บทนำ (INTRODUCTION) อาจารยจ์ ิตรา สุขเจริญ สาขาวชิ าการพยาบาลผู้ใหญแ่ ละผสู้ งู อายุ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี ชลบรุ ี Anatomy & Physiology กรกฎาคม 2564
วชิ ากายวิภาคศาสตรแ์ ละสรรี วิทยา 1 บทที่ 1 บทนำ (Introduction) บทท่ี 1 บทนำ (INTRODUCTION) ************************** เวลาเรียน 2 ช่ัวโมง หวั ข้อสอน 1.1 ความรู้ท่ัวไปเก่ียวกบั วชิ ากายวิภาคศาสตร์และสรรี วิทยา 1.2 สว่ นประกอบและโครงสร้างของร่างกาย 1.2.1 เซลล์ ส่วนประกอบ โครงสรา้ งและหนา้ ที่ของเย่ือหุ้มเซลล์ ไซโตพลาสซมึ และนวิ เคลยี ส 1.2.2 หนา้ ทแี่ ละการทำงานของเซลล์ 1.3 เนอื้ เยอ่ื ในร่างกาย - เนอ้ื เย่อื บผุ วิ ชนิด ตำแหนง่ โครงสรา้ งและหนา้ ที่ - เน้ือเยอื่ เก่ยี วพัน - เน้ือเย่อื กล้ามเน้อื - เนอ้ื เยอื่ ประสาท เซลลป์ ระสาท 1.4 ผวิ หนังและอวยั วะที่มีกำเนิดมาจากผวิ หนงั วัตถุประสงค์ เมื่อเรยี นจบนักศกึ ษาสามารถ 1. มีความรคู้ วามเขา้ ใจในความรู้ทวั่ ไปเก่ยี วกบั วชิ ากายวิภาคศาสตร์และสรีรวทิ ยา 2. อธิบายสว่ นประกอบและโครงสร้างของร่างกายในระดับต่าง ๆ ได้ 3. อธบิ ายความหมายและหน้าทีข่ องเนื้อเยื่อชนดิ ตา่ ง ๆ ได้ 4. อธิบายส่วนประกอบและโครงสร้างผวิ หนังและอวัยวะท่ีมกี ำเนิดมาจากผิวหนังได้ 5. ตระหนักถงึ ความสำคัญของวชิ ากายวิภาคศาสตรแ์ ละสรรี วทิ ยาในการเชือ่ มโยงไปศึกษาตอ่ ใน วิชาชพี พยาบาล และวิชาอนื่ ท่ีเก่ียวข้อง บทนำ (Introduction) หนา้ 1 จาก 30
วิชากายวภิ าคศาสตรแ์ ละสรรี วิทยา 1 บทที่ 1 บทนำ (Introduction) บทท่ี 1 บทนำ (INTRODUCTION) เอกสารประกอบการสอนวชิ ากายวิภาคศาสตร์ และสรรี วทิ ยา อ. จิตรา สุขเจริญ ความร้ทู ั่วไปเกย่ี วกบั วิชากายวิภาคศาสตร์และสรรี วิทยา กายวิภาคศาสตร์ (Anatomy) เป็นวิชาวิทยาศาสตร์ทางการแพทย์ที่เก่าแก่ที่สุดแขนงหนึ่ง เริ่มมี การพบและศึกษาคร้ังแรกในประเทศอียิปต์ (500 B.C.) ต่อมา Hippocrates (460-377 B.C.) ซ่ึงถือวา่ เป็น Father of Modern Medicine ได้นำไปเผยแพร่ในประเทศกรีก และเป็นผู้วางรากฐาน วิชากายวภิ าคศาสตร์ Aristotle (384-322 B.C.) นักฟิสิกส์และนักวิทยาศาสตร์ชาวกรีก เป็นบุคคลแรกที่ใช้คำว่า “anatome” แปลว่า cutting up หรือ taking apart ซึ่งมีความหมายใกล้เคียงกับคำในภาษาลาตินว่า “dissecure” ซง่ึ แปลว่า การชำแหละ, การตัด หรอื การแยกออกเปน็ สว่ น ๆ วชิ ากายวิภาคศาสตร์ คอื วิชาทีศ่ กึ ษาถงึ ส่วนต่างๆ ทป่ี ระกอบขึน้ เปน็ รูปรา่ ง (Morphology) ลกั ษณะโครงสร้างร่างกายของมนษุ ย์หรือสตั ว์ รวมทั้งตำแหน่งทตี่ ั้งของอวัยวะต่างๆ และความสมั พันธ์ของ โครงสร้างของรา่ งกาย สรรี วิทยา (Physiology) คือ วชิ าท่ีศกึ ษาหนา้ ทกี่ ารทำงานของโครงสร้างหรืออวัยวะต่างๆ ของ รา่ งกาย เม่ือรวมกันเข้าอวัยวะเหลา่ นตี้ ้องทำงานประสานสัมพนั ธ์กัน วิชากายวิภาคศาสตร์และสรีรวิทยา จึงเป็นวิชาที่เกี่ยวกับร่างกาย ลักษณะ รูปร่างและหน้าที่การ ทำงานของโครงสร้างหรืออวัยวะต่างๆ ในภาวะปกติของร่างกายมนุษย์และสัตว์ ดังนั้นในการศึกษาวิชากาย วิภาคศาสตร์และสรีรวิทยาจึงเป็นพื้นฐานและเป็นประโยชน์ในการนำไปใช้เปรียบเทียบความแตกต่างที่เกิด ขึน้ กับคนที่อยู่ในภาวะปกติ ขณะออกกำลังกาย และกบั คนทีเ่ ป็นโรค ร่างกายของมนุษย์มีโครงสร้างในระดับต่าง ๆ กัน เริ่มในระดับ อะตอม (atoms), โมเลกุล (molecules), สารประกอบ (compounds) เมอ่ื มีการเพม่ิ ขนาดและองคป์ ระกอบท่ีซบั ซอ้ นขึ้นจะกลายเป็น หน่วยย่อยท่เี รียกว่า เซลล์ (cells), เนื้อเยือ่ (tissues), อวยั วะ (organs) และ ระบบ (systems) ซึง่ จะประกอบ เปน็ โครงสร้าง ทสี่ มบูรณข์ องส่ิงมชี ีวติ Cells หมายถึง หนว่ ยอิสระที่เล็กที่สดุ ของสิง่ มชี ีวติ มีรปู ร่างและหน้าท่ที ี่แนน่ อน Tissues หรือ เนื้อเยื่อ เกิดจากการรวมกันของเซลล์ชนิดเดียวกัน หรือเซลล์ที่คล้ายคลึงกัน เพ่อื ทำหน้าท่เี ฉพาะอยา่ งใดอย่างหน่งึ Organs อวัยวะ (Organs) เป็นโครงสร้างของร่างกายทีม่ ีความซับซ้อนเพิ่มขึ้นจากเนื้อเยื่อ เกิดจากเนื้อเยือ่ ตั้งแต่ 2 ชนดิ มารวมกัน เพ่ือทำหน้าท่อี ย่างใดอยา่ งหน่งึ Systems ระบบ (systems) ภายในร่างกายเกิดจาก หลายๆอวัยวะประกอบกัน เพื่อทำหน้าที่หลักของ ร่างกาย (major body function) เช่น ระบบหายใจ (respiratory system) ประกอบด้วยอวัยวะต่าง ๆ เช่น จมูก (nose), หลอดคอ (pharynx), กลอ่ งเสยี ง (larynx), หลอดลม (trachea) และปอด ซ่ึงมหี น้าท่ีใน การแลกเปลย่ี นกา๊ ซ ออกซิเจน และ คารบ์ อนไดออกไซด์ ระหว่างร่างกาย และอากาศภายนอกรา่ งกาย บทนำ (Introduction) หน้า 2 จาก 30
วิชากายวิภาคศาสตรแ์ ละสรีรวทิ ยา 1 บทที่ 1 บทนำ (Introduction) รปู ท่ี 1 แสดงโครงสรา้ งของร่างกายในระดับตา่ งๆ Anatomical terminology คำที่ใช้ในการบรรยายในวิชากายวิภาคศาสตร์ ส่วนใหญ่จะใช้ international vocabulary จึง ตอ้ งใช้คำที่มคี วามหมายชดั เจน และสามารถเข้าใจได้ตรงกนั ซึง่ มกั จะไม่ค่อยคนุ้ เคยแกผ่ ู้ศึกษาในคร้ังแรก ๆ แต่เมื่อเราเข้าใจความหมาย และรากศัพท์ของแต่ละคำแล้ว เมื่อนำคำต่างๆ มารวมกัน เราก็สามารถเข้าใจ ความหมายของคำนัน้ ไดไ้ ม่ยาก เชน่ cardio หมายถึง heart (หวั ใจ) myo \" muscle (กลา้ มเน้อื ) myocardium \" the muscle of the heart (กล้ามเน้อื หัวใจ) Anatomical position เพอื่ ปอ้ งกนั ความคลมุ เครือในการบรรยายบอกตำแหนง่ หรือความสัมพนั ธ์ของ structures ต่าง ๆ ใน ร่างกาย จึงบรรยายโดยถือว่าร่างที่กำลังบรรยายนั้น (ไม่ว่ากำลังอยู่ในอิริยาบถใดก็ตาม) กำลังอยู่ใน อิริยาบถมาตรฐานทางกายวิภาคศาสตร์ที่เรียกว่า “ anatomical position “ (รูปท่ี 2) บุคคลที่กำลัง อยใู่ น anatomical position คอื บุคคลท่กี ำลงั : ☺ ยืนตรง ตาและหน้า มองตรงไปทางดา้ นหนา้ ☺ แขนทั้งสองข้างห้อยอยู่ข้างลำตวั โดยหนั ฝ่ามือหันตรงไปทางดา้ นหน้า ☺ เทา้ ทั้งสองขา้ งชดิ กันตลอด บทนำ (Introduction) หน้า 3 จาก 30
วชิ ากายวภิ าคศาสตรแ์ ละสรรี วทิ ยา 1 บทท่ี 1 บทนำ (Introduction) รูปที่ 2 แสดงอริ ิยาบถมาตรฐานทางกายวภิ าคศาสตร์ (Anatomical position) ทงั้ ดา้ นหน้า (Anterior view) และดา้ นหลงั (Posterior view) บทนำ (Introduction) หน้า 4 จาก 30
วชิ ากายวภิ าคศาสตรแ์ ละสรีรวิทยา 1 บทท่ี 1 บทนำ (Introduction) Anatomical planes Anatomical descriptions หรอื การบรรยายทางกายวิภาคศาสตร์ เปน็ การบรรยายบอกตำแหน่ง หรือความสัมพันธ์ระหวา่ ง structures ต่างๆในร่างกาย ใช้ anatomical planes ซึ่งตัดแบ่งรา่ งกายขณะ อยู่ใน anatomical position ซึ่งมี 4 planes เป็นหลกั มดี งั น้ี คอื ☺ Median plane (midsagittal plane ) คือ vertical plane ทผี่ า่ แบ่งร่างกายตามแนวยาว และแบง่ ร่างกายออกเป็นครงึ่ ซกี ขวาและซ้าย ☺ Sagittal plane คือ vertical plane ที่ผ่าแบ่งร่างกายตามแนวยาวและขนานกับ median plane เช่น midclavicular plane เป็น sagittal plane ที่ผ่านจุดกึ่งกลางของ clavicle ในแนวดิ่งและ ขนานกบั แนวผา่ กลางของรา่ งกาย (median plane) ☺ Coronal plane หรือ Frontal plane คือ vertical plane ที่ผ่าแบ่งร่างกายตามแนวยาว และต้ังฉากกับ median plane และแบ่งรา่ งกายออกเป็นส่วนหน้า (anterior or front part) และส่วนหลงั (posterior or back part) ☺ Horizontal plane หรือ Transverse plane เป็นแนวผ่าแบ่งร่างกายตามแนวนอนซึ่งต้ังฉาก กับ median plane และ coronal plane แนวนี้จึงแบ่งร่างกายออกเป็นส่วนบน (superior or upper part) และส่วนล่าง (inferior or lower part) Transumbilical plane คือ horizontal plane ที่ผ่าน ระดับ umbilicus (สะดือ) ตามแนวนอน รูปท่ี 3 แสดง Anatomical planes ท้ัง 3 คือ Sagittal plane, Transverse plane และ Frontal (Coronal) plane บทนำ (Introduction) หนา้ 5 จาก 30
วชิ ากายวิภาคศาสตรแ์ ละสรรี วทิ ยา 1 บทท่ี 1 บทนำ (Introduction) รูปที่ 4 แสดงการอ้างองิ ตำแหน่งและทิศทางของร่างกาย เม่ืออย่ใู นอิริยาบถมาตรฐานทางกายวภิ าคศาสตร์ ชอ่ งว่างภายในรา่ งกาย (Body cavities) ช่องว่าง, โพรง (Cavity) ในร่างกายของมนุษย์ ทำหน้าที่บรรจุและป้องกันอวัยวะต่างๆ ที่อยู่ภายใน ถา้ เราใชก้ ระดกู สันหลัง (Vertebral column) เป็นหลกั ช่องภายในรา่ งกายแบง่ ออกไดเ้ ป็น 2 ช่องใหญ่ ๆ คอื 1. ช่องด้านหน้า (Ventral cavity) คือ ช่องว่างภายในร่างกายที่อยู่หน้าต่อกระดูกสันหลังและ กะโหลกศรี ษะ ประกอบด้วยชอ่ งตา่ ง ๆ 3 ชอ่ ง ดังนี้ 1.1 ช่องอก (Thoracic cavity) คือ ช่องว่างของลำตวั ที่อยู่เหนือกระบังลม ภายในมีหวั ใจ (heart), ปอด (lung), หลอดลม (trachea), หลอดอาหาร (esophagus), หลอดเลือดแดงใหญ่ (aorta) และ หลอดเลือดดำใหญ่ (vena cava) บรรจุอยู่ 1.2 ช่องท้อง (Abdominal cavity) คือ ช่องว่างของลำตัวที่อยู่เหนือกระบังลม ภายในมี กระเพาะอาหาร (stomach), ตับ (liver), ตับอ่อน (pancreas), ถุงน้ำดี (gall bladder), ม้าม (spleen), ไตและท่อไต (kidney & ureter), ต่อมหมวกไต (suprarenal glands), ลำไส้เล็ก (small intestine), ลำไส้ ใหญ่ (large intestine) บรรจุอยู่ 1.3 ช่องเชิงกราน (Pelvic cavity) เป็นส่วนต่อจากช่องท้อง ไม่มีอวัยวะใดเป็นตัวแบ่ง ช่องเชิงกรานออกจากช่องท้องอย่างชัดเจน แต่อาศัยขอบของกระดูกเชิงกรานเป็นตัวแบ่งภายในมีปลาย บทนำ (Introduction) หน้า 6 จาก 30
วิชากายวภิ าคศาสตรแ์ ละสรรี วิทยา 1 บทท่ี 1 บทนำ (Introduction) ลำไส้ใหญ่ส่วน sigmoid colon, ลำไส้ตรง (rectum), ทวารหนัก (anal canal), กระเพาะปัสสาวะ (urinary bladder), อวัยวะสบื พันธ์ภุ ายในเพศหญิง ไดแ้ ก่ มดลูก (uterus), ท่อนำไข่ (uterine tube), รังไข่ (ovaries), อวัยวะสืบพันธุ์ภายในเพศชาย ได้แก่ ต่อมลูกหมาก (prostate gland), ถุงน้ำกาม (seminal vesicles), ท่อนำอสจุ ิ (vas deferens) บรรจุอยู่ รูปที่ 5 แสดงช่องวา่ งภายในร่างกาย (Body cavities) 2. ช่องดา้ นหลัง (Dorsal cavity) หมายถึง ช่องทอี่ ยู่ภายในโพรงกระดกู สันหลัง และกะโหลกศีรษะ ประกอบด้วยช่องตา่ ง ๆ 2 ชอ่ ง ดังนี้ 2.1 ชอ่ งกะโหลกศรี ษะ (Cranial cavity) มสี มอง (brain) บรรจอุ ยู่ 2.2 ช่องกระดูกสันหลัง (Spinal or Vertebral cavity) เป็นช่องที่อยู่ในกระดูกสันหลัง ติดกบั cranial cavity มีไขสันหลงั (spinal cord) บรรจอุ ยู่ บทนำ (Introduction) หนา้ 7 จาก 30
วิชากายวภิ าคศาสตรแ์ ละสรีรวทิ ยา 1 บทท่ี 1 บทนำ (Introduction) สว่ นประกอบและโครงสรา้ งของร่างกาย ร่างกายมนุษย์ประกอบดว้ ยเซลล์ซ่ึงจัดเป็นหน่วยที่เล็กทส่ี ุด เซลล์มกี ารเจริญเติบโตแบ่งตัวเพ่ือเพ่ิม ขนาดและจำนวนรวมทั้งมีการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรออยู่ตลอดเวลา ดังนั้นจึงต้องการอาหารเพื่อใช้ในการ สังเคราะห์พลังงาน หรือที่เรียกว่าเมตะบอลิสมของเซลล์ (cellular metabolism) การสังเคราะห์พลังงาน ของเซลล์นนั้ ไดจ้ ากการรวมตวั ของสารอาหารและออกซิเจนโดยมีเอนไซมช์ ว่ ยเรง่ ในปฏิกริ ยิ าเคมี สง่ิ ท่ไี ด้จาก การสังเคราะห์พลังงานก็คือน้ำและก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซ่งึ ร่างกายจะขับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมา นอกจากนี้ยังมขี องเสียอืน่ ๆ ทีไ่ ดจ้ ากขบวนการตา่ งๆ ภายในเซลล์ก็จะถูกกำจัดออก การที่ร่างกายมนุษย์สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพนั้นต้องอาศัยการทำงานร่วมกันของ เซลล์ เซลล์หลายๆ เซลล์ที่มีลักษณะคล้ายกันรวมกันเป็นเนื้อเยื่อ (tissue) เพื่อทำหน้าที่เฉพาะเจาะจง เนื้อเยื่อหลายชนิดประกอบกันขึ้นเป็นอวัยวะ (organ) และอวัยวะหลายๆ อวัยวะร่วมกันทำงานอย่าง สอดคล้องกนั เปน็ ระบบ (system) ดังน้ันการทำงานของระบบตา่ งๆ จงึ มพี ื้นฐานมาจากทำงานของเซลล์นับ ลา้ นล้านเซลลใ์ นรา่ งกาย เซลล์ (cell) คอื หนว่ ยอสิ ระท่เี ลก็ ท่สี ดุ ของสิ่งมีชวี ติ ประกอบเปน็ รากฐานของส่ิงมีชีวติ ทกุ ชนิด เซลล์หลายๆ เซลล์ มารวมกันและมีหน้าท่ีชนิดเดียวกัน จะประกอบขึ้นเป็นเนื้อเยื่อ (Tissues) เน้ือเย่ือหลายๆ เน้อื เยอ่ื มารวมกนั จะประกอบเปน็ อวัยวะ (Organ) อวยั วะหลายๆ อวัยวะมารวมกันเพื่อทำ หน้าทีใ่ นเรือ่ งเดียวกัน โดยชว่ ยเสริมกันกลายเป็น ระบบ (System) และเป็นรา่ งกายในท่ีสดุ ดังนั้นการท่ีจะ ศึกษาให้เข้าใจถึงโครงสร้างและการทำงานของร่างกาย จึงจำเป็นต้องเริ่มศึกษาให้เข้าใจถึงโครงสร้างและ การทำงานของเซลลเ์ สียกอ่ น เซลล์ประกอบด้วย 4 ส่วนใหญๆ่ คือ 1. ผนังเซลล์ (Cell membrane หรือ Plasma membrane) 2. ไซโตปลาสซึม (Cytoplasm) 3. นวิ เคลยี ส (Nucleus) 4. นิวคลโี อปลาสซึม (Nucleoplasm) รูปท่ี 6 แสดงลกั ษณะ โครงสรา้ ง และองคป์ ระกอบภายในเซลล์ บทนำ (Introduction) หนา้ 8 จาก 30
วชิ ากายวภิ าคศาสตรแ์ ละสรีรวทิ ยา 1 บทท่ี 1 บทนำ (Introduction) ผนงั เซลล์ (Cell membrane) เป็นส่วนของเซลล์ที่อยู่รอบนอก ทำให้เซลล์คงรูปอยู่ได้ ผนังเซลล์เป็นเยื่อบางๆ มีความหนาน้อยมาก ประมาณ 7.5- 10 นาโนเมตร (nm.) ประกอบด้วยสารประเภท phospholipids และ glycoprotein โดย phospholipids จะเรียงตัวเป็น 2 แถวอยู่ตรงกลาง (phospholipid bimolecular layer) โดยมี glycoprotein แผป่ กคลุมอยูท่ ่ผี ิวท้ัง 2 ข้าง โดยเรยี งสลบั กันทำให้มีช่องเล็กๆ ที่ผนังเซลล์ (membrane pore) โมเลกุลของฟอสโฟลิปิด จะมีรูปร่างคล้ายเข็มหมุด ส่วนหัวประกอบด้วยฟอสเฟต (phosphate) ซึ่งมีประจุบวก สามารถละลายน้ำได้ (hydrophilic) ส่วนหางจะเป็นไขมันหรือลิปิดซึ่งไม่ละลายน้ำ (hydrophobic) ฟอสโฟลิปิดที่ประกอบกันขึ้นเป็นเยื่อหุ้มเซลล์จะเรียงตัวกันเป็น 2 แถวหรือที่เรียกว่า lipid bilayer โดยหันส่วนหางเข้าหากัน ส่วนหัวหันออกจากกันทำให้ส่วนหัวนี้อยู่ติดกับของเหลวภายใน และภายนอกเซลล์ ส่วนของเยื่อหุ้มเซลล์ชัน้ นอกสุดที่ติดกับของเหลวนอกเซลล์มคี าร์โบไฮเดรตบางๆ คลุม อยูท่ ำใหม้ ีน้ำมาเกาะได้ง่าย โปรตีนทเี่ ปน็ องค์ประกอบของเย่ือหุ้มเซลล์น้นั มีอยู่ด้วยกันหลายชนิดโดยจะอยู่ เป็นก้อนๆ รปู ร่างแตกตา่ งกันไป แบ่งออกไดเ้ ป็น 2 ประเภทคอื 1. โปรตีนที่แทรกตัวอยู่ระหว่างฟอสโฟลิปิดทั้ง 2 ชั้น เรียกว่า integral or intrinsic protein โปรตีนประเภทนจี้ ะเรยี งตวั ทะลผุ า่ นจากผวิ ด้านนอกของเซลล์เข้าไปภายในเซลล์ บางครัง้ ทำใหเ้ กดิ เป็นช่อง (pore) ทะลุติดต่อระหว่างด้านนอกกับด้านในเซลล์ ทำหน้าที่เป็นทางเข้า-ออกของน้ำหรือสารบางอย่างที่ ละลายน้ำได้ หรือทำหน้าทเ่ี ปน็ ประตูให้สารโดยเฉพาะไอออนบางอยา่ งผา่ นได้ (selective channel) 2. โปรตีนที่เรียงตัวอยู่ด้านใดด้านหนึ่งของเยื่อหุ้มเซลล์เรียกว่า peripheral or extrinsic protein โปรตีนประเภทนี้ส่วนใหญ่จะทำหน้าที่เป็นเอนไซม์ (enzyme) ควบคุมปฏิกิริยาเคมีภายในเซลล์ นอกจากน้ีอาจพบโปรตนี ประเภทน้ีรวมตวั กบั คาร์โบไฮเดรตเปน็ ไกลโคโปรตีน (glycoprotein) ซึง่ ทำหน้าท่ี เปน็ ตัวรบั (receptor) ของสารต่างๆไดแ้ ก่ ฮอร์โมน (hormone) สารสือ่ ประสาท (neurotransmitter) หนา้ ทีข่ อง cell membrane 1. แบง่ แยกโครงสร้างภายในเซลลจ์ ากสง่ิ แวดลอ้ มภายนอก 2. แยกเซลลแ์ ต่ละเซลล์ออกจากกนั 3. ดดั แปลงรปู ร่างเพอื่ ทำกิจกรรมทางเคมบี างอยา่ ง ในเซลล์บางชนิดมีการเพิ่มพื้นที่ผิวโดยการยื่นระยางค์คล้ายนิ้วมือ บริเวณด้าน free surface ซึ่งเรียกว่า microvilli เพอ่ื ทำหนา้ ท่ีในการดดู ซึม (absorption) และการขบั (secretion) 4. เป็นชอ่ งทาง เขา้ -ออก ของสารบางอยา่ ง ระหวา่ งภายในเซลลก์ บั ภายนอกเซลล์ เรียก คุณสมบัตินวี้ ่า selective permeability บทนำ (Introduction) หนา้ 9 จาก 30
วชิ ากายวิภาคศาสตรแ์ ละสรีรวทิ ยา 1 บทที่ 1 บทนำ (Introduction) Outside of cell Inside of cell 0.1 ตm Hydrophilic Phospholipid region (a) Hydrophobic TEM of region a plasma membrane. Hydrophilic region Proteins (b) Structure of the plasma membrane รูปท่ี 7 แสดงลักษณะและโครงสร้างของ Cell membrane ไซโตปลาสซึม (Cytoplasm) เป็นบริเวณของเซลล์ที่อยู่ภายใน cell membrane แต่อยู่นอกบริเวณ นิวเคลียส มีลักษณะเหลว ใสคล้ายวุ้น (semi- fluid) ประกอบด้วย 1. อนินทรยี สาร ได้แก่ น้ำและเกลอื แร่ตา่ งๆ เซลลม์ ีน้ำเป็นองค์ประกอบสูงถงึ 70-80% น้ำช่วย ทำให้ปฏิกิริยาเคมีต่างๆ เกิดขึ้นได้ และสารต่างๆ สามารถเคลื่อนไปมาหรือลำเลียงผ่านออกจากเซลล์ได้ ส่วนเกลือแร่ต่างๆ ภายในเซลล์ ได้แก่ K+, Mg2+, PO4-, HCO3-, และ Na+, Cl- เกลือแร่เหล่านี้จะทำ หน้าที่ช่วยในการควบคุมหรือเร่งปฏิกิริยาเคมีภายในเซลล์ บางตัวช่วยทำให้เกิดความต่างศักย์ไฟฟ้าที่เย่ือ เซลล์ และทำใหเ้ กิด nerve conduction เปน็ ต้น 2. อินทรียสาร ได้แก่ โปรตีนประมาณ 10% ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมีต่างๆ หรือช่วยควบคุม metabolic function ของเซลล์ ในเซลล์จะมีไขมันเป็นองค์ประกอบประมาณ 2% ส่วนใหญ่ทำหน้าที่เป็น องค์ประกอบของเย่ือเซลล์ สว่ นคารโ์ บไฮเดรตจะพบน้อยมากในเซลล์ พบในรูปกลยั โคเจนไมเ่ กิน 1% เนอ่ื งจาก เซลล์สามารถรับเอากลูโคสจากเลือดมาใช้เป็นเชื้อเพลิงได้ตลอดเวลา จึงไม่จำเป็นต้องสะสมคาร์โบไฮเดรต เอาไว้ในเซลล์ ภายในไซโตปลาสซึม จะมหี น่วยโครงสรา้ งเลก็ ๆ ทีส่ ำคญั มากมาย เรียกวา่ Organelles Cytoplasmic Organelles 1. Endoplasmic Reticulum (ER) มีลักษณะเป็นถุงหรือท่อที่มีทางติดต่อกันตลอด แทรกอยู่ทั่วไปในไซโตปลาสซึม ในเซลล์บาง ชนดิ ทำหนา้ ที่เชื่อมระหว่างผนังเซลลก์ ับผนังนวิ เคลียส ของเหลวภายในน้ีจึงเป็นเช่นเดียวกับของเหลวนอก เซลล์ (Extracellular fluid) ER ทำหน้าที่เป็นระบบสังเคราะห์และลำเลียงสารซึ่งผลิตขึ้นภายในไปยังที่ ตา่ งๆ ในเซลล์และนอกเซลล์ แบง่ ออกได้เป็น 2 พวกคอื บทนำ (Introduction) หนา้ 10 จาก 30
วิชากายวภิ าคศาสตรแ์ ละสรีรวทิ ยา 1 บทท่ี 1 บทนำ (Introduction) 1.1 Rough ER (rER) ผิวภายนอกของ ER จะมี ribosomes มาเกาะอยู่ จึงทำให้เห็นเป็นตุ่มขรุขระ ทำหน้าท่ี ช่วยในการสังเคราะหโ์ ปรตนี และลำเลียงเพ่อื ปลอ่ ยออกนอกเซลล์ 1.2 Smooth ER (sER) มีลักษณะเป็นร่างแหที่ติดต่อกัน ไม่มี ribosomes ติดอยู่ที่ผิวภายนอก ทำหน้าที่ผลิตสาร ไขมนั และชว่ ยลำเลยี งโปรตนี ตา่ งๆ ดว้ ย Smooth ER Nuclear Rough ER envelope ER lumen Rough ER Transitional ER Cisternae Ribosomes 200 nm Transport vesicle Smooth ER รูปท่ี 8 แสดงลักษณะและโครงสรา้ งของ ENDOPLASMIC RETICULUM 2. Ribosomes มีลักษณะเป็น fine particles ประกอบด้วยสารที่สำคัญคือ Ribonucleic acid (RNA) ทำ หน้าท่สี งั เคราะห์ โปรตีนเพื่อใช้ภายในเซลล์ free ribosomes หมายถงึ particle เดีย่ วๆ ล่องลอยอยูใ่ น cytoplasm polyribosomes หมายถึง กลมุ่ ของ ribosomes ซ่งึ อยู่รวมกัน โดยเช่ือมหรือร้อยไว้ ด้วยกันดว้ ยเส้น (strand) ของ nucleic acid ทเ่ี รยี กว่า messenger ribonucleic acid (mRNA) บทนำ (Introduction) หนา้ 11 จาก 30
วิชากายวภิ าคศาสตรแ์ ละสรีรวทิ ยา 1 บทท่ี 1 บทนำ (Introduction) Ribosome Cytosol s Free ribosomes Bound ribosomes Large subunit 0.5 ตm Small subunit TEM showing ER and ribosomes Diagram of a ribosome รปู ที่ 9 แสดงลักษณะ โครงสร้างของ Ribosomes 3. Golgi Apparatus หรือ Golgi Complex เป็นกลุ่มของ membrane ที่มีลักษณะและหน้าที่สัมพันธ์กับ ER มักอยู่ในตำแหน่งใกล้กับ นิวเคลียส มีลักษณะเป็นถุงแบนๆ เรียงซ้อนกันโดยทางด้านปลายมักจะมีการขยายออก ทำหนา้ ทีเ่ ป็นแหล่ง สะสมชั่วคราวของโปรตีน ซึ่งสร้างมาจาก ER และยังทำให้สารโปรตีนเข้มข้นขึ้น นอกจากนี้ยังสร้าง carbohydrate side chain เพื่อไปรวมกับ โปรตีนท่ีสรา้ งจาก ER และให้เป็น vesicles ที่หลุดออกไปใน รปู ของ glycoprotein ทางด้านปลายของ golgi Cisterna e รปู ท่ี 10 แสดงลักษณะ โครงสรา้ งของ GOLGI APPARATUS บทนำ (Introduction) หนา้ 12 จาก 30
วิชากายวิภาคศาสตรแ์ ละสรรี วิทยา 1 บทที่ 1 บทนำ (Introduction) 4. Mitochondria เป็น organelle ทส่ี ำคัญมากเพราะทำหนา้ ทเ่ี ปน็ แหลง่ สร้างพลงั งานของเซลล์ (Power house of the cell) มีลักษณะโครงสรา้ งเป็นรปู ยาวรี ประกอบดว้ ยผนังสองชั้นคลา้ ยเซลล์ ภายใน มี enzyme ที่จำเป็นต่อขบวนการสันดาป โดยนำสารอาหารมาทำปฏิกิริยากับออกซิเจน (Oxidation) ได้ เป็นพลังงานซ่ึงเก็บสะสมไว้ในรูปของสารพลังงานสูง (Adenosine Triphosphate: ATP) ซึ่งจะถูกใช้ไปใน การทำงานของเซลล์ เซลล์บางชนดิ ต้องใช้พลงั งานมากกจ็ ะมี mitochondria มาก Mitochondrio n Intermembrane space Outer membran e Free ribosomes in the mitochondrial matrix Inner membran e Crista e Matrix Mitochondria 100 ตm l DNA รปู ที่ 11 แสดงลักษณะ โครงสรา้ งของ MITOCHONDRIA 5. Lysosome มีลักษณะเป็นถุงเล็กๆ ภายในบรรจุด้วย digestive enzymes ที่ชื่อว่า acid hydrolase (Hydrolytic enzyme) ทำหน้าที่เป็นระบบย่อยอาหารภายในเซลล์ ทำให้เซลล์สามารถย่อยสลายสารที่ไม่ ต้องการ เช่น แบคทเี รีย ชนิ้ ส่วนของเซลลท์ ี่ตายแล้ว และสารแปลกปลอมอ่ืนๆ ได้ บทนำ (Introduction) หนา้ 13 จาก 30
วิชากายวภิ าคศาสตรแ์ ละสรรี วทิ ยา 1 บทที่ 1 บทนำ (Introduction) Nucleu 1 ตm Lysosome containing 1ตm s two damaged organelles Lysosom Mitochondrion e fragment Peroxisome fragment Lysosome Food vacuole Hydrolytic Lysosome fuses Hydrolytic contains fuses with enzymes with enzymes active hydrolytic lysosome digest vesicle containing digest organelle enzymes food particles damaged organelle components Digestiv e enzyme Lysosom Lysosom Digestio Plasma e e n membrane Digestio Food n vacuole Vesicle containing (a) Phagocytosis: lysosome digesting damaged mitochondrion food รปู ท่ี 12 (b) Autophagy: lysosome breaking down damaged แสดงลักษณะ โครงสรา้ งของ LYSOorSgaOneMlleE 6. โครงร่างหลักของเซลล์ (cell skeletal) เป็นส่วนที่ทำให้เซลล์คงรูปอยู่ได้ แบ่งเป็น 3 ชนิด ดังน้ี 6.1 Microtubule เป็นท่อกลวงเกิดจากการรวมตวั ของโปรตนี ทวิ บูลิน (tubulin) มักวาง อยู่ใต้เยื่อหุ้มเซลล์ มีหน้าที่รักษารูปทรงของเซลล์ เสริมความแข็งแรงให้กับเซลล์ และช่วยขนส่งสารต่างๆ ภายในเซลล์ เช่น cilia flagella 6.2 Microfilament ประกอบด้วยโปรตีนแอคติน (actin) พบในเซลล์กล้ามเนื้อลายและ กล้ามเนื้อหวั ใจ ทำหนา้ ท่ีในการหดตวั - คลายตวั ของกล้ามเน้อื และการแบ่งตัวของเซลล์ 6.3 Intermediate filament เปน็ โครงเสรมิ ของเซลล์ นิวเคลียส (Nucleus) เป็นส่วนที่สำคัญในการดำรงชีวิตของเซลล์ มีลักษณะเป็นก้อนหรือจุดที่เป็นของเหลวข้นๆ อยู่ใน Cytoplasm โดยปกติแล้วจะมีลักษณะกลม แต่อาจแตกต่างกันไปตามชนิดและหน้าที่ของเซลล์ ซึ่งอาจจะ เปน็ รปู รๆี เปน็ แท่งหรอื เป็นแฉก ในแตล่ ะเซลล์จะมนี วิ เคลียสอันเดยี ว สองอัน หรือมากกว่ากไ็ ด้ นวิ เคลยี สน้ี เป็นท่ซี ่ึงมปี ฏิกริ ิยาเคมี ทำใหเ้ กดิ การเจรญิ เตบิ โตและควบคมุ การแบง่ ตวั ของเซลล์ เพอ่ื ผลติ เซลล์ใหม่ขน้ึ เยื่อที่หุ้มนิวเคลียสเรียกว่า Nuclear membrane มีลักษณะบาง 2 ชั้น ในระหว่างชั้นจะเป็นช่อง หรือรูเล็กๆ เรียกว่ารู (pores) มีขนาด 400-700 Angstroms สำหรับให้สารต่างๆ ผ่านเข้าออกจาก นิวเคลียสไปยังไซโตปลาสซึมได้ ส่วนของ protoplasm ที่อยู่ในนิวเคลียส เรียกว่า นิวคลีโอปลาสซึม (Nucleoplasm) มีสว่ นสำคญั ดังนี้ ☻ Nucleolus เป็นจุดกลมเล็กๆ อยู่ในนิวเคลียส โดยปกติจะมีเพียงอันเดียว แต่จะมีมากกว่าก็ได้ เป็นกอ้ นของ Ribonucleic acid (RNA) มี Chromatin granule เป็นเม็ดเล็กๆ กระจายอยู่ทั่วไปใน nucleoplasm ประกอบขึ้นด้วย Deoxyribonucleic acid (DNA) ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการถ่ายทอดทาง บทนำ (Introduction) หนา้ 14 จาก 30
วชิ ากายวภิ าคศาสตรแ์ ละสรีรวทิ ยา 1 บทที่ 1 บทนำ (Introduction) กรรมพันธุ์ (genetic material) มีหน้าที่ควบคุมลักษณะของโปรตีน มีลักษณะเป็นเส้นใย (linin) ละเอียด กระจายอยูอ่ ยา่ งหนาแนน่ เมือ่ รวมกันเข้าเปน็ จำนวนมาก เป็นกอ้ นหรือเปน็ แทง่ ขึ้นเรยี กว่า Chromosome ซงึ่ จะเกดิ ข้นึ ในระยะทเี่ ซลลจ์ ะแบ่งตัว Ribonucleic acid (RNA) นี้ มีความสำคัญในการแบ่งเซลล์ในระยะแรกๆ คือเยื่อหุ้มนิวเคลียส สลายตัว ส่วนที่เป็นนิวเคลียสจะสลายตัวด้วย สาร RNA จะกระจายทั่วไปในเซลล์ ไปเกาะตาม Endoplasmic reticulum หรือกลายเป็น Microsome ไปก็ได้ ฉะนั้น nucleolus จึงเหมือนกับเป็น ตัวกำหนดชนิดของโปรตนี ต่างๆ ท่ีต้องการ เนอ้ื เยื่อ (Tissues) สิ่งมีชีวิตที่ประกอบด้วยเซลล์หลายๆ เซลล์ (multicellular organism) เช่นร่างกายมนุษย์ นั้น เซลล์แต่ละเซลล์จะมีการเจริญ (growth) และพัฒนา (development) เพื่อทำหน้าที่ใดๆ เป็นพิเศษ เซลล์หลายๆ เซลล์อยู่รวมกันเพือ่ ทำหน้าที่อย่างใดอยา่ งหน่งึ เรียกวา่ เนอ้ื เยื่อ (tissues) เน้ือเยอ่ื ในร่างกายมนุษย์แบง่ ไดเ้ ปน็ 4 ชนดิ คอื 1. เน้อื เยื่อบผุ วิ (Epithelial tissue) 2. เนอ้ื เยื่อเกย่ี วพัน (Connective tissue) 3. เนื้อเยอื่ กลา้ มเน้อื (Muscular tissue) 4. เน้ือเย่ือประสาท (Nervous tissue) เนอ้ื เยื่อบผุ ิว (Epithelial tissue) เนื้อเยื่อบุผิวประกอบด้วยกลุ่มของเซลล์จำนวนมากอยู่ชิดกัน ซึ่งเซลล์ที่อยู่ชิดติดกันนั้น จะถูกยึด โดยโครงสร้างที่เรียกว่า “junctional complex” ซึ่งเป็นส่วนของเยื่อหุ้มเซลล์ที่มีการเปลี่ยนแปลงเป็น พิเศษ เพื่อให้เนื้อเยื่อมีลักษณะต่อกันเป็นแผ่น เนื้อเยื่อบุผิววางตัวอยู่บน basement membrane ซึ่ง เป็นชั้นที่ประกอบด้วยสิ่งที่มีลักษณะคล้ายวุ้นและมีเส้นใยร่างแหเล็กๆ ทำหน้าที่ยึดเนื้อเยื่อบุผิวไว้กับ connective tissue ที่อยู่ด้านลา่ ง หนา้ ทีข่ อง epithelium 1. Protection: จะปกคลุมและบุพื้นผิวของอวัยวะ เช่น Skin ทำหน้าที่ปกป้องเนื้อเยื่อที่อยู่ด้านล่าง ของ epithelium 2. Secretion: ทำหน้าที่สร้างและขับสารคัดหลั่งออกมาจาก epithelial cell โดยเฉพาะชนิด glandular epithelium โดยที่สารคัดหลั่งมีคุณสมบัติที่แตกต่างกันขึ้นอยู่กับชนิดของ epithelial cell เช่น เยื่อ บผุ ิวของตอ่ มต่างๆ 3. Absorption: ทำหนา้ ท่ใี นการดูดซมึ สารตา่ งๆ เชน่ epithelium ที่พบในเยอ่ื บุ GI-tract, Kidney 4. Sensation: ทำหนา้ ท่ีในการรับความร้สู ึก เซลลท์ ีท่ ำหนา้ ท่เี รยี กว่า neuroepithelium เช่น taste bud, hair cell ใน inner ear 5. Contractility: มีความในการหดตัวได้ เช่น myoepithelium cell ที่พบอยู่รอบ secretory unit ของตอ่ มต่างๆ บทนำ (Introduction) หน้า 15 จาก 30
วชิ ากายวภิ าคศาสตรแ์ ละสรีรวทิ ยา 1 บทท่ี 1 บทนำ (Introduction) Epithelial tissue แบง่ ออกได้เปน็ 2 กลมุ่ คือ 1. Covering type เป็นชนิดที่พบดาดอยู่บนผิวหนังของร่างกาย บุอวัยวะที่เป็นท่อ เช่น ท่อทางเดินหายใจ ท่อ ทางเดินอาหารและหลอดเลือด หรือดาดอยใู่ นชอ่ งต่างๆ ของร่างกาย เช่น ช่องอก ช่องทอ้ ง 2. Glandular type เป็นชนดิ ทพ่ี บอยู่ลึกในอวัยวะต่างๆ ของรา่ งกาย ทำหนา้ ที่สรา้ งและหล่ังสารต่างๆ(secretion) การจำแนกชนดิ ของเนอื้ เยื่อบผุ วิ 1. รูปรา่ งของเซลล์ เนื้อเย่ือบุผวิ ในรา่ งกายมกั ประกอบดว้ ยเซลล์ซงึ่ มลี กั ษณะรปู ร่างแตกตา่ งกนั แบง่ ไดเ้ ปน็ 3 กลมุ่ คือ 1.1 Squamous cell เปน็ เซลลท์ ีม่ ีรปู รา่ งแบน บาง (รปู ที่ 13) 1.2 Cuboidal cell เปน็ เซลล์รูปรา่ งลกู บาศก์ มคี วามสงู เทา่ กบั ความกวา้ งของเซลล์ (รูปท่ี 13) 1.3 Columnar cell เป็นเซลลท์ รงสงู มคี วามสูงมากกว่าความกว้างของเซลล์ (รูปที่ 13) รูปที่ 13 แสดงลักษณะรูปร่างของเซลล์ 2. จำนวนช้ันของเซลล์ 2.1 Simple epithelium เปน็ เนอ้ื เยอ่ื บผุ ิวท่ีประกอบด้วยเซลลเ์ รียงตวั ชั้นเดยี ว 2.2 Stratified epithelium เปน็ เนอ้ื เยอ่ื บุผิวทป่ี ระกอบด้วยเซลล์มากกวา่ 1 ช้ัน เรียงตัวซอ้ นกัน บทนำ (Introduction) หน้า 16 จาก 30
วชิ ากายวภิ าคศาสตรแ์ ละสรีรวทิ ยา 1 บทที่ 1 บทนำ (Introduction) 2.3 Pseudostratified epithelium เป็นเนอื้ เย่ือบุผิวทปี่ ระกอบดว้ ยเซลล์เรียงตัวชน้ั เดียวแต่มีลักษณะเหมือนกับประกอบด้วยเซลล์ หลายชั้น ซึ่งเกิดจาก nucleus ของเซลล์ที่ประกอบกันเป็นเนื้อเยื่อบุผิวมีการเรียงตัวในระดับสูงต่ำ แตกตา่ งกัน รปู ที่ 14 แสดงลักษณะของเนื้อเยื่อบุโดยจำแนกตามจำนวนช้ัน บทนำ (Introduction) หนา้ 17 จาก 30
วชิ ากายวภิ าคศาสตรแ์ ละสรรี วทิ ยา 1 บทท่ี 1 บทนำ (Introduction) ตารางท่ี 1 ชนดิ ของเน้ือเยื่อบผุ วิ (Epithelial tissue) หน้าทีแ่ ละตำแหน่ง ชนดิ หนา้ ที่ ตำแหน่ง 1. Simple squamous การกรอง (Filtration) ถุงลมปอด epithelium การแพร่ (Diffusion and ผนงั หลอดเลอื ดฝอย 2. Simple cuboidal Osmosis) ผนงั หลอดเลอื ดและ epithelium หลอดนำ้ เหลือง การหล่ังสาร (Secretion) รังไข่ 3. Simple columnar การดดู ซึม (Absorption) หลอดไตฝอย epithelium ผนงั บทุ อ่ ของต่อมต่างๆ การปกคลุม (Protection) ผนังมดลกู 4. Pseudostratified columnar การหลงั่ สาร (Secretion) ผนงั ท่อทางเดนิ อาหาร epithelium การดดู ซึม (Absorption) การปกคลุม (Protection) ผนังทอ่ ทางเดินหายใจ 5. Stratified squamous การหล่งั สาร (Secretion) ผนงั ท่ออวัยวะสืบพันธุ์ epithelium ทำให้เกดิ การเคลื่อนที่ของ นำ้ เมือก (mucus) และเซลล์ ชน้ั หนังกำพรา้ 6. Transitional epithelium บชุ ่องปาก ช่องคอ (cells) ช่องคลอดและทวารหนัก การปกคลุม (Protection) กระเพาะปัสสาวะและอวยั วะใน ระบบขับถ่ายปัสสาวะ การยดื ขยาย (Distensibility) Simple squamous epithelium ที่บุอยูใ่ นอวยั วะทีแ่ ตกตา่ งกันมีชอื่ เรยี กทตี่ า่ งกัน เช่น - simple squamous epithelium ที่บุอยู่ในช่องท้อง, ช่องปอด, ช่องหัวใจ และห่อหุ้ม อวัยวะทอี่ ยู่ในชอ่ งเหลา่ น้ี เรียกวา่ “mesothelium” - simple squamous epithelium ทบ่ี อุ ยู่ในหลอดเลือด เรยี กว่า “endothelium” Simple cuboidal epithelium พบตามท่อของอวัยวะที่ทำหน้าที่สร้าง, หลั่งและดูดซึม สารต่างทผ่ี ่านเขา้ หรืออกจากรา่ งกาย เชน่ ท่อของหนว่ ยไต (proximal and distal tubules), ท่อของต่อม นำ้ ลาย, ท่อของตับออ่ น Simple columnar epithelium ส่วนใหญ่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการดูดซึม พบบุที่ผนังของ ลำไสเ้ ลก็ , ลำไส้ใหญ่ และผนงั ของถงุ น้ำดี Stratified squamous epithelium เนื้อเยอ่ื บุผิวชนิดน้สี ่วนใหญท่ ำหนา้ ท่เี กี่ยวกับ การ ป้อง การทนตอ่ การเสยี ดสี เชน่ ในชน้ั หนงั กำพร้าของผิวหนัง Stratified cuboidal epithelium พบไดท้ ท่ี ่อขนาดใหญ่ของต่อมน้ำลาย และตอ่ มไขมนั บทนำ (Introduction) หน้า 18 จาก 30
วิชากายวิภาคศาสตรแ์ ละสรีรวิทยา 1 บทท่ี 1 บทนำ (Introduction) Stratified columnar epithelium เนื้อเย่อื บุผิวชนิดน้พี บได้ทผ่ี วิ ของทอ่ ท่มี ีความชมุ่ ชน้ื เช่น กลอ่ งเสยี ง, บางสว่ นของหลอดคอ (pharynx), ท่อปสั สาวะ Pseudostratified columnar epithelium สว่ นใหญม่ กั พบในระบบทางเดินหายใจ Transitional epithelium มกั จะบอุ ยูใ่ นอวัยวะของระบบขับถ่ายปัสสาวะ เช่น กระเพาะ ปสั สาวะ, ทอ่ ไต, ท่อปัสสาวะ และบางส่วนของไต รปู ที่ 15 แสดงลกั ษณะของเนื้อเยือ่ บุท่ีบุอวัยวะตา่ งๆ รา่ งกาย Glandular epithelium เป็นเนือ้ เยือ่ บุผวิ ชนิดทปี่ ระกอบด้วยกลุ่มของเซลล์ซึ่งทำหน้าท่สี รา้ ง secretion ส่งออกไปทางท่อ หรือปลอ่ ยออกสรู่ ะบบไหลเวยี นโลหิตโดยตรง การเรยี งตัวของเซลล์อยู่รวมเป็นกลุ่มก้อนไม่ได้ติดต่อกันเป็น แผ่น กล่มุ ของเซลล์น้ี เรียกวา่ ตอ่ ม (gland) การจำแนกชนดิ ของต่อม 1. จำนวนเซลล์ 2. ลกั ษณะของ secretion 3. ลกั ษณะการหล่งั secretion บทนำ (Introduction) หน้า 19 จาก 30
วชิ ากายวภิ าคศาสตรแ์ ละสรีรวทิ ยา 1 บทท่ี 1 บทนำ (Introduction) จำนวนเซลล์ 1. Unicellular gland ประกอบด้วยเซลล์เพียงเซลล์เดียว เช่น goblet cell ซึ่งดัดแปลงจาก columnar epithelial cell สร้างสารประเภท glycoprotein (mucin) ซึ่งเมื่อรวมกับน้ำจะได้สารที่เรียกว่า mucous ซึ่งทำหน้าที่ใน การหล่อลน่ื ผิว Goblet cell รูปที่ 16 แสดงลักษณะของ goblet cells ภายใน cytoplasm เต็มไปดว้ ย mucin ทำใหน้ ิวเคลียส ถกู เบยี ดไปอย่ชู ดิ กบั ทางด้านฐาน 2. Multicellular gland ประกอบด้วยเซลลห์ ลายๆ เซลล์มาอยู่รวมกันเป็นกลุ่มก้อน เปน็ ตอ่ มสว่ นใหญ่ทพ่ี บในร่างกาย แบ่ง ออกเป็น 2 ชนดิ คือ 2.1 Endocrine gland คือ ตอ่ มไร้ท่อ สารหลงั่ ที่สร้างจากต่อมชนิดน้ี เรยี กว่า ฮอร์โมน (hormone) ถูกส่งออกสู่ อวัยวะเป้าหมาย (target organ) โดยการซมึ ผา่ นเข้ากระแสโลหิต หรือระบบน้ำเหลอื ง 2.2 Exocrine gland คือ ต่อมมีท่อ สร้างและหลั่งสารออกสู่ภายนอกโดยผ่านระบบท่อ ต่อมมีท่อประกอบด้วย โครงสรา้ ง 2 ส่วน คือ 1. Secretory unit เป็นส่วนของต่อมที่ทำหน้าที่สร้าง secretion ประกอบด้วยกลุ่ม เซลล์เรยี งตัวกนั อาจมีรปู รา่ งเป็นทอ่ (tubular) หรือเป็นกระเปาะ (alveolar หรอื acinar) ก็ได้ 2. Duct portion เป็นส่วนของท่อที่เป็นทางนำสิ่งที่ต่อมสร้างออกสู่ภายนอก ต่อมบาง ชนิดมีท่อตรงไม่มีการแตกแขนง เรียกว่า simple gland บางชนิดมีท่อที่มีการแตกแขนง เรียกว่า compound gland บทนำ (Introduction) หนา้ 20 จาก 30
วชิ ากายวภิ าคศาสตรแ์ ละสรรี วิทยา 1 บทที่ 1 บทนำ (Introduction) ลักษณะของ secretion ตามลกั ษณะของ secretion ทหี่ ลง่ั ออกมา แบ่งออกกได้เป็น 3 ชนดิ คอื 1. Mucous gland เป็นต่อมท่ีสร้างสารทีม่ ีลักษณะเหนยี วข้นเป็นเมือก (mucus) เช่น goblet cells, ต่อมใน ผนงั ของลำไสเ้ ลก็ ส่วน duodenum 2. Serous gland เปน็ ตอ่ มทสี่ ร้างสารทีม่ ลี กั ษณะเปน็ ของเหลวใส (serous) สว่ นใหญเ่ ป็นพวกเอ็นไซม์ เชน่ ต่อมนำ้ ลาย (parotid salivary gland), ตบั ออ่ น (pancreas) 3. Mixed sero-mucous gland เปน็ ต่อมที่สร้างท้งั สารเหนยี วขน้ และสารที่เป็นของเหลวใสปะปนกัน เชน่ ต่อมนำ้ ลายใต้ ขากรรไกรลา่ ง (submandibular salivary gland) ลักษณะการหล่ัง secretion 1. Merocrine gland secretion ทขี่ บั ออกส่ภู ายนอก คอื สารหลงั่ จากการสร้างของเซลล์ วิธีการหลง่ั secretion ออกสู่ภายนอก ใช้วธิ ี exocytosis ซง่ึ พบไดใ้ นตอ่ มสว่ นใหญ่ของรา่ งกาย 2. Apocrine gland secretion ที่ขับออกสู่ภายนอกประกอบด้วยสารหลั่งจากการสร้างของเซลล์และบางส่วนของ cytoplasm โดยเฉพาะทางด้านยอดเซลล์ (apical cytoplasm) พบไดท้ ่ี ต่อมนำ้ นม, ตอ่ มบริเวณรกั แร้ 3. Halocrine gland secretion ทีข่ ับออกส่ภู ายนอกประกอบดว้ ยสารหลัง่ จากการสร้างของเซลล์และตวั เซลล์ด้วย เช่น การสลายตัวของต่อมไขมัน (sebaceous gland) การติดต่อระหวา่ งเซลล์ของเน้อื เยอ่ื บุผิว ( Membrane specialization of epithelium ) โดยทั่วไปเซลล์ของเนื้อเยื่อต่าง ๆ จะเรียงตัวตามชนิดของเนื้อเยื่อ และแยกกันด้วยของเหลว ระหว่างเซลล์ (interstitial fluid) แต่ละเซลล์จะห่างกันประมาณ 10-30 นาโนเมตร (nm.) แต่อย่างไรก็ ตามเซลล์ประกอบกันเป็นโครงสร้างของเนื้อเยื่อหรืออวัยวะชนิดเดียวกันจะต้องมีการทำ งานที่สัมพันธ์กัน ดังนั้นจึงต้องมีการติดต่อกันระหว่างเซลล์ที่อยู่ด้วยกัน พบว่าการติดต่อระหว่างเซลล์ epithelium นั้นจะมี การตดิ ต่อดว้ ยกันทงั้ หมด 3 ดา้ น คือ 1. ดา้ นผวิ หนา้ (Apical surface / Luminal border / Free border) ทางด้านผิวหน้าของเซลลเ์ ยื่อบผุ ิวมกี ารดัดแปลงและพัฒนาเพื่อทำหนา้ ท่ใี หเ้ หมาะสมกับ อวยั วะนั้นๆ ดงั นี้ A. Microvilli เป็น plasma membrane ทปี่ กคลุมส่วนด้านผวิ หน้าท่ียืน่ ขน้ึ ไป มีขนาดส้ันคล้ายน้วิ มือ ความ ยาวสม่ำเสมอประมาณ 1 micron เส้นผ่านศนู ยก์ ลางประมาณ 0.08 micron เรยี งตัวกนั เป็นระเบยี บ หาก ศึกษาด้วยกล้องจุลทรรศน์ธรรมดาจะไม่เห็นชัดเจน อาจจะเห็นเป็นลาย ( bush or striated border) microvilli นี้จะช่วยเพิ่มพื้นที่ผิวสัมผัสในการ absorption พบได้ท่ี intestinal epithelium และ Kidney’s proximal tubule บทนำ (Introduction) หน้า 21 จาก 30
วิชากายวภิ าคศาสตรแ์ ละสรีรวิทยา 1 บทที่ 1 บทนำ (Introduction) B. Cilia เป็นสว่ นท่ีย่ืนออกมาจากผิวเซลลม์ ขี นาดยาว สามารถเคลื่อนไหวได้เอง และมองเห็นไดด้ ้วยกล้อง จลุ ทรรศน์ธรรมดา มีขนาดยาวประมาณ 7-10 micron เส้นผ่านศูนยก์ ลาง 0.2 micron มีโครงสรา้ ง เหมอื น centrioles ทโี่ คนของ cilia พบวา่ microtubule (9+2 pattern) จะต่อกบั basal body ของ เซลล์ โดยจะทำหน้าท่ีในการขนส่งสาร หรอื พัดโบก พบได้ที่ tracheal epithelium C. Stereocilia เป็น microvilli ท่มี ีขนาดยาวมากและแตกแขนง ไมส่ ามารถเคลื่อนไหวได้เอง สามารถมองได้ดว้ ยกล้อง จุลทรรศน์ธรรมดา พบไดท้ ่ี epididymis และ ductus deferens ของ male reproductive และ internal ear (hair cell ของ maculae และ organ of corti) ซง่ึ stereocilia นจ้ี ะชว่ ยเพิ่มพนื้ ท่ผี ิวของผนังเซลล์ D. Flagella มีลักษณะยาวและใหญ่กว่า cilia มักจะมีเพียง 1 หรือ 2 อันต่อเซลล์ เช่น ที่ตัวอสุจิจะมี flagella 1 อัน ทีท่ ำหนา้ ทช่ี ว่ ยในการเคลอ่ื นไหว 2. ด้านข้าง (lateral surface / lateral border) ทางด้านข้างรอยต่อระหว่างเซลล์เยื่อบุผิว (intercellular junction) จะยึดติดกันอย่างเหนียว แน่นแข็งแรง เพราะด้านข้างของเซลล์เยื่อบุผิวมีการเปลี่ยนแปลงของผนังเซลล์เพื่อการยึดติดกันเป็นแผ่น และเรยี กโครงสรา้ งท่ยี ดึ ติดกนั เหลา่ นี้ว่า Junctional complex ซึง่ จะประกอบด้วย 1. Tight junction [zonula occludens] 2. Intermediate junction [zonula adherens] 3. Desmosome [macula adherens] 4. Gap junction [Nexus] Tight junction [zonula occludens] รอยต่อนี้จะอยู่ใต้ด้านผิวหน้า (free surface) ของเซลล์บุผิวสองเซลล์ หรือยู่ในตำแหน่งขอบ บนสดุ ของเซลล์ ลักษณะที่พบจะมีการเชอ่ื มติดกนั แน่นเปน็ เส้นเดยี วกันของ unit membrane แต่จะมีบาง ชว่ งที่ไม่มกี ารเชื่อมตดิ กนั เกดิ เปน็ gap เปน็ ระยะๆ ซ่งึ รอยตอ่ น้ีจะชว่ ยควบคุมของเหลวหรือสารบางอย่าง ทไ่ี หลผา่ นช่องว่างระหวา่ งเซลล์ ที่ตำแหนง่ นี้จะทำหน้าท่ีป้องกันสารผ่านจาก lumen ไปยงั intercellular space สามารถพบได้ใน intestinal epithelium, urinary bladder epithelium Intermediate junction [zonula adherens] รอยต่อชนิดนี้จะพบอยู่ถัดต่ำลงมาจาก Tight junction พบว่าบริเวณนี้เยื่อหุ้มเซลล์ของ เซลล์บุผิวแยกจากกันทำให้มีช่องว่างกว้างกว่าเซลล์ที่ติดกันธรรมดา (plasma membrane แยกออกจาก กนั ) ประกอบด้วย fibrillar material ซึ่งเป็นพวก actin containing filaments (tonofilament) พบเป็น แถบอยู่ทางด้าน cytoplasm ที่ติดกับเยื่อหุ้มเซลล์ของเซลล์สองเซลล์ที่ติดกัน สามารถพบได้ใน simple columnar, simple cuboidal epithelium และเป็นองค์ประกอบของ intercalated disc ของ cardiac muscle บทนำ (Introduction) หน้า 22 จาก 30
วชิ ากายวภิ าคศาสตรแ์ ละสรีรวิทยา 1 บทท่ี 1 บทนำ (Introduction) Desmosome [macula adherens] เป็นรอยต่อที่พบใน stratified squamous epithelium โดยเฉพาะที่ผิวหนัง ซึ่งเป็นรอยต่อที่มี ความเเข็งแรงมากที่สุด เมื่อศึกษาด้วย electron microscope พบว่ามีลักษณะเป็น Disk-shaped หรือ เปน็ แผ่นกลม บริเวณนี้ plasma membrane จะไม่เชือ่ มติดกัน และ cytoplasm ของเซลล์ท่ีอยู่ติดกันใน บริเวณ Desmosome จะมี amorphous substance หนากว่าที่อื่น เรียกว่า attachment plaque และมี tonofilament แทงทะลุ plaques ทั้งสอง ในลักษณะวนกลับไปมา แต่ถ้าพบ plaque อยู่เดี่ยวๆ จะเรียกว่า Hemidesmosome ซึ่งจะพบท่ี basal surface ของ epithelial cell กับ basal lamina โดย จะทำหนา้ ทีย่ ึด epithelium ให้ติดแนน่ กบั basal lamina Gap junction [Nexus] มีลักษณะคล้าย disk-shaped พบบริเวณด้านข้างของเซลล์เยื่อบุผิวเป็นบริเวณที่เยื่อหุ้มเซลล์อยู่ ชดิ กันมาก โดย intercellular space บริเวณน้แี คบกวา่ ท่ีอ่ืนหรือเกือบไม่มีช่องว่างเหลืออยู่เลย ซ่ึงจะเป็น บรเิ วณทีใ่ ห้โมเลกุลของสารตา่ งๆ ผ่านไปมาระหวา่ งเซลลไ์ ด้อยา่ งรวดเรว็ เช่น neurons, Cardiac muscle 3. ดา้ นฐาน (Basal surface/ Basal border) ทางด้านฐานจะมีเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน (Connective tissue) รองรับอยู่ทางด้านล่าง โดยท่ี basal surface นี้จะมีลกั ษณะของ Extracellular structure ที่เรียกว่า basal lamina (เห็นได้จากทาง electron microscope ) พื้นผิวนี้จะอยู่ใกล้กับบริเวณที่มีเส้นเลือดมาเลี้ยง basal lamina จะประกอบด้วย Glycoprotein ที่เรียกว่า laminin และ Proteoglycan เรียกว่า Heparan sulfate มีหน้าที่เกี่ยวกับการ ยึด epithelium ให้ติดกับเนื้อเยื่อเกี่ยวพันและยังมีหน้าที่ในการเป็น selective barrier เพื่อควบคุมการ ซมึ ผา่ นของสารพวก macromolecules ระหวา่ ง connective tissue และ epithelium Basement membrane หรือ Basal membrane จะเป็นโครงสร้างที่สามารถมองเห็นได้ด้วย กล้องจุลทรรศน์ธรรมดา ซึ่งจะประกอบด้วยชัน้ basal lamina และชั้นของ reticular fiber ที่อยู่ถัดลงไป ใน connective tissue บทนำ (Introduction) หน้า 23 จาก 30
วิชากายวภิ าคศาสตรแ์ ละสรีรวิทยา 1 บทที่ 1 บทนำ (Introduction) เนื้อเยื่อเกี่ยวพนั (Connective tissue) เนื้อเยอื่ เกีย่ วพนั ประกอบด้วยกลุ่มเซลล์ท่ีอยู่กระจดั กระจาย และส่งิ ทอี่ ยู่ระหว่างเซลล์ซึ่งเป็นพวก เสน้ ใยชนดิ ตา่ งๆ แทรกอยู่ระหวา่ งเซลลเ์ ป็นจำนวนมาก รูปท่ี 17 ภาพวาดแสดงองค์ประกอบโดยทัว่ ไปของเนื้อเย่ือเกี่ยวพัน เนอื้ เยื่อเก่ยี วพนั มีองคป์ ระกอบหลัก 2 อยา่ ง คือ 1. เซลล์ (connective tissue cells) 2. สิ่งทีอ่ ยูร่ ะหวา่ งเซลล์ (intercellular substance) ซงึ่ แบง่ เป็น 2 ชนิด คือ 2.1 Fibrous intercellular substance 2.2 Amorphous intercellular (ground) substance Connective tissue cells 1. Fibroblasts เป็นเซลล์ที่พบมากที่สุดในเนื้อเยื่อเกี่ยวพันมีรูปร่างเป็นรูปกระสวยหรือ รูปแฉก nucleus รปู กลมรี ทำหน้าทสี่ รา้ ง intercellular substance 2. Macrophages เป็นเซลล์ขนาดใหญ่ มีรูปร่างได้หลายแบบ (รูปที่ 17) ทำหน้าที่ทำลาย เช้อื โรคและสิง่ ท่ีร่างกายไมต่ อ้ งการ โดยการเก็บกิน (phagocytosis) 3. Mast cells เป็นเซลล์ขนาดใหญ่รูปกลมหรือรี ภายใน cytoplasm ของเซลล์พบมี granule (เม็ดผลึก) อยู่เป็นจำนวนมาก granule เหล่านี้บรรจุสารพวก heparin และ histamine ซึ่งเป็น สารทเ่ี กย่ี วขอ้ งกับปฏกิ ริ ยิ าภมู ิคมุ้ กนั บทนำ (Introduction) หน้า 24 จาก 30
วิชากายวิภาคศาสตรแ์ ละสรรี วิทยา 1 บทท่ี 1 บทนำ (Introduction) 4. Adipocytes (Fat cell) เป็นเซลล์ที่ทำหน้าที่สะสมไขมัน ภายในเซลล์บรรจุหยดไขมัน ขนาดใหญ่ทำให้ nucleus ของเซลล์ถูกดันไปอยู่ด้านข้าง (รูปที่ 17) เซลล์จึงมีลักษณะคล้ายแหวน (signet ring) 5. Plasma cells เป็นเซลล์ขนาดเลก็ ทรงกลม nucleus กลม ภายใน nucleus มลี กั ษณะ คลา้ ยซ่ีลอ้ เกวยี น หรือหนา้ ปัดนาฬกิ า (รปู ที่ 17) ทำหน้าท่ีสรา้ ง antibodies 6. Mesenchymal cells ส่วนใหญ่พบในเนื้อเยื่อของตัวอ่อน รูปร่างเป็นแฉกดาวคล้าย fibroblasts (รูปที่ 17) เซลลช์ นิดนี้มคี วามสามารถเปลี่ยนแปลงไปเป็นเซลลข์ องเนื้อเย่ือเกี่ยวพันชนิดอนื่ ได้ Fibrous intercellular substance ประกอบดว้ ยเส้นใยต่างๆ ท่ีอยใู่ นเนอ้ื เย่อื เกีย่ วพนั โดยแทรกอยู่ระหว่าง connective tissue cells พบได้ 3 ชนิด คอื 1. Collagenous fibers เป็นสารจำพวกโปรตีนที่มีลักษณะเป็นเส้นใย เส้นใยของ collagen fibers มีลักษณะเป็นแถบ ยาวตรงหรือเป็นคล่ืนเล็กน้อย เส้นผ่านศนู ย์กลางประมาณ 1-20 ไมโครเมตร (รูปที่ 17) ทำหน้าที่เสริม ความแข็งแรงให้แกโ่ ครงสร้างของรา่ งกาย เช่น เสน้ เอ็น (tendon), พังผดื (aponeurosis) เปน็ ต้น 2. Elastic fibers มลี ักษณะเปน็ เส้นใยบางยาวคล้ายเสน้ ด้ายเล็กๆ มเี สน้ ผ่านศูนย์กลาง 1-4 ไมโครเมตร (รูปที่ 17) พบมากตามเนอ้ื เย่ือที่ตอ้ งการความยดื หยนุ่ เชน่ ผนงั ของหลอดเลือด, สายเสียง (vocal cord) 3. Reticular fibers เป็นเส้นใยที่มีขนาดเล็กที่สุด เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 0.5-2 ไมโครเมตร เรียงตัวเป็น ร่างแหประกอบเป็นโครงร่างของอวัยวะต่างๆ เรียกว่า reticulum (รูปที่ 17) เส้นใยชนิดนี้เป็น องค์ประกอบส่วนใหญ่ของเนื้อเยื่อเกี่ยวพันของตัวอ่อน ในคนที่เติบโตเต็มท่ี reticular fibers เป็นโครง ร่างของอวัยวะที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการสร้างเม็ดเลือด เช่น ม้าม ไขกระดูกแดง และเป็นโครงให้ epithelium ยึดเกาะ เชน่ ในตับ ไต เป็นต้น Amorphous intercellular (ground) substance เป็นองค์ประกอบของเนื้อเยื่อเกี่ยวพันที่มีรูปร่างไม่แน่นอน เป็นที่ฝังของพวกเซลล์และเส้นใย ชนิดต่างๆ ของเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน ลักษณะของ ground substance จะแตกต่างไปตามชนิดของเนื้อเย่ือ เก่ยี วพนั เชน่ เป็นนำ้ ใส, มลี กั ษณะคลา้ ยวุ้น หรือมีการสะสมขององคป์ ระกอบที่เปน็ ของแขง็ ทำหน้าที่เป็นตัวกลางให้ของเหลวที่บรรจุสารอาหาร ออกซิเจนหรือของเสียจากเซลล์ซึมผ่านเข้า ออกระหว่างเซลลก์ ับหลอดเลือดฝอยได้ Specialized connective tissues เน้ือเยอื่ เกีย่ วพนั ซ่ึงดดั แปลงไปเปน็ พิเศษประกอบดว้ ย 1. Bone (กระดกู ) 2. Cartilage (กระดกู อ่อน) 3. Blood (เลอื ด) บทนำ (Introduction) หนา้ 25 จาก 30
วชิ ากายวิภาคศาสตรแ์ ละสรรี วทิ ยา 1 บทท่ี 1 บทนำ (Introduction) Muscular tissue เมื่อมีการหดรัดตัวของกล้ามเนื้อ จะทำให้เกิดการเคลื่อนไหว (movement) ของร่างกาย muscular tissue ประกอบด้วย - กลา้ มเนื้อลาย (skeletal muscle tissue) - กลา้ มเนือ้ เรียบ (smooth muscle tissue) - กล้ามเนอ้ื หวั ใจ (cardiac muscle tissue) Nervous tissue (เนือ้ เยื่อประสาท) เป็นองค์ประกอบและพบได้ในสมอง (brain) ไขสันหลัง (spinal cord) และเส้นประสาท (nerves) เม่อื มีการกระตุ้น (stimulate) จะตอบสนองตอ่ สง่ิ เร้าต่าง ๆ และขนถ่ายกระแสประสาท (nerve impulse) จากส่วนใดส่วนหน่ึงของร่างกายไปยงั อีกส่วนหนึง่ บทนำ (Introduction) หนา้ 26 จาก 30
วชิ ากายวภิ าคศาสตรแ์ ละสรรี วทิ ยา 1 บทที่ 1 บทนำ (Introduction) ปฏบิ ัติการกายวิภาคศาสตรแ์ ละสรีรวิทยา เรื่อง…เซลลแ์ ละเน้อื เยื่อ (cell & tissue) ☺☺☺☺☺☺☺☺☺ ผู้เรยี น นักศกึ ษาพยาบาลศาสตรช์ ้นั ปีท่ี 1 ระยะเวลา 2 ชว่ั โมง ผู้สอน อ.จติ รา สุขเจรญิ ………………………………….. โครงสร้างของเซลล์ ☺ Cell → functional unit (ทำหน้าที่สำคญั ๆทีจ่ ำเป็นต่อการดำรงชีวิต) ประกอบดว้ ย 2 ส่วนหลัก คือ 1. Cytoplasm 2. Nucleus ☺ Cytoplasm - ส่วนที่อยภู่ ายในเยือ่ หุ้มเซลล์ นอกนิวเคลยี ส - Cytoplasmic organelles (หนว่ ยเล็กๆ ท่ีทำหน้าท่ีต่างๆ ให้แกเ่ ซลล์) Mitochondria → สร้าง ATP Rough endoplasmic reticulum (rER) ☺ สรา้ งโปรตนี แลว้ ลำเลยี งตอ่ ไปยัง golgi apparatus เพ่อื สง่ ออกไปนอกเซลล์ Smooth endoplasmic reticulum (sER) ☺ สรา้ งไขมันและคารโ์ บไฮเดรต ☺ Detoxified สารที่เปน็ อันตราย ☺ เป็นแหล่งสะสมแคลเซียมในเซลล์กล้ามเนื้อ เพ่ือชว่ ยในการหดตัวของกล้ามเน้ือ ☺ สร้าง steroid hormone ในเซลล์ของต่อมไรท้ ่อบางชนิด Ribosomes → สังเคราะหโ์ ปรตีน Golgi apparatus ☺ ดดั แปลง (modification) แยกประเภทโปรตีน และบรรจุหบี หอ่ (packaging) โปรตีน ท่ีสง่ มาจาก rER และ ไขมนั ท่ีมาจาก sER เพ่ือให้อย่ใู นสภาพทพี่ ร้อมจะส่งออกไปใชภ้ ายนอกเซลล์ ☺ สงั เคราะห์ไกลโคเจน ซึ่งเกิดจากการรวมของ คาร์โบไฮเดรตและโปรตนี ☺ สรา้ ง lysosomes Lysosomes → ย่อยสลายสิ่งแปลกปลอมตา่ งๆ ☺ Nucleus ภายในมีสารพันธุกรรม (genetic material) ซ่ึงเป็นสารประกอบ DNA รวมกับ โปรตนี Chromatin → เปน็ เส้นเลก็ ในระยะไม่มีการแบง่ ตัว Chromosome → หดตัวส้ันและขดพันกนั เปน็ แทง่ ในขณะมีการแบง่ ตวั บทนำ (Introduction) หนา้ 27 จาก 30
วชิ ากายวภิ าคศาสตรแ์ ละสรรี วทิ ยา 1 บทที่ 1 บทนำ (Introduction) เน้อื เยื่อ (Tissues) 2.1 เน้ือเยื่อบผุ ิว (epithelial tissue หรือ epithelium) 2.2 เน้ือเยื่อเกย่ี วพัน (connective tissue) 2.3 เน้ือเยื่อกลา้ มเน้ือ (muscular tissue) 2.4 เนื้อเยื่อประสาท (nervous tissue) ความแตกตา่ งของ epithelium และ connective tissue 3.1 องคป์ ระกอบทวั่ ไป Epithelium → กลุ่มเซลล์ท่ีรูปรา่ งเหมือนกัน มาอย่รู วมกันเปน็ จำนวนมาก มสี ารท่อี ยู่ระหวา่ งเซลล์ (intercellular substance) แทรกอยู่น้อยมาก วางอยู่บน basement membrane Connective tissue → มีสารท่ีอยู่ระหว่างเซลล์ (intercellular substance) เป็นจำนวน มาก มีเซลลจ์ ำนวนน้อย และแตล่ ะเซลล์อยูห่ า่ งๆ กัน intercellular substance ประกอบด้วย 2 ส่วน คือ เส้นใย (fibers) และสว่ นท่ีเป็น ground substance 3.2 ตำแหนง่ ที่อยแู่ ละความสัมพันธ์ระหว่าง epithelium และ connective tissue Epithelium → บุผวิ ตา่ งๆ ของรา่ งกาย เช่น บุผิวภายนอก (ผวิ หนัง) บุภายใน body cavities บภุ ายในโครงสร้างทม่ี ลี กั ษณะเปน็ ท่อ ไมม่ ีหลอดเลอื ดไปเลีย้ งโดยตรง Connective tissue → ทำหน้าทเี่ ปน็ โครงค้ำจนุ ให้กับอวยั วะของร่างกาย เช่น กระดูก ยดึ เหนย่ี วเนื้อเยื่อพืน้ ฐานของร่างกายชนดิ อ่นื ๆ เขา้ ไว้ด้วยกัน ชั้นของ connective tissue จะอยูใ่ ต้ต่อช้ันของ epithelium เสมอ มีหลอดเลอื ด บทนำ (Introduction) หนา้ 28 จาก 30
วชิ ากายวภิ าคศาสตรแ์ ละสรรี วิทยา 1 บทที่ 1 บทนำ (Introduction) ชนดิ ของเนื้อเยื่อบุผิว (Epithelial tissue) หนา้ ทแ่ี ละตำแหน่ง ชนิด หนา้ ท่ี ตำแหนง่ 1. Simple squamous epithelium การกรอง (Filtration) ถุงลมปอด 2. Simple cuboidal การแพร่ (Diffusion and Osmosis) ผนงั หลอดเลอื ดฝอย epithelium ผนังหลอดเลอื ดและ 3. Simple columnar epithelium หลอดน้ำเหลอื ง 4. Pseudostratified columnar การหลง่ั สาร (Secretion) รังไข่ epithelium การดูดซึม (Absorption) หลอดไตฝอย 5. Stratified squamous epithelium ผนังบทุ ่อของตอ่ มต่างๆ 6. Transitional epithelium การปกคลุม (Protection) ผนงั มดลกู การหลั่งสาร (Secretion) ผนงั ทอ่ ทางเดินอาหาร การดูดซึม (Absorption) การปกคลุม (Protection) ผนงั ทอ่ ทางเดินหายใจ การหลัง่ สาร (Secretion) ผนังท่ออวัยวะสืบพันธ์ุ ทำใหเ้ กดิ การเคลื่อนท่ีของ น้ำเมือก (mucus) และเซลล์ (cells) การปกคลุม (Protection) ชั้นหนงั กำพร้า บชุ ่องปาก ช่องคอ ช่องคลอดและทวารหนกั การยืดขยาย (Distensibility) กระเพาะปสั สาวะและอวยั วะใน ระบบขับถ่ายปัสสาวะ บทนำ (Introduction) หน้า 29 จาก 30
วิชากายวภิ าคศาสตรแ์ ละสรรี วทิ ยา 1 บทท่ี 1 บทนำ (Introduction) แบบฝึกหัด เซลล์และเนื้อเย่ือ นำตัวเลขท่ชี แ้ี สดงในภาพเซลลใ์ สห่ นา้ โครงสร้างและสว่ นประกอบของเซลลใ์ ห้ถูกต้อง ____ Nucleus ____ Nucleolus ____ Nuclear membrane ____ Cell membrane ____ Cytoplasm ____ Ribosomes ____ Mitochondria ____ Vacuoles ____ Golgi Body ____ Lysosome ____ Endoplasmic reticulum บทนำ (Introduction) หน้า 30 จาก 30
Search
Read the Text Version
- 1 - 31
Pages: