ส า ร บั ญ ๑๔ ๒๓ ๑. นครกบิลพัสดุ์ ๓๑ ๒. โกลิยวงศ์ ๔๕ ๓. พระสิริมหามายา ๕๖ ๔. พระสันดุสิตเทวราช ๖๖ ๕. ปาฏิหาริย์ใต้ต้นหว้า ๗๕ ๖. ปราสาทสามฤดู ๘๓ ๗. อภิเษกสมรส ๙๓ ๘. เสด็จออกบรรพชา ๑๐๓ ๙. นายฉันนะกับม้ากัณฐกะ ๑๑๔ ๑๐. บำ�เพ็ญทุกรกิริยา ๑๒๖ ๑๑. พระเจ้าลอยถาด ๑๓๖๑ ๒. ริมฝั่งเนรัญชรา ๑๔๖๑ ๓. มารผจญ ๑๕๕๑ ๔. ตรัสรู้ ๑๖๗๑ ๕. เสวยวิมุตติสุข ๑๗๘๑๖. ณ ร่มไม้ราชายตนะ ๑๘๙๑ ๗. ต้นเหตุอาราธนาธรรม ๑๙๘๑ ๘. อุปกาชีวก ๒๐๘๑ ๙. เทศนาโปรดปัญจวัคคีย์ ๒๑๘๒ ๐. ฆราวาสคนแรกที่เป็นพระอรหันต์ ๒๒๙๒ ๑. เริ่มงานเผยแผ่พระศาสนา ๒๓๙๒ ๒. ชฎิลสามพี่น้อง ๒ ๓. ชฎิลสิ้นพยศ
๒๔. เวฬุวนาราม ๒๕๑ ๒๕. อัครสาวก ๒๖๓ ๒๖. เสด็จไปบิณฑบาตในกรุงกบิลพัสดุ์ ๒๗๕๒ ๗. พิมพาพิลาป ๒๘๘๒ ๘. พระเชตวันมหาวิหาร ๒๙๘๒ ๙. พุทธบิดานิพพาน ๓๐๘๓ ๐. เกิดภิกษุณี ๓๑๗๓ ๑. บาตรไม้จันทน์เป็นเหตุ ๓๒๔๓ ๒. ยมกปาฏิหาริย์ ๓๓๗ ๓๓. เมืองสังกัสสะและเวสาลี ๓๔๘ ๓๔. ปาริเลยยกะและอัมพปาลีวัน ๓๕๘ ๓๕. บนเส้นทางไปเมืองราชคฤห์ ๓๖๘ ๓๖. เหตุเกิดที่เชตวัน ๓๗๙ ๓๗. นางวิสาขา มหาอุบาสิกา ๓๙๒ ๓๘. มหาลดาปสาธน์วัดบุพพาราม ๔๐๒ ๓๙. ปลงอายุสังขาร ๔๑๐ ๔๐. ปรินิพพาน ๔๒๐ ๔๑. พระบรมสารีริกธาตุ ๔๓๒ภาคผนวก ๔๔๒ การบิณฑบาตและฉันอาหาร ๔๔๓ พุทธกิจ ๔๕๔บันทึกท้ายเล่ม ๔๕๘เอกสารประกอบการเขียน ๔๖๓ดัชนีค้นคำ� ๔๖๕
ชมพทู วีปสมัยพุทธกาล
อนิ เดยีสมัยปจั จบุ นั
14 ตามรอยพุทธประวัติ ๑ นครกบิลพสั ด์ุ
ส. พลายน้อย 15ตามรอยพุทธประวัติต้องเริ่มที่ต้นทาง ย้อนไปหาต้นราชวงศ์ของกษัตริย์อินเดียสมัยดึกดำ�บรรพ์ ซึ่งมีชื่อว่า โอกกากวงศ์ ที่เชื่อกันว่าสืบเชื้อสายมาจากพระอาทิตย์ ตามประวัติกล่าวว่า ก่อนที่พระ-พทุ ธเจา้ จะบงั เกดิ ขึน้ ในโลก มเี มอื งเมอื งหนึง่ อยใู่ กลแ้ ควน้ สกั กชนบทมีพระเจ้าโอกกากราชหรือในที่บางแห่งเป็นพระเจ้าอุกกากราช(เป็นการแผลง อุก เป็น โอก ก็คำ�เดียวกันนั่นเอง) เป็นต้นราชวงศ์และมีกษัตริย์สืบต่อมาหลายชั่วคนจนถึงพระเจ้าตติยโอกกากราชซึ่งมีเรื่องกล่าวถึงในพุทธประวัติ พระเจ้าตติยโอกกากราชหรือโอกกากราช มีพระมเหสีห้าพระองค์ กล่าวเฉพาะนางหัฏฐามีพระราชบุตรสี่พระองค์ มีพระราชบตุ รหี า้ พระองค์ ครัน้ พระนางหฏั ฐาสิน้ พระชนม์ พระเจา้ โอกกากราชได้พระมเหสีใหม่และมีพระราชโอรส เป็นเหตุให้เกิดเรื่องเปลี่ยนรัชทายาท ต้นเหตุมาจากพระเจ้าโอกกากราชโปรดปรานพระมเหสีใหม่มากจนถึงกับพระราชทานพรว่า ถ้าประสงค์สิ่งใดก็จะพระราช-ทานให้ พระนางจึงทูลขอราชสมบัติให้แก่พระราชโอรสของพระนางหนแรกปรากฏวา่ พระเจา้ โอกกากราชทรงบา่ ยเบยี่ ง เพราะทรงเหน็ แก่พระราชโอรสและพระราชธดิ าของพระมเหสอี งคเ์ ดมิ แตพ่ ระนางกค็ งรบเร้าทลู ขออยู่เนืองๆ จนในที่สุดพระองค์ทรงจำ�ต้องพระราชทานให้เพราะได้ออกพระโอษฐ์ไปแล้ว เหตุการณ์ตอนนี้ในหนังสือ ปฐมสม-โพธิกถา ได้พรรณนาไว้ว่า
16 ตามรอยพุทธประวัติ หนังสือ ปฐมสมโพธิกถา ครน้ั สบื มา ณ กาลภายหลงั พระมเหสผี ู้ใหญน่ น้ั สน้ิ พระชนมล์ ง สมเดจ็ พระบรมกษตั รยิ ์ (ตตยิ ะโอกกากราช) จงึ ไปน�ำ มาซง่ึ พระราชธิดา องค์อ่ืนอันทรงอุดมรูป ต้ังไว้ ณ ที่เป็นอัครมเหสีผู้ใหญ่และนางนั้น ทรงมพี ระราชโอรสองคห์ นงึ่ ทรงนาม ชนั ตรุ าชกมุ าร ครน้ั พระราชกมุ าร นั้นพระชนม์ได้ ๕ เดือน พระมารดาจึงประดับด้วยเครื่องราชกุมาร ปิลันธนาภรณ์ นำ�ขึ้นเฝ้าพระราชบิดา พระราชบิดาได้ทอดพระเนตร พระราชโอรสอนั ทรงสรรี รปู อนั งาม กท็ รงพระสเิ นหาปราโมทย์ จงึ ด�ำ รสั พระราชทานพรแก่นางผู้เป็นมารดาว่า เจ้าปรารถนาพรอันใดก็จะให้ สำ�เร็จมโนรถ และนางน้ันได้โอกาสจงึ คบคิดกับหมู่ญาติท้ังปวง ทลู ขอ ราชสมบตั ิให้แก่บตุ รของตน สมเดจ็ พระบรมกษัตรยิ ์ตรสั คกุ คามวา่
ส. พลายน้อย 17 “หญิงร้าย ไฉนเจ้ามากล่าวความพินาศฉิบหายปรารถนาจะกระทำ�อนั ตรายแก่โอรสผู้ใหญ่ของเราดังน”ี้ เมอ่ื พระนางถกู บรภิ าษเชน่ นน้ั กจ็ �ำ ตอ้ งปดิ พระโอษฐไ์ มอ่ าจกลา่ วขอ้ ความอยา่ งอน่ื ตอ่ ไปอกี แตก่ ย็ งั ไมล่ ะความพยายาม คดิ หาชอ่ งทางที่จะเปลี่ยนตำ�แหน่งรัชทายาทให้ตกมาอยู่กับราชโอรสของพระนางใหจ้ งได้ พระนางครนุ่ คดิ อยู่ไมน่ านกร็ ะลกึ ไดว้ า่ อนั ผชู้ ายทงั้ หลายยอ่ มพา่ ยแพแ้ กม่ ายาหญงิ เมอ่ื คดิ ไดด้ งั นน้ั ครน้ั ถงึ เวลาเสดจ็ เขา้ สทู่ ่ีไสยาสน์เปน็ โอกาสอนั ดี พระนางกป็ ระเลา้ ประโลมดว้ ยอิตถมี ายา จนพระราชสวามบี งั เกดิ ความเสนห่ ารว่ มรกั สามคั คเี ปน็ อนั ดแี ลว้ กก็ ราบทลู วงิ วอนวา่ ซากประตเู มืองกบิลพัสดุ์
18 ตามรอยพุทธประวัติ “ขา้ พระองคจ์ งรกั ภกั ดตี อ่ ฝา่ พระบาทเพยี งไร กท็ ราบตระหนกั ในพระราชหฤทัยดีอยู่แล้ว แม้ชีวิตของหม่อมฉันก็ยอมสละได้เมื่อถึง คราวจ�ำ เปน็ สงิ่ ใดทเี่ ปน็ พระราชประสงคข์ องพระองค์ หมอ่ มฉนั กพ็ รอ้ ม ทจี่ ะปฏบิ ตั ติ าม พระองคเ์ ปน็ บรมกษตั รยิ ์ ไดอ้ อกพระโอษฐพ์ ระราชทาน พระอนญุ าตแกข่ า้ พระบาทแลว้ ทจี่ ะไม่โปรดพระราชทานใหส้ มประสงค์ แห่งข้าพระบาทนั้นมสิ มควร” พระเจา้ โอกกากราชเมอ่ื ไดส้ ดบั พระวาจาของพระมเหสเี ชน่ นนั้ ก็มีความละอายพระทยั ดว้ ยไดอ้ อกพระโอษฐ์ไปแลว้ เกรงจะเสยี สตั ย์ ฉะนนั้ ในวนั รงุ่ ขน้ึ จงึ มพี ระด�ำ รสั ใหพ้ ระราชโอรสทงั้ ๔ พระองคเ์ ขา้ เฝา้ แล้วตรัสเลา่ เรื่องท้งั หมดใหท้ ราบพร้อมกบั ตรสั เสรมิ วา่ “เพอื่ ความสุขสวัสดขี องพวกเจา้ ขอใหอ้ อกไปสรา้ งบา้ นเมอื ง อยู่ใหม่ เพอื่ ชว่ ยรกั ษาสัตยท์ ่ีพอ่ ได้พูดไปแลว้ เจ้าจะปรารถนาช้างมา้ และรถ ตลอดจนไพร่พลสักเทา่ ใดก็จงน�ำ ไปตามต้องการ เหลือไวแ้ ต่ คชาชาตอิ ัสดรสำ�หรับพระนคร ต่อเม่ือพอ่ หาชวี ิตไมแ่ ล้ว จึงค่อยกลบั มาเอาราชสมบตั ิคืนไป” พระราชโอรสท้ังส่ีมิได้โต้ทานคัดค้านแต่ประการใด ยอมรับ โดยดุษณี ได้พาพระเชษฐภคินีและพระกนิษฐภคินีรวมห้าพระองค์ พรอ้ มด้วยไพร่พลออกจากพระนครเข้าสปู่ ่าสากพนสณฑ์ ซึ่งในหนงั สือ บางเลม่ กล่าววา่ เป็นดงไมส้ ักกะ อยูท่ างภาคเหนอื ของประเทศอินเดยี และไดพ้ บกบั “กบลิ ดาบส” ซ่ึงอยู่ ณ ทนี่ ้ัน ในหนังสือพุทธประวัติทุกเล่มไม่ได้กล่าวถึงประวัติของกบิล-ดาบส จึงขอแทรกไว้สักนิด
ส. พลายน้อย 19 ตามคัมภีร์ เวสสันดรทีปนี กล่าวว่า ในอดีตชาติพระพุทธเจ้า(พระสิทธัตถะ) เสวยพระชาติกำ�เนิดในตระกูลพราหมณ์มหาศาลมีนามว่า “กบิล สำ�เร็จศิลปะทุกอย่าง เห็นโทษการอยู่ครองเรือนจึงออกบวชเป็นฤษีสร้างบรรณศาลาอยู่ในป่าสัก ริมฝั่งสระโบกขรณีข้างป่าหิมพานต์ เมื่อกบิลดาบสเห็นพระราชโอรสและพระราชธิดาของพระเจ้าตติยโอกกากราชมาถึงที่อยู่ของตนจึงถามถึงความประสงค์ เมื่อทราบเรื่องตลอดแล้วจึงแนะว่า “ถ้าได้สร้างพระนครไว้ตรงบรรณศาลาที่ตนอยู่ ก็จักเป็นเมืองที่เลิศในชมพูทวีป สร้างพระนครขึ้นแล้วให้ตั้งชื่อว่า นครกบิลพัสดุ์” พระราชโอรสทำ�ตามทกี่ บลิ ดาบสแนะนำ� และกเ็ ปน็ จรงิ ตามที่ดาบสพดู ในสมยั พทุ ธกาลนครกบลิ พสั ดเุ์ ปน็ เมอื งใหญท่ เี่ จรญิ รงุ่ เรอื งมีถนนใหญ่ผ่านเมือง มีตลาดหลายแห่ง มีสวนดอกไม้และไม้ผลมากมีประตูเมืองทั้งสี่ทิศ มีหอคอยสูงเด่น มีปราสาทใหญ่ตั้งอยู่บนที่สูงเป็นที่ชุมนุมของนักปราชญ์ ไม่มีการเก็บภาษีอากรที่ไม่สมควร และที่สำ�คัญเป็นเมืองที่มีแต่ความเจริญ ไม่มีความจนปรากฏให้เห็นในที่ใดๆ กลา่ วตามประเพณขี องกษตั รยิ ซ์ งึ่ เปน็ วรรณะชนั้ สงู ของอนิ เดยีโบราณ จะไมย่ อมสมรสกบั คนในวรรณะอน่ื ทต่ี า่ํ กวา่ ฉะนน้ั พระราชโอรสทั้งสี่พระองค์และพระขนิษฐาทั้งสี่พระองค์จึงเป็นคู่กันเอง และเรียกวงศ์ของตนว่า ศากยวงศ์ ในภาษาไทยเขียนท้งั ศากยวงศ์ (สันสกฤต) และ สักยวงศ์(บาล)ี การทไี่ ดช้ อื่ เชน่ นกี้ ลา่ วกนั เปน็ สองอยา่ ง คอื เปน็ วงศท์ ตี่ งั้ ขนึ้ ใน
20 ตามรอยพุทธประวัติดงไม้สักกะอย่างหนึ่ง และด้วยความสามารถของพระราชโอรสและพระราชธดิ าทตี่ ัง้ บา้ นเมอื งและราชวงศข์ ึน้ ไดโ้ ดยลำ�ดบั พระเจา้ ตตยิ -โอกกากราชจึงออกพระโอษฐ์ชมว่า “อาจ” หรือ “สามารถ” หลวงวิจิตรวาทการกล่าวว่า เมื่อพระเจ้าโอกกากราชทรงทราบข่าวว่าพระโอรสไปสรา้ งกบิลพัสดุไ์ ด้ กต็ รัสชมว่า “สักกะ” แปลว่า สามารถนี้เป็นอีกทางหนึ่ง สายสกุลนี้มีชื่อว่า โคตมะ ตามตำ�นาน สกั กชนบทแบง่ เปน็ หลายพระนคร เฉพาะทมี่ เี รอื่ งกล่าวถึงคือ นครเดิมของพระเจ้าโอกกากราช นครกบิลพัสดุ์ และนครเทวทหะ ตามพระมติของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ได้ทรงวินิจฉัยไว้ว่า “น่าจะเห็นว่า ศากยกุมารเหล่านั้นไม่ได้สร้างนครกบิลพัสดุ์ตำ�บลเดียว คงสร้างอีก ๓ นคร ต่างคู่ต่างอยู่ครองนครแห่งหนึ่ง แต่ในตำ�นานเล่าแคบไป โดยนัยนี้น่าจะมีถึง ๖ นครแต่ไม่ปรากฏชื่อ” นอกจากนยี้ งั ไดท้ รงสนั นษิ ฐานถงึ วธิ ปี กครองของนครเหลา่ นนั้ว่าคงปกครองโดยสามัคคีธรรม เหมือนธรรมเนียมในแว่นแคว้นวัชชีและแว่นแคว้นมัลละ ในแวน่ แควน้ วชั ชมี เี จา้ วงศ์ ๑ เรยี กวา่ ลจิ ฉวี และในแวน่ แควน้ มัลละมีเจ้าวงศ์ ๑ เรียกว่า มัลละ เป็นผู้ปกครอง กล่าวเฉพาะ แว่นแควน้ มัลละมี ๒ นครคอื กุสินาราและปาวา๑ ในวงศ์เจ้าทัง้ สอง๑ เรอ่ื งแควน้ มลั ละมกี ลา่ วถงึ ในพทุ ธประวตั หิ ลายแหง่ แควน้ นอ้ี ยถู่ ดั โกศลมาทางทศิ ตะวนั ออกอยู่ทางทิศเหนือของแคว้นวัชชีและทางทิศตะวันออกของสักกะ นครหลวงชื่อกุสินคร หรือกสุ นิ ารา ตง้ั อยใู่ นทร่ี ว่ มของลำ�นา้ํ รบั ดิ (Rubdi) กบั ลำ�นา้ํ คนั ธกะอยเู่ หนอื เนปาล ปจั จบุ นั เรยี กวา่แขวงกาเซีย
ส. พลายน้อย 21นนั้ ไม่ได้เรยี กผู้ใดผู้หนึง่ ว่าเป็นราชา ไม่เรียกอยา่ ง พระเจา้ พมิ พิสารพระเจ้าแผ่นดินมคธ และพระเจ้าปเสนทิ พระเจ้าแผ่นดินโกศล๒ทั้งสองนี้เขาเรียกว่า “ราชา” ส่วนเจ้าในวงศ์ท้ังสองของแควน้ วัชชีเขาเรียกว่า ลิจฉวีและมัลละ เสมอกันท้งั น้นั เม่ือมีกิจเกิดข้นึ มีการสงครามเปน็ ตน้ เจา้ เหลา่ นน้ั กป็ ระชมุ กนั ปรกึ ษาหารอื กนั แลว้ ชว่ ยกนัตามกำ�ลังความสามารถ พวกศากยะในบาลพี ระวนิ ยั กด็ ี ในบาลมี ชั ฌมิ นกิ ายกด็ ี ในบาลีอังคุตตรนิกายก็ดี เรียกว่า สักกะ เสมอกันทั้งน้ัน พระสุทโธทนะพุทธบิดาก็เรียกว่า สุทโธทนสักกะ เหมือนกัน เว้นไว้แต่พระภัททิยะโอรสนางกาฬิโคธา ผู้อยู่ในช้ันเดียวกันกับพระอนุรุทธะในบาลีวินัยเรียกว่า สักยราชา แต่ในบาลีมหาปทานสูตรทีฆนิกายมหาวรรคเรียกพระสุทโธทนะว่า ราชา ในยคุ อรรถกถาเขา้ ใจวา่ เป็นราชาทีเดยี ว๒ ตามคำ�อธิบายของเสฐียรโกเศศในเรื่อง อุปกรณ์รามเกียรติ์ กล่าวว่า แคว้นโกศลสมัยพุทธกาลแบ่งเป็นสองแคว้น เหนือเรียกว่า อุตตระโกศล ตั้งราชธานี ที่กรุงสาวัตถี ปัจจุบันเรียกว่า สะเหต มะเหต (Sahet Mahet) นัยว่าเพี้ยนมาจากคำ�มหา เสฏฐี คืออนาถบิณฑิก แคว้นใต้เรียกว่า ทักษิณโกศล มีราชธานีคือ อโยธยา หรือสาเกต ปจั จบุ นั เรยี กวา่ โออธุ หรอื ออธุ (Oudh, Oude หรอื Audh) ซงึ่ เพยี้ นมาจากอโยธยานนั่ เอง แคว้นใต้นี้ พระกุศโอรสพระรามได้ครอบครองต่อมา ตั้งราชธานีที่เมืองกุศาวดี ส่วนคำ�อธิบายของรีสเดวิดส์กล่าวว่า โกศลมีเมืองสำ�คัญสามเมือง คือ อโยธยา ตั้งอยู่บนฝัง่ แมน่ าํ้ สรายุ ภายหลงั ถกู รวมเขา้ กบั โกศล เมอื งสาวตั ถคี รงั้ พทุ ธกาลเปน็ เมอื งหลวงชัน้ เอกคู่แข่งกับราชคฤห์ สาวัตถีตั้งอยู่บนฝั่งแม่นํ้าอจิรวดีและเมืองสาเกตอยู่ใกล้กับอโยธยา เมื่ออโยธยาเสื่อมลงเมืองสาเกตก็เข้าแทนที่ ในสมัยพุทธกาลเมืองสาเกตมีความสำ�คัญเท่าๆกับเมืองสาวัตถี และระยะทางก็ห่างจากสาวัตถีเพียง ๗๐ กิโลเมตร ครั้งพุทธกาลมีรถด่วนระหว่างสาวัตถีกับสาเกต เดินทางวันเดียวถึง รถด่วนก็คือรถเทียมม้า ตั้งสถานีไว้ ๗ แห่งพอถึงสถานีหนึ่งก็เปลี่ยนม้าครั้งหนึ่ง หมายความว่าต้องเปลี่ยนม้าทุกๆ ๑๐ กิโลเมตร
22 ตามรอยพุทธประวัติ ตามความสันนิษฐาน สักกชนบทอันอยู่ในการปกครองโดยสามคั คธี รรมหามพี ระราชาไม่ ถา้ อนมุ ตั วิ า่ ศากยะบางองคท์ รงยศเปน็พระราชา ก็มีความสันนิษฐานว่านั่นเป็นยศสืบกันมาตามสกุล เช่นผคู้ รองนครแหง่ พระเจา้ โอกกากราช กน็ า่ จะดำ�รงยศเปน็ พระราชาหรอืเป็นยศสำ�หรับผู้ปกครองนครทีเดียว การปกครองก็คงเป็นไปโดยความสามัคคีธรรมนั่นเอง ศากยะผคู้ รองนคร หากไมไ่ ดม้ ยี ศเปน็ ราชาตามธรรมเนยี มของชนบทอันปกครองโดยสามัคคีธรรมก็ดี ตามธรรมเนียมของสกุลอันมียศไม่ถึงนั้นก็ดี หรือเพราะเป็นเมืองออกของโกศลรัฐก็ดี จะเรียกในภาษาไทยว่า พระเจ้า เห็นไม่ชัด เพราะคำ�นี้ใช้เรียกเจ้าประเทศราชก็ได้ และถ้าแยกยศราชาเป็นมหาราชาและราชาแล้ว จะเรียกว่าราชา ก็ได้ เช่นพวกลิจฉวี ในอรรถกถาบางแห่งเรียกว่า ราชา ก็มีแตใ่ ชพ้ หพู จนท์ ห่ี มายความวา่ มยี ศเสมอกนั ไมม่ ใี ครเปน็ ใหญก่ วา่ ใครจะใชโ้ วหารอยา่ งอนื่ ขดั เชงิ เพราะในพวกไทยเรา ทา่ นผคู้ รองมยี ศเปน็ราชาสืบกาลนานมาแล้ว เพราะเหตุนั้นจึงเรียกศากยะผู้ครองนครว่าราชาหรือพระเจ้า แต่อย่าพึงเข้าใจว่าเป็นมหาราชาหรือราชาธิราชคือใช้เรียกพอให้เข้าใจว่าเป็นเจ้ามีฐานะสูงกว่าบุคคลธรรมดา ทยี่ กมากลา่ วขา้ งตน้ กเ็ พอื่ ใหเ้ หน็ สถานะผคู้ รองนครของอนิ เดยีโบราณว่าต่างกันอย่างไร และทำ�ให้การใช้ราชาศัพท์ไม่เป็นไปตามแบบประเพณีของไทย คือ ใช้พอให้ทราบว่าองค์นั้นเป็นเจ้าเท่านั้น
ส. พลายน้อย 23 ๒ โกลิยวงศ์
24 ตามรอยพุทธประวัติเมื่อกล่าวถึงศากยวงศ์ฝ่ายกรุงกบิลพัสดุ์มาแล้ว ก็จะได้กล่าวถึงโกลิยวงศ์ต่อไป เพราะทั้งสองวงศ์นี้เปรียบได้กับวงศ์พี่วงศ์น้อง ท่านผอู้ า่ นคงยงั จำ�ไดว้ า่ พระราชบตุ รและพระราชบตุ รขี องพระเจา้ โอกกากราชสี่คู่ได้ออกมาสร้างเมืองใหม่ตามคำ�ขอของพระราชบิดา และได้สร้างนครกบิลพัสดุ์ขึ้น แต่อาจสงสัยว่าแล้วพระเชษฐภคินีผู้มีพระนามว่าพระนางปิยาราชกุมารี ผู้พี่ใหญ่หายไปไหน อันที่จริงพระนางปิยาราชกุมารีเป็นบุคคลสำ�คัญอีกคนหนึ่งของพุทธประวัติ พระนางปิยาราชกุมารีทรงมีชีวิตค่อนข้างอาภัพกว่าบรรดาน้องทั้งแปดที่กล่าวมาแล้ว เพราะปรากฏว่าพระนางประชวรเป็นโรคเรื้อน ไม่อาจอยู่ร่วมกับพระอนุชาและพระขนิษฐาทั้งสี่คู่นั้นได้จึงทรงขอแยกทางไปซ่อนตัวอยู่ในถํ้ากลางป่าตามลำ�พัง ที่ปากถํ้ามปี ระตปู ิดมิดชิด พระนางเพยี งแต่ขอความอนุเคราะหใ์ ห้ราชบุรุษนำ�เสบยี งอาหารไปสง่ เปน็ ครงั้ คราว และทรงปรงุ อาหารดว้ ยพระองคเ์ อง จะเปน็ ดว้ ยความบงั เอญิ หรอื อะไรกไ็ มอ่ าจทราบได้ ในครงั้ นนั้พระเจ้ากรุงเทวทหะ (ใน สารัตถสมุจจัย ออกพระนามว่า พญารามราช) ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากลุมพินีวัน ก็ทรงพระประชวรเป็นโรคเรื้อนเช่นเดียวกัน ได้ทรงตัดสินพระทัยมอบราชสมบัติให้ราชโอรส แล้วเสดจ็ ออกจากกรงุ เทวทหะไปประทบั อยใู่ นปา่ กระเบา (โกละ) ตามลำ�พงัเช่นเดียวกับพระนางปิยาราชกุมารี ในปา่ นนั้ มตี น้ กระเบาใหญอ่ ยตู่ น้ หนงึ่ ทโี่ คนตน้ เปน็ โพรงกวา้ งใหญ่พอที่คนจะเข้าไปนั่งนอนได้อย่างสบาย พระเจ้ากรุงเทวทหะ
ส. พลายน้อย 25หรอื พญารามราชจงึ ปดั กวาดตกแตง่ โพรงนนั้ เปน็ ทปี่ ระทบั ตอ่ มา สว่ นพระกระยาหารก็เสวยแต่ผลกระเบา ซึ่งมีรสเมาแต่เพียงอย่างเดียวด้วยมีพระประสงค์จะทำ�ลายพระชนม์ชีพให้พ้นจากโรคที่สังคมรังเกียจ ผลโกละหรือกระเบา ก็ผลโกละหรือกระเบานั้นมีสรรพคุณเป็นยารักษาโรคเรื้อนได้เป็นยาวิเศษของอินเดียมาช้านาน เท่าที่เห็นในเมืองไทย ต้นกระเบาเป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ มีผลโตขนาดมะขวิด เนื้อกินได้ แพทย์ไทยว่ามีหลายชนิด กล่าวเฉพาะกระเบากลักเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง มีผลกลมโตขนาดผลกระท้อน นํ้ามันในเมล็ดหุงเป็นนํ้ามันใส่แผลแก้โรคเรื้อนและโรคผิวหนัง
26 ตามรอยพุทธประวัติ คนอนิ เดยี สมยั ดกึ ดำ�บรรพท์ เี่ ปน็ โรคเรอื้ นกค็ งกนิ กระเบารกั ษากนั เปน็ พนื้ หรอื เพงิ่ จะมารสู้ รรพคณุ ในสมยั พระเจา้ เทวทหะกไ็ มท่ ราบแตป่ รากฏวา่ เมอื่ พระเจา้ เทวทหะเสวยเปน็ ประจำ� นานวนั เขา้ กร็ สู้ กึ วา่สบายขึ้น พระโรคทุเลา มีพละกำ�ลังสามารถเสด็จเที่ยวไปในป่าได้ไกลๆ ในทา่ มกลางความเงยี บสงดั คนื หนงึ่ พระเจา้ เทวทหะทรงไดย้ นิเสียงหวีดร้องแสดงความตกใจของสตรีนางหนึ่ง ทรงคาดคะเนที่มาของเสยี งนน้ั วา่ ไมน่ า่ จะไกลเทา่ ใดนกั และเนอ่ื งจากเปน็ เวลาดกึ มากแลว้ไมอ่ าจจะออกไปคน้ หาไดส้ ะดวกจงึ ตอ้ งรออยจู่ นสวา่ ง ไดท้ รงพระดำ�เนนิไปทางที่ทรงคาดว่าเปน็ ทีเ่ กดิ ของเสยี งนั้น ครัน้ ไปถงึ ที่แหง่ หนึ่งไดพ้ บรอยเทา้ มนษุ ยเ์ ดนิ เขา้ ออกตรงปากถาํ้ แหง่ หนงึ่ เมอื่ ทรงพจิ ารณาอยา่ งละเอียดก็พบว่ามีรอยตีนเสือปะปนอยู่ด้วย ก็แน่พระทัยว่าต้องมีคนอยภู่ ายในถา้ํ นน้ั ไดเ้ สดจ็ ตามรอยเทา้ กพ็ บวา่ ทป่ี ากถา้ํ มปี ระตปู ดิ อยู่จึงทรงเคาะประตูแล้วร้องเรียก ฝ่ายพระนางปิยาราชกุมารีทรงได้ยินเสียงคนเรียกก็ตรัสถามวา่ ใคร พญารามราชตรสั ตอบวา่ เปน็ คนเดนิ ปา่ ขอใหเ้ ปดิ ประตรู บั ดว้ ยพระนางก็ตรัสตอบตามความจริงว่าเปิดประตูรับไม่ได้ เพราะเป็นโรคเรื้อนน่ารังเกียจ ไม่ต้องการให้คนมาพบเห็น พญารามราชตรสั ตอบวา่ ถา้ เชน่ นนั้ เรากห็ วั อกเดยี วกนั เพราะเปน็ โรคเดยี วกนั มคี วามละอายญาตมิ ติ รจงึ ไดค้ ดิ ออกมาอยปู่ า่ ตามลำ�พงัฉะนั้นขออย่าได้คิดหวาดระแวงอันใดเลย
ส. พลายน้อย 27 แม้จะทรงทราบเช่นนั้น พระนางก็ยังไม่วางพระทัย เพราะในปา่ ในดงเชน่ นเ้ี มอ่ื เกดิ เหตรุ า้ ยอะไรขน้ึ จะทรงรอ้ งเรยี กหาใครใหม้ าชว่ ยได้ครั้นจะทรงนิ่งเฉยอยู่กไ็ ม่สมควร น่าจะบอกกล่าวบางสิ่งบางอย่างให้ทราบไว้บ้าง พระนางจึงตรัสว่า “ฉันเป็นเชื้อสายกษัตริย์ จำ�ต้องรักษาเกียรติของสกุล ไม่ควรพบชายต่างชั้นตามลำ�พัง ขอจงเห็นใจฉันเถิด” “ถ้ากระนั้นโปรดรับทราบ ฉันไม่ใช่คนต่างชั้นอย่างที่คิด ฉันเป็นกษัตริย์ได้สละราชสมบัติออกมาอยู่ป่าด้วยเหตุที่บอกไปแล้ว” “ถ้าเช่นนั้น” พระนางตรัสแล้วนิ่งคิดอยู่นิดหนึ่ง จึงตรัสต่อไปว่า “ขอความกรุณาได้แสดงส่ิงท่ีเป็นคุณลักษณะของกษัตริย์ว่ามีจารีตประเพณีอย่างไรบ้าง” ตรงนแ้ี สดงใหเ้ หน็ วา่ พระนางปยิ าราชกมุ ารรี อบคอบระมดั ระวงัเปน็ อยา่ งดี จงึ อยใู่ นปา่ เปลยี่ วตามลำ�พงั ได้ พญารามราชหรอื พระเจา้กรุงเทวทหะก็คงตระหนักเช่นนี้ จึงได้ทรงอธิบายถึงคุณลักษณะและจารีตประเพณีของกษัตริย์ให้ทรงทราบ พระนางได้ฟังแล้วก็ทรงเชื่อว่าเป็นกษัตริย์จริง เพราะคนธรรมดาไม่อาจจะทราบเรื่องเหล่านี้ได้เมื่อเปิดประตถู ํ้าเชิญเสดจ็ เข้าไปประทบั ภายในถํ้าแลว้ จึงตรัสเล่าว่าตอนดึกคืนที่ผ่านมามีเสือตัวหนึ่งมาตะกุยประตูจะเข้ามาทำ�ร้ายพระนางตกใจจึงร้องขึ้น และเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกจึงไม่อาจคุมสติไว้ได้
28 ตามรอยพุทธประวัติ พญารามราชจึงตรัสว่า ด้วยได้ยินเสียงร้องนั้นจึงชักพาให้มาพบกัน และได้ทรงแนะนำ�ให้รักษาโรคเรื้อนด้วยการเสวยผลโกละเหมือนอย่างที่พระองค์ได้เสวยมาแล้ว พระนางก็เริ่มเสวยผลโกละทุกวัน ต่อมาพระนางก็หายจากโรค และอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข ตามเรื่องเล่าว่า ต่อมามีพรานป่าชาวกรุงเทวทหะมาพบและจำ�พระราชาของตนได้ จึงไปกราบทูลพระราชโอรสให้ทรงทราบพระราชโอรสมาเชิญให้เสด็จกลับไปครองราชสมบัติตามเดิม แต่ไม่ทรงเห็นด้วย และขอให้สร้างเมืองใหม่ตรงต้นโกละใหญ่ที่เคยรักษาพระองค์ ต่อมาเมื่อมีพระราชโอรสพระราชนัดดาจึงตั้งวงศ์กษัตริย์ขึ้นใหม่อีกวงศ์หนึ่ง มีชื่อว่า โกลิยวงศ์ ตามชื่อต้นกระเบา กล่าวโดยสรุป เมื่อพระเจ้าเทวทหะหรือพญารามราชกับพระนางปยิ าราชเทวี เชอื้ สายพระเจา้ โอกกากราชไดต้ งั้ วงศโ์ กลยิ ะขนึ้มผี สู้ บื สนั ตตวิ งศต์ อ่ มาอกี หลายพระองค์ จนถงึ รชั สมยั พระเจา้ อญั ชนะมีกนิษฐภคินี (น้องหญิง) ทรงพระนามว่า กัญจนา ส่วนนครกบิลพัสดุ์นั้นก็มีผู้สืบสันตติวงศ์ลงมาจนถึงพระเจ้าชยั เสนะ (ในภาษาไทยมที งั้ ชยั เสนะ และ ชยเสนะ) ตาม พทุ ธประวตั ิพระนิพนธ์สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรสกล่าวว่า พระเจา้ ชยเสนะมพี ระราชบตุ ร บตุ รี ทป่ี รากฏพระนาม ๒ พระองค์ พระราชบุตรมพี ระนามวา่ สีหหนุ พระราชบตุ รมี พี ระนาม ว่า ยโสธรา คร้ันพระเจ้าชยเสนะทิวงคตแล้ว สีหหนุได้ราชสมบัติ
ส. พลายน้อย 29 มีพระมเหสีทรงพระนามว่า กัญจนา เป็นกนิษฐภคินีของพระเจ้า อญั ชนะผคู้ รองเทวทหนคร มพี ระราชบตุ ร ๕ พระองค์ คอื สทุ โธทนะ, สุกโกทนะ, อมิโตทนะ, โธโตทนะ, ฆนิโตทนะ พระราชบุตรี ๒ พระองคค์ ือ ปมติ า และ อมิตา ส่วนนางยโสธราได้เป็นพระมเหสีของพระเจ้าอัญชนะ มพี ระราชบตุ ร พระราชบตุ รี ๔ พระองค์ พระราชบตุ รคอื สปุ ปพทุ ธะ, ทณั ฑปาณิ พระราชบุตรีคือ มายา, ปชาบดี (หรอื โคตมี) สรปุ วา่ ราชวงศฝ์ า่ ยนครกบลิ พสั ดกุ์ บั ราชวงศฝ์ า่ ยนครเทวทหะมีความสัมพันธ์กันมาแต่ต้น และจะเกี่ยวดองกันต่อไปอีก อนึ่ง มีเรื่องที่ควรสังเกตว่าใน พุทธประวัติ บางเล่มออกพระนามบางพระองคต์ า่ งกนั ทำ�ใหส้ งสยั เชน่ ใน พทุ ธประวตั ิ ทก่ี ลา่ วมาขา้ งตน้ วา่ พระเจา้ อญั ชนะเปน็ พระราชบดิ าของพระนางมายา แตใ่ นพระปฐมสมโพธิกถา พระนิพนธ์สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรสออกพระนามพระราชบิดาของพระนางมายาว่าพระเจา้ ชนาธปิ ราช ซงึ่ ตามเรอื่ งกเ็ ปน็ องคเ์ ดยี วกนั กลา่ วไวเ้ พอื่ ปอ้ งกนัการสับสน เมื่อจะกล่าวอ้างในตอนต่อไป นอกจากนี้พระเจ้าสีหหนุยังได้ทูลขอพระนางมายามาเป็นชายาของพระสุทโธทนะพระราชโอรสองค์ใหญ่ ความสัมพันธ์ของราชวงศ์ทั้งสอง คือ โกลิยวงศ์ (เทวทหะ) กับ ศากยวงศ์ (กบิลพัสดุ์)จะปรากฏต่อไป เมื่อมีเรื่องกล่าวถึงจะได้ทราบว่าใครเป็นใคร
30 ตามรอยพุทธประวัติ ก่อนอื่นควรจะทราบเรื่องเมืองเทวทหะของพญารามราชเพิ่มเติมอีกเล็กน้อย เมืองเทวทหะ (Devadaha) เป็นเมืองที่อยู่ในเขตเดียวกันกับโกลิยะที่สร้างใหม่ในป่าต้นกระเบา ไม่ไกลจากลุมพินีวันฉะนั้นเมืองเทวทหะกับกรุงกบิลพัสดุ์จึงไม่ห่างกันเท่าไร ไปมาหากันได้สะดวก เทวทหะเปน็ เมอื งที่ประสูตขิ องพระนางมายาเทวี พระนางปชาบดีโคตมี พระพุทธเจ้าเคยเสด็จเมืองเทวทหะหลายครั้ง แล้วได้ทรงแสดงพระธรรมเทศนาที่เมืองนี้หลายเรื่อง นครกบิลพัสดุ์ซึ่งเป็นเมืองหลวงของแคว้นศากยะอยู่ติดกับลุมพินีวัน กล่าวตามพุทธประวัติลุมพินีวันอยู่ระหว่างนครกบิลพัสดุ์กับนครเทวทหะ มีแม่นํ้าโรหิณีเป็นแนวแบ่งเขตแดนและใช้นํ้าทำ�นาร่วมกัน ผู้คนของทั้งสองเมืองก็เป็นญาติพี่น้องกัน มีสัมพันธไมตรีอันดีต่อกัน ในหนงั สอื พทุ ธประวตั ิ จะกลา่ วถงึ เมอื งเทวทหะกบั เมอื งกบลิ -พัสดุ์เป็นหลัก จึงควรทราบเชื้อสายของทั้งสองเมืองนี้ไว้ด้วย
ส. พลายน้อย 31 ๓ พระสิริมหามายา
32 ตามรอยพุทธประวัติ
ส. พลายน้อย 33 ขอกล่าวย้อนขึ้นไปครั้งพระเวสสันดร เมื่อ พระนางผุสดีสิ้นพระชนม์ได้ไปบังเกิดใน ดุสิตเทวพิภพ แล้วจุติลงมาถือปฏิสนธิ ในพระครรภข์ องพระนางยโสธรา อคั รมเหสี พระเจ้าชนาธิปราชแห่งกรุงเทวทหะ เมื่อ ประสูตินั้นมีพระรูปสิริวิลาสครบถ้วนด้วย เบญจกัลยาณี พระเจ้าชนาธิปราชได้ตรัส ถามพราหมณ์ที่ทำ�นายลักษณะว่า “ธิดาของเราจะได้เป็นเอกอัครมเหสี แห่งบรมจักรพัตราธิราชในโลกนี้ หรือว่าจะ มีบุตรอันประเสริฐจากพระครรภ์เป็นองค์ สัพพัญญูตรัสรู้พระปรมาภิเษกสัมโพธิให้ นิพพานสุขแก่สัตว์โลกประการใด” พราหมณ์ทั้งหลายจึงกราบทูล ทำ�นายวา่ “พระราชธดิ าของพระองคจ์ กั เปน็ พระพุทธมารดาโดยแท้” พระเจา้ ชนาธปิ ราชทรงพระปตี โิ สมนสั เป็นอันมาก ได้ประทานพระนามแก่พระ ราชธิดาว่า “พระสิริมหามายา” พระพุทธเจ้าประสตู ิ ภาพเขียนจากวัดบางขุนเทียน
34 ตามรอยพุทธประวัติ ครั้นเจริญพระชนมายุมากขึ้นก็ยิ่งมีบุญญาบารมีเป็นที่ประจักษ์ให้เห็นถึง ๑๒ ประการ ดังต่อไปนี้ ๑. วันหนึ่งทรงมีถาดทองเต็มไปด้วยภัตตาหาร ได้ทรงตักแจกจา่ ยผ้คู นเปน็ อนั มาก แต่ภตั ตาหารนั้นกไ็ ม่หมดยงั คงอยเู่ ต็มถาด ๒. เมื่อพระสิริมหามายาทรงจับต้องลูบคลำ�ร่างกายคนที่มีโรคาพยาธิ ยังไม่ถึงกำ�หนดสิ้นอายุ โรคต่างๆ ก็จะหาย มีอายุยืนสืบไป ๓. เมอื่ ทรงจบั ตอ้ งใบไมท้ ัง้ หลาย ใบไมน้ นั้ กจ็ ะกลายเปน็ ทองไปทั้งสิ้น ๔. เมื่อทรงจับพืชผลใดแล้วเพาะปลูกรดนํ้าด้วยพระหัตถ์พืชผลนั้นก็จะงอกงามเป็นลำ�ต้นขึ้นทันที และแตกใบผลิดอกออกผลให้เห็น ๕. เมื่อเสด็จขึ้นไปบนยอดเขาที่ปราศจากนํ้า ถ้าตรัสว่าข้าพเจ้ากระหายนํ้า ก็มีนํ้าผุดขึ้นมาให้ได้เสวย ๖. เมื่อเสด็จประพาสไปในสถานที่ใด ก็จะมีเทพยดาเนรมิตทิพยโภชนาหารมาถวาย ๗. ถ้าเสด็จประพาสอุทยาน เทพยดาในสถานที่นั้นก็จะนำ�นํ้าทิพย์มาโสรจสรง และนำ�เครื่องทิพย์มาตกแต่งพระวรกาย ๘. เมอ่ื เสดจ็ ไปสทู่ ไ่ี สยาสน์ กจ็ ะมยี กั ษร์ าชาทง้ั แปดถอื พระขรรค์มายืนแวดล้อมป้องกันภยันตราย
ส. พลายน้อย 35 ๙. เมื่อเสด็จไปในสถานที่บันเทิงในเวลากลางวัน ก็จะมีอสูรมาอยู่คุ้มครอง ๑๐. เมื่อถึงฤดูร้อน เทพยดาอันสถิตอยู่ในป่าหิมพานต์ก็จะนำ�นํ้าในสระทั้งเจ็ดใส่ในหม้อทองมาโสรจสรง ๑๑. เมอื่ ถงึ คราวหนาวเยน็ เทวดาทงั้ หลายกจ็ ะนำ�เครอื่ งนงุ่ หม่อันเป็นทิพย์มาให้แต่ง ๑๒. เมื่อพระสิริมหามายามีพระหฤทัยประสงค์จะบริจาคทานแก่พราหมณ์และยาจกเข็ญใจ ก็จะมีแก้วแหวนเงินทองตกลงมาจากอากาศ ให้พระราชธิดาเก็บบริจาคได้โดยสะดวก ในกาลครง้ั นน้ั พระเจา้ สหี หนมุ พี ระหฤทยั ปรารถนาจะราชาภเิ ษกพระสุทโธทนะพระราชโอรสให้เสวยราชสมบัติแทนพระองค์ จึงมีพระราชดำ�ริจะหานางขัตติยราชธิดาที่บริบูรณ์ด้วยเบญจกัลยาณีโดยมีพระราชโองการให้พราหมณาจารย์ทั้งแปดออกสืบหานางผู้มีลกั ษณะอนั เลอเลศิ ใหพ้ บ แลว้ พระราชทานทรพั ย์ ๘,๐๐๐ กหาปณะกับเครื่องประดับพระศอ และตรัสสั่งว่าถ้าพบนางแก้วผู้มีคุณสมบัติพร้อม ก็ให้ถวายเครื่องประดับพระศอนี้ไว้เป็นสำ�คัญ พราหมณท์ งั้ แปดรบั พระราชโองการแลว้ ออกจากกรงุ กบลิ พสั ดุ์ทอ่ งเทย่ี วตรวจตราหานางแกว้ ไปตามนคิ มบา้ นเมอื งตา่ งๆ เปน็ อนั มากก็ไม่พบ จนกาลเวลาผ่านไปได้มาถึงเมืองเทวทหะ (นี่แสดงว่าหาจากที่ไกลมาใกล้) เผอิญได้ยินเสียงผู้คนเล่นสนุกส่งเสียงอื้ออึงในพระอุทยาน ด้วยในวันนั้นพระสิริมหามายาพร้อมด้วยข้าทาสบริวาร
36 ตามรอยพุทธประวัติมาชมสวน จึงเป็นวาสนาของพราหมณ์ทั้งแปดได้ทัศนา และด้วยพระรปู โฉมของพระสริ มิ หามายาอนั งามวลิ าสลาํ้ เลศิ ทำ�ใหพ้ ราหมณ์ทั้งแปดเคลิบเคลิ้มสิ้นสติสมปฤดีบ้าง สำ�แดงอาการพูดเพ้อเจ้อหลงใหลไปต่างๆ บ้าง พระสิริมหามายาทอดพระเนตรอาการวิกลของพราหมณ์ดังนั้น ทรงสงสัยจึงตรัสสั่งให้สาวใช้นางหนึ่งไปถาม ในบรรดาพราหมณ์ทั้งแปดนั้น มีคนหนึ่งชื่อ โกณฑัญญะเป็นผู้รู้ศิลปศาสตร์ ๑๘ ประการ เข้าใจว่าจะมีอายุน้อยกว่าคนอื่นๆเป็นผู้ที่มีสติสัมปชัญญะรู้สึกตัวได้เร็วกว่าใคร เมื่อนางกำ�นัลมาถามจึงเล่าความตามที่พระเจ้าสีหหนุแห่งกรุงกบิลพัสดุ์มีพระราชโองการนางกำ�นัลกลับไปทูลให้พระราชธิดาทราบ พระราชธิดาจึงตรัสสั่งให้หาโกณฑัญญะมาเฝ้าเพื่อจะได้ทรงทราบรายละเอียดมากขึ้น พระสริ มิ หามายาตรสั ถามถงึ บา้ นเกดิ เมอื งนอนของโกณฑญั ญะและเหตุที่มา โกณฑัญญะถึงจะเป็นคนที่มีสติสัมปชัญญะดีที่สุดกระนั้นเมื่อได้สดับสำ�เนียงอันไพเราะเสนาะจับใจและได้ยลโฉมอันเลอเลิศอย่างใกล้ชิดแล้ว ก็มิอาจควบคุมสติไว้ได้ ล้มลงเฉพาะพระพักตร์อีกครั้งหนึ่ง จึงตรัสสั่งให้นางกำ�นัลเอานํ้าเย็นมารดที่ร่างโกณฑัญญะจนฟื้นคืนสติ สามารถกราบทูลเนื้อความตามพระราชดำ�รัสของพระเจ้าสีหหนุให้พระสิริมหามายาทรงทราบโดยตลอดแล้วเสริมว่า “ข้าพระบาททั้งแปดได้ออกจากรุงกบิลพัสดุ์ ท่องเที่ยวค้นหาไปทั่วทั้งราชวงศ์ใหญ่น้อยทั้งปวง แต่ก็มิพานพบราชบุตรีเมืองใดจะเพยี บพรอ้ มไปดว้ ยนารลี กั ษณะ ๖๔ ประการดงั ทไ่ี ดต้ ง้ั ความปรารถนา
ส. พลายน้อย 37ไว้ ครั้นมาถึงนครสถานแห่งนี้ จึงได้เห็นพระแม่เจ้าผู้ทรงสิริลักษณ์เลิศลํ้ากว่าสตรีใดในมนุษย์โลก นับเป็นมหาโชคอันประเสริฐสุดขา้ พระบาททงั้ แปดกจ็ ะหยดุ การคน้ หา แลว้ กลบั ไปราชธานกี บลิ พสั ดุ์กราบทลู บรมกษตั รยิ ใ์ หม้ าอญั เชญิ ไปอภเิ ษกเปน็ พระมเหสพี ระสทุ โธ-ทนราชกุมารต่อไป” ตามพระพุทธประวัติกล่าวว่า เมื่อพระสิริมหามายาได้สดับพระนามพระสุทโธทนราชกุมาร พระกมลก็บังเกิดความเสน่หาทั้งนี้เป็นด้วยบุพเพสันนิวาสเนื่องมาแต่ในอดีตชาติ สมกับคำ�กล่าวทวี่ า่ ความเสนห่ าบงั เกดิ ดว้ ยอาศยั เหตสุ องประการ คอื บพุ เพสนั นวิ าสอย่างหนึ่ง และปัจจุบันประโยชน์อย่างหนึ่ง แต่ถึงแม้จะปีติโสมนัสยนิ ดี กจ็ ำ�ตอ้ งสงบระงบั ความรสู้ กึ ไมส่ ำ�แดงอาการใหป้ รากฏ แสรง้ ทำ�เป็นไม่รู้สึกยินดียินร้ายอะไรทั้งสิ้น แล้วตรัสว่า “ดกู รพราหมณ์ ตวั ขา้ เปน็ ดรณุ กมุ ารี ยงั มรี าชบดิ ามารดาเปน็อสิ ราธบิ ดอี ยู่ ทา่ นจงไปสสู่ ำ�นกั พระชนกชนนี กราบทลู คดโี ดยอธั ยาศยัของท่าน ใช่การที่เราจะเจรจา” เมื่อโกณฑัญญะได้สดับดังนั้น จึงกราบทูลต่อไปว่า “ขา้ แตพ่ ระแมเ่ จา้ กอ่ นทขี่ า้ พระบาทจะออกจากนครกบลิ พสั ดุ์สมเดจ็ พระเจา้ กบลิ พสั ดไ์ุ ดพ้ ระราชทานมณปี ลิ นั ธนควี า เครอ่ื งประดบัพระศอมาเป็นเครื่องราชบรรณาการ ทั้งมีพระราชโองการว่า ถ้าพบนางแก้วสมประสงค์แล้ว ให้มอบเครื่องประดับนี้แก่นาง บัดนี้ได้พบนางแก้วสมประสงค์แล้ว ขอได้โปรดรับของพระราชทานนี้ไว้ด้วยเถิดพระเจ้าข้า”
38 ตามรอยพุทธประวัติ “ถ้าอย่างนั้น ท่านจงส่งมาเถิด” พระสิริมหามายาโปรดให้นางกำ�นัลไปรับของจากพราหมณ์แลว้ ใหล้ า้ งมณปี ลิ นั ธนควี าดว้ ยนา้ํ หอม และบรรจใุ นกลอ่ งแกว้ มอบให้มหาอำ�มาตยท์ ตี่ ามเสดจ็ นำ�ไป พรอ้ มกบั พาพราหมณท์ งั้ แปดกลบั เขา้เทวทหนคร กราบทลู เรื่องทั้งหมดให้พระเจ้าชนาธิปราชทรงทราบ ฝ่ายพระเจ้าชนาธิปราชเมื่อทรงสดับเรื่องราวจากพราหมณ์โกณฑัญญะ และได้รับมณีปิลันธนคีวาจากมหาอำ�มาตย์แล้ว ได้ตรัสถามถึงพระจริยาวัตรและเรื่องอื่นๆ ของพระสุทโธทนราชกุมารเพอ่ื ใหห้ ายขอ้ งพระทยั เชน่ ตรสั ถามเรอ่ื งอายุ เรอ่ื งการปฏบิ ตั วิ า่ รกั ษาศลีอยใู่ นทศพิธราชธรรมดอี ยหู่ รือ พราหมณก์ ็กราบทลู วา่ พระราชกมุ ารมีพระชนมายุได้ ๑๖ พรรษา และรักษาศีล ๕ อยู่ในทศพิธราชธรรมมาแต่ทรงพระเยาว์ เมื่อพระเจ้าชนาธิปราชทรงสดับเช่นนั้น ก็ทรงชื่นชมโสมนัสตรัสสรรเสริญว่า “บคุ คลใดประพฤตสิ จุ รติ ธรรม มไิ ดป้ ระพฤตกิ ารทจุ รติ บคุ คลนน้ัก็จะนอนเป็นสุขทั้งในโลกนี้และโลกอื่น” เมื่อตรัสเช่นนั้นแล้ว ทรงอนุสรณ์คำ�นึงต่อไปว่า พระราชธิดาของพระองค์ก็มีพระชนมายุได้ ๑๖ พรรษาเช่นเดียวกัน ทั้งสมเด็จพระเจา้ สหี หนรุ าชกม็ พี ระเดชานภุ าพเปน็ ทย่ี กยอ่ งของบรรดาบา้ นเมอื งใกล้เคียง ทั้งมีสายสัมพันธ์เกี่ยวดองกันอยู่ ถ้าทั้งสองเมืองจะได้เป็นทองแผ่นเดียวกัน ก็จะเพิ่มเดชานุภาพแผ่ไปทั่วสกลชมพูทวีป
ส. พลายน้อย 39 เมอ่ื มพี ระราชดำ�รเิ ชน่ นน้ั แลว้ พระเจา้ ชนาธปิ ราชไดท้ รงปรกึ ษาหารือกับพระนางยโสธราราชเทวีและพระสิริมหามายาราชธิดาตลอดจนเศรษฐีและเสนาบดีเพื่อฟังความคิดเห็น ปรากฏว่าทุกฝ่ายต่างเห็นชอบพร้อมกันหมด พระเจ้าชนาธิปราชจึงโปรดให้จัดเครื่องราชบรรณาการมอบใหพ้ ราหมณท์ ง้ั แปดนำ�ไปถวายพระเจา้ สหี หนรุ าชเพื่อให้ทรงทราบว่าพระเจ้าชนาธิปราชทรงยินยอมถวายพระราชธิดา พระเจ้าสีหหนุราชเมื่อได้รับเครื่องราชบรรณาการของเมืองเทวทหะอันเป็นเครื่องหมายว่ายินดีถวายพระราชธิดาก็มีความปีติปราโมทย์ ให้โหรหาฤกษ์กำ�หนดวันอภิเษกสมรส ต่อจากนั้นโปรดให้แผ้วถางตกแต่งทำ�ถนนจากกรุงกบิลพัสดุ์ตรงไปยังเมืองเทวทหะสองฟากถนนประดับด้วยธงทิวอย่างสวยงาม เมื่อถนนหนทางเรียบร้อยแล้ว พระเจ้าสีหหนุราชก็โปรดให้จัดขบวนแห่ มีทั้งขบวนช้าง ขบวนม้า พร้อมด้วยเกวียนบรรทุกเครื่องอุปโภคบริโภคเป็นอันมาก มุ่งตรงไปยังเมืองเทวทหะ ฝ่ายพระเจ้าชนาธิปราชทรงทราบว่า พระเจ้าสีหหนุราชเสด็จยาตรายกไพรพ่ ลมา กเ็ สดจ็ พระราชดำ�เนนิ ออกไปรบั ถวายบงั คมทลูเชิญเสด็จประพาสพระนคร ส่วนพระเจ้าสีหหนุราชทอดพระเนตรเห็นป่าลุมพินีเป็นที่รมณียสถานใหญ่กว้างงดงาม จึงตรัสแก่พระเจ้าชนาธิปราชว่า จะขอพักพลประทับอยู่ที่นั้น ตรงนี้ขอเล่าภมู ิศาสตร์ของป่าลุมพินีไว้สักเล็กน้อย เพราะในหนังสือพุทธประวัติทุกเล่มกล่าวไว้เพียงย่อๆ
40 ตามรอยพุทธประวัติ ป่าลุมพินีอยู่ในประเทศเนปาล อยู่ระหว่างกรุงกบิลพัสดุ์กับเทวทหนคร กรุงกบิลพัสดุ์ของพระเจ้าสีหหนุราชอยู่ทางทิศตะวันตกของป่าลุมพินี ส่วนเมืองเทวทหะของพระเจ้าชนาธิปราชอยู่ทางทิศตะวันออกของป่าลุมพินี ในระยะทางเท่าๆ กันคือประมาณ ๑๐ ไมล์หรือ ๔๐๐ เส้น เรียกว่าป่าลุมพินีอยู่ย่านกลาง ประวัติของป่าลุมพินีมีที่มาอย่างไรไม่พบหลักฐานชัดเจนแต่มีกล่าวไว้ในพุทธประวัติฝ่ายมหายานตอนหนึ่งว่า ในระหว่างรัชสมัยของพระเจ้าสีหหนุ เมืองกบิลพัสดุ์ มคี วามสงบและเจรญิ รงุ่ เรอื ง เมอื งเทวทหะซง่ึ พระเจา้ สปุ รพทุ ธ (โอรส พระเจา้ อญั ชนะ) ครอบครองกเ็ ชน่ เดยี วกนั พระเจา้ สปุ รพทุ ธไดอ้ ภเิ ษก สมรสกบั หญงิ คนหนง่ึ ชอื่ ลมุ พนิ ี มรี ปู โฉมงดงามยง่ิ นกั พระเจา้ สปุ รพทุ ธ เคยพาพระนางลมุ พนิ ีไปประพาสสวนอนั งดงามแหง่ หนง่ึ ซงึ่ เปน็ ของ ผมู้ ั่งค่ังคนหนึ่งท่อี ยู่ใกลๆ้ พระนคร พระนางลุมพินีพอหฤทัยสวนนั้นมาก ทรงขอประทาน สวนนน้ั พระเจา้ สปุ รพทุ ธตรสั วา่ ทรงท�ำ เชน่ นน้ั ไม่ได้ แลว้ โปรดใหจ้ ดั ท�ำ ทแ่ี ห่งหน่ึงใหง้ ามกว่านน้ั จึงเรียกกนั วา่ สวนลุมพินี ถ้ากล่าวตามคัมภีร์ฝ่ายมหายาน อุทยานลุมพินีก็เป็นสวนที่พระเจ้าสุปรพุทธหรือสุปพุทธแห่งเทวทหนครทรงตกแต่งไว้ ยังไม่พบหลักฐานอื่นที่ชัดเจน กล่าวไว้พอให้ทราบตำ�แหน่งแห่งที่เพื่อจะได้
ส. พลายน้อย 41เข้าใจภูมิประเทศดีขึ้น ถ้ากล่าวตามพุทธประวัติที่อ้างมาข้างต้นป่าลุมพินีดจู ะค่อนไปทางเทวทหนคร และพระเจ้าสีหหนุราชก็ไม่เคยเสด็จพระราชดำ�เนินไปทอดพระเนตร กล่าวตามหนังสือต่างๆ พอสรุปได้ว่า ป่าลุมพินีเป็นที่รื่นรมย์น่าชมมาก เต็มไปด้วยพฤกษานานาชนิด เช่น โพ มะม่วง อโศกมะขามป้อม ต้นสาละ (Sal หรือ Shorea) อนึ่ง ตามคำ�พรรณนาถึงต้นไม้ในป่าลุมพินีตามเอกสารของอินเดีย ไม่พบว่ากล่าวถึงต้นรัง มีแต่ต้นสาละ ในหนังสือพุทธประวัติที่แปลมาจากภาษาบาลี มี ปฐมสมโพธิกถา เป็นต้น ก็ใช้ทั้งสาละและรัง ดังมีข้อความตอนหนึ่งว่า ต้นสาละ ภาพจากอินเทอร์เน็ต
42 ตามรอยพุทธประวัติ ดำ�เนนิ ไปถงึ ใต้ต้นมงคลสาลพฤกษ์ พระกมลปรารถนาจะ ทรงจบั ซง่ึ กงิ่ รงั กม็ อิ าจเออื้ มพระหตั ถข์ น้ึ ไปถงึ ขณะนนั้ กง่ิ รงั ดเู หมอื น มีจิตกรุณาก็บันดาลอ่อนน้อมค้อมลงมาดุจยอดหวายอันต้องเพลิง พอถงึ พระหัตถพ์ ระราชเทวกี ท็ รงจับเอากงิ่ รงั ตามความเขา้ ใจแบบไทยๆ เราเชอื่ วา่ พระพทุ ธเจา้ ประสตู แิ ละปรินิพพานใต้ต้นรัง แต่ในหมู่นักศึกษาที่ได้อ่าน ปฐมสมโพธิกถา ได้ตงั้ ขอ้ สงสยั ไวว้ า่ ในปา่ ลมุ พนิ มี ไี มใ้ หญอ่ ยสู่ องชนดิ หรอื ชนดิ เดยี ว และเหตไุ ฉนในคำ�พรรณนาบางตอนกอ็ อกชอื่ ไมร้ งั บางตอนกอ็ อกชอื่ สาละดูคล้ายกับว่าจะแยกให้เห็นว่าไม่เหมือนกัน แต่บางตอนก็ดูคล้ายกบั วา่ รงั คอื สาละ บางทผี แู้ ปลกค็ งไมแ่ นใ่ จวา่ จะถกู จงึ ใชท้ งั้ สองอยา่ งถ้ากล่าวตามพุทธประวัติที่เกิดขึ้นในอินเดีย พระสิทธัตถะก็ต้องประสูติที่ใต้ต้นสาละ ขอกลบั ไปพบพระเจา้ สหี หนทุ ปี่ ระทบั ณ ปา่ ลมุ พนิ อี กี ครงั้ หนงึ่ การที่พระเจ้าสีหหนุไม่เสด็จเข้าไปประทับในเทวทหนครนั้นนอกจากจะโปรดความสงบร่มรื่นของลุมพินีแล้ว ก็คงเนื่องมาจากไพรพ่ ลรวมทง้ั ชา้ งมา้ และเกวยี นทบ่ี รรทกุ สง่ิ ของมจี ำ�นวนมากเกนิ กวา่ที่จะเข้าไปแอดอัดอยู่ในพระนคร เมื่อเป็นเช่นนั้นพระเจ้าสีหหนุราชกต็ อ้ งลงทนุ สรา้ งปราสาททองขนึ้ หลงั หนงึ่ ในอโศกอทุ ยานทลี่ มุ พนิ นี นั้ประทานนามว่า โกกนุทปราสาท (ปราสาทบัวแดง) ฝ่ายพระเจ้าชนาธิปราชก็ไม่ยอมน้อยหน้า โปรดให้สร้างปราสาทขนึ้ สองหลงั ณ พระอทุ ยานแหง่ เดยี วกนั นนั้ ประทานนามวา่ธัญมุตปราสาท หลังหนึ่ง และ เวฬุปัตปราสาท หลังหนึ่ง ปราสาททั้งสามหลังนั้นสร้างสำ�เร็จภายในหนึ่งเดือน
ส. พลายน้อย 43 นอกจากสร้างปราสาทสามหลังดังกล่าวแล้ว พระเจ้าสีหหนุ-ราชยงั ไดโ้ ปรดใหส้ ุรัตน นายช่างใหญส่ รา้ งมหามณฑปใหญ่ มีเสาถึงแปดรอ้ ยตน้ เพอ่ื เปน็ ทป่ี ระกอบพธิ ี ณ อโศกอทุ ยานแหง่ เดยี วกนั ครน้ั ถงึเดือนผาลคุณ (เดือน ๔ ประมาณเดือนมีนาคม) พระเจ้าชนาธิปราชโปรดให้ตกแต่งเทวทหนครให้งามดุจดาวดึงส์สวรรค์ ปราสาททั้งสามหลังและมหามณฑปก็ประดับตกแต่งด้วยของลํ้าค่าเช่นเดียวกันอันมิอาจพรรณนาให้เห็นจริงได้ กล่าวโดยสรุปเพื่อมิให้ยาวความหลังจากพระราชพิธีอภิเษกสมรสผ่านไปแล้ว พระเจ้าสุทโธทนะและพระนางสิริมหามายาก็ได้เสด็จไปประทับ ณ จันทนปราสาท คือปราสาทไม้จันทน์ ซึ่งสร้างขึ้นใหม่ ณ กรุงกบิลพัสดุ์ พระราชวังพระเจ้าสุทโธทนะ
44 ตามรอยพุทธประวัติ เรอื่ งปราสาทไมจ้ นั ทนน์ เี้ ขา้ ใจวา่ อนิ เดยี จะเปน็ ตน้ แบบ เพราะอินเดียเมื่อหลายพันปีมาแล้วมีต้นจันทน์มาก โดยเฉพาะที่แคว้นไมซอร์ซึ่งมีชื่อเสียงเป็นพิเศษ ชาวฮินดูนิยมใช้ผงจันทน์และนํ้ามันจันทน์บูชาพระเป็นเจ้าเช่นพระวิษณุ พระศิวะก็เจิมพระนลาฏด้วยผงจนั ทน์ ไมจ้ นั ทนน์ อกจากจะมกี ลน่ิ หอมยงั มปี ระโยชนท์ างยาอกี ดว้ ยไทยเราไดร้ บั แบบอยา่ งการใชไ้ มจ้ นั ทนม์ าจากอนิ เดยี เชน่ นา้ํ มนั จนั ทน์เครื่องจุนเจิมต่างๆ จันทนปราสาทสร้างด้วยไม้จันทน์มีพื้นเจ็ดชั้นมเี สาหา้ ร้อยต้น จงึ เปน็ ปราสาทไม้จนั ทน์ทีใ่ หญท่ ีส่ ดุ ในโลก ผูท้ ีอ่ ยใู่ นปราสาทองค์นี้จึงเหมือนกับอบด้วยกลิ่นไม้จันทน์อยู่ตลอดเวลา ณ จันทนปราสาทนี้เอง ที่พระเจ้าสีหหนุราชได้จัดพระราชพิธีราชาภเิ ษกมอบราชสมบตั แิ กพ่ ระสทุ โธทนะ และตอ่ มาเมอ่ื ทรงพระชราโรคาพยาธิเบียดเบียน พระเจ้าสีหหนุก็เสด็จสวรรคต พระเจ้าสุทโธทนะและพระนางสิริมหามายาได้ปกครองกรุงกบิลพัสดุ์สืบต่อมาด้วยความผาสุกสวัสดี
ส. พลายน้อย 45 ๔ พระสันดุสิตเทวราช
46 ตามรอยพุทธประวัติภาพจิตรกรรมพระเวสสันดรชาดก วัดชนะสงคราม กรุงเทพฯ
ส. พลายน้อย 47ขอกลับกล่าวเล่าความแต่ครั้งพระเวสสันดร เมื่อสิ้นพระชนม์แล้วได้ไปบงั เกดิ เปน็ พระสนั ดสุ ติ เทวราช เสวยทพิ ยสมบตั ใิ นสวรรคช์ นั้ ดสุ ติกำ�หนดอายุได้ ๕๗ โกฏิกับ ๖๐ แสนปีในโลกมนุษย์ หรือนับเป็นปีในชั้นดุสิตได้ ๔,๐๐๐ ปีทิพย์ แต่การที่ได้สถิตอยู่ในดุสิตเทวโลกมิใช่ความปรารถนาอันสูงสุด ครั้นกาลเวลาล่วงไป ปัญจบุพนิมิตหรืออาการของเทวดาที่ใกล้จุติ ก็ได้บังเกิดแก่พระสันดุสิตเทวราชกล่าวคือ ๑. ดอกไม้ทิพย์ที่ประดับกายเหี่ยวแห้ง ๒. ภูษาที่ทรงมีสีสันอันเศร้าหมอง ๓. พระเสโท (เหงื่อ) ไหลออกจากพระกัจฉะ (รักแร้) ๔. พระวรกายสำ�แดงความชราให้เห็น ๕. มีพระทัยเบื่อหน่าย ใคร่จะละจากเทวโลก เมอื่ เทพยเจา้ ทงั้ หลายเหน็ นมิ ติ ปรากฏเชน่ นนั้ กต็ ระหนกั แนช่ ดัว่าพระสันดุสิตเทวราชคือองค์พระสัพพัญญูโพธิสัตว์ที่จะได้ตรัสรู้ในโลกมนษุ ยเ์ ปน็ เทย่ี งแท้ จงึ ชวนกนั ไปยงั ทอ่ี ยแู่ หง่ พระสนั ดสุ ติ เทวราชแล้วทลู อาราธนาว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้มีความเพียรเป็นอันมาก กาลบัดนี้สมควรที่พระองคจ์ ะจตุ ลิ งไปบงั เกดิ เปน็ พระสพั พญั ญู เพอื่ กสู้ รรพสตั วใ์ นมนษุ ย์โลกและเทวโลก ใหบ้ รรลพุ ระอมตมหานพิ พาน กาลบดั นถี้ งึ สมยั ทจี่ ะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว”
48 ตามรอยพุทธประวัติเมื่อพระสันดุสิตเทวราชได้ทรงสดับเช่นนั้น ก็ยังไม่รับคำ�อาราธนาทรงพจิ ารณาถงึ ความเหมาะสมในเรอื่ งกาลเวลาวา่ เหมาะแลว้ หรอื ยงัมที วปี ใดหรอื ประเทศใดรวมถงึ ชาตติ ระกลู และพระมารดาทเี่ หมาะสมพร้อมแล้วหรือยัง เรียกในภาษาบาลีว่า ปัญจมหาวิโลกนะ คือการตรวจดคู วามสำ�คัญห้าประการ ในเรอื่ งกาลเวลาทรงพจิ ารณาเหน็ วา่ เมอื่ มนษุ ยม์ อี ายมุ ากกวา่แสนปี พระสัพพัญญกู ็ไม่ควรบังเกิดในโลก เพราะมนุษย์ประมาทว่าอายุยืนยาว เมื่อจะเทศนาสั่งสอนถึงไตรลักษณ์ คือ ความไม่เที่ยงความเป็นทุกข์ และความมิใช่ตัวตน คนเหล่านั้นก็จะไม่เชื่อฟัง ครั้นอายมุ นษุ ยล์ ดถอยลงนอ้ ยกวา่ หนงึ่ รอ้ ยปี กใ็ ชเ่ วลาทพี่ ระสพั พญั ญจู ะไปบงั เกดิ ในโลกเชน่ เดยี วกนั เพราะในเวลานนั้ มนษุ ยจ์ ะหนาดว้ ยกเิ ลสไม่ตั้งอยู่ในคำ�สอน ส่วนอายุของมนุษย์ที่ลดถอยลงมาจากแสนปีจนถึงหนึ่งร้อยปี จะมีสันดานสดับตรับฟังพระธรรมคำ�สอนของพระสัพพัญญู เมอ่ื พระสนั ดสุ ติ เทวราชทรงพจิ ารณาอายขุ องมนษุ ยใ์ นเวลานน้ัว่าอยู่ในหนึ่งร้อยปี อันเป็นเวลาที่สมควรจะจุติลงไปบังเกิด จึงทรงพจิ ารณาตอ่ ไปวา่ ในทวปี ทงั้ สี่ (ครงั้ โบราณเชอื่ วา่ มที วปี ใหญส่ ที่ วปี คอืชมพูทวีป อมรโคยานทวีป อุตตรกุรุทวีป และบุพพวิเทห ทวีปเหล่านี้อยใู่ นทศิ ทง้ั สแ่ี หง่ เขาสเิ นร)ุ เมอ่ื ไดท้ รงพจิ ารณาแลว้ เหน็ วา่ พระพทุ ธเจา้ทงั้ หลายยอ่ มบงั เกดิ แตใ่ นชมพทู วปี แหง่ เดยี วทกุ ๆ พระองค์ เมอื่ เลอื กทวีปได้แล้วทรงพิจารณาถึงประเทศก็ทรงทราบว่ามัชฌิมประเทศเหมาะสม และกรุงกบิลพัสดุ์ก็ประดิษฐานอยู่ในมัชฌิมประเทศ
ส. พลายน้อย 49ควรทพี่ ระองคจ์ ะไปบงั เกดิ ในพระนครนนั้ แลว้ ทรงพจิ ารณาถงึ ตระกลูก็ทรงตระหนักว่า พระสัพพัญญูเจ้าจะบังเกิดในตระกูลเศรษฐีคหบดีหรือพ่อค้าพ่อครัวก็หามิได้ ย่อมจะบังเกิดในขัตติยตระกูลและพราหมณต์ ระกลู ซง่ึ โลกยกยอ่ งสองตระกลู นว้ี า่ ประเสรฐิ ในกาลครง้ั นน้ัโลกยกย่องตระกลู กษัตริย์ว่าประเสริฐกว่าตระกลู พราหมณ์ จึงควรที่พระองคจ์ ะมาบงั เกดิ ในตระกลู กษตั รยิ ์ มสี มเดจ็ พระเจา้ สทุ โธทนะเปน็พระบิดา ต่อจากนั้นทรงพิจารณาถึงผู้ที่จะเป็นพระชนนี ก็ทอดพระเนตรเห็นพระนางสิริมหามายาราชเทวีเป็นผู้ที่รักษาเบญจศีลาจารวัตรอันบริสุทธิ์ สมควรเป็นพระมารดาของพระองค์ เมอื่ ทรงพจิ ารณาถงึ ปญั จมหาวโิ ลกนะดงั กลา่ ว เปน็ ทปี่ ระจกั ษ์แจ้งแล้ว จึงตรัสแก่เทพยดาทั้งปวงว่า “ดูกรท่านผู้ปราศจากทุกข์ กาลบัดนี้ควรที่อาตมาจะจุติลงไปบังเกิดเป็นพระสัพพัญญูโปรดสัตว์โลกทั้งปวง ท่านทั้งหลายจงกลับไปสู่วิมานของท่านเถิด” ครน้ั เทพยดาทง้ั หลายกลบั ไปวมิ านของตนหมดแลว้ พระสนั ดสุ ติเทวราชก็เสด็จพร้อมด้วยเทพยบริวารไปยังนันทวันอุทยาน อันเป็นสวนที่ทำ�ให้เกิดความยินดี มีความเพลิดเพลิน เทพบุตรเทพธิดาที่ถึงคราวจุติจะถูกนำ�มาที่สวนนันทวันแห่งนี้ เพื่อให้เกิดความยินดีพรอ้ มทจ่ี ะจตุ ิ พระสนั ดสุ ติ เทวราชกเ็ ชน่ เดยี วกนั เมอ่ื เสดจ็ ประพาสชมทพิ ยพฤกษชาตพิ อสมควรแกเ่ วลาแลว้ เทพยบรวิ ารทง้ั หลายกก็ ราบทลูเตอื นอญั เชญิ เสดจ็ จตุ จิ ากดสุ ติ เทวโลก ในหนงั สอื ชนิ กาลมาลปี กรณ์กล่าวสรุปถึงเหตุการณ์ตอนนี้ไว้ว่า
50 ตามรอยพุทธประวัติวิหารมายาเทวี ลุมพีนีสระนํ้าที่พระนางมหามายาลงสรง ก่อนประสูติพระพุทธเจ้า ครงั้ นนั้ พระนางมหามายาเทวี กอ่ นจะถงึ วนั เพญ็ เดอื น ๘ ไดเ้ สดจ็ ประพาสงานนักขตั ฤกษ์ตงั้ แต่วนั ขึ้น ๙ ค่ํา ตอ่ ไปอีก ๗ วนั ถึงวันเพ็ญ พระนางสมาทานอุโบสถศีลแล้วเสด็จเข้าห้องบรรทม ก�ำ ลงั บรรทมหลบั อยบู่ นพระแทน่ ไดท้ รงพระสบุ นิ วา่ มชี า้ งเผอื กตวั หนง่ึ ลงมาจากสุวรรณบรรพต กระทำ�ประทักษณิ พระนางแล้วทำ�ทีเหมอื น จะแหวะพระปรัศว์เบ้ืองขวาเข้าไปในพระอุทร พระนางจึงสะดุ้งต่ืน แล้วทูลเล่าพระสุบินน้ันแด่พระเจ้าสุทโธทนะ ท้าวเธอจึงตรัสถาม พราหมณ์ประมาณ ๖๔ คนว่า สุบินนิมิตเช่นนี้จะดีร้ายประการใด พราหมณ์ทั้งหลายกราบทูลว่า ไม่เป็นไรมิได้พระเจ้าข้า พระเทวีจะ ทรงพระครรภเ์ ปน็ ชาย มิใช่หญงิ พระราชกุมารนนั้ ถา้ เปน็ ฆราวาส จะได้เป็นกษัตริย์จักรพรรดิ ถ้าละจากฆราวาสเสด็จออกบรรพชา จะไดเ้ ปน็ พระพทุ ธในโลก
ส. พลายน้อย 51 กอ่ นทพี่ ระสนั ดสุ ติ เทวราชจะจตุ นิ นั้ ไดต้ รสั ถามเทวดาทงั้ หลายว่าจะลงสู่ครรภ์มารดาด้วยรูปอะไร เทวดาเหล่านั้นได้ทูลต่างๆ กันแต่ในคณะเทพเหล่านั้นมีเทวพรหมชื่อ อุครเตชะ ได้กล่าวอ้างว่าพระโพธิสัตว์ย่อมลงสู่ครรภ์มารดาด้วยรูปช้างขนาดใหญ่มีงาหกกิ่งในหนังสือ ปฐมสมโพธิกถา ฝ่ายมหายาน กล่าวว่า มพี ระรปู เปน็ รปู ชา้ งเผอื กมงี า ๖ งา มศี รี ษะเหมอื นสแี มลง คอ่ มทอง มีไพรงาเหมอื นสที อง มอี วยั วะนอ้ ยใหญค่ รบถว้ น มอี นิ ทรยี ์ ไม่ทรามลงสู่ครรภ์มารดาโดยข้างเบ้ืองขวามิได้สถิตอยู่ทางข้างซ้าย ในกาลบางคร้งั เลย พระนางมายาบรรทมหลบั สบาย... ตรงนี้ขอแทรกรายละเอียดสักเล็กน้อย สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรสได้มีพระมติว่า พระสันดุสิตเทวราชโพธิสัตว์เสด็จลงสู่พระครรภ์วันพฤหัสบดี วันเพ็ญ เดือนอาสาฬหะ (เดือน ๘) ปีระกา ต่อมานายทองเจือ อ่างแก้ว ได้ตรวจสอบจากประวัติศาสตร์ทั้งฝ่ายหินยานมหายาน และอรรถกถาเป็นการถูกต้องตามหลักดาราศาสตร์ทั้งสรุ ยิ คตแิ ละจนั ทรคติ คำ�นวณตามหลกั ปฏทิ นิ ไดร้ ายละเอยี ดเพมิ่ เตมิอกี วา่ วนั เสดจ็ ลงสพู่ ระครรภ์ ตรงกบั วนั พฤหสั บดี วนั เพญ็ อาสาฬหะปีระกา ตรงกับวันที่ ๑๖ มิถุนายน ก่อนคริสตศักราช ๕๘๘ กลียุค๒๕๑๔
52 ตามรอยพุทธประวัติเสาที่ลุมพินีวัน (ประสตู ิ) ประเทศเนปาล
ส. พลายน้อย 53 ครั้นทรงพระครรภ์ครบ ๑๐ เดือนแล้ว พระนางสิริมหามายามีพระทัยปรารถนาจะเสด็จสู่เทวทหนคร อันเป็นชาติภมู ิของพระองค์จึงกราบทูลพระราชสวามี พระองค์ก็ทรงพระอนุญาต พระราชเทวีก็กราบถวายบังคมลามาทรงสุวรรณสีวิกาพระวอทองเสด็จออกจากพระนคร เมื่อเสด็จถึงป่าลุมพินีซึ่งอยู่ใกล้ทาง พระนางมีพระทัยปรารถนาจะหยุดชม ด้วยทอดพระเนตรเห็นหมู่ไม้ทั้งหลายกำ�ลังผลิดอกออกช่อ อมาตย์ทั้งหลายก็เชิญเสด็จแวะสู่ป่าสาละ แวดล้อมด้วยนางพระพี่เลี้ยงทั้งหลาย ครั้นทรงพระดำ�เนินไปถึงต้นไม้มงคลสาลพฤกษ์ก็พอดีประชวรพระครรภ์ ใน พระปฐมสมโพธกิ ถา พระนพิ นธใ์ นสมเดจ็ พระมหาสมณเจา้กรมพระยาวชิรญาณวโรรสทรงชำ�ระ มีความว่า ถึงมงคลสมัยวิสาขบุรณมีดิถีเพ็ญ พระจันทรเสวยวิสาข-นักษัตร (ประสูติวันศุกร์ วันเพ็ญ เดือนวิสาขะ เดือน ๖ ปีจอ)พระมารดาเสด็จยืนเป็นอิริยาบถอันงาม ไม่น่ังไม่นอนเหมือนสตรีที่จะคลอดบุตรอื่นๆ ทรงยืนอยู่ พระโพธิสัตว์บริสุทธ์ิ อันเสมหะและโลหิตและมวกและครรภมลทินอันใดอันหนึ่งมิได้พัวพัน มิได้แปดเปื้อนด้วยสิ่งไม่สะอาด พระโพธิสัตว์มีสติสัมปชัญญะ เสด็จประสตู จิ ากพระครรภแ์ ลว้ มทิ นั ไดถ้ งึ พน้ื มเี ทพยดา ๔ องคม์ ารบั กอ่ นแล้วแสดงไว้ ณ เบือ้ งหน้าแหง่ พระมารดา
54 ตามรอยพุทธประวัติ เรื่องการประสูตินี้มีกล่าวไว้ในหนังสือพุทธประวัติหลายเล่มเนื้อหารายละเอียดต่างกันไป เช่นใน พระปฐมสมโพธิกถา กล่าวว่า“เมื่อพระมหาบุรุษประสูติจากพระครรภ์ยังมิทันถึงพื้นปฐพีท้าวสทุ ธาวาส มหาพรหมทงั้ ๔ กร็ องรบั พระกายดว้ ยขา่ ยทองในทเี่ ฉพาะพระพักตร์พระราชเทวีแล้วกล่าวว่า พระแม่เจ้าจงโสมนัสเถิด พระราชโอรสที่ประสตู ินี้มีมเหศักดาอานุภาพยิ่งนัก” สว่ น พทุ ธประวตั ฝิ า่ ยมหายานในทเิ บต กลา่ วอกี อยา่ งหนงึ่ วา่ เมอ่ื พระนางมหามายาเสดจ็ ประพาสสวนลุมพินกี ็ประชวร พระครรภ์จะคลอดกุมาร พระนางจึงโน้มเหน่ียวต้นอโศกอันมี ปริมณฑลกวา้ งใหญ่ ขณะนั้นทา้ วศตเกตุ (พระอนิ ทร)์ ก็บันดาลให้ ห่าฝนตก และให้เกิดลมพายุให้หมู่นางบริจาริกาของพระนาง มหามายากระจายไป แล้วท้าวสหัสนัยน์ก็นิรมิตเพศเป็นหญิงแก่ เขา้ ไปรับกมุ ารทเ่ี กดิ ใหม่ไวบ้ นตกั ของตน แต่พระโพธิสตั ว์ส่ังให้ทา้ ว สหสั นยั นก์ ลับเสยี แลว้ พระองคเ์ สดจ็ ด�ำ เนนิ ไปในทศิ ทส่ี �ำ คญั ๗ กา้ ว ทอดพระเนตร ไปทางทศิ ตะวนั ออกแลว้ ตรสั วา่ เราจะไดบ้ รรลถุ งึ พระ นพิ พานอนั สงู สดุ ทางทิศใต้ตรัสว่า เราจะได้เป็นเอกของสัตว์โลก ทางทิศตะวันตก ตรัสว่า เราจะถึงท่สี ุดชาติ ทางทิศเหนือตรัสว่า เราจะขา้ ม โอฆสงสาร (หว้ งน้าํ คอื สงสาร หมายถงึ การเวยี นว่าย ตายเกดิ ) ในขณะนน้ั มสี ง่ิ บนั ดาลปรากฏขน้ึ อยา่ งธรรมดาทพ่ี ระพทุ ธเจา้ ทุกๆ พระองค์ประสูติ นั่นคือมีท่อนํ้าเย็นหนึ่ง ท่อนํ้าอุ่นหนึ่ง
ส. พลายน้อย 55โปรยปรายพุ่งลงมาบนพระเศียร ชำ�ระล้างให้สะอาด และในท่ีซึ่งพระองคป์ ระสตู ิน้นั ปรากฏมีท่อนาํ้ พขุ นึ้ มาสรงพระพุทธมารดา ฯลฯ ตามธรรมเนยี มของเหล่าศกั ย (ศากยวงศ)์ ถา้ มีเดก็ เกดิใหมๆ่ ตอ้ งพาไปไหวบ้ าทเทวรปู ศกั ยวรชน เพราะฉะนน้ั พระเจา้ สทุ โธทนะจึงได้พาพระโพธิสัตว์ไปยังเทวสถาน แต่เทวรูปกลับนอบน้อมลงท่ีพระบาทพระโพธิสัตว์ คนทุกๆ คนท่ีไปสู่เทวสถานพากันพศิ วงดว้ ยอานภุ าพของพระโพธสิ ตั วผ์ แู้ รกเกดิ เพราะเหตนุ นั้ พระโพธสิ ตั วจ์ งึ ได้รบั พระนามท่ี ๒ ว่า ผูม้ อี �ำ นาจของเหล่าศกั ยหรือ ศากยมนุ ี เมอื่พระเจ้าสุทโธทนะทอดพระเนตรเห็นเทวรูปน้อมคำ�นับท่ีพระบาทพระราชกุมารจึงทรงเปล่งอุทานว่า กุมารนี้เป็นเทวดาของเทวดาท้งั หลาย เพราะเหตุน้นั จงึ มีพระนามอกี วา่ เทวาติเทพ ดังนี้จะเห็นว่าผู้รจนาพุทธประวัติมีทัศนคติต่างกัน บางเรื่องอาจต้องการให้ทราบขนบประเพณีโบราณ บางเรื่องอาจประสงค์ให้เห็นบุญญาภินิหาร ผู้ที่ไม่มีโอกาสอ่านพุทธประวัติหมดทุกเล่ม ก็จะได้ทราบเรื่องกว้างขวางมากขึ้น คงไม่เสียเวลาอ่านเป็นแน่
Search
Read the Text Version
- 1 - 47
Pages: