แนวความคิดทางการบริหารองค์การทงั้ 5 ยคุ หนั งสือเลม่ น้ี จดั ทําโดย กฤตภาส เสนี ยะกลุ 6440704113
สารบัญ 1 2 ● วิวัฒนาการ แนวความคิดทางการบรหิ ารองค์การ ม5ี ยคุ 3 ● แนวความคิดการบรหิ ารแบบดงั้ เดมิ 7 9 ○ การบรหิ ารตามหลักวทิ ยาศาสตร์ 10 ○ การบรหิ ารงานตามหลักการบรหิ าร 13 ○ การบรหิ ารงานตามระบบราชการ 14 ● แนวความคิดการบรหิ ารแบบมนษุ ย์สัมพันธ์ 15 ● แนวความคิดการบรหิ ารจัดการเชงิ ปรมิ าณ ● แนวความคิดการบรหิ ารตามสถานการณ์ ● แนวความคิดการบรหิ ารสมัยใหม่
ววิ ฒั นาการ แนวความคิดทางการบรหิ ารองค์การ มี5ยคุ 1. แนวความคิดการบรหิ ารแบบดัง้ เดิม (Classical Approach) 2. แนวความคิดการบรหิ ารแบบมนษุ ยส์ ัมพันธ์ (Human Relation Approach) 3. แนวความคิดการบรหิ ารจดั การเชงิ ปรมิ าณ (Quantitative of Management Approach) 4. แนวความคิดการบรหิ ารตามสถานการณ์ (Contingency Approach) 5. แนวความคิดการบรหิ ารสมัยใหม่ (Modern Management Approach) 1
แนวความคิดการบรหิ ารแบบดัง้ เดิม (Classical Approach) มแี นวคิดหลกั 3 กลุ่ม 1. การบรหิ ารตามหลักวทิ ยาศาสตร์ (Scientific Management) 2. การบรหิ ารงานตามหลักการบรหิ าร (Administrative Principle Management) 3. การบรหิ ารงานตามระบบราชการ (Bureaucratic Management) 2
การบรหิ ารตามหลักวทิ ยาศาสตร์ (Scientific Management) แนวความคิดของเฟรดเดอรคิ ดับบลิว เทยเ์ ลอร์ (Frederick W. Taylor) เกดิ ข้นึ ในชว่ งปี ค.ศ.1856-1915 Taylorเคยเป็นกรรมกร หัวหน้ าคนงาน หัวหน้ าวศิ วกร ทําให้ได้ เรยี นรูป้ ัญหา จงึ เสนอความคิดการบรหิ ารตามหลักวิทยาศาสตรใ์ ห้แก่บรษิ ัทตา่ ง ๆ อยา่ ง กวา้ งขวางและเป็นทป่ี รกึ ษาของโรงงานต่างๆ จนได้รบั การยกยอ่ งให้เป็น“บิดาแห่งการบรหิ าร ตามหลกั วิทยาศาสตร”์ ผลงานท่มี ชี อื่ เสียงคือ Principles of Scientific Management ไดเ้ ผยแพรใ่ นปี ค.ศ.1911 โดยชใ้ี ห้ เห็นว่าในการท่จี ะเพิมผลผลติ ในบรษิ ัทจะข้ึน อย่กู ับวธิ กี ารทด่ี ที ส่ี ุด (One Best Way) ท่จี ะทําให้คน งานสามารถทํางานให้บรรลผุ ลการทาํ งานได้อยา่ งมีประสิทธภิ าพ 3
หลักการบรหิ ารงานตามหลักวทิ ยาศาสตรข์ องเทย์เลอร์ สามารถสรุปได้ 4 ประการ ดังนี้ 1. การนํ าองค์ความรูท้ เ่ี รยี กวา่ “ศาสตร”์ มาใชแ้ ทนการทาํ งานตามยถากรรมหรอื อาศัย ประสบการณ์ในการทํางาน โดยการค้นหาวิธกี ารทํางานทด่ี ีท่สี ุด (One Best Way) 2. มกี ารคัดเลือกคนงานให้เหมาะสมกับงาน 3. มกี ารสรา้ งความรว่ มมือ ประสานงานอยา่ งใกลช้ ดิ ระหวา่ งผบู้ รหิ ารและคนงาน 4. มีการแบ่งงานกันทาํ ตามความชาํ นาญและความรบั ผดิ ชอบระหว่างผบู้ รหิ าร และคนงานอย่าง เทา่ เทยี ม 4
แนวความคิดของแฟรงค์ และลิเลียน กลิ เบรธ (Frank and Lillian Gilbreth) เกิดข้ึนในชว่ งปี ค.ศ.1868-1924 และ1878-1972พวกเขาเป็นผสู้ นับสนนุ แนวความคิดตอ่ จาก เทย์เลอร์ ทเ่ี น้ นการศึกษาเวลาและการเคล่ือนไหวในการทาํ งาน(Time and Motion Studies) พวก เขาศึกษาความเคล่ือนไหว (Motion Study)ของคนงานอย่างมีประสิทธภิ าพโดยการเรยี งอิฐ 17 ทา่ หรอื เรยี กวา่ Therbligs (ชอ่ื ของ Gilbreth แตส่ ะกดถอยหลงั ) วา่ ทําอยา่ งไรท่จี ะลดขัน้ ตอนของ ความเคลือ่ นไหวของคน ว่าจะเรยี งอิฐอยา่ งไรให้รวดเรว็ และทา่ ทางไมต่ ิดขัด โดยการแบง่ งานออก เป็นส่วนๆ วเิ คราะห์ทา่ ทางทจ่ี ําเป็นในการปฏบิ ตั ิงาน และ สามารถสรุปแนวทางได้ดังนี้ 1. การทํางานควรมกี ารขจัดความเคลือ่ นไหวทไี ม่จาํ เป็นออกไปให้หมดและลดกฎเกณฑ์การทาํ งานให้น้ อยลง 2. มีเครอื่ งมือและอุปกรณ์ทเ่ี หมาะสมกบั การทาํ งานที่สามารถทาํ ให้ลดการเคลือ่ นไหวทไ่ี ม่ จําเป็นออกไป 3. จดั เตรยี มสถานทที ํางาน เครอื งมือ ให้อย่ใู นระดับทเี หมาะสมกับการทํางาน 5
แนวความคิดของเฮนร่ี แอล แกนท์ (Henry L. Gantt) เกิดข้นึ ในชว่ งปี ค.ศ.1861-1919 ให้ความคิดเห็นเพ่ิมเตมิ วา่ ระบบการทาํ งานทด่ี ีท่สี ุดนั้น จะข้ึนอยู่ กบั การจัดตารางเวลาของงาน โดยมี แกนท์ ชารท์ (Gantt Chart) กําหนดตารางการทาํ งาน เบอ้ื งตน้ จําแนกขนั้ ตอนการทํางานตา่ ง ๆ แสดงความสัมพันธร์ ะหวา่ งการวางแผนกจิ กรรมกบั ระยะเวลาทใ่ี ช้ เพื่อติดตามความก้าวหน้ าของงาน เป็นแนวทางในการทาํ งานเพื่อให้บรรลโุ ครงการ ตามระยะเวลาท่กี าํ หนด และ ถ้าคนงานทํางานสําเรจ็ ตามเวลาท่กี ําหนดจะให้รางวัลแก่ผลการ ปฏบิ ตั งิ านทเ่ี หมาะสม ด้วยระบบจงู ใจด้วยโบนั ส สรุปไดว้ า่ แนวความคิดการบรหิ ารตามหลกั วทิ ยาศาสตร์ จะเน้ นศึกษาการทํางานแบบทดลอง ปรบั ปรุงประสิทธภิ าพการทาํ งานของคนงานให้มคี วามเหมาะสม หาวิธกี ารทาํ งานท่ดี ีท่สี ดุ และนํ า มาประยกุ ตใ์ ชก้ บั องค์การต่างๆ อย่างมปี ระสิทธภิ าพ แตอ่ ีกมมุ หน่ึ ง กม็ องวา่ การบรหิ ารตามหลกั วิทยาศาสตรน์ ั้ น จะมงุ่ เน้ นทผ่ี ลผลติ สูงสดุ ใชค้ นงาน เปรยี บเสมอื นเครอื่ งจักร ไม่ให้ความสําคัญกบั เรอื งความมนั่ คงในการทํางานเพราะถ้าปฏบิ ตั ิงาน ไมไ่ ด้ตามมาตรฐานอาจถูกออกจากงานได้ 6
การบรหิ ารงานตามหลักการบรหิ าร (Administrative Principle Management) แนวความคิดของเฮนร่ี ฟาโยล์ (Henri Fayol) เกดิ ข้นึ ในชว่ งปี ค.ศ.1841-1925 เป็นคนทม่ี คี วามสําคัญมากท่ีสุดทางดา้ นการบรหิ าร ได้รบั การยกย่องให้เป็นบิดาแห่งหลักการ บรหิ าร ผลงานท่สี ําคัญได้แก่ หลกั การบรหิ ารงาน 14 ขอ้ กระบวนการทางการบรหิ าร(POCCC) ● การแบง่ งานกันทํา (Division of Work) ประกอบดว้ ย 5 หน้ าทห่ี ลกั ● อํานาจหน้ าท่แี ละความรบั ผดิ ชอบ (Authority and Responsibility) ● ระเบยี บวินั ย และ กฎระเบยี บ (Discipline) ● การวางแผน (P-Planning) ● มีเอกภาพในการบังคับบัญชา (Unity of Command) ● มีเอกภาพของทศิ ทางการดาํ เนิ นการ (Unity of Direction) ● การจัดองค์การ (O-Organizing) ● หลักการจา่ ยผลตอบแทน (Remuneration) ● การสั่งการ (C-Commanding) ● การรวมอาํ นาจ (Centralization) ● การประสานงาน (C-Coordinating) ● สายการบงั คับบัญชา (Scalar Chain) ● ความมรี ะเบียบ (Order) ● การควบคุม (C-Controlling) ● ความเสมอภาค (Equity) ● ความมัน่ คงในการทํางาน (Stability of Tenure of Personnel) ● ความคิดรเิ รม่ิ (Initiative) ● ความสามคั คี (Esprit de Crops) ● ผลประโยชน์ ส่วนตัวเป็นรองผลประโยชน์ ส่วนรวม (Subordination of Individual Interests to The General Interests) 7
แนวความคิดของลเู ธอร์ เอม็ กลู คิ (Luther M. Gulick) และลินเดล เออรว์ คิ (Lyndall Urwick) ได้นํ าเสนอทฤษฎกี ารบรหิ าร 7 ประการ (POSDCoRB Model) ● การวางแผน (P-Planning) ● การจดั องค์การ (O-Organizing) ● การจัดคนเขา้ ทาํ งาน (S-Staffing) ● การอาํ นวยการ (D-Directing) ● การประสานงาน (Co-Coordinating) ● การรายงานผลการปฏบิ ัตงิ านขององค์การ (R-Reporting) ● งบประมาณ (B-Budgeting) 8
การบรหิ ารงานตามระบบราชการ (Bureaucratic Management) แนวคิดของแมก็ ซ์ เวเบอร์ (Max Weber) เกดิ ข้นึ ในชว่ งปี ค.ศ.1864-1920 องค์การควรมกี ารบรหิ ารบนพ้ืนฐานของความมเี หตุผล ไมใ่ ช่ คํานึ งถึงความสัมพันธส์ ่วนตัวและต้องมีการกาํ หนดโครงสรา้ งองค์การ มกี ารแบ่งงานกนั ทาํ ตามค วามชาํ นาญเฉพาะดา้ น ดังนั้ น การบรหิ ารองค์การแบบราชการประกอบด้วยลักษณะสําคัญตา่ ง ๆ ● การแบง่ งานกันทํา (Division of Labor) ● มีสายการบงั คับบัญชาตามอํานาจหน้ าท่ี (Authority Hierarchy) ● มกี ฎระเบียบและข้อบงั คับอย่างเป็นทางการ (Formal Rules and Regulation) ● ความไม่ยดึ ถือความสัมพันธส์ ่วนตัว (Impersonality) ● การกาํ หนดเป้าหมายของอาชพี (Career Orientation) 9
แนวความคิดการบรหิ ารแบบมนษุ ย์สัมพันธ์ (Human Relation Approach) แนวความคิดของเอลตัน เมโย (Elton Mayo) เกดิ ข้นึ ในชว่ งปี ค.ศ.1924–1933 เป็นบิดาทางการจัดการแบบมนษุ ยส์ ัมพันธ์ เมโย เชอ่ื วา่ “ความพึง พอใจอันเน่ื องมากจาการทาํ งานจะตอ้ งมีพ้ืนฐานอย่บู นการให้การยอมรบั ความมัน่ คงในงานและการ เป็นส่วนรว่ มอย่ใู นทมี งาน เหนื อผลตอบแทนท่เี ป็นเงนิ ” ผลการทดลอง Hawthorne Studies แสดงให้เห็นวา่ มนษุ ย์มีความแตกต่างกบั เครอ่ื งจักร การ ศึกษาน้ี เป็นจดุ เรม่ิ ต้นในการศึกษาพฤตกิ รรมของมนษุ ยใ์ นองค์การ รวมถงึ ความสัมพันธก์ บั งาน เพ่ือนรว่ มงาน ผบู้ รหิ าร และองค์การ ทําให้เห็นถงึ อิทธพิ ลในการรวมกลมุ่ แบบไม่เป็นทางการท่มี ี ผลกระทบตอ่ การทํางานเป็นอย่างมาก 10
แนวคิดของดกั ลาสแมคเกรเกอร์ (Douglas McGregor) เกิดข้นึ ในชว่ งปี ค.ศ.1906-1964 มผี ลงานท่โี ดดเดน่ เรอื่ ง ทฤษฎกี ารจงู ใจ(Motivation) ในหนั งสือ The Human Side of Enterprise กลา่ วถงึ การบรหิ ารจัดการคน 2 ประการคือ ทฤษฎี X และทฤษฎี Y สมมติฐานทฤษฎี X สมมติฐานทฤษฎี Y ● ไม่ชอบทํางาน ขาดความรบั ผดิ ชอบและ ● มีความสุขในการทํางานทงั้ รา่ งกายและจิตใจ พยายามหลีกเลย่ี งงาน ● สามารถควบคุมตนเองไดด้ ี ● มคี วามรบั ผดิ ชอบในการทาํ งาน ● ต้องมผี อู้ นื่ มาบังคับควบคุมสั่งการ และ ● มคี วามคิดสรา้ งสรรค์ และความคิดรเิ รม่ิ ใน ลงโทษ การแกไ้ ขปัญหา ● หลีกเลยี งความรบั ผดิ ชอบ ไมค่ ่อยมีความ ● มนษุ ยม์ คี วามมงุ่ มนั่ จะทาํ งานให้ตรงตาม ทะเยอทะยาน เป้าหมายขององค์การ 11
แนวคิดของอับราฮัม มาสโลว์ (Abraham Maslow) เกดิ ข้นึ ในชว่ งปี ค.ศ.1908-1970 เสนอแนวคิด ลําดับขัน้ ความต้องการของมนษุ ย์ (Hierarchy of Needs) โดยเชอ่ื ว่ามนษุ ยท์ กุ คนมีลกั ษณะความตอ้ งการเป็นไปตามลาํ ดับขนั้ จากตาไปหาสูง 5 ขัน้ 1. ความตอ้ งการทางกายภาพ (Physiological Needs) 2. ความต้องการความปลอดภัย (Safety Needs) 3. ความตอ้ งการทางสังคม (Social Needs) 4. ความต้องการไดร้ บั การยกย่อง (Esteem Needs) 5. ความต้องการประสบผลสําเรจ็ ในชวี ติ (Self-Actualization Needs) 12
แนวความคิดการบรหิ ารจัดการเชงิ ปรมิ าณ (Quantitative of Management Approach) เป็นแนวความคิดเกดิ ข้นึ ในชว่ ง ค.ศ.1940-1970 ทเ่ี น้ นการนํ าเทคนิ คทางคณิตศาสตร์ สถิติ เขา้ มา ชว่ ยในการตดั สินใจแกไ้ ขปัญหาของผบู้ รหิ าร ● การวิจยั ปฏิบตั กิ าร (Operation Research) ● การจัดการการปฏบิ ตั ิการ (Operations Management) ● ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ (Management Information System) ● ทฤษฎรี ะบบของลดู วิก วอน เบอรท์ าเลฟฟี (Ludwig Von Bertalaffy) ○ ปัจจยั นํ าเขา้ (Input) ○ กระบวนการแปรสภาพ (Process) ○ ปัจจัยนํ าออก (Output) ○ ข้อมลู ป้อนกลับ (Feedback) 13
แนวความคิดการบรหิ ารตามสถานการณ์ (Contingency Approach) เกิดข้นึ ในชว่ งปี ค.ศ1970 -1980 เป็นแนวความคิดทต่ี ้องอาศัยความสัมพันธป์ ระสานกิจกรรมต่างๆ เพ่ือตอบสนองตอ่ สภาพแวดล้อมท่มี ีการเปลีย่ นแปลงอยา่ งรวดเรว็ แนวความคิดของ เฟรด อ.ี ฟิดเลอร์ (Fred E. Fiedler) เกดิ ข้นึ ในปี ค.ศ.1967 ในการบรหิ ารงาน ผบู้ รหิ ารควรอยกู่ บั สภาพขอ้ เทจ็ วเิ คราะห์สถานการณ์ให้ สอดคล้องกบั สภาพแวดลอ้ มภายนอก ● การศึกษารูปแบบของผนู้ ํ าท่มี ุ่งความสัมพันธ์ (Relationship - Oriented Leader) ผนู้ ํ าจะสรา้ งความไวว้ างใจ ความเคารพนั บถือ และรบั ฟังความตอ้ งการของพนั กงาน เป็นผนู้ ํ า ทค่ี ํานึ งถงึ ผอู้ นื่ เป็นหลัก (Consideration) ● การศึกษารูปแบบของผนู้ ํ าทม่ี ่งุ งาน (Task - Oriented Leader) เป็นผนู้ ํ าทม่ี งุ่ ความสําเรจ็ ในงาน ซงึ จะกําหนดทศิ ทางและมาตรฐานในการทํางานไว้อยา่ ง ชดั เจน มลี กั ษณะคลา้ ยกบั ผนู้ ํ าแบบท่ีคํานึ งถึงตัวเองเป็นหลัก (Initiating Structure Style) 14
แนวความคิดการบรหิ ารสมยั ใหม่ (Modern Management Approach) การบรหิ ารคุณภาพโดยรวมทวั่ ทงั้ องค์การ (Total Quality Management : TQM) แนวคิดท่เี รม่ิ ต้นมาจาก วอลเทอร์ เอ. ชวิ ฮารท์ (Walter A. Shewhart) เป็นผบู้ กุ เบิกการควบคุม คุณภาพ จึงเกดิ วงจร Plan Do Study Action : PDSA ต่อมาเอ็ดเวริ ด์ ดับบลิว เดมม่งิ (Edwards W. Deming) ได้พัฒนามาเป็นหลักการควบคุมคุณภาพ (Plan Do Check Action :PDCA) หลักการสําคัญของ TQM คือ ● การให้ความสําคัญกบั ลกู ค้า (Customer Oriented) ● การปรบั ปรุงกระบวนการ (Process Improvement) ● สมาชกิ ทกุ คนมสี ่วนรว่ ม (Employees Involvements) 15
ทฤษฎี Z ของ วลิ เลียม จี อูชิ (Wiliam G. Ouchi) ในปี ค.ศ.1970 ความสําเรจ็ เกีย่ วกับการพัฒนาอุตสาหกรรมของญปี่ ุ่นไดร้ บั ความสนใจจาก ประเทศตา่ ง ๆ ทาํ ให้อเมรกิ าถือได้ว่าเกดิ การสูญเสียความไดเ้ ปรยี บทางการค้า ให้กับญ่ปี ุ่น อูชใิ ห้ ความสนใจความแตกต่างในการจัดการระหว่างญป่ี ุ่นและสหรฐั อเมรกิ า ซง่ึ วัฒนธรรมของอเมรกิ า จะให้ความสําคัญกบั ปัจเจกบคุ คล ส่วนญ่ีป่นุ จะมพี ้ืนฐานวัฒนธรรมเป็นแบบการรวมกลมุ่ จงึ นํ า ข้อไดเ้ ปรยี บของประเทศญป่ี ่นุ มาใชก้ บั ของอเมรกิ าจงึ เกดิ เป็นทฤษฎี Z 16
ทฤษฎี A (อเมรกิ า) ทฤษฎี Z (อเมรกิ าแบบปรบั ปรุง) 1. การจา้ งงานระยะสั้น 1. การจา้ งงานระยะยาว 2. ตัดสินใจโดยบุคคล 2. มกี ารตัดสินใจรว่ มกัน 3. มคี วามรบั ผดิ ชอบเฉพาะบคุ คล 3. มีความรบั ผดิ ชอบเฉพาะรว่ มกัน 4. การประเมินผลงานและเลอื่ นตาํ แหน่ งเป็นไปอย่างรวดเรว็ 4. การประเมนิ ผลและเลอื นตําแหน่ ง 5. มีการควบคุมแบบเป็นทางการและเปิดเผย 6. เส้นทางสายอาชพี แบบเชยี่ วชาญเฉพาะดา้ น เป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป 7. การให้ความสนใจกับบุคลากรเพียงบางส่วน 5. ควบคุมแบบไม่เป็นทางการ ทฤษฎี J (ญีป่ ่นุ ) มกี ารวดั ผลชดั เจน 1. การจา้ งงานตลอดชพี 6. ความเชย่ี วชาญในอาชพี 2. ตดั สินใจบนพ้ืนฐานของการเห็นพ้องต้องกนั 3. มคี วามรบั ผดิ ชอบรว่ มกนั อยรู่ ะดบั ปานกลาง 4. การประเมินผลและเลอ่ื นตาํ แหน่ งเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป 7. การให้ความสนใจกับบุคลากรทกุ ดา้ น 5. การควบคุมแบบไมเ่ ป็นทางการและไมเ่ ปิดเผย 6. เส้นทางอาชพี ไมเ่ ชยี่ วชาญเฉพาะดา้ น 17 7. การให้ความสนใจกับบคุ ลากรทกุ ด้าน
การลดขนาดองค์การ (Downsizing) กลยทุ ธก์ ารปรบั ลงขนาดองค์การ ไม่ใชเ่ ป็นการลดคนงานหรอื พนั กงานลงไปเทา่ นั้น แต่ รวมถึงการลดงานตา่ งๆ และขจดั ขนั้ ตอนการทํางานหน้ าท่กี ารปฏบิ ตั งิ านบางอย่างท่ยี ่งุ ยาก ออกไป การตดิ ต่อส่ือสารภายในองค์การสะดวกย่งิ ข้ึน และจัดหาเครอ่ื งมือเครอื่ งใชม้ าทด แทนพนั กงานทอี่ อกไป ชว่ ยเพ่ิมผลผลติ และประสิทธภิ าพในการทาํ งานให้ดีข้นึ 18
การจัดหาจากแหล่งภายนอก (Outsourcing) การซอ้ื ชน้ิ ส่วนหรอื การใชบ้ รกิ ารจากแหล่งภายนอกแทนทจ่ี ะผลติ เองภายในประเทศหรอื เป็น กลยทุ ธก์ ารประหยดั ค่าใชจ้ า่ ยโดยทอี่ งค์การไดล้ งทนุ สรา้ งโรงงานในตา่ งประเทศเพื่อชว่ ยลด ตน้ ทนุ ในประเทศของตน 19
Search
Read the Text Version
- 1 - 22
Pages: