บทที่ 2 มลพษิ จากงานทางการเกษตร1. ความหมายของมลพษิ ทางการเกษตร คำวำ่ \"มลพษิ \" (Pollution) คือ ควำมเป็ นอนั ตรำย ควำมเป็ นพษิ ตำมพระรำชบญั ญตั ิส่งเสริมและรักษำคุณภำพสิ่งแวดลอ้ มแห่งชำติ พ.ศ.2535 มีควำมหมำยวำ่ ของเสีย วตั ถุอนั ตรำย และมลสำรอ่ืนๆ รวมท้งั กำกตะกอนและสิ่งตกคำ้ งที่มีอยใู่ นส่ิงแวดลอ้ มธรรมชำติ ซ่ึงก่อใหเ้ กิดผลกระทบต่อคุณภำพ ส่ิงแวดลอ้ ม หรือภำวะท่ีเป็ นพษิ ภยั อนั ตรำยต่อสุขภำพอนำมยั ของประชำชน รวมควำมถึงรังสี ควำมร้อน เสียง กลิ่น ควำมสนั่ สะเทือน หรือเหตุรำคำญต่ำงๆ2. ประเภทของมลพษิ จากการเกษตร 2.1 มลพษิ ทางอากาศ 2.1.1 ความหมายของมลพษิ ทางอากาศ (Air Pollution) มลพิษทำงอำกำศ หมำยถึง กำรมีสำรมลพิษในอำกำศอยำ่ งหน่ึงอยำ่ งใดหรือหลำยอยำ่ ง เช่น ฝ่ นุ กล่ิน ควนั ไอ ในลกั ษณะ ปริมำณ และภำยในช่วงเวลำที่จะก่อใหเ้ กิดผลกระทบกระเทือนในทำงลบต่อมนุษย์ สตั ว์ พืช หรือวตั ถุอื่นๆ 2.1.2 มลสารที่ทาให้อากาศเสีย 1) คำร์บอนไดออกไซด์ เป็นกำ๊ ซไมม่ ีรส ไม่มีกล่ิน หนกั กวำ่ อำกำศและละลำยน้ำได้ ในปริมำณท่ีมีอำกำศดีจะมีอยใู่ นระดบั 300 ppm. ส่วนในคอกสัตวท์ ี่มีอำกำศถ่ำยเทดีจะมีค่ำประมำณ 2,000 ppm. ก๊ำซคำร์บอนไดออกไซดถ์ ูกปล่อยจำกลมหำยใจของสตั วแ์ ละเกิดจำกกำรยอ่ ยสลำยของมูลสตั ว์ กำ๊ ซส่วนใหญ่จะเกิดจำกมูลสัตวใ์ นบ่อพกั ซ่ึงอยใู่ นรูปของเปี ยก ตวั ก๊ำซเองไม่ก่อใหเ้ กิดอนั ตรำยต่อสุขภำพสตั ว์ แต่ปริมำณที่เพมิ่ ข้ึนจึงทำใหส้ ัตวข์ ำดออกซิเจน ดงั น้นั อำกำรของสัตวท์ ี่ไดร้ ับคำร์บอนไดออกไซดม์ ำกๆ จึงเป็ นอำกำรของกำรขำดออกซิเจน เช่น วงิ เวยี นศีรษะ เดินโซเซ และหมดสติ 2) แอมโมเนีย เป็นก๊ำซไม่มีสี มีกลิ่นฉุนแสบจมกู มีน้ำหนกั มำกกวำ่อำกำศ ปกติไม่ติดไฟ แตถ่ ำ้ มีปริมำณมำกๆ เช่น ที่ควำมเขม้ ขน้ 16-25 % โดยปริมำตร หรืออุณหภมู ิ650 องศำเซลเซียส สำมำรถลุกติดไฟได้ และอำจทำใหเ้ กิดระเบิดได้ แอมโมเนียส่วนมำกเกิดจำกมูลสด โดยเฉพำะในที่อบั ช้ืนและมีอุณหภมู ิสูงถึง 100-200 องศำเซลเซียส สตั วท์ ่ีไดร้ ับแอมโมเนียมำกๆจะทำใหส้ ัตวจ์ ำม น้ำลำยยืด และกำรกินอำหำรลดลง ในไก่พบวำ่ จะทำใหอ้ ตั รำกำรเจริญเติบโตลดลงและทำใหเ้ กิดเยอื่ ตำขำวอกั เสบ
3) ไฮโดรเจน เป็นก๊ำซท่ีมีกล่ินคลำ้ ยไข่เน่ำ เกิดจำกกำรหมกั หมมของมูลสัตว์ ในสภำพไม่มีอำกำศ ในโรงเรือนที่มีกำรระบำยอำกำศไม่ดี ก๊ำซน้ีจะมีปริมำณเพ่ิมข้ึนอยำ่ งรวดเร็ว และพบวำ่ มีปริมำณสูงขณะที่มีกำรขนยำ้ ยมูลสัตว์ พบวำ่ ในปริมำณ 20 ppm. จะทำใหส้ ัตว์เกิดควำมผดิ ปกติของระบบประสำท กลวั แสง ในสุกรทำใหอ้ ำเจียน และทอ้ งร่วงได้ ถำ้ ปริมำณก๊ำซเพิ่มสูงถึง 800 ppm. จะทำใหห้ มดสติ และเสียชีวติ เน่ืองจำกระบบหำยใจเป็นอมั พำต 4) คำร์บอนมอน็อกไซด์ เป็ นกำ๊ ซท่ีเกิดจำกกำรเผำไหมจ้ ำกกำรทำงำนของเคร่ืองจกั ร เช่น เคร่ืองป่ันไฟ หรืออุปกรณ์ทำควำมร้อนที่ใชก้ ำ๊ ซหรือน้ำมนั เป็นเช้ือเพลิงโดยเฉพำะในปริมำณท่ีมีอ๊อกซิเจนต่ำ 5) มีเทน เป็นก๊ำซที่มีกลิ่น และติดไฟได้ พบมำกในมูลสตั วท์ ่ีถูกยอ่ ยสลำยโดยจุลินทรียใ์ นสภำพท่ีมีอำกำศ สตั วท์ ่ีตอ้ งสูดดมกำ๊ ซน้ีเป็นประจำ จะทำใหเ้ กิดควำมผดิ ปกติ หรือโรคในระบบทำงเดินหำยใจ สตั วอ์ อ่ นแอ อตั รำกำรเจริญเติบโตต่ำ และติดโรคไดง้ ่ำย 2.1.3 ผลกระทบทเ่ี กดิ จากมลพษิ ทางอากาศ 1) ปรำกฏกำรณ์เรือนกระจก (Greenhouse Effect) เป็นปรำกฏกำรณ์ที่อุณหภูมิของโลกสูงข้ึน เนื่องจำกกำรเพม่ิ ข้ึนของกำ๊ ซเรือนกระจก ซ่ึงเป็ นผลใหเ้ กิดปัญหำควำมแหง้แลง้ อยำ่ งต่อเน่ือง และผลผลิตทำงกำรเกษตรไดร้ ับควำมเสียหำย 2) ฝนกรด (Acid Rain) ฝนกรดเกิดจำกกำรที่อนุมลู ของกรดตำ่ งๆ เช่นกรดกำมะถนั กรดไนตริก หรือแมแ้ ตก่ รดอินทรียต์ ำ่ งๆ เจือปนอยใู่ นน้ำฝน ทำใหน้ ้ำฝนบริสุทธ์ิมีคำร์บอนไดออกไซดเ์ จือปนอยโู่ ดยธรรมชำติ และกรดคำร์บอนิคจำกกำ๊ ซน้ีอำจทำใหค้ วำมเป็นกรดของน้ำฝนบริสุทธ์ิมีค่ำ pH ประมำณ 5.6 ได้ ส่วนกรดอื่นๆ เช่น ซลั เฟต และไนเตรต เกิดจำกกำรกระทำของมนุษยซ์ ่ึงใชเ้ ช้ือเพลิงทำกำรถลุงแร่ ฝนกรดโดยทวั่ ไปมีช่วง pH 2.1-5.0 ฝนกรดนอกจำกจะทำควำมเสียหำยกบั ส่ิงก่อสร้ำงแลว้ ยงั มีผลทำใหด้ ินเกิดเป็นดินเปร้ียวไมเ่ หมำะต่อกำรเพำะปลูกและทำควำมเสียหำยต่อพืชและผลิตผลทำงกำรเกษตร 3) หมอกควนั (Smog) เป็นปรำกฏกำรณ์ของภำวะมลพษิ ทำงอำกำศซ่ึงเกิดเป็นประจำ และเป็นปัญหำหนกั มำกในเมืองใหญห่ รือในเมืองอุตสำหกรรม ผลกระทบที่สำคญั จำกมลพษิ ทำงอำกำศต่อประชำกร คือ ผลกระทบต่อสุขภำพอนำมยั โดยเฉพำะกลุ่มเส่ียง ไดแ้ ก่ เดก็ เล็ก ผสู้ ูงอำยุ ผมู้ ีอำกำรระบบทำงเดินหำยใจเร้ือรังและโรคหวั ใจ ไดร้ ับผลกระทบจำกมลพิษทำงอำกำศ โดยเฉพำะฝ่ นุ ละออง ท้งั กำรเพ่ิมจำนวนกำรเจบ็ ป่ วย กำรหยดุ เรียนหรือขำดงำน และกำรเสียชีวติ
2.1.4 หลกั การจัดการมลพษิ ทางอากาศ หลกั กำรจดั กำรมลพิษทำงอำกำศมีวธิ ีต่ำงๆ ดงั น้ี 1. การลดปริมาณมลสารจากแหล่งกาเนิด ได้แก่ 1.1 กำรเลือกใชก้ ระบวนกำรผลิตท่ีมีมลสำรนอ้ ย เช่น กำรเปล่ียนเคร่ืองจกั รท่ีใชน้ ้ำมนั เช้ือเพลิงมำเป็นเครื่องจกั รที่ใชไ้ ฟฟ้ ำ เปลี่ยนวตั ถุดิบท่ีทำใหเ้ กิดมลสำรทำงอำกำศไดง้ ่ำย มำเป็นวตั ถุดิบท่ีทำใหเ้ กิดมลสำรท่ีมีปริมำณนอ้ ยหรือไมม่ ี เช่น เช้ือเพลิงท่ีมีกำมะถนัต่ำ หรือไมม่ ีสำรตะกว่ั เป็นตน้ 1.2 กำรเลือกผลิตภณั ฑท์ ดแทน เช่น กำรใชส้ เปรยน์ ้ำแทนสเปรยท์ ี่มีสำรซีเอฟซี 1.3 กำรปรับปรุงประสิทธิภำพหรือบำรุงรักษำเครื่องยนต์เครื่องจกั รกล ใหท้ ำงำนอยำ่ งสมบูรณ์ 2. การควบคุมปริมาณมลสารจากแหล่งกาเนิด ไม่ใหเ้ กินมำตรฐำนที่กำหนด คือ กำรติดต้งั อุปกรณ์ดกั จบั มลสำร ไดแ้ ก่ ถุงกรองฝ่ นุ ของโรงหลอมเหลก็ เคร่ือง Scrubber ฉีดละอองน้ำ ดกั จบั ไอระเหย กรด-ด่ำง ฯลฯ 3. การลดการแพร่กระจายของมลพษิ เช่น กำรปลูกตน้ ไมเ้ ป็นแนวกำบงัรอบแหล่งกำเนิดมลพษิ กำรกำหนดเขตพ้นื ท่ีประกอบกำรอุตสำหกรรม ฯลฯ 2.2 มลพษิ ทางนา้ 2.2.1 ความหมายของมลพษิ ทางนา้ (Water Pollution) มลพษิ ทำงน้ำ หมำยถึง สภำวะท่ีน้ำเส่ือมคุณภำพ หรือมีคุณสมบตั ิเปล่ียนแปลงไป เนื่องจำกมีส่ิงแปลกปลอมท่ีไม่พงึ ปรำรถนำปนเป้ื อน เช่น สำรเคมี เช้ือโรคสำรกมั มนั ตรังสี ควำมร้อน เป็นตน้ ทำให้เกิดควำมเสียหำยตอ่ กำรใชป้ ระโยชน์ที่พงึ ประสงค์ น้ำเสีย หมำยถึง น้ำท่ีผำ่ นกิจกรรมกำรใชป้ ระโยชน์ดำ้ นตำ่ งๆ แลว้ จำกชุมชน บำ้ นเรือน สถำนประกอบกำรตำ่ งๆ ตลอดจนอุตสำหกรรมตำ่ งๆ 2.2.2 ลกั ษณะของนา้ เสีย 1) น้ำเสียทำงกำยภำพ (Physical Waste Water) สงั เกตไดจ้ ำก 1.1) อุณหภมู ิ (Temperature) อุณหภมู ิของน้ำท่ีส่ิงมีชีวติ จะอยไู่ ด้อยำ่ งปกติในน้ำจะข้ึนอยกู่ บั ควำมสำมำรถในกำรทนไดข้ องส่ิงมีชีวติ น้นั ๆ สัตวน์ ้ำในประเทศไทยจะอยใู่ นน้ำไดร้ ะหวำ่ งอุณหภูมิ 20-35 องศำเซลเซียส ถำ้ ร้อนหรือเยน็ กวำ่ น้ีอำจทำใหต้ ำยได้ 1.2) สีและควำมขนุ่ (Color and Turbidity) น้ำเสียจะมีสีของน้ำเปล่ียนแปลงไปจำกธรรมชำติจนมีสีดำ สีแดง สีเขียว หรือสีอ่ืนๆ เนื่องจำกสำรแขวนลอยและสำรละลำยรวมท้งั สำรอินทรียท์ ่ีละลำยในน้ำ
1.3) กล่ิน (Odor) น้ำท่ีมีกล่ินมกั เป็นน้ำเสีย ซ่ึงอำจจะมีสำรเคมีหรือส่ิงเน่ำเป่ื อยปะปนอยู่ จนทำใหม้ ีกล่ิน กล่ินของน้ำข้ึนอยกู่ บั ปริมำณส่ิงปฏิกลู ที่ละลำยอยใู่ นน้ำ 1.4) กำรนำไฟฟ้ ำ (Electrical Conductivity) หมำยถึง ควำมสำมำรถของน้ำในกำรเป็นสื่อนำไฟฟ้ ำ กำรวดั กำรนำไฟฟ้ ำสำมำรถอธิบำยถึงควำมเขม้ ขน้ ของแร่ธำตุหรือสำรประกอบตำ่ งๆ ถำ้ สำรละลำยปนอยมู่ ำกจะทำใหค้ ่ำกำรนำไฟฟ้ ำมำกดว้ ย 1.5) ของแขง็ ในน้ำ (Total Solids) หมำยถึง ของแขง็ ท่ีอยใู่ นรูปสำรที่ละลำยและสำรแขวนลอยในน้ำ ถำ้ นำน้ำที่มีของแขง็ เกินกวำ่ 1,000 มิลลิกรัม/ลิตร ไปใชผ้ ลิตน้ำประปำแลว้ จะเสียค่ำใชจ้ ่ำยสูงมำก 1.6) ลกั ษณะทำงกำยภำพอื่นๆ เช่น ควำมหนำแน่น และควำมหนืดซ่ึงจะเปลี่ยนไปตำมอุณหภูมิ ควำมกดดนั ของบรรยำกำศ ควำมลึก ควำมเขม้ ขน้ ของสำรแขวนลอยหรือควำมเคม็ ของน้ำ 2) น้ำเสียทำงเคมี สงั เกตหรือตรวจสอบไดจ้ ำก 2.1) ควำมกระดำ้ ง (Hardness) เป็นสภำพท่ีไมเ่ กิดฟองกบั สบู่ 2.2) ควำมเป็นกรดด่ำงของน้ำ (pH value of water) คำ่ ที่เหมำะสมสำหรับน้ำด่ืมจะอยรู่ ะหวำ่ ง 6-8 ถำ้ นอ้ ยหรือมำกกวำ่ 5.0-9.0 แลว้ ส่ิงมีชีวติ ในน้ำน้นั จะไดร้ ับอนั ตรำย 2.3) ปริมำณออกซิเจนละลำย (Dissolved Oxygen หรือ DO)ออกซิเจนที่ละลำยน้ำเป็ นแหล่งออกซิเจนสำหรับจุลินทรียใ์ นน้ำในกำรหำยใจและยอ่ ยสำรอินทรียใ์ นน้ำ ดงั น้นั ออกซิเจนที่ละลำยในน้ำจึงช่วยลดปริมำณสำรอินทรียแ์ ละแบคทีเรียบำงชนิดได้ และยงั ช่วยทำให้ น้ำมีรสดีข้ึนดว้ ย น้ำธรรมชำติท่ีมีคุณภำพดีมี DO อยปู่ ระมำณ 5-7 มิลลิกรัม/ลิตร หำกน้ำเสียจะมี DO นอ้ ยกวำ่ 3 มิลลิกรัม/ลิตร แตม่ ำตรฐำนคุณภำพน้ำทำใหป้ ลำและสตั วน์ ้ำมีชีวติ อยไู่ ดต้ อ้ งไม่นอ้ ยกวำ่ 2 มิลลิกรัม/ลิตร ควำมตอ้ งกำรออกซิเจนมี 2 กรณี คือ 1) ควำมตอ้ งกำรออกซิเจนทำงชีวเคมี (Biochemical OxygenDemand : BOD) เป็นคำ่ ที่ใชว้ ดั ปริมำณออกซิเจนที่ใชโ้ ดยแบคทีเรีย ในกำรยอ่ ยสลำยสำรอินทรียใ์ นน้ำ สำมำรถบอกควำมสกปรกของน้ำได้ ซ่ึงพระรำชบญั ญตั ิน้ำทิ้งจำกโรงงำนอุตสำหกรรมกำหนดไวว้ ำ่ น้ำทิง้ ก่อนปล่อยลงสู่แมน่ ้ำลำคลองตอ้ งมี BOD ไม่เกิน 20 มิลลิกรัม/ลิตร 2) ควำมตอ้ งกำรออกซิเจนทำงเคมี (Chemical Oxygen Demand :COD) เป็นปริมำณออกซิเจนท้งั หมดที่ตอ้ งกำรเพ่ือใชใ้ นกำรออกซิไดซ์สำรอินทรียใ์ นน้ำให้กลำยเป็นคำร์บอนไดออกไซดแ์ ละน้ำ โดยอำศยั หลกั วำ่ สำรอินทรียเ์ กือบท้งั หมดสำมำรถท่ีจะถูกออกซิไดซ์ โดยตวั เติมออกซิเจนอยำ่ งแรงภำยใตส้ ภำวะท่ีเป็นกรด ปกติค่ำ COD จะสูงกวำ่ คำ่ BOD
2.4) โลหะหนกั (Heavy Metals) โลหะหนกั ท่ีมีบทบำทต่อส่ิงแวดลอ้ ม มำกที่สุด คือ ปรอท ตะกวั่ แคดเมียม สำรหนู ลกั ษณะของกำรเป็นพิษ เกิดเนื่องจำกโลหะหนกั มกั สะสมอยใู่ นห่วงโซ่อำหำร และในกระบวนกำรทำงชีวภำพ 3. น้ำเสียทำงชีววทิ ยำ (Biological Wastewater) สภำพน้ำเสียทำงชีววทิ ยำ หมำยถึง น้ำมีสิ่งที่มีชีวติ เป็นพิษเป็นภยั ตอ่มนุษย์ สตั ว์ และพืช กำรตรวจวดั ควำมสกปรกของน้ำทำงดำ้ นชีววทิ ยำ จะตรวจโดยกำรหำปริมำณของโคลิฟอร์ม แบคทีเรีย ซ่ึงเป็นจุลินทรียท์ ่ีอยใู่ นลำไส้ของสัตวเ์ ลือดอุ่น สำมำรถทนต่อสภำพแวดลอ้ มไดด้ ี มีอยใู่ นอุจจำระประมำณ 95% และตำมแหล่งน้ำธรรมชำติ 5% 2.2.3 ผลกระทบจากมลพษิ ทางนา้ มลพษิ ทำงน้ำก่อใหเ้ กิดผลเสียหลำยประกำร เช่น 1. การสาธารณสุข น้ำเสียเป็ นอนั ตรำยต่อสุขภำพอนำมยั ของมนุษย์ โรคระบำดหลำยชนิด เช่น อหิวำตกโรค ไขไ้ ทฟอยด์ โรคบิด ฯลฯ เกิดจำกน้ำสกปรก ถำ้ น้ำเสียจำกโรงงำนอุตสำหกรรมมีสำรพษิ เจือปนจะทำใหเ้ กิดโรคร้ำยแรงทำลำยสุขภำพของมนุษยท์ ้งั ทำงตรงและทำงออ้ ม 2. การประมง ทำใหส้ ัตวน์ ้ำต่ำงๆ ลดจำนวนลง เน่ืองจำกไม่สำมำรถดำรงชีวติ และแพร่พนั ธุ์ไดต้ ำมธรรมชำติ 3. การผลติ นา้ เพ่อื อปุ โภคและบริโภค น้ำเสียกระทบกระเทือนต่อกระบวนกำรผลิตน้ำเพ่ือใชอ้ ุปโภคบริโภค ทำให้ตอ้ งเสียค่ำใชจ้ ำ่ ยเพม่ิ ข้ึนในกำรแยกสิ่งเจือปนที่ไม่ตอ้ งกำรออก นอกจำกน้ียงั ทำใหต้ อ้ งเพิม่ คำ่ ใชจ้ ำ่ ยในกำรซ่อมแซมเครื่องจกั รอุปกรณ์ท่ีเสียหำยจำกกำรใชน้ ้ำท่ีไม่ไดค้ ุณภำพ 4. การเกษตร น้ำเสียก่อใหเ้ กิดผลเสียหำยต่อกำรเกษตร ส่วนใหญ่เป็ นน้ำเสียที่มีควำมเป็ นกรดและด่ำงสูง น้ำเสียเหล่ำน้ีเกิดจำกกำรปล่อยน้ำทิง้ จำกโรงงำนอุตสำหกรรมลงสู่แหล่งน้ำ โดยไม่ผำ่ นกำรบำบดั ใหส้ ะอำดเสียก่อน ทำใหแ้ หล่งน้ำมีคุณสมบตั ิไม่เหมำะสมต่อกำรเจริญเติบโตของพืชผกั ที่ปลูก นอกจำกน้ีผลิตภณั ฑท์ ่ีใชใ้ นกำรเกษตร เช่น ยำฆำ่ แมลง ยำกำจดัศตั รูพืชต่ำงๆ ยงั ทำให้เกิดปัญหำเร่ืองสำรเป็นพษิ ในแหล่งน้ำ กระทบกระเทือนตอ่ กำรดำรงชีวิตของปลำและสัตวอ์ ่ืนๆ 5. ความสวยงามและการพกั ผ่อนหย่อนใจ แม่น้ำลำธำร ตลอดจนแหล่งน้ำที่สะอำด สถำนท่ีที่เป็นควำมสวยงำมตำมธรรมชำติ ซ่ึงมนุษยไ์ ดใ้ ชเ้ ป็นสถำนที่พกั ผอ่ นหยอ่ นใจได้ ถำ้ แหล่งน้ำเหล่ำน้ีสกปรก ควำมสวยงำมยอ่ มหมดไป กำรพฒั นำแหล่งน้ำใหส้ ะอำด สวยงำม จะช่วยส่งเสริมสุขภำพอนำมยั ของประชำชน และแสดงถึงควำมเจริญทำงวฒั นธรรมของบำ้ นเมืองและยงั เป็นส่ิงดึงดูดนกั ทอ่ งเท่ียวอีกดว้ ย
6. ผลกระทบอน่ื ๆ ผลกระทบท่ีกล่ำวมำเป็ นผลกระทบใหญ่ๆ ที่เห็นได้ชดั เจน ยงั มีผลกระทบที่ปัจจุบนั เป็นปัญหำเล็กนอ้ ย แตใ่ นอนำคตจะทวคี วำมรุนแรงมำกข้ึน เช่น กำรสูญพนั ธุ์ของสตั วน์ ้ำและพชื พรรณบำงชนิด กำรลดลงของแหล่งอำหำรของมนุษย์ เป็นตน้ 2.2.4 การจัดการปัญหามลพิษทางนา้ 1) ส่งเสริมกำรเกษตรแบบธรรมชำติเพ่ือหลีกเล่ียงกำรใชป้ ๋ ุยเคมีและยำฆำ่แมลงหรือใชโ้ ดยไม่ก่อใหเ้ กิดผลเสียตอ่ แหล่งน้ำ 2) แนะนำใหเ้ กษตรกรใชร้ ะบบกำรเกษตรแบบผสมผสำน ซ่ึงจะมีท้งั กำรปลูกพืชและเล้ียงสตั วเ์ พ่ือใหเ้ กิดของเสียนอ้ ย โดยกำรนำมูลสัตวไ์ ปเป็นป๋ ุย 3) กำหนดใหเ้ กษตรกรสร้ำงถงั หรือบ่อเก็บน้ำโสโครก 4) ปลูกพืชคลุมดินเพ่ือช่วยลดตะกอนและสำรพิษท่ีจะไหลลงสู่แหล่งน้ำ 5) กำรทำระบบบำบดั น้ำเสียในฟำร์ม 2.3 มลพษิ ทางกลน่ิ 2.3.1 ความหมายของกลิ่น กล่ิน หมำยถึง ส่ิงที่สำมำรถกระตุน้ ระบบกำรรับรู้กล่ิน (OlfactorySystem) สำรเคมีหรือกำ๊ ซแต่ละชนิดจะมีกล่ินแตกตำ่ งกนั มนุษยส์ ำมำรถรับรู้กล่ินไดม้ ำกกวำ่10,000 ชนิด กำรไดก้ ล่ินของมนุษยเ์ กิดจำกกำรสูดหำยใจเอำอำกำศท่ีปะปนดว้ ยสำรระเหยชนิดตำ่ งๆ เขำ้ สู่ทำงเดินหำยใจ และผำ่ นไปยงั บริเวณประสำทรับกลิ่นท่ีเรียกวำ่ Regio Olfactoria ที่มีสำรระเหยชนิดตำ่ งๆ จะถูกดูดซบั โดยเยือ่ บุขนเล็กๆ ในบริเวณเย่ือบุจะส่งสญั ญำณไปยงั ตวั รับกลิ่น(Olfactory receptors) จำกน้นั ตวั รับกลิ่นจะส่งสญั ญำณต่อไปยงั สมองเพ่อื แปลผลกล่ินที่ไดร้ ับอีกคร้ัง โดยปกติจมูกของมนุษยจ์ ะสำมำรถตรวจจบั และแยกแยะกลิ่นได้ แมว้ ำ่ จะมีควำมเขม้ ขน้ ของสำรท่ีทำใหเ้ กิดกล่ินอยใู่ นปริมำณนอ้ ยหรือต่ำกวำ่ ท่ีเครื่องกำ๊ ซโครมำโตกรำฟ(Gas Chromatorgraph) ตรวจวดั ไดก้ ็ตำม ดงั น้นั คำ่ ควำมเขม้ ข้นั ต่ำสุดของก๊ำซที่มนุษยเ์ ริ่มรับรู้กลิ่น ซ่ึงเรียกวำ่ \"Odor Threshold Values\" (OTV) จึงมีค่ำต่ำกวำ่ คำ่ ควำมเขม้ ขน้ ที่ต่ำท่ีสุดท่ีสำรหรือกำ๊ ซน้นัจะเริ่มเป็ นอนั ตรำยตอ่ มนุษยซ์ ่ึงเรียกวำ่ \"Lowest Toxic Values\" (LTV) และโดยทว่ั ไปคำ่ OTV จะต่ำกวำ่ ค่ำ LTV อยำ่ งนอ้ ย 500 เทำ่ ดงั ตำรำงท่ี 1
ตารางที่ 1 ค่ำควำมเขม้ ขน้ ต่ำสุดของกำ๊ ซที่มนุษยเ์ ร่ิมรับรู้กลิ่น (OTV) และค่ำควำมเขม้ ขน้ ต่ำสุด ของกำ๊ ซซ่ึงจะเร่ิมเป็ นอนั ตรำยต่อมนุษย์ (LTV) สำหรับกำ๊ ซท่ีมีกลุ่มชนิดตำ่ งๆ ใน อำกำศภำยในโรงเรือนสุกร Compound OTV. LTV.Ammonia ppb ppbAcetic acid 4,700 25,000Phenol 1,000 10,000Methyl mercaptan 5,000Butyric acid 5 500p-Cresol 2Ethyl mercaptan 1 -Dimethyl sulfide 1 5,000Hydrogen sufide 1 500 1 1,000 5 10,000ท่ีมำ : Tamminga (1992) อำ้ งถึงใน Roderick I. Mackie, Peter G. Stroot and Vincent H. Varel (1998) 2.3.2 แหล่งกาเนิดกลนิ่ แหล่งกำเนิดกล่ินที่สำคญั ภำยในฟำร์มสัตว์ ประกอบดว้ ย โรงเรือนสัตว์ลำนตำกมลู ระบบบำบดั น้ำเสีย และบริเวณโดยรอบของฟำร์ม 2.3.3 มำตรกำรในกำรจดั กำรเพื่อลดผลกระทบดำ้ นกลิ่นสำหรับแต่ละแหล่งกำเนิดกลิ่น มีดงั น้ี 1) ภำยในโรงเรือนสตั ว์ แหล่งกำเนิดกล่ินที่อยภู่ ำยในโรงเรือนสัตว์ ไดแ้ ก่ - พ้ืนและผนงั ของโรงเรือนท่ีเปี ยกช้ืนและเปรอะเป้ื อนดว้ ยมูลสัตว์ - ตวั สตั วท์ ่ีเปรอะเป้ื อนดว้ ยมลู สัตว์ - อำหำรท่ีเสียหรือข้ึนรำแลว้ - ฝ่ นุ จำกอำหำรและตวั สัตว์ - ซำกสตั วท์ ี่ตำยแลว้
1.1) ส่ิงท่ีฟำร์มตอ้ งปฏิบตั ิในกำรลดผลกระทบดำ้ นกล่ินท่ีเกิดจำกโรงเรือนสัตว์ คือ - เกบ็ กวำดมลู สตั วอ์ อกจำกพ้นื คอกอยำ่ งนอ้ ยวนั ละ 2 คร้ัง เชำ้ และ บ่ำย - ชำระลำ้ งคอกอยำ่ งสม่ำเสมอ อยำ่ งนอ้ ยทุก 2 วนั และหลงั ใช้น้ำลำ้ งพ้นื คอกแลว้ ตอ้ งกวำดพ้นื ใหแ้ หง้ อยำ่ ใหม้ ีน้ำนอง - กรณีที่ใชร้ ะบบ flushing นำส่ิงขบั ถ่ำยออกจำกใตพ้ ้ืนคอก ให้ใชน้ ้ำชำระลำ้ งอยำ่ งนอ้ ยทุก 2 วนั - ใชร้ ะบบใหน้ ้ำแบบอตั โนมตั ิชนิดหวั จุบ๊ เพื่อป้ องกนั กำรหกเลอะเทอะทำใหพ้ ้นื คอกช้ืนแฉะ - จดั ใหท้ ่ีใหอ้ ำหำรอยสู่ ูงจำกพ้ืนคอก และอยใู่ นส่วนทำ้ ยสุดของคอกเพ่ือป้ องกนั สตั วท์ ำหกเลอะเทอะพ้ืน - นำอำหำรที่เสียแลว้ ออกจำกคอกทนั ที - นำสตั วท์ ี่ตำยแลว้ ออกจำกคอกและนำไปกำจดั ดว้ ยวธิ ีท่ีเหมำะสมในทนั ที - ทำใหภ้ ำยในโรงเรือนมีกำรระบำยอำกำศที่ดี และมีอำกำศบริสุทธ์ิในปริมำณท่ีเพียงพอกบั ควำมตอ้ งกำรของสตั ว์ 2) ระบบบำบดั น้ำเสีย ระบบบำบดั น้ำเสียของฟำร์มส่วนใหญ่เป็นระบบบ่อหมกั ซ่ึงเป็นระบบบอ่ เปิ ด ซ่ึงในกระบวนกำรยอ่ ยสลำยสำรอินทรียข์ องจุลินทรียใ์ นบอ่ จะเป็ นปฏิกิริยำที่ไมใ่ ชอ้ อกซิเจน ก๊ำซท่ีเป็ นผลลพั ธ์จำกปฏิกิริยำน้ีจะเป็ นกำ๊ ซมีเทน และก๊ำซที่ไม่มีกล่ินอ่ืนๆเป็ นส่วนใหญ่ แต่หำกขำดกำรดูแลควบคุมระบบใหม้ ีประสิทธิภำพแลว้ ปฏิกิริยำที่เกิดข้ึนภำยในบ่อจะเป็นไปอยำ่ งไมส่ มบูรณ์ ซ่ึงก๊ำซที่เกิดข้ึนจะเป็นก๊ำซท่ีมีกลิ่น เช่น กำ๊ ซไฮโดรเจนซลั ไฟด์ หรือก๊ำซไข่เน่ำข้ึนแทน ดงั น้นั ในกรณีของฟำร์มที่ใชว้ ธิ ีเกบ็ กกั น้ำเสียไวใ้ นบอ่ โดยไม่ดูแลรักษำจะทำใหบ้ อ่น้ ำเสียกลำยเป็ นแหล่งกำเนิดกล่ินท่ีสำคญั สำหรับวธิ ีกำรจดั กำรเพ่ือลดผลกระทบทำงดำ้ นกล่ินจำกระบบบำบดัน้ำเสียของฟำร์มสัตว์ มีดงั น้ี - ควบคุมปริมำณน้ำเสียที่จะนำไปบำบดั ให้เป็นไปตำมขีดควำมสำมำรถในกำรบำบดั ของระบบ - แยกมลู สัตวอ์ อกจำกน้ำเสียก่อนนำไปยงั ระบบบำบดั เพ่ือป้ องกนักำรต้ืนเขินของบ่อและป้ องกนั ปริมำณควำมสกปรกที่มำกกวำ่ ควำมสำมำรถในกำรบำบดั ของระบบ - ควบคุมกำรทำงำนของระบบบำบดั น้ำเสียเป็นไปอยำ่ งมีประสิทธิภำพท่ีออกแบบไว้
3) ลำนตำกมูลสตั ว์ ฟำร์มสัตวส์ ่วนใหญ่ จะใชว้ ธิ ีเก็บกวำดมูลสัตวอ์ อกจำกพ้ืนคอกแลว้ นำไปตำกแดดใหแ้ หง้ บนลำนตำกมลู ของฟำร์ม ซ่ึงมกั เป็นลำนพ้ืนคอนกรีต แต่ในระหวำ่ งกำรตำกแหง้ น้ีจะมีกำรปลดปล่อยกำ๊ ซท่ีมีกล่ินหลำยชนิด สำหรับมำตรกำรในกำรลดผลกระทบทำงดำ้ นกลิ่นจำกลำนตำกมลู สตั ว์ มีดงั น้ี - กระจำยมูลใหม้ ีควำมหนำบนพ้ืนนอ้ ยที่สุด เพื่อใหแ้ หง้ โดยเร็วที่สุด - เก็บกวำดมูลสัตวท์ ่ีแหง้ แลว้ ออกจำกพ้ืนทนั ที และดูแลไมใ่ หม้ ลูสัตวเ์ ปี ยกฝนในระหวำ่ งตำกแหง้ - กรณีที่มีระบบบำบดั น้ำเสียเป็ นแบบไบโอแกส๊ ใหน้ ำมูลสตั วม์ ำบำบดั ร่วมกบั น้ำเสียในระบบไบโอแกส๊ 4) บริเวณโดยรอบฟำร์ม นอกจำกกำรจดั กำรท่ีแหล่งกำเนิดกล่ินแลว้ กำรจดั กำรบริเวณโดยรอบฟำร์มเพ่ือช่วยใหม้ ีกำรกระจำยของกลิ่นอยำ่ งรวดเร็ว และช่วยลดระดบั ควำมรุนแรงของกล่ินก่อนระบำยออกสู่ภำยนอกฟำร์ม ยงั มีบทบำทสำคญั เป็นอยำ่ งยง่ิ ต่อกำรควบคุมควำมเขม้ ขน้ ของกล่ินท่ีริมร้ัว สำหรับสิ่งท่ีฟำร์มตอ้ งปฏิบตั ิเพ่ือใหค้ ่ำควำมเขม้ ขน้ กลิ่นบริเวณริมร้ัวเป็นไปตำมมำตรฐำน ดงั น้ี - ปลูกตน้ ไมล้ อ้ มรอบโรงเรือนเพื่อช่วยในกำรกรองสำรมลพษิ และฝ่ นุจำกโรงเรือนสัตวซ์ ่ึงจะช่วยลดควำมเขม้ ขน้ ของกล่ินไดใ้ นระดบั หน่ึง - จดั ใหม้ ีแนวกนั ชนหรือ buffer zone ระหวำ่ งแหล่งกำเนิดกลิ่นของฟำร์มกบั แนวร้ัวของฟำร์มเพื่อลดควำมเขม้ ขน้ ของกลิ่นที่ริมร้ัว สำหรับควำมกวำ้ งของ buffer zone ให้พจิ ำรณำตำมควำมเหมำะสมกบั ควำมเขม้ ขน้ ของกลิ่นท่ีตอ้ งกำรลด ซ่ึงข้ึนอยกู่ บั ควำมเขม้ ขน้ ของกล่ินท่ีถูกปลดปล่อยออกจำกแหล่งกำเนิดกล่ินนน่ั เอง2.4 มลพษิ ทางเสียง (Noise Pollution)เสียง เกิดจำกกำรส่ันสะเทือนของโมโลกุลในอำกำศ ทำใหเ้ กิดคลื่นเสียง เคล่ือนที่ผำ่ นสื่อกลำง (อำกำศ) จนกระทงั่ กระทบเคร่ืองรับจึงทำใหไ้ ดย้ นิ เสียงโดยมีหูเป็นเครื่องรับมลพิษทำงเสียงเกิดข้ึนจำกเสียงรบกวนหรือเสียงท่ีดงั เกินขนำด มลพิษทำงเสียงส่งผลกระทบในวงกวำ้ งมำกข้ึนตำมควำมเจริญกำ้ วหนำ้ ทำงเทคโนโลยี ท้งั กำรนำเอำเครื่องจกั รกลมำใชใ้ นโรงงำนอุตสำหกรรม กำรใชย้ ำนพำหนะขบั เคลื่อนดว้ ยกำลงั ขบั เคล่ือนลอ้ หนำ้ กำรก่อสร้ำงอำคำรดว้ ยเคร่ืองมือขนำดใหญ่ เสียงดงั เกินขนำดยอ่ มทำใหเ้ กิดอนั ตรำยต่อระบบกำรไดย้ นิสุขภำพจิต และสุขภำพ ส่วนควำมรุนแรงของอนั ตรำยที่ไดร้ ับข้ึนอยกู่ บั ควำมดงั ควำมถี่ และระยะเวลำท่ีไดย้ นิ
2.4.1 อนั ตรายจากมลพษิ ทางเสียง 1) อนั ตรำยต่อกำรไดย้ นิ (Hearing Damage) กำรท่ีไดร้ ับฟังเสียงดงั มำกๆติดต่อกนั เป็ นเวลำนำน อำจทำใหเ้ กิดอำกำรหูตึง หรือหูหนวก คือ ทำใหไ้ ม่ไดย้ นิ กำรพดู คุยแบบธรรมดำ อำกำรหูตึงหรือหูหนวก มีอำกำรได้ 2 แบบ คือ 1.1) อำกำรหูตึงหรือหูอ้ือชวั่ ครำว เกิดจำกกำรฟังเสียงระดบั สูง ช่วงระยะเวลำส้ันๆ อำกำรหูตึงชว่ั ครำวจะไมไ่ ดย้ นิ เสียงพดู คุยธรรมดำประมำณ 7 วนั เม่ือไดพ้ กั จำกกำรฟังกจ็ ะอำกำรดีข้ึน องคก์ ำรพิทกั ษส์ ่ิงแวดลอ้ มแห่งสหรัฐอเมริกำ (EPA) ไดส้ รุปวำ่ ผทู้ ่ีไดร้ ับเสียงดงัตลอด 24 ชว่ั โมง เฉลี่ยเกิน 70 เดซิเบล จะกลำยเป็นคนหูตึงในเวลำ 40 ปี 1.2) อำกำรหูตึงหรือหูหนวกถำวร เน่ืองจำกเสียงที่ไดร้ ับน้นั ดงั มำกเกินไปจนถึงข้นั ทำลำยปลำยประสำทและเซลลป์ ระสำทไปอยำ่ งถำวร จนสูญเสียกำรไดย้ นิ และไม่สำมำรถฟ้ื นคืนสภำพได้ 1.3) อนั ตรำยแบบเฉียบพลนั เป็นอำกำรของหูหนวกท่ีเกิดข้ึนอยำ่ งฉบั พลนั จำกกำรไดร้ ับเสียงที่ดงั มำกเกินไป จนทำใหป้ ลำยประสำทและเซลลป์ ระสำทรับเสียงถูกทำลำย และแกว้ หูฉีกขำดไปในทนั ที เช่น เสียงระเบิด เสียงฟ้ ำผำ่ เป็นตน้ 2) อนั ตรำยต่อสุขภำพทว่ั ไปและจิตใจ ไดแ้ ก่ กำรรบกวนกำรทำงำน และประสิทธิภำพควำมถูกตอ้ งของงำนสูญเสียไป รบกวนกำรติดตอ่ สื่อสำร ขดั ขวำงกำรไดย้ นิ สญั ญำณอนั ตรำยต่ำงๆ รบกวนกำรนอนหลบั ทำงดำ้ นสุขภำพทว่ั ไปทำใหเ้ กิดกำรเปลี่ยนแปลงทำงสรีรวทิ ยำทำใหเ้ กิดอำกำรอ่อนเพลียท้งั ทำงร่ำงกำยและจิตใจ ปวดศีรษะ คลื่นไส้ อำเจียน หงุดหงิด มีควำมดนัโลหิตสูง อำจทำใหเ้ กิดโรคหวั ใจ ชีพจรเตน้ ผดิ ปกติ เกิดอำกำรเกร็งของกลำ้ มเน้ือ รวมท้งั อำจเกิดโรคตอ่ มไทรอยด์เป็นพษิ ได้ 2.4.2 หลกั การจัดการมลพษิ ทางเสียง 1. หลกั กำรจดั กำรมลพษิ ทำงเสียง 1.1 หลกั กำรลดหรือควบคุมเสียง แบ่งเป็น 3 ประกำร คือ 1) กำรลดหรือควบคุมระดบั เสียงที่จุดกำเนิด (Source) เป็นกำรลดหรือควบคุมระดบั เสียงที่ตน้ เหตุ ซ่ึงจะประหยดั และไดผ้ ลกวำ่ วธิ ีอ่ืนๆ เช่น กำรติดต้งั เครื่องลดหรือเคร่ืองกรองเสียง อำทิ กำรใชท้ ่อไอเสียที่ไดม้ ำตรฐำน กำรใชห้ รือปรับแต่งเคร่ืองยนตใ์ หม้ ีควำมสมบูรณ์ กำรจดั หำเคร่ืองมือท่ีมีเสียงเบำมำแทนหรือปรับปรุงแกไ้ ขเคร่ืองมือท่ีมีเสียงดงั ใหล้ ดนอ้ ยลงจนเป็ นท่ีปลอดภยั เป็ นตน้ 2) กำรลดหรือควบคุมระดบั เสียงที่ทำงผำ่ น (Paht) โดย - ใชผ้ นงั ก้นั อุปกรณ์ที่เป็นตน้ กำเนิดเสียงหรือหุม้ ทบั ซ่ึงมกัใชแ้ ผน่ ตะกวั่ หรือแผน่ ไวนิล-ตะกวั่
- กำรใชฉ้ นวนหรืออุปกรณ์ลดเสียง เช่น ผำ้ นวม ผำ้ ใยแกว้ฯลฯ หุม้ ส่วนที่เป็ นทำงผำ่ นของเสียง เพอ่ื บงั คบั ไม่ใหท้ ่อต่ำงๆ สนั่ ไปตำมเคร่ืองจกั รน้นั - กำรใชว้ สั ดุบุผนงั เกบ็ เสียงสะทอ้ น ทำใหใ้ ชแ้ ผน่ ไฟเบอร์กลำส แผน่ กระเบ้ืองอะคูสติกหุม้ ส่วนผนงั ฝ้ ำ และเพดำนของโรงงำน - ติดเคร่ืองเกบ็ เสียงหรือออกแบบทอ่ เกบ็ เสียงชนิดพเิ ศษเขำ้ท่ีทอ่ ไอเสียของเคร่ืองยนต์ - ติดต้งั เครื่องจกั รไวบ้ นวตั ถุท่ีกนั สะเทือนและกนั เสียงดงัได้ - กำรเพ่ิมระยะทำงจำกแหล่งกำเนิดเสียงถึงผรู้ ับ (Receiver)เช่น กำรเวน้ ช่องระหวำ่ งถนนและบำ้ นเรือนหรืออำคำรริมถนน กำรกำหนดใหม้ ีระยะห่ำงระหวำ่ งเคร่ืองจกั ร ที่มีเสียงดงั กบั แนวเขตของโรงงำน กำรกำหนดใหม้ ีพ้ืนที่วำ่ งระหวำ่ งขอบของโรงงำนหรือกิจกรรมท่ีมีเสียงดงั กบั บำ้ นเรือนของประชำชน เป็นตน้ 3) กำรลดหรือควบคุมระดบั เสียงท่ีผรู้ ับ (Receiver) เป็นวธิ ีกำรสุดทำ้ ยท่ีไมส่ ำมำรถลดระดบั เสียงที่ทำงผำ่ นได้ อำจทำไดโ้ ดย - ใชเ้ ครื่องป้ องกนั เช่น เครื่องป้ องกนั หู ไดแ้ ก่ เคร่ืองอุดหู(Ear Plugs) ใชส้ อดเขำ้ ไปใส่รูหูช่วยลดเสียงไดป้ ระมำณ 25-30 เดซิเบล ส่วนเคร่ืองปิ ดหูหรือเครื่องครอบหู (Ear Muffs) เป็นเคร่ืองครอบปิ ดท้งั หูที่ผใู้ ชส้ ำมำรถเลือกขนำดใหพ้ อเหมำะกบั ศีรษะสำมำรถลดเสียงไดด้ ีกวำ่ เคร่ืองอุดหูประมำณ 10-15 เดซิเบล และหมวกซ่ึงปกติเป็นเครื่องป้ องกนัศีรษะ แตอ่ ำจประยกุ ตม์ ำใชป้ ้ องกนั เสียงดงั ได้ - ลดระยะเวลำท่ีตอ้ งทำงำนอยกู่ บั เสียงใหน้ อ้ ยลง โดยสลบัไปทำงำนอื่นท่ีไม่เกี่ยวกบั เสียงบำ้ ง - แยกคนงำนท่ีไม่ทำงำนเกี่ยวขอ้ งกบั เสียงหรือเครื่องจกั รท่ีมีเสียงดงั ออกไปจำกงำนที่เกี่ยวขอ้ งกบั เสียงดงั เพื่อลดปริมำณคนงำนท่ีเส่ียงต่ออนั ตรำยจำกเสียงดงั - ทำกำรทดสอบกำรไดย้ นิ ในคนงำนที่เกี่ยวขอ้ งกบั เสียงดงั ทุกคน โดยตรวจก่อนทำงำน และระหวำ่ งกำรทำงำนเป็ นระยะๆ เพอื่ คน้ หำอำกำรผดิ ปกติท่ีเกิดข้ึนกบัคนงำน 1.2 มำตรกำรทำงกำรบริหำรหรือกฎหมำย ไดแ้ ก่ 1) กำรจดั วำงผงั เมือง โดยแยกชุมชนออกจำกแหล่งกำเนิดเสียง เช่น - ไมใ่ หม้ ีพ้ืนท่ีระเบิด และยอ่ ยหินใกลแ้ หล่งชุมชน ในรัศมี10 กิโลเมตร
- กำรกำหนดลกั ษณะอำคำรริมถนนในยำ่ นชุมชนท่ีมีธุรกิจกำรคำ้ หนำแน่น - กำรจดั ต้งั นิคมอุตสำหกรรมนอกเขตชุมชน 2).กำรใชก้ ฎหมำยควบคุมกำรระบำยมลพษิ ทำงเสียงจำกแหล่งกำเนิดประเภทต่ำงๆ - มำตรฐำนระดบั เสียงในชุมชน - มำตรฐำนระดบั เสียงจำกสถำนประกอบกำร2.5 มลพษิ จากขยะมูลฝอย 2.5.1 ความหมายของขยะมูลฝอย ขยะมลู ฝอย คือ เศษส่ิงของที่ไม่ตอ้ งกำรแลว้ สิ่งของที่ชำรุดเสียหำยใชก้ ำรไมไ่ ด้ หรือเสื่อมคุณภำพตอ้ งนำไปกำจดั หรือทำลำยทิ้ง หรือแจกจ่ำยใหแ้ ก่ผอู้ ื่น ไดแ้ ก่ เศษกระดำษเศษผำ้ ขวดแกว้ กระป๋ อง พลำสติก ซำกสัตว์ ฯลฯ 2.5.2 ผลกระทบจากปัญหาขยะมูลฝอย กำรเพ่ิมจำนวนประชำกร ควำมเจริญกำ้ วหนำ้ ทำงเทคโนโลยแี ละเศรษฐกิจ ทำให้เกิดปัญหำดำ้ นปริมำณมลู ฝอย และปัญหำในกำรจดั กำรมูลฝอย เพรำะกำรจดั กำรที่ไมเ่ หมำะสมยอ่ มก่อใหเ้ กิดปัญหำต่อมนุษยแ์ ละสิ่งแวดลอ้ ม สรุปไดด้ งั น้ี 1) ผลกระทบดำ้ นสุขภำพอนำมยั กำรจดั กำรมลู ฝอยไมเ่ หมำะสม เช่นกำรทิง้ กลำงแจง้ มีกำรปะปนของมลู ฝอยอนั ตรำย เป็นแหล่งเพำะพนั ธุ์ของสตั วพ์ ำหนะนำโรค ยอ่ มส่งผลกระทบโดยตรงตอ่ ปัญหำสุขภำพ 2) ผลกระทบตอ่ สิ่งแวดลอ้ ม กำรกองทิ้งมูลฝอยกลำงแจง้ อำจก่อใหเ้ กิดปัญหำมลพิษทำงน้ำ มลพษิ ทำงอำกำศ ก่อใหเ้ กิดควำมรำคำญและไมน่ ่ำดู ส่งกล่ินเหมน็ รบกวนหำกสะสมเป็ นเวลำนำนอำจก่อให้เกิดก๊ำซที่เกิดจำกกำรหมกั เป็ นกำ๊ ซชีวภำพสำมำรถติดไฟหรือระเบิดได้ และเสี่ยงต่อกำรเกิดอคั คีภยั เพรำะขยะบำงประเภทติดไฟง่ำยและเป็นเช้ือเพลิงอยำ่ งดี 2.5.3 การจัดการปัญหาขยะมูลฝอยและสิ่งปฏกิ ูล 1. การลดและใช้ประโยชน์ กำรลดปริมำณขยะมูลฝอยเป็ นวธิ ีท่ีสำมำรถแกป้ ัญหำไดใ้ นระดบั หน่ึง กำรลดมลู ฝอยโดยใชว้ ธิ ี 5R ไดแ้ ก่ กำรใชอ้ ยำ่ งประหยดั (Reduce) กำรนำแปรรูปเพือ่ นำกลบั มำใชใ้ หม่ (Recycle) กำรซ่อมแซมวสั ดุท่ีชำรุด (Repair) กำรหลีกเล่ียงใชว้ ตั ถุท่ีมีพิษ (Reject) และกำรนำกลบั มำใชซ้ ้ำ (Reuse) 2. การจัดเกบ็ มูลฝอย เป็นกำรเก็บรวบรวมมลู ฝอยลงไปในถงั รองรับเพ่อื ใหก้ ำรจดั เก็บเป็นไปอยำ่ งมีประสิทธิภำพ ตอ้ งไดร้ ับกำรจดั ระบบ และวำงรูปแบบของกำรเก็บรวบรวมไดถ้ ูกตอ้ งและเหมำะสม ระบบท่ีนิยมใชเ้ ป็นกำรแบง่ ตำมคุณสมบตั ิ ไดแ้ ก่
2.1 ระบบถงั ขยะใบเดียว จึงเป็นมลู ฝอยผสม เหมำะจะนำไปกำจดัเพอ่ื กำรปรับปรุงพ้ืนท่ี 2.2 ระบบถงั ขยะสองถงั โดยกำหนดใหถ้ งั ขยะใบหน่ึงเก็บมูลฝอยประเภทเศษอำหำรซ่ึงตอ้ งนำไปกำจดั ทุกวนั ส่วนถงั ขยะใบที่สองเป็นมูลฝอยทว่ั ไป ไม่ตอ้ งเกบ็ ทุกวนั ช่วยลดค่ำใชจ้ ่ำย 2.3 ระบบถงั ขยะสำมถงั เป็นระบบท่ีเหมำะสมกบั พ้นื ที่ที่มีกำรกำจดั มลู ฝอยหลำยวธิ ีตำมสภำพมลู ฝอยท่ีเกิดข้ึน ถงั ขยะใบแรกเกบ็ มูลฝอยที่ยอ่ ยสลำยง่ำยหรือมลูฝอยสด ส่วนใบท่ีสองและใบที่สำมรวบรวมมลู ฝอยอ่ืนๆ เช่น มลู ฝอยรีไซเคิล หรือมูลฝอยอนั ตรำย 2.4 ระบบถงั ขยะสี่ถงั ซ่ึงเป็นระบบที่เหมำะสมกบั ประเทศไทยเป็นกำรรวบรวมมูลฝอยตำมประเภทและวตั ถุประสงคใ์ นกำรกำจดั ไดแ้ ก่ ใบที่หน่ึงเกบ็ มูลฝอยสดใบท่ีสองเกบ็ มูลฝอยทวั่ ไป ใบที่สำมเกบ็ มูลฝอยรีไซเคิล และใบที่ส่ีเก็บมลู ฝอยอนั ตรำย 2.5 กำรรวบรวมมลู ฝอยพิเศษ เช่น มูลฝอยติดเช้ือของโรงพยำบำลฯลฯ ตอ้ งเกบ็ รวบรวมดว้ ยควำมระมดั ระวงั เพื่อป้ องกนั กำรแพร่กระจำย และกำรปนเป้ื อน 2.6 กำรเก็บรวบรวมมูลฝอยในชนบท เป็นหนำ้ ท่ีของแตล่ ะครัวเรือนตำมควำมเหมำะสม อำจเกบ็ รวบรวมแลว้ เผำเป็นคร้ังครำว 3. การขนส่ง เป็ นกำรรวบรวมมลู ฝอยหลงั กำรเก็บในแตล่ ะแหล่งกำเนิดซ่ึงตอ้ งคำนึงถึงปริมำณ ระยะทำง และควำมคล่องตวั เช่น รถขยะขนำดเลก็ เหมำะสมเขำ้ ไปเก็บในซอยเล็กๆ รถที่มีระบบอดั สำมำรถบรรจุมลู ฝอยไดใ้ นปริมำณมำก เป็นตน้ กำรขนส่งตอ้ งคำนึงถึงควำมปลอดภยั และประหยดั ดงั น้ี 3.1 หำกระยะทำงระหวำ่ งสถำนที่รวบรวมกบั สถำนท่ีกำจดั ไม่ไกล ควรใหร้ ถขนส่งขยะไปยงั สถำนท่ีกำจดั โดยตรง 3.2 หำกระยะทำงไกล และมีปริมำณมำก อำจตอ้ งสร้ำงสถำนีขนถ่ำยเพอื่ เทจำกรถเก็บมลู ฝอยสู่รถบรรทุกขนำดใหญ่
Search
Read the Text Version
- 1 - 13
Pages: