HHEOABWLETTHOY This book brings together a variety of methods to help readers who follow them to be healthy.
1 อาหารและการกิน 2 การออกกำลังกาย 3 การพักผ่อน 4 หลีกเลี่ยงพฤติกรรม ที่ส่งผลเสีย 5 การมีสุขภาพติจดี
~1~ อ า ห า ร แ ล ะ ก า ร กิ น FOODS คุณเป็นอย่างที่คุณกิน หรืออีกนัยหนึ่ง สุขภาพของเราจะดี หรือไม่อย่างไรขึ้นอยู่กับอาหารที่เรากิน รวมทั้งปฏิเสธไม่ได้ ว่า ความเจ็บป่วยหรือโรคหลายโรค เช่น โรคอ้วน เบาหวาน ความดัน หัวใจและหลอดเลือด เส้นเลือดสมอง มะเร็ง โรค ไต ฯลฯ ล้วนแล้วแต่เป็นโรคที่มีสาเหตุส่วนหนึ่งมาจาก “การ กินที่ไม่ถูกต้อง” ดังนั้น พฤติกรรม “การกินอาหาร” ในวิถีประจำวันของ แต่ละคน ย่อมเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม หรือทำเพียง แค่ “กินให้หายหิว” หรือ “กินตามใจปาก” ซึ่งถ้ามีพฤติกรรม ที่คุ้นชินอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จนเดินไปสู่เส้นทางความเจ็บป่วย จากการเป็นโรคใดโรคหนึ่ง เมื่อนั้นก็คงเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้อง มาดูแลเรื่องอาหารการกินมากขึ้น และมีข้อจำกัดในการใช้ ชีวิตมากมายโดยที่เราไม่พึงใจอย่างแน่นอน
~2~ พยายามกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ และกินแต่ละหมู่ให้มีความ หลากหลาย ไม่จำเจอยู่เพียงอาหารไม่กี่ชนิด เพื่อให้ร่างกาย ได้รับสารอาหารต่างๆ ครบในปริมาณที่เพียงพอกับความ ต้องการ “น้ำหนักตัว” เป็นเครื่องบ่งชี้อย่างง่ายถึงภาวะสุขภาพ ใน ผู้ใหญ่ที่กินอาหารได้เหมาะสม จะมีน้ำหนักตัวที่เหมาะสม มี รูปร่างที่ไม่อ้วนหรือผอมเกินไป และมีน้ำหนักตัวค่อนข้าง คงที่ หากสังเกตเห็นว่าน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากน้ำ หนักปกติ แสดงให้เห็นว่าเริ่มกินอาหารมากเกินไปแล้ว ควร ต้องหันมาควบคุมหรือลดปริมาณให้น้อยลง เพื่อลดความ เสี่ยงต่อการเกิดโรค
~3~ ข้าว เป็นอาหารหลักของคนไทย เป็น แหล่งอาหารที่สำคัญในการให้ พลังงาน สารอาหารที่มีมากในข้าว ได้แก่ คาร์โบไฮเดรต และโปรตีน โดย เฉพาะข้าวกล้อง หรือข้าวซ้อมมือ ซึ่ง เป็นข้าวที่ขัดสีน้อย และเป็นข้าวที่มี ประโยชน์มากกว่าข้าวที่ขัดสีจนขาว ดังนั้น ถ้าเป็นไปได้ ควรเลือกกินข้าว กล้องหรือข้าวซ้อมมือ เพราะมีวิตามิน แร่ธาตุ โปรตีนและใยอาหารมากกว่า ข้าวที่ขัดสีจนขาว ส่วนอาหารแป้ง เช่น ขนมปัง ก๋วยเตี๋ยว ขนมจีน ให้กินเป็น บางมื้อ อาหารแป้งเป็นอาหารที่ผ่าน การแปรรูป ใยอาหารจะมีน้อยกว่าใน ข้าว แต่เหนือสิ่งอื่นใดการกินหาร แต่ละประเภทก็ควรกินในปริมาณที่ เหมาะสม ไม่มากหรือน้อยจนเกินไป เพราะถ้ากินข้าวและแป้งมากเกินความ ต้องการ สิ่งเหล่านั้นก็จะถูกเปลี่ยน เป็นไขมัน เก็บไว้ตามส่วนต่างๆ ของ ร่างกาย เมื่อสะสมมากขึ้นเรื่อยๆ จะ ทำให้เกิดโรคอ้วนได้
~4~ พืชผักและผลไม้ เป็นแหล่งสำคัญของวิตามินและ แร่ธาตุ รวมทั้งสารอื่นๆ เช่น สารแอนติออกซิแด นท์ที่ช่วยไม่ให้อนุมูลอิสระทำลายเนื้อเยื่อและผนัง เซลล์ ช่วยชะลอการเสื่อมสลายของเซลล์ ทำให้ผิว พรรณเปล่งปลั่ง ดูสดใส ไม่แก่เกินวัย นอกจากนี้ ใยอาหารที่ได้จากการกินผักและผลไม้ยังช่วยใน การขับถ่าย พร้อมนำโคเลสเตอรอลและสารพิษที่ ก่อโรคมะเร็งบางชนิดออกจากร่างกาย ทำให้ลด การสะสมของสารเหล่านั้น ผักและผลไม้หลาย อย่างให้พลังงานต่ำ ดังนั้นหากกินให้หลากหลาย และเป็นประจำจะไม่ทำให้เกิดโรคอ้วน และไขมันอุด ตันในเส้นเลือด ปลา เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน ไข่และถั่วเมล็ดแห้ง เป็น แหล่งโปรตีนที่ดี โปรตีนเป็นสารอาหารที่ร่างกาย จำเป็นต้องได้รับอย่างเพียงพอ ทั้งคุณภาพและ ปริมาณ เพื่อนำไปเสริมสร้างร่างกายให้เจริญ เติบโต และซ่อมแซมเนื้อเยื่อซึ่งเสื่อมสลายให้อยู่ใน สภาพปกติ
~5~ น้ำนม เป็นอาหารที่มีประโยชน์ และเป็นแหล่ง อาหารที่ประกอบไปด้วยแร่ธาตุที่สำคัญคือ แคลเซียม ฟอสฟอรัส นอกจากนั้นยังมีโปรตีน วิ ตามินบี 2 น้ำตาลแลคโตส ช่วยให้ร่ากายเจริญ เติบโต จึงเป็นอาหารที่เหมาะสำหรับคนทุกวัย สำหรับกรณีที่ห่วงว่า การดื่มนมมากๆ อาจทำให้ อ้วนได้ เราก็สามารถเลือกดื่มนมพร่องไขมันได้ และในเวลาเดียวกันควรควบคุมปริมาณไขมันใน อาหารชนิดอื่นด้วย เพราะเพียงไขมันจากนมอย่าง เดียวไม่น่าที่จะทำให้เกิดโรคอ้วน ปริมาณการดื่มนมที่แนะนำ คือ เด็ก 1-2 แก้วต่อ วัน ผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ 1 แก้วต่อวัน และก่อนซื้อ นมทุกครั้ง ควรสังเกต วัน เดือน ปี ที่ข้างกล่องว่า หมดอายุหรือไม่ รวมทั้งควรเลือกเฉพาะนมที่บรรจุ ในภาชนะที่ปิดสนิท
~6~ พยายามดื่มน้ำให้ได้วันละ 8 แก้ว เพราะการดื่มน้ำ อย่างพอเพียงมีประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย ทั้ง ในเรื่องของสุขภาพและความสวยความงาม ไม่ว่า จะเป็นช่วยให้ระบบหมุนเวียนโลหิตเป็นไปอย่าง ปกติ ช่วยเผาผลาญไขมันในร่างกาย ช่วยให้ผิวมี ความชุ่มชื่น ดูสดใสเปล่งปลั่ง
~7~ ก า ร อ อ ก กำ ลั ง ก า ย EXERCISE การเตรียมตัวก่อนเริ่มออกกำลังกายถือเป็นสิ่ง สำคัญ ลองตั้งเป้าหมายขึ้นมาซัก 1 ข้อ ว่าเรา ต้องการออกกำลังกายเพื่ออะไร ไม่ว่าจะลดน้ำหนัก เพิ่มกล้ามเนื้อ หรือออกกำลังกายเพื่อให้มีสุขภาพ ดีขึ้น การตั้งเป้าหมายจะช่วยเป็นแรงผลักดัน กระตุ้นให้เราออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และที่ สำคัญจะช่วยให้เราเลือกวิธีการออกกำลังกายได้ ถูกต้องตามจุดประสงค์ของเรานั่นเอง การออกกำลังกายเป็นประจำและสม่ำเสมอ สามารถช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคร้ายต่างๆ ซึ่งจะส่งผลให้สุขภาพที่ดี และเเข็งแรงขึ้น ระบบ ต่างๆ ในร่างกายดีขึ้น ลดความเสี่ยงการเกิดโรค หัวใจ โรคความดัน และ โรคมะเร็งได้
~8~ ก่อนออกกำลังกายประมาณ 3 ชั่วโมง ควรดื่มน้ำให้ได้ 2-3 เเก้ว และระหว่างการออกกำลังกาย ควรจิบน้ำบ่อยๆ ในปริมาณไม่ น้อยกว่า 1-2 เเก้ว เพื่อชดเชยน้ำ ที่สูญเสียไป และป้องกันการปวด หัว หน้ามืด เป็นตะคริว หรือ กล้ามเนื้อหดตัว ก่อนออกกำลังกายทุกครั้ง ควรวอร์มอัพ หรืออบอุ่นร่างกาย เพื่อป้องกันการบาด เจ็บของกล้ามเนื้อ การขยับยืดเส้นยืด สายยังช่วยให้ร่างกายได้ปรับระดับความ ยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อเเละเส้นเอ็น รวม ถึงเป็นการค่อยๆ ปรับอุณหภูมิของ ร่างกายให้เข้าที่จนพร้อมสำหรับการออก กำลังกายหนักต่อไป
~9~ ควรเริ่มจากการออกกำลังกาย เบาๆ เริ่มจากท่าง่ายๆ เพื่อเป็น การค่อยๆ กระตุ้นให้กล้ามเนื้อ ตื่นตัวขึ้นทีละนิด เสริมความ เเข็งเเกร่งให้กับกล้ามเนื้อทีละขั้น แล้วค่อยๆ เร่งจังหวะขึ้นเรื่อยๆ เพราะหากเริ่มต้นออกกำลังกาย แบบหนักหน่วงโดยที่กล้ามเนื้อ ยังไม่พร้อม ก็จะเสี่ยงต่อการ บาดเจ็บของกล้ามเนื้อได้ การออกกำลังกายเฉพาะส่วน เหมาะสำหรับคน อยากเสริมสร้างกล้ามเนื้อ ที่ต้องการบอดี้ลีนๆ ถ้าจะให้เห็นผลยิ่งขึ้น ควรมีการใช้อุปกรณ์ออก กำลังกายเสริมด้วย เช่น ดรัมเบล หรือยางยืด ออกกำลังกาย หากไม่รู้จะออกกำลังกายท่าไหน ลองเปิด Youtube แล้วเสิร์ชวิธีการออกกำลัง กายเฉพาะส่วน รับรองว่ามีให้ครบ ตั้งแต่แขน ขา หน้าท้อง ก้น รับรองว่าฟิตแอนด์เฟิร์มแบบ เห็นผลแน่นอน
~10~ หลังออกกำลังกายอย่างหนักหน่วง ร่างกายจะ ผลิตกรดแลคติก ซึ่งเป็นของเสียที่ทำให้กล้าม เนื้อของเราเมื่อยล้า ซึ่งอาจทำให้เกิดตะคริวได้ หากมีมากเกินไป แต่การคูลดาวน์ หรือการ เคลื่อนไหวเบาๆ หลังออกกำลังกาย เช่น เดิน หลังจากที่วิ่งมาอย่างหนัก หรือยืดเหยียดกล้าม เนื้อหลังการบอดี้เวท จะช่วยให้ร่างกายค่อยๆ เย็นลงอย่างมีลำดับขั้น ช่วยให้ออกซิเจนไปหล่อ เลี้ยงกล้ามเนื้อได้มากขึ้น กรดแลคติกก็จะ ค่อยๆ สลายตัวไป ช่วยลดโอกาสที่จะปวดกล้าม เนื้อหลังออกกำลังกายได้ดี ดังนั้นต้องไม่ลืมคู ลดาวน์ทุกครั้งหลังออกกำลังกาย
~11~ ก า ร พั ก ผ่ อ น RELAXATION ทำอย่างไรให้คุณภาพชีวิตการนอนมีคุณภาพที่ดี - ไม่จำเป็นต้องนอน 8 ชั่วโมง แต่สามารถนอนได้ อย่างเพียงพอมีคุณภาพ หรือนอนเพียงแค่ 5-6 ชั่วโมงก็สามารถตื่นนอนขึ้นมาสดชื่นได้ เพราะ นอนหลับลึกเพียงพอ และร่างกายต้องการเพียง พอ ก็สุขภาพดีได้ - ตัวเลขการนอนหลับ 8 ชั่วโมง นั้น เป็นสถิติ ทั่วไป ไม่จำเป็นต้องสร้างความกดดันให้ตัวเองว่า จำเป็นต้องนอนเยอะถึง 8 ชั่วโมง - กลุ่มคนอัจฉริยะ หรือ Short Sleeper เป็นกลุ่ม คนที่นอนน้อย สดชื่น สามารถทำงานได้อย่างปกติ
~12~ ปัญหาเกี่ยวกับการนอน 1. การนอนไม่หลับ (insomnia) 2. วงจรการหลับการตื่นเสียสมดุล เช่นการเดิน ทางข้ามทวีป (Circadian Rhythm Disorders or Jet Lag) 3. การเคลื่อนไหวร่างกายผิดปกติ (Movement Disorders) ซึ่งรบกวนการนอน นอนไม่หลับ ไม่ใช่โรค แต่เป็นอาการ ซึ่งเกิดร่วม กับความผิดปกติในร่างกายและจิตใจ ลักษณะของ การนอนไม่หลับ คือ ใช้เวลาในการนอนหลับ อาจ เป็นชั่วโมงกว่าจะนอนหลับได้ หลับ ๆ ตื่น ๆ ตลอด คืน หรือตื่นแล้วไม่หลับอีกเลย ดูเหมือนหลับแต่ ความจริงแล้วรู้สึกตัวว่านอนไม่หลับ และตื่นเร็ว กว่าปกติ
~13~ การนอนหลับที่มีคุณภาพ คืออะไร 1. ตื่นขึ้นมาแล้วสดชื่น 2. จำนวนชั่วโมงนอนไม่สำคัญ 3. การนอนหลับด้วยร่างกายที่ผ่อนคลาย ร่างกายได้ยืดเหยียด ยืดเส้น ยืดสาย 4. การนอนหลับด้วยจิตใจที่ผ่อนคลาย ไม่มีความเครียด 5. การนอนหลับในตอนที่ร่างกายง่วง จริง ๆ ไม่จำเป็นต้องบังคับตัวเองว่าต้อง เข้านอนเวลานั้น เวลานี้ เพื่อกดดัน ร่างกาย และจิตใจ หรือยิ่งตั้งใจจะนอน หลับ จะยิ่งหลับยาก 6. การได้พักผ่อน หลับหรือไม่หลับจริง ๆ เท่ากับการที่ร่างกายได้รับการผ่อนคลาย ร่างกายสามารถ หลั่งฮอร์โมน และไม่หลั่ง สารเคลียด ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอได้ปกติ และผ่อนคลายอย่างมีคุณภาพของ ร่างกายและจิตใจ สำคัญเท่ากับการนอนที่ มีคุณภาพ (การผ่อนคลายที่มีคุณภาพ = การนอนหลับ)
~14~ วิธี ที่ทำให้นอนหลับได้ดีขึ้น แบบยั่งยืน 1. ออกกำลังกายเป็นประจำ ออกทุกวัน หรือสัปดาห์ละ 3 ครั้ง ครั้งละครึ่ง ชั่วโมง ระวังไม่ควรออกกำลังกายก่อนนอน 2. ไม่งีบหลับตอนกลางวัน หรือตอนเย็น เพราะจะทำให้นอนหลับยากตอน กลางคืน และสมองเรียนรู้ผิด ๆ ว่าร่างกายได้นอนหลับพักผ่อนไปแล้ว หรือ หากอยากงีบหลับ ให้นั่งงีบหลับ แต่ไม่ให้อยู่ในท่านอน และไม่เกิน 30 นาที 3. งดเครื่องดื่ม ชา กาแฟ ช็อคโกแลต และเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน รวมถึงแอ ลกอฮอร์ และบุหรี่ 4. งดอาหารมื้อดึก และไม่ควรรับประทานน้ำเปล่ามากในช่วงค่ำ ปกติร่างกาย ไม่หลั่งน้ำย่อยตอนกลางคืนอยู่แล้ว 5. ไม่ควรทำกิจกรรมที่ทำให้จิตใจได้รับการกระตุ้นก่อนนอน เช่น ดูหนัง อ่าน หนังสือ พูดคุย เรื่องที่เครียด กระตุ้นจิตใจให้ตื่นเต้น ลุ้น และเคร่งเครียด 6. งดเล่นอุปกรณ์มือถือ สมาร์ทโฟน เวลา 30 นาทีก่อนเข้านอน เพราะ อุปกรณ์มือถือ สมาร์ทโฟน มีผลทำให้หลับยาก เพราะแสงสีฟ้าจากจอ ทำให้ ร่างกายรับรู้ว่ายังไม่มืด และหลั่งสารเมลาโตนิน ทำให้หลับยาก และเราได้รับ ข้อมูลเข้ามาตลอดเวลา ทำให้สมองไม่ได้พักผ่อน และนอนหลับไม่ดี คลื่น สมองไม่ปลอดโปร่ง (Alpha Wave) นอนหลับไม่ลึก 7. พยายามจัดเวลาสำหรับการพักผ่อน เพื่อให้ผ่อนคลาย เพื่อให้สมองโล่ง ปลอดโปร่ง ก่อนเข้านอน เช่นการฟังเพลงบรรเลงที่ช่วยปรับให้นอนหลับได้ดี ขึ้น หรือนั่งสมาธิ สวดมนต์ ให้จิตใจสบาย ผ่อนคลาย อ่านหนังสือที่เป็นเรื่อง ที่เบาสบาย ทำให้จิตใจสบาย ผ่อนคลาย ดู หรือนึกถึงภาพ ธรรมชาติ
~15~ ห ลี ก เ ลี่ ย ง พ ฤ ติ ก ร ร ม ที่ ส่ ง ผ ล เ สี ย Avoid negative behaviors คนเราส่วนมากทำลายสุขภาพตัวเองโดยที่ไม่รู้ ตัว คิดว่าทำพฤติกรรมแบบนั้น แบบนี้จะไม่เป็น อะไร แต่ความจริงแล้ว พฤติกรรมที่คุณทั้ง หลายทำเป็นนิสัยบางอย่างเป็นการทำลาย สุขภาพของตัวคุณเองให้แย่ลง เพราะฉะนั้น คุณควรรู้ว่าพฤติกรรมใดบ้างที่จะทำลาย สุขภาพและเมื่อรู้แล้วจะได้เปลี่ยนพฤติกรรม การใช้ชีวิตให้สุขภาพของคุณดีขึ้นได้
~16~ 1.นอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ เชื่อว่าการนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ หลายๆ คนคงเป็นและคงมีความจำเป็นที่จะ ต้องนอนน้อยอาจด้วยสาเหตุต่างๆ ทั้งทำงาน การบ้าน หรือเหตุผลอื่นๆ แต่คุณควรจะหา เวลานอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอบ้างเพราะ ร่างกายเราจะฟื้ นฟู ซ่อมแซมตัวเอง ทำให้มี ระบบภูมิคุ้มกันที่ดี ลดความเสี่ยงอาการเจ็บ ป่วยลงไปได้ การนอนหลับพักผ่อนให้เพียง พอควรนอน 7-9 ชั่วโมง 2.เครียดบอ่ ย การเครียดส่งผลให้ภาวะจิตใจย่ำแย่ นอกจาก จะส่งผลกับจิตใจแล้วยังทำให้คุณเกิดอาการ ปวดหัวและโรคภัยที่ตามมาได้อีกด้วย ทางที่ดี คุณควรรู้จักปล่อยวาง ไม่เก็บทุกเรื่องมาคิด ทุกปัญหามีทางออกเสมอ
~17~ 3.ไม่กินอาหารเช้า บางคนตื่นสายกินอาหารเช้าไม่ทัน บางคนคิด ว่าอาหารเช้าไม่จำเป็น หรือบางคนไม่มีเวลากิน อาหารเช้า แต่มื้อเช้าเป็นสิ่งสำคัญที่สุดขาดไม่ ได้เลยทีเดียว เมื่อขาดการทานอาหารมื้อเช้า แล้วจะทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของสมอง ลดลงและยังเสี่ยงต่อการเป็นโรคต่างๆ ด้วย เพราะฉะนั้น เราไม่ควรมองข้ามมื้อเช้าไปเด็ด ขาดเพื่อประโยชน์ตัวเราเอง 4.ไม่ออกกำลังกาย หลายคนงานเยอะ ไม่มีเวลาที่จะออกกำลังกาย คิดว่าการคุมอาหารอย่างเดียวจะช่วยได้แต่ เรื่องจริงแล้วแค่เราเดินบ่อยๆ ทำงานบ้านก็ ถือว่าเป็นการออกกำลัง คุณควรหาเวลาว่าง ไปฟิตเนส ปั่ นจักรยาน ตีแบด หรือกิจกรรม อย่างอื่ นที่ได้ใช้เวลากับคนรอบตัวด้วยเพื่ อ สุขภาพที่ดีต่อตัวคุณเอง
~18~ 5.กินดึกเกินไป คนที่ชอบกินดึกๆ จะส่งผลเสียต่อสุขภาพมาก เพราะเวลากินดึกกลับมาก็นอนเลยเป็นที่มา ของกรดไหลย้อนและการกินมื้อดึกทำให้ กระเพาะอาหารเราไม่ได้พัก ระบบการย่อย อาหารเราก็แย่ลง ทำให้เกิดโรคอ้วนได้ ข้อ แนะนำคือหากเราหิวตอนดึกควรรับประทาน อาหารที่เบาๆ เช่น ผลไม้ เพื่อให้ไม่หนักกับ กระเพาะเราเกินไป 6.กินอาหารสำเร็จรูปเยอะ เวลาหิวๆ นึกอะไรไม่ออกก็อาหารสำเร็จรูป ซื้อ มาตุนไว้ที่บ้าน กินง่ายด้วย แต่อาหารแบบนี้ แหละที่ทำร้ายสุขภาพถ้าเรากินเยอะเข้าเท่ากับ ว่าเรารับโซเดียมและสารเคมีไว้มากมาย ซึ่ง แน่นอนว่าเป็นผลร้ายกับสุขภาพเราแน่นอน ลองเปลี่ยนจากซื้ออาหารสำเร็จรูปมาตุนไว้ที่ บ้าน เป็นการหาเวลาเข้าครัวปรุงอาหารด้วย ตัวเองจะดีกว่าไหม ได้ทั้งอาหารที่มีคุณ ประโยชน์และได้เวลาพักผ่อน คลายเครียด ด้วย
~19~ ก า ร มี สุ ข ภ า พ จิ ต ที่ ดี HAVING GOOD MENTAL HELTH ผู้ที่มีสุขภาพจิตดีมักมีลักษณะของคนที่เข้าใจชีวิตมีจุดมุ่งหมาย ในชีวิต ไม่มีความรู้สึกสิ้นหวัง คิดบวก มองโลกในแง่ดี มีความ สัมพันธ์ใกล้ชิดกับผู้อื่นมากกว่าผู้ที่มีสุขภาพจิตไม่ดี การมี สุขภาพจิตดีและการมองโลกในแง่ดีนั้นสัมพันธ์กับสุขภาพ ร่างกายที่ดีขึ้นด้วย ทำให้มีปัญหาสุขภาพลดน้อยลง การมีสุขภาพจิตที่ดี เป็นสิ่งที่ทุกคนสร้างได้ด้วยตนเอง ทำได้ไม่ ยากเพียงแค่ปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิต รับประทานอาหารที่มี ประโยชน์ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ซึ่งเป็นเรื่องที่สัมพันธ์กับที่ได้ กล่าวไว้ข้างต้นแล้ว รวมทั้งควรเลิกพฤติกรรมเสี่ยง ควรลด ละ เลิกบุหรี่ รวมถึงลดหรืองดดื่มแอลกอฮอล์ และไม่ใช้สารเสพติด เพราะนอกจากจะส่งผลเสียต่อสุขภาพร่างกายแล้ว ยังส่งผลกระ ทบต่อสุขภาพจิตอีกด้วย
~20~ รู้จักผ่อนคลายจากสภาวะความเครียด หาเวลาพักเพื่อผ่อนคลายสัก 30 นาที เช่น ฟังเพลง ดูทีวี นั่งสมาธิ ทำสิ่งที่ชื่นชอบ สิ่งที่ทำแล้วสบายใจที่ไม่กระทบ กับความสุขของคนอื่น เป็นต้น มองโลกในแง่ดี ฝึกคุยกับตัวเองโดยใช้คำที่ช่วยให้รู้สึกดีและเห็นคุณค่าในตัว เอง พยายามเลือกมองในด้านที่ดีและมีความหวังที่จะพัฒนาหรือแก้ไขในสิ่งที่ ผิดพลาด ใส่ใจกับปัจจุบัน ปล่อยวางเรื่องราวที่ไม่ดีในอดีต และไม่คาดหวัง กับอนาคตมากจนเกินไป พยายามนึกถึงข้อดีและขอบคุณสิ่งดีๆ ที่เรามีอยู่ เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ โดยอาจจะเริ่มจากสิ่งที่ตนสนใจ อาทิ ทำอาหาร เล่นดนตรี เขียนบทความ เป็นต้น ซึ่งเทคโนโลยีในปัจจุบันก็ช่วยให้เข้าถึงความรู้ต่างๆ ได้ง่ายยิ่งขึ้น และมีหลักสูตรอบรมออนไลน์ที่คอยอำนวยความสะดวกให้ เลือกมากมาย เพราะการที่เราฝึกทักษะใหม่ๆ ได้สำเร็จจะทำให้เกิดความรู้สึก ภาคภูมิใจในตนเอง ใช้ชีวิตอย่างมีเป้าหมาย โดยกำหนดเป้าหมายเอาไว้ในเรื่องต่างๆ เช่น เป้า หมายเรื่องการศึกษา อาชีพการงาน การพัฒนาบุคลิกภาพ รูปร่าง เป็นต้น เพื่อให้มีกำลังใจที่จะทำสิ่งต่างๆ ต่อไปให้สำเร็จตามที่มุ่งหวัง ทำให้ตระหนักว่า สิ่งที่กำลังทำอยู่ในปัจจุบันนั้นมีความหมาย แต่ไม่ควรตั้งเป้าหมายเอาไว้จน สูงเกินไป เพราะอาจเป็นการกดดันตนเองจนเกิดความเครียดได้
Search
Read the Text Version
- 1 - 24
Pages: