ช้ันมธั ยมศึกษาปี ท่ี ๖ โรงเรียนเทศบาล ๕
ท่มี าของเร่ือง ไตรภูมิพระร่วง มีหลายช่ือเรียกได้แก่ \"ไตรภูมิพระร่วง\" \"เตภูมกิ ถา\" \"ไตรภูมิกถา\" \"ไตรภูมิโลกวนิ ิจฉัย\" และ \"เตภูมโิ ลกวนิ ิจฉัย\"สมเด็จพระเจ้า บรมวงศ์เธอ กรมพระยาดารงราชานุภาพ ทรงเปลยี่ นชื่อหนังสือเล่มนีเ้ ป็ น ไตรภูมิพระร่วง เพอื่ เฉลิมพระเกยี รติพระร่วงจ้าแห่งกรุงสุโขทัยให้คู่กับหนังสือ สุภาษติ พระร่วง
ทีม่ าของเร่ือง หอพระสมุดวชิรญาณได้ต้นฉบับไตรภูมพิ ระร่วงมาจากจงั หวดั เพชรบุรี เป็ นใบลาน ๑๐ ผูก จารด้วยอกั ษรขอมในสมัยสมเดจ็ พระเจ้ากรุงธนบุรี พระมหาช่วย วดั ปากน้า (วดั กลาง จังหวดั สมุทรปราการ ในปัจจุบัน) เป็ นผู้จาร หอพระสมุดวชิรญาณ ได้ถอดความออกเป็ นอกั ษรไทย โดยมิได้แก้ไขถ้อยคาไป จากต้นฉบับเดิม ไตรภูมิพระร่วงเป็ นวรรณคดีพุทธศาสนาท่ีแต่งในสมัยสุโขทัย ประมาณ พ.ศ. ๑๘๘๘ โดยพระราชดาริในพระยาลไิ ท รวบรวมจากคัมภีร์ใน พระพทุ ธศาสนา
ผู้แต่ง พระมหาธรรมราชาท่ี ๑ (พญาลไิ ท) เป็ นกษตั ริย์องค์ท่ี ๖ แห่งกรุงสุโขทัย ขึน้ ครองราชย์ต่อจากพญางวั นาถม จาก หลักฐานในศิลาจารึกวดั มหาธาตุ พ.ศ. ๑๙๓๕ หลักท่ี ๘ ข. ค้นพบเมอื่ พ.ศ. ๒๔๙๙ เมือ่ พญาเลอไทสวรรคต ใน พ.ศ. ๑๘๘๔ พญางวั นาถมได้ขนึ้ ครองราชย์ ต่อมาพญาลไิ ทยกทัพ มาแย่งชิงราชสมบัติ และขนึ้ ครองราชย์ใน พ.ศ. ๑๘๙๐ ทรงพระ นามว่า พระเจ้าศรีสุริยพงสรามมหาธรรมราชาธิราช ในศิลา จารึกมักเรียกพระนามเดมิ ว่า พญาลิไท หรือเรียกย่อว่า พระมหาธรรมราชาที่ ๑ เสด็จสวรรคตในปี พ.ศ. ๑๙๑๑
ผู้แต่ง พญาลไิ ท ทรงเลือ่ มใสในพระพทุ ธศาสนา ทรงอาราธนาพระเถระชาวลังกา เข้ามาเป็ นสังฆราชในกรุงสุโขทัย ได้สละราชสมบัติออกทรงผนวชทวี่ ดั ป่ ามะม่วง นอกเมอื งสุโขทัยทางทิศตะวนั ตก พญาลไิ ททรงมีความรู้แตกฉานในพระไตรปิ ฎก ทรงสนพระทัยทานุบารุงพระพุทธศาสนาเป็ นอันมาก และทรงพฒั นาบ้านเมอื งให้ เจริญหลายประการ เช่น สร้างถนนพระร่วง ต้ังแต่เมืองศรีสัชนาลยั ผ่านกรุงสุโขทัยไป ถึงเมืองนครชุม (กาแพงเพชร) บูรณะเมอื งนครชุม สร้างเมืองสองแคว (พษิ ณุโลก) เป็ นเมอื งลูกหลวง และสร้างพระพุทธชินราช พระพทุ ธชินสีห์ ท่ีฝี มอื การช่างงดงามเป็ นเย่ียม
ผู้แต่ง พระพุทธชินราช พระพุทธชินสีห์
ผู้แต่ง งานพระราชนิพนธ์ของพญาลไิ ท ได้แก่ ไตรภูมพิ ระร่วงหรือเตภูมิกถาศิลา จารึกวดั ป่ ามะม่วงและศิลาจากรึกวดั ศรีชุม เป็ นหลักฐานทางประวตั ิศาสตร์ กล่าวถึง เหตุการณ์และขนบธรรมเนียมประเพณตี ่างๆการสร้างวดั พระศรีรัตนมหาธาตุ การ ผนวชท่ีวดั ป่ ามะม่วง เป็ นต้น
จุดมุ่งหมายในการแต่ง ๑. เพอื่ เทศนาโปรดพระมารดา เป็ นการเจริญธรรมกตัญญู ๒. เพอื่ ใช้ส่ังสอนประชาชนให้มคี ุณธรรม เข้าใจพทุ ธศาสนาและ ช่วยกันธารงพระพุทธศาสนา
ลกั ษณะคาประพนั ธ์ ไตรภูมพระร่วง แต่งเป็ นร้อยแก้ว ประเภทความเรียงสานวนพรรณนา เช่น \" เปรตลางจาพวก ตัวเขาใหญ่ ปากเขาน้อยเท่ารูเข็มน้ันกม็ ี เปรตลาง จาพวกผอมหนักหนา เพอื่ อาหารจะกนิ บมิได้ แม้ว่าจะขอดเอาเนือ้ น้อย ๑ กด็ ี เลือด หยด ๑ กด็ ี บมไิ ด้เลย เท่าว่ามแี ต่กระดูกและหนังพอกกระดูกภายนอกอยู่ไส้ หนัง ท้องน้ันเห่ียวติดกระดูกสันหลงั แล ตาน้ันลึกและกลวงดังแสร้งควกั เสีย ผมเขาน้ัน ยุ่งรุ่ยร่ายลงมาปกปากเขา มาตรว่าผ้าร้ายน้อยหน่ึงก็ดี และจะมปี กกายเขาน้ันก็หา มไิ ด้เลย เทียรย่อมเปลือยอยู่ ช่ัวตนเขาน้ันเหม็นสาบพงึ เกลยี ดนักหนาแลเขาน้ัน เทียรย่อมเดือดเนือ้ ร้อนใจเขาแล เขาร้องไห้ร้องครางอยู่ทุกเมื่อแล เพราะว่าเขาอยากอาหารนักหนาแล \"
เนือ้ หาไตรภูมพิ ระร่วง ไตรภูมิพระร่วง มเี นือ้ เร่ืองเร่ิมต้นด้วยคาถานมสั การเป็ นภาษาบาลี มบี านแพนกบอกช่ือผู้แต่ง วนั เดอื นปี ที่แต่ง ชื่อคมั ภีร์ต่าง ๆ บอกจุดมุ่งหมายในการ แต่ง แล้วจงึ กล่าวถงึ ภูมทิ ้ัง ๓ คาว่า เตภูมิ หรือ ไตรภูมิ แปลว่า สามแดน คอื กามภูมิ รูปภูมิ อรูปภูมิ ท้ัง ๓ ภูมิ แบ่งออกเป็ น ๘ กณั ฑ์ (กัณฑ์ = เร่ือง,หมวด,ตอน) แสดงให้เห็นความเปล่ยี นแปลงของสรรพส่ิง ความไม่แน่นอนท้ังมนุษย์ และสัตว์รวมท้ังสิ่งไม่มีชีวติ เช่น ภูเขา แม่นา้ แผ่นดนิ ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ความเปลี่ยนแปลงนีก้ วไี ทยเรียกว่า “ อนิจจลักษณะ ”
เนือ้ หาไตรภูมพิ ระร่วง ๑. กามภูมิ คอื โลกของผู้ท่ียังติดอยู่ในกามกเิ ลส แบ่งออกเป็ น ๒ ฝ่ าย ได้แก่ สุคติภูมิ และอบายภูมิ ๑.๑ สุคติภูมิ ได้แก่ ๑.๑.๑ มนุสสภูมิ (โลกมนุษย์ )
เนือ้ หาไตรภูมพิ ระร่วง ๑.๑.๒ สวรรคภูมิ (ฉกามาพจรภูมิ) ๑ จาตุมหาราชิกา ๒ ดาวดงึ ส์ ๓ ยามา ๔ ดุสิต ๕ นิมมานรดี ๖ ปรนิมมิตวสวตั ดี
เนือ้ หาไตรภูมพิ ระร่วง ๑.๒ อบายภูมิ ได้แก่ ๑.๒.๑ นรกภูมิ (มี ๘ ขุม )
เนือ้ หาไตรภูมพิ ระร่วง ขุมที่ ๑ สัญชีพนรก เป็ นโจรปล้นทาลายทรัพย์สิน ผู้มีอานาจข่มเหงผู้ ขุมท่ี ๒ กาฬสุตตะนรก ต่าต้อยกว่า ขุมท่ี ๓ สังฆาฏนรก ฆ่านักบวช ภิกษุ สามเณร ผู้ทุศีล อลชั ชี เป็ นพรานนก พรานเนือ้ หรือพวกที่ชอบทรมาน ขุมที่ ๔ โรรุวะนรก เบียดเบียนสัตว์ที่ตนใช้ประโยชน์ เช่น ววั ควาย โดยขาดความเมตตาสงสาร พวกเมาสุราอาละวาด ทาร้ายร่างกาย พวกเผาไม้ ทาลายป่ า พวกกกั ขังสัตว์ไว้ฆ่า ชาวประมง
เนือ้ หาไตรภูมพิ ระร่วง ขุมที่ ๕ มหาโรรุวะนรก พวกลกั เครื่องสักการบูชา ขโมยทรัพย์สมบัติ ของพ่อแม่ ครูอาจารย์ หรือภิกษุสามเณร นักบวชต่าง ๆ ขุมที่ ๖ ตาปะนรก พวกเผาบ้านเผาเมอื ง เผาโบสถ์วหิ าร ศาลาการเปรียญ ขุมที่ ๗ มหาตาปะนรก พวกมจิ ฉาทิฏฐิบุคคล เห็นผดิ เป็ นชอบ ไม่รู้จักสิ่งดีมี ประโยชน์ ปฏิเสธเรื่องบุญ เร่ืองบาป ทาแต่ทุจริตกรรม ขุมท่ี ๘ อเวจมี หานร พวกทาบาปหนักที่เป็ นอนันตริยกรรม ได้แก่ ฆ่าบดิ า มารดา ฆ่าพระอรหันต์ ทาให้พระพทุ ะเจ้าห้อพระโลหติ ทาสังฆเภท คือ ยุยงให้สงฆ์แตกกัน พวกทาลายพระพุทธรูป
เนือ้ หาไตรภูมพิ ระร่วง ๑.๒.๒ ดิรัจฉานภูมิ
เนือ้ หาไตรภูมพิ ระร่วง ๑.๒.๓ เปรตภูมิ
เนือ้ หาไตรภูมพิ ระร่วง ๑.๒.๔ อสูรกายภูมิ
เนือ้ หาไตรภูมพิ ระร่วง ๒. รูปภูมิ เป็ นดนิ แดนของพรหมที่มรี ูป มี ๑๖ ช้ัน (โสฬสพรหม ) ๒.๑ พรหมปาริสัชชาภูมิ ดินแดนของผู้สาเร็จปฐมฌาณข้ันต้น ๒.๒ พรหมปุโรหิตาภูมิ ดินแดนของผู้สาเร็จปฐมฌาณข้ันกลาง ๒.๓ มหาพรหมาภูมิ ดนิ แดนของผู้สาเร็จปฐมฌาณข้ันสูง ๒.๔ ปริตตาภาภูมิ ดนิ แดนของผู้สาเร็จทุติยฌาณข้นั ต้น ๒.๕ อัปปมาณาภาภูมิ ดินแดนของผู้สาเร็จทุติยฌาณข้นั กลาง ๒.๖ อาภัสสราภูมิ ดนิ แดนของผู้สาเร็จทุติยฌาณข้นั สูง ๒.๗ ปริตตสุภาภูมิ ดนิ แดนของผู้สาเร็จตติยฌาณข้ันต้น ๒.๘ อปั ปมาณสุภาภูมิ ดนิ แดนของผู้สาเร็จตติยฌาณข้นั กลาง
เนือ้ หาไตรภูมพิ ระร่วง ดนิ แดนของผู้สาเร็จตติยฌาณข้ันสูง ดินแดนของผู้สาเร็จจตุตฌาน มผี ลไพบูลย์ ๒.๙ สุภกณิ หาภูมิ พ้นจากการทาลายของนา้ ลม ไฟ ๒.๑๐ เวหัปปผลาภูมิ ดินแดนของพรหมไร้นาม มรี ่างกายสง่างาม ดินแดนของพระอรหันต์ข้นั อนาคามี ๒.๑๑ อสัญญสี ัตตาภูมิ เคยเป็ นสาวกของพระพทุ ธเจ้า ๒.๑๒ อวหิ าภูมิ ดินแดนของพรหมผู้ไม่เดือดร้อนท้ังกาย วาจา ใจ เพราะสามารถระงับนิวรณ์ได้ ๒.๑๓ อตัปปาภูมิ แดนของผู้เห็นสภาวธรรมแจ้งชัด แดนของพรหมผู้เห็นธรรมแจ่มแจ้ง ๒.๑๔ สุทัสสาภูมิ แดนของพรหมที่มคี ุณสมบัติมากพอจะ ๒.๑๕ สุทัสสีภูมิ นิพพานได้ ๒.๑๖ อกนิฎฐาภูมิ
เนือ้ หาไตรภูมพิ ระร่วง ๓. อรูปภูมิ เป็ นดนิ แดนของพรหมที่ไม่มรี ูป มีแต่จิตหรือวญิ ญาณ เป็ นพรหมท่ีอุบัติขึน้ เพราะเหตุแห่งการบาเพญ็ อรูปฌานกุศล โดยใช้ส่ิง ท่ีเป็ นอรูป คือไม่มีรูปเป็ นเครื่องเพ่งอารมณ์ แล้วฌานท่ีบังเกดิ ขึน้ เรียกว่าอรูปฌาน เมื่อตายลงในขณะฌานไม่เสื่อมย่อมบังเกดิ ในอรูปพรหมภูมิ ๓.๑ อากาสานัญจายตนภูมิ ๓.๒ วญิ ญาณญั จายตนภูมิ ๓.๓ อากญิ จญั ญายตนภูมิ ๓.๔ เนวสัญญานาสัญญายตนภูมิ
เนือ้ หาไตรภูมพิ ระร่วง ทวปี ท่ีมนุษย์อาศัยอยู่มี ๔ ทวปี ได้แก่ ๑. อุตรกุรุทวปี อยู่ทางทิศเหนือของเขาพระสุเมรุ มนุษย์ท่ีอาศัยอยู่ ในทวปี นี้ มีลักษณะใบหน้าเป็ นรูป ๔ เหลี่ยม รักษาศีล ๕ เป็ นนิจ มอี ายุ ประมาณ ๑,๐๐๐ ปี เป็ นหนุ่มสาวอยู่เสมอ อาศัยอยู่ตามโพรงไม้ ไม่ต้องทางาน ใด ๆ แต่งตัวสวยงาม มีกบั ข้าวและท่ีนอนเกิดขนึ้ ตามใจปรารถนา
ความสขุ ในอตุ รกรุ ทุ วีป อุตรกรุ ทุ วีป อมรโคยานทวีป เขาพระสเุ มรุ บรุ พวิเทหทวีป ชมพทู วีป คนในอุตรกรุ ุทวีป มอี ายุถึง ๑,๐๐๐ ปี เป็นหนุ่ม(๒๐) เป็นสาว(๑๖)เสมอ เม่ือหิวขา้ วกไ็ ปเกบ็ สญั ชาตสาลี เอาไปตง้ั โชติปาสาน เม่ือขา้ วสุกไฟดบั เอง หญิงเม่ือคลอดลูกจะไมเ่ จบ็ ทอ้ งและไมต่ อ้ งเล้ยี งเอง ใหค้ นอ่ืนชว่ ยเล้ยี งให้ เม่ือเดก็ โตข้ึนกจ็ ะแยกไปอยูก่ บั สงั คมโดยแยกตามเพศของตน และเม่ือตายไป จะไมไ่ ปเกดิ ในอบายภูมิ
เนือ้ หาไตรภูมพิ ระร่วง ทวปี ท่ีมนุษย์อาศัยอยู่มี ๔ ทวปี ได้แก่ ๒. บุรพวเิ ทหทวปี อยู่ทางทิศตะวนั ออกของภูเขาพระสุเมรุ มนุษย์ที่อาศัยอยู่ในทวปี นีม้ ีใบหน้าตอนบนโค้งตัดลงมาเหมือนบาตรมีอายุ ประมาณ ๗๐๐ ปี
เนือ้ หาไตรภูมพิ ระร่วง ทวปี ท่ีมนุษย์อาศัยอยู่มี ๔ ทวปี ได้แก่ ๓. อมรโคยานทวปี อยู่ทางทิศตะวนั ตกของภูเขาพระสุเมรุ มนุษย์ท่ี อาศัยอยู่ในทวปี นีม้ ีใบหน้าวงกลม คล้ายวงพระจนั ทร์ มีอายุ ประมาณ ๕๐๐ ปี
เนือ้ หาไตรภูมพิ ระร่วง ทวปี ท่ีมนุษย์อาศัยอยู่มี ๔ ทวปี ได้แก่ ๔. ชมพูทวปี อยู่ ทางทิศใต้ ของภูเขาพระสุเมรุ คือ มนุษย์โลกนีเ้ อง อายุขัยของมนุษย์ไม่แน่นอนขึน้ อยู่กบั การทาบุญหรือทากรรม แต่ทวปี นีก้ ็ พเิ ศษกว่า ๓ ทวปี คือ เป็ นที่เกดิ ของพระพุทธเจ้า พระจกั รพรรดิราช และพระอรหันต์
เนือ้ หาไตรภูมพิ ระร่วง ไตรภูมิพระร่วงกล่าวถึงกาเนิดของสิ่งมีชีวติ ๔ ประการ คือ ๑. อณั ฑชะ เกดิ จากไข่ เช่น ไก่ ปลา และงู ๒. ชลามพุชะ เกิดจากป่ ุมเปื อกและมีรกห่อหุ้ม ได้แก่ ช้าง ม้า ววั ควาย และคน
เนือ้ หาไตรภูมพิ ระร่วง ๓. สังเสทชะ เกิดจากใบไม้ ต้นไม้ ดอกไม้ ละออง ดอกบัว หญ้าเน่า โลหิต เนือ้ เน่าและเหงื่อไคลและที่เปี ยกชื้น ได้แก่ หนอน แมลง บุ้ง ริ้น ยุง คนท่ี เกิดแบบนีจ้ ะไม่ได้เกิดในครรภ์มารดา หรือถ้าเกิดในครรภ์กจ็ ะไม่มีรกห่อหุ้ม แต่เมื่อเกดิ มาแล้วก็เลก็ เป็ นทารกแล้วค่อยๆ เจริญวยั ขึน้ เป็ นปกติ
เนือ้ หาไตรภูมพิ ระร่วง ๔. อุปปาติกะ เกดิ ขนึ้ เองแล้วโตเต็มที่ ไม่เติบโตขนึ้ ท่ีละน้อยเหมือน สามพวกแรก ได้แก่ สัตว์นรก เทวดา พรหม เทวดาซ่ึงลงมาเกดิ เป็ นมนุษย์ผู้มี บุญใหญ่มกั มกี าเนิดเป็ นอุปาติกะ เช่น พระยาลวจังกราช กษตั ริย์องค์แรกแห่ง เมืองเชียงแสน แคว้นโยนกแต่เดิมเป็ นเทวดา เมื่อได้รับบัญชาให้ลงมาเป็ น กษัตริย์กล็ งมาเกิดทันทีที่ลงมาถึงโลกมนุษย์กโ็ ตเป็ นหนุ่ม
เนือ้ หาไตรภูมพิ ระร่วง คัมภีร์พรหมจินดากล่าวถงึ อาหารแพ้ท้องว่า ถ้ามารดาอยากกินมจั ฉะมังสา เนือ้ ปลา และสิ่งของสดคาว ท่านว่าสัตว์นรก มาปฏิสนธิถ้ามารดาอยากกินนา้ ผงึ้ น้าอ้อย นา้ ตาล ท่านว่ามาแต่สวรรค์มาเกดิ ถ้ามารดาอยากกินสรรพผลไม้ ท่านว่าดิรัจฉานมาปฏิสนธิ ถ้ามารดาอยากกินดนิ ท่านว่าพรหมลงมาปฏิสนธิ ถ้ามารดาอยากกินส่ิงเผด็ ร้อน ท่านว่ามนุษย์มาปฏิสนธิ
เนือ้ หาไตรภูมพิ ระร่วง ลูกที่เกิดมา แบ่งออกเป็ น ๓ ประเภท คอื ๑. อภิชาตบุตร เฉลียวฉลาด นักปราชญ์ รูปงาม ม่งั มี มยี ศถาบรรดาศักด์ิ มีกาลงั ย่งิ กว่าพ่อแม่ ๒. อนุชาตบุตร มคี วามรู้ รูปโฉม และกาลังเท่ากบั พ่อแม่ ๓. อวชาตบุตร ลูกท่ีถ่อยกว่าพ่อแม่ทุกประการ
ผริ ูปอนั จะเกิดเป็นชายกด็ ี หญิงกด็ ี เกิดมีเป็น อาิิ เกิดเป็น กลละ น้นั
โดยใหญ่แต่ละวนั แลน้อย คร้ัน ๗ วนั เรียกว่า อมั พทุ ะ คร้ัน ๗ วนั วนั ขึน้ ดงั่ ตะกวั่ เชื่อมอยู่ในหม้อ เรียกว่า เปสิ
ฆนะ น้ันค่อยใหญ่ไปทุกวนั คร้ัน ๗ วนั เป็ นตุ่มออกห้าแห่ง ดงั หูดเรียกว่า เบญจสาขาหูด
เบญจสาขาหูด เป็ นมอื ๒ อนั เป็ นตนี ๒ อนั เป็ นหัวน้ันอนั หน่ึง
แลแต่น้ันค่อยไป เบอื้ งหน้า ทุกวนั คร้ัน ๗ วนั เป็ นฝ่ ามือ เป็ นนิว้ มอื นิว้ ตนี
คารบ ๔๒ จงึ เป็ นขน เป็ นเลบ็ ตนี เลบ็ มอื เป็ นเครื่องสาหรับมนุษย์ ถ้วนทุกอนั แล
แลกมุ ารน้ันน่ังกลาง ท้องแม่ แลเอาหลงั มาต่อหลงั ท้องแม่
เมื่อกมุ ารอยใู่ น ิอ้ งแม่น้นั ลาบากนกั หนา กช็ ้ืน และเหมน็ กลิ่นตืด แลเอือน ๘๐ ครอก
อนั ว่าสายดอื แห่งกมุ ารน้ัน กลวงดงั สายก้านบวั อนั มชี ่ือว่าอบุ ล จงอยไส้ดอื น้ัน กลวงขนึ้ ไปตดิ หลงั ท้องแม่
ข้าวนา้ อาหารใดอนั แม่กนิ ไสร้ แลโอชารสน้ันกเ็ ป็ นนา้ ชุ่ม เข้าไปในไส้ดอื น้ันแลเข้าไปในท้องกุมารน้ันแล สะหน่อยๆ แลผู้น้อยน้ันกไ็ ด้กนิ ทุกคา่ เช้าทุกวนั
เบอื้ งหลงั กุมารน้ันต่อหลงั ท้องแม่ แลน่ังยอง อยู่ในท้องแม่ แลกามอื ท้งั สอง...
กมุ ารน้ันอยู่ในท้องแม่บ่ห่อน ได้หายใจเข้าออกเสียเลย บ่ห่อนได้เหยยี ดตนี เหยยี ดมอื ออก ดง่ั เราท่าน ท้งั หลายนีส้ ักคาบเลย
คนผู้ใดอยู่ในท้องแม่ ๖ เดอื น แลคลอดบ่ห่อนจะได้สักคาบ
เมอ่ื จะออกจากท้องแม่ วนั น้ันไสร้ จึงลมกรรมชวาต พดั ให้หัวผู้น้อยน้ันลง มาสู่ท่ีจะออก แลคบั แคบ แอ่นยนั นักหนา
คร้ันออกจากท้องแม่แต่น้ันไป เมอื่ หน้ากมุ ารน้ัน จึงรู้หายใจเข้าออกแล
ผแิ ลคนผู้มาแต่สวรรค์... คร้ันว่าออกมาไสร้ กย็ ่อมหัวเราะก่อนแล
ผคิ นอนั มาแต่นรกกด็ ี แลมาแต่เปรตกด็ ีมนั คานึงถึง ความอนั ลาบากน้ัน คร้ันว่าออกมากร็ ้องไห้แล
น่าสังเกตไหมว่าเหตุใดผู้แต่งจงึ เข้าใจเรื่อง กาเนิดมนุษย์อย่างความคดิ วทิ ยาศาสตร์ จนแทบไม่น่าเชื่อว่าน่ีคอื ผลงานกวโี บราณ
Search