แนวคดิ เกี่ยวกับอตั ราการเกิด ปฏกิ ริ ยิ าเคมี จัดทาํ โดย นาย อนุภทั ร ทองรุง มัธยมศกึ ษาปท ี่5 เลขที่11 เสนอ คุณครู นกแกว แกวคง โรงเรียนโพธิสมั พนั ธพ ทิ ยาคาร
คาํ นํา รายงานเลม นจ้ี ัดทาํ ขึน้ เพอ่ื เปนสว นหนง่ึ ของวิชา เคมีชน้ั มธั ยมศกึ ษาปท่ี 5 โดยมีจุดประสงคเ พื่อการศึกษาผาน หนงั สอื อเิ ล็กทรอนิกส เรอื่ งแนวคดิ เก่ยี วกบั อตั ราการเกดิ ปฏกิ ิริยาเคมีเพื่อเปน ประโยชนต อ การเรียน ทางผูจ ัดทําหวังวาหนังสอื อเิ ลก็ ทรอนกิ สเรอ่ื งแนว คิดเกีย่ วกบั อัตราการเกิดปฏกิ ิรยิ า จะเปน ประโยชนแกผูอานท่ี กาํ ลงั ศกึ ษาหาขอมูลเรื่องนีอ้ ยหู ากมขี อ ผดิ พลาดประการใด ขออภยั มา ณ ท่นี ดี้ วยครบั ผูจดั ทาํ นาย อนุภทั ร ทองรุง
สารบญั
แบบทดสอบกอ น-หลงั เรยี น
แนวคิดเกีย่ วกบั การเกิดปฏกิ ิริยาเคมี การเกิดปฏิกริ ยิ าเคมสี ามารถอธบิ ายไดโ ดยใชท ฤษฎกี ารชน และทฤษฎสี ารเชิงซอ นทถ่ี ูกกระตุน 1. ทฤษฎกี ารชนกัน (Collision Theory) ทฤษฎนี อี้ ธิบายวา “ปฏิกริ ยิ าเคมีจะเกดิ ข้ึนไดกต็ อ เม่อื อนภุ าคของสารตัง้ ตน อาจเปน โมเลกุลอะตอมหรือไอออน กไ็ ด จะตอ งมกี ารเคลอื่ นท่ชี นกนั กอ น” แตมไิ ดหมายความ วา การชนกันของอนภุ าคทกุ ครัง้ จะเกดิ ปฏิกริ ิยา การชนกัน ของอนภุ าคของสารตง้ั ตนจะเกดิ ปฏกิ ิรยิ าไดห รอื ไมข ึน้ อยู กบั ปจจยั ตอไปนี้ 1.1.พลงั งานจลนของอนภุ าคทีเ่ คลอื่ นท่ชี นกัน อนุภาคของสารตั้งตน เม่อื ชนกนั แลวจะเกิดปฏกิ ิริยาไดก็ตอ เม่อื อนุภาคที่ชนกันจะตอ งเคลื่อนทเ่ี รว็ หรือมีพลงั งานจลนส งู คือเมอ่ื ชนกันแลว พลงั งานที่ไดจากการชน จะตอ งสูงพอท่ี ทําใหพ ันธะในสารตง้ั ตน สลาย แลวสรา งพนั ธะใหมเ กิดเปน สารผลติ ภณั ฑไ ด 1.2.ทิศทางการชนของอนุภาค การชนกนั ของ อนุภาคจะเกิดปฏิกิรยิ าได นอกจากน้ขี ้ึนอยกู ับพลังงานจลน ของอนภุ าคแลว ยงั ข้ึนอยูกบั ทิศทางในการชนดว ย เชน ปฏกิ ิริยาระหวา งแกส ไฮโดรเจน (H2) กับไอของไอโอดนี (I2) กลายเปน แกสไฮโดรเจนไอโอไดด (HI) ดังสมการ
ก. การชนกันในทศิ ทางทไี่ มเ หมาะสม ทําใหการชนกันไมเ ปนผล สาํ เรจ็ หรือไมเ กิดปฏกิ ริ ิยา (ไมเกิด HI) ข. การชนกันในทิศทางท่เี หมะสมทาํ ใหก ารชนกนั เปน ผลสาํ เรจ็ (เกิดปฏกิ ิริยาได HI)
1. ปฏกิ ิริยาระหวาง H2O (g) กบั CO (g) ไดผลติ ภณั ฑเ ปน H2(g) และ (g) ตามสมการ H2O (g) + CO (g) H2(g) + CO2(g) รปู แสดงการจัดตวั ของโมเลกุล H2O และ CO2 การชนกนั ในแบบท่ี I ออกซเิ จนใน H2O ชนกับ คารบ อนใน CO ซ่ึงถา มพี ลงั งานสงู พอจะไดเ ปน CO2 และ H2 แสดงวาทศิ ทางของการชนเหมาะสม สามารถ เกิดปฏิกิรยิ าได การชนกันในแบบท่ี II ออกซิเจนใน H2O และ ใน CO ชนกัน ซ่งึ เปนทิศทางของการชนที่ไมเหมาะสม ถงึ แมวาจะมพี ลงั งานสงู ก็จะไมเกดิ ปฏิกริ ยิ า ไมไ ด CO2 และ H2 การชนกนั ในแบบท่ี III ไฮโดรเจนใน H2O ชน กบั คารบ อนใน CO ซงึ่ ก็เปนทิศทางการชนทไ่ี ม เหมาะสมเชน เดียวกนั ดังนั้นการชนแบบนจ้ี ะไมมี
2.CO2+ H2O H2CO3+ HCO3+ กาซ CO2 และ H2O อาจจะ ชนกันไดหลายแบบ ดังในรปู รูปแสดงทศิ ทางการชนกันของ CO2 และ H2O เฉพาะการชนกันในรปู (a) เทา นั้น ถาพลงั งานของโมเลกลุ สูงมากพอ จะทาํ ใหเกิดปฏกิ ิริยาเคมไี ด เนอ่ื งจากมีทิศทางการชนท่ี เหมาะสม สาํ หรับการชนแบบอื่นๆ ถงึ แมว าจะมีพลังงานสูงกไ็ มเ กดิ ปฏิกิรยิ า เพราะทิศทางการชนไมเ หมาะสม จากทฤษฏีการชนกัน พอสรุปไดว า อตั ราการเกดิ ปฏกิ ริ ยิ าเคมเี ปน สดั สวนโดยตรงกบั 1. ความถใี่ นการชนกนั ของอนุภาค 2. เปอรเซ็นตในการชนกนั ของอนภุ าคท่ีเปนผลสําเรจ็ (เกดิ ปฏกิ ริ ิยา) จากขอ มลู ท่ีกลาวมาสรปุ ไดวา ปฏกิ ิริยาเคมเี กิดขึน้ ไดเม่ือ 1. อนุภาคของสารต้งั ตนชนกัน 2. ชนในทศิ ทางท่ีเหมาะสม 3. พลงั งานทเ่ี กดิ จากการชนกันอยางนอ ยทีส่ ดุ ปรมิ าณ หนึ่งซ่งึ เทากบั พลังงานกอกัมมนั ใชส ัญลักษณยอเปน
2. พลงั งานกอกัมมันต (Activation energy) ตามทฤษฎจี ลนทไี่ ดศ กึ ษามาแลว ทอ่ี ณุ หภมู ิหนง่ึ ๆ โมเลกุลของแกสเคลอื่ นทด่ี วยอตั ราเรว็ ตา งกนั ถงึ แมว า จะเปน โมเลกุลของแกสชนดิ เดียวกันก็ตาม โมเลกุลท่เี คลื่อนท่ีชา มี พลงั งานจลนต ํา่ สวนพลงั งานที่เคลอ่ื นที่เรว็ มีพลังงานจลนสงู ถา โมเลกลุ ท่มี าชนกนั มีพลังงานสงู พลังงานทไี่ ดจาการชนกัน กจ็ ะมีคา สงู ดว ย และถา พลังงานทีไ่ ดจ ากการชนมคี าสงู พอที่ ทาํ ใหเกดิ การสลายพนั ธะในสารเดิมแลวมกี ารสรา งพันธะใหม เกดิ เปน ผลิตภณั ฑ แสดงวาการชนกนั นั้นเปนผลสําเร็จ หรือ เกดิ ปฏิกริ ิยา พลังงานจาํ นวนนอยทีส่ ดุ ทไี่ ดจากการชนกันแลว ทําใหเ กิดปฏกิ ริ ิยาไดเรียกวา พลังงานกอ กมั มันตห รอื พลังงาน กระตุน อนุภาคทชี่ นกนั แลวเกดิ พลังงานเทากับหรอื มาก กวา พลงั งานกอกัมมันตจ ะตอ งเปนอนุภาคท่มี พี ลังงานจลนส งู พอเทา นั้น เชน ปฏกิ ิรยิ าระหวาง H2 และ O2 เปน H2O ในสภาวะ ปกตเิ มื่อเราปลอ ยให H2 และ O2 อยูรวมกันจะไมเกิดนาํ้ ขึ้น แต เมื่อเราใหพลงั งานแกระบบโดยการเอาไฟจดุ แกสที่ผสมกันอยู ปฏกิ ริ ยิ ากจ็ ะเกิดทันทีและรวดเรว็ จนเกดิ การระเบดิ เราทราบ มาแลว วาการท่ีโมเลกลุ ของ H2 และ O2 จะชนกันจนเกิด ปฏิกริ ิยาได H2Oน้นั โมเลกลุ ของ H2 และ O2 จะตองชนกันแลวมี พลังงานสงู พอท่จี ะทําใหพนั ธะระหวาง O=Oและ H-H สลายตัว และเกดิ พนั ธะ H-O-Hใหมได หรือชนกันแลว ไดพ ลงั งานเทา กับ หรอื พลังงานกอ กมั มนั ตใ นภาวะปกติโมเลกุลของ H2และ O2 มี พลังงานไมพ อจึงตอ งเติมพลงั งานเขา ไป เมื่อเตมิ พลังงาน เขา ไปกจ็ ะทาํ ใหบ างโมเลกุลมีพลงั งานสงู พอทีจ่ ะชนกนั แลว เกิดปฏิกิรยิ าไดแ ละเนอื่ งจากปฏกิ ิริยาระหวา ง H2 และ O2เปน
เปรยี บเทยี บการเกิดปฏกิ ริ ยิ าเคมีกับการ จากรูป คนทเ่จีดะนิ เทดาินงขขาา มมภภเู เูขขาาไดภายในเวลาที่กาํ หนด ขึน้ อยกู ับองคป ระกอบ 2 ประการ คือ 1.จํานวนคนท่ีแข็งแรงหรอื มพี ลงั งานมา 2. ความสงู ของภูเขา ถาอปุ มาอปุ ไมยจํานวนคนท่ีแขง็ แรงหรอื มพี ลงั งานสูง กบั จํานวนอนภุ าคทม่ี พี ลังงานสูง และความสูงของภูเขากบั คา พลังงานกอ กมั มันตของปฏกิ ริ ยิ านน้ั ชวยใหอธบิ ายไดว า การท่ี บางปฏกิ ิริยาเกดิ ขนึ้ ชา มาก เพราะปฏกิ ิรยิ านน้ั มคี า พลงั งานกอ กมั มันตสงู มาก และอนภุ าคทม่ี พี ลงั งานสูงมีจาํ นวนนอ ย โอกาส ที่จะชนกันเพือ่ ใหไดพลงั งานสงู เทา กบั พลงั งานกอกมั มนั ตจึงมี นอยดวย ในกรณีของปฏกิ ิริยาท่ีเกิดไดเ รว็ ก็อธิบายไดใ น ทาํ นองเดียวกัน สรุปเรือ่ งพลังงานกอกมั มันต ในปฏิกิรยิ าเคมตี า งๆจะมคี าพลงั งานกอกัมมันตไ มเทา กนั จงึ ทําใหอ ัตราการเกดิ ปฏิกิริยาเคมไี มเทากนั ความสัมพนั ธ ระหวางอตั ราการเกิดปฏกิ ิริยาเคมกี บั คา พลงั งานกอ กัมมันตเ ปน ดังนี้
พลงั งานกอกมั มันตส ําหรับปฏิกิรยิ าคายความรอน และดดู ความรอน อนภุ าคท่ชี นกันตอ งมีพลงั งานจลนร วมกนั แลวมี คาอยา งนอ ยเทา กับพลังงานกอกมั มนั ต (activation energy, Ea) ซึ่งเปนพลังงานตาํ่ ท่สี ดุ ท่ีทาํ ใหเกดิ ปฏิกริ ิยาได ถา มีพลงั งาน ตํ่ากวาน้กี ็จะไมเ กดิ ปฏกิ ิริยา แตถา มพี ลังงานจลนห ลงั การชน มากกวา หรือเทา กบั พลงั งานกอกัมมันต อนุภาคของสารตั้งตน ทเ่ี ขาชนกนั กจ็ ะรวมตพัวิจการันณเกาดิปเฏปิกนริ ยิสาารA +ปBระกอบ เชงิ ซอนกมั มนั ต (activated c--o---m--->pCle+xD) ซง่ึ สารเชิงซอ นนีจ้ ะอยูต วั ไดเพยี งชัว่ ขณะ หลังจากน้ันจะเปลย่ี นไปเปนสารผลติ ภณั ฑ กราฟแสดงสกาํ าหรเรปับลีย่ นแปลงพลังงานศกั ย -ถา สารผลิตภกณั ) ปฑฏทกิ ่ีเริ กิยิดาคขควานึ้ ายมมครีพวอาลนมังรงอ านนต่ําขก)วปา ฏสกิ าริ รยิ ตา้ังดตดู น (สาร ผลิตภณั ฑเสถยี รกวา สารตั้งตน) ในขณะเกดิ ปฏกิ ิรยิ ากจ็ ะมกี าร คายความรอนควบคไู ปดวย เราจึงเรยี กปฏกิ ิรยิ าชนิดนี้วา ปฏกิ ิริยาคายความรอ น (exothermic reaction) -ถา สารผลติ ภัณฑท เี่ กิดข้ึนมพี ลังงานมากกวา สารตง้ั ตน (สาร ผลติ ภัณฑเสถยี รนอยกวา สารต้ังตน ) ในขณะเกดิ ปฏกิ ิริยากจ็ ะมี การดูดความรอ นควบคไู ปดว ย เราจงึ เรยี กปฏิกริ ยิ าชนิดน้ีวา ปฏิกิรยิ าดูดความรอ น (endothermic reaction) -พลงั งานกอ กัมมนั ตเ ปรียบเสมือนผนังกน้ั อนุภาคทม่ี ีพลงั งานตํา่ กวาพลังงานกอ กมั มันตไมใหเกิดปฏกิ ิรยิ า ในปฏกิ ริ ิยาทวั่ ๆ ไป
3. ทฤษฎสี ารเชิงซอนที่ถูกกระตนุ (Activated Complex Theory) ทฤษฎีน้ีอธบิ ายวาอนภุ าคของสารไมใ ชท รงกลมตนั แต อนุภาคมีกลุมหมอกของอิเล็กตรอนหอหุม อยู เมื่ออนุภาคเคลอื่ นทีเ่ ขา มาใกลก นั ในระยะทพ่ี อเหมาะหรอื ชนกัน กลมุ หมอกของอิเล็กตรอนก็ จะถกู กระทบกระเทอื นทําใหเ กิดการเปลีย่ นแปลงภายในอนภุ าคของ สารตั้งตน คอื พันธะเคมีของสารต้งั ตนจะออนลงและยืดยาวออกไป กวาเดมิ และเรม่ิ มพี ันธะอยางออ นเกิดขน้ึ ระหวา งคอู ะตอมท่ีเหมาะสม ซง่ึ ขณะน้ีสารตงั้ ตน จะรวมตัวกนั กลายเปนสารชนดิ หนง่ึ ทีม่ ีพลังงาน สูงกวา พลังงานของสารตัง้ ตนและสารผลิตภัณฑ เรยี กสารน้วี าสาร เชงิ ซอ นท่ีถกู กระตุน (Activated Complex) เปนสารท่ีไมอ ยูตัว (Unstable) มีอายุ สน้ั พรอมทีจ่ ะเปล่ยี นเปนสารผลิตภณั ฑห รอื กลับคืนเปนสารตัง้ ตน อยา งเดิมก็ไดเ มอ่ื สารเชิงซอนทถ่ี ูกกระตนุ สลายตัวกลายเปน สาร ผลติ ภัณฑ พันธะเกาก็จะถกู ทาํ ลายโดยสน้ิ เชิงพนั ธะใหมกจ็ ะถกู สรา ง ข้ึนมาแทนท่เี นื่องจากสารเชงิ ซอ นท่ถี กู กระตนุ อยใู นสภาวะไมเ สถยี ร และมรี ะดับพลงั งานสูงมาก (สงู กวาพลงั งานสารตั้งตน และผลติ ภัณฑ) เราจึงนยิ มเรียกสภาวะเชนนวี้ า สภาวะแทรนซิชัน (Transition State) เพราะฉะน้ันอนภุ าคของสารตั้งตน จะชนกนั แลวเกิดปฏิกิรยิ าได อนภุ าคของสารตง้ั ตน จะตอ งมีพลังงานไมตาํ่ กวา พลงั งานของสาร เชิงซอนท่ีถูกกระตนุ เชน เมอ่ื A2 ทาํ ปฏกิ ิริยากับ B2 กลายเปน 2AB โมเลกลุ A2 และ B2 จะเคลอ่ื นท่เี ขา ใกลก ันในระยะที่พอเหมาะหรือชน กัน ถาการชนกันไดพลงั งานเทา กบั หรือมากกวา พลงั งานกอ กมั มันตโ มเลกุล A2และโมเลกุล B2 ก็จะรวมตวั กันกลายเปน สาร เชิงซอนที่ถกู กระตุนท่ีมีพลังงานศกั ยสูงกวา สารตงั้ ตน และสาร ผลิตภณั ฑ จากน้นั สารเชิงซอ นท่ีถูกกระตนุ กจ็ ะสลายกลายเปน สาร ผลติ ภัณฑตอไป
Ea = พลงั งานกอ กัมมนั ต Er = พลังงานของสารตัง้ ตน Ep = พลังงานของสารผลติ ภัณฑ Eac = พลังงานของสารเชงิ ซอ นทถี่ ูก กระตนุ ∆E = ผลตางระหวางพลงั งานของสาร ต้งั ตน และสารผลติ ภณั ฑ (หรือพลงั งา จากรูป กอ นเกิดปฏกิ ิรยิ า A2 แลขะองBป2ฏมิกีพิริยลางั )งานศกั ยค า หนง่ึ เมอ่ื A2 และ B2 เขา ใกลก ันหรือชนกนั แลว มีพลังงานศักย เพิ่มขน้ึ อยางนอยเทากบั พลังงานกอกมั มนั ต (Ea) หรอื มี พลงั งานศกั ยอ ยา งนอยเทา กบั Eac A2 และ B2 ก็จะรวมตวั กนั กลายเปนสารเชิงซอ นทถ่ี กู กระตนุ แลวกลายเปน สาร ผลติ ภัณฑ ทัง้ สารตั้งตนและสารผลติ ภัณฑมีพลงั งานศักย นอ ยกวาของสารเชิงซอ นท่ีถูกกระตุน สว นสารผลติ ภณั ฑ ที่เกดิ ข้นึ อาจมพี ลงั งานศกั ยมากกวา หรอื นอ ยกวาสาร ตงั้ ตน กไ็ ดขน้ึ อยกู ับขนิดของปฏิกริ ยิ า จะเห็นไดวา การชน กันหรอื เขาใกลกันของ A2 และ B2ไดพ ลังงานไมเ ทากับคา พลังงานกอ กัมมนั ต (Ea) A2และ B2 จะไมร วมตัวกันเปน สาร เชิงซอนที่ถกู กระตนุ ไมม กี ารสลายพนั ธะในสารเดมิ และ เกดิ พนั ธะใหม ก็จะไมเกิดสาร AB หรอื ไมเกดิ ปฏิกริ ิยา นน่ั เอง
ในปฏกิ ิรยิ าตางๆจะมคี าพลังงานกอ กัมมันตไมเทา กนั จึง ทาํ ใหอัตราการเกดิ ปฏิกริ ิยาไมเทา กนั ความสมั พันธร ะหวา ง อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมีกบั คาพลงั งานกอ กัมมนั ตเปน ดงั นี้ 1. ถา พลังงานกอกัมมนั ตมคี านอ ยปฏิกิรยิ าเคมีจะ เกดิ เร็ว 2. ถา พลงั งานกอ กัมมนั ตม คี ามาก ปฏิกิรยิ าเคมีจะเกิดชา
จากรูป พลงั งานกอ กมั มันต (Ea)ของรูป ก.ตา่ํ กวารูป ข. แสดงวา อัตราการ เกดิ ปฏกิ ิรยิ า X2 + Y2 → 2XY (ตามรปู ก) มีคามากกวา อัตรา การเกิดปฏิกริ ยิ า A2 + B2 → 2AB (ตามรปู ข) หรือปฏกิ ริ ยิ า X2+Y2→ 2XY เกดิ เร็วกวาปฏิกิริยา A2 + B2 → 2AB นนั่ เอง ตามทฤษฎกี ารชนกัน ทฤษฎีของสารเชงิ ซอนท่ถี ูก กระตนุ และคาพลังงานกอกมั มนั ต สามารถสรุปไดวา อัตราการ เกิดปฏกิ ริ ิยาเคมขี ึ้นอยูก ับ 1. ความถี่ในการชนกันของอนภุ าค ถา มคี วามถสี่ ูงกวา ปฏกิ ริ ยิ า จะเกดิ เร็วกวา 2. จาํ นวนอนภุ าคทีม่ พี ลงั งานสงู ถามมี ากปฏิกริ ิยาจะเกดิ เร็ว ถา มนี อ ยปฏิกริ ยิ าจะเกดิ ชา 3. คา พลังงานกอกมั มันต ถามีคา มากปฏกิ ริ ิยาจะเกดิ ชา แตถา มี คานอ ยปฏิกริ ยิ าจะเกิดเร็ว
Search
Read the Text Version
- 1 - 16
Pages: