Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หนังสือเรียนรายวิชา หลักการถ่ายภาพ

หนังสือเรียนรายวิชา หลักการถ่ายภาพ

Published by workrinpho, 2020-07-19 20:54:37

Description: หนังสือเรียนรายวิชา หลักการถ่ายภาพ

Search

Read the Text Version

51 รปู ที่ 68 การถา่ ยภาพตอนโพล้เพล้ การถา่ ยภาพในตอนกลางคืน (Night) เป็นช่วงเวลาที่เปลยี่ นจากกลางวนั สู่กลางคนื เลยระยะเวลา โพล้เพลไ้ ปเล็กน้อย เป็นการถ่ายภาพตอนกลางคนื ทใี่ ชแ้ สงธรรมชาติ ไดแ้ ก่ แสงจากดวงจันทร์ ดวงดาว ต่างๆ หรือแมแ้ ตท่ ้องฟ้า การถ่ายช่วงนีม้ คี วามจาเปน็ ต้องใช้ขาตงั้ กลอ้ ง เพราะจะต้องใชค้ วามเร็วชัตเตอร์ มาก ซ่งึ อาจใช้ความเรว็ ชัตเตอร์ 1 นาทหี รอื มากกว่าอาจใช้ถึง 5 นาที ทัง้ นี้แล้วแต่ปรมิ าณแสงในขณะนน้ั รูปที่ 69 การถา่ ยภาพตอนกลางคนื 2. แสงเทียม คอื แสงที่ได้จากสิ่งประดษิ ฐข์ องมนุษย์ โดยอาศยั กรรมวิธตี ่างๆ ซ่ึงคิดคน้ ขนึ้ มา เพื่อใช้ แทนแสงธรรมชาติ เพราะเราไมส่ ามารถควบคุมในเร่ืองของปริมาณ ทิศทาง และเวลาของแสงธรรมชาตไิ ด้ จงึ ไดแ้ สงเทียมขน้ึ เพื่อใช้ทดแทนแสงธรรมชาติ ซง่ึ มีท้ังแสงจากหลอดไฟฟ้าทุกชนิด แสงจากไฟแฟลชทใี่ ช้ ในสตดู โิ อและนอกสถานท่ี แสงจากเทยี นไข ไฟฉาย นีออน และแสงรงั สตี า่ งๆ ทใี่ ช้ในงานวทิ ยาศาสตร์ และ การแพทย์ เป็นตน้ ในการถ่ายภาพดว้ ยแสงประดิษฐ์มีความสะดวกกว่าการใชแ้ สงธรรมชาติ เพราะผถู้ า่ ยสามารถ ควบคุมทิศทางความเข้ม ตลอดจนตาแหนง่ ของแหลง่ กาเนดิ แสงได้

52 รูปที่ 70 ภาพจากแสงเทียม 3. แสงสวา่ งจากสภาพแสงจริง เปน็ แสงจากสภาพแวดล้อมโดยท่ัวไป ท่เี กิดขน้ึ จากสภาพจรงิ ทีม่ ีอยู่ สามารถพบเห็นไดต้ ามอาคาร ร้านคา้ ถนน รวมท้งั ไฟประดับเทศกาลในยามค่าคืน เปน็ ต้น ภาพทไี่ ด้จะ แสดงให้เหน็ ถงึ อารมณ์ บรรยากาศ ซึ่งจะทาใหถ้ า่ ยทอดเรื่องราวรวมทงั้ สภาพความเป็นจรงิ ในขณะน้นั ได้ ถา้ ระดับแสงสว่างทป่ี รากฏอยคู่ ่อนขา้ งมแี สงสวา่ งน้อย เราควรปรบั ค่า ISO ใหส้ งู กว่าปกติ และต้อง ใช้ขาต้งั กล้อง เพ่ือช่วยในการถา่ ยภาพ

53 รปู ที่ 71 ภาพจากแสงสว่างจากสภาพแสงจรงิ ทศิ ทางของแสง ทศิ ทางของแสงนับว่ามสี ่วนสาคญั ช่วยใหภ้ าพถา่ ยดูมมี ิติ และแสดงใหเ้ ห็นถึงรูปทรง ความลึก ซง่ึ จะให้ ความรสู้ กึ แกภ่ าพถ่ายน้ันได้ ทศิ ทางของแสงแบ่งออกเป็น 5 ทศิ ทาง ไดแ้ ก่ 1. แสงจากดา้ นหน้า คือ แสงท่มี าจากด้านหลังของกล้องส่องตรงเข้าสวู่ ัตถุ ทาให้เหน็ รายละเอยี ด ของวตั ถุอย่างชดั เจน ไมเ่ กิดเงาในภาพ ทาใหด้ ูวตั ถเุ รียบแบน รปู ที่ 72 ภาพจากแสงจากดา้ นหน้า 2. แสงจากดา้ นขา้ ง คือ แสงที่มาจากดา้ นข้าง ทามมุ ประมาณ 90 องศา ในดา้ นขวาหรือด้านซา้ ย ของวตั ถุ ทาใหเ้ กิดเงามืดตัดกับแสงสว่าง ชว่ ยใหเ้ ห็นรปู ลักษณะดา้ นสงู และลกึ ของวัตถุ

54 รปู ที่ 73 ภาพจากแสงจากดา้ นข้าง 3. แสงจากด้านหลงั คือ แสงท่ีสอ่ งมาจากด้านหลังของส่ิงท่ีจะถ่าย ตรงขา้ มกับตาแหน่ง ทต่ี ั้งกล้อง ซง่ึ จะแสดง ให้เห็นถึงรปู รา่ งของวตั ถุเฉพาะภายนอก เปน็ เงาดา หรือเรียกอีกอยา่ งวา่ การถ่ายภาพย้อนแสง (Silhouette) นัน่ เอง รูปที่ 74 ภาพจากแสงจากด้านหลัง 4. แสงเฉยี งจากด้านหน้า คอื แสงทสี่ อ่ งเฉียงจากทางดา้ นหนา้ ของวตั ถุ อาจจะทางด้านซ้าย หรอื ด้านขวากไ็ ด้ โดยแสงจะช่วย แสดงมิตไิ ล่ โทนน้าหนักของ วัตถุ ช่วยให้ เห็นรปู ทรง และ รายละเอยี ด ของตวั วัตถุได้ดี ท่สี ดุ

55 รปู ที่ 75 ภาพจากแสงเฉียงจากด้านหน้า 5. แสงเฉยี งจากดา้ นหลงั คือ แสงที่สอ่ งเฉยี งมาจากทางด้านหลัง ดา้ นซ้าย หรอื ด้านขวาของวัตถุ โดยแสงจะช่วยเน้นรูปทรงของวตั ถุ และจะชว่ ยแยกตวั วัตถุออกจากฉากหลัง ทาใหว้ ตั ถุดูเด่นข้ึน รปู ที่ 76 ภาพจากแสงเฉียงจากด้านหลงั การจดั แสงเบ้ืองตน้ การจัดแสงเป็นส่งิ จาเปน็ ในการถ่ายภาพ มีกฏเกณฑท์ ี่ไมต่ ายตัว ไม่วา่ จะเปน็ การจดั แสงแบบ แสงธรรมชาติ แสงประดษิ ฐ์ หรอื แสงสวา่ งจากสภาพแสงจริง ซ่งึ การจัดแสงมวี ตั ถปุ ระสงค์หลายประการ ดงั นี้ 1. การจัดแสงชว่ ยให้การถ่ายภาพมีความสวยงามมากขน้ึ 2. การจัดแสงชว่ ยเสริมให้วตั ถุทีต่ อ้ งการถา่ ยมมี ิติยิง่ ข้ึน สามารถมองเห็นรูปทรง และสว่ นลึกของ วัตถไุ ด้

56 3. การจัดแสงชว่ ยสรา้ งบรรยากาศ ทาใหภ้ าพสามารถถา่ ยทอดอารมณ์ของเหตุการณ์ตา่ งๆ ไดต้ าม ต้องการ 4. การจดั แสง ชว่ ยทาให้องค์ประกอบภาพมีความสมบูรณ์มากขึน้ เชน่ ช่วยแก้ปัญหาในการขาด สมดลุ ย์ ช่วยเน้นจดุ สนใจของภาพ เปน็ ต้น จะเห็นได้ว่า วตั ถปุ ระสงค์การจัดแสงทงั้ ส่ีประการเป็นส่วนที่สาคัญมาก เพราะชว่ ยให้การถ่ายทอด แนวความคดิ และสอ่ื ความหมายผา่ นภาพถ่าย ให้ผู้ชมได้เขา้ ใจตรงตามเปา้ หมายท่ีกาหนด การจดั แสงเพ่อื การถ่ายภาพมีแสงหลกั ๆ อยู่ 4 อยา่ ง โดยมีลักษณะในการทางานท่แี ตกต่างกนั ออกไป ดังน้ี 1. แสงหลัก (Main light) เป็นไฟทาหน้าที่ให้แสงสว่างกับส่ิงทถ่ี า่ ย นิยมวางไวเ้ หนอื สง่ิ ทถี่ กู ถ่าย และสอ่ งสวา่ งลงมาเฉียงด้านหนา้ โดยเน้นส่วนทส่ี าคัญท่สี ุดของวตั ถนุ ัน้ เพ่ือใหเ้ ห็นรปู ร่าง ทศิ ทาง พืน้ ผวิ รายละเอียดอย่างชัดเจน หากใชแ้ สงหลกั เพียงดวงเดียวจะทาใหม้ องเหน็ เงาที่เข้ม จึงจาเป็นตอ้ งใช้ดวงไฟ เพม่ิ ขึ้น ส่องทะแยงไปยงั สิ่งที่ถา่ ย เพื่อลบเงาไฟดวงแรก รปู ท่ี 77 ภาพจากแสงหลกั 2. แสงเสริม (Fill light) เป็นแสงที่ใชล้ บเงาทเี่ กิดจากแสงหลกั เพ่มิ รายละเอยี ดในส่วนเงาใหม้ าก ขนึ้ ตาแหนง่ ทว่ี างไฟเสริมนต้ี ามปกตมิ ักวางเอาไว้ข้างกล้องด้านตรงขา้ มกบั แสงหลักและอยู่ระดบั เดียวกับ กลอ้ ง ทาใหเ้ ห็นวัตถเุ พิ่มเปน็ 3 มิติ ไม่เกดิ ความแขง็ กระด้าง นอกจากนี้ยงั ชว่ ยเพิ่มความสวา่ งแก่วตั ถุ โดยอาจจะใชแ้ ผน่ กระจายแสง ทท่ี าด้วยวสั ดโุ ปรง่ แสง หรอื วัสดุทึบแสง เพ่ือบังหนา้ วัตถุ หรือสะท้อนแสง ทาใหแ้ สงอ่อนลง หรอื แสงพร่า เพือ่ ให้แสงน้นั นุ่มนวลย่งิ ขน้ึ

57 รูปท่ี 78 ภาพ จากแสงเสรมิ 3. แสงแยก หรอื แสงไฟหลงั (Back light) ตง้ั อย่ใู นตาแหนง่ ตรงข้ามกบั แสงหลัก ในมมุ สงู เฉยี ง หลัง และสอ่ งเปน็ บรเิ วณเฉพาะจุดเทา่ นน้ั เพื่อทท่ี าใหภ้ าพหรอื วัตถมุ คี วามลกึ หรือมีมติ ิ และสามารถแยก วตั ถใุ หเ้ ดน่ ออกมาจากฉากท่อี ย่ดู า้ นหลงั ได้ รปู ที่ 79 ภาพ จากแสงแยกหรอื แสงไฟหลัง 4. แสงสอ่ งพืน้ หลงั หรือแสงฉาก (Background light) ใชแ้ สงจากหลอดไฟขนาดเลก็ ระหวา่ ง วตั ถกุ ับฉากหลัง เพ่ือให้ฉากหลังสวา่ งขน้ึ ตามปริมาณแสงที่ต้องการ เพ่ือแยกวัตถจุ ากพื้นหลงั อาจใช้ ฟลิ เตอรส์ ตี า่ งๆ เพ่ือเพิ่มสีสรรให้กบั ฉากตามความเหมาะสม

58 รปู ท่ี 80 ภาพจากแสงสอ่ งพ้นื หลัง หรือแสงฉาก ขนั้ ตอนการจัดแสง การจัดแสงเป็นเทคนิคเฉพาะ ผู้ถา่ ยภาพควรมีการวางแผนอยา่ งละเอยี ด เพื่อให้ภาพออกมา สวยงาม ตรงตามความต้องการ ซง่ึ ข้ันตอนของการจดั แสงมี ดังน้ี 1. กาหนดทศิ ทางของแสง ว่าแสงใดมาจากจดุ ใด ต้องการใหแ้ สงออกมามลี ักษณะอยา่ งไร เพ่อื กาหนดแสงหลักได้อยา่ งถูกต้อง และสอดคลอ้ งกับความตอ้ งการ 2. ในกรณถี า่ ยภาพสี จาเป็นจะต้องศึกษาถึงสิง่ ที่เกิดจากแหลง่ กาเนิดแสงว่าเป็นแสงมที ี่มาจาก แหลง่ ใด เชน่ แสงจากเทียนไข จากตะเกยี ง แสงจากดวงอาทิตย์ เปน็ ตน้ 3. หากวตั ถุมีการเคลื่อนไหว จะตอ้ งพิจารณาตาแหน่ง หรือขอบเขตของการกระจายแสงใหถ้ ถี่ ว้ น 4. ควรมีการทดสอบการจัดแสง หรือปรบั ปรงุ แก้ไขก่อนถา่ ยจริง การวดั แสงเพ่อื การถ่ายภาพ

59 การวัดแสงคือ การสัง่ ให้กลอ้ งอา่ นค่าแสงของวัตถทุ ่เี ราต้องการถ่าย โดยทาไปพร้อมกบั การ โฟกัสภาพ หากมกี ารวดั ค่าแสงไม่ถูกต้อง จะทาให้ภาพที่ได้มีความสวา่ งมากเกิน หรือมดื เกนิ ไป ทาใหภ้ าพ ทไ่ี ด้ ลดความสวยงามลง การวดั แสงไม่มกี ฎเกณฑ์ตายตัว ข้นึ อย่กู ับความเหมาะสมในแตล่ ะภาพ อารมณ์ของภาพจะ แตกตา่ งกันออกไปตามค่าการวัดแสง การวัดแสงมีอยู่ 2 วิธี คอื 1. การวัดแสงท่ีมาจากแหลง่ กาเนิดแสงโดยตรง (Incident light Metering) โดยการนาเคร่อื งวดั แสงไปวดั หน้าวตั ถทุ ี่ต้องการถ่าย แสงท่ีได้ออกมาจะค่อนข้างตรงเพราะไมไ่ ด้วัดผ่านวตั ถุอื่น รปู ที่ 81 ภาพจากการวัดแสงที่มาจากแหลง่ กาเนดิ แสงโดยตรง 2. การวัดแสงท่ีสะท้อนมาจากวัตถุ (Reflect light Metering) ระบบการวัดแสงของกล้องถา่ ยภาพ โดยทว่ั ไปท่ีตดิ มากบั กล้องถ่ายภาพ จะเปน็ ระบบวัดแสงท่ีสะทอ้ นจากวัตถุผ่านเลนส์เขา้ มา โดยมีเซลล์ วดั แสงอยูท่ บ่ี รเิ วณใต้กระจกสะท้อนภาพ หรอื ท่บี ริเวณชอ่ งมองภาพเปน็ หลัก หรืออาจจะมีตาแหน่งอน่ื ๆ แตกตา่ งกนั ไปแล้วแตร่ ุน่ ของกล้องถ่ายภาพ ซง่ึ การวดั แสงด้วยวธิ นี ้ี จะมคี วามคลาดเคลื่อนในกรณที ่ีเจอวตั ถุ สีดา สขี าว หรือแสงสะท้อนจัดๆ จึงตอ้ งมีการชดเชยแสง เชน่ แสงสขี าว ตอ้ ง +2 stop โดยประมาณ แสงสีดา ต้อง-2 โดยประมาณ แตว่ ธิ ที ีด่ ีที่สุดคอื หากระดาษสีเทา 18% มาวางท่ีวัตถุแลว้ วดั แสง

60 รูปท่ี 82 ภาพจากการวัดแสงท่สี ะท้อนมาจากวตั ถุ การใชไ้ ฟแฟลชในการถา่ ยภาพ ไฟแฟลชเปน็ อุปกรณส์ ารองขนาดกะทัดรัดที่ให้แสงสวา่ งในการถา่ ยภาพ ขณะทีแ่ สงธรรมชาติ ไม่เพียงพอ มีอณุ หภูมิสใี กล้เคียงกับแสงอาทิตย์ตอนกลางวัน ทาให้เราถา่ ยภาพได้ในทุกที่ และทุกเวลา ทางานโดยการฉายแสงในช่วงเวลาท่ีสนั้ มาก ประโยชน์ของการใช้แฟลชในการถ่ายภาพ 1. ชว่ ยใหส้ ามารถถ่ายภาพในทม่ี ืด หรือในท่ีที่แสงสวา่ งไมเ่ พียง เช่น ห้องมืด หรือในเวลากลางคืน ซง่ึ การใช้แฟลชจะได้ภาพไมเ่ หมอื นกบั ทีเ่ ราเห็น ณ เวลาขณะนน้ั 2. ชว่ ยให้สามาถถ่ายภาพกลางแจง้ ซึ่งแสงอาทิตย์สอ่ งมาดา้ นหลัง ท่ีเรียกวา่ การถา่ ยย้อนแสงหรือ การถา่ ยภาพเงาดา โดยเราสามารถเปิดแฟลชเพ่ือลบเงาด้านหน้า ทาให้ได้ภาพท่ีสวยงาม เห็นรายละเอยี ด ทัง้ ด้านหนา้ และดา้ นหลัง 3. ช่วยให้ไดภ้ าพคมชัด ไมพ่ ร่ามัว ระบบไฟแฟลช ไฟแฟลชสาหรบั ใช้ในการถ่ายภาพ มี 3 ระบบ คือ 1. แฟลชระบบแมนนวล (Manual) 2. แฟลชระบบออโต้ (Auto) 3. แฟลชระบบ TTL (Through the lens) แฟลชระบบแมนนวล (Manual) เปน็ แฟลชในระบบด้ังเดมิ ที่ใช้โหมด Manual (M) มีการควบคมุ ความสวา่ งเป็นสต็อป เหมือนกบั รรู ับแสง และสปีดชตั เตอร์ โดยมกี ารบอกกาลังไฟทเี่ ราเลือกใช้อย่างชัดเจน เช่น ถ้าคา่ กาลงั ไฟแฟลชอยทู่ ่ี 1/1 แปลวา่ แฟลชทก่ี าลังจะยิงนั้นถูกเปิดเต็มกาลัง หรอื เท่ากบั 60 วัตต์ ซง่ึ กค็ ือกาลงั สูงสดุ ของแฟลชนั้นๆ หารด้วย 1 และถ้าเราลดกาลังไฟแฟลชลงมาหน่งึ สต็อป ที่แฟลชจะแสดงผลวา่ 1/2 แปลว่า กาลังไฟสูงสุดของแฟลชน้นั ๆ หารดว้ ย 2 หรอื เทา่ กบั 60 วัตต์หารด้วย 2 จะมคี า่ 30 วัตต์ เป็นต้น

61 รูปที่ 83 ภาพแฟลชระบบแมนนวล แฟลชระบบออโต้ (Auto) เปน็ แฟลชรนุ่ ทพ่ี ัฒนาตอ่ มาจากแฟลชระบบแมนนวล ใชง้ านง่ายเพราะมีเซลล์ไวแสงหรือ เซนเซอรต์ ดิ ไว้ เพ่ืออา่ นค่าแสงทสี่ ะท้อนกลับมาจากวัตถุท่แี สงแฟลชได้ไปกระทบ และเซนเซอร์ก็จะทาการ ตดั แสงแฟลชให้โดยอัตโนมตั ิ ทาให้เกดิ ความสะดวกรวดเร็วในการถา่ ยภาพ รปู ที่ 84 ภาพแฟลชระบบออโต้ แฟลชระบบ TTL (Through the lens) เป็นแฟลชทีใ่ ชง้ านในยุคปัจจุบัน โดยท่ีแฟลชกบั กล้องจะคอยสง่ ข้อมูลกนั อยู่ตลอดเวลา ทาให้ถ่ายภาพได้งา่ ยงา่ ย โอกาสผดิ พลาดน้อย และสามารถปรับคา่ รรู ับแสงไดอ้ ย่างอสิ ระ นอกจากนี้ ระบบ

62 การทางานของแฟลชแบบ TTL มกั จะทางานไดอ้ ยา่ งแมน่ ยา ยกเว้นบางครัง้ ท่ีวัตถุบางอย่างในภาพ มกี าร สะทอ้ นแสงสที แ่ี ตกตา่ งกนั มากๆ เชน่ วัตถุทมี่ ีความมนั วาวหรอื กระจกเงา ก็จะสะท้อนแสงกลบั มามากกว่า ปกติ ทาใหร้ ะบบวดั แสงแฟลชภายในตัวกลอ้ งคดิ วา่ วตั ถุได้รับแสงพอดแี ล้ว ภาพทไ่ี ดจ้ ะมดื กวา่ ปกติ (อนั เดอร)์ ในทางตรงข้ามถา้ พ้ืนท่ีสว่ นใหญข่ องภาพมีการดูดกลนื แสงมากกวา่ ปกติ เช่น ในห้องท่มี ผี นงั โทนเขม้ ก็อาจทาให้ภาพท่ีได้สวา่ งกวา่ ปกติ (โอเวอร์) ดงั นั้น แฟลชจึงมรี ะบบชดเชยแสงแฟลชตดิ มาด้วย รูปท่ี 85 ภาพแฟลชระบบ TTL เทคนิคการใชแ้ สงแฟลช การเบาซแ์ ฟลช (Bounce Flash) เป็นการถา่ ยภาพโดยอาศัยแสงสะท้อนจากแฟลช เนอ่ื งจากแสงท่ไี ดจ้ ากแฟลชจะเปน็ แสงทีส่ ่องตรง ดงั นัน้ ลักษณะของแสงท่ีไดจ้ ึงค่อนข้างแข็ง สาเหตทุ ี่ส่งผลทาใหแ้ สงนุ่มหรอื แสงแข็ง มอี ยู่ 2 ประการ คือ 1) ขนาดของแหลง่ กาเนิดแสงเม่ือเทยี บกบั ขนาดวตั ถุที่ได้รบั แสง 2) ระยะทางระหวา่ งแหล่งกาเนิดแสงถึง วตั ถทุ ่ีโดนแสง ซ่ึงขนาดของแหล่งกาเนิดแสง คือปัจจัยสาคัญทสี่ ่งผลตอ่ การเกดิ เงาของภาพ ทอ่ี าจทาให้วตั ถุ ดแู บนไม่มมี ิติ และเกิดเงาแข็งกระดา้ ง ซง่ึ การเบาซแ์ ฟลช สามารถใชไ้ ด้กับแฟลชภายนอกเทา่ น้ัน โดยสว่ นมากนยิ มยงิ แฟลชขนึ้ ไปด้านบนเพดานแลว้ ใหส้ ะท้อนไปทีแ่ บบหรือวตั ถุท่เี ราต้องการถ่าย เพือ่ ทาให้แสงแฟลชนุ่มนวลข้ึน ทัง้ นี้ ควรสังเกตว่าผนัง หรือเพดานท่ตี ้องการยิงแสงแฟลชออกไปมีสขี าว หรอื ไม่ เพราะหากเป็นสีอืน่ ก็จะสะท้อนแสงออกมาตามสนี ้ัน ทาให้ภาพได้รบั แสงสนี น้ั ด้วย และอีกประการ หนึ่งคือ เมื่อใช้แฟลชเบา๊ ซส์ ะท้อนเพดาน กาลังไฟของแฟลชจะถกู ใช้มากกว่าการยงิ แสงแฟลชตรงแบบปกติ แสงบางสว่ นอาจถูกดดู กลนื ไปตามความสามารถในการสะทอ้ นแสงของสี ดงั นน้ั จึงต้องตรวจสอบวา่ เพดาน มคี วามสูงเพยี งพอกับกาลงั แฟลชหรือไม่ โดยสงั เกตจากไฟสญั ลักษณ์ด้านหลังแฟลชหรอื ดภู าพจากจอ LCD

63 รูปท่ี 86 ภาพ เปรยี บเทียบ ระหว่างใช้แฟลชปกติและการ Bounce Flash การใช้แฟลชเปน็ แสงเสริม (Fill In Flash) เป็นการถ่ายภาพทีใ่ ช้แสงธรรมชาตเิ ปน็ หลกั โดยมคี า่ แสงเพียงพอในการถ่ายภาพ แต่ใช้แฟลชรว่ ม ในการถา่ ยภาพ เพื่อใหแ้ ฟลชไปเปดิ รายละเอยี ด เพมิ่ มิติ เพ่มิ ความสดใสขึ้น ซึ่งอาศยั หลักการทางาน คล้ายกบั การใช้แฟลชลบเงาทั่วๆ ไป แต่ข้อควรระวัง คือ ในสภาพแสงทีม่ ีคา่ ความเข้มแสงสูงมากๆ ไม่ควร ใช้แสงแฟลช เพราะจะทาให้ภาพดูแขง็ กระด้างได้ รูปท่ี 87 ภาพการใชแ้ ฟลชเป็นแสงเสริม

64 บทที่ 5 เลนส์ถา่ ยภาพ จดุ ประสงค์การเรียนรู้ 1. ผูเ้ รียนมีความรูค้ วามเขา้ ใจเกี่ยวกับเลนส์ถา่ ยภาพ 2. ผู้เรียนสามารถใช้เลนส์ถา่ ยภาพได้เหมาะสมกับลักษณะการใช้งาน

65 บทท่ี 5 เลนส์ถา่ ยภาพ ความสาคัญของเลนส์ถา่ ยภาพ เลนส์ (Lens) เป็นส่วนประกอบสาคญั ของกล้อง เป็นวัสดุโปร่งใส อาจผลติ ขนึ้ จากแกว้ หรอื พลาสตกิ ใส ลักษณะกลม ผิวเรยี บ แลว้ นามาประกอบบนกระบอกเลนส์ ภายในกระบอกเลนส์จะมีมา่ น (Diaphragm) ทาดว้ ยแผน่ โลหะบาง ๆ จัดเปน็ ชุดเรียงซ้อนประกอบกันเพอ่ื ให้เกิดเป็นชอ่ งวา่ งตรง ศูนย์กลาง ม่านเลนส์หรอื ช่องว่างน้จี ะสามารถหรใ่ี หเ้ ล็กหรือขยายให้ใหญ่ เพ่ือเป็นการควบคมุ ปรมิ าณแสง สวา่ งท่ีส่องผา่ นมาจากเลนส์แล้วส่งตอ่ ไปถึงอมิ เมจเซนเซอร์ มา่ นเลนส์ท่หี รีร่ ูเลก็ แสงจะผ่านได้น้อย ถา้ ขยายตวั ให้เปน็ รูขนาดใหญ่ปรมิ าณของแสงกจ็ ะผ่านได้มาก โดยเลนส์ทาหนา้ ทร่ี วมแสง กรองแสง ปรับความคมชัดของภาพ สามารถแกไ้ ขการผดิ เพีย้ นของสี และการคลาดเคลอ่ื นของรปู ทรงให้ถูกตอ้ งได้ เลนส์มีด้วยกันหลายชนิด และหลายช่วงการใช้งาน สามารถถอดเปล่ียนเลนสไ์ ด้ ตามความ เหมาะสมกบั การทจ่ี ะนาไปใช้ในงาน แตล่ ะประเภท และภาพท่ีออกมายงั ใหค้ วามร้สู ึกท่ีแตกต่างกันอีกดว้ ย คณุ สมบัติของเลนสถ์ ่ายภาพ ผใู้ ช้งานควรทราบคณุ สมบตั ิของเลนส์ถ่ายภาพ เพื่อเปน็ ข้อมลู ในการเลอื กใชเ้ ลนส์และเรียนรู้ วิธีการใช้ ให้ถา่ ยภาพได้อย่างมปี ระสิทธิภาพตรงตามวัตถปุ ระสงค์ โดยเลนสม์ ีคณุ สมบตั ิที่สาคญั ดังนี้ 1. ความไวแสงของเลนส์ (Lens Speed) หรือความเร็วของเลนส์ หมายถึง ความสามารถของเลนส์ ซง่ึ ตดิ อยหู่ นา้ กลอ้ งถา่ ยภาพ ที่สามารถดึงดดู แสงสวา่ งให้ผ่านเขา้ กล้องได้มากหรือน้อยในระยะเวลาจากัด ถา้ เลนส์ตัวน้นั ๆ สามารถเปดิ รบั หรือปลอ่ ยใหแ้ สงตกกระทบอิมเมจเซน็ เซอร์ไดป้ ริมาณมาก เรียกวา่ เลนสม์ ี ความไวแสงสงู (Fast Lens) ทาใหม้ ีประสิทธิภาพในการบันทกึ ภาพในสถานท่ีๆ มแี สงน้อยไดด้ ีกว่าเลนส์ทมี่ ี ความสามารถในการปล่อยให้แสงตกกระทบอมิ เมจเซน็ เซอร์ได้น้อย หรือเรยี กว่าเลนส์ทม่ี ีความไวแสงตา่ กวา่ (Slow Lens) 2. ความยาวโฟกสั ของเลนส์ (Focal length) คือ ระยะหา่ งระหวา่ งตวั เลนส์กบั วัสดุรบั ภาพ ของกล้อง ความยาวโฟกสั ของเลนสจ์ ะมีหน่วยวัดเป็นมิลลิเมตร มีผลต่อองศาของการรบั ภาพ (Angle of view) หรอื มมุ ของวัตถทุ ป่ี รากฏในชอ่ งมองภาพและภาพที่บันทกึ ลงบนอิมเมจเซ็นเซอร์ หากค่าความยาว โฟกัสมากข้ึน มุมของภาพก็จะแคบลง เลนสท์ ่ีมคี วามยาวโฟกัสแตกต่างกนั จะสร้างผลทางภาพและผลของ ช่วงความชัดให้มคี วามแตกตา่ งกันดว้ ย โดยความยาวโฟกัสย่งิ มาก ชว่ งความชดั ยิง่ สนั้ ลง ตรงกันข้าม ถ้าความยาวโฟกสั ยิ่งส้นั มากเท่าใด ชว่ งความชัดของภาพจะมมี ากขนึ้ เท่าน้นั

66 สรุปได้วา่ ความยาวของโฟกัสของเลนส์มีผลต่อการถา่ ยภาพ 2 อย่างคือ 1. ทาให้มุมของภาพ กว้างหรือแคบได้ 2. ทาใหช้ ่วงความชดั มีมากหรือน้อยลงได้ ชนิดและการใช้งานเลนส์ถ่ายภาพ ประเภทของเลนสถ์ า่ ยภาพ จาแนกได้ตามทางยาวโฟกัสของเลนส์ (Focal Length) สามารถแบง่ ตามทางยาวโฟกสั ของเลนสไ์ ดด้ ังนี้ 1. กล่มุ พืน้ ฐานทปี่ ระกอบด้วยเลนส์ 3 ชนิด คอื เลนสม์ าตรฐาน (Normal Lens, Standard Lens), เลนส์มุมกวา้ ง (Wide angle Lens) และเลนส์ถ่ายภาพไกล (Telephoto Lens) เปน็ กล่มุ เลนส์ทมี ี ความไวแสงและความคมชดั สูง ทาให้สามารถนาไปใชง้ านได้กว้างขวาง 2. เลนสช์ นดิ พิเศษ คือ เลนส์ทีม่ ีลกั ษณะพิเศษเฉพาะนอกเหนือจากเลนส์ 3 ประเภทที่กลา่ ว ข้างตน้ ได้แก่ เลนส์ถา่ ยภาพตา่ งระยะ, เลนส์ซูม (Zoom Lens) , เลนสม์ าโคร (Macro Lens) เป็นต้น โดยเลนส์แตล่ ะชนดิ มีลักษณะการใช้งานที่แตกต่างกนั ออกไป ดงั น้ี กลมุ่ พ้นื ฐาน 1. เลนส์มาตรฐาน หรือเลนส์ปกติ (Normal Lens, Standard Lens) เป็นเลนสท์ ต่ี ิดมากบั ตวั กลอ้ ง มีองศาการรบั ภาพ (Angle of View) และความชัดลึกใกลเ้ คยี งกบั สายตามนษุ ย์ มีความยาวโฟกสั ระหว่าง 40-58 มม. ใช้งานง่าย เหมาะสาหรับผู้ทเี่ ริ่มเรยี นรู้ในเร่อื งการถ่ายภาพ นยิ มใช้ถ่ายภาพทวั่ ๆ ไป เช่น ภาพบุคคล และภาพทวิ ทัศน์ เปน็ ต้น รูปท่ี 88 ภาพจากเลนส์มาตรฐาน หรอื เลนส์ปกติ 2. เลนส์มุมกวา้ ง (Wide Angle Lens) เป็นเลนส์ทม่ี ที างยาวโฟกัสสัน้ กว่าเลนสม์ าตรฐาน คือ ต่ากวา่ 50 มม.ลงไป เชน่ 35 มม., 24 มม., 18 มม.และ 6 มม. ซึ่งมีองศาการรบั ภาพ 62 องศา 84 องศา

67 94 และ 180 องศาตามลาดับ ยง่ิ ความยาวโฟกัสสน้ั มากเท่าไร มุมของภาพยง่ิ กว้างมากขึ้นเทา่ น้ัน เลนสถ์ ่ายภาพมุมกวา้ ง ใช้สาหรบั ถ่ายภาพสถานทีแ่ คบๆ มีพน้ื ที่จากัด เลนสช์ นดิ น้ีสามารถรบั ภาพได้ กว้างลกึ และกว้างไกล เกบ็ ภาพตา่ งๆ ได้มาก และจะได้ภาพที่มชี ว่ งความชัดมากกวา่ เลนส์ชนิดอื่นๆ แตส่ ัดสว่ นจะผิดเพ้ียน รปู ทรงบิดเบย้ี วและโคง้ งอ ย่ิงเลนส์ที่มีความยาวโฟกัสสัน้ มากๆ ความผดิ เพย้ี นของ ภาพก็ยิ่งมีมาก นิยมใช้ถา่ ยภาพกลุ่มคนจานวนมาก วิวทวิ ทัศน์ ภาพสถาปตั ยกรรมภายในภาพอาคารทมี่ ี เนอ้ื ท่แี คบ และภาพการออกแบบตกแต่งห้อง เปน็ ต้น เลนสม์ มุ กวา้ ง สามารถแบ่งออกเปน็ 3 ชนดิ คือ 2.1 เลนส์มมุ กวา้ งธรรมดา (Moderate Wide-angle lens) ไดแ้ ก่ เลนส์ที่มีความยาวโฟกัส ระหวา่ ง28-35 มม. มีมมุ องศาในการรบั ภาพระหวา่ ง 74-62 องศา รูปท่ี 89 ภาพจากเลนส์มุมกว้าง

68 2.2 เลนสม์ มุ กวา้ งมาก (Ultra Wide-angle lens) ได้แก่ เลนส์ทมี่ คี วามยาวโฟกัสระหว่าง 13 -24 มม. มีมมุ องศาในการรบั ภาพ 118-84 องศา รูปที่ 90 ภาพจากเลนส์มุมกว้างมาก 2.3 เลนส์มมุ กวา้ งพเิ ศษ หรือเลนสต์ าปลา (Fisheye lens) ได้แก่ เลนสท์ ี่มีความยาวโฟกัส นอ้ ยมาก อยรู่ ะหวา่ ง 6 - 16 มม. มมี ุมองศาในการรับภาพ 180-360 องศา ภาพที่ได้จะมีลักษณะโค้งกลม นิยมใช้สาหรับการถ่ายภาพในลกั ษณะสร้างสรรคแ์ ละแปลกตา รูปที่ 91 ภาพจากเลนส์มมุ กว้างพเิ ศษ

69 3. เลนส์ถ่ายภาพไกล (Telephoto Lens) คือ เลนส์ที่สามารถถา่ ยภาพวตั ถทุ ี่อยใู่ นระยะไกลให้ มีขนาดใหญ่ขนึ้ และมคี วามชัดลึกนอ้ ยลง เปน็ เลนส์ที่มีทางยาวโฟกัสมากกว่าเลนสม์ าตรฐาน หรือมากกวา่ 55 มม. และมีองศาของการรับภาพแคบกวา่ เลนส์มาตรฐาน เช่น เลนสถ์ า่ ยภาพไกล ทางยาวโฟกสั 135 มม. มีองศาการรับภาพประมาณ 18 องศา เลนสท์ างยาวโฟกสั 200 มม. มีองศาการรับภาพประมาณ 18.5 องศา และเลนสท์ างยาวโฟกสั 400 มม. จะมีองศาการรับภาพประมาณ 6 องศา นอกจากนี้สดั สว่ นของวัตถุ ในภาพ กจ็ ะเปลยี่ นแปลงตามไปดว้ ย กล่าวคือช่องวา่ ง (Space) และทัศนยี ภาพ (Perspective) ระหว่าง วตั ถทุ ถี่ า่ ยกบั ฉากหลงั จะดใู กล้กันมากขึน้ การใชเ้ ลนสถ์ า่ ยภาพไกลจะช่วยลดความสาคัญของฉากหลังลงไป โดยฉากหลงั จะพร่ามัว เนื่องจากอยูน่ อกระยะชดั ทาให้วัตถุทถี่ า่ ยดเู ด่นชัดขึ้น ขอ้ เสียของเลนสถ์ า่ ยภาพไกล ก็คอื จะไม่ค่อยไวแสง มขี นาดใหญ่ ทาให้การทางานทาได้ไม่คอ่ ยสะดวกเหมาะสาหรบั ผู้ท่ีต้องการถ่ายวตั ถุท่ี ไม่สามารถเข้าไปใกล้ๆ ได้ เช่น การถา่ ยภาพสัตว์ในป่า กีฬาบางประเภท วิวทิวทัศน์ไกลๆ เป็นต้น เลนส์ถ่ายไกล แบ่งออกเปน็ ประเภทตา่ งๆ ได้ ดังน้ี 3.1 เลนส์ถ่ายภาพไกลชว่ งสน้ั (Short Telephoto lens) มีความยาวโฟกสั อยูร่ ะหวา่ ง 70-135 มม. มมุ องศาในการรับภาพกว้างประมาณ 34-18 องศา เหมาะสาหรบั การถา่ ยภาพทัว่ ๆ ไป เชน่ ภาพบคุ คล ภาพภมู ิทัศน์ ภาพถา่ ยระยะใกล้ เป็นตน้ รูปท่ี 92 ภาพจากเลนส์ถา่ ยภาพไกล

70 3.2 เลนสถ์ า่ ยภาพไกลปานกลาง (Medium Telephoto lens) มขี นาดความยาวโฟกัสอยรู่ ะหว่าง 150-300 มม. มมุ องศาในการรบั ภาพจะแคบลงอยูร่ ะหว่าง 18-8 องศา เหมาะสาหรบั การถ่ายภาพที่ไม่ สามารถเขา้ ใกลว้ ตั ถุท่ีจะถ่ายได้ เชน่ สัตวใ์ นกรง วตั ถทุ อ่ี ยู่ท่ีสูงพอสมควร เปน็ ต้น รูปที่ 93 ภาพจากเลนส์ถ่ายภาพไกลปานกลาง 3.3 เลนส์ถ่ายภาพช่วงไกล (Long Telephoto lens) มคี วามยาวโฟกัสอยู่ระหว่าง 400-600 มม. มุมองศาในการรบั ภาพจะแคบลงอยูร่ ะหว่าง 6-4 องศา เหมาะสาหรบั การถา่ ยภาพท่ีอยู่ไกล เชน่ นกบน ตน้ ไม้ การแขง่ ขนั กีฬา เป็นต้น รูปท่ี 94 ภาพจากเลนส์ถ่ายภาพช่วงไกล

71 3.4 เลนสถ์ า่ ยภาพไกลชว่ งพเิ ศษ (Super Long Telephoto lens) มคี วามยาวโฟกสั อยู่ระหว่าง 800-2,000 มม. มมุ องศาในการรบั ภาพจะแคบลงอยรู่ ะหว่าง 3-1 องศา เหมาะสาหรับภาพที่ต้องการ กาลังขยายมาก เช่น ภาพถ่ายทางดาราศาสตร์ ภาพถ่ายบนตึกสูง เปน็ ตน้ เลนส์ประเภทน้ีจะมนี า้ หนักมาก เปน็ พิเศษ จึงควรใช้ขาตง้ั กล้องช่วยในการถ่ายภาพ รูปท่ี 95 ภาพจากเลนส์ถ่ายภาพช่วงไกลพิเศษ เลนสช์ นิดพิเศษ 1. เลนส์ถา่ ยภาพต่างระยะ หรอื เลนส์ซูม (Zoom Lens) เป็นเลนส์ถา่ ยภาพที่รวมเอาเลนสท์ ีม่ ี ทางยาวโฟกัสหลายๆ ขนาดเขา้ ไว้ด้วยกนั จงึ ทาใหส้ ามารถปรับเปลีย่ นทางยาวโฟกัสจากเลนสท์ ่ีมที างยาว โฟกสั หน่ึงไปเปน็ เลนสท์ ่ีมีทางยาวอกี โฟกัสหนึ่งได้อย่างต่อเนื่อง โดยทไ่ี มต่ ้องมีการถอดเปล่ยี นเลนส์เขา้ ออก เมอ่ื ต้องการเปลย่ี นความยาวโฟกัส ทาให้สะดวกในการถ่ายภาพ และจัดองคป์ ระกอบภาพ แตเ่ ลนส์ชนิดน้ีมี ชนิ้ เลนสม์ าก ทาให้ความคมชดั ลดลงเลก็ นอ้ ย จึงไมเ่ หมาะสาหรบั ภาพทต่ี อ้ งการขยายใหญ่มากๆ โดยเลนส์ ซูม สามารถแบ่งออกเป็นหลายประเภท คือ 1.เลนสซ์ ูมช่วงมุมกวา้ ง (Wide angle Zoom) มีชว่ งขนาดความยาวโฟกัสสั้น รบั ภาพได้มุมกวา้ ง เช่น ขนาด 20 -35 มม. 24-35 มม. 24-50 มม. เหมาะสาหรบั การใช้งานในการถ่ายภาพมุมกว้าง

72 รปู ท่ี 96 ภาพจากเลนส์ซมู ช่วงมุมกวา้ ง 2. เลนสซ์ ูมชว่ งสั้น (Short Zoom) เปน็ เลนสท์ ่ีมคี วามยาวโฟกัสต้ังแต่ขนาดสั้นถงึ ปานกลาง โดย จะมเี ลนสข์ นาดมาตรฐานรวมอยดู่ ้วย มีช่วงความยาวโฟกัส ขนาด 35-70 มม. 35-105 มม. 35-135 มม. เปน็ ตน้ รปู ที่ 97 ภาพจากเลนสซ์ ูมช่วงส้นั

73 3. เลนสซ์ มู ชว่ งไกล (Telephoto Zoom) เป็นเลนส์ซมู ที่มีความยาวโฟกสั สงู กวา่ เลนส์สอง ประเภทท่ีไดก้ ล่าวมา โดยมีขนาดท่นี ยิ มใช้ คือ 80-200 มม. 100-300 มม. สาหรับใชง้ านแทนเลนส์ ถ่ายภาพระยะไกล เลนส์ประเภทนจี้ ะมีน้าหนักมาก ผ้ใู ชต้ ้องอาศัยทกั ษะ และความชานาญในการใช้ เพราะ อาจทาให้กล้องส่ันไหวได้ จึงควรใช้ขาต้ังกล้องช่วยในการถา่ ยภาพ รูปท่ี 98 ภาพจากเลนส์ซมู ช่วงไกล 4. เลนส์ซมู ช่วงไกลพเิ ศษ (Super Telephoto Zoom) เปน็ เลนส์ซมู ท่มี ีช่วงความยาวโฟกสั สงู มาก มขี นาดช่วงความยาวโฟกสั ที่นยิ มใช้ คอื 80-400 มม. 400-800 มม. 360-1200 มม. เป็นต้น เหมาะสาหรบั ผูท้ ่ีถา่ ยภาพเฉพาะดา้ น เช่น ช่างภาพที่ถา่ ยภาพกีฬาบางประเภท เชน่ ฟตุ บอล แขง่ รถ เป็นต้น นักถ่ายภาพ สารคดี หรอื นักถา่ ยภาพทางดาราศาสตร์ รปู ที่ 99 ภาพจากเลนส์ซมู ช่วงไกลพเิ ศษ

74 5. เลนสม์ าโคร (Macro Lens) เปน็ เลนสท์ ่ีสามารถถ่ายภาพโดยทาใหก้ ล้องเขา้ ใกล้วัตถุที่ตอ้ งการ ถา่ ยได้ สามารถปรับระยะชดั ช่วยขยายวตั ถุทเ่ี ล็กให้มีขนาดใหญ่ข้ึนได้ โดยมีความคมชัด และแสดง รายละเอียดให้ชัดเจนมากขึ้น ซึง่ เลนสช์ นิดอ่ืนทาไม่ได้ เลนสม์ าโครมีความยาวโฟกัสหลายขนาด ตั้งแต่ 50 มม.55 มม. 85 มม. 105 มม. โดยมอี ตั ราสว่ นการขยายของภาพ คอื 1:2 (ขนาดภาพทปี่ รากฏจะมขี นาด คร่งึ เท่าของวตั ถุ) หรือ 1:1 (ขนาดภาพทป่ี รากฏจะมีขนาดกับวตั ถุ) เหมาะสาหรบั ถา่ ยภาพวตั ถุที่มีขนาดเล็ก เช่น แมลง ดอกไม้ เครื่องประดบั ภาพทต่ี อ้ งการถ่ายระยะใกล้ เป็นตน้ รปู ท่ี 100 ภาพจากเลนส์มาโคร

75 บทท่ี 6 เทคนิคการถา่ ยภาพ จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ ผเู้ รยี นสามารถนาเทคนคิ การถ่ายภาพทิวทัศน์ เทคนิคการถ่ายภาพบคุ คล เทคนิคการถา่ ยภาพ แคนดิต และเทคนิคการถา่ ยภาพย้อนแสงไปประยกุ ต์ใช้ได้

76

77 บทท่ี 6 เทคนคิ การถา่ ยภาพ การถา่ ยภาพมหี ลายประเภท เชน่ การถา่ ยภาพทิวทัศน์ ภาพกลางคืน ภาพบคุ คล ภาพแคนดิด เป็นตน้ แตก่ ารถ่ายภาพใหน้ ่าสนใจ ดงึ ดูด สร้างอารมณค์ วามรูส้ ึก ผ้ถู า่ ยควรรเู้ ทคนิคตา่ งๆ ในการถ่ายภาพ เพ่ือใหภ้ าพออกมาตรงความต้องการของผู้ถา่ ย และสรา้ งความจรรโลงใจให้แกผ่ ้ชู มภาพน้ันอีกดว้ ย เทคนิคการถ่ายภาพทวิ ทัศน์ การถา่ ยภาพทวิ ทศั น์ หรือเรยี กอีกอย่างวา่ แลนด์สเคป (Landscape) เปน็ การนาเสนอทวิ ทัศน์ อนั งดงามตามธรรมชาติมีอยู่มากมายดว้ ยภาพถ่ายอย่างมีคุณค่า และมคี วามหมาย แสดงความเปน็ เอกลกั ษณ์ หรอื จุดเด่นของสถานท่ีนนั้ ๆ ออกมาให้ได้มากที่สุด ในการถ่ายภาพควรคานงึ ถึงจุดสนใจ และ สสี ันของภาพ การส่ืออารมณ์และความร้สู กึ ของภาพ รวมถึงควรจัดองค์ประกอบใหเ้ หมาะสม สวยงามดว้ ย โดยการถา่ ยภาพทิวทัศน์ มักเปิดรรู บั แสงใหแ้ คบ เพ่อื ให้ได้ภาพแบบชดั ลึก และควรใชเ้ ลนส์มมุ กว้าง และ เลนส์ถา่ ยภาพไกล ทีม่ ีขนาดความยาวโฟกัสประมาณ 105 มม. หรือ 250 มม. เพ่อื ชว่ ยใหไ้ ดภ้ าพที่มีมมุ แปลกตาดีขนึ้ ซึ่งการถา่ ยภาพทวิ ทัศนค์ วรใช้เทคนคิ ในการถ่ายภาพ ดังนี้ 1. ชอ่ งรบั แสง หรือ เอฟนัมเบอร์ (F-STOP) การใช้ชอ่ งรับแสงกว้าง ระหว่าง f/1.4 – f/4 จะส่งผลใหม้ ีชว่ งความชัดเกิดขึ้นน้อย หรือที่เรยี กวา่ ชดั ตนื้ คอื มีความชดั เกดิ ขึ้นเฉพาะในบริเวณจุดโฟกัสเท่านนั้ ทไี่ กลออกไปกจ็ ะเบลอ ตรงกันข้ามกับการใช้ ชอ่ งรับแสงแคบ ตั้งแต่ f/11 ขนึ้ ไปทีจ่ ะส่งผลให้มีช่วงความชัดเกิดขึ้นมาก หรอื ท่ีเรยี กว่าชัดลกึ ซึง่ จะเหมาะ สาหรบั การถา่ ยภาพทวิ ทศั น์

78 รปู ท่ี 101 ภาพจากช่องรบั แสง หรอื เอฟนมั เบอร์ (F-STOP) ขนาดต่างๆ

79 2. ตาแหน่งในการโฟกัสภาพ ลักษณะในการเกดิ ชว่ งความชัดของภาพจะมรี ะยะเกิดขึ้นหนา้ จดุ โฟกัสหนง่ึ สว่ น และเกิดหลงั จุด โฟกสั สองส่วน เป็นอัตราส่วน 1:2 อยา่ งน้ีเสมอ เพราะจะทาให้ความคมชดั ตามความตอ้ งการ โดยการใช้ เพยี งช่องรบั แสงกลางๆ (f/5.6 – f/11) เทา่ นั้น รปู ที่ 102 ภาพแสดงอตั ราความชัด ด้านหนา้ 1 ส่วน ด้านหลงั 2 สว่ น 3. เวลาที่เหมาะสมในการถา่ ยภาพทวิ ทัศน์ เวลาทเี่ หมาะสมในการถ่ายภาพทิวทศั น์ คือ ชว่ งเวลาท่ฟี ้าเปล่ยี นสใี นยามพระอาทิตยข์ ้ึน-ตก มี 2 ชว่ งเวลา คือ - ช่วงเช้า 15 - 30 นาทกี ่อนพระอาทติ ยข์ ึน้ และ30 นาทหี รอื 1 ชวั่ โมงหลงั จากพระอาทติ ย์ขนึ้ (แลว้ แต่สภาพแสงในขณะนัน้ ) - ช่วงเย็น 15 - 30 นาทีก่อนพระอาทติ ยต์ ก และ 30 นาทีหลังพระอาทิตยต์ ก เพราะเปน็ ชว่ งเวลาท่แี สงใหอ้ ารมณ์ ความรสู้ ึกอบอุ่น ใหเ้ งาท่นี ่มุ นวล ดูมมี ิตสิ วยงาม เหมาะสมกบั การถ่ายภาพทิวทศั น์

80 รูปที่ 103 ภาพแสดงเวลาชว่ งเชา้ รูปที่ 104 ภาพแสดงเวลาชว่ งเยน็ 4. การวางตาแหน่งจดุ สนใจในภาพทิวทัศน์

81 การจัดวางตาแหน่งท่ีเหมาะสมสาหรบั จดุ สนใจในภาพ ให้นากฎสามส่วน (Rule of thirds) มา ประยุกตใ์ ชใ้ นการถ่ายภาพ รปู ที่ 105 ภาพแสดงการจัดวางตาแหนง่ ทเ่ี หมาะสม โดยใชก้ ฎสามสว่ น 5. ทศิ ทางของแสงในการถ่ายภาพทวิ ทัศน์ ตามปกติการถา่ ยภาพทวิ ทัศน์นยิ มใหแ้ สงเข้าทางด้านข้างในช่วงเชา้ และเยน็ เพราะจะทาใหเ้ หน็ ความสูงต่าของพนื้ ที่ มแี สง - เงาดี หรอื อาจถ่ายให้แสงเข้าดา้ นหลังวตั ถุ หรอื ภาพย้อนแสง (Silhouette) ซง่ึ การถ่ายภาพแบบย้อนแสงควรถ่ายในช่วงเช้า หรือช่วงเย็น แสงแดดเร่ิมอ่อน และควรวดั แสงทท่ี ้องฟา้ เฉยี ง 45 องศา กบั ดวงอาทิตย์ จากนัน้ ลดรูรับแสงให้แคบลง 2-4 Stop หรือถา้ เปน็ เวลาเยน็ มาก ที่สามารถมองพระอาทิตยไ์ ดด้ ้วยตาเปล่า กส็ ามารถวัดแสงท่ีดวงอาทิตย์ไดเ้ ลย และควรเปิดหนา้ กลอ้ ง แคบๆ เพ่ือภาพจะได้มคี วามชัดลึกตลอดทั้งภาพ แต่ในเวลาเทย่ี งวันทแ่ี สงสอ่ งเข้ามาตรงๆ เหนือศรษี ะ หรือ ส่องเข้ามาทางหลงั กลอ้ งไมเ่ หมาะสม ในการถ่ายภาพววิ เพราะจะให้ความร้สู กึ แบนราบ ไมส่ วยงาม

82 รูปที่ 106 ภาพแสดงทิศทางของแสง 6. การแสดงขนาดของภาพใหไ้ ด้สัดสว่ นตามความเป็นจรงิ ในการถ่ายภาพทิวทัศน์ บางครั้งมักพบวา่ ภาพทวิ ทัศน์มสี ดั สว่ นไม่ตรงกบั ความเป็นจริง เชน่ ความเปน็ จรงิ ตน้ ไม้มีขนาดใหญ่ แตถ่ า่ ยภาพออกมาแล้วกับดขู นาดเลก็ สามารถแก้ไขไดโ้ ดยใหค้ นไปยนื อยู่ ในฉากเดยี วกับตน้ ไม้ เพราะคนสามารถชว่ ยให้ผ้ชู มสามารถเปรยี บเทียบสดั ส่วนของภาพได้ชัดเจน ผู้ชมจะรู้ ไดท้ ันทีว่าตน้ ไม้นั้นมีขนาดใหญโ่ ตขนาดไหน

83 รูปท่ี 107 ภาพแสดงขนาดของภาพให้ไดส้ ดั ส่วนตามความเปน็ จริง 7. การใชเ้ ส้นนาสายตา เส้นนาสายตาจะช่วยนาสายตาไปสูว่ ตั ถหุ ลกั ในภาพใหด้ เู ด่นชดั ขนึ้ ทั้งยงั ชว่ ยเพ่มิ ความลกึ และเน้น สัดส่วนในภาพถา่ ยอีกดว้ ย

84 รูปท่ี 108 ภาพแสดงเสน้ นาสายตา (ท่ีมา : http://farm6.static.flickr.com/5260/5549657067_8476ce17e6_o.jpg) 8. ควรเปลีย่ นมุมมอง ในการถ่ายภาพ ผู้ถา่ ยภาพไม่ควรยดึ ตดิ กับมุมมองเดมิ ๆ แค่เพียงผู้ถ่ายลองยา้ ยกล้อง หรือผู้ถา่ ย ควรเดินหามมุ มองใหมๆ่ แลว้ ลองถ่ายภาพ ก็อาจะทาใหภ้ าพน้ันสอ่ื อารมณ์ และความหมายทแี่ ตกต่างไป จากเดมิ ได้

85 รปู ท่ี 109 ภาพการเปลีย่ นมุมมอง ตวั อยา่ งการถ่ายภาพทิวทัศน์ - การถา่ ยภาพน้าตก หากตอ้ งการถ่ายภาพนา้ ตก ผู้ถา่ ยภาพควรทราบดงั น้ี 1) เลือกใชเ้ ลนส์มุมกว้างอยา่ งน้อย 21 มม.ข้ึนไป เปน็ ชว่ งท่ีใชง้ านบ่อย ส่วนเลนส์เทเลโฟโตจ้ ะ สามารถเจาะถา่ ยภาพเฉพาะสว่ น หรือถา่ ยภาพนา้ ตกจากระยะไกลไดด้ ี 2) ความเรว็ ชตั เตอร์ หากความเรว็ ชตั เตอร์สูงจะหยดุ สายน้าใหน้ ิง่ ส่วนความเรว็ ชัตเตอร์ตา่ จะทา ใหส้ ายนา้ ดูพลิ้วไหวและนุ่มนวล 3) การควบคมุ ชอ่ งรับแสง ควรเลือกใชช้ ่องรับแสงปานกลางถึงแคบเปน็ หลกั เช่น f/8 , f/11 , f/16 ภาพจะชัดตัง้ แต่ด้านหน้าไปจนถงึ ด้านหลงั ทาให้ไดภ้ าพใกลเ้ คยี งตาเหน็ มากท่ีสุด 4) ควรเลือกวัดแสงเฉพาะจดุ โดยวดั แสงตรงกลางของสายน้า หากเป็นการถา่ ยภาพตามแสงหรือ แสงมาจากด้านขา้ ง มีแดดสอ่ งลงทส่ี ายนา้ อย่างสม่าเสมอ ใหเ้ ลอื กวัดแสงตรงท่ีน้าโดนแสง แล้วเปดิ รับแสง เพมิ่ ขน้ึ 2 stop แตถ่ ้าอากาศคร้มึ ๆ มเี มฆมาก ควรวัดแสงตรงสายน้าทข่ี าวที่สุด แลว้ เปิดรบั แสงเพม่ิ ขึ้น 1-1.5 stop 5) ควรเปิดชัตเตอร์ท้ิงไว้ อย่างนอ้ ยหน่ึงหรอื สองวนิ าที

86 6) ควรถ่ายภาพเป็น RAW File เพือ่ สามารถปรับแก้สี แสง รายละเอียดส่วนเงาไดใ้ นภายหลงั แตห่ ากถ่ายภาพนา้ ตกในวนั ที่มีแสงแดดจัด การเปดิ ชตั เตอรท์ งิ้ ไวจ้ ะทาให้แสงเขา้ มามากเกนิ ไป มวี ธิ ีการแกไ้ ขดงั นี้ ก) ใหถ้ า่ ยภาพน้าตกในตอนที่พระอาทิตย์ข้นึ หรอื หลงั พระอาทิตย์ตก ข) ใช้ฟลิ เตอร์ Stop - Down ซึง่ เปน็ ฟลิ เตอร์ที่ทาให้แสงผา่ นเลนสน์ อ้ ยเปน็ พิเศษ หรอื อาจใช้ ฟลิ เตอรโ์ พลาไรซ์ (polarizing) แทนเพือ่ ตดั แสงสะท้อนในน้าตก ใบไม้ และกอ้ นหิน ช่วยใหภ้ าพมสี ีเข้มขน้ึ และยงั ชว่ ยลดแสงลงไปประมาณ 1.5 - 2 stop ทาให้ได้ความเรว็ ชตั เตอรต์ า่ ลง เพ่ือให้น้าดูนุ่มนวลขน้ึ ค) หากไมม่ ีฟลิ เตอร์ Stop - Down หรอื ฟิลเตอรโ์ พลาไรซ์ให้ปรับคา่ รูรับแสง ให้สูงสุดเท่าทจ่ี ะทา ได้ (ประมาณ f/22 - f/36) ซงึ่ จะทาให้แสงผา่ นเลนส์เข้าไปได้น้อยลง ทาใหส้ ามารถเปดิ ชตั เตอร์ได้นานขี้น รูปท่ี 110 ภาพน้าตก (ทมี่ า : http://camblakephotography.files.wordpress.com/2012/02/stricklandfalls.jpg)

87 - การถา่ ยภาพปา่ เขา หากต้องการถ่ายภาพปา่ เขา ผู้ถ่ายภาพควรทราบดังนี้ 1) ผถู้ ่ายภาพ ควรเลอื กใช้เลนส์เทเลโฟโต้ เพอ่ื เนน้ เฉพาะสว่ นเพือ่ เพม่ิ เรื่องราวของภาพให้กบั นา่ สนใจ ซ่ึงจะส่งผลต่อความรู้สึกและใหภ้ าพดมู ีพลังมากย่ิงข้นึ 2) หากต้องการให้ภาพภาพชัดเจนทุกส่วนก็ควรใช้รรู บั แสงแคบ เช่น F22 หรอื F32 โดยควรใช้ รว่ มกบั ขาตัง้ กลอ้ งและสายล่ันชัตเตอรท์ กุ คร้งั หากไม่มีกใ็ ชร้ ะบบตงั้ เวลาถ่ายภาพอตั โนมัตกิ ไ็ ด้ 3) ควรใชฉ้ ากหนา้ หรือหาวัตถุท่นี า่ สนใจ เชน่ ทุ่งดอกไม้ น้าตก ฯลฯ เพื่อเพิ่มจุดสนใจและสรา้ ง ความแตกตา่ งของสัดสว่ นให้เกิดขึ้นกับภเู ขา ช่วยเนน้ ให้เหน็ ระยะทาง ทาใหภ้ าพดูมีมติ ิ สวยงามมากยง่ิ ข้ึน 4) ควรใชฟ้ ิลเตอร์แบบโพลาไรซ์ เพอ่ื ให้ท้องฟ้ามีสเี ขม้ ขึ้น โดยต้องเลือกมุมท่ตี ง้ั ฉากกบั ดวงอาทติ ย์ เพอ่ื ใหผ้ ลของฟลิ เตอร์ประเภทน้มี ีประสิทธิผลสูงสดุ 5) ควรเลอื กถ่ายภาพในชว่ งเชา้ เพราะเป็นช่วงทแี สงความรสู้ ึกบางเบาและสงบเงยี บ ทาให้ภาพที่ ออกมากลายเปน็ ภาพภเู ขาท่ีงดงาม 6) การจัดองค์ประกอบในการถา่ ยภาพป่าเขานัน้ ไม่ควรถ่ายพน้ื ดินเขา้ ไปในภาพดว้ ยเพราะพนื้ ดนิ มกั ท่ีดูรกด้วยก่ิงไม้ หรือใบไม้แหง้ ซง่ึ จะแย่งความสวยงามของตน้ ไม้ไป รปู ท่ี 111 ภาพปา่ เขา - การถ่ายภาพทะเล

88 หากต้องการถ่ายภาพทะเล ผถู้ ่ายภาพควรทราบดังนี้ 1) ควรเลอื กถ่ายภาพตามแสง และเลอื กใชม้ ุมสงู เชน่ ภูเขารมิ หาด ยอดตึก เพ่ือให้ทะเลดกู วา้ ง ใหญ่ และสวยงาม 2) ใชฟ้ ลิ เตอรโ์ พลาไรเพอ่ื ตดั แสงสะท้อนในขณะท่ีถ่ายผิวน้า หรือกระจก และยังช่วยทาให้สีคมชัด ข้นึ อีกดว้ ย 3) เลือกเวลาเช้าประมาณ 9.00-10.00 น. เพราะเป็นเวลาทีแ่ ดดสอ่ งสวา่ ง ท้องฟา้ สดใส และเวลา เย็นทพ่ี ระอาทิตยส์ อ่ งแสงอ่อนลง หรือขณะใกลล้ บั ขอบฟา้ ในกรณชี ่วงเช้าหรอื ชว่ งเย็น ซึ่งมแี สงน้อย ควร เลือกใช้ Speed Shutter ตา่ 4) ผถู้ า่ ยควรจดั องค์ประกอบภาพ เพอ่ื ช่วยให้ภาพดูมีเสนห่ ์ นา่ สนใจ นา่ ประทับใจย่งิ ขึ้น เชน่ สขี องนา้ ทะเล สีของหาดทราย สีสนั เสือ้ ผา้ ของผู้คน ใบเรือ และโขดหิน เปน็ ต้น โดยบรเิ วณมมุ หาด จะถ่ายภาพไดง้ ่ายกว่ากลางหาด เพราะกลางหาด หาดทรายจะโล่งยาว เป็นแนวตรง ปราศจากความโค้งเว้า และจะมีเพยี งหาดทรายกับน้าทะเล ไม่มีแนวก้อนหนิ ท่จี ะชว่ ยเพมิ่ ลกู เลน่ ในภาพ นอกจากน้ี สิ่งสาคญั ใน การถา่ ยทะเล ก็คือ เสน้ ขอบฟา้ พยายามอย่าใหเ้ อียง หากเอยี งจะทาให้ภาพดเู สียคณุ ค่าไป และการวางเสน้ ขอบฟา้ ไว้ตรงกลางภาพ กจ็ ะทาใหด้ เู ปน็ การแบง่ สองสว่ น ไมเ่ ปน็ ภาพเดยี วกนั โดยใชก้ ฎ 3 ส่วนเปน็ หลกั ใน การถ่าย จะดูน่าสนใจกวา่ 5) ควรเปดิ รรู ับแสงแคบ เพื่อใหภ้ าพดูมมี ติ ิ และเพ่ิมความละเอยี ดของภาพ โดยเลือกใช้ ISO ที่ 50 หรอื 100 หากมีแสงน้อย ควรใช้ ISO ทีส่ ูงข้ึน แตจ่ ะทาให้ภาพเกดิ noise ภาพ สี ความละเอียดเพ้ยี นได้ 6) ในกรณที ีพ่ ้นื ทรายมีแสงสะทอ้ นมากๆ ควรใชค้ ่าชดเชยแสงไปทางบวก (โอเวอร์) ส่วนในกรณที ี่ วัตถมุ สี ีโทนเข้ม ให้ใชค้ ่าชดเชยแสงไปทางลบ (อนั เดอร์)

89 รปู ที่ 112 ภาพทะเล (ทมี่ า : http://luxfon.com/images/201203/luxfon.com_9524.jpg) เทคนคิ การถา่ ยภาพบุคคล (Portrait) การถ่ายภาพบคุ คลให้ดูสวยงาม ผู้ถา่ ยภาพควรฝกึ ฝนถ่ายภาพอยเู่ ป็นประจา เพอ่ื ให้เกดิ ความ ชานาญ และค้นุ เคยกับอปุ กรณ์ นอกจากนี้ต้องอาศยั เทคนิคในการถ่ายภาพ ดงั นี้ 1. การเลอื กใช้แสงในการถา่ ยภาพขน้ึ อยู่กับความตอ้ งการของผู้ถา่ ย ถ้าต้องถา่ ยภาพบุคคลท่แี สดง เปน็ นกั รบ นกั กีฬา ตารวจ ทหาร เปน็ ตน้ จะเหมาะกบั การใช้แสงแข็งๆ เป็นหลกั มากกว่าแสงนมุ่ แตถ่ ้า ตอ้ งการถา่ ยรปู คู่บ่าวสาว เดก็ ทารก คนแก่ นางแบบ เป็นต้น จะเหมาะกับการใชแ้ สงน่มุ 2. การเลอื กใชแ้ สงในการถ่ายภาพบคุ คล ควรเลือกใชแ้ สงต่างๆ เหล่านป้ี ระกอบกันเพื่อสรา้ ง อารมณ์ของภาพให้ดูมีเสน่ห์ ไมว่ า่ เป็นแสงหน้าตรง เพื่อใหเ้ ห็นรายละเอียดของตวั แบบได้ดี แตม่ ขี ้อเสียคือ ทาใหต้ วั แบบดูแบนราบ หรือแสงเฉียงขา้ ง ทา 45 องศา ทางด้านซา้ ยหรอื ดา้ นขวา เพื่อใหต้ ัวแบบดูมีมติ ิ มีรปู ทรงที่ชดั เจน แต่ข้อเสยี คือตัวแบบอาจขาดรายละเอียดในบางส่วน โดยเฉพาะส่วนที่อย่ใู นเงามดื หรอื แสงหลงั เพอ่ื ใหต้ วั แบบเหน็ โครงรา่ งของตัวแบบชัดเจนยง่ิ ขึน้ แต่ข้อเสียคือ จะใหร้ ายละเอียดของตวั แบบ ไดน้ ้อย ไม่มีมติ ิความลึก จากน้ันใช้แสงรมิ ไลทเ์ ขา้ มาช่วย เพอ่ื ทาให้เส้นผมของตวั แบบดูสว่างข้นึ

90 3. เน้นอารมณจ์ ากสีหนา้ และดวงตาของตัวแบบให้สามารถเลา่ เรอ่ื ง หรอื สรา้ งความสะเทือน อารมณ์ให้แกผ่ ชู้ มได้ 4. สามารถเลอื กใชเ้ ลนสต์ ามความเหมาะสม ตัง้ แตเ่ ลนส์ฟิชอายไปจนกระท่ังซุปเปอร์เทเลโฟโต้ แตห่ ากต้องการถ่ายภาพบุคคลแบบครง่ึ ตวั หรือ เฮตแอนด์โชว์เดอร์ ควรเลอื กใช้เลนส์ 85 มม., 105 มม. และ 135 มม. เพราะจะให้สดั สว่ นท่สี วยงาม และสามารถทิ้งฉากหลงั ให้เบลอได้งา่ ย 5. หากตอ้ งการใหใ้ บหนา้ ตวั แบบดูหน้าใส ใหใ้ ชแ้ ผ่นสะท้อนแสงเข้าช่วย 6. การโฟกัสภาพ ควรเนน้ ท่ดี วงตาของตัวแบบเป็นหลกั สว่ นหู จมกู ปากอาจจะเบลอได้ หากดวงตาเบลอ ภาพน้ันจะเป็นภาพเสยี มากกว่าภาพดี 7. ควรเลอื กใช้ช่องรับแสง ประมาณ F/2.8-4 หรือ F/5.6 เพื่อละลายฉากหลงั ทาใหต้ ัวแบบ ดูเด่นขึ้น 8. พยายามอย่าให้ส่วนใดสว่ นหนงึ่ ของตวั แบบขาด หรือหลดุ เฟรมไป เพราะอาจจะทาให้ตวั แบบดู ไม่สมประกอบได้ เช่น อย่าให้ปลายมือ หรอื ปลายเท้าขาด เป็นต้น แตห่ ากจงใจตัดภาพ ควรจะตดั สูงกวา่ ศอก หรือเข่า 9. ถา้ ฉากหลังเป็นทอ้ งฟ้า ทะเล ขอบฟา้ หรืออะไรกต็ ามที่มเี ส้นนอน พยายามอย่าจดั ให้พาดผ่าน คอตวั แบบเด็ดขาด เพราะจะทาใหด้ เู หมือนตวั แบบคอขาด แตค่ วรจัดให้เสน้ นอนอยสู่ ูงกว่าระดับศรี ษะ หรือ ตา่ กวา่ ระดับไหลจ่ ึงจะทาใหภ้ าพดูดขี น้ึ 10. ต้องพิจาณาใบหน้าของตัวแบบ เพราะปกติใบหน้าของคนเราทงั้ สองด้านจะสวยไมเ่ ท่ากนั ผถู้ ่ายตอ้ งพิจารณาให้ดี โดยสังเกตท่ีดวงตาและมมุ ปากเวลายม้ิ เป็นหลกั หากตาข้างไหนโตกว่า และมุมปาก ขา้ งไหนยกสูงกว่า ใบหนา้ ข้างน้ันมกั จะเปน็ ดา้ นที่สวยกว่า ผู้ถา่ ยภาพควรเลอื กถ่ายด้านนั้น 11. อย่าใหต้ วั แบบหน้ามดื หากจาเป็นต้องถ่ายภาพในที่ย้อนแสง ก็ใหใ้ ช้ Fill flash เพือ่ ลบเงา (เปิดแสง) ทีต่ ัวแบบ แตห่ ากต้องการภาพในลักษณะ Silhouette ก็ไมต่ ้องใช้ Fill flash 12. ให้ตวั แบบเงยหน้าเลก็ น้อย เพราะภาพจะออกมาดูดกี ว่าท่ีตัวแบบหนา้ ตรง หรือก้มหน้า 13 .พยายามเลือกมุมถ่าย หรือ เปดิ แฟลช หรอื ใชร้ แี ฟล็กเข้าช่วยเพอื่ ใหต้ าตวั แบบมปี ระกาย 14. ควรวางกลอ้ งในตาแหนง่ ระดับปลายจมกู ของตัวแบบ หรือสงู /ตา่ ไมเ่ กินตาและปาก ยกเว้น ในกรณีหากพิจารณาแลว้ เหน็ ว่าตวั แบบมีมุมสวยเป็นพิเศษ หรอื มีสว่ นจะต้องหลบ/เล่ียงเป็นพเิ ศษ กอ็ าจจะ ต้องกด หรือเงยกลอ้ งเข้าชว่ ย จากน้นั เลือกถา่ ยมุมหนา้ เฉียง โดยเลง็ ไปท่แี นวแบง่ ครงึ่ ระหวา่ งสันจมกู และดวงตา 15. ไม่ควรให้นางแบบใส่แวน่ ตาดาถ่ายภาพ แตอ่ าจจะให้ดันขน้ึ ไปเหน็บบนศรีษะแทน 16. ควรหาอุปกรณป์ ระกอบฉาก เชน่ ดอกไม้ เคร่ืองประดับ หนงั สอื กระเป๋า หมวก ตุ๊กตา รถจักรยาน รถมอเตอรไ์ ซค์ ฯลฯ เพอ่ื ให้ภาพเกดิ เรื่องราวและทาให้ตัวแบบไมร่ สู้ ึกขดั เขนิ มากเกินไป โดยตอ้ งเลือกอุปกรณป์ ระกอบใหเ้ หมาะกับตวั แบบ และสถานท่ี 17.ควรจดั วางทา่ ทางของตวั แบบใหด้ เู ป็นธรรมชาติ เพ่ือทาให้ภาพท่ีออกมาดูไมแ่ ข็งกระด้าง - ภาพโคลสอพั ใบหนา้ ถงึ คร่ึงตวั

91 ภาพในลักษณะน้ีจะเป็นภาพท่ใี บหน้าของตัวแบบเต็มเฟรม โดยมฉี ากหลงั เพยี งเล็กน้อยหรือไม่มี เลย เพอื่ แสดงให้เหน็ ถึงความสวยงามของใบหนา้ หรือโครงหน้าของตวั แบบ โดยเลอื กใช้แสงท่ีมที ิศทาง แนน่ อน (Directional Light) เพ่อื ดึงรายละเอียดและรอยเหี่ยวย่นบนใบหนา้ ออกมา เหมาะสาหรับการ ถ่ายภาพเพื่อการศึกษา สว่ นแสงนุม่ (Soft Light) จะให้ภาพที่ดสู วยงามมากกว่า เพราะจะช่วยซอ่ นริ้วรอย และตาหนิอน่ื ๆบนใบหนา้ ได้ดีกว่า แต่การถ่ายภาพลกั ษณะน้ีตอ้ งระวังเร่ืองการบิดเบือนทเี่ กดิ จากเลนส์ ทีอ่ าจจะทาให้ภาพดไู ม่ดไี ด้ เชน่ ทาใหจ้ มกู ดูป่องๆ เปน็ ตน้ ดังน้นั จึงตอ้ งใช้เลนสท์ ่ีมีระยะโฟกสั ยาว 85-135 มม. รูปที่ 113 ภาพโคลสอัพใบหน้าถึงครึง่ ตวั (ทม่ี า : http://kurdiu.org/fileup7/286barack_obama_portrait_2005.jpg) - ภาพบุคคลเต็มตวั การถ่ายภาพบคุ คลเต็มตัวใหถ้ ่ายในแนวตง้ั นน้ั และต้องคานึงถึงฉากหลังมากเป็นพิเศษ เพราะฉาก หลังทนี่ ่าสนใจจะชว่ ยเพม่ิ ความน่าสนใจให้กบั ภาพได้ แต่ควรหลกี เลี่ยงฉากหลงั ท่ีรกรงุ รัง เพราะจะดึงความ สนใจไปจากตัวแบบ วิธหี นึง่ ที่จะช่วยกาจัดฉากหลังที่รกรงุ รัง คือ การใช้ขนาดรูรับแสงทก่ี วา้ งเพ่ือเบลอ

92 ฉากหลงั และหากภาพทถ่ี ่ายออกมานน้ั มีฉากหลงั เกินความต้องการ ให้ใชว้ ิธีการครอปภาพ เพอื่ ลดฉากหลงั ลง รูปที่ 114 ภาพบคุ คลเต็มตวั - ภาพบุคคลกบั สถานที่ การถา่ ยภาพในลกั ษณะนี้ ชว่ ยเพม่ิ เน้ือหาเรื่องราวในภาพ ซง่ึ ฉากหลังจะมีพื้นที่มากทส่ี ุดในภาพ จึงควรใช้รรู ับแสงแคบๆ เพอ่ื ให้ฉากหลงั มคี วามคมชดั เหมาะกบั เลนส์มมุ กวา้ ง เพราะทาใหผ้ ู้ถ่ายได้เข้าใกล้ แบบไดม้ าก และยงั สามารถบันทึกภาพฉากหลงั ได้ในพ้ืนทีม่ ากในเฟรม โดยควรนากฎสามส่วนเข้ามาชว่ ยใน การจัดองค์ประกอบภาพดว้ ย

93 รปู ที่ 115 ภาพบคุ คลกบั สถานท่ี เทคนิคการถ่ายภาพแคนดติ (ภาพทเี ผลอ) แคนดิต เป็นการถ่ายภาพโดยทผี่ ู้ถกู ถ่ายไม่รู้ตวั หรือเปน็ การถา่ ยภาพอย่างกะทนั หนั ภาพทไี่ ดส้ ่ือ ถงึ อารมณ์ ความรสู้ ึก และเป็นธรรมชาติ แตผ่ ้ถู า่ ยควรพงึ ระวังอย่าไปละเมิดสทิ ธิส่วนบคุ คลของเขาเปน็ อันขาด เทคนิคในการถ่ายภาพประเภทน้ี มีดังน้ี 1. ควรใช้เลนส์เทเลโฟโต้ มคี วามยาวโฟกสั ตั้งแต่70-210 มิลลิเมตรขนึ้ ไป หรืออาจใชเ้ ลนส์มุม กวา้ งกไ็ ด้ เพ่ือใหส้ ามารถถ่ายภาพไดโ้ ดยไม่เข้าใกล้ตวั แบบมากนกั 2. เลอื กปรับกล้องถา่ ยภาพไปท่ี Mode A (Auto) เพ่ือปรบั ความเร็วชัตเตอร์อัตโนมตั ิ ผ้ถู ่ายภาพ เพยี งแตเ่ ลือกหน้ากล้องท่ีต้องการ แล้วรอคอยจงั หวะทเ่ี หมาะสม จึงทาการบนั ทึกภาพ หรืออาจใช้ความ ไวชัตเตอร์, ISO สงู หรอื ต้งั รูรับแสงใหก้ วา้ ง เพราะเราไม่สามารถกาหนดให้ตวั แบบให้อยู่น่งิ ได้ การใช้ ความไวชตั เตอร์สงู ๆ จะทาให้ผู้ถ่ายภาพไม่พลาดช็อตท่ีต้องการ 3. ไมน่ ยิ มใชแ้ ฟลช เพราะการถ่ายลกั ษณะน้ีต้องอาศยั จังหวะ โอกาส หรอื ชว่ งแสงท่ีตกกระทบ พอเหมาะด้วย 4. ผูถ้ า่ ยภาพควรมีมุมมอง จงั หวะ และคาดคะเนเหตกุ ารณ์ที่จะเกิดขน้ึ ลว่ งหนา้ เชน่ เด็กกาลงั รอ้ งไห้ เด็กกาลงั หอมแก้มกนั คนกาลังยกแก้วน้าด่ืม คนกาลังหัวเราะ หรือทากิจกรรมอะไรทีเ่ ราคาดวา่ น่าจะเปน็ ภาพท่ีสวยงามได้ 5. ควรถ่ายภาพในโหมดต่อเน่ือง หรือรัวถา่ ย เพ่อื ให้ไม่ใหพ้ ลาดจังหวะสาคัญ

94 6. ควรถา่ ยภาพดว้ ยความละเอยี ดสงู และถา่ ยให้กว้างขึ้น เพ่อื ให้สามารถนาภาพน้นั มาตัดหรือ crop ภายหลังได้ รูปที่ 116 ภาพแคนดติ เทคนคิ การถ่ายภาพย้อนแสง (Silhouette) การถา่ ยภาพแบบเงาดา เปน็ การถา่ ยภาพโดยการบนั ทึกแสง ให้ฉากหลงั มปี ริมาณแสงสวา่ งพอดี แต่ให้ตัวแบบมแี สงน้อยที่สดุ เพอ่ื ให้กลายเป็นรูปทรงเงาดา หรือการถ่ายภาพแบบย้อนแสงนั่นเอง มเี ทคนิคในการถา่ ยภาพย้อนแสง ดงั น้ี 1. ควรหาทิวทัศน์ชว่ งเวลาเยน็ ดวงอาทติ ยใ์ กลต้ ก แลว้ ทาการจัดเฟรมของภาพใหน้ ่าสนใจ เนน้ การจดั วางตาแหนง่ ของดวงอาทิตย์และใหม้ ีวัตถบุ ังแสงเป็นฉากหนา้ (Foreground) ทมี่ ีโครงสร้าง ภายนอกชัดเจน เช่น ตน้ มะพรา้ ว ตน้ ตาล โขดหนิ หญิงสาว เรอื อนสุ าวรีย์ เจดยี ต์ ่างๆ เป็นตน้ ตัวอยา่ งเช่น เมื่อเราถา่ ยภาพบุคคล กค็ วรจะให้เหน็ สว่ นโค้งส่วนเวา้ ของบุคคลนั้นอย่างชัดเจน 2. เลอื กวดั แสงทฉ่ี ากหลงั บริเวณท่ีสวา่ งบนท้องฟา้ แต่ไม่ควรวัดแสงที่ดวงอาทติ ย์โดยตรง ซง่ึ จะ เนน้ ใหเ้ หน็ รายละเอยี ดของฉากหลังแตต่ วั แบบเป็นสดี า โดยวดั แสงให้ฉากหลงั มีคา่ แสงพอดี ไม่ควรใชโ้ หมด การวัดแสงแบบเฉลีย่ ทั้งภาพ เพราะจะทาให้ตวั แบบอาจจะสวา่ งกวา่ ทีค่ วรจะเปน็ ได้ และหลงั จากได้คา่ แสง จากการวดั แสงฉากหลงั แลว้ ให้กดลอ็ กแสงและค่อยจัดองค์ประกอบภาพอีกครั้งหนึง่ หรืออาจใช้ขาตัง้ กล้อง มาชว่ ยป้องกันการสน่ั ไหวของภาพ

95 3. การถ่ายภาพลกั ษณะนี้สามารถใชไ้ ด้กับการถ่ายภาพทุกระยะ ขึน้ อยู่กับลกั ษณะมุมภาพท่ี ตอ้ งการถา่ ย เลนส์ชว่ งเทเลจะเน้นไปทต่ี วั แบบโดยตรง และหากเปน็ การถา่ ยภาพท่มี ีดวงอาทติ ย์ปรากฏอยู่ ในภาพ กจ็ ะได้ขนาดทใ่ี หญ่ ในขณะที่เลนสช์ ่วงมุมกว้างจะทาให้ภาพดแู ปลกตา และเกบ็ บรรยากาศได้ดี แต่ดวงอาทิตย์จะมขี นาดเล็ก เน่อื งจากระยะของเลนส์นน่ั เอง 4. ควรควบคุมค่ารรู ับแสง โดยเน้นใหม้ ีระยะความชัด (Depth of Field) เช่น f22, 16 หรือ f11 ย่ิงรรู ับแสงแคบ (ตวั เลขค่า F มาก) ระยะชัดก็จะยิง่ ครอบคลุมเปน็ ระยะท่กี ว้างมากขึ้น (ชดั ลกึ ) แต่ถ้ารูรับ แสงกวา้ ง (ตวั เลขค่า F น้อย) ก็จะมรี ะยะความคมชัดท่สี ั้นลง (ชดั ตืน้ ) 5. การตัง้ คา่ ISO อาจจะเลือกใช้ค่าความไวแสงมากขน้ึ หากแสงมีปรมิ าณน้อยลง หรือใช้คา่ ความไว แสงตา่ หากมปี ริมาณแสงมาก ผู้ถา่ ยควรคานึงว่ายิ่ง ISO ตา่ ภาพกย็ งิ่ มีคุณภาพดี ในทางตรงกนั ข้าม ยง่ิ ISO สงู คุณภาพของภาพก็จะลดลงเรอ่ื ยๆ 6. ชว่ งเวลาทีเ่ หมาะสมท่ีสุดของแสงธรรมชาติ คือ หนึ่งช่วั โมงก่อนดวงอาทิตย์ตกและ หลงั ดวงอาทติ ย์ขนึ้ หรือที่เรยี กว่าชว่ ง Twilight เพราะในช่วงเวลาดังกลา่ วแสงจะมสี สี ันมากทีส่ ุด ช่วยให้ ภาพเพิ่มความน่าดูมากยิ่งข้นึ ปรบั กลอ้ งไปทโี่ หมดถา่ ยภาพแบบแมนนวล (M) แลว้ ใช้ระบบวดั แสงเฉพาะจดุ หรอื แบบเฉล่ยี หนักกลาง จากนัน้ วัดแสงไปทที่ ้องฟ้าข้างๆ ดวงอาทติ ย์ แล้วปรับคา่ Speed shutter และ รู รับแสงใหไ้ ด้ค่าการเปิดรบั แสงท่ีพอดี 7. การปรับแสง โดยท่วั ไปเราจะปล่อยใหแ้ สงเข้าน้อยกวา่ ปกติ 1-2 stop เพื่อให้ภาพ under จะ ไดภ้ าพท่ีมีเงาดาชดั เจนขึ้น 8. หลีกเล่ยี งฉากหลังท่รี กรุงรัง ซง่ึ มันจะทาลายความเดน่ ของตัวแบบของคุณ ฉากหลงั ท่ีโลง่ และ เต็มไปด้วยแสงสีจะช่วยใหภ้ าพดนู า่ ประทบั ใจได้ มากกว่าภาพเงาดาทดี่ วู ุ่นวาย

96 รูปที่ 117 ภาพยอ้ นแสง

97 บทท่ี 7 เทคนคิ การถ่ายภาพ 2 จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ 1. ผ้เู รยี นมคี วามรู้ ความเข้าใจ และทักษะปฏบิ ตั ิในการถ่ายภาพเคลอื่ นไหว 2. ผู้เรียนมีความรู้ ความเขา้ ใจ และทกั ษะปฏบิ ตั ิในการถ่ายภาพระยะใกล้ (Macro / Close up) 3. ผเู้ รยี นมีความรู้ ความเข้าใจ และทกั ษะปฏบิ ตั ใิ นการถ่ายภาพไฟกลางคืน 4. ผู้เรยี นมีความรู้ ความเข้าใจ และทักษะปฏบิ ัตใิ นการถ่ายภาพให้เกดิ โบเก้ (Bokeh)

98 บทที่ 7 เทคนคิ การถ่ายภาพ 2 เทคนิคการถ่ายภาพเคล่ือนไหว การถา่ ยภาพเคลื่อนไหว คือการถา่ ยภาพวัตถุท่ีเคลื่อนไหวด้วยความเรว็ เช่น คนว่งิ กระโดด โลดเตน้ เลน่ ชงิ ช้ากระโดดสงู วา่ ยนา้ ปนั่ จกั รยาน รถกาลังแล่น ฯลฯ ให้หยุดน่ิง โดยตอ้ งปรบั โฟกสั และ วัดแสงไวล้ ่วงหนา้ อาศยั การกะระยะ และการตัดสนิ ใจที่ฉับไว และตอ้ งอย่าลืมเร่ืองการจัดองคป์ ระกอบ ภาพเพื่อใหภ้ าพมคี วามงาม และมีคุณคา่ ซึง่ มีวธิ กี ารถ่ายเพื่อแสดงความเร็วได้ 3 แบบดังนี้ 1. ภาพทไ่ี ด้จะหยุดนิง่ (Stop action) โดยการใช้ความเรว็ ชัตเตอรส์ งู เชน่ 1/500วินาที หรอื สงู กวา่ 2. ภาพท่ีไดจ้ ะดมู ีความเคล่ือนไหว (Movement) โดยการใชค้ วามเรว็ ชัตเตอร์ตา่ เช่น 1/125 วนิ าที หรอื ตา่ กว่า 3. ได้ภาพตอ่ เน่ือง (Continuous) องค์ประกอบในการถ่ายภาพเคลอ่ื นไหว การถา่ ยภาพวตั ถุท่ีกาลงั เคล่ือนไหวให้หยดุ นงิ่ จะตัง้ ความเร็วชัตเตอร์เท่าใดขึ้นอยู่กบั องค์ประกอบ 4 ประการ คือ 1. ความเร็วของวตั ถุทก่ี าลงั เคลอ่ื นไหว วัตถทุ ่ีเคล่ือนไหวเรว็ ต้องตงั้ ความไวเรว็ กวา่ วตั ถุ ทีเ่ คลื่อนไหวชา้ 2. ทศิ ทางการเคล่ือนไหวของวัตถุ หากวัตถุวง่ิ เข้าหากลอ้ ง จะบันทกึ ความเคล่ือนไหว ได้น้อยกว่าวัตถทุ ีเ่ คล่อื นไหวตามแนวเฉียง หรือว่งิ ผา่ นหน้ากล้อง 3. ระยะทางจากกลอ้ งถึงวัตถุ หากวัตถทุ ีถ่ ่ายอยู่ไกล กล้องจะบนั ทกึ ความเคลื่อนไหวได้ น้อยกวา่ วตั ถุที่อยู่ใกล้ 4. ควรใชเ้ ลนสท์ ี่มีทางยาวโฟกัสขนาด 200mm ขึ้นไป หากใชเ้ ลนส์ทมี่ ที างยาวโฟกสั สน้ั จะบันทึกความเคลื่อนไหวได้นอ้ ยกว่าเลนสท์ ี่มีทางยาวโฟกัสยาว

99 วธิ กี ารถ่ายภาพเคลอ่ื นไหว (Movement) การถา่ ยภาพเคลอื่ นไหว แบง่ ออกเปน็ 3 วธิ ีคอื 1. กลอ้ งอยูก่ บั ท่ี แลว้ ถ่ายวัตถทุ เี่ คลอื่ นไหว โดยใชค้ วามเรว็ ชตั เตอร์ 1/125 วนิ าที รูปที่ 118 ภาพเคลื่อนไหวขณะท่ีกล้องอย่กู ับที่ ทมี่ า : http://www.puig.tv/imagenes/PUIG11808.jpg

100 2. กลอ้ งเคลื่อนท่ี โดยการส่าย (Pan) กล้องไปตามวัตถุ และใชค้ วามเร็วชตั เตอร์ 1/6 วินาที จะได้ภาพฉากหลังไหวพรา่ ส่วนวัตถทุ ถ่ี า่ ยไหวเลก็ น้อย รูปท่ี 119 ภาพเคล่อื นไหวขณะที่กล้องเคลอ่ื นที่ ทีม่ า : http://jennyphotograph.files.wordpress.com/2011/03/img_0682.jpg


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook