Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore อนุภัทร 11

อนุภัทร 11

Published by Anuphat Tongrung, 2020-09-20 11:18:10

Description: อนุภัทร 11

Search

Read the Text Version

แนวคิดเก่ียวกบั อตั ราการเกิด ปฏิกริ ยิ าเคมี จดั ทาโดย นาย อนภุ ทั ร ทองรุง่ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 5 เลขท่ี11 เสนอ คณุ ครู นกแกว้ แกว้ คง โรงเรยี นโพธิสมั พนั ธพ์ ทิ ยาคาร

คำนำ รายงานเลม่ นีจ้ ดั ทาขนึ้ เพ่ือเป็นสว่ นหน่งึ ของวชิ าเคมีชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 5 โดยมีจดุ ประสงคเ์ พ่ือการศกึ ษาผา่ นหนงั สอื อิเลก็ ทรอนิกส์ เรอ่ื งแนวคิดเก่ียวกบั อตั ราการเกิดปฏิกิรยิ าเคมี เพ่ือเป็นประโยชนต์ อ่ การเรยี น ทางผจู้ ดั ทาหวงั วา่ หนงั สอื อิเลก็ ทรอนิกสเ์ ร่ืองแนวคดิ เก่ียวกบั อตั ราการเกิดปฏิกิรยิ า จะเป็นประโยชนแ์ ก่ผูอ้ ่านท่ี กาลงั ศกึ ษาหาขอ้ มลู เรอ่ื งนีอ้ ย่หู ากมีขอ้ ผิดพลาดประการใดขอ อภยั มา ณ ท่ีนีด้ ว้ ยครบั ผจู้ ดั ทา นาย อนภุ ทั ร ทองรุง่

สำรบญั หน้ำ แบบทดสอบก่อนเรยี น 1-3 ความหมายแนวคดิ เก่ียวกบั อตั ราการเกิดปฏกิ ิรยิ าเคมี 4 พลงั งานก่อกมั มนั ต์ 5-8 ทฤษฎีการชน 9-13 แบบทดสอบหลงั เรยี น 14-16

แบบทดสอบก่อนเรยี น 1 1.ขอ้ ใดกลา่ วถกู ตอ้ งเก่ียวกบั การเกิดปฏิกิรยิ าของสารแตล่ ะปฏิกิรยิ า ก. มีการดดู พลงั งานเขา้ ไปเพ่ือสลายพนั ธะในสารตงั้ ตน้ ข. มีการคายพลงั งานออกมาเพ่ือสลายพนั ธะในสารตงั้ ตน้ ค. มีการดดู พลงั งานเขา้ ไปเพ่ือสรา้ งพนั ธะในสารผลติ ภณั ฑ์ ง. มีการคายพลงั งานออกมาเพ่ือสลายพนั ธะในสารผลิตภณั ฑ์ 2.ปฏิกิรยิ าเคมีจะเกิดขนึ้ ได้ ก็ตอ่ เม่ืออนภุ าคของสารตงั้ ตน้ จะตอ้ งมีการเคล่ือนท่ีชนกนั กอ่ น จาก คากลา่ วขา้ งตน้ เป็นคากลา่ วท่ีเก่ียวขอ้ งกบั ขอ้ ใด ก. ทฤษฎีสารเชงิ ซอ้ นท่ีถกู กระตนุ้ หรอื ทฤษฎีสภาวะแทรนซิชนั ข. ทฤษฎีการชน ค. พลงั งานก่อกมั มนั ต์ ง. กฎอตั รา 3.ขอ้ ใดกลา่ วถกู ตอ้ งท่ีสดุ เก่ียวกบั การชนกนั ของอนภุ าค ก. ในการชนกนั ของอนภุ าคจะทาใหเ้ กิดปฏิกิรยิ าทกุ ครงั้ ข. ในการชนกนั ของอนภุ าคมีโอกาสนอ้ ยครงั้ มากท่ีจะไม่เกิดปฏิกิรยิ า ค. ในการชนกนั ของอนภุ าคบางครงั้ ก็เกิดปฏิกิรยิ า บางครงั้ ก็ไม่เกิดปฏิกิรยิ า ง. ขอ้ มลู ไมเ่ พียงพอ จงึ ไมส่ ามารถสรุปได้

2 4.การชนกนั ของอนภุ าคของสารตตั้ ง้ นจะเกิดปฏิกิรยิ าไดห้ รือไมต่ อ้ งขนึ้ อยกู่ ับปัจจยั ใด ก. พลงั งานจลนข์ องอนภุ าคท่ีเคล่ือนท่ีชนกนั และทิศทางการชนของอนภุ าค ข. พลงั งานศกั ยข์ องอนภุ าคท่ีเคล่ือนท่ีชนกนั และทิศทางการชนของอนภุ าค ค. พลงั งานจลนข์ องอนภุ าคท่ีเคล่ือนท่ีชนกนั และพลงั งานกอ่ กมั มนั ต์ ง. พลงั งานศกั ยข์ องอนภุ าคท่ีเคล่ือนท่ีชนกนั และพลงั งานกอ่ กมั มนั ต์ 5.ในขณะท่ีเกิดสารผลิตภณั ฑ์ พลงั งานศกั ยจ์ ะมีคา่ เป็นอยา่ งไร ก. มีคา่ เพ่มิ ขนึ้ เพ่ือใชใ้ นการสรา้ งพนั ธะใหม่ ข. มีคา่ คงท่ีเพราะในขณะท่ีเกิดสารผลติ ภณั ฑน์ นั้ จะไมม่ ีผลเก่ียวขอ้ งกบั พลงั งาน ค. มีคา่ ลดลงแลว้ จะเปล่ียนไปเป็นพลงั งานจลนเ์ พ่ือใชใ้ นการเคล่ือนท่ีตอ่ ไป ง. มีคา่ เพ่มิ ขนึ้ และลดลงสลบั กนั อยตู่ ลอดเวลา 6.ในขณะท่ีอนภุ าคเคล่ือนท่ีเขา้ มาใกลก้ นั พลงั งานจลนแ์ ละพลงั งานศกั ย์ มีค่าเป็นอยา่ งไร ก. พลงั งานสงู ท่ีสดุ ท่ีอนภุ าคของสารจะตอ้ งมีเพ่ือใหช้ นกนั แลว้ เกิดปฏิกริ ยิ า ข. พลงั งานจลนจ์ ะเพ่มิ ขนึ้ แตพ่ ลงั งานศกั ยจ์ ะลดลง ค. พลงั งานจลนแ์ ละพลงั งานศกั ยม์ ีคา่ ลดลง ง. พลงั งานจลนแ์ ละพลงั งานศกั ยม์ ีคา่ เพ่มิ ขนึ้ 7.พลงั งานกอ่ กมั มนั ต์ คืออะไร ก. พลงั งานสงู ท่ีสดุ ท่ีอนภุ าคของสารจะตอ้ งมีเพ่ือใหช้ นกนั แลว้ เกิดปฏิกริ ยิ า ข. พลงั งานสงู ท่ีสดุ ท่ีอนภุ าคของสารเชิงซอ้ นจะตอ้ งมีเพ่ือใหช้ นกนั แลว้ เกิดปฏิกิรยิ า ค. พลงั งานต่าท่ีสดุ ท่ีอนภุ าคของสารจะตอ้ งมีเพ่ือใหช้ นกนั แลว้ เกิดปฏิกิรยิ า ง. พลงั งานต่าท่ีสดุ ท่ีอนภุ าคของสารเชงิ ซอ้ นจะตอ้ งมีเพ่ือใหช้ นกนั แลว้ เกิดปฏิกิรยิ า

3 8.ในระหวา่ งเกิดสารเชิงซอ้ นท่ีถกู กระตนุ้ (Activated Complex)พนั ธะเคมีของสารตงั้ ตน้ จะมี ลกั ษณะเป็นอยา่ งไร ก. แข็งแรงย่งิ ขนึ้ และมีการสลายพนั ธะเก่า ข. ออ่ นลงและเร่มิ มีการสรา้ งพนั ธะใหมร่ ะหวา่ งคอู่ ะตอม ค. มีความแข็งแรงคงท่ีโดยพนั ธะเกา่ จะคอ่ ยๆ ถกู ทาลายลงเอง ง. ไมส่ ามารถสรุปไดแ้ นน่ อน 9.สารชนิดใดท่ีถือวา่ เป็นสารท่ีมีอายสุ นั้ มาก ก. สารเชิงซอ้ นท่ีถกู กระตนุ้ ข. สารตงั้ ตน้ ค. สารผลิตภณั ฑ์ ง. สารประกอบ 10.จากรูปเป็นกราฟชนิดใด เฉลย 7.ข 8.ข 1.ก 4.ก 9.ค 2.ข 5.ค 10.ค 3.ค 6.ก ก. กราฟแสดงปฏิกิรยิ าดดู ความรอ้ น ข. กราฟแสดงปรมิ าณสารตงั้ ตน้ ค. กราฟแสดงปฏิกิรยิ าคายความรอ้ น ง. กราฟแสดงปรมิ าณสารผลิตภณั ฑ์

4 แนวคดิ เก่ียวกบั อตั ราการเกิดปฏิกิรยิ าเคมี นกั วิทยาศาสตรเ์ ช่ือวา่ ในการเกิดปฏิกิรยิ าเคมีอนภุ าคของสารตง้ั ตน้ ซง่ึ อาจ เป็น โมเลกลุ อะตอม หรอื ไอออนจะตอ้ งชนกนั ถา้ การชนกนั ทกุ ครงั้ ทาใหเ้ กิดปฏิกิรยิ า เคมี จะมีผลทาใหป้ ฏิกิรยิ าเคมีเกิดขนึ้ ไดเ้ รว็ แต่จาการทดลองพบว่า การชนกนั ของ อนภุ าค ไม่สามารถทาใหเ้ กิดปฏิกิรยิ าทกุ ครง้ั มีเพยี งบางครงั้ เทา่ นน้ั ท่ีมีปฏิกิรยิ า เกิดขนึ้ จากทฤษฎีจลน์ อธิบายไดว้ ่า ณ อณุ หภมู หิ น่งึ โมเลกลุ ของแก๊สชนิดเดียวกนั เคล่ือนท่ีดว้ ยอตั ราเรว็ แตกต่างกนั โมเลกลุ ท่ีเคล่ือนท่ีชา้ จะมีพลงั งานจลนต์ ่า ส่วน โมเลกลุ ท่ีเคล่ือนท่ีเรว็ จะมีพลงั งานจลนส์ งู ถา้ โมเลกลุ ท่ีมีพลงั งานจลนส์ งู หรอื มี อตั ราเรว็ สงู ชนกนั พลงั งานท่ีเกิดจากการชนก็จะมีค่าสงู ดว้ ย ถา้ มีพลงั งานสงู พอก็จะ เกิดการสลายพนั ธะในสารตง้ั ตน้ แลว้ สรา้ งพนั ธะใหมข่ นึ้ เป็นสารผลิตภณั ฑซ์ ง่ึ ก็คือ การเกิดปฏิกิรยิ าเคมี แต่ถา้ โมเลกลุ ท่ีมีพลงั งานจลนต์ ่าเกิดการชนกนั และพลงั งานมี ค่าไมส่ งู พอก็จะ ไม่เกิดปฏิกิรยิ าเคมีเกิดขนึ้

5 อนภุ าคท่ีชนกนั ตอ้ งมีพลงั งานจลนร์ วมกนั แลว้ มีคา่ อย่างนอ้ ยเท่ากบั พลงั งาน ก่อกมั มนั ต์ (activation energy, Ea) ซง่ึ เป็นพลงั งานต่าท่ีสดุ ท่ีทาใหเ้ กิดปฏิกิรยิ าได้ ถา้ มีพลงั งานต่ากว่านีก้ ็จะไมเ่ กิดปฏกิ ิรยิ า แต่ถา้ มีพลงั งานจลนห์ ลงั การชนมากกว่า หรอื เท่ากบั พลงั งานก่อกมั มนั ต์ อนภุ าคของสารตง้ั ตน้ ท่ีเขา้ ชนกนั ก็จะรวมตวั กนั เกิด เป็นสารประกอบเชงิ ซอ้ นกมั มนั ต์ (activated complex) ซง่ึ สารเชิงซอ้ นนีจ้ ะอยตู่ วั ได้ เพียงช่วั ขณะ หลงั จากนนั้ จะเปล่ียนไปเป็นสารผลิตภณั ฑ์

6 พลงั งานก่อกมั มนั ตเ์ ป็นคา่ ท่ีคานวณจากผลการทดลอง ซง่ึ ในแต่ละปฏิกิรยิ าจะมีคา่ พลงั งานก่อกมั มนั ตไ์ มเ่ ท่ากนั โดยปกตโิ มเลกลุ ท่ีมีพลงั งานเท่ากบั หรอื มากกว่า พลงั งานก่อกมั มนั ตม์ ีจานวน นอ้ ยมาก เพ่อื ใหเ้ ขา้ ใจดีขนึ้ จงึ อาจเปรยี บเทียบการ เกิดปฏกิ ิรยิ าเคมีกบั การเดินทาง ขา้ มภเู ขาดงั รูป รูปการดาเนินทางขา้ มภเู ขา จากรูป คนท่ีจะเดินขา้ มภเู ขาไดต้ อ้ งแข็งแรงมากหรอื มีพลงั งานมาก ดงั นน้ั จานวน คนท่ีจะเดนิ ขา้ มภเู ขาไดภ้ ายในเวลาท่ีกาหนด จงึ ขนึ้ อยกู่ บั องคป์ ระกอบที สาคญั 2 ประการ คือ (1) จานวนคนท่ีแข็งแรงหรอื มีพลงั งานมากและ (2) ความสงู ของภเู ขา ถา้ อปุ มาอปุ ไมยจานวนคนท่ีแข็งแรงหรอื มีพลงั งานสงู กบั จานวนอนุภาคท่ีมี พลงั งานสงู และความสงู ของภเู ขากบั คา่ พลงั งานก่อกมั มนั ตข์ องปฏิกิรยิ านนั้ ชว่ ยให้ อธิบายไดว้ ่าการท่ีบางปฏิกิรยิ าเกิดขนึ้ ชา้ มาก เพราะปฏิกิรยิ านนั้ มีคา่ พลงั งานก่อกมั มนั ตส์ งู มาก และอนภุ าคท่ีมีพลงั งานสงู มีจานวนนอ้ ย โอกาสท่ีจะชนกนั เพ่อื ใหไ้ ด้ พลงั งานสงู เท่ากบั พลงั งานก่อกมั มนั ตจ์ งึ มีนอ้ ย ดว้ ย ในกรณีของปฏิกิรยิ าท่ีเกิดไดเ้ รว็ ก็อธิบายไดใ้ นทานองเดียวกนั

7 สาหรบั การอธิบายการเกิดปฏิกิรยิ าเคมีอีกแนวคิดหนง่ึ อธิบายวา่ เม่ือสารเขา้ ทา ปฏิกิรยิ ากนั จะมีสารใหม่เกิดขนึ้ เป็นผลติ ภณั ฑ์ และในระหว่างท่ีสารตงั้ ตน้ เปล่ียนเป็นผลติ ภณั ฑน์ น้ั จะมีสารเชงิ ซอ้ นกมั มนั ตเ์ กิดขนึ้ ก่อนเพยี งช่วั ขณะแลว้ สาร เชิงซอ้ นกมั มนั ตก์ ็ สลายใหผ้ ลติ ภณั ฑต์ อ่ ไป เช่น ปฏิกิรยิ าระหวา่ งแก๊ส CO กบั NO 2 เกิดเป็นแก๊ส CO2 และ NO ซง่ึ อาจเขียนแผนภาพแสดงดงั รูป

8 ทางดา้ นสารตง้ั ตน้ จะมีพนั ธะระหว่างอะตอม C กบั O ในโมเลกลุ CO และ N กบั O ในโมเลกลุ NO2 เท่านน้ั เม่ือเกิดเป็นสารเชิงซอ้ นกมั มนั ต์ ความแขง็ แรงของพนั ธะ ระหว่างอะตอม N กบั O ใน NO2 จะลดลง และเรม่ิ มีพนั ธะอย่างอ่อน ๆ เกิดขึน้ ระหวา่ งอะตอมของ C ใน CO กบั O ใน NO2 เม่ือสารเชงิ ซอ้ นกมั มนั ตส์ ลายตวั ให้ ผลติ ภณั ฑ์ จะมีการสลายพนั ธะเดมิ ระหว่างอะตอม N กบั O และมีพนั ธะระหว่าง อะตอม C กบั O เกิดขนึ้ แทนท่ี สารเชิงซอ้ นกมั มนั ตอ์ ยใู่ นสภาวะท่ีไม่เสถียรเพราะมี พลงั งานสงู มาก สภาวะดงั กลา่ วนีเ้ รยี กว่า สภาวะแทรนซชิ นั จงึ อาจกลา่ วไดว้ า่ พลงั งานของสภาวะแทรนซชิ นั จะมีคา่ ประมาณพลงั งานก่อกมั มนั ต์ น่นั เอง ทง้ั นี้ เพราะการท่ีปฏกิ ิรยิ าเคมีจะเกิดขนึ้ ไดอ้ นภุ าคของสารท่ีชนกนั จะตอ้ งมี พลงั งานอย่าง นอ้ ยทีสดุ เทา่ กบั พลงั งานก่อกมั มนั ต์

9 เม่ืออนภุ าคของสารชนกนั แลว้ จะมีปฏกิ ิรยิ าเคมีเกิดขีน้ หรอื ไม่ ยงั ขนึ้ อย่กู บั ทศิ ทางในการชนกนั ดว้ ย เชน่ ปฏิกิรยิ าระหว่างแก๊สไฮโดรเจนกบั แก๊สไอโอดิน ดงั สมการ การท่ีจะไดแ้ ก๊สไฮโดรเจนไอโอไดดเ์ กิดขนึ้ โมเลกลุ ของแก๊สไฮโดรเจนกบั แก๊ส ไอโอดีนจะตอ้ งมีการชนกนั และอาจจดั ตวั ขณะชนกนั ไดด้ งั รูป เม่ือพจิ ารณาการชนกนั ของโมเลกลุ H2 กบั I2 พบว่าการชนกนั แบบ ข. มีโอกาสท่ีจะ เกิดปฏกิ ิรยิ าเคมีไดม้ ากกว่าแบบ ก. เน่ืองจากทศิ ทางในการชนกนั ของโมเลกลุ ทงั้ สองความเหมาะสม จากขอ้ มลู ท่ีกลา่ วมาแลว้ ชว่ ยใหส้ รุปไดว้ ่าปฏิกิรยิ าเคมีเกิดขึน้ ไดเ้ ม่ือ อนภุ าค ของสารตง้ั ตน้ ชนกนั ในทศิ ทางท่ีเหมาะสม รวมทง้ั ตอ้ งมีพลงั งานท่ีเกิดจากการชนกนั อยา่ งนอ้ ยท่ีสดุ ปรมิ าณหน่งึ ซง่ึ เทา่ กบั พลงั งานก่อกมั มนั ต์ ใชส้ ญั ลกั ษณย์ อ่ เป็น Ea

10 จากทฤษฎีการชนจะสงั เกตไดว้ า่ การชนท่ีประสบผลสาเรจ็ หรอื การชนท่ีทาใหเ้ กิดสาร ผลิตภณั ฑจ์ ะตอ้ งประกอบดว้ ยองคป์ ระกอบท่ีสาคญั สองอยา่ ง คือ 1. พลงั งานของการชน (energy of collision) 2. ทิศทางของการชน (orientation of collision) 1. พลงั งานของการชน อนภุ าคชนกนั ในทิศทางท่ีเหมาะสมแลว้ ก็ยงั ไมเ่ พยี งพอ ส่ิงท่ีสาคญั มากกวา่ นน้ั ก็คือ พลงั งาน เพราะถงึ แมว้ ่าอนภุ าคจะชนกนั ในทศิ ทางท่ีถกู ตอ้ งแตพ่ ลงั งานของอนภุ าคมี ไมม่ ากเพยี งพอ ก็ไม่อาจท่ีจะเกิดปฏกิ ิรยิ าได้ เราไดท้ ราบมาแลว้ วา่ การเกิดปฏิกิรยิ าเคมีย่อมเก่ียวขอ้ งกบั การสลายพนั ธะเดมิ และ สรา้ งพนั ธะใหม่ ซง่ึ การสลายพนั ธะเดมิ ตอ้ งใชพ้ ลงั งานอยา่ งแน่นอน พลงั งานในท่ีนีก้ ็ คือพลงั งานท่ีเราเรยี กวา่ พลงั งานก่อกมั มนั ต์ (activation energy) น่นั เอง

1. ทศิ ทางของการชน 11 ปฏิกิรยิ านีจ้ ะเกิดไดด้ ีท่ีสดุ เม่ือ K ชนกบั I ในทิศทางท่ีโมเลกลุ CH3I หนั ดา้ นอะตอม ของ I เขา้ หา K โดยตรง ส่วนการชนท่ีอะตอมของ K ชนกบั CH3 นนั้ จะเป็นการชนท่ี เกิดผลติ ภณั ฑน์ อ้ ยมากหรอื แทบจะไมเ่ กิดเลย ดงั นนั้ ในการศกึ ษาจลนพลศาสตรเ์ คมี จงึ ควรพจิ ารณาการจดั ตวั ของโมเลกลุ ขณะเกิดการชนดว้ ย ถา้ จะมองในเร่อื งของทฤษฎีการชนแลว้ เราก็คงพอจะมองภาพออกว่า ถา้ สารตงั้ ตน้ เป็นแก๊สหรอื ของเหลวคงเกิดปฏิกิรยิ าไดง้ า่ ย เพราะอนภุ าคท่ีเป็นแก๊สหรอื ของเหลว เคล่ือนท่ีไดง้ ่าย โดยเฉพาะแก๊ส ถา้ เราใชค้ วามดนั ชว่ ยบีบใหอ้ นภุ าคเขา้ มาชิดกนั มาก ขนึ้ ปฏกิ ิรยิ าก็จะย่งิ เกิดไดง้ า่ ยมากขนึ้ ก. การชนกนั ในทศิ ทางท่ไี มเ่ หมาะสม ทาใหก้ ารชนกนั ไมเ่ ป็นผลสาเรจ็ หรอื ไมเ่ กิดปฏิกิรยิ า (ไมเ่ กิด HI) ข. การชนกนั ในทิศทางทเี่ หมะสมทาใหก้ ารชนกนั เป็นผลสาเรจ็ (เกิดปฏิกิรยิ าได้ HI)

พจิ ารณาปฏกิ ิรยิ า A + B ——–> C + D 12 กราฟแสดงการเปลย่ี นแปลงพลงั งานศกั ยส์ าหรบั ก) ปฏิกิรยิ าคายความรอ้ น ข) ปฏิกิรยิ าดดู ความรอ้ น ถา้ สารผลติ ภณั ฑท์ ่ีเกิดขนึ้ มีพลงั งานต่ากว่าสารตง้ั ตน้ (สารผลิตภณั ฑเ์ สถียรกวา่ สารตงั้ ตน้ ) ในขณะเกิดปฏกิ ิรยิ าก็จะมีการคายความรอ้ นควบค่ไู ปดว้ ย เราจงึ เรยี ก ปฏิกิรยิ าชนดิ นีว้ า่ ปฏิกิรยิ าคายความรอ้ น (exothermic reaction) ถา้ สารผลิตภณั ฑท์ ่ีเกิดขนึ้ มีพลงั งานมากกว่าสารตงั้ ตน้ (สารผลติ ภณั ฑเ์ สถียรนอ้ ย กว่าสาร ตง้ั ตน้ ) ในขณะเกิดปฏิกิรยิ าก็จะมีการดดู ความรอ้ นควบค่ไู ปดว้ ย เราจงึ เรยี ก ปฏกิ ิรยิ าชนดิ นีว้ า่ ปฏกิ ิรยิ าดดู ความรอ้ น (endothermic reaction) พลงั งานก่อกมั มนั ตเ์ ปรยี บเสมือนผนงั กน้ั อนภุ าคท่ีมีพลงั งานต่ากวา่ พลงั งานก่อกมั มนั ตไ์ มใ่ หเ้ กิดปฏิกิรยิ า ในปฏิกิรยิ าท่วั ๆ ไป อนภุ าคของสารตง้ั ตน้ มกั มีจานวนมาก แตจ่ ะมีจานวนอนภุ าคเพยี งบางส่วนท่ีมีพลงั งานจลนม์ ากพอท่ีจะขา้ มผนงั นีไ้ ปได้ ซง่ึ อนภุ าคเหลา่ นีเ้ ป็นอนภุ าคท่ีมีโอกาสชนกนั แลว้ เกิดปฏิกิรยิ า

13 รูปการแจกแจงพลงั งานของอนภุ าคของแมกซเ์ วล-โบลซม์ นั น์ (Maxwell-Boltzmann Distribution) อนภุ าคในพนื้ ท่ีใตก้ ราฟทางดา้ นขวาของพลงั งานก่อกมั มนั ตเ์ ท่านน้ั ท่ีมีโอกาสชนกนั แลว้ เกิดปฏิกิรยิ าเพราะเป็นอนภุ าคท่ีมีพลงั งานสงู ส่วนอนภุ าคในพืน้ ท่ีใตก้ ราฟ ทางดา้ นซา้ ยของพลงั งานก่อกมั มนั ตซ์ ง่ึ เป็นอนภุ าคสว่ นใหญ่จะมีโอกาสชนกนั ไดแ้ ต่ ไม่มีพลงั งานมากพอท่ีจะเกิดปฏิกิรยิ า

แบบทดสอบหลงั เรยี น 14 1.ในขณะท่ีเกิดสารผลติ ภณั ฑ์ พลงั งานศกั ยจ์ ะมีค่าเป็นอยา่ งไร ก. มีคา่ เพม่ิ ขนึ้ เพ่อื ใชใ้ นการสรา้ งพนั ธะใหม่ ข. มีค่าคงท่ีเพราะในขณะท่ีเกิดสารผลติ ภณั ฑน์ นั้ จะไม่มีผลเก่ียวขอ้ งกบั พลงั งาน ค. มีค่าลดลงแลว้ จะเปล่ียนไปเป็นพลงั งานจลนเ์ พ่อื ใชใ้ นการเคล่ือนท่ีตอ่ ไป ง. มีคา่ เพม่ิ ขนึ้ และลดลงสลบั กนั อย่ตู ลอดเวลา 2.การชนกนั ของอนภุ าคของสารตต้ั ง้ นจะเกิดปฏิกิรยิ าไดห้ รอื ไมต่ อ้ งขึน้ อย่กู บั ปัจจยั ใด ก. พลงั งานจลนข์ องอนภุ าคท่ีเคล่ือนท่ีชนกนั และทิศทางการชนของอนภุ าค ข. พลงั งานศกั ยข์ องอนภุ าคท่ีเคล่ือนท่ีชนกนั และทิศทางการชนของอนภุ าค ค. พลงั งานจลนข์ องอนภุ าคท่ีเคล่ือนท่ีชนกนั และพลงั งานก่อกมั มนั ต์ ง . พลงั งานศกั ยข์ องอนภุ าคท่ีเคล่ือนท่ีชนกนั และพลงั งานก่อกมั มันต์ 3.ขอ้ ใดกล่าวถกู ตอ้ งเก่ียวกบั การเกิดปฏกิ ิรยิ าของสารแต่ละปฏกิ ิรยิ า ก. มีการดดู พลงั งานเขา้ ไปเพ่อื สลายพนั ธะในสารตงั้ ตน้ ข. มีการคายพลงั งานออกมาเพ่อื สลายพนั ธะในสารตงั้ ตน้ ค. มีการดดู พลงั งานเขา้ ไปเพ่อื สรา้ งพนั ธะในสารผลิตภณั ฑ ง. มีการคายพลงั งานออกมาเพ่อื สลายพนั ธะในสารผลติ ภณั ฑ์

15 4.ในขณะท่ีอนภุ าคเคล่ือนท่ีเขา้ มาใกลก้ นั พลงั งานจลนแ์ ละพลงั งานศกั ย์ มีคา่ เป็น อยา่ งไร ก. พลงั งานสงู ท่ีสดุ ท่ีอนภุ าคของสารจะตอ้ งมีเพ่อื ใหช้ นกนั แลว้ เกดิ ปฏิกิรยิ า ข. พลงั งานจลนจ์ ะเพ่มิ ขนึ้ แตพ่ ลงั งานศกั ยจ์ ะลดลง ค. พลงั งานจลนแ์ ละพลงั งานศกั ยม์ ีค่าลดลง ง. พลงั งานจลนแ์ ละพลงั งานศกั ยม์ ีค่าเพม่ิ ขนึ้ 5.ปฏกิ ิรยิ าเคมีจะเกิดขนึ้ ได้ ก็ต่อเม่ืออนภุ าคของสารตง้ั ตน้ จะตอ้ งมีการเคล่ือนท่ีชน กนั ก่อน จากคากล่าวขา้ งตน้ เป็นคากล่าวท่ีเก่ียวขอ้ งกบั ขอ้ ใด ก. ทฤษฎีสารเชงิ ซอ้ นท่ีถกู กระตนุ้ หรอื ทฤษฎีสภาวะแทรนซชิ นั ข. ทฤษฎีการชน ค. พลงั งานก่อกมั มนั ต์ ง. กฎอตั รา 6.พลงั งานก่อกมั มนั ต์ คืออะไร ก. พลงั งานสงู ท่ีสดุ ท่ีอนภุ าคของสารจะตอ้ งมีเพ่อื ใหช้ นกนั แลว้ เกดิ ปฏิกิรยิ า ข. พลงั งานสงู ท่ีสดุ ท่ีอนภุ าคของสารเชงิ ซอ้ นจะตอ้ งมีเพ่อื ใหช้ นกนั แลว้ เกิดปฏิกิรยิ า ค. พลงั งานต่าท่ีสดุ ท่ีอนภุ าคของสารจะตอ้ งมีเพ่อื ใหช้ นกนั แลว้ เกิดปฏกิ ิรยิ า ง. พลงั งานต่าท่ีสดุ ท่ีอนภุ าคของสารเชิงซอ้ นจะตอ้ งมีเพ่อื ใหช้ นกนั แลว้ เกิดปฏิกิรยิ า

16 7.ขอ้ ใดกลา่ วถกู ตอ้ งท่ีสดุ เก่ียวกบั การชนกนั ของอนภุ าค ก. ในการชนกนั ของอนภุ าคจะทาใหเ้ กิดปฏกิ ิรยิ าทกุ ครงั้ ข. ในการชนกนั ของอนภุ าคมีโอกาสนอ้ ยครง้ั มากท่ีจะไม่เกิดปฏกิ ิรยิ า ค. ในการชนกนั ของอนภุ าคบางครง้ั ก็เกิดปฏิกิรยิ า บางครง้ั ก็ไม่เกิดปฏิกิรยิ า ง. ขอ้ มลู ไม่เพยี งพอ จงึ ไม่สามารถสรุปได้ 8.ในระหวา่ งเกิดสารเชิงซอ้ นท่ีถกู กระตนุ้ (Activated Complex)พนั ธะเคมีของสารตง้ั ตน้ จะมีลกั ษณะเป็นอย่างไร ก. แข็งแรงย่ิงขนึ้ และมีการสลายพนั ธะเก่า ข. อ่อนลงและเรม่ิ มีการสรา้ งพนั ธะใหมร่ ะหวา่ งค่อู ะตอม ค. มีความแข็งแรงคงท่ีโดยพนั ธะเก่าจะคอ่ ยๆ ถกู ทาลายลงเอง ง. ไมส่ ามารถสรุปไดแ้ น่นอน 9.สารชนดิ ใดท่ีถือวา่ เป็นสารท่ีมีอายสุ น้ั มาก เฉลย 7.ค ก. สารเชิงซอ้ นท่ีถกู กระตนุ้ 8.ข ข. สารตงั้ ตน้ 1.ค 4.ก 9.ค ค. สารผลติ ภณั ฑ์ 2.ก 5.ข 10.ค ง. สารประกอบ 3.ก 6.ข 10.จากรูปเป็นกราฟชนดิ ใด ก. กราฟแสดงปฏกิ ิรยิ าดดู ความรอ้ น ข. กราฟแสดงปรมิ าณสารตง้ั ตน้ ค. กราฟแสดงปฏกิ ิรยิ าคายความรอ้ น ง. กราฟแสดงปรมิ าณสารผลติ ภณั ฑ์

17 ท่ีมา : http://www.thaigoodview.com/library/studentshow/2549/nongkhai/kud bongphittayakarn/p02.htm


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook