1.การวิจัย คือ กระบวนการในการค้นหาความรู้ ความจริงที่เช่ือถือได้ โดยใช้วิธีการที่มีระบบระเบียบ เป็นท่ี น่าเช่ือถือได้ของสังคม วิธีการของการวิจัยจะเริ่มต้นด้วยการกาหนดปัญหา หรือกาหนดวัตถุประสงค์ของเรื่องที่จะ วิจัยใหช้ ดั เจน โดยสว่ นใหญ่จะเป็นการตัง้ คาถามการวิจยั หรอื ต้งั ขอ้ สงสยั ในส่ิงท่ีต้องการศึกษาหาความรู้ความจริงน้ัน ๆ จากน้ันจึงต้ังสมมติฐานหรือคาตอบที่คาดว่าจะได้รับจากการศึกษาวิจัย เสร็จแล้วทาการทดสอบสมมติฐานที่ตั้งไว้ โดยการรวบรวมขอ้ มลู มาวิเคราะห์ และสรปุ ผลท่ีได้ กระบวนการนี้ก็คือ วิธีการทางวิทยาศาสตร์นั่นเอง ซ่ึงมีข้ันตอนที่ สาคัญดังนี้ 1
1.การกาหนดปัญหา เป็นการกาหนดกรอบของปัญหาให้อยู่ในวงจากัด ว่าต้องการท่ีจะสร้าง พัฒนา ค้นหาความรู้ หรือ ขอ้ เทจ็ จรงิ อะไรแน่ การดาเนินงานทีส่ าคญั ทีส่ ุดในข้นั น้กี ็ คือ การระบวุ ัตถุประสงคใ์ นการวิจัยใหล้ ะเอยี ดชดั เจนนัน่ เอง 2.การต้งั สมมติฐาน เปน็ การคาดคะเนวา่ คาตอบทจ่ี ะได้จากการศึกษาวิจัยครั้งนั้นควรออกมาในรูปแบบใด เพ่ือเป็นแนวทางใน การดาเนินการแสวงหาคาตอบทแ่ี ทจ้ ริงต่อไป 3.การรวบรวมข้อมูล การรวบรวมข้อมูลต่าง ๆ มาเพื่อทดสอบสมมติฐานหรือตอบวัตถุประสงค์การวิจัย ถ้าเป็นงานวิจัยเชิง ทดลอง ผู้วิจัยต้องออกแบบการทดลองและดาเนินการทดลองตามแบบที่วางไว้กับกลุ่มตัวอย่างหรือกลุ่มเป้าหมาย แล้วจึง รวบรวมข้อมลู ทีเ่ ก่ยี วกบั ผลการทดลอง 4.การวเิ คราะห์ข้อมูล การวิเคราะหข์ ้อมูลผู้วิจัยจะพิจารณาวัตถุประสงค์ของการวิจัยว่าต้องการเพียงอธิบายสภาพของสิ่งที่ ต้องการศึกษาเท่าน้ัน หรือต้องการเปรียบเทียบสภาพของสิ่งที่ต้องการศึกษาจาแนกตามบางตัวแปร หรือต้องการหาระดับ ความสมั พันธ์ระหวา่ งตวั แปรท่ีตอ้ งการจะศึกษาตัง้ แต่ 2 ตวั แปรข้นึ ไป 5.การสรุปผล โดยปกติแล้วผู้วิจัยจะเร่ิมด้วยการสรุปวัตถุประสงค์ในการวิจัยและวิธีดาเนินการวิจัย เกี่ยวกับเครื่องมือวิจัย แหล่งข้อมูลซ่ึงอาจเป็นประชากรหรือกลุ่มตัวอย่าง การรวบรวมข้อมูล และการวเิ คราะห์ข้อมูล แล้วจึงสรุปผลการวิจัยเป็น ขอ้ ๆ ตามลาดบั ใหส้ อดคล้องกบั วัตถุประสงค์ในการวจิ ัย 2
ประเภทของงานวจิ ยั 1. แบง่ ตามจดุ มุ่งหมายของการวจิ ัย การแบง่ ประเภทของการวิจยั โดยใช้จุดมุ่งหมายของการวิจยั เป็นเกณฑ์ในการแบ่งนัน้ อาจแบ่งไดเ้ ป็น 3 ประเภทดงั นี้ 1.1. การวิจัยเชิงพยากรณ์ (Predictive research) เป็นการวิจัยเพ่ือท่ีจะนาผลท่ีได้นั้นไปใช้ทานายสิ่งท่ีจะเกิดข้ึนต่อไปในอนาคต เช่น การวจิ ยั เร่อื ง “การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์กับคณิตศาสตร์ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษา”การวิจัยน้ี ต้องการจะทดสอบว่า ผลการเรียนวิชาคณิตศาสตร์มคี วามคล้อยตามกันหรือสัมพนั ธ์กันกับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของวิชาวิทยาศาสตร์ หรือไม่ ท้ังนเี้ พือ่ จะนาผลที่ได้ไปทานายว่านักเรียนท่ีมผี ลการเรยี นวิชาวิทยาศาสตร์ดจี ะเรียนวิชาคณิตศาสตร์ได้ดีเพียงใด แต่การพยากรณ์น้ีเป็น การพยากรณ์นักเรียนทั้งกลุ่ม มิได้พยากรณ์เป็นรายบุคคล และมิได้หมายความว่าจะถูกต้องเสมอไป เพราะอาจมีสาเหตุอ่ืนมากมายที่ทาให้เกิ ด ความคลาดเคล่ือนในการพยากรณไ์ ด้ 3
1.2. การวจิ ัยเชิงวนิ ิจฉัย (Diagnostic research) เป็นการวจิ ัยเพื่อศึกษาสาเหตขุ องปัญหาต่าง ๆ ที่ เกิดข้ึนกับบุคคลใดบุคคลหน่ึง กลุ่มชน หรือชุมชน เพื่อให้เกิดความเข้าใจในปัญหา เข้าใจในพฤติกรรม ตลอดจนเข้าใจในสาเหตุท่ที าใหเ้ กิดปัญหาอันจะเปน็ ประโยชน์ในการชว่ ยเหลือ อนุเคราะห์ และทาการ แกไ้ ขต่อไป การวิจยั ประเภทนนี้ กั สงั คมสงเคราะห์นยิ มใช้กนั มาก เพื่อจะไดแ้ กไ้ ขปัญหาไดถ้ ูกจุด 1.3.การวิจัยเชงิ อรรถาธิบาย (Explanatory research) เป็นการวิจัยเพอ่ื ศกึ ษาเหตกุ ารณ์ทีเ่ กดิ ข้ึน แล้วว่าเกดิ ข้ึนไดอ้ ย่างไร มีสาเหตุมาจากอะไร และทาไมจงึ เป็นเช่นนัน้ การวจิ ัยประเภทน้ีจะพยายาม ชี้ใหเ้ ห็นว่าตวั แปรใดสัมพันธ์กับตวั แปรใดบ้าง และสัมพันธก์ นั อยา่ งไรในเชงิ ของเหตุและผล 4
2. แบ่งตามประโยชนข์ องการวจิ ยั การแบง่ ประเภทของการวจิ ัยโดยยดึ ประโยชน์ท่ไี ด้จากการวิจยั เปน็ เกณฑ์น้นั เราจะตอ้ งพิจารณา ว่าในการทาการวจิ ัยมุ่งท่ีจะนาผลไปใช้ประโยชนห์ รือไม่ ดงั นั้นจึงสามารถแบง่ การวิจัยออกเป็น 2 ประเภท ดังน้ี 2.1. การวจิ ัยพ้ืนฐาน (Basic research) หรอื การวิจยั บริสุทธ์ิ (Pure research) หรอื การวิจยั เชงิ ทฤษฎี (Theoretical research) เปน็ การวจิ ยั ที่เสาะแสวงหาความรู้ใหมเ่ พ่อื สรา้ งเปน็ ทฤษฎี หรอื เพื่อเพมิ่ พนู ความรตู้ า่ ง ๆ ให้กวา้ งขวางสมบูรณ์ยิง่ ขึ้นโดยมิได้คานงึ วา่ ความรูน้ ั้นจะนาไป แก้ปัญหาใดไดห้ รอื ไม่ การวิจัยประเภทน้ีมคี วามลกึ ซง้ึ และสลบั ซอ้ บซ้อนมาก เชน่ การวิจัยทาง วิทยาศาสตรแ์ ละคณิตศาสตร์ เปน็ ต้น 5
2.2. การวิจัยประยุกต์ (Applied research) หรือการวิจัยเชิงปฏิบัติ (Action research) หรือการวจิ ัย เพื่อหาแนวทางปฏิบัติ (Operational research) เป็นการวิจัยที่มุ่งเสาะแสวงหาความรู้ และประยุกต์ใช้ ความรู้หรือวิทยาการตา่ ง ๆ ให้เปน็ ประโยชน์ในทางปฏิบัติหรือเป็นการวิจัยที่นาผลท่ีได้ไปแก้ปัญหาโดยตรง น่ันเอง การวิจัยประเภทน้ีอาจนาผลการวิจัยพ้ืนฐานมาวิจัยต่อแล้วทดลองใช้ เช่น การวิจัยเก่ียวกับอาหาร ยารกั ษาโรค การเกษตร การเรยี นการสอน เป็นต้น ดังน้ันเราจึงไม่สามารถท่ีจะแยกการวจิ ัยพื้นฐานและการ วจิ ัยประยุกตอ์ อกจากกนั ไดโ้ ดยเด็ดขาด 6
3. แบง่ ตามวธิ ีการเก็บรวบรวมข้อมลู วธิ ีการเก็บรวบรวมขอ้ มลู เพ่ือนามาใชใ้ นการวิจัยนั้นมหี ลายวิธี ดงั นนั้ จึงมผี ู้แบ่งประเภทของการวิจยั ตามวธิ ีการเกบ็ รวบรวม ขอ้ มลู ซึง่ แบง่ ไดด้ ังนี้ 3.1. การวิจยั จากเอกสาร (Documentary research) เป็นการวจิ ัยทผ่ี วู้ ิจัยทาการเกบ็ รวบรวมข้อมลู จากเอกสาร รายงาน จดหมายเหตุ ศลิ าจารกึ แล้วเสนอผลในเชิงวเิ คราะห์ ส่วนใหญ่เอกสารทผ่ี วู้ ิจัยเก็บรวบรวมนจ้ี ะอยใู่ นห้องสมดุ ดงั นนั้ จงึ อาจ เรียกการวิจยั ประเภทน้ีอีกอยา่ งหน่งึ ว่า การวจิ ัยจากห้องสมุด (Library research) 3.2. การวจิ ัยจากการสงั เกต (Observation research) เป็นการวิจยั ทผ่ี วู้ จิ ยั ทาการเก็บรวบรวมข้อมลู ด้วยวธิ กี ารสงั เกต การวิจัยประเภทน้นี ยิ มใชม้ ากทางดา้ นมานุษยวทิ ยา ซง่ึ ส่วนใหญ่เปน็ การสงั เกตพฤตกิ รรมของบคุ คลในสังคมในแงข่ อง สถานภาพ (Status) และบทบาท (Role) 3.3. การวจิ ัยแบบสามะโน (Census research) เป็นการวจิ ัยที่ผูว้ จิ ยั ทาการเก็บรวบรวมข้อมูลจากทุก ๆ หน่วยของ ประชากร 7
3.4. การวิจัยแบบสารวจจากตวั อย่าง (Sample survey research) เปน็ การวิจัยทผ่ี วู้ จิ ยั ทาการเก็บรวบรวมขอ้ มูลจาก กล่มุ ตวั อยา่ ง 3.5. การศกึ ษาเฉพาะกรณี (Case study) การศึกษาเฉพาะกรณเี ป็นการวิจยั ทนี่ กั สังคมสงเคราะหน์ ิยมใชม้ าก ท่ีเรียกว่า การศึกษาเฉพาะกรณกี เ็ พราะเปน็ การศกึ ษาเรอื่ งที่สนใจในขอบเขตจากดั หรือแคบ ๆ และใช้จานวนตวั อย่างไม่มากนกั แต่ จะศึกษาอย่างลึกซง้ึ ในเร่ืองนนั้ ๆ เพอื่ ใหไ้ ด้มาซงึ่ ขอ้ เท็จจรงิ ทจี่ ะทาใหท้ ราบวา่ บุคคลน้นั หรอื กลุม่ บุคคลน้นั มคี วามบกพรอ่ ง ในเรอ่ื งใด เนื่องมาจากสาเหตุใด เพอ่ื จะไดห้ าทางแก้ไขหรอื ช่วยเหลือต่อไป 3.6. การศึกษาแบบต่อเนื่อง (Panel study) เป็นการศึกษาที่มกี ารเกบ็ ขอ้ มลู เป็น ระยะ ๆ เพือ่ ดกู ารเปลย่ี นแปลงตาม กาลเวลาของกลุ่มตัวอยา่ ง ซึง่ การศกึ ษาแบบตอ่ เนอ่ื งนจ้ี ะช่วยให้เข้าใจและทราบถึงลักษณะการเปลีย่ นแปลงได้เป็นอยา่ งดี 3.7. การวิจยั เชิงทดลอง (Experimental research) เป็นการวิจยั ท่ผี ู้วจิ ยั เก็บขอ้ มลู มาจากการทดลอง ซ่งึ เป็นผลมา จากการกระทา (Treatment) โดยมีการควบคมุ ตัวแปรต่าง ๆ ให้เป็นไปตามวัตถุประสงคท์ ี่กาหนดไว้ 8
4. แบง่ ตามลักษณะการวเิ คราะหข์ ้อมลู ถา้ ยดึ ลกั ษณะของการวิเคราะห์ขอ้ มูลในการวิจัยแลว้ อาจแบ่งการวิจยั ไดเ้ ป็น 2 ประเภท ดงั นี้ 4.1. การวิจยั เชิงคุณภาพ (Qualitative research) เปน็ การวจิ ัยทนี่ าเอาขอ้ มูลทางด้านคุณภาพมาวเิ คราะห์ ข้อมลู ทางดา้ นคุณภาพเป็นขอ้ มลู ทไี่ มเ่ ป็นตัวเลขแต่จะเป็นข้อความบรรยายลกั ษณะสภาพเหตกุ ารณข์ องสิง่ ตา่ ง ๆ ทเ่ี ก่ยี วข้อง และการเสนอผลการวจิ ยั กจ็ ะออกมาในรปู ของข้อความทไ่ี มม่ ีตัวเลขทางสถติ สิ นับสนนุ เช่นเดียวกัน การวิจยั ประเภทน้จี ึงมุ่งบรรยายหรอื อธบิ ายเหตกุ ารณต์ า่ ง ๆ โดยอาศยั ความคิดวเิ คราะห์ เพอ่ื ประเมนิ ผลหรอื สรุปผลน่นั เอง 4.2. การวจิ ัยเชิงปริมาณ (Quantitative research) เป็นการวจิ ยั ท่ีนาเอาขอ้ มูลเชงิ ปริมาณมาวเิ คราะห์ กลา่ วคอื ใชต้ ัวเลขประกอบการวเิ คราะห์ สรุปผล และการเสนอผลการวิจยั กอ็ อกมาเป็นตัวเลขเช่นเดียวกัน ดงั นนั้ การวิจยั ประเภทน้จี ึงมุ่งทจี่ ะอธบิ ายเหตกุ ารณ์ตา่ ง ๆ โดยอาศยั ตัวเลขยืนยนั แสดงปรมิ าณมากน้อย แทนท่จี ะใช้ขอ้ ความบรรยายใหเ้ หตผุ ล 9
6. แบ่งตามระเบียบวิธวี จิ ัย การแบ่งประเภทการวิจยั โดยยดึ ระเบยี บวิธวี จิ ัยเปน็ เกณฑ์นน้ั เป็นที่นยิ มใชก้ นั มาก ซ่งึ แบง่ ออกได้เป็น 3 ประเภท ดังนี้ 6.1. การวจิ ัยเชงิ ประวัติศาสตร์ (Historical research) เปน็ การวิจยั เพอื่ ค้นหาข้อเท็จจริงของเหตกุ ารณท์ ่ีผา่ นมาแล้ว ในอดตี โดยมีจุดมุ่งหมายทจี่ ะบันทกึ อดีตอย่างมรี ะบบ และมีความเปน็ ปรนยั จากการรวบรวมประเมนิ ผล ตรวจสอบ และวิเคราะห์เหตุการณเ์ พือ่ ค้นหาข้อเท็จจริงในอนั ที่จะนามาสรปุ อยา่ งมีเหตุผล การวิจัยประเภทนี้ตอ้ งอา้ งองิ เอกสาร และวัตถโุ บราณท่ีมีเหลอื อยู่ ซง่ึ โดยส่วนใหญ่แล้วมกั ไมใ่ ช้สถิติ สรุปได้ว่าการวจิ ัยประเภทน้มี ุง่ ทีจ่ ะบอกว่า “เป็นอะไรใน อดตี ” (What was) เชน่ การวจิ ยั เรื่อง “ระบบการศกึ ษาของไทยในสมยั สมเด็จพระปยิ มหาราช” เปน็ ต้น 6.2. การวิจยั เชงิ บรรยายหรือพรรณนา (Descriptive research) เปน็ การวจิ ยั เพื่อค้นหาขอ้ เทจ็ จริงในสภาพการณ์ หรือภาวการณข์ องส่ิงทเี่ ปน็ อยูใ่ นปัจจุบนั วา่ เปน็ อยา่ งไร การวิจยั ประเภทนมี้ ักจะทาการสารวจหรอื หาความสมั พันธ์ต่าง ๆ เกีย่ วกบั เรื่องของความเชอื่ ความคดิ เหน็ และเจตคติ จึงกลา่ วได้ว่าเปน็ การวิจัยที่ม่งุ จะบอกวา่ “เป็นอะไรในปจั จุบัน” (What is) น่ันเองเช่น การวิจยั เร่อื ง “เจตคตขิ องครูนอ้ ยท่มี ตี ่อผูบ้ ริหารการศกึ ษา” 10
6.3. การวจิ ยั เชิงทดลอง (Experimental research) เปน็ การวิจยั เพื่อค้นหาความสัมพันธเ์ ชิงเหตแุ ละ ผลของปรากฏการณ์ตา่ ง ๆ การวิจัยประเภทน้ตี อ้ งมีการควบคุมตัวแปรต้น เพอื่ สงั เกตตัวแปรตามที่ เปลย่ี นแปลงไปเพ่อื จะไดท้ ราบว่าอะไรเป็นสาเหตุที่ทาให้เกิดผล ดังนัน้ ตัวแปรในการวจิ ยั จงึ ต้องมีทั้งกลมุ่ ควบคมุ และกล่มุ ทดลอง สรุปได้วา่ การวิจัยประเภทน้ีมงุ่ ท่จี ะบอกวา่ “อะไรอาจจะเกิดขึ้น” (What may be) เชน่ การวิจยั เร่อื ง “การเปรยี บเทยี บความมีเหตุผลระหวา่ งกลมุ่ ท่ีสอนเรขาคณิตกับกลุ่ม ทส่ี อนตรรกศาสตร์” 11
7.ประเภทของตัวแปร ได้มีการแบ่งประเภทของตัวแปรเปน็ หลายๆ แบบและมกี ารเรยี กชอ่ื แตกต่างกนั ไป แต่ในที่น้ีจะแบง่ ประเภทของตัวแปรออกเป็น 4 ประเภท ดังน้ีคอื 1. ตัวแปรอสิ ระ (independent variable) หรอื ตัวแปรต้น เปน็ ตัวแปรทอ่ี ิสระไม่ ข้นึ อยู่กบั ตวั แปรอืน่ ๆ เปน็ ตัวแปรที่เกดิ ขน้ึ กอ่ น เป็นตัวเหตุทาให้เกดิ ผลตามมา และมักเปน็ ตัวทีส่ ามารถเปล่ียนแปลงคา่ ยาก หรือไม่สามารถเปล่ียนแปลงได้ 2. ตวั แปรตาม (dependent variable) เปน็ ตวั แปรทเ่ี กิดขึ้นหรอื แปรผันไปตามตวั แปรอสิ ระ หรอื กลา่ วได้วา่ เปน็ ตัวแปรที่เป็นผลเม่ือตัวแปรอสิ ระเป็นเหตุ 12
3. ตัวแปรแทรกซ้อนหรอื ตัวแปรเกิน (extraneous variable) มีลกั ษณะเหมือนตวั แปรอิสระแต่เป็นตัว แปรทผ่ี ูว้ จิ ัยไม่ได้มุง่ ศกึ ษา ซึ่งอาจจะมีผลหรือมอี ทิ ธพิ ลตอ่ ตัวแปรตามทาใหข้ ้อสรปุ ของการวจิ ัยขาดความ ถกู ต้อง 4. ตัวแปรสอดแทรก (intervening variable) เปน็ ตวั แปรอกี ชนดิ หนง่ึ ท่ีจะมีอทิ ธพิ ลต่อตวั แปรตาม คลา้ ยๆ กบั ตัวแปรแทรกซ้อน แตม่ ลี ักษณะตา่ งกันตรงทวี่ า่ ตัวแปรชนิดนี้ ผ้วู ิจัยไมส่ ามารถคาดการณ์ไดว้ ่า มี อะไรบ้างท่ีจะมีผลตอ่ ตัวแปรตามและจะเกิดขึ้นเมื่อใด 13
14
ประเภทของสถิติ สถิติแบง่ ออกเปน็ 2 ประเภทคือ 1. สถติ พิ รรณนา (Descriptive Statistics) เปน็ สถิติที่ใชอ้ ธิบายคุณลักษณะของส่งิ ทีต่ ้องการศึกษา กลุ่มใดกลมุ่ หนึ่ง ไม่สามารถอา้ งองิ ไปยังกลมุ่ อน่ื ๆ ได้ สถติ ทิ ่ีอยู่ในประเภทน้ี เชน่ ค่าเฉลย่ี คา่ มัธยฐาน คา่ ฐานนิยม สว่ นเบ่ยี งเบนมาตรฐาน พสิ ยั ฯลฯ 2. สถิตอิ า้ งอิง (Inferential Statistics) เป็นสถติ ทิ ่ใี ชอ้ ธบิ ายคุณลกั ษณะของสิง่ ทีต่ อ้ งการศกึ ษากลมุ่ ใดกลมุ่ หนึ่งหรอื หลายกลมุ่ แลว้ สามารถอา้ งอิงไปยังกลุม่ ประชากรได้ โดยกลุ่มทน่ี ามาศึกษาจะต้องเป็น ตวั แทนที่ดีของประชากร ตวั แทนทีด่ ขี องประชากรได้มาโดยวิธีการสุ่มตัวอยา่ ง และตวั แทนที่ดขี อง ประชากรเรยี กวา่ กลุม่ ตัวอยา่ ง 15
สถิติอ้างอิงสามารถแบง่ ออกเปน็ 2 ประเภท 2.1 สถติ มิ ีพารามิเตอร์ (Parametric Statistics) เปน็ วธิ กี ารทางสถติ ทิ จ่ี ะตอ้ งเปน็ ไปตามขอ้ ตกลง เบื้องต้นดังนี้ ข้อมูลต้องอยู่ในระดับช่วงขนึ้ ไป ขอ้ มูลทีไ่ ด้จากกลุ่มตัวอย่างจะต้องมีการแจกแจงเปน็ โค้งปกติ กลุ่มประชากรแตล่ ะกลมุ่ ทน่ี ามาศึกษาตอ้ งมคี วามแปรปรวนเทา่ กันสถิติประเภทนีเ้ ชน่ t-test, Z-test, ANOVA, Regression ฯลฯ 16
2.2 สถติ ไิ รพ้ ารามเิ ตอร์ (Nonparametric Statistics) เปน็ วธิ ีการทางสถิตทิ ี่สามารถนามาใชไ้ ด้โดย ปราศจากขอ้ ตกลงเบอื้ งตน้ สถิตทิ อ่ี ยใู่ นประเภทนี้ เชน่ ไคสแควร์, Median test, Sign test ฯลฯ -เพือ่ บรรยายลักษณะตวั แปรในกลมุ่ ตวั อยา่ งหรอื ประชากร แจกแจงความถี่และค่าร้อยละ เปน็ การแสดงภาพร่วมของข้อมลู ทไ่ี ด้ โดยใชต้ ารางแผนภูมิ วดั แนวโนม้ เขา้ สู่สว่ นกลาง ไดแ้ ก่ คา่ เฉลี่ยเลขคณิต มธั ยฐาน ฐานนยิ ม วัดการกระจายขอ้ มลู ได้แก่ สว่ นเบ่ยี งเบนมาตรฐาน -เพ่ือเปรยี บเทียบหาความแตกตา่ ง เปรยี บเทียบค่าเฉล่ียของกล่มุ ตัวอย่าง 2 กลมุ่ ท่เี ป็นอิสระกัน เปรยี บเทยี บคา่ เฉลย่ี ของกลุ่มตัวอย่าง 2 กล่มุ ทีไ่ ม่เปน็ อสิ ระตอ่ กัน เปรยี บเทียบคา่ เฉลีย่ ของกลุ่มตัวอย่างตั้งแต่ 2 กลุ่มขน้ึ ไป -เพือ่ บรรยายความสมั พันธ์ระหว่างตัวแปร 17
โครงสรา้ งรายงานวจิ ยั กาหนด 3 ส่วน 18 1.สว่ นคานา สว่ นหัวเร่ือง ชื่อรายงงาน ชือ่ ผตู้ ัง้ สถาบนั และสังกดั วนั เดือนปีจัดทา คานา กติ ตกิ รรมประกาศ บทคัดยอ่ สารบัญ ตาราง แผนภาพ
2.สว่ นเนอ้ื หา เน้ือเรื่องของวิทยานพิ นธ์ ภาคนพิ นธ์ โดยทั่วไปท่ีนิยมกนั อย่างแพร่หลายประกอบ ด้วยบทตา่ ง ๆ 5 บท คือ บทที่ 1 บทนา 1.2 วัตถุประสงคข์ องการวิจยั (Objectives) คอื ขอ้ ความท่ีผู้ทาวทิ ยานิพนธ์ ภาคนพิ นธ์ กาหนดเป็นขอ้ ๆ ว่า ตอ้ งการค้นหาขอ้ เท็จจรงิ ใดบา้ ง 1.3 ความสาคัญของการวจิ ัย (Significance of the research) คอื ข้อความทีช่ ้ีใหเ้ ห็นว่าเมอ่ื ทาวจิ ัยแล้วเสรจ็ ข้อ ค้นพบสามารถนาไปใชป้ ระโยชนใ์ นลกั ษณะใดอยา่ งไร 1.4 ขอบเขตของการวจิ ัย (Scope of study) เปน็ การกาหนดหรือจากดั วงให้ ชัดเจนว่า การวจิ ัยจะกระทากบั ใคร หรือส่ิงใด 19
1.5 กรอบแนวคิดในการวจิ ยั (Conceptual Framework) คอื แนวคิดสาคัญ หลกั การสาคัญ ท่กี าหนดข้นึ จากการประมวลมาจากทฤษฎแี ละงานวิจัยทเี่ ก่ียวข้อง 1.6 สมมุตฐิ านการวจิ ยั (Research hypothesis) คือ ข้อความที่กาหนดขึ้น เพอ่ื คาดคะเนผลการวจิ ัยว่าจะ เป็นลักษณะใด 1.7 ขอ้ ตกลงเบื้องตน้ (Basic assumption) คือ ความคิดพนื้ ฐานบาง ประการท่ผี ูท้ าวทิ ยานิพนธ์ ภาค นิพนธ์ ต้องการทาความเข้าใจกับผอู้ า่ น 1.8 นิยามศัพท์เฉพาะ (Definitions) เปน็ การให้ความหมายคาสาคัญบางคา ทใ่ี ช้ในการวจิ ยั คาเหล่าน้นั มี ความหมายเฉพาะในการวจิ ยั ครั้งน้นั 20
บทที่ 2 เอกสารท่ีเก่ยี วขอ้ ง 2.2 งานวิจยั ท่เี กี่ยวขอ้ ง (Related research) คอื สว่ นทีน่ าเสนอผลงาน วิจยั ท่มี ีผ้ทู ามากอ่ นท้งั งานวจิ ยั ในประเทศและตา่ งประเทศ บทท่ี 3 วธิ ดี าเนนิ การวจิ ัย 3.1 ประชากร คอื หนว่ ยข้อมลู ทกุ หน่วยที่ต้องการศกึ ษา การกลา่ วถงึ ประชากรต้องระบขุ อบเขต จานวนและคุณลกั ษณะของประชากรให้ชดั เจน 3.2 กลมุ่ ตัวอย่าง คอื ส่วนหนงึ่ ของประชากรท่ีจะนามาศกึ ษา ต้องระบุขนาด ของกลุ่มตวั อย่าง วิธีการ และขนั้ ตอนการเลือกกลมุ่ ตัวอย่างอย่างละเอยี ด 3.3 เครือ่ งมอื ทใี่ ชใ้ นการรวบรวมข้อมูล เปน็ การใหร้ ายละเอยี ดเคร่ืองมอื ท่จี ะใช้ ในการเก็บรวบรวม ขอ้ มูล 21
3.4 การเก็บรวบรวมข้อมลู เปน็ การอธบิ ายว่าจะเก็บรวบรวมขอ้ มูลอย่างไร 3.5 การวเิ คราะห์ข้อมลู เป็นการอธบิ ายถึงวิธีการจัดกระทากับขอ้ มูลท่ไี ด้มา เพ่อื ให้ ได้คาตอบตามวตั ถุประสงคข์ องการวิจัย บทท่ี 4 ผลการวเิ คราะห์ขอ้ มูล เปน็ บททนี่ าเสนอผล การวิเคราะห์ข้อมลู ในรปู ตารางหรือในรูปอนื่ ให้สอดคลอ้ ง กับวตั ถุประสงค์ของการวิจยั มกี าร แปลความหมายผลการวิเคราะห์ขอ้ มลู ทัง้ นี้ ตอ้ งไม่แสดงความคิดเห็น หรอื อภปิ รายผล ประกอบการแปลความหมาย 22
บทท่ี 5 สรปุ ผลการวจิ ยั อภิปรายผล และข้อเสนอ บทที่นาเสนอผลการวิจยั โดยสรปุ ประเด็นสาคญั ให้ เหตุผลหรืออา้ งองิ ประกอบ และเสนอแนะเพ่อื ประโยชนใ์ นการนาไปใช้หรอื การวิจัยตอ่ 3.ส่วนสนบั สนนุ บรรณานกุ รม ภาคผนวก 23
เครือ่ งมือที่ใช้ในการวจิ ัยจาแนกได้ 2 ประเภท ดังน้ี 1. เคร่อื งมอื ทใ่ี ชส้ าหรบั การทดลอง (Treatment) เป็นเคร่อื งมือท่ผี วู้ ิจัยสร้างขน้ึ เพื่อนาไปใชใ้ น การวิจัย ตวั อยา่ ง เชน่ การทดลองเปรียบเทยี บผลสัมฤทธท์ิ างการเรยี นของนกั ศึกษาระดบั ปรญิ ญาตรโี ดยใช้ แบบบรรยายและใชช้ ุดการสอนแบบศนู ย์การเรียน สือ่ ในการวจิ ยั ในท่ีนค้ี อื ชดุ การสอน ซึง่ ในทางการศกึ ษา เครอื่ งมอื ในการวิจัยมมี ากมาย เช่น ชุดการสอน แบบเรียน แบบฝกึ ทักษะ ส่ือและอุปกรณ์ต่างๆ เป็นตน้ 2. เคร่อื งมอื สาหรับรวบรวมขอ้ มูล เปน็ เคร่อื งมือที่ผ้วู ิจัยสร้างขึ้นเพ่ือเก็บรวบรวมข้อมูล ซึง่ มี หลายชนดิ แตท่ ่นี ิยมใช้ คอื 2.1 แบบสอบถาม (Questionnaire) 2.2 แบบสัมภาษณ์ (Interview) 24 2.3 แบบสงั เกต (Observation) 2.4 แบบทดสอบ (Test) 2.5 แบบวัดมาตราส่วนประมาณคา่ (Rating Scale)
ซึง่ เครื่องมือท่ใี ชใ้ นการเก็บรวบรวมข้อมลู เหลา่ นี้มีวิธเี กบ็ รวบรวมขอ้ มูล 4 วธิ ี (ลว้ น สาย) 1. การสอบถาม เปน็ วธิ ีการในการเก็บรวบรวมข้อมูลโดยใชเ้ ครอ่ื งมือคือ แบบสอบถาม แบบวดั มาตราส่วน ประมาณคา่ เพอื่ ชว่ ยใหไ้ ดข้ ้อมูลเกย่ี วกบั ความรูส้ ึก ความคดิ เหน็ ความจรงิ เจตคติ เป็นต้น 2. การสังเกต เป็นวิธีการในการเกบ็ รวบรวมขอ้ มูลโดยใชเ้ คร่ืองมอื คอื แบบสงั เกต เพอ่ื ชว่ ยใหไ้ ดข้ อ้ มูลเก่ยี วกับ พฤติกรรมต่างๆ ลกั ษณะการปฏิบัติ สภาพแวดล้อม บรรยากาศการจัดการเรยี นการสอน เป็นตน้ 3. การสัมภาษณ์ เป็นวธิ ีการในการเกบ็ รวบรวมข้อมลู โดยใช้เครอ่ื งมือคอื แบบสัมภาษณ์ เพ่อื ชว่ ยให้ได้ข้อมลู เกยี่ วกับ ความจรงิ ความคิดเห็น ปญั หา ขอ้ เสนอแนะ ความรู้สกึ เจตคติ เปน็ ตน้ 4. การทดสอบ เป็นวิธีการในการเก็บรวบรวมข้อมูลโดยใชเ้ ครอื่ งมือคอื แบบทดสอบ เพื่อช่วยใหไ้ ดข้ อ้ มลู เกย่ี วกบั ผลการเรียนรู้ ผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี นในรายวชิ าต่างๆ 25
คณุ ภาพของเครื่องมอื ขึ้นอยูก่ บั ลักษณะสาคัญท่ตี อ้ งพิจารณาได้แก่ ความเท่ยี งตรง (Validity) ความ เชอื่ ม่นั (Reliability) ความเป็นปรนัย(Objectivity) อานาจจาแนก (Discrimination)ปฏบิ ัติจรงิ ได้ (Practical) ยุตธิ รรม (Fairness) และประสิทธิภาพ (Efficiency) คุณภาพเคร่อื งมือทีใ่ ชใ้ นการวิจัย ความเทย่ี งตรงหรือความตรง (Validity) เปน็ คุณสมบัตขิ องเคร่อื งมอื ทส่ี ามารถวดั ไดต้ ามวัตถุประสงค์ท่ี ต้องการวดั 26
ความเช่อื ม่ัน (Reliability) เป็นคุณสมบตั ขิ องเครือ่ งมอื วดั ทแ่ี สดงให้ทราบวา่ เครอื่ งมอื น้นั ๆ ใหผ้ ลการวัดที่ คงท่ไี มว่ า่ จะใชว้ ัดก่คี ร้ัง ความยาก (Difficulty) เปน็ คณุ สมบัตขิ องข้อสอบทีบ่ อกใหท้ ราบวา่ ข้อสอบข้อนน้ั มีคนตอบถูกมากหรอื นอ้ ย ถ้ามคี นตอบถูกมากข้อสอบขอ้ นั้นก็งา่ ยและถา้ มีคนตอบถกู นอ้ ยขอ้ สอบข้อน้ันก็ยาก อานาจจาแนก (Discrimination) เป็นคณุ สมบัตขิ องข้อสอบทสี่ ามารถจาแนกผู้เรยี นไดต้ ามความแตกต่าง ของบุคคลว่าใคร เกง่ ปานกลาง อ่อน ใครรอบรู้ – ไม่รอบรู้ โดยยดึ หลักการว่าคนเกง่ จะตอ้ งตอบข้อสอบขอ้ นนั้ ถกู คนไม่เก่งจะต้องตอบผดิ ความเปน็ ปรนยั (Objectivity) หมายถงึ ความชดั เจน ความถกู ตอ้ งตามหลักวชิ าและความเขา้ ใจตรงกนั ซึง่ มีความหมายตรงขา้ มกบั ความเป็นอัตนยั (Subjectivity) ซึง่ หมายถงึ ความยึดถอื ในความคิดเหน็ ความร้สู กึ เหตผุ ลของแต่ละบุคคลเปน็ สาคัญ 27
หนังสืออ้างอิง • จมุ พล สวสั ดยิ ากร หลกั และวธิ ีการวจิ ยั ทางสังคมศาสตร์ กรุงเทพฯ : สวุ รรณภมู ิ 2520. • พจน์ สะเพยี รชยั \"ปรชั ญาและวธิ กี ารทางวิทยาศาสตร\"์ เอกสารเพือ่ การอบรมวิจัยการศึกษา สานักงาน คณะกรรมการการศกึ ษาแห่งชาติ 2517. • มนัส สุวรรณ \"ความรู้พืน้ ฐานเก่ียวกับการวจิ ัย\" เอกสารประกอบการประชมุ ปฏบิ ัติการ เรอื่ ง การวิจัยทาง วิทยาศาสตรแ์ ละสังคมศาสตร์ กองบริการการศกึ ษา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 2535. • วชิ าญ วทิ ยาศยั “แนวทางการวิจัย” การประชุมปฏิบัติการเรื่องการวจิ ยั ทางวิทยาศาสตร์และสังคมศาสตร์ กองบริการการศกึ ษา มหาวิทยาลัยเชยี งใหม่ 2535. • Ary, D. Jacob, L.C. and RaZavieh, A. Introduction to Research in Education. New York : Holt, Rinehart and Winston, 1979. 28
• Borg, W.R. and Gall, M.D. Educational Research : An Introduction. New York : Longman, 1989. • Fox, D.J. The Research Process in Education. New York : Holt, Rinehart and Winston, Inc., 1969. • Kerlinger, F.N. Foundation of Behavioral Research. New York : Holt, Rinehart Winston, Inc., 1973. • Tuckman, B.W. Conducting Educational Research. New York : Harcourt Brace Jovanovich, Inc., 1972. • Van Dalen,D.B. Understanding Educational Research: An Introduction. New York McGraw-Hill Book Company, 1979. • Wise, J.E. and Others. Methods of Research in Education. Boston : D.C. Heath and Company, 1967. 29
Search
Read the Text Version
- 1 - 29
Pages: