บทท่ี 6 พระพุทธศาสนากับสังคมไทย 6.1 พระพทุ ธศาสนากับพระมหากษัตรยิ ไ์ ทย พระพุทธศาสนากับพระมหากษัตริย์มีความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกันมาต้ังแต่คร้ังสมัยพุทธกาลจนกระทั่ง ปัจจุบันนี้ ความมั่งคงของพระมหากษัตริย์และพระพุทธศาสนาไม่สามารถแยกออกจากกันได้ เช่น ในประเทศไทย การเป็นพระมหากษัตริย์กับการเป็นพุทธศาสนิกชนจะต้องมีควบคู่กันเสมอ กล่าวคือ พระมหากษัตริย์จะต้องเป็น พุทธศาสนิกชนนั่นเอง แต่ก็ไม่ควรเข้าใจผิดไปว่าพระพุทธศาสนาเท่าน้ันท่ีเหมาะสมกับพระมหากษัตริย์ คุณธรรมท่ี จาเป็นที่พระมหากษัตริย์จะต้องมีตามคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาก็คือ พระมหากษัตริย์จะต้องมีความกรุณาและมี ความอดทน แม้กระท่ังในรัฐธรรมนูญยังระบุไว้ว่า พระมหากษัตริย์จะต้องเป็นพุทธศาสนิกชนและเป็นองค์เอกอัคร ศาสนูปถัมภ์ทุกๆศาสนา ในหัวข้อน้ีจะขอนาเสนอ 2 ประเด็น คือ แนวคิดเรื่องพระมหากษัตริย์ตามทัศนะของ พระพทุ ธศาสนา และความสัมพันธร์ ะหว่างพระมหากษัตริยไ์ ทยกบั พระพทุ ธศาสนา ดังมรี ายละเอยี ด ดังตอ่ ไปน้ี 6.1.1 แนวคิดเรอ่ื งพระมหากษตั รยิ ต์ ามทศั นะของพระพุทธศาสนา แนวความคิดเกี่ยวกับกษัตริย์ตามทัศนะของพระพุทธศาสนาน้ัน มีปรากฏอัคคัญญสูตร (สูตรว่าด้วยส่ิงที่ เลิศ) แสดงถงึ ความเปน็ มาหรือกาเนดิ ของโลก ในพระไตรปิฎก เล่มที่ 11 ทีฆนิกาย ปาฏกิ วคั ค์ ซึง่ มีเนอ้ื หาแสดงไว้ว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับ ณ ปราสาทของนางวิสาขาในบุพพารามใกล้กรุงสาวัตถี ได้ตรัสการกาเนิดของโลกและ สรรพสงิ่ ในโลกวา่ เมื่อโลกกาลังจะพนิ าศ สตั วท์ งั้ หลายไปเกิดในช้ันอาภัสสรพรหมกันโดยมาก เมื่อโลกเกิดข้ึนมาใหม่ สัตว์เหล่านั้นก็จุติมาสู่โลกน้ี เป็นผู้เกิดขึ้นจากใจ กินปีติเป็นภักษา เพราะยังมีอานาจฌานเหลืออยู่ มีแสงสว่างในตัว สามารถเหาะเหินเดินไปในอากาศได้เช่นเดียวกบั เมอ่ื เกดิ ในช้นั อาภสั สรพรหม ต่อมาได้เกิดมีรสดิน หรือเรียกว่าง้วนดิน ท่ีมีสี กล่ินและรสท่ีอร่อย สัตว์ทั้งหลายเอาน้ิวจิ้มง้วนดินลิ้มรสดูก็ ชอบใจ เลยหมดแสงสว่างในตัว เม่ือแสงสว่างหายไป ก็มีพระจันทร์ พระอาทิตย์ มีดาวนักษัตร มีคืนวัน มีเดือนมีก่ึง เดือน มฤี ดู และปี เมื่อกินง้วนดินเปน็ อาหาร กายกห็ ยาบกระด้าง ความทรามของผิวพรรณก็ปรากฏ พวกมีผิวพรรณ ดี กด็ ูหมน่ิ พวกมีผวิ พรรณทราม เพราะดูหม่ินผู้อื่นเรือ่ งผิวพรรณ เพราะความถือตัวและดูหมิ่นผู้อื่น ง้วนดินก็หายไป ต่างก็พากันบน่ เสยี ดาย แล้วก็เกดิ สะเก็ดดินท่ีเพียบพร้อมด้วยสีกลิ่นและรสข้ึนแทนใช้เป็นอาหารได้ แต่เม่ือกินเข้าไป แลว้ ร่างกายกห็ ยาบกระดา้ งย่งิ ขนึ้ ความทรามของผิวพรรณกป็ รากฏชัดข้ึน เกิดการดูหมิ่น ถือตัวเพราะเหตุผิวพรรณ น้ันมากข้ึน สะเก็ดดินก็หายไป เกิดเถาไม้ท่ีเพียบพร้อมด้วยสี กลิ่น และรสขึ้นแทน ใช้กินเป็นอาหารได้ ความหยาบ กระดา้ งของกาย และความทรามของผิวพรรณก็ปรากฏมากขึ้น เกิดการดูหมิ่น ถือตัว เพราะเหตุผิวพรรณนั้นมากข้ึน เถาไมก้ ห็ ายไป ข้าวสาลที ี่ไมม่ ีเปลอื ก มีกล่ินหอม มเี มล็ดเป็นข้าวสารก็เกิดข้ึนแทนใช้เป็นอาหารได้ ข้าวนี้เก็บเย็นเช้า ก็แก่แทนทขี่ ้ึนมาอกี ไมป่ รากฏพร่องไปเลย ความหยาบกระดา้ งของกาย ความทรามของผวิ พรรณกป็ รากฏมากขึ้น ต่อมา จงึ ปรากฏเพศหญิงเพศชาย เม่ือต่างเพศเพง่ กันแลกันเกนิ ขอบเขตก็เกิดความกาหนัดเร่าร้อนและเสพ เมถุนธรรมต่อหน้าคนท้ังหลาย เป็นที่รังเกียจและพากันเอาส่ิงของขว้างปา เพราะสมัยน้ันถือว่าการเสพเมถุนเป็น อธรรมเชน่ กับทส่ี มัยนถ้ี อื ว่าเปน็ ธรรม (ถูกต้อง) ตอ่ มาจงึ รจู้ กั สรา้ งบา้ นเรือน ปกปดิ ซอ่ นเรน้ ตอ่ มามีผเู้ กยี จคร้านทีจ่ ะนาขา้ วสาลีมาตอนเชา้ เพือ่ อาหารเช้า นามาตอนเย็นเพ่ืออาหารเยน็ จงึ นามาคร้ังเดียว ให้พอทัง้ เช้าท้งั เยน็ ต่อมาก็นามาคร้ังเดียวให้พอสาหรับ 2 วัน 4 วัน 8 วัน มีการสะสมอาหาร จึงเกิดมีเปลือกห่อหุ้ม
ข้าวสารท่ีถอนแล้วก็ไม่งอกข้ึนมาแทน ปรากฏความพร่อง (เป็นตอนๆที่ถูกถอนไป) มนุษย์เหล่าน้ันจึงประชุมกัน ปรารภความเสื่อมลงโดยลาดบั แลว้ มีการแบง่ ข้าวสาลกี าหนดเขต (เป็นของคนนน้ั คนน้ี) กษัตรยิ ์เกดิ ขน้ึ เพราะอกุศลธรรมเกิดขนึ้ ต่อมาบางคนรักษาส่วนตน ขโมยของคนอ่ืนมาบริโภค เม่ือถูกจับได้ก็เพียงแต่ส่ังสอนกันไม่ให้ทาอีก เขาก็ รับคา ต่อมาขโมยอกี ถกู จบั ไดถ้ งึ ครัง้ ท่ี 3 กส็ ง่ั สอนเช่นเดิมอีก แตบ่ างคนกล็ งโทษ ตบด้วยมือขว้างด้วยก้อนหินตีด้วย ไม้ เขาจงึ ประชุมกนั ปรารภว่า การลักทรัพย์ การติเตียน การพูดปด การประหัตประหารกันเกิดขึ้น ควรจะแต่งตั้งคน ข้ึนให้ทาหน้าท่ีติคนท่ีควรติ ขับไล่คนท่ีควรขับไล่ โดยพวกเราจะแบ่งส่วนข้าวสาลีให้ จึงเลือกคนท่ีงดงามมีศักด์ิใหญ่ แตง่ ตั้งเป็นหัวหน้า เพื่อปกครองคน (ติและขับไล่คนที่ทาผิด) คาว่า “มหาสมมต” (ผู้ท่ีมหาชนแต่งตั้ง) กษัตริย์ (ผู้ เป็นใหญ่แห่งนา) ราชา (ผู้ทาความอิ่มใจสุขใจแก่ผู้อื่น) จึงเกิดข้ึน กษัตริย์ก็เกิดข้ึนจากคนพวกน้ัน มิใช่พวกอื่นจาก คนเสมอกนั มใิ ช่คนไม่เสมอกัน เกดิ ขนึ้ โดยธรรม มิใชเ่ กิดข้ึนโดยอธรรม จากเน้อื หาในคัมภีร์อคั คัญญสูตร สรปุ ได้ว่า ความเป็นกษัตริย์เกิดขึ้นมาจากความประพฤติผิดสีลธรรมของ คนในสังคม ความเชื่อน้ีจะเข้าใจได้ชัดเจนท่ีสุดถ้าเราได้พิจารณาตานานเรื่องการสร้างโลก ซึ่งแสดงไว้ว่า ในตอน แรกเร่ิม โลกได้วิวัฒนาการมาในฐานะส่วนหน่ึงของจักรวาล จากไฟมาเป็นดินจากดินมาเป็นของเหลวและจาก ของเหลวมาเป็นก๊าซซึ่งตอ่ มาก็กลายมาเป็นโลก พระจนั ทร์และพระอาทิตย์ ดาวเคราะหแ์ ละหมดู่ วงดาวตา่ งๆ พืชพันธ์ และสิ่งมชี ีวิตกไ็ ดว้ วิ ัฒนาการกลายมาเปน็ สิ่งต่างๆมากมายเพ่ิมมากขนึ้ ในที่สุดมนุษย์ก็ววิ ัฒนาการออกมาแตกต่างจาก สิ่งอื่นๆทั้งหมดและบริโภคข้าวเป็นอาหารหลัก เป็นส่ิงมีชีวิตที่แข็งแรง มีร่างกายและเพศที่แตกต่างกัน ในข้ันตอนน้ี ชา้ วสาลีท่หี อมและสะอาดไดก้ ลายมาเป็นสมบัติที่มีค่าของสังคม มนุษย์ทุกคนบริโภคมากจนกระทั่งเกินความจาเป็น ของรา่ งกาย มนุษย์เพศชายและหญิงจึงมคี วามสนใจในเพศทต่ี รงกนั ข้ามกับตนเอง ทาให้เกิดกิเลสตัณหาข้ึนซ่ึงนาไปสู่ การเสพสังวาสกันอย่างผิดศีลธรรม มนุษย์ที่ทาผิดศีลธรรมจึงถูกขับไล่ออกจากกลุ่ม พวกเขาจึงได้พากันสร้างบ้าน เพือ่ ท่ีจะปกปิดการกระทาทผ่ี ิดศีลธรรมของพวกตน เมือ่ มนษุ ย์มีกิเลส ตัณหา และการกระทาผิดศีลธรรมเพ่ิมมากข้ึน ข้าวสาลจี งึ หยดุ เจรญิ เตบิ โตโดยทันที และคุณสมบตั ขิ องมนั กเ็ สอ่ื มลงกนั พวกมนษุ ย์จึงได้พากันแบง่ ทุ่งขา้ วสาลีให้เป็น กรรมสิทธ์ขิ องแต่ละบคุ คล และได้มีการตั้งเขตแดนต่างๆ เมื่อสมบัติมากยิ่งขึ้น มนุษย์ก็เริ่มที่จะขโมย ด่าว่า โกหกกัน และเร่มิ มกี ารทารา้ ยกนั เกิดขึน้ เมอื่ มนุษยป์ ระพฤติผดิ ศลี ธรรมมากขึ้น ปรารถนาสมบตั ิ ความขดั แยง้ ความโหดเห้ยี มดรุ ้ายและความวุ่นวาย กม็ มี ากข้นึ ตามลาดับ พวกมนุษย์จงึ มาชมุ นุมกันและพิจารณาว่าจะหาวิธีการใดท่จี ะทาใหก้ ารดารงชวี ติ มคี วามเป็นปกติ อีกครงั้ พวกเขามีมติร่วมกันว่าควรจะมีบุคคลท่ีมีความเที่ยงตรง ผู้ที่จะออกระเบียบแก่สังคม สามารถตาหนิบุคคลท่ี ควรตาหนิและกาจัดบคุ คลท่ีควรกาจัดได้ พวกเขาจึงได้ตกลงเลือกบุคคลที่ใจกว้าง มีความกรุณา มีความน่าเล่ือมใส และมคี วามสามารถมากที่สดุ ในบรรดาพวกเขา และได้เชิญให้เป็นผู้ปกครองพวกเขา ในทางตรงกันข้าม พวกเขาก็ได้ ให้ส่วนแบ่งของข้าวสาลีทป่ี ระชาชนผลิตได้ให้ผปู้ กครอง ผู้ปกครองมีคาท่ีใชเ้ รยี ก 3 คา คือ 1) มหาสมมต หมายถึง บุคคลผู้ได้รับเลือก เพราะได้รับการเลือกมาจากมหาชนทั้งหลาย แสดงให้เห็น วา่ ผ้ปู กครองตามทศั นะของพระพทุ ธศาสนานัน้ เกดิ ขึน้ มาจากความเห็นของคนส่วนใหญ่ 2) ขัตติยะ หมายถึง ผู้มีกาเนิดสูง (ภาษาบาลีใช้คาว่า ขัตติยะ ส่วนภาษาไทยใช้คาว่า กษัตริย์) หรือ เจ้าของแผ่นดิน (ภาษาไทยใช้คาว่า พระเจ้าแผ่นดิน) เพราะมีหน้าที่ป้องกันอาณาจักรและประชาชนเพื่อความ ปลอดภัย ความม่ันคง ความเจรญิ ร่งุ เรือง ความสขุ และความสงบ
3) ราชา หมายถึง บุคคลผู้มีความสามารถสูงในการทาให้ประชาชนพอใจและสาราญใจ เพราะหน้าที่ใน การปกครองของพระราชาก็คือการทาให้บุคคลอ่ืนมีความสุขนั่นเอง ความเป็นกษัตริย์หรือผู้ปกครองของพระองค์ ขึ้นอยู่กับระดับความเอาใจใส่ที่พระองค์มีต่อประชาชน หากทาให้ประชาชนพอใจและมีความสุขมากเพียงใดก็ส่งผล ต่อความเป็นกษัตริย์หรือผู้ปกครองมากเพียงนั้น เพระว่าตามทัศนะของพุทธศาสนา ความทุกข์และสุขของปวงชนก็ คอื ความทุกขแ์ ละสุขของกษตั รยิ ์ นอกจากน้ี คาวา่ ราชายังหมายถงึ การเป็นผ้ทู รงคณุ ธรรมอกี ดว้ ย หากพิจารณาจากแนวคิดท่ีปรากฏอยู่ในอัคคัญญสูตร จะพบว่า ความเป็นกษัตริย์มีข้ึนเพราะการปฏิบัติผิด ศีลธรรมของมนุษย์และความต้องการกฎระเบียบในสังคม กษัตริย์และประชาชนมีความสัมพันธ์กันดังท่ีคัมภีร์ทาง พระพุทธศาสนาได้อธิบายไว้ว่า กษัตริย์ได้รับฐานะอันสูงส่งเพราะส่ังสมบุญบารมีมาในอดีตชาติ ผลของบุญบารมี สง่ ผลใหเ้ ขา้ ไดร้ ับฐานะเปน็ กษตั ริย์ ถ้าไมม่ กี ารส่ังสมบุญบารมีก็ไม่สามารถจะได้รับความเป็นกษัตริย์ได้ พระองค์ทรง ปกครองอาณาจักรและมีฐานะยิ่งใหญ่เหนือประชาชน มีอานาจที่จะว่ากล่าว ตาหนิ ลงโทษใครก็ตามท่ีฝ่าฝืนพระราช อานาจ เป็นผู้รับและใช้จ่ายภาษีที่ได้จากประชาชน เป็นผู้ให้ความสุขและเป็นผู้ปกป้องเหมือนบิดา เป็นผู้ค้าชู สนับสนุนความถูกต้องหรือธรรมโดยการสอดส่องดูแลประชาชนของพระองค์เอง กษัตริย์จะต้องคุณสมบัติ (พล ธรรม) 5 ประการ คือ ความแขง็ แกร่งทางกาย วตั ถุหรอื เศรษฐกิจ ความแข็งแกร่งของข้าราชบริพาร ความมีคุณธรรม สูงส่ง และปัญญาทเ่ี ฉียบแหลม ถา้ พจิ ารณาในส่วนของประชาชน พวกเขาต้องการพระราชากเ็ พอื่ ให้มาปกปอ้ งคุ้มครองและส่งเสริมพระราชา ใหม้ เี กยี รตยิ ศและความปลอดภัย พวกเขานับถอื และรบั ใชพ้ ระราชาโดยไม่มีข้อโตแ้ ย้ง ดังน้นั บุคคลทมี่ ุง่ หวังความสุข ในชีวิตก็ควรท่ีจะละเว้นการชิงชัง และควรประพฤติตนอย่างนอบน้อมต่อพระราชา ดังนั้น ตามทัศนะของ พระพุทธศาสนา ความเป็นกษัตริย์จึงต้องตั้งอยู่บนความถูกต้องและความดีงาม การรักษาอานาจทางการเมืองเอาไว้ ได้ การวางระเบยี บเพ่อื ให้บ้านเมอื งมคี วามปกติสขุ รวมทงั้ การคงไว้และเพ่ิมพูนอานาจทางการเมือง กษัตริย์ต้องเป็น ผู้ปกครองท่ีมีคุณธรรม หรือเป็นธรรมราชา หลักคุณธรรมจึงถือว่าเป็นหลักสากลท่ีสามารถประยุกต์ใช้ได้ในแต่ละ บุคคลและแม้กระท่ังหลักในการปกครอง ดังนั้น กษัตริย์จึงมีอยู่เพื่อดารงความถูกต้อง และไม่ควรทาสิ่งใดๆด้วย อานาจพลการ ควรหลีกเล่ียงจากความลาเอียงหรือ อคติ 4 ประการ ไม่ว่าจะเป็นความลาเอียงเพราะชอบ ไม่ชอบ ความไม่รู้จริงและความกลัว (ฉันทาคติ โทสาคติ, โมหาคติ และภยาคติ) นอกจากนี้ยังต้องมีคุณธรรมสาหรับ พระราชาที่เรียกว่า ทศพิธราชธรรมอีก 10 ประการ คือ การให้หรือการแบ่งปัน (ทาน) การมีศีล (สีล) การเสียสละ (ปรจิ จาคะ) ความซื่อตรง (อัชชวะ) ความสุภาพอ่อนโย (มัททวะ) การบาเพ็ญตบะ (ตป) ความไม่โกรธ (อักโกธะ) การไม่เบยี ดเบยี ดคนอืน่ (อวิหิงสา) ความอดทน (ขันติ) และความไมเ่ กรย้ี วกราด (อวโิ รธะ) ความมีคุณธรรมและความดีงามของธรรมราชามีความเกี่ยวข้องกันอย่างใกล้ชิดกับความรุ่งเรืองของ อาณาจักรและความสมบูรณ์ทั้งทางกายและจิตใจของประชาชน ความประพฤติและการปฏิบัติของพระราชามี ผลกระทบอย่างกว้าขวางเพราะมันสิ่งผลต่ออาณาจักรและอนาคตของประชาชนซึ่งข้ึนอยู่กับพระราชาทั้งสิ้น แสดงให้ เห็นว่าตามทัศนะของพระพุทธศาสนา พระราชามิใช่เพียงผู้ปกครองเท่าน้ันแต่ยังเป็นผู้ทาการปรองดองและทาให้ สังคมเป็นระเบียบเรยี บรอ้ ย ดังน้นั ถ้าพระราชาไม่มีความเทีย่ งธรรม ก็จะนาความหายนะมาแกป่ ระชาชนได้ พระราชา ท่ไี มย่ ดึ ม่ันและไม่ปฏบิ ัติตามหลักคณุ ธรรมสาหรบั พระราชา ก็จะนาพาอาณาจักรสู่ความหายนะได้ ไม่สมควรที่จะเป็น พระราชาต่อไป ประชาชนก็อาจจะถอนถอนและฆ่าพระราชาได้ บรรดาผปู้ กครองอาณาจกั รต่างๆท่นี บั ถือพระพุทธศาสนาในดนิ แดนแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ต่างยึดมั่น ในแนวคิดเกี่ยวกับการเป็นธรรมราช เพราะการที่จะรักษาอานาจทางการเมืองไว้ได้น้ันต้ังอยู่บนการยึดมั่นในความ
ถกู ตอ้ งหรือธรรม และจาเป็นจะตอ้ งรกั ษาธรรมให้คงอยตู่ ลอดไปโดยการสนบั สนุนคณะสงฆ์ซ่ึงเป็นผู้เผยแผ่พระธรรม โดยการสนับสนุนและส่งเสริมคณะสงฆ์ พระราชาจะต้องรักษาและปฏิบัติธรรมจนกระมั่งม่ันใจได้ว่าการกระทาหน้าท่ี ของพระองคน์ ้ันถูกต้องและชอบธรรมอยา่ งบรบิ ูรณ์ ความสัมพนั ธร์ ะหว่างกษัตริย์และพระพุทธศาสนาในอาณาจักรไทยโบราณจะต้องสืบค้นจากประวัติศาสตร์ที่ เป็นตานานอยา่ งกว้างขวาง ตามประวัติศาสตรท์ ี่เปน็ ตานานและตานานทางพระพุทธศาสนาซึ่งมีอายุราวประมาณพุทธ ศตวรรษท่ี 15 ปรากฏมคี วามสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิดระหว่างวิวัฒนาการของพระพุทธศาสนาในอาณาจักรต่างๆและ การได้รบั ความอุปถัมภ์จากพระราชาท่ีนับถือพระพุทธศาสนา ในตานานกษัตริย์ที่นับถือพระพุทธศาสนาไมว่าจะเป็น อนิ เดยี พม่า ศรลี ังกา กัมพูชาและไทยล้วนมคี วามเก่ยี วข้องกันเสมือนวา่ อย่ใู นอาณาจักรเดียวกันนั่นคือเป็นอาณาจักร ของกษัตริย์ท่ีเป็นชาวพุทธ และยังคงสืบทอดการเป็นกษัตริย์ท่ีอุปถัมภ์ค้าชูพระพุทธศาสนาตามลาดับ ข้อผูกมัดของ กษัตริย์ทุกพระองค์น้ีย้อนกลับไปยังพระพุทธเจ้าซ่ึงเป็นผู้สร้างธรรมเนียมปฏิบัติแก่กษัตริย์ทุกพระองค์ ตามทัศนะ ของพระพุทธศาสนา กษัตริย์ทุกพระองค์ที่ได้ครองรัชสมบัติล้วนเป็นบุคคลท่ีมีบุญวาสนาท่ีพระองค์ได้ทรงส่ังสมไว้ อาณาจักรจะอุดมสมบูรณ์และเจริญรุ่งเรือง ฐานะกษัตริย์จะม่ันคงตราบเท่าที่พระองค์ยังคงเป็นผู้เคร่งครัดในพระ ศาสนาและมีศีลธรรม การท่ีพระพุทธศาสนาเถรวาทมีบทบาทและเป็นที่นับถือเล่ือมใสของเหล่ากษัตริย์ผู้รวบรวมอาณาจักรต่างๆ เช่น พมา่ ลาว ศรลี งั กาและไทยจนกระท่งั ไดร้ บั การยอมรบั ว่าเป็นศาสนาประจาชาตินั้นเพราะพระพุทธศาสนามีระบบ คาสอนท่ีเปน็ ท้ังสงั คมและการเมอื งควบคู่กนั ซึง่ ได้ให้มาตรฐานทางศลี ธรรม เชน่ ความสงบใจ ความสงบสุขและความ กรุณาในระดับสขุ ส่วนความโกรธ ความขัดแย้ง ความโหดร้ายและความปรารถนาสมบัติต่างๆอยู่ในระดับต่า รวมท้ัง การก่อต้ังองค์กรของบุคคลผู้สอนและเผยแผ่พระธรรม (คณะสงฆ์) ซ่ึงไม่ได้เก่ียวข้องกับการเมืองแต่ก็ได้รับความ อุปถัมภ์ค้าชูจากประชาชน แต่ก็พร้อมท่ีจะให้ความร่วมมือกับผู้ปกครองและแนะนาผู้ปกครองให้ดารงม่ันอยู่ในพระ ศาสนาและอาณาจักร ในทางตรงกันข้ามคณะสงฆ์ก็ได้รับการยืนยันในการเป็นผู้มีเอกสิทธ์ิในฐานะบุคคลผู้มีความ เชียวชาญทั้งด้านจิตวิญญาณและศาสนาของอาณาจักรน้ันๆ ความสัมพันธ์ระหว่างกษัตริย์กับคณะสงฆ์มีลักษณะเป็น การช่วยเหลือซ่ึงกันและกัน กษัตริย์ปรารถนาความร่วมมือของคณะสงฆ์เพราะเล็งเห็นว่าคณะสงฆ์จะก่อให้เกิดความ ถกู ต้องทางศลี ธรรมและหลักธรรมทเี่ ป็นเครอ่ื งควบคมุ สงั คมอกี ด้วย ในขณะเดียวกนั คณะสงฆ์ก็ตอ้ งการให้พระราชามี ความมน่ั คงในพระศาสนาเพอ่ื ทีจ่ ะไดอ้ ปุ ถัมภค์ า้ ชูคณะสงฆ์ต่อไป ดังน้ัน จึงเป็นไปได้ว่า สิ่งทั้ง 2 อย่างมีความตรงกัน ไมม่ ากก็น้อย คอื ลัทธิศาสนาตอ้ งการความสนบั สนนุ จากอานาจทางการเมือง และผู้ปกครองท่มี ีอานาจทางการเมืองก็ แสวงหาลัทธศิ าสนาทถ่ี ูกตอ้ ง 6.1.2 พระพุทธศาสนากับพระมหากษตั รยิ ์ไทย ใน ส่วน นี้ จ ะ ข อ น าเสน อ ค วาม สัม พั น ธ์ร ะห ว่าง พ ร ะ พุ ท ธศ าสนากั บ พ ร ะ ม ห าก ษั ต ริย์ใ น อ าณาจั ก ร ต่ าง ๆ ดังต่อไปนี้ 1) พระพุทธศาสนากับพระมหากษตั รยิ ์ในอาณาจกั รสโุ ขทยั ตามที่ทราบกันดีว่าระบบการปกครองในกรุงสุโขทัยนั้นเป็นระบบพ่อปกครองลูก (a paternal government) พระมหากษัตริย์มีฐานะเป็นบิดาของประชาชน ประชาชนจะต้องให้ความเคารพและมีความภักดีต่อ พระมหากษัตริย์ การปกครองแบบพ่อปกครองลูกของกรุงสุโขทัยอาจจะได้รับอิทธิพลมาจากหลักธรรมทาง พระพทุ ธศาสนาอย่างแน่นอน ยกตัวอยา่ งเช่น พระพทุ ธศาสนาได้สอนเรื่องความสัมพันธ์ของคนในสังคมระหว่างบิดา
และบุตรซึ่งท้ังสองคนจะต้องมีหน้าท่ีที่จะต้องทาต่อกันอย่างชัดเจนและแน่นอน บุตรจะต้องเคารพ กตัญญู เช่ือฟัง และมคี วามรกั ตอ่ บิดาของตนเอง ในขณะเดยี วกนั บิดาก็ตอ้ งให้ความดูและคุ้มครองบตุ ร แสดงความรักท่ีบดิ าพงึ มีต่อ บุตร โดยการห้ามบุตรมิให้ทาความช่ัวและให้ต้ังอยู่ในความดี น่าจะเป็นไปได้ว่าพระมหากษัตริย์ในกรุงสุโขทัยใช้ แนวคิดเรื่องพระมหากษัตริย์ตามทัศนะของพระพุทธศาสนามาเป็นประโยชน์เพื่อส่งเสริมและดารงอานาจทาง การเมอื งของตนไว้ หลักธรรมทางพุทธศาสนาถือว่าเป็นกฎระเบียบสูงสุดและเป็นหลักปฏิบัติเพ่ือทาให้สังคมมีความ สงบสุข และเป็นส่ิงจาเป็นสาหรับการปกครองในยุคของพ่อขุนรามคาแหงมหาราช โดยทรงเน้นว่า ถ้าคนในสังคมมี ธรรมะและมีจติ ใจสูงส่งโดยการยดึ มั่นและปฏิบัตติ ามหลกั คาสอนในพระพทุ ธศาสนา อาณาจกั รก็จะเกดิ ความสงบและ มคี วามเจริญร่งุ เรือง เพื่อแสดงการปกครองที่ถูกต้องชอบธรรมและสร้างกฎเกณฑ์ของสังคมขึ้น พระมหากษัตริย์ในกรุง สุโขทัยจึงแสดงบทบาทในฐานะเป็นผู้มีความประพฤติที่ถูกต้อง ให้การสนับสนุน คุ้มครองพระพุทธศาสนา และให้ ความอุปถัมภ์ค้าชูคณะสงฆ์ เช่น พ่อขุนรามคาแห่งไม่เพียงแต่ทรงแสดงให้ประชาชนเห็นว่าพระองค์ทรงอุทิศตนต่อ พระพุทธศาสนาเท่านน้ั ยังสง่ั สอนธรรมแก่ประชาชนอกี ด้วย ในวันพระอุโบสถทรงนิมนต์พระสงฆ์ผู้ทรงแก่เรียนให้มา แสดงธรรมทีพ่ ระราชวงั ทรงนาประชาชนรักษาศลี 5 อย่างเครง่ ครัดตลอดเทศกาลเขา้ พรรษา เมื่อส้ินสดุ ฤดเู ข้าพรรษา กท็ รงถวายผา้ พระกฐนิ แดพ่ ระสงฆ์ ทรงถวายนติ ยภัตแด่พระสงฆผ์ ู้แตกฉานในพระธรรมวินัยและเช่ียวชาญในการเผย แผ่พระพุทธศาสนา นอกจากน้ียังทรงสร้างวัดวาอารามต่างๆมากมายและสนับสนุนส่งเสริมให้ประชาชนได้ทาตาม อยา่ งทพี ระองค์ทรงกระทาอีกด้วย กลา่ วไดว้ า่ พระพุทธศาสนาในรัชสมัยของพ่อขุนรามคาหงมหาราชเจริญรุ่งเรืองถึง ขดี สุดเพราะความท่มุ เทอุทศิ พระองคข์ องพอ่ ขุนรามคาแห่ง กษัตริย์พระองค์ต่อมาที่ครองราชย์ต่อจากพ่อขุนรามคาแหง คือ พระเจ้าลือไท ซ่ึงได้ทรงยึดแบบอย่าง การปกครองของพ่อขุนรามคาแหงและยังคงทานุบารุงพระพุทธศาสนาเช่นเดียวกัน พระเจ้าลือไทน้ียังได้ให้ความ อปุ ถมั ภศ์ าสนาพราหมณ์ จนทาใหธ้ รรมเนยี มนิยมแบบพราหมณ์ซ่ึงได้รับอิทธิพลมาจากประเทศอินเดียทางตอนใต้มี ความเข้มแข็งและมีอิทธิพลในรัชสมัยของพระองค์ แม้ว่าพระองค์จะทรงมีความศรัทธาอย่างแรงกล้าใน พระพุทธศาสนา แตก่ ไ็ ด้มีการนาเอาหลักคาสอนทางพระพุทธศาสนามาปรับใช้เพ่ือจุดประสงค์ทางการเมืองน้อยมาก ในชว่ งรัชสมยั ของพระองค์ ตอ่ มาพระเจ้าลไิ ทซ่ึงเปน็ พระราชโอรสของพระเจ้าลอื ไทไดค้ รองรัชสมบัติและเป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรง ใช้หลักธรรมทางพระพุทธศาสนามาใช้ในการปกครองบ้านเมืองของพระองค์อย่างกว้างขวาง แม้พระองค์จะยังคงใช้ รูปแบบการปกครองตามเย่ียงอย่างของพ่อขุนรามคาแหง แต่ก็มีการใช้ธรรมเนียมแบบศาสนาฮินดูมาใช้ในการ ปกครองมากกวา่ พอ่ ขนุ รามคาแหง กลา่ วกนั วา่ พระองคท์ รงรอบร้คู ัมภีรธ์ รรมศาสตร์ ซงึ่ เปน็ คัมภรี ์วา่ ดว้ ยการปกครอง ของศาสนาฮนิ ดูและทรงใชห้ ลักคาสอนในคัมภรี น์ ม้ี าใชใ้ นการปกครอง เชน่ ในการข้ึนครองราชของพระองค์ได้มีการ กระทาพธิ รี าชาภิเษกอย่างยิง่ ใหญต่ ามแบบอยา่ งศาสนาพราหมณ์ ในฐานะท่ีเป็นพุทธศาสนิกชนพระองค์ทรงประกาศ พระองคเ์ องว่าทรงเป็นมหาธรรมราชา หรือพระราชาที่ทรงธรรม พระองค์ทรงศึกษาพระไตรปิฎกจนแตกฉาน ในช่วง ทีพระองค์ทรงครองรัชสมบัติ พระพุทธศาสนามีความเจริญรุ่งเรืองอย่างยิ่ง และได้มีการบันทึกว่าพระองค์ทรงเป็น พระมหากษัตรยิ ์พระองค์แรกทที่ รงพระราชทานท่ีดิน ขา้ ทาสบรวิ าร รวมทั้งเชลยศกึ สงครามใหแ้ ก่วัด การปฏิบัติเช่นน้ี นีไ้ ดม้ ีการปฏิบตั ิตามกนั มาจนกระทั่งถึงยคุ รัตนโกสนิ ทร์ เหตุการณ์ท่ีสาคัญท่ีสุดในพระราชกรณียกิจที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนา ก็คือ พระองค์ทรงเป็น พระมหากษตั ริย์พระองค์แรกท่ีทรงออกผนวชในระหว่างท่ีทรงครองรัชสมบัติอยู่ เพราะชาวไทยเช่ือกันว่าการบวชเป็น
การไดบ้ ญุ อยา่ งสงู สุด นอกจากน้กี ารออกผนวชของพระมหากษัตริย์ยังได้สะท้อนให้เห็นถึงภาวะสงบสุขทางการเมือง ของกรงุ สุโขทยั อกี ด้วย เมื่อพระเจ้าลิไทได้ลาผนวชกลับมาครองรัชสมบัติแล้ว ทรงประสบกับพระราชกรณียกิจที่สาคัญ 2 ประการ คือ ประการแรก การป้องกันการบุกรุกจากการแผ่ขยายอาณาเขตของอาณาจักรอยุธยา และการกู้อาณาเขต ของพระราชบดิ าของพระองค์กลบั คนื มารวมท้ังการปราบปรามเหล่าขุนนางที่ก่อการจลาจลข้ึน ทั้งสองกรณีน้ันจาเป็น ท่ีจะตอ้ งสรา้ งพนั ธมิตรกบั อาณาจกั รใกล้เคียงอ่นื ๆ เพราะการทานบุ ารุงระพุทธศาสนา การเป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรง ธรรม เช่น การออกผนวชของพระองค์ เป็นต้น กรุงสุโขทัยจึงเป็นศูนย์กลางของพระพุทธศาสนา ในการเสด็จออก ผนวชของพระองค์นั้นมีการบันทึกไว้ว่าเจ้าผู้ครองล้านนาและน่านเจ้าได้เข้ามามีส่วนร่วมในการสร้างกุศลในการออก ผนวชของพระองคด์ ว้ ย กษตั รยิ ท์ ง้ั สองพระองค์และเจ้าผู้ครองแคว้นตา่ งๆในภาคเหนือได้ส่งคณะทูตมายังกรุงสุโขทัย เพื่อนาพระพุทธศาสนาเถรวาทแบบลังกาหรือสิงหลนาไปสู่แว่นแค้วนของตนด้วย ด้วยเหตุดังกล่าวนี้เองที่ทาให้พระ เจ้าลิไทประสบผลสาเร็จในการประสานพันธมิตรเพ่ือมาต่อต้านอาณาจักรอยุธยา อย่างน้อยที่สุดก็ม่ันใจได้ว่าเพ่ือน บ้านของพระองค์จะวางตัวเป็นกลางหากพระองค์จะต้องทรงต่อสู้กับอาณาจักรอยุธยา การท่ีพระองค์ทรงอุทิศต่อ พระพุทธศาสนากท็ าให้พวกขนุ นางของพระองค์มั่นใจได้ว่า พวกเขาจะได้รับการปฏิบัติด้วยความเมตตาและกรุณาซึ่ง เป็นหลักคุณธรรมท่ีสาคัญของพระมหากษัตริย์ผู้ทรงธรรม ดังท่ีได้กล่าวมาแล้วว่านโยบายในการปรามปรามเหล่าขุน นางทีท่ าการจลาจลน้ันทรงดาเนินด้วยหลักสันติภาพ เมื่อพระองค์ทรงปราบปรามพวกก่อจลาจลได้แล้ว ก็ทรงตัดสิน โทษด้วยความเทีย่ งธรรมและมีเมตตา ทงั้ ยงั สอนคนเหล่านนั้ ให้เป็นพทุ ธศาสนิกชนท่ดี ีอกี ด้วย การใช้หลักคาสอนทางพระพุทธศาสนาในการสนับสนุนสถานะของพระมหากษัตริย์ และการสร้าง ระเบยี บในการควบคุมสังคมจะเห็นได้อย่างชัดเจนในคัมภีร์ไตรภูมิพระร่วง หรือไตรภูมิกถา ซึ่งแสดงโครงสร้างหลัก ของจกั รวาลว่ามี 3 ภูมิ ทีเ่ รยี กวา่ ไตรภูมิ คือ นรกภมู ิ มนษุ ย์ภมู ิและเทวภูมิ จดุ เน้นท่เี ป็นแกน่ ของคัมภีร์ไตรภูมิกถาก็ คอื ผลของกรรมดีและกรรมช่วั คนท่ีทากรรมดีก็จะได้รับผลตอบแทนเป็นกรรมดี คนท่ีทาช่ัวก็จะได้รับผลของกรรมชั่ว หลังจากทีต่ ายไปแล้ว การไดร้ ับรางวัลและการถกู ลงโทษเปน็ ตามชนดิ ของกรรมดีและกรรมช่ัวของแตล่ ะบุคคล จะเห็นได้ว่าแนวคิดหลักในคัมภีร์น้ีก็เพื่อท่ีจะนามาใช้ในการปกครองคนในสังคม เพราะแนวคิดเรื่อง ความดแี ละความช่ัว บุญและบาปสามารถนามาใช้เพ่ือทาใหส้ ังคมเกิดความสงบสุข การใหร้ างวัลเมื่อมีการทาความดีก็ จะเป็นการสนับสนุนให้ประชานมีความสนใจท่ีจะทาความดีและเป็นคนมีศีลธรรม แนวคิดเร่ืองบุญและบาปนามาใช้ เพื่ออ้างเหตุผลสนับสนุนสถานะทางสังคมและเศรษฐกิจของแต่ละบุคคลในแต่ระดับชนชั้นของสังคม แนวคิดเร่ือง บทลงโทษตามบทบัญญตั ใิ นศาสนากน็ ามาบังคบั ใช้ในการลงโทษคนในสังคมดว้ ยในฐานะเปน็ ส่ิงทข่ี ่มขู่ไม่ให้ประชาชน กลา้ ทาความช่ัว บทบญั ญัตใิ นการลงโทษเมอ่ื กระทาความผดิ กแ็ ตกตา่ งกันออกไปตามฐานะของแตล่ ะบุคคลในสังคมก็ แสดงใหเ้ ห็นถึงความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งคนท่ีมีฐานะแตกต่างกันในสังคม เช่น การลงโทษคนที่มีฐานะทางสังคมสูงกว่าก็ จะได้รบั การลงโทษท่ีแตกต่างจากคนที่มีฐานะทางสังคมต่ากว้าแม้จะกระทาความผิดอันเดียวกันก็ตาม คัมภีร์ไตรภูมิ กถาจงึ แสดงความสัมพนั ธท์ ี่เหมาะสมระหวา่ งคนที่ฐานะแตกต่างกัน มีการจาแนกแยกแยะความประพฤติที่เหมาะสม ของสมาชิกในครบครัวต่อกันและกัน ความสัมพันธ์ระหว่างพระสงฆ์กับชาวบ้าน ระหว่างผู้บังคับบัญชาและผู้อยู่ใต้ บงั คับบญั ชา เป็นตน้ นอกจากจะใช้หลักคาสอนในพระพุทธศาสนาที่พรรณนาไว้ในคัมภีร์ไตรภูมิกถาในฐานะเป็นเคร่ือง ควบคุมสังคมแล้ว พระเจ้าบิไทยังได้ใช้แนวความคิดเรื่องบุญกุศลเพื่ออ้างเหตุผลสนับสนุนสิทธิที่ชอบธรรมในการ ปกครองของพระองค์อีกด้วย เพราะพระองค์เป็นผู้ทรงธรรมและมีสิทธิท่ีจะปกครอง ประชาชนจึงต้องมีหน้าที่ที่จะ
ภักดรี บั ใชผ้ ูป้ กครอง ดังนนั้ คมั ภรี ไ์ ตรภูมิกถาจึงเป็นทั้งคัมภีร์ทางการปกครองและคัมภีร์ทางศาสนา เพราะแสดงให้ เห็นว่าพระพุทธศาสนาสามารถช่วยทาให้สังคมมีระเบียบและค้าจุนอานาจการปกครองของผู้ปกครอง โดยการสร้าง ความกลัวที่จะตกนรกขึ้นในใจของประชาชน จึงเป็นห้ามปรามการฝ่าฝืนของคนในสังคมและการประท้วงทางการ ปกครองอีกดว้ ย หลงั จากท่พี ระเจา้ ลไิ ทสวรรคต กรงุ สุโขทยั ก็เสื่อมลงและตกอยู่ภายใตอ้ านาจของอาณาจักรอยุธยา 2) พระพทุ ธศาสนากบั พระมหากษัตรยิ ใ์ นอาณาจักรอยธุ ยา แนวความคิดเร่ืองศาสนากับการปกครอง แนวคิดเร่ืองกษัตริย์ การปกครอง และสถาบันทางการเมือง การปกครองของอาณาจักรอยุธยาได้รัยอิทธิพลผสมผสานกันหลากหลายความคิดระหว่างธรรมเนียมเขมรและมอญ ศาสนาฮินดูและพระพุทธศาสนา อยธุ ยาได้สืบทอดแนวความคิดเทวราชามาจากธรรมเนียมของเขมรและศาสนาฮินดู พระราชามีฐานะเป็นเทพเจ้า เป็นเจ้าชีวิตและเป็นเจ้าแผ่นดิน ในฐานะเป็นผู้ปกครองอาณาจักร พระราชอานาจของ พระราชาไม่มีใครสามารถมาท้าทายได้ ส่วนธรรมเนียมของศาสนาฮินดูน้ันก็มีปรากฏในรัฐพิธีต่างๆเช่น พิธีถือน้าพัฒน์สัตยาและพิธีบรม ราชาภิเษกเป็นต้น กษัตริย์ของอาณาจักอยุธยาได้รับเอาสถาบันทางการเมือง การปกครอง ศิลปะ คาราชาศัพท์ และ ระบบฐานันดรศักดริ์ วมทง้ั ระบบชนชั้นในสงั คมมาจากธรรมเนียมของเขมรเป็นส่วนใหญ่ อิทธิพลของแนวความคิดเก่ยี วกับกษัตริย์ผู้ทรงคุณธรรมของพระพุทธศาสนาน้ันจะปรากฏในคัมภีร์บาลี ช่อื ธัมมสัตถะซ่งึ เปน็ คมั ภีร์ของพระพุทธศาสนานิกายเถรวาทที่สอนเก่ียวกับหลักการปกครอง แต่อย่างไรก็ตาม แม้ว่า คมั ภรี ์ดงั กล่าวจะมีจุดกาเนิดมาจากศาสนาฮินดู แต่ก็เป็นฉบับสานวนของพวกมอญที่สั่งสอนกษัตริย์ไทย คัมภีร์ธัมม สัตถะฉบับมอญนเ้ี มอ่ื สืบค้นอย่างถกู ตอ้ งแล้วจะเหน็ ไดช้ ดั ว่าไม่ใชค่ ัมภีรใ์ นศาสนาฮนิ ดูแต่เนอ้ื หาโดยสว่ นใหญจ่ ะนามา จากตานานว่าด้วยการเกิดขึ้นของโลกที่ปรากฏในอัคคัญญสูตร ดังน้ัน จึงถือได้ว่ากษัตริย์ของอาณาจักอยุธยาทุก พระองค์จึงได้ปฏิบัติตามหลักคาสอนเรื่องกษัตริย์ท่ีมีคุณธรรมทางพระพุทธศาสนา พระมหากษัตริย์มีฐานะเป็นพระ โพธิสัตว์ที่ยังไม่ปรารถนาจะเข้าไปสู่นิพพานเพื่อท่ีจะได้ช่วยเหลือประชาชนให้ปฏิบัติตามหลักธรรมคาสอนและ แสวงหาความสุขในชีวิตทางโลก จะเห็นได้จากการบันทึกว่าเมื่อพระเจ้ารามาธิบดีและพระราชโอรงทรงสวรรคตแล้ว พระองค์ก็ไดพ้ ากันเขา้ ไปสพู่ ระนิพพาน ซ่งึ แนวคดิ ดังกลา่ วเป็นหลกั คาสอนของพระพุทธศาสนามหายาน การนาพระพุทธศาสนามาใช้ในการปกครองของกษัตริย์ของอยุธยาก็มีมากมายหลายประการจะเห็นได้ จากพิธีถือน้าพิพัฒน์สัตยาซ่ึงแม้จะมีกาเนิดมาจากศาสนาฮินดูและผู้ทาพิธีคือพวกพราหมณ์ก็ตามแต่พระรั ตนตรัยก็ ถูกนามาประยุกต์ใช้เพ่ือทาให้พิธีดังกล่าวมีความสมบูรณ์ย่ิงขึ้นอีกด้วย จากยุคอยุธยาจนถึงกรุงรัตนโกสินทร์ พิธี ดังกล่าวยังคงมีการประกอบพิธีขึ้นที่วัดซ่ึงพระสงฆ์ก็มีความสาคัญพอๆกับพวกพราหมณ์ในการที่จะกระทาพิธีให้มี ความสมบูรณ์ การนาพระพุทธศาสนามาใช้ประโยชน์ในทางการเมืองจะเห็นได้ในการผนึกอาณาจักรสุโขทัยและอยุธยา เข้าเป็นปึกแผ่นในรัชสมัยของพระบรมไตรโลกนาถแห่งอยุธยา ก่อนท่ีพระองค์จะข้ึนครองราชย์นั้น แม้อาณาจักร อยธุ ยาจะมอี านาจปกครองสุโขทยั แตก่ ็ไมส่ ามารถกลืนสุโขทัยเข้าเป็นหนง่ึ เดยี วกับอยุธยาได้ แต่พระบรมไตรโลกนาถ กลับประสบความสาเร็จในการผนึกทั้งสองอาณาจักรเข้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้เพราะพระองค์ทรงเข้าใจ ความสาคัญของพระพทุ ธศาสนาและตระหนกั กว่าการใช้กาลังทหารนั้นเป็นส่ิงท่ีไร้ผล พระองค์จึงได้ทรงพยายามท่ีจะ สร้างความสัมพันธ์ระหว่างพุทธศาสนากับการเมืองเข้าด้วยกันเพื่อจะได้รับความร่วมมือจากคณะสงฆ์และเข้าถึงพวก ชาวบ้านโดยอาศัยคณะสงฆ์และพระพุทธศาสนา พระองค์ทรงใช้ความพยายามอุตสาหะอย่างมากในการ
บูรณปฏิสังขรณ์และสร้างวัดวาอารามต่างๆในทางภาคเหนือเพ่ือท่ีจะเอาชนะใจของประชาชนชาวสุโขทัย พระราช กรณยี กิจสาคัญที่ทาให้พระองค์ทรงไดร้ บั การยกยอ่ งเคารพนยั ถอื ในฐานะเป็นพระมหากษัตริย์ท่ีพุทธศาสนิกชนท่ีดีใน สายตาของชาวสุโขทัยมากท่ีสุดก็คือการบูรณปฏิสังขรณ์วัดพระพุทธชินราช วัดน้ีครั้งหน่ึงเคยเป็นศูนย์กลางแห่งจิ วิญญาณของอาณาจักรสุโขทัย เป็นสถานที่ประดิษฐานพระพุทธชินสีห์ นอกจากนี้พระองค์ยังคงดาเนินรอยตามพระ เจา้ ลไิ ทแหง่ สโุ ขทยั นั่นคือ พระองค์ทรงสละราชสมบตั ชิ ั่วคราวเพื่ออกผนวชและเสด็จประทับจาพรรษที่ภาคเหนือ ถ้า พจิ ารณาในทางการเมือง การออกผนวชและประทับอยู่ ณ ภาคเหนือของพระองค์เป็นการทาให้ชาวสุโขทัยประทับใจ และมีความศรัทธาในพระองค์มากยิ่งข้ึนเพราะเป็นการทาตามกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ของชาวสุโขทัยนั่นคือพระเจ้าลิไท ใน การเสด็จออกผนวชของพระองคน์ ี้ กษัตริย์แห่งเมืองเชียงใหม่ พม่าและหลวงพระบางก็ได้ส่งเครื่องบรรณาการมาเข้า รว่ มดว้ ย อาจเป็นไปได้ว่า การออกผนวชของพระองคอ์ าจจะเปน็ การวางแผนเพื่อท่ีจะเข้าไปแทรกซึมและเข้าไปบังคับ บัญชาคณะสงฆ์สุโขทัย จะเห็นได้จากมีข้าราชบริพารบวชตามพระองค์จานวน 2348 องค์และยังคงอยู่ในสุโขทัย ใน ท่ีสุดก็กลายมาเป็นจุดเชื่อมต่อท่ีสาคัญระหว่างอานาจทางการปกครองกับ มวลชนชาวชนบท ของอาณาจักรทาง ภาคเหนอื พระกรณียกจิ ท่ีเก่ียวข้องกบั พระพุทธศาสนาท่ีเป็นความพยามยามในการแสวงหาความชอบธรรมในการ มีอานาจปกครองโดยใช้คัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาเป็นเคร่ืองปูทางก็คือการแต่งวรรณกรรมชาดกฉบับหลวงซึ่งเป็น ประวัติในอดีตชาติของพระพทุ ธเจ้า ประเด็นทีเ่ ก่ียวขอ้ งกับการเมอื งในวรรณคดีเลม่ นกี้ ็คอื การเน้นไปท่พี ระกรณยี กจิ ท่ี เกี่ยวขอ้ งกบั พระพทุ ธศาสนาของพระมหากษัตริย์ในฐานะผู้มีคุณสมบัติสูงสุดสาหรับการปกครองท่ีถูกต้องชอบธรรม นอกจากนีก้ ย็ ังเปน็ การทาตามพระราชกรณยี กิจของพระเจ้าลไิ ทท่ที รงประพนั ธค์ ัมภรี ไ์ ตรภูมกิ ถาอกี ด้วย นอกจากนี้ ยังเป็นท่ีน่าสนใจอีกว่าได้มีการใช้พระพุทธศาสนาเพื่ออ้างความชอบธรรมที่จะแย่งชิงรัช สมบัติอกี ด้วย จะเห็นได้จากกรณีพระเจ้าทรงธรรมแห่งอยุธยาท่ีแย่งชิงราชบัลลังก์จากองค์รัชทายาทที่ขอบธรรมและ สถาปนาตนเองขน้ึ เป็นพระมหากษัตรยิ ์ โดยทรงแสวงหาความชอบธรรมโดยการอาศัยพระราชกรณยี กจิ ที่เก่ียวข้องกับ พระพุทธศาสนา เช่น การสนับสนุนการศึกษาของคณะสงฆ์ การอุทิศพระองค์เพื่อพระพุทธศาสนา การแต่งชาดก ข้ึนมาใหม่ การรวบรวมพระไตรปิฎก การส่งเสริมให้ประชาชนฟังธรรม แม้พระองค์เองก็ฟังพระธรรมเทศนาเป็น ประจา เป็นต้น เป็นการแสดงให้ประชาชนเห็นว่าพระองค์ทรงมีคุณธรรมและมีความชอบธรรมที่จะครองรัชสมบัติ เป็นการนาเอาพระพุทธศาสนามาเปน็ เครื่องยืนยันความชอบธรรมในการครองแผ่นดนิ ของพระองค์ ความสัมพันธ์ระหว่างพระพุทธศาสนากับการเมืองในอาณาจักอยุธยาอาจจะสรุปได้ดังต่อไปน้ี อิทธิพล ของเขมร ศาสนาฮินดแู ละพระพุทธศาสนาตอ่ อาณาจกั รอยุธยามลี ักษณะผสมผสานกนั ทง้ั สามแนวคดิ หลักนั้นได้สร้าง ความชอบธรรมใหแ้ ก่อานาจทางการเมือง พระพุทธศาสนายืนยันบทบาทของพระมหากษัตริย์ในฐานะผู้ทรงคุณธรรม มคี วามเที่ยงธรรมและผู้ต้ังกฎระเบยี บในสงั คม เพราะหลักธรรมทางพระพทุ ธศาสนาทาให้ม่นั ใจได้ว่าพระมหากษัตริย์ จะปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของความถูกต้อง ส่วนอิทธิพลของเขมรและศาสนาฮินดูน้ันทาให้พระราชามีฐานะเป็นสมมติ เทพ เปน็ ผตู้ ั้งกฎเกณฑ์ มีพลังอานาจเหนอื ธรรมชาติ เป็นเทพเจ้าท่ีอยใู่ นรา่ งของมนุษย์ แนวคดิ เช่นนี้ค้าจุนอานาจทาง การเมืองของพระมหากษัตรยิ ไ์ ดเ้ ป็นอยา่ งดี จากท่ีกล่าวมาข้างต้นน้ี ส่ิงหนึ่งท่ีน่าสนใจคือความสนใจในพระพุทธศาสนาของพระมหากษัตริย์ของ สุโขทัยและอยุธยาเป็นตัวอย่างให้อนุชนรุ่นหลังได้ถือปฏิบัติตามอย่างไม่ขาดสาย ประเด็นสาคัญไม่ใช่การเป็น พทุ ธศาสนกิ ชนที่ดขี องพระมหากษัตรยิ ์ แต่อยู่ทพี่ ระองคท์ รงตระหนกั ว่าพระพุทธศาสนาสามารถสร้างความชอบธรรม
ในการปกครองให้แก่พระองค์ได้ต่างหาก จะเห็นว่ามีการนาศาสนาต่างๆมาใช้เพ่ือประโยชน์ทางการเมืองต่างๆ จนกระท่ังปัจจบุ นั น้ี 3) พระพุทธศาสนากบั พระมหากษตั รยิ ใ์ นสมัยกรงุ ธนบรุ ี ในท่ีสุดอยุธยาก็ล่มสลายเพราะถูกพม่ารุกรานในปี ค.ศ.1767 เมืองหลวงก็ถูกเผาทาลายจนไม่สามารถ จะบูรณปฏิสังขรณ์ได้อีก ประชาชนไม่ว่าจะเป็นพระหรือฆราวาสต่างพากันหนีตายเอาตัวรอดไปคนละทิศละทาง ใน ท่ีสุดพระเจ้าตากสินก็สามารถมาตีอยุธยาคืนและกู้เอกราชของไทยคืนมาได้อีกคร้ังหน่ึง และได้สถาปนาพระองค์เอง ขึน้ เป็นกษตั ริยแ์ ละยา้ ยเมืองหลวงมาอยทู่ ก่ี รุงธนบุรี ในช่วงแรกของการครองราชย์ของพระองค์ พระเจา้ ตากสินทรงพยายามอย่างหนักท่ีจะทาใหค้ วามขัดแย้ง ในชาติสงบระงับและทาอาณาจักให้เป็นเอกภาพ พวกที่ก่อจลาจลก็คือกลุ่มพระท่ีนาโดยพระท่ีมีสมณศักดิ์สูงคือเจ้า พระฟาง ไดก้ ่อต้งั กองทพั เปน็ ของตนเอง ดารงชีวิตเหมือนเป็นชาวบ้านธรรมดา ไม่ปฏิบัติตามพระธรรมวินัย ส่องสุม กาลังต้งั ม่ันอยทู่ างตอนเหนอื ของเมืองพิษณุโลก แต่ต่อมาก็ถูกพระเจ้าตากสินโจมตีจนแตกพ่าย เจ้าพระฝางสามารถ หนไี ปได้แตพ่ วกลูกน้องถูกจบั ทง้ั หมด สว่ นในหัวเมืองทางใต้ พระเจา้ ตากสินก็สามารถเขา้ ไปปราบปรามกลุ่มที่ก่อการ จลาจลซง่ึ นาโดยเจา้ ผูค้ รองเมอื งนครศรธี รรมราชได้ ในการพยายามท่ีจะทาอาณาจกั รให้เปน็ ปกึ แผ่นอนั หนง่ึ อนั เดียวกันน้ี พระเจา้ ตากสินทรงส่งพระที่มีสมณ ศักด์ิสูงจากเมืองหลวงเพ่ือครอบครองตาแหน่งทางการปกครองคณะสงฆ์ที่สาคัญในทางภาคเหนือ หลายหลังท่ีทรง ปราบพวกก่อจลาจลในหัวเมืองทางภาคใต้ได้แล้ว ทรงนิมนต์พระเป็นผู้หน้าคณะสงฆ์ในหัวเมืองใต้เพ่ือมารับเครื่อง ไทยธรรม ทรงสร้างและบูรณปฏิสังขรณ์วัดวาอารมต่างๆ เนื่องจากนครศรีธรรมราชเป็นศูนย์กลางของ พระพุทธศาสนาในทางภาคใต้ การที่พระเจา้ ตากสินทรงกระทาพระราชกรณียกิจต่างๆท่ีเกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนา เป็นความพยายามท่ีจะใช้พระพุทธศาสนามาเป็นข้อสนับสนุนเพื่ออ้างเหตุผลท่ีชอบธรรมในการสร้างอานาจทางการ ปกครองและไดร้ บั ความสนบั สนนุ จากประชาชนในทางภาคใต้ พระเจ้าตากสินทรงมีวิริยะอุตสาห์ในการสร้างความเจริญรุ่งเรืองให้แก่พระพุทธศาสนาซึ่งเคยซบเซา เพราะการบุรุกของพวกพม่า ทรงดาเนินรอยตามพระเจ้าลิไทและพระเจ้าทรงธรรมหลายอย่าง เช่นการรับส่ังให้ ปรับปรุงคัมภีร์ไตรภูมิกถาข้ึนใหม่และสั่งให้พิมพ์พระไตรปิฎกฉบับใหม่ขึ้ น นอกจากนี้ยังทรงสร้างและ บูรณปฏสิ งั ขรณ์วัดวาอารามต่างๆจานวนมาก ในรัชสมัยของพระเจ้าตากสินนั้นพระพุทธศาสนามีความเสื่อมโทรมลง มากเนื่องจากการศึกสงครามกับพวกพม่าจึงไม่ได้รับการอุปถัมภ์ค้าชูที่ดีและพอเพียงจึงทาให้พระสงฆ์ประพฤติผิด พระธรรมวินัยกันมาก พระเจ้าตากสินจึงทรงพยายามที่จะชาระสังฆมณฑลให้มีความบริสุทธ์ิหมดจด พระที่มีความ ประพฤตไิ ม่ดีเสียหายกจ็ ะถกู จบั สกึ เชน่ การทดสอบวา่ พระทางภาคเหนือว่ารปู ใดเป็นพระจริงพระปลอมโดยวิธีการให้ ดานา้ เป็นต้น จากท่ีกล่าวมาท้ังหมดสรุปได้ว่า ในประเทศไทย พระมหากษัตริย์จะต้องเป็นพุทธศาสนิกชน แม้แต่ใน รฐั ธรรมนญู กไ็ ด้บญั ญตั ไิ วว้ า่ พระมหากษตั ริยท์ ุกพระองค์จะต้องเป็นพทุ ธมามกะ ความมั่นคงของพระมหากษัตริย์และ พระพทุ ธศาสนาไม่สามารถแยกออกจากกันได้ นอกจากน้ีความสัมพันธ์ของพระมหากษัตริย์กับพระพุทธศาสนาก็คือ ความเกย่ี วข้องกนั ทางระบบศีลธรรม พระพทุ ธศาสนากบั พระมหากษัตริย์มีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิดจนแทบแยก ไม่ออก โดยเฉพาะอิทธิพลของพระพุทธศาสนาที่มีเหนือความเป็นกษัตริย์ หากจะพูดว่า พระมหากษัตริย์ไทยทุก
พระองค์ยอมรับนบั ถอื พระพทุ ธศาสนาและถอื ว่าเปน็ ศาสนาที่จาเป็นสาหรบั อาณาจกั รของพระองค์ พระพุทธศาสนามี บทบาทต่อสังคมและวัฒนธรรมที่เป็นรากเหง้าของสังคมไทย และมีอิทธิพลอย่างย่ิงต่อวัฒนธรรม ประเพณี ปรัชญา การศึกษารวมทั้งพระมหากษัตริย์ไทย ถ้ากล่าวถึงความเป็นกษัตริย์ไม่ว่าจะเป็นแก่นแท้ ธรรมชาติ โครงสร้าง หน้าที่ และความหมายล้วนแลว้ แตม่ รี ากฐานมาจากพทุ ธศาสนา แม้ว่าธรรมเนียมของศาสนาฮินดูจะถูกรับมาปฏิบัติในรัฐพิธี หลายอย่าง เช่น พธิ รี าชาภิเษก พธิ พี ชื มงคล เป็นต้น แต่กระนัน้ พระมหากษตั ริยข์ องไทยมกั จะนาธรรมเนียมแบบฮินดู เข้ามาผสมผสานกับธรรมเนียมของพุทธศาสนาเพื่อจะทาให้ถูกต้องและเหมาะสมกับสถานะและพระราชอานาจของ พระองค์เอง ไมม่ หี ลกั ฐานทสี่ มเหตุสมผลท่จี ะพิสจู น์ใหเ้ หน็ ว่าพระมหากษัตริย์ไทยอา้ งอิงว่าบ่อเกิดและพระราชอานาจของ พระองค์ว่าเป็นอานาจของเทพเจ้า แต่สิทธิในความเป็นผู้นาของพระองค์เกิดมาจากหลักแห่งความดีงาม ไม่ใช่สิ่งที่ พระเจ้าทรงประทานมาให้ตามแนวคิดของพวกเทวนิยม แต่ในความเป็นจริงพระมหากษัตริย์ทรงพยายามทาความดี ทุกอย่างเพ่ือทีจะพัฒนาพระองค์และพระราชจริยาวัตรเปรียบเทียบตามแนววิถีชีวิตของพระพุทธเจ้าและส่ิงที่ พระพุทธเจ้าทรงห้ามมใิ หก้ ระทา ชาวไทยได้ให้ความเคารพนับถือ มีความจงรักภักดี แม้กระท่ังยอมมอบถวายชีวิตของตนให้กับ พระมหากษัตริย์ได้ ไม่ใช่เพราะพระราชอานาจของพระองค์ แต่เพราะพระราชจริยาวัตรอันงดงามที่ส่ังสมด้วยการ ปฏิบัติตามทศพธิ ราชธรรม 10 ประการซึง่ เปน็ คุณธรรมในพระพทุ ธศาสนา พระมหากษัตริย์ของไทยทรงยึดม่ันอยู่ใน หลักคุณธรรมของพระราชา รักษาศีลห้าในวันปกติ และรักษาศีล 8 ในวันพระเป็นต้น ดารงพระองค์อยู่ด้วยความ เมตตาและกรุณาต่อประชาชนทุกคน ทรงมีความพยายามศกึ ษาพระธรรมคาสอนและยดึ หลักความถูกต้อง 4 ประการ กล่าวคือ การประเมินความถูกหรือผิดของข้าราชบริพารตามการกระทาของแต่ละคน สนับสนุนความถูกต้องและ ความชอบธรรม การปกป้องและอุปถัมภ์ค้าชูพระพุทธศาสนาเป็นหน้าที่ของพระมหากษัตริย์ พระองค์ไม่ทรงเป็นเพียงผู้ ป้องกันและอปุ ถัมภ์พระพทุ ธศาสนาอยา่ งเดียวเทา่ นน้ั แต่ทรงเปน็ ผู้เผยแผท่ ี่สาคัญอีกด้วย พระพุทธศาสนากับสถาบัน พระมหากษัตริย์ไทยจึงเป็นสิ่งที่มีความสัมพันธ์กันและกันจนไม่สามารถแยกออกจากกันได้ น่ีคือเหตุผลว่าทาไม พระมหากษตั ริย์ไทยจึงมีความผกู พนั อยา่ งลึกซ้ึงในพระพุทธศาสนา พระมหากษัตริย์ทุกพระองค์พยายามที่จะใช้หลัก คาสอนทางพระพทุ ธศาสนามาใช้ในการกาหนดนโยบายทางการเมืองการปกครองและทุกๆการกระทาเพ่ือความดีงาม ความรุ่งเรือง ประโยชน์และความสุขของประชาชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ไม่เพียงแต่จะยึดม่ันและปฏิบัติตาม หลักธรรมในพระพุทธศาสนาอย่างมีศรัทธาแรงกล้าเท่าน้ัน แต่ยังทรงสนับสนุนให้ประชาชนปฏิบัติตามพระองค์อีก ด้วย ชาวไทยเห็นว่าความอยู่ดีมีสุขและความสงบของประเทศชาตินั้นขึ้นอยู่กับคุณธรรมของผู้ปกครองและผู้ถูก ปกครอง ความสงบสุขจะเกิดขึ้นได้อย่างง่ายดายเพียงแต่ผู้ปกครองและผู้ใต้ปกครองยึดม่ันและปฏิบัติตามคุณธรรม ในพระพุทธศาสนา ความเป็นอันหน่ึงอันเดียวกันและความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันระหว่างพระมหากษัตริย์และ พระพุทธศาสนา หรือความสัมพันธ์ระหว่างพระมหากษัตริย์ พระพุทธศาสนาและประชาชนชาวไทยทาให้มี ความสัมพันธ์กันอย่างแนบชิดและลึกซ้ึง ภายใต้หลักคาสอนทางพระพุทธศาสนา แทบทุกกิจกรรมในประเทศ พระมหากษัตริย์มีฐานะเป็นหัวหน้าของรัฐ ศูนย์กลางของความเคารพ ความศรัทธาและความร่วมมือกัน เป็น สัญลักษณ์ของความมั่นคง ความรุ่งเรืองและความอยู่ดีมีสุข เพราะพระมหากษัตริย์เป็นผู้นาความเป็นเอกภาพและ ความเปน็ อันหนึ่งอนั เดียวกนั มาส่ปู ระชาชนชาวไทย ดงั นัน้ ความเจริญรุ่งเรืองของพระพทุ ธศาสนาจงึ สมั พันธ์เกี่ยวข้อง กับความเจริญร่งุ เรืองของชาติและพระมหากษตั ริยอ์ ยา่ งแยกกันไม่ออก โดยทั่วไป คนไทยทุกคนต่างตระหนักว่า ชาติ
ศาสนา และพระมหากษัตริย์ เป็นสถาบันหลักของประเทศไทย ประการสุดท้าย เราควรระลึกไว้เสมอว่า ภายใต้ หลักธรรมของพระพทุ ธศาสนา พระมหากษตั รยิ ท์ รงดารงอยูก่ ็เพ่อื ประชาชนชาวไทย เพราะพระพุทธศาสนามีอิทธิพล สูงต่อชาวไทยอย่างมาก วิถีการดารงชีวิตตามหลักคาสอนของพระพุทธศาสนาจึงเป็นส่วนหน่ึงของการดารงชีวิตของ ประชาชนชาวไทย พระพุทธศาสนาเป็นสัญลักษณแ์ ละพืน้ ฐานสาคัญของความรู้สึกเป็นอันหน่ึงอันเดียวกันของคนไทย นอกจากความจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์แล้วในฐานะเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน การเป็น สมาชิกของชาตไิ ทย และการเป็นคนไทยแล้ว คนไทยยงั รูส้ ึกวา่ ตนเองเป็นพทุ ธศาสนิกชนเหมือนกัน 4) พระพทุ ธศาสนากบั พระมหากษัตริยใ์ นสมัยกรุงรตั นโกสินทร์ ในรชั สมยั ของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก รัชกาลที่ 1 อิทธิพลของศาสนาฮินดูเร่ิมท่ีจะลด ความสาคญั ลง ในรฐั พธิ ีต่างๆ พิธีกรรมทางพระพทุ ธศาสนาเร่ิมมีบทบาทสาคัญแทนท่ีศาสนาพราหมณ์ เช่น พิธีถือน้า พิพัฒน์สตั ยา ในตอนเร่มิ ตน้ พิธกี ็มกี ารบชู าพระรตั นตรัยแทนทพี่ ิธดี ้งั เดมิ แบบศาสนาพราหมณ์ อย่างไรก็ตามรูปแบบ การปกครองในสมัยรัชกาลท่ี 1 ก็ยังคงยึดแบบอยุธยา เช่นคัมภีร์ธรรมสัตถะของพระพุทธศาสนาก็ยังคงใช้เป็น หลกั การในการปกครองเชน่ เดมิ การปกครองของพระองคม์ รี ปู แบบพ่อปกครองลูก เมอ่ื พระองคท์ รงครองราชยต์ อ่ จากพระเจ้าตากสิน พระองคใ์ ช้หลักธรรมทางพระพุทธศาสนาเป็นหลักใน การปกครองอาณาจักรและประกาศตนเป็นพระมหากษัตริย์ท่ีทรงคุณธรรมและเป็นพุทธศาสนิกชน ในฐานะที่เป็น พระมหากษตั ริยท์ มี่ ีอานาจขอบธรรมที่จะปกครองอาณาจกั รตามแนวทางของพระพทุ ธศาสนาเถรวาท พระองค์จึงทรง ประกาศว่าพระราชกรณียกิจสาคัญของพระองค์ก็คือการทาให้พระพุทธศาสนามีความเจริญรุ่งเรืองและจัดการสังฆ มณฑลซ่ึงประสบความยุ่งเหยิงจากการรุกราญของพม่าและความยุ่งเหยิงที่เกิดมีในรัชสมัยของพระเจ้าตากสินให้ กลบั มามคี วามบริสุทธ์ิเหมือนดังเดมิ พระราชกรณียกิจที่สาคัญท่ีสุดก็คือการสังคายนาพระไตรปิฎกซึ่งคณะผู้ทาการสังคายนาประกอบด้วย พระภกิ ษแุ ละราบบัณฑติ ทีเ่ ปน็ ฆราวาส ใชเ้ วลาในการสงั คายนาอยู่ 5 เดือนจึงสาเร็จ นับเป็นการสังคายนาครั้งท่ี 9 ใน ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา พระไตรปิฎกฉบับนี้ได้รับการยอมรับว่ามีความถูกต้องมากที่สุด นอกจากนี้ก็ยังทรง รับสั่งให้ทาการชาระคัมภีร์ไตรภูมิกถาเพื่อให้สอดคล้องกับเน้ือหาในพระไตรปิฎกโดยมี พระราชประสงค์เพื่อทาตาม เยยี่ งอย่างของพระเจ้าลิไท นบั เปน็ กสุ โลบายในการกระต้นุ ให้ประชาชนได้เห็นคุณค่าของพระพุทธศาสนา นับเป็นการ ยืนยันคุณค่าของพระมหากษัตริย์และความมีสิทธิโดยชอบธรรมที่จะตั้งกฎระเบียบต่างๆในสังคมขึ้น การชาระ พระไตรปิฎกและคัมภรี ์ทางพระพุทธศาสนานั้น หากจะพิจารณาถึงวัตถุประสงค์เพื่อประโยชน์ทางการเมืองจะเห็นได้ ว่า เน่อื งจากหลักธรรมต่างๆได้รบั การบรรจไุ วใ้ นพระไตรปฎิ ก การสงั คายนาพระไตรปิฎกก็เปิดช่องทางให้มีการสร้าง กฎเกณฑ์ทางศีลธรรมในอาณาจักรขนึ้ ใหม่ได้ และสะทอ้ นใหเ้ หน็ ว่ารชั กาลท่ี 1 เปน็ พระมหากษัตรยิ ท์ ่ีทรงคุณธรรม เพื่อทจ่ี ะชาระสังฆมณฑลให้บรสิ ทุ ธิ์และเพ่ือสั่งสมพระบารมี รัชกาลท่ี 1 ทรงออกกฎพระสงฆ์ท่ีเก่ียวข้อง กบั การปฏิบัตติ นท่ีถกู ต้องเพื่อให้พระสงฆไ์ ดถ้ อื ปฏิบตั ิ มีการกาหนดความสัมพันธ์ระหว่างสังคมของพระและฆราวาส ความสัมพันธ์ระหว่างพระและเจ้าหน้าท่ีทางบ้านเมือง และมีบทบัญญัติการลงโทษ ถ้าไม่กระทาตามอีกด้วย กฎ พระสงฆ์เหล่านนี้ บั เป็นพระราชบญั ญตั ิท่ีเกี่ยวขอ้ งกับสงฆ์ทีเ่ ปน็ ลายลกั ษณอ์ กั ษรเป็นครงั้ แรก ในส่วนที่เป็นพระราชกรณยี กจิ สว่ นพระองค์นน้ั รัชกาลท่ี 1 ทรงปฏบิ ตั พิ ระองคใ์ ห้เป็นตัวอย่างแก่พวกขา ราชบริพารในฐานะทีพ่ ระองคท์ รงเป็นพุทธศาสนิกชน กลา่ วคอื ตอนเช้าพระองคท์ รงบาตรแก่พระภิกษุสามเณรทุกวัน หลงั จากน้นั กไ็ ด้มกี ารนิมนต์พระสงฆ์ให้มาฉันภัตตาหารท่พี ระราชวังนอกเหนือจากการทรงบาตรตามปกติอีกครั้งหน่ึง
ด้วย ในตอนเยน็ ทรงเสวยพระกระยาหารเร็วกว่าปกติแล้วก็จะไปเสด็จไปยังพระราชมณเฑียรเพ่ือฟังพระธรรมเทศนา จากพระสงฆท์ ุกวนั นอกจากนี้ยังทรงส่ังสอนขา้ ราชบรพิ ารให้รกั ษาศีล 5 และศลี 8 ในวันพระอีกดว้ ย จะเห็นได้ว่าพระ ราชกรณียกิจท่ีเก่ียวข้องกับพระพุทธสาสนาของรัชกาลที่ 1 แสดงให้เห็นถึงการยกระดับแนวคิดเก่ียวกับกษัตริย์ใน ฐานะเทวราชาหรือสมมติเทพมาสู่แนวคิดแบบธรรมราชาหรือพระมหากษัตริย์ท่ีเป็นพุทธศาสนิกชน ซึ่งก็เป็นภาพ สะท้อนพระมหากษัตรยิ ์ทีน่ ับถือพระพุทธศาสนาของอาณาจักรสุโขทัยเช่นกนั ดงั นั้น ความเป็นพระมหากษัตริย์ไทยจึง เป็นสถานะท่ีมีความศักดิ์สิทธิ์เพราะเป็นสัญลักษณ์ของธรรมซ่ึงใช้เป็นหลักในการปกครองอาณาจักร ทาให้อิทธิพล แนวความคิดแบบสมมติเทพตามตานานของศาสนาฮินดลู ดความสาคญั ลงอย่างมาก อาจกล่าวได้ว่า ในยุคนี้ สถานะของพระพุทธศาสนาและสถาบันสงฆ์มีความมั่นคงแข็งแกร่งมากเป็นผล มาจากการฟ้ืนฟูความศรัทธาและชาระคณะสงฆ์ให้มีความบริสุทธิ์ของรัชกาลท่ี 1 นอกจากนี้ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐ กับพระพุทธศาสนายังมีความแนบแน่นอย่างยิ่งจนกระท่ังถึงปัจจุบันนี้ พระมหากษัตริย์พระองค์ต่อมายังคงดาเนิน ตามพระราชกรณียกิจท่ีรัชกาลท่ี 1 ทรงปฏิบัติมาทาให้พระพุทธศาสนาและคณะสงฆ์มีความเจริญรุ่งเรืองสืบมา และ ทาให้ประชาชนยงั คงยดึ มนั่ ในหลกั คาสอนของพระพทุ ธศาสนาอกี ดว้ ย ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐและพระพุทธศาสนาเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงในรัชสมัยของรัชกาลที่ 4 พระองค์ ทรงเคยผนวชเป็นพระภิกษุเป็นเวลาถึง 27 พรรษาก่อนท่ีพระองค์จะทรงขึ้นครองราชย์สมบัติ ในขณะท่ีพระองค์ยัง ทรงเป็นพระภิกษุอยู่น้ัน พระองค์ทรงได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้ก่อตั้งธรรมเนียมการปฏิบัติแบบใหม่ท่ีได้รับอิทธิพล ของพระมอญ เนอื่ งจากพระองคไ์ มเ่ ลอ่ื มใสในการปฏิบัติของพระสงฆ์ท่ีมีมาตั้งแต่เดิม พระองค์จึงทรงเร่ิมที่จะปฏิรูป พระพทุ ธศาสนาในประเทศไทยใหใ้ กลเ้ คียงกับพระไตรปฎิ กของพระพทุ ธศาสนาเถรวาทมากท่ีสุด การกระทาดังกล่าว เป็นการปฏิรูประเบียบปฏิบัติของพระภิกษุ การเปล่ียนแปลงรายละเอียดของพิธีกรรม และการชาระคัมภีร์ขึ้นใหม่ เหตกุ ารณ์ที่เปน็ ประวตั ิศาสตรส์ าคญั ทเี่ ป็นผลมาจากการปฏริ ปู พระพุทธศาสนาของพระองค์ ก็คือ การก่อต้ังคณะสงฆ์ ธรรมยตุ กิ นิกาย ตอ่ มา นิกายนี้ไดร้ บั ความนยิ มเคารพนบั ถือย่างสงู ยง่ิ เพราะมีการปฏบิ ัติตนท่ีเครง่ ครัดและท่ีสาคัญคือ มีความใกลช้ ิดกบั พระราชวงศน์ ่นั เอง เนอ่ื งจากรัชกาลที่ 4 ไม่ทรงโปรดแนวความคิดเรื่องสมมติเทพ พระองค์ทรงสงสัยเก่ียวกับตานานซึ่งยก ย่องแนวความคิดแบบสมมติเทพของพระราชาไมว่ ่าจะเป็นคมั ภีร์ชาดกและไตรภมู กิ ถา จงึ ทรงปฏเิ สธแนวความคิดทุก อย่างในศาสนาทยี่ กย่องความมพี ลังเหนอื ธรรมชาติ พระมหากษัตริย์ในยุคสมัยน้ีเร่ิมเปลี่ยนไปจากพระมหากษัตริย์ที่ เป็นเทวราชซ่ึงได้รับอิทธิพลจากศาสนาพราหมณ์ก็เปล่ียนมาเป็นพระมหากษัตริย์ที่เป็นมนุษย์ซึ่งมีฐานะเป็นผู้นา ผู้ ปกป้องและผู้อุปถัมภ์ค้าชูพระพุทธศาสนาแทน ธรรมเนียมและประเพณีเก่าๆท่ีเกี่ยวข้องกับพระมหากษัตริย์ท่ีเป็น เทวราชาท่ีถูกต้ังข้อสงสัยก็ได้รับการอธิบายใหม่ตามแนวทางของพระพุทธศาสนา ถูกปรับเปลี่ยนใหม่ หรือไม่ก็ถูก ปฏิเสธและถูกลืมไปในที่สุด พิธีกรรมทางพระพุทธศาสนาถูกนาเข้ามาแทนท่ีพิธีกรรมของศาสนาพราหมณ์ในรัฐพิธี ตา่ งๆหรอื มิเชน่ นั้นกม็ คี วามสาคญั มากกวา่ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพระมหากษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรีจะไม่สนพระทัย แนวคิดเร่ืองธรรมราชาตามแบบธรรมเนียมดังเดิมหรือรังเกียจแนวความคิดแบบเทวราชาไปเสียทั้งหมด แต่ทรงให้ ความสาคัญกับหลักคาสอนทางพระพุทธศาสนาในการท่ีจะหาความชอบธรรมหรือความถูกต้องให้แก่สถานะ พระมหากษัตริยข์ องพระองค์ ในขณะเดยี วกนั ก็อาศัยพธิ ีกรรมของศาสนาพราหมณซ์ ึ่งยกยอ่ งพระมหากษัตริย์ในฐานะ เทวราชา อาจกล่าได้ว่า ในรัชสมัยของรัชกาลที่ 4 พระมหากษัตริย์ไทยมีความเป็นอันหน่ึงอันเดียวกันกับ พระพทุ ธศาสนามากกวา่ ยุคก่อนๆ แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธแนวความคิดแบบเทวราชาของศาสนาฮินดู พิธีกรรมของศาสนา
พราหมณ์ก็ยังคงถูกใช้อยู่เพ่ือทาให้พิธีกรรมทางพระพุทธสาสนามีความสมบูรณ์ขึ้นในงานรัฐพิธีต่างๆจบจนกระทั่ง ปัจจุบันนี้ ในรชั สมัยของรัชกาลท่ี 5 พระองคย์ ังคงดาเนินการปฏริ ปู ประเทศไทยไปส่ยู คุ ใหมต่ ามแบบอยา่ งรัชกาลที่ 4 การปฏิรปู ประเทศดา้ นการเมอื งการปกครอง สงั คมและเศรษฐกิจในสมัยนี้เป็นไปอย่างรวดเร็วแบบก้าวกระโดดใน การเปลี่ยนแปลงไปสู่การเป็นสังคมยุคใหม่ แต่กระน้ันรัชกาลที่ 5 ก็ยังคงอุปถัมภ์ค้าชูพระพุทธศาสนาและคณะสงฆ์ ตามแบบรชั กาลก่อนๆเช่นเดมิ พระราชกรณียกิจท่ีแสดงให้เห็นว่าพระมหากษัตริย์ทรงอุปถัมภ์พระพุทธศาสนาและคณะสงฆ์มีจานวน มากมายไม่ว่าจะเป็นการบูรณปฏิสังขรณ์และการสร้างพระอารามต่างๆขึ้น การสร้างรูปจาลองของพระพุทธชินสีห์ซึ่ง เป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของอาณาจักรสุโขทัยโดยทรงนาไปประดิษฐานไว้ท่ีพระอุโบสถวัดเบญจมบพิตรซ่ึงเป็น วัดประจารัชกาลของพระองค์ ส่วนความพยายามในการชาระพระพุทธศาสนาให้มีความบริสุทธิ์ก็คือการชาระ พระไตรปิฎก และมกี ารแปลจากภาษาบาลีเปน็ ภาษาไทยแล้จัดพมิ พเ์ ป็นหนังสอื การแปลพระไตรปิฎกเป็นภาษาไทย นที้ าใหป้ ระชาชนสามารถเข้าใจพระพุทธศาสนาไดก้ วา้ งขวางยงิ่ ขึ้น รชั กาลที่ 5 ทรงบริจาคพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ จัดพิมพ์พระไตรปิฎกจานวน 1000 ชุดแล้วแจกจ่ายไปยังวัดต่างๆท่ัวราชอาณาจักรรวมทั้งห้องสมุดในต่างประเทศ นอกจากนี้พระองค์เองกย็ ังทรงออกผนวชเปน็ พระภิกษุในพระพุทธศาสนา ในรชั สมัยของพระองค์ได้มีการปฏิรูปคณะ สงฆ์เกดิ ขน้ึ เพอ่ื กอ่ ใหเ้ กดิ องค์กรของสงฆ์และเพื่อทาให้การปกครองคณะสงฆ์มีระบบมากยิ่งข้ึน การปฏิรูปน้ีเป็นส่วน หนึง่ ของการพฒั นาประเทศไปส่ยู ุคสังคมใหม่ แนวความคิดเร่ืองสมมติเทวราชายังคงเสื่อมลงอย่างต่อเนื่อง ธรรมเนียมปฏิบัติหลายๆย่างที่เกี่ยวข้อง กบั แนวความคิดดงั กลา่ วกพ็ ลอยสูญสลายไปด้วย เช่น รชั กาลที่ 5 ทรงยกเลิกการหมอบกราบต่อหน้าพระมหากษัตริย์ ธรรมเนียมปฏบิ ตั ขิ องพระมหากษตั รยิ ์ท่ียังคงยึดม่ันต่อคัมภีร์ธรรมสัตถะก็ยังมีอยู่ แต่กระนั้นพระมหากษัตริย์ก็ไม่ใช่ เป็นเพียงผู้ปฏิบัติตามกฎหมายตามธรรมเนียมโบราณอีกต่อไป พระองค์กลายมาเป็นผู้ออกกฎระเบียบเสียเองด้วย พระราชอานาจที่ไม่มีขอบเขตเพ่ือท่ีจะเปล่ียนประเทศไทยและวิถีชีวิตของคนไทย การเปลี่ยนแปลงแนวความคิด เกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ที่กล่าวมาน้ีเป็นเพราะได้รับผลกระทบจากแนวความคิดเกี่ยวกับการเมืองการปกครองของ ชาวตะวนั ตก รชั กาลที่ 6 ยังคงยดึ ถอื ความถูกต้องตามหลักการของพระพุทธศาสนา แต่เน่ืองจากพระราชกรณียกิจใน การชาระและสนบั สนุนพระพุทธศาสนาใหบ้ รสิ ทุ ธิ์ และการอุปถัมภ์ค้าชูคณะสงฆ์ไม่สามารถเทียบเท่าพระมหากษัตริย์ องค์ก่อนๆได้ ดังน้ัน การใช้พระพุทธศาสนาเป็นประโยชน์ทางการเมืองการปกครองจึงไม่เด่นชัดเหมือน พระมหากษัตริย์องค์ก่อนๆ เนื่องจากต้องเผชิญหน้ากับลัทธิจักรวรรดินิยม รัชกาลที่ 6 มีความกังวลเก่ียวกับความ เป็นเอกราชของประเทศอย่างยิ่ง จึงมีความจาเป็นท่ีจะต้องรักษาอาณาจักรของพระองค์ไว้ให้ได้ เพื่อที่จะบรรลุ จุดประสงค์นี้ พระองค์จึงกระตุ้นจิตวิญญาณของความเป็นไทยให้ประชาชนทุกคน พระองค์จึงทรงพัฒนาความคิด เก่ียวสถาบันหลักของประเทศคือ ชาติ ศาสนาและพระมหากษัตริย์ข้ึนซึ่งถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของประเทศไทย พระองค์ยังทรงผูกความเป็นเอกราชของประเทศชาติกับความคงอยู่ของพระพุทธศาสนาอีกต่อไป ทรงตะหนั กว่า ประเทศไทยเปน็ ผืนแผ่นดินสดุ ท้ายทจ่ี ะปกปอ้ งพระพทุ ธศาสนาได้ ทรงเน้นย้าว่าพระพุทธศาสนาในประเทศพม่าและ ศรีลงั กาได้เส่อื มลงไปตามลาดับ ประเทศไทยจึงเป็นประเทศสุดทา้ ยทีย่ งั เหลอื อยเู่ พ่อื ปกปอ้ งพระพทุ ธศาสนามิเช่นน้ัน แล้วพระพุทธศาสนากถ็ งึ ความสิ้นสูญไป นับเป็นความหายนะท่ีย่ิงใหญ่ของประชาชนชาวไทยในยุคต่อมา ในสายพระ เนตรของพระมหากษัตริย์ พระพุทธศาสนาสามารถให้หลักปฏิบัติทางศีลธรรมขั้นพื้นฐานที่จาเป็นสาหรับการรักษา
กฎระเบียบทางสังคมได้ ดังนั้น พระองค์จึงสนับสนุนให้ประชาชนยึดม่ันในพระธรรมคาสอนทางพระพุทธศาสนา เพราะเป็นวิธีการท่ีจะทาให้เกิดความสงบสุขในชีวิต เพื่อท่ีจะทาให้ประชาชนมีความมั่นคงยึดเหนี่ยวในพระธรรมคา สอนของพระพุทธศาสนา รัชกาลที่ 6 จึงทรงให้มีการสวดมนต์ทุกวันในโรงเรียน สถานีตารวจ สถานท่ีราชการ กรม ทหาร จนกระทั่งในเรอื นจาและโรงพยาบาลจติ เวช การเปลี่ยนแปลงแนวคิดเรื่องการรักชาติ ศาสนาและพระมหากษัตริย์โดยรัชกาลที่ 6 ยังคงมีบทบาท สาคัญในสังคมไทย เป็นพื้นฐานของศาสนาของปวงชนของวิถีชีวิตทั้งทางสังคมและการเมืองการปกครอง การใช้ พระพทุ ธศาสนาเพือ่ ประโยชนท์ างการเมอื งในลักษณะเชน่ นไี้ ดเ้ ปน็ แบบอย่างในการยึดถือปฏิบัติของพระมหากษัตริย์ องค์ต่อๆมาโดยเฉพาะการระดมความสนับสนุนจากประชาชนไยเพื่อวัตถุประสงค์ทางการเมือง ย่ิงไปกว่าน้ัน คาขวัญ ที่ถือเป็นสัญลักษณ์ของชาติ คือ ชาติ ศาสนาและพระมหากษัตริย์ได้มีส่วนสาคัญในการเคล่ือนไหวและกิจกรรม ทางการเมืองตา่ งๆเพื่ออา้ งสิทธ์ิความชอบธรรมเพื่ออุดมการณ์และกจิ กรรมทางการเมืองของประชาชน ในรัชสมยั ของรัชกาลที่ 7 ถือว่าเป็นจุดส้ินสดุ ของความสงู สดุ ในระบบกษัตรยิ ์ของประเทศไทย การปฏิวัติ ในปี ค.ศ.1932 นามาสู่ความส้ินสุดความสูงสุดของระบบพระมหากษัตริย์และถูกแทนท่ีด้วยระบบการปกครองแบบ ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข อย่างไรก็ตามพระมหากษัตริย์ไทยยังคงมีบทบาทสาคัญใน พระพทุ ธศาสนาของประเทศไทย พระมหากษัตริย์เป็นต้ังผู้ปกป้องและอุปถัมภ์พระพุทธศาสนา และทรงเป็นประมุข ของการปกครองซ่ึงแตกต่างจากระบบสมบูรณาญาสิทธิราชที่การปกป้องและสนับสนุนพระพุทธศาสนาและคณะสงฆ์ เป็นพระราชอานาจพิเศษ 6.2 พระพทุ ธศาสนากับการศึกษาของไทย ตามประวัตศิ าสตร์ พระพุทธศาสนามีอิทธิพลต่อสังคมไทยอย่างลึกซึ้งแทบทุกด้าน ชาวไทยยอมรับ นับถือพระพุทธศาสนาในฐานะเป็นวิถีชีวิตท่ีผูกพันตั้งแต่เกิดจนกระทั่งตาย วัดเป็นศูนย์กลางของวิถีชีวิตและ เปน็ สถานท่ีกระทากจิ กรรมตา่ งๆของชาวบ้านตลอดทั้งปี พระเป็นผู้นาทางจิตวิญญาณของประชาชนและได้รับ การเคารพนบั ถือจากประชาชนท่วั ไป ในชนบทวัดยิ่งมีบทบาทอย่างสูงในการเป็นศูนย์กลางของกิจกรรมต่างๆ ประชาชนตา่ งยดึ ถือวดั ในฐานะเป็นสมบัตสิ ว่ นรวมของชาวบ้านทุกคน ในอดีตพระพุทธศาสนามีบทบาทสาคัญ ตอ่ สังคมไทยในแทบทกุ ดา้ น โดยเฉพาะบาทบาททางด้านการศึกษาซ่ึงมีวัดเป็นศูนย์กลางอย่ายาวนาน แต่เม่ือ รัฐเข้ามามีบทบาททางด้านการศึกษาแทนในช่วงต้นศตวรรษท่ี 20 วัดจึงค่อยๆสูญเสียบทบาททางด้านศึกษา เหมอื นเชน่ เดมิ ในอดีตน้ัน พระสงฆ์เท่านั้นท่ีสามารถเป็นครูที่สามารถสั่งสอนประชาชนได้ สอนทั้งคดีโลกและคดี ธรรม จากหลักฐานทางประวตั ศิ าสตรก์ อ่ นที่จะมีการเปล่ยี นแปลงระบบการศึกษาให้รัฐมาเป็นผู้รับผิดชอบการ จัดการศกึ ษาในสมยั รชั กาลที่ 5 สว่ นใหญ่การใหก้ ารศึกษาแก่ประชาชนจะเป็นภาระหน้าที่ของวัดและคณะสงฆ์ ในช่วงรัชสมัยของรัชกาลท่ี 5 เป็นยุคท่ีมีการเปล่ียนแปลงทางสังคมและการเมืองที่ยิ่งใหญ่มาก ประเทศไทย ต้องเผชิญหน้ากับการขยายอิทธิพลของประเทศตะวันตกและการเป็นสังคมยุคใหม่ เป็นผลทาให้จาเป็นต้องมี การพัฒนาประเทศในหลายๆด้านเพ่ือรองรับกระบวนการเปล่ียนแปลงต่างๆที่เกิดมาจากกระแสโลกตะวันตก รัชกาลท่ี 5 ถอื วา่ เปน็ ภารกจิ สาคัญของพระองคท์ ่จี ะพัฒนาประเทศทง้ั หมดเพื่อความมน่ั คงของประเทศไทย
ในด้านการศึกษาก็มีความเปล่ียนแปลงที่สาคัญเช่นเดียวกัน ถ้าจะพูดแบบคร่าวๆก็คือระบบ การศึกษาในขณะน้ันแบ่งออกเป็น 2 ระดับ คือ การศึกษาระดับพ้ืนฐานสาหรับประชาชนท่ัวไปและการศึกษา ระดับสูงเพ่ือพัฒนาคุณสมบัติของเจ้าหน้าที่ปกครองสาหรับการพัฒนาประเทศ เดิมทีเดียวนั้นการศึกษาข้ัน พ้ืนฐานน้ันเป็นภาระรับผิดชอบของคณะสงฆ์โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อจะใช้สถาบันสงฆ์ในการทาให้ประชาชน อ่านหนังสือออกและพัฒนาคุณธรรมจริยธรรมในขณะเดียวกันด้วย ในขณะที่การศึกษาในระดับสูงน้ันมี วัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาประเทศในด้านต่างๆให้ทันสมัย เป็นการศึกษาท่ีพัฒนาบุคคลผู้เป็นผู้นาและชนชั้น ผปู้ กครองใหม้ ีศักยภาพสูงเพื่อพฒั นาประเทศไทยในอนาคต การศึกษาในระดับนี้จาเป็นต้องอาศัยเทคโนโลยี และความรจู้ ากประเทศตะวันตก คณะสงฆไ์ ม่สามารถตอบสนองความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีที่จาเป็นในการเพ่ิม ศักยภาพการพัฒนาทางการเมืองและเศรษฐกิจใหแ้ ก่ประเทศชาตไิ ด้ ดังน้นั รชั กาลที่ 5 จงึ ทรงสง่ พระราชโอรส และพระบรมวงศานุวงศข์ องพระองค์ไปศกึ ษาการศกึ ษาในระดบั สงู ท่ีตา่ งประเทศ พระสงฆ์และสามเณรก็ยังศึกษาพระธรรมวินัยต่อไปเพื่อรักษาพระพุทธศาสนา และการศึกษาของ คณะสงฆ์ก็ได้รบั การปรบั ปรุงใหม่ มีการพัฒนาระบบการศึกษาของคณะสงฆ์อยา่ งมากมายหลายประการ มีการ ย้ายศูนย์กลางการศึกษาพระธรรมวินัยเดิมจากวัดพระศรีรัตนศาสดารามมาที่วัดมหาธาตุซึ่งเรียกว่า มหาธาตุ วิทยาลัย ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็นมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ต่อมาในปี 1893 รัชกาลท่ี 5 ทรงสถาปนา มหาวิทยาลัยสงฆ์ขึ้นอีกแห่งหนึ่งคือมหามกุฏราชวิทยาลัย วัตถุประสงค์ในการสถาปนามหาวิทยาลัยสงฆ์ทั้ง สองแห่งขึ้นก็เพื่อจัดการศึกษาแผนใหม่ให้แก่พระภิกษุสามเณรเพื่อรักษาพระพุทธศาสนา ให้เป็นศูนย์กลาง ของการเผยแผ่พระพุทธศาสนาทั้งในรูปแบบการเทศนาและการพิมพ์ตาราทางพระพุทธศาสนา เพื่อให้ พระภิกษุที่มีการศึกษาสามารถเปิดโรงเรียนสอนภาษาไทยเบื้องต้น เลขคณิตและศีลธรรมแก่เยาวชนทั้งใน ชนบทและในเมือง ในส่วนที่เก่ียวกับการศึกษาพระพุทธศาสนา รัชกาลท่ี 5 ทรงมอบหมายพระราชภาระให้สมเด็จ พระสังฆราชเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรสเป็นผู้รับบทบาทสาคัญในการวางแผนและพัฒนาการศึกษาของ คณะสงฆ์ การพัฒนาระบบการศึกษาของไทยมีลักษณะเป็นความพยายามร่วมกันระหว่างคณะสงฆ์กับรัฐ การ จัดการศึกษาในยุคใหม่น้ีมีจุดมุ่งหมายเพ่ือพัฒนาการศึกษาพระธรรมวินัยของคณะสงฆ์รวมกับการศึกษา วิชาการทางโลกเพื่อให้พระสงฆ์สามารถรับการศึกษาแบบสมัยใหม่และทาให้สามารถสั่งสอนชาวบ้านที่ได้รับ การศกึ ษาแผนใหม่ได้ดยี ง่ิ ขึน้ อย่างไรก็ตาม ในช่วงท้ายของรัชสมัยรัชกาลที่ 5 ความร่วมมือระหว่างคระสงฆ์กับรับก็สิ้นสุดลง การศึกษาของสงฆ์และรัฐกแ็ ยกจากกนั อยา่ งชัดเจนทั้งการศกึ ษาในระดบั พืน้ ฐานและระดบั สูง ในสว่ นการศึกษา ในระดบั สูง รัฐไดข้ ดั ตง้ั สถาบันทีส่ ามารถจดั การศึกษาในระดับสูงได้เพ่ือพัฒนาคนให้มีความพร้อมท่ีจะพัฒนา ประเทศ สถาบันการศึกษานี้ก็คือโรงเรียนสาหรับข้าราชการซึ่งประกอบด้วยวิชารัฐศาสตร์ กฎหมาย แพทยศาสตร์ เทคโนโลยี บัญชีและศึกษาศาสตร์ ต่อมาก็เล่ือนฐานะเป็นมหาวิทยาลัย น่ันคือ จุฬาลงกรณ์ มหาวทิ ยาลยั ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยแหง่ แรกของประเทศไทย แม้กระท่ังการศึกษาข้ันพื้นฐานของประชาชนซ่ึงเคยเป็นภาระของคณะสงฆ์ รัฐเองก็ได้เข้ามา รับผิดชอบแทนคณะสงฆ์ แต่ในบางกรณีก็ยังคงมีความสัมพันธ์ระหว่างคณะสงฆ์และระบบการศึกษา เช่น
พระสงฆ์ยังคงได้รับให้เป็นผู้นาของสถาบันศึกษาสาหรับประชาชนเหมือนเดิม นอกจากนี้พระสงฆ์ยังสามารถ ชักนาให้ชาวบ้านท่ีมีฐานะดีได้บริจาคเงินสร้างอาคารเรียนอีกด้วย หน่วยงานของรัฐท่ีมีหน้าท่ีรับผิดชอบ การศึกษาของประชาชนก็คือกระทรวงศึกษาธิการ และบุคคลท่ีทาหน้าที่สอนแทนพระสงฆ์ก็คือบุคคลที่ได้รับ การศึกษาแบบตะวนั ตกนนั่ เอง พระสงฆ์มใิ ช่ครสู อนอกี ตอ่ ไป แม้รัฐจะมีความรับผิดชอบโดยตรงในการจัดการศึกษาและพยายามที่จะจัดการศึกษาให้แก่ ประชาชนอย่างเท่าเทียมกันท่ัวประเทศ แต่ก็ไม่สามารถจะทาได้อย่างสมบูรณ์โดยเฉพาะในท้องถ่ินท่ีห่างไกล การจัดการศึกษาของรัฐไม่สามารถเข้าถึงประชาชนได้อย่างทั่วถึง เพราะเข้าถึงได้เพียงบางท้องท่ีเท่าน้ันและก็ จากัดขอบเขตอยู่เฉพาะการศกึ ษาข้ันพ้ืนฐานเทา่ นน้ั ใครท่ตี ้องการเรียนในระดบั ท่ีสงู ข้ึนก็ต้องเดินทางเข้าไปใน เมอื งใหญห่ รอื ไมก่ ็เมืองหลวง แต่คนยากจนท่ีไม่สามารถท่ีจะศึกษาต่อในระดับสูงได้ก็ต้องอาศัยอยู่มรท้องถ่ิน ของตนเองแมว้ ่าจะเปน็ คนท่ีเรยี นหนงั สอื ได้ดแี ละต้องการจะศึกษาตอ่ กต็ าม เมื่อประชาชนไมม่ ีหนทาท่จี ะสง่ เสยี บุตรหลานให้เรยี นตอ่ ในระดับสงู ทจี่ ดั โดยรัฐได้ ก็หันหน้าเข้ามา หาวัดในฐานะท่ีพึ่งแห่งเดียวที่เหลืออยู่ วัดจึงเป็นศูนย์กลางของสังคมและเป็นความหวังสุดท้ายของคนจนท่ี ตอ้ งการใหล้ กุ หลานไดศ้ กึ ษาเล่าเรียน พวกชาวบา้ นท่ยี ากจนจึงมักจะส่งลูกหลานไปเป็นเด็กวัดหรือไม่ก็ให้บวช เปน็ สามเณรหรือพระเพ่อื ศกึ ษาพระพุทธศาสนา ถ้าหากเด็กๆเหล่าน้ันเรียนจบวิชาที่สอนในวัดประจาหมู่บ้าน แล้วเพ่ือท่ีจะศึกษาในระดับสูงข้ึนก็จะย้ายไปอยู่ท่ีวัดประจาจังหวัดหรือวัดในเมืองหลวงเพื่อจะได้เรียนใน ระดับสูงขึ้นต่อไป ด้วยวิธีการดังกล่าวน้ี จึงทาให้มีพระภิกษุสามเณรจานวนมากท่ีออกจากวัดประจาหมู่บ้าน เพ่อื ไปอยู่ทว่ี ัดในเมืองใหญ่โดยเฉพาะท่ีกรุงเทพมหานครเพราะถา้ หากยังอยใู่ นชนบทท่ีห่างไกลจากความเจริญ ซึ่งเป็นสถานท่ีท่ีรัฐไม่สามารถจัดการศึกษาท่ีเพียงพอสาหรับพวกเขาได้ ก็จะทาให้พวกเขาไม่มีโอกาสได้รับ ความรู้ทีทนั สมยั และเสยี โอกาสในชีวติ ทจ่ี ะเปลี่ยนแปลงอนาคตของตนเอง การบวชเป็นพระในพระพุทธศาสนามีความหมายสาคัญท้ังทางศาสนาและรัฐ ไม่เพียงจะเป็นการ รักษาพระธรรมคาสอนและถ่ายทอดไปยงั คนในยุคตอ่ ๆไปแล้ว รัฐยงั ไดป้ ระชาชนที่มคี วามสามารถและมีได้รับ การฝึกฝนทางจิตใจอีกด้วยเมื่อพระภิกษุสามเณรเหล่าน้ีได้ลาสิกขาออกมาดารงชีวิตแบบชาวบ้านทั่วไป การ บวชเป็นธรรมเนียมปฏบิ ัติของคนไทยมาต้งั แต่โบราณ ถ้าชาวพุทะต้องการมีประสบการณ์ของความสงบสุขเขา ก็อาจจะเข้ามาบวชเป็นพระในพระพุทธศาสนา เมื่อเข้ามาเป็นสมาชิกของคณะสงฆ์แล้ว เขาก็จะได้ศึกษาพระ ธรรมวนิ ยั และเผยแผพ่ ระพุทธศาสนาแกป่ ระชาชนถ้าเขามคี วามรู้ทดี่ แี ละยงั คงบวชเป็นพระในพระพุทธศาสนา แต่ถ้าเขารู้สึกเบ่ือหน่ายที่จะดารงภาวะของพระต่อไป เขาอาจจะลาสิกขาออกมาเป็นชาวบ้านท่ัวๆไป การบวช และการลาสกิ ขานบั เป็นเร่ืองธรรมดาของสงั คมไทย สาหรับบุคคลที่สามารถได้รับประโยชน์จากการจัดการศึกษาของรัฐเน่ืองจากฐานะทางครอบครัว และความสามารถในการที่จะได้รับจากการศึกษาของรัฐไม่ว่าจะเป็นวิธีการใดก็ตาม วัดก็ไม่มีความจาเป็น สาหรบั บุคคลเหล่าน้ัน เมือ่ พวกเขาจบการศกึ ษามาจากสถาบันการศึกษาของรฐั กอ็ าจจะทางานในองค์การของ รับหรือไม่ก็ทาธุรกิจส่วนตัว และหาโอกาสยากท่ีจะมาบวชเป็นพระหรือสามเณร ทาให้เหินห่างจากวัดไปโดย อตั โนมตั ิ ย่ิงกวา่ น้ัน ความสัมพันธ์ระหว่างชาวบ้านพวกนี้กับวัดอาจะลึกซ้ึงในช่วงระยะเวลาส้ันขึ้นอยู่กับปัจจัย หลายอย่างเช่นการสนับสนุนจากพ่อแม่และการให้คาแนะนาจากญาติพี่น้องที่ยังคงยึดถือธรรมเนียมประเพณี
โดยพวกเขาอาจจะได้รับการแนะนาให้มาบวชพระเพ่ือศึกษาพระธรรมคาสอนในเวลาที่สามารถ ลางานได้หรือ เวลาทส่ี ะดวก การบวชเปน็ ธรรมเนยี มปฏิบัติท่ีศักดิ์สิทธิ์ของคนไทย ชายไทยท่ีไม่เคยบวชพระมาก่อนมักจะหา โอกาสลางานมาบวชเพื่อรับการฝึกฝนตนเองในพระพุทธศาสนาในช่วงระยะเวลาส้ันๆ อาจจะกินเวลา 7 วัน หรือสามเดือนช่วงเช้าพรรษาหรืออาจจะมากกว่าน้ันก็ได้ จะเห็นได้ว่าจุดประสงค์ในการบวชของคนเหล่าน้ี แตกตา่ งจากกลุ่มคนที่ขาดโอกาสในสงั คมทกี่ ลา่ วมาแล้วในตอนตน้ ตามความรู้สึกและความเข้าใจของคนทั่วไปในสังคมไทยนั้น คนไทยส่วนใหญ่ยังไม่เข้าใจสถาบัน สงฆ์อย่างแท้จริงโดยเฉพาะคนที่อาศัยอยู่ในเมืองหลวงซ่ึงจะมีวิถีชีวิตท่ีห่ างเหินจากวัดมากรวมท้ังขาดการ ติดต่อสัมพันธ์กับสถาบันสงฆ์อย่างเห็นได้ชัด การท่ีไม่มีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิดน้ีทาให้พวกเขาไม่รู้และ ไม่เข้าใจสถาบันสงฆ์อย่างแท้จริง เม่ือขาดความเข้าใน ชาวบ้านท่ีอยู่ในกรุงเทพมหานครก็มักมีทัศนคติเชิงลบ ต่อสถาบันศาสนาและโดยเฉพาะพระภิกษุสามเณร ทัศนคติเชิงลบนี้รวมไปถึงการศึกษาและการลาสิกขาของ พระภกิ ษสุ ามเณรด้วย ในส่วนของรัฐซ่ึงมีหน้าที่รับผิดชอบจัดการศึกษาแก่ประชาชนท่ัวไป จึงละเลยระบบการจัด การศึกษาของสถาบันสงฆ์ แต่ในทางปฏิบัติสถาบันสงฆ์ก็ยังคงให้การศึกษาแก่ประชาชนท่ัวไปท้ังการศึกษาขั้น พนื้ ฐานและมธั ยมศึกษา เด็กหนุ่มจานวนมากท่ีไม่สามารถศึกษาต่อในระดับสูงท่ีเป็นสถาบันศึกษาของรัฐบาล ดว้ ยเหตผุ ลของความยากจนก็หันมาบวชเรียนในสถาบันสงฆ์มากย่ิงขึน้ เพือ่ โอกาสทางการศกึ ษา ดังน้ัน สถาบัน สงฆจ์ ึงไม่ใช่เป็นเพียงแค่สถาบันทางศาสนาเท่าน้ันแต่ยังเป็นสถาบันทางการศึกษาอีกด้วย ทาให้มีค่านิยมของ ชาวบ้านที่ไม่มีความสามารถพอท่ีจะส่งบุตรหลานให้ศึกษาในสถาบันการศึกษาในระดับสูงของรัฐเกิดขึ้นใหม่ นน่ั คือ การบวชเรียน น่นั แสดงใหเ้ หน็ วา่ ยงั มปี ระชาชนอกี จานวนมากทีไ่ มไ่ ดร้ บั โอกาสทางการศึกษาท่ีเท่าเทียม กันในสังคมไทยจึงทาให้มีการหันเหเข้ามาบวชในพระพุทธศาสนามากข้ึนเพ่ือโอกาสทางการศึกษา และคน เหล่านี้เมือลาสิกขาไปแล้วก็ได้รับโอกาสในการเข้าไปทางานในองค์กรภาครัฐตามความรู้ที่ได้รับมากจาก สถาบันการศึกษาของสงฆ์ แสดงให้เห็นชัดเจนว่ารัฐและสถาบันสงฆ์ควรร่วมมือกันแก้ไขปัญหาความไม่เท่า เทยี มกันของโอกาสทางการศกึ ษาแทนที่จะนางานแยกกันอย่างที่ปรากฏอยู่ในสงั คม แต่ในปัจจุบัน เม่ือรัฐได้การสนับสนุนโดยนโยบายเรียนฟรี 12 ปี นโยบายกองทุนกู้ยืมเพื่อ การศกึ ษา (กยศ.) และกองทุนเงินให้กู้ยืมที่ผูกกับรายได้ในอนาคต (กรอ.) ทาให้คนไทยมีโอกาสทางการศึกษา มากข้ึนทั้งในเมืองและชนบท ทาให้ค่านิยมการบวชเรียนของคนไทยมีจานวนลดน้อยลงอย่างเห็นได้ชัดเจน ก่อใหเ้ กิดปัญหาการขาดแคลนพระภิกษุสามเณรเกดิ ขนึ้ ในวงการคระสงฆน์ บั วา่ เปน็ ปญั หาทีน่ า่ ตกใจพอสมควร ว่าคนท่ีจะบวชเรียนเพ่ือสืบทอดอายุพระพุทธศาสนาในปัจจุบันน้ันแทบจะหายากมากเนื่องจาก ความ เจริญก้าวหนา้ ของสังคมและเทคโนโลยี สถาบนั ทางพระพุทธศาสนากบั ความมโี อกาสทางการศึกษาท่ีไม่เท่าเทยี มกัน สถาบันทางพระพุทธศาสนาโดยเฉพาะวัดมีบทบาทสาคัญต่อการศึกษาของประชาชนมาตั้งแต่ยุค สโุ ขทัยจนกระทงั่ ถงึ สมัยรัตนโกสินทร์วัดก็ยังคงมีบทบาทสาคัญเช่นเดิม แม้ว่าในรัชสมัยของรัชกาลท่ี 5 ระบบ การศึกษาจะดาเนินการตามระบบของประเทศตะวันตกก็ตาม แต่วัดในพระพุทธศาสนาก็ยังคงมีบทบาทต่อไป แต่บาทบาทดังกล่าวก็ค่อยๆสูญหายไปเม่ือระบบการศึกษาถูกแยกออกจากวัดอย่างเป็นทางการมากข้ึน
บทบาททางการศึกษาของวัดในปัจจุบันนี้โดยทั่วไปก็มักจะอยู่ในฐานะสถาบันที่ให้การสนับสนุนหรือไม่ก็ให้ สถานทีใ่ นการสรา้ งหรือเป็นที่ต้ังของโรงเรียนเท่านั้น พระภิกษุก็ไม่ได้มีฐานะเป็นครุผู้สอนแบบเต็มตัวเหมือน ยดุ เก่าๆ แต่บทบาทในการใหก้ ารสนบั สนนุ กย็ ังคงมอี ยตู่ ่อไป เป็นที่น่าสังเกตว่า แม้รัฐจะแยกการศึกษาออกไปจากวัดทางพระพุทธศาสนาแล้วก็ตามแต่วัดก็ยังไม่ สูญเสียบทบาทการศึกษาทั้งหมดอยู่ดี ในช่วงแรกท่ีมีการแยกตัวออกไป ประชาชนที่ยังไม่ได้รับประโยชน์จาก การจัดการศึกษาของรัฐโดยเฉพาะชาวบ้านในชนบทก็ยังคงหันหน้าไปสู่วัดในทางพระพุทธศาสนาเพื่อโอกาส ทางการศึกษา อย่างน้อยที่สุดก็เพื่อทักษะพื้นฐานทางการอ่านและเขียนหนังสือ ในยุคต่อมาจนกระท่ังถึง ปจั จุบนั จานวนประชาชนที่ไม่ได้รับการศึกษาที่รัฐได้จัดให้ในระดับที่สูงข้ึนนอกจากการศึกษาภาคบังคับก็หัน เหมาสู่สัดในฐานะสถานที่ที่จะได้รับความรู้เพิ่มข้ึน ในลักษณะเช่นน้ี วิธีการได้รับความรู้จากวัดใน พระพุทธศาสนาจงึ มี 2 วิธี คอื 1) การไปขออยู่พักอาศัยในวัด หรือที่คนไทยเรียกกันว่า ศิษย์วัด หรือเด็กวัด เด็กเหล่านี้ไม่ใช่ พระหรือสามเณรแต่เป็นเด็กชาวบ้านทั่วไปท่ีขัดสนได้เข้ามาอาศัยความช่วยเหลือของวัดหรือพระภิกษุบางรูป เพื่อศึกษาเล่าเรียนในระหว่างที่ยังต้องเรียนอยู่ในการศึกษาภาคบังคับ ภายหลังจากที่สาเร็จการศึกษาแล้ว พวกเ ขาอ าจจ ะออก ไปจ ากวั ดและ เข้า ทางานใน สายงาน ที่ ตรงกับความรู้และ ควา มสา มารถ ของตนเ องไ ด้ ลกั ษณะเชน่ นมี้ ที ัว่ ไปในทกุ ๆวัดท้งั ประเทศในปัจจุบัน ดังน้ัน วัดยังคงมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับการศึกษาของ คนจานวนมากในสังคมไทย 2) การบวชซ่งึ เปน็ วธิ ีการท่ที าให้บุคคลแต่ละคนสามารถสาเร็จการศึกษาทั้งทางโลกและทางธรรม ทั้งสองอย่าง รัฐเองก็ต้องอนุญาตให้พระภิกษุสามารถเรียนวิชาการต่างๆในสถาบันท่ีรัฐเป็นเจ้าของและ โรงเรยี นทางโลกทวั่ ๆไปดว้ ย และตอ้ งยืนยันท่ีจะรับรองวุฒิการศึกษาให้กับพระภิกษุที่สามารถสอบผ่านได้ ใน สมัยก่อนนั้น รัฐบาลเพียงรับรู้การศึกษาทางศาสนาและภาษาบาลีว่าเทียบเท่าการศึกษาระดับสูงของวิชาการ ทางโลก และรบั รองการเข้าทางานในองค์กรของรัฐของบุคคลท่ีเคยบวชแล้วลาลิกขาออกมาใช้ชีวิตทางโลก แต่ ในปัจจุบันนี้มีหน่วยงานของรัฐจานวนน้อยมากท่ียังคงปฏิบัติเช่นนั้น กล่าวคือ รับบุคคลผู้ท่ีเคยบวชเรียนเข้า ทางาน จากท่ีกล่าวมาแล้วข้างน้ัน เนือ่ งจากรฐั ไมส่ ามารถจัดการศกึ ษาใหท้ กุ ๆคนอย่างเท่าเทียมกันได้ต้ังแต่ได้ เข้าไปรับผิดชอบการศึกษาต่อจากสถาบันสงฆ์มา ทาหวัดยังคงเป็นที่พึงสุดท้ายสาหรับเหล่าบุคคลผู้มีโอกาส น้อยท่จี ะได้รับการศกึ ษาได้ สภาวการณ์เชน่ นจ้ี ะเหน็ ได้ชัดเจนในชนบทห่างไกลซ่ึงมีจานวนเด็กชายจานวนมาก ที่ออกบวชเป็นพระหรือสามเณรเพื่อท่ีจะได้รับการศึกษา และบุคคลเหล่าน้ีจานวนมากหลังจากท่ีสาเร็จ การศึกษาในระดับสงู สุดเท่าท่วี ัดประจาหม่บู ้านของตนเองจะจัดให้ได้ก็จะพากันอพยพเข้าไปอาศัยอยู่ในวัดใน เมืองโดยเฉพาะในกรงุ เทพมหานครเพ่ือโอกาสทางการศึกษาในระดับสูง เฉพาะในกรุงเทพมหานครเพียงแห่ง เดียวมีรายงานว่ามีจานวนพระภิกษุสามเณรจานวนมากท่ีเดินทางมาจากชนบท เพราะไม่มีโอกาสได้รับ การศึกษาในระดับสูง ดังน้ัน จะเห็นได้ว่าในท้องที่ซึ่งรัฐสามารถกระจายโอกาสทางการศึกษาให้แก่ประชาชน ทกุ ภาคสว่ นในสงั คมไดม้ ากขน้ึ เท่าไร จานวนของสามเณรทีต่ ้องการศึกษาในระดบั สูงในวัดกลบั มีอัตราลดลงใน
ภูมภิ าคที่มีโอกาสทางสังคมและเศรษฐกิจสูงเมื่อเปรียบเทียบกับจานวนสามเณรท่ีบวชเรียนซ่ึงมีจานวนมากขึ้น ในภมู ิภาคท่ีมโี อกาสทางสงั คมและเศรษฐกจิ น้อยซ่งึ รฐั ไมส่ ามารถจัดการศกึ ษาได้ทัว่ ถงึ ได้ นอกจากเหตผุ ลเพอ่ื การศกึ ษาในระดับสูงข้ึนดังกล่าวแล้ว ยังมีพระภิกษุสามเณรอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งพากัน ศึกษานักธรรมและบาลีไม่ใช่เพราะปัญหาทางสังคมและเศรษฐกิจแต่เพื่อศึกษาพระธรรมวินัยให้เกิดความ ลึกซึง้ มากขึ้น มีจานวนหลายรูปที่สาเร็จการศึกษาในระดับมหาวิทยาลัยและได้รับปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัย สงฆ์ในกรุงเทพมหานคร แต่จานวนของพระที่สาเร็จการศึกษาในระดับบัณฑิตศึกษามีจานวนน้อยกว่าพระที่ สาเร็จการศึกษาในระดับต่ากว่าบัณฑิตศึกษา ท่ีเป็นเช่นนี้อาจจะเป็นเพราะความสะดวกในการลาสิกขาซึ่งเป็น ธรรมเนียมที่ปฏิบัติกันมาต้ังแต่สมัยโบราณ ในประเทศไทย คนไทยไม่มีทัศนคติเชิงลบต่อการลาสิกขาเม่ือ บคุ คลไม่ปรารถนาทีจ่ ะบวชเป็นพระอีกต่อไปก็สามารถลาสิกขาหรือสึกได้ เพราะการบวชและการลาสิกขาเป็น เร่อื งของแต่ละบคุ คล จากที่กล่าวมาข้างต้น สรุปได้ว่า สถาบันสงฆ์มีบทบาทในการส่งเสริมช่วยเหลือการศึกษาของชาติ ตลอดมา บุคคลผู้ได้การศกึ ษาจากสถาบันทางพระพุทธศาสนาส่วนใหญ่จะมากจาชนบทห่างไกลซ่ึงสถานะทาง ครอบครัวท้ังทางสังคมและเศรษฐกิจอยู่ในระดับต่า พ่อแม่ที่ฐานะบากจนจึงไม่สามารถส่งบุตรหลานให้เข้า ศึกษาตอ่ ในโรงเรยี นหรอื มหาวิทยาลัยของรัฐเพื่อศึกษาในระดับสูงขึ้นได้ ก็จะหันไปพ่ึงพิงวัดประจาหมู่บ้านใน ฐานะเป็นสถานท่ีแหง่ เดยี วทีจ่ ะสามารถให้การศกึ ษาแก่บุตรหลานของพวกเขาได้ อาจกล่าวได้ว่าวัดเป็นเหมือน ที่พึ่งพิงสาหรับเด็กชาวบ้านท่ีจะไขว่คว้าสถานะทางสังคมที่สูงขึ้น วัดเป็นเหมือนสถานที่สร้างสะพานเช่ือมต่อ ช่องว่างระหว่างคนจนและคนรวย และช่วยให้เด็กท่ีมาจากครอบครัวยากจนมีโอกาสท่ีจะมีโอกาสในชีวิตที่ สูงขึ้นโดยการศึกษา และในท่ีสุด คณะสงฆ์ได้ช่วยแบ่งเบาปัญหาความไม่เทียมกันทางการศึกษาท่ีมีอยู่ใน สังคมไทยในภาพรวมทั้งหมด ดังนั้น ยืนยันได้ว่า พระพุทธศาสนามีบทบาทสาคัยอย่างยิ่งต่อการศึกษาของ สังคมไทย
Search
Read the Text Version
- 1 - 19
Pages: