองต่ำง ๆ กำรเกษตรกรรมจะ ทำเพื่อกำรเลีย้ งชีพมำกกวำ่ กำรค้ำ แต่ก็ได้มีกำรนำผลติ ผลท่ี เหลือแลกเปลี่ยนกบั สนิ ค้ำอ่ืนๆ ท่ีพอ่ ค้ำเร่นำมำขำย สิทธิและ หน้ำที่ของแต่ละคนในแมเนอร์จะเป็นอยำ่ งไรยอ่ มแล้วแต่ ขนบธรรมเนียมในแมเนอร์ท่ีกำหนดไว้ ตอ่ มำมีปัญหำตำ่ งๆเกิดขนึ ้ มำกมำยในแมเนอร์ เชน่ กำรเพมิ่ ขนึ ้ ของจำนวนประชำกำร กำรฟืน้ ฟทู ำงกำรค้ำ กำรขยำยตวั ของ อตุ สำหกรรมและกำรตลำด กำรเกิดโรคระบำดใหญ่ กำร เรียกร้องค่ำจ้ำงสงู ขนึ ้ ซงึ่ สำเหตดุ งั กล่ำวเป็นสำเหตสุ ำคญั ท่ีทำ ให้ระบบแมเนอร์ล่มสลำยลง

สงครำมครูเสดเกิดขนึ ้ ครัง้ แรกในปี 1095 โดยสมเด็จพระ สนั ตะปำปำเออร์บนั ที่ 2 ของกรุงโรม ได้ยกกองทพั ชำวคริสต์ไป ยงั กรุงเยรูซำเลม็ ซงึ่ ทหำรในกองทพั สว่ นใหญ่จะมำจำกประเทศ ฝรั่งเศสท่ีมีผ้คู ือโรเบริ ์ตนอร์มงั ดีได้ยดึ ฐำนทีมนั่ โดยล้อมลอบกรุง เยรูซำเลม็ เอำไว้ ส่วนกองทหำรของมสุ ลิมท่ีแข็งแกร่งท่ีสดุ ใน สมยั นนั้ เรียกว่ำ ซำระเซน็ ได้ต่อส้กู นั อย่ำงเข้มแข็ง แล้วสดุ ท้ำย ทำงทหำรกองกำลงั นกั รบครูเสดก็ได้บกุ เข้ำไปได้สำเร็จทำกำร ฆ่ำชำวคริสต์ และมสุ ลิมรวมไปถึงชำวยิวที่อำศยั อย่ใู นนนั้ จน หมด กำรเกิดสงครำมครูเสดสว่ นใหญ่มีสำเหตทุ ่ีสำคญั คือ ควำม แตกต่ำง และควำมเชื่อทำงศำสนำในหลำยๆ ศำสนำจนสง่ ผล ทำให้เกิดควำมไม่เข้ำใจกนั ในแตล่ ะศำสนำจนถึงขนำดต้องแย่ง ชงิ ดินแดนศกั ดิส์ ทิ ธ์ิแหง่ นีส้ ร้ำงควำมสญู เสียต่อประชำชนใน สมยั นนั้ เป็นอย่ำงมำกในควำมขดั แย้งนีจ้ งึ ยงั ส่งผลมำถงึ ใน ปัจจบุ นั ด้วยสงครำมครูเสดนนั้ เกิดขนึ ้ ด้วยกนั ทงั้ หมด 9 ครัง้ และ สร้ำงควำมเสียหำยให้กบั ผ้คู นในยคุ นนั้ ไม่ใชน่ ้อย

เศรษฐกจิ ในช่วงสงครามครูเสด การฟื้นตัวของเศรษฐกจิ และสังคมของยโุ รป ส่วนหน่ึงเป็ นผลจากสงครามครูเสด ท่ชี าวคริสต์รบกับชาว มุสลิมในดนิ แดนตะวันออกกลาง และมีโอกาสนาเอา ความรู้ ความเจริญ และ ศิลปะวิทยาการ ของโลก ตะวันออก กลับมาเผยแพร่ให้แก่โลกตะวันตกส่วนสินค้าท่ี โลกตะวันตกต้องการ ได้แก่ เคร่ืองเทศ นา้ ตาล ข้าว ส้ม มะนาว พริกไทย ผ้าไหม และพรม โดยมีพ่อค้าชาวอติ าลี เป็ นคนกลาง พ่อค้าอิตาลีซ่งึ เป็ นท่รี ู้จกั กนั ดีได้แก่ มาร์โก โปโล (Marco Polo) ชาวเวนิส ได้เดนิ ทางไปค้าขาย จนถงึ เมืองจีน

พฒั นาการด้านเศรษฐกจิ สมยั ใหม่

เศรษฐกจิ สมัยใหม่ ในคริสต์ศตวรรษท่ี 16 เมื่อยโุ รปเข้ำสสู่ มยั ใหม่ กำรค้ำขำยทำง ทะเลในดินแดนไกลโพ้น มีควำมเจริญรุ่งเรืองมำก มีกำรสำรวจ ทำงทะเลเพอ่ื แสวงหำเส้นทำงเดนิ เรือและค้นพบดนิ แดนใหมๆ่ ทงั้ ในทวีปอเมริกำ เอเชีย และแอฟริกำ ทำให้ชำติในยโุ รปเกิด พฒั นำกำรทำงด้ำนเศรษฐกิจในรูปแบบ ต่ำงๆ ระบบเศรษฐกจิ แบบพาณิชยนิยม รัฐบำลของกษัตริย์จะเข้ำไปควบคมุ กำรผลิตสนิ ค้ำและกำร ค้ำขำยทงั้ ภำยในประเทศและกบั ต่ำงประเทศ เพ่อื นำรำยได้เข้ำสู่ ท้องพระคลงั ให้มำกที่สดุ เน้นกำรส่งออกและกีดกนั กำรนำเข้ำ สินค้ำจำกตำ่ งประเทศ สง่ เสริมกำรแสวงหำอำณำนคิ มเพ่ือเป็น แหลง่ วตั ถดุ บิ และตลำดระบำยสนิ ค้ำ ทงั้ นี ้เกิดจำกควำมเชื่อว่ำ จะทำให้รัฐเข้มแขง็ และมนั่ คง

ระบบเศรษฐกจิ แบบทนุ นิยม ในตอนปลำยคริสต์ศตวรรษท่ี 18 เกิดแนวควำมคิดกำรค้ำแบบ เสรี (Free Trade) โดยสนบั สนนุ ให้เอกชน เป็นผ้ปู ระกอบ ธรุ กิจกำรค้ำ ทงั้ ในด้ำนอตุ สำหกรรมและกำรเงิน โดยรัฐไมเ่ ข้ำ ไปแทรกแซง แต่ควรปลอ่ ยให้นำยทนุ แข่งขนั กนั อย่ำงเสรี ซงึ่ จะ นำควำมมง่ั คง่ั มำสรู่ ัฐได้เช่นกนั

ระบบเศรษฐกจิ แบบสังคมนิยม มีกำรยกเลิกกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินสว่ นบคุ คล เช่น ที่ดิน โรงงำน ฯลฯ แตร่ ัฐจะเข้ำควบคมุ และดำเนนิ กำรในระบบ เศรษฐกิจเองทงั้ หมด โดยให้มีกำรบริหำรกำรผลติ โดยชนชนั้ แรงงำน ทงั้ นีเ้พ่ือสร้ำงระบบ เศรษฐกิจท่ีมี ควำมเสมอภำคและเกิดควำมเป็นธรรมในสงั คม

สรุปพฒั นาการด้านเศรษฐกจิ สมัยกลาง ทวีปยุโรป • เศรษฐกิจแบบแมเนอร์ สง่ ผลให้กำรค้ำหยดุ ชะงกั เป็นเวลำนำน • สงครำมครูเสด สง่ ผลให้เศรษฐกิจยโุ รปฟื น้ ตวั อีกครัง้ สมัยใหม่ • เศรษฐกิจแบบพำณิชยนิยม รัฐเป็นเจ้ำของกิจกำรทงั ้ หมด • เศรษฐกิจแบบทนุ นิยม สง่ เสริมเอกชนให้เป็นเจ้ำของกิจกำร • เศรษฐกิจแบบสงั คมนิยม สร้ ำงควำมเสมอภำคและควำมเป็ นธรรม

พฒั นาการด้าน ส่งิ ท่ีมีอิทธิพลตอ่ กำรสร้ำงสรรค์ผลงำนด้ำน ศลิ ปวัฒนธรรม ศลิ ปวฒั นธรรมของชนชำติยโุ รปท่ีสำคญั มี 2 ประกำร คือ อารยธรรมกรีก-โรมัน และ คริสต์ศาสนา ซง่ึ เป็นรำกฐำนของวฒั นธรรม ตะวนั ตกในปัจจบุ นั

อารยธรรมกรีก Zuse ความเช่ือทางศาสนา ชำวกรีก นบั ถือเทพเจ้ำ หลำยองค์ โดยให้ควำมสำคญั กบั ธรรมชำติ และ ยกย่องให้เป็นเทพเจ้ำ Posidon

อารยธรรมกรีก งานสถาปัตยกรรม ได้แก่ วหิ ำรพำร์เธนอน หวั เสำ แบบ ดอริก ไอออนิก,คอรินเธียน

อารยธรรมกรีก งานวรรณกรรม ได้แก่ อีเลยี ด และโอเดสซี ของกวโี ฮเมอร์

อารยธรรมโรมนั สนำมกีฬำคอลอสเซยี ม งำนสถำปัตยกรรม ลกั ษณะเดน่ คอื อำคำร สิ่งก่อสร้ำงมีขนำดใหญ่ เพอ่ื รองรับคนจำนวนมำก หลงั คำเป็นแบบโค้งครึ่งวงกลมหรือโดม และรู้จกั ใช้คอนกรีต เช่น สนำมกีฬำคอลอสเซยี ม งำนวรรณกรรม ผลงำนที่มีช่ือเสยี ง ได้แก่ “อีเนียด” ของกวชี ่ือ เวอร์จิล เป็นมหำกำพย์สดดุ คี วำม ยิ่งใหญ่ของชนชำติ โรมนั และควำม เป็นมำของกรุง โรม

ศิลปะยุคแห่งศรัทธา เกิดจำกอทิ ธิพลของคริสต์ศำสนำซง่ึ พลงั ท่ีแตง่ เตมิ ให้ ศลิ ปวฒั นธรรมของยโุ รปบรรลคุ วำมงำม และควำม สมบรู ณ์แบบ ทงั ้ มีกำรสร้ำงมหำวิหำรด้วยศิลปะแบบ กอทิก ในระหวำ่ ง ค.ศ. 1100 - 1300 มีจำนวนมำกกว่ำ 500 แห่ง

ศิลปะกอทกิ ผลงำนของศลิ ปะกอทกิ จะปรำกฏในงำน สถำปัตยกรรม สว่ นใหญ่เป็นวหิ ำรในคริสต์ศำสนำ มลี กั ษณะสงู เพรียว โปร่ง หลงั คำ ทรงสงู ก่อสร้ำง เป็นโค้งแหลม ประตมู ี ลกั ษณะโค้ง หน้ำตำ่ งใช้ กระจก สีประดษิ ฐ์ ลวดลำย สวยงำม เช่น วหิ ำร โนตรดำม (Notre Dame) กรุง ปำรีส ประเทศ ฝรั่งเศส และวหิ ำร ออร์เวียตโต (Orvieto) เมอื งเตร์นี (Terni) ประเทศอติ ำลี เป็นต้น

ศิลปะยุคฟื้นฟูศิลปวทิ ยาการ (Renaissances) ศลิ ปะยคุ ฟื น้ ฟศู ิลปวทิ ยำกำร (Renaissances) เริ่มต้นในอติ ำลี ในกลำงคริสต์ศตวรรษท่ี 14 ยโุ รปสำมำรถฟื น้ ฟกู ำรศกึ ษำและผลงำนสร้ำงสรรค์ ทำงด้ำน วิจิตรศลิ ป์ ของกรีก-โรมนั ขนึ ้ มำใหม

สถาปัตยกรรม ได้แก่ วิหำรเซนต์ ปีเตอร์ ณ นครวำตกิ นั กรุงโรม ประเทศ อติ ำลี มีรูปแบบอำคำรของกรีกและโรมนั เช่น ใช้เสำ ขนำดใหญ่ หลงั คำโค้ง หรือหลงั คำรูปโดม

ประตมิ ากรรม ได้แก่ รูปสลกั หินออ่ นเดวดิ (David) ของศิลปินท่ีช่ือ ไมเคิล แอนเจโล (Michelangelo) แสดงสดั ส่วนสรีระร่ำงกำย ของ มนษุ ย์เหมือนอย่ำงกรีก-โรมนั ไมเคลิ แอนเจโล (Michelangelo)

จติ รกรรม นิยมเขียนภำพวำดเหมือนจริง เน้นอริ ิยำบถ กำรเคลื่อนไหวและ สะท้อนอำรมณ์และควำมรู้สกึ ของมนษุ ย์ ตำมควำมเป็นจริง มีกำรใช้สี และเงำให้เกิดแสงสวำ่ ง เกิดควำมตืน้ ลกึ ของภำพที่ เรียกวำ่ “เปอร์สเปคตีฟ” (Perspective) ผลงำนที่มีชื่อเสียง คือ ภำพโมนำลซิ ำ (Mona Lisa) ของศิลปินช่ือ ลิโอนำร์โด ดำวินชี (Leonardo da Vinci) ชำวอิตำลี เป็นต้น

ศิลปะแบบบาโรก (Baroque Arts) ในช่วงเวลำคริสต์ศตวรรษท่ี 17 เป็นช่วงเวลำท่ีกษัตริย์ ยโุ รปรำชวงศ์ต่ำงๆ มีพระรำชอำนำจโดยสมบรู ณ์ เหล่ำ พอ่ ค้ำขนชนั ้ กลำงมคี วำมมง่ั คง่ั ร่ำรวย ผลงำนด้ำนศิลปะ ในยคุ นีจ้ งึ เน้นควำมหรูหรำ ฟงุ้ เฟอ้ เพ่ือตอบสนองชนชนั ้ สงู และคนมีฐำนะ เร่ิมต้นท่ีอติ ำลี ถกู นำมำใช้เพื่อควำมยงิ่ ใหญ่ ของคริสต์ศำสนำ นิกำยโรมนั คำทอลกิ Assumption of the Virgin Mary โดยอนั นบี ำเล กำร์รัชชี (โรม, อติ ำล)ี

ศิลปะแบบบาโรก (Baroque Arts) ฝร่ังเศส ถกู นำไปใช้เพื่อสร้ำงควำมสขุ และควำมหรูหรำแก่ ชนชนั ้ สงู เชน่ กำรสร้ำงพระรำชวงั แวร์ซำยของพระเจ้ำ หลยุ ส์ที่ 14 ต่อมำศิลปะบำโรกจำกรำชสำนกั ก็ขยำยเข้ำสู่ คฤหำสน์ของชนชนั ้ ขนุ นำง

ศลิ ปะแนวสัจนิยม (Realistic) - เป็นภำพวำดท่ีมกั ถ่ำยทอดควำมเป็นจริงของชีวิต ในสงั คม อตุ สำหกรรม ทงั ้ ควำมมง่ั คง่ั ของนำยทนุ และชีวิตของคนยำกจน ในเมอื งใหญ่ - ศลิ ปินก็นำหลกั วิทยำศำสตร์มำประยกุ ต์กับ แนวทำงศิลปะทำให้ ภำพวำดมลี กั ษณะใหมท่ ่ี สวำ่ งและสดใสมำกขนึ ้ จงึ ได้ชื่อวำ่ อิมเพรสชนั นสิ ต์ (Impressionism) - จติ รกรที่โดดเด่น เช่น โกลด โมเน (Claude Monet) ปีแยร์ โอกสู ต์ เรอนวั ร์ (Pierre Auguste Renoir)

สรุปพฒั นาการด้านศลิ ปวัฒนธรรม • ส่ิงที่มีอิทธิพลตอ่ กำรสร้ำงสรรค์ ผลงำนด้ำนศิลปวฒั นธรรมของชนชำติ ทวีปยุโรป ยโุ รปที่สำคญั คือ อำรยะธรรมกรีก- โรมนั และ ศำสนำคริสต์ • กำรสร้ำงสรรค์ทำงศลิ ปวฒั นธรรมของ ทวปี ยโุ รปเกิดขนึ ้ หลำยยคุ สมยั ศลิ ปยคุ แหง่ ศรัทธำ ศิลปะยคุ ฟืน้ ฟศู ิลปวทิ ยำกำร เชน่ ศิลปะแบบบำโรก ศลิ ปะแนวสจั นิยม หรือ เรียลลิสติค เชน่ ศิลปอิมเพรสชน่ั นิสต์


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook