Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore อารยธรรม เมโสโปเตเมีย

อารยธรรม เมโสโปเตเมีย

Published by ศราศินี ชูทอง, 2023-07-01 10:53:09

Description: อารยธรรม เมโสโปเตเมีย

Search

Read the Text Version

อารายธรรมเมโสโปเตเมีย 1.สมัยอาณาจักรซูเมเรีย เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 3,200-2,300 ก่อนคริสต์ศักราช ก่อนที่ ชาวซูเมเรีย จะตั้งหลักปักฐานบริเวณแม่น้ำไทกริส-ยูเฟรทีส ได้อาศัยอยู่ตามบริเวณเนินเขาและจัดตั้งเป็นหมู่บ้าน รู้จักเลี้ยง สัตว์และเพาะปลูก ตลอดจนงานประดิษฐ์เครื่องใช้ในการทำนา จนเกิดเป็น \"การปฏิวัตเกษตรกรรม\" ต่อไม่นานพวกเขาก็ อพยพลงไปตั้งถิ่นฐานบริเวณลุ่มแม่น้ำ และพัฒนาการเกษตร แบบชลประทานซึ่งทำให้ผลผลิตมากขึ้น เกิดการสร้างสังคมที่ ซับซ้อนและสถาบันทางสังคมแบบใหม่ๆ ก่อให้เกิดความ สัมพันธ์เชิงลูกโซ่และนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงอื่นๆ จนเกิดเป็น \"อารยธรรม\" สภาพภูมิประเทศของเมโสโปเตเมีย สภาพภูมิประเทศไม่ค่อยเอื้ออำนวยต่อการตั้งถิ่นฐานมาก นักเพราะมีปริมาณน้ำฝนน้อย อากาศร้อนจัด ขาดหินที่เป็น วัสดุก่อสร้างที่สำคัญ และบ่อยครั้งอาจได้รับภัยจากน้ำท่วมที่ เกิดจากภาวะฝนตกหนักในตอนเหนือและการละลายของหิมะ ในบริเวณเทือกเขาซากรอสและเทือกเขาเทารัส แต่ในขณะ เดียวกันบริเวณนี้ก็ยังมีสิ่งทดแทนให้ ก็คือความอุดมสมบูรณ์ ของผลอินทผลัมที่อุดมด้วยธาตุอาหารต่างๆ และมีหนองบึงที่มี ต้นกกขึ้นซึ่งเป็นที่อาศัยและหากินของปลาและดึงดูดสัตว์ปีก นานาพันธุ์ รวมทั้งดินก็ยังเป็นดินที่อุดมด้วยปุ๋ยธรรมชาติจาก การตกตะกอน สภาพแวดล้อมจึงมีความเหมาะสมกับการตั้ง ถิ่นฐานใหม่ และชาวซูเมเรียก็ได้คิดค้นการทำชลประทานและ การระบายน้ำไปยังพื้นที่เพาะปลูก ทั้งยังมีการประดิษฐ์คันไถทำ ด้วยโลหะสำริด เกิดจากการนำแร่ดีบกผสมกับทองแดงทำให้ คันไถแข็งแกร่ง

นับว่ามีความสำคัญและเป็นครั้งแรกที่มีการนำแรงงานสัตว์ มาใช้ทุ่นแรงมนุษย์ ทำให้ผลิตข้าวได้มาก ในชณะเดียวกันก็มี การขยายพื้นที่เพาะปลูกและขุดคูคลองส่งน้ำเพิ่มขึ้น ก่อนให้ เกิดการเพิ่มของผลผลิตทางเกษตรกรรมและจำนวนประชากร การขยายตัวของชุมชน และการสร้างสังคมเมือง สังคมเมืองของพวกซูเมเรียปรากฏให้เห็นมาตั้งแต่ 3,200 ปี ก่อนคริสต์ศักราช ต่อมาได้มีการตั้งเป็นนครรัฐ จำนวน 12 นครรัฐ โดยนอกกำแพงเมืองเป็นที่ตั้งของไร่นาเป็นแหล่ง อาหารของชาวเมือง ที่ดินส่วนใหญ่จะเป็นของกษัตริย์ นักบวช และชาวเมืองที่มั่นคง โดยมีชนชั้นแรงงานเป็นแรงงานเพาะ ปลูก ผลผลิตส่วนใหญ่จะเป็นข้าวบาร์เลย์และข้าวสาลี ก็จะต้อง ยกให้แก่วัง วัด หรือคหบดีเจ้าของที่ดิน ดังนั้นเพื่อให้การ บริหารจัดการใช้ที่ดินหรือการให้เช่าที่ดินอย่างมีประสิทธิภาพ จำเป็นต้องมีการทำบัญชีที่เป็นลายลักษณ์อักษรเพื่อบันทึกราย ละเอียดต่างๆ ชาวซูเมเรียคิดประดิษฐ์ตัวอักษรขึ้นเป็นครั้งแรกของโลก เรียกว่า อักษรคูนิฟอร์ม หรืออักษรลิ่ม ซึ่งมีที่มาจากคำว่า cuneus แปลว่า ลิ่ม และ formus แปลว่า รูป ในสังคมของพวกซูเมเรีย ภัยจากธรรมชาติเป็นสิ่งที่มนุษย์ ควบคุมไม่ได้ แม้จะมีการสร้างเขื่อนแต่ก็ไม่สามารถป้องกัน ชีวิตของผู้คนนับพันได้ ไร้ปราการธรรมชาติที่จะขวางกั้นศัตรู ได้และยอมตกอยู่ในอำนาจลี้ลับของพระเจ้าพวกซูเมเรียจึง ทุ่มเทไห้กับการสร้างสถาปัตยกรรมขนาดใหญ่มีลักษณะคล้าย กับภูเขาซึ่งเป็นสิ่งที่มีขนานสูงใหญ่ที่สุดตามธรรมชาติเรียกว่า ซิกกูแรตเพื่อเป็นเทวสถานในการบูชาพระเจ้าหรือเทพประจำ เมืองเพื่อไม่ไห้ พระองค์ทรงขุ่นเคืองและลงทัณฑ์มนุษย์ด้วยภัย ต่างๆ เป็นที่สอนหนังสือ ให้แก่นักบวชรุ่นเยาว์เพื่อไห้มีความรู้ ต่างๆและอ่านออกเขียนได้

วรรณกรรมที่สำคัญ ได้แก่ เรื่องราวการผจญภัยกิลกาเมฆ ปรามุกและวีรบุรุษแห่งอูรุก มีชีวิตอยู่ในราว ๒,๗๐๐ ปีก่อน ศักราช ต่อมาตกทอดไปยังพวกบาบิโลน และเป็นที่นิยมแพร่ หลาย ในชื่อมหากาพย์ลิดกาเมช มรดกทางวัฒนธรรมสำคัญอีกประการหนึ่งของพวกซูเมเรีย คือ การประดิษฐ์จานหมุน เพื่อใช้ในการปั้ นภาชนะดินเผาใน ราว ๓,๕๐๐ ปีก่อนคริสต์ศักราช ถือว่าเป็นเครื่องกลชนิดแรก ของโลก นอกจากนี้ยังสร้างวงล้อที่ประกอบติดกับเพลา เพื่อใช้ กับเกวียนและรถศึกเปิดโอกาสให้นักรบใช้อาวุธได้อย่างมี ประสิทธิภาพ พวกซูเมเรียยังมีความสามารถเชิงคณิตศาสตร์ รู้จักนำ ระบบฐานเลข ๖๐ ในการแบ่งเวลาและมุม พวกเขายังสนใจ ศึกษาและจดบันทึกการโคจร ของดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดาว เคราะห์ ความสนใจของพวกซูเมเรียต่อปรากฎการธรรมชาติที่ มีการสังเกตและจดบันทึกอย่างเป็นระบบได้จำกัดในมิติ ของ ความสัมพันธ์ระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์เท่านั้น ทำให้การค้นคว้า ทางวิทยาศาสตร์ของพวกเขามิได้พัฒนาเท่าที่ควร ในต้นศตวรรษที่ ๒๔ ก่อนคริสต์ศักราช อาณาจักรซูเมเรีย ได้ถูกพระเจ้าซาร์กอนที่ ๑ เผ่าซีไมต์แห่งอาณาจักรอัคคาเดีย นทางตอนเหนือเข้ารุกรานและยืดครองได้วัฒนธรรมของซูเม เรีย มิได้ถูกทำลาย แต่ได้รับการสืบทอด ราชวงศ์อันคัด ก็มี อำนาจอยู่เพียงสั้นๆ พวกซูเมเรียจากเมืองอูร์ สามารถฟื้ นฟู อำนาจได้ ต่อมาได้ถูกชนเผาอีลาไมต์ จากดินแดนที่เป็นที่ตั้ง ของประเทศอิหร่าน ในปัจจุบันบุกเข้าทำลายเมือง บอกซูเมเรีย ได้สูญสิ้น อำนาจทางการเมืองอย่างถาวร วัฒนธรรมได้รับการ สืบทอดต่อๆกันมา

2.สมัยอาณาจักรบาบิโลนเก่า เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 2,000-1,600 หลังจากพวกซูมเรียสิ้น อำนาจปกครองแล้ว ดินแดนเมโสโปเตเมียเข้าสู่ยุคแห่งการ เปลี่ยนพานความรุ่งเรืองตอนใต้ย้ายไปยังอัคคัดซึ่งอยู่ตอน เหนือ โดยมีชนเผ่าเอามอไรต์เป็นผู้นำซึ่งมีถิ่นฐานตั้งอยู่ในอัค คัดราว 2,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช และอีก 2 ศตวรรษซึ่งต่อมา ก็สามารถพิชิตดินแดนทั้งหมดของพวกซูเมเรีย พวกอะมอไรต์ มีศูนย์อำนาจปกครองอยู่ที่กรุงบาบิโลนจึงถูกเรียกว่าพวกบาบิ โลนและใช้ภาษาในตระกูลเซมิติก ผลงานที่สำคัญของอาณาจักรบาบิโลน ได้แก่ ประมวลกฎ หมายฮัมมูราบี หลักการของกฎหมายมีรากฐานมาจากกฎหมาย ของพวกซูเมเรีย แต่ได้จัดให้เป็นระบบเป็นการสร้างความ ยุติธรรมให้แก่สังคมประมวลกฎหมายของฮัมบูราบียึดถือหลัก การ \"ต่อตาฟันต่อฟัน\" กฎหมายฮัมบูราบีจารึกในศิลาสีดำทรง กระบอกบนยอดหัวเสาสลักรูปเทพเจ้ามาร์ดุกกำลังประทาน กฎหมายให้แก่พระเจ้าฮัมบูราบี ประมวลกฎหมายฮัมบูราบีถือเป็นการรวบรวมกฎหมายใหม่ ที่เรียกว่า มิซารัม แปลว่าการทำให้ถูกต้อง โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อแก้ไขความยุติธรรมต่างๆของกฎหมายเผ่าแม้จะได้ชื่อว่า เป็นกฎหมาย\"ตาต่อตาฟันต่อฟัน\"แต่ก็มีบทลงโทษชนชั้นที่ แตกต่างกัน \"ถ้าเจ้าหน้าที่ทำร้ายลูกตาของสมาชิกชนชั้น ขุนนาง เขาเหล่านั้นสามารถทำลายลูกตาของเจ้าหน้าที่ได้... ถ้า เขา(เจ้าหน้าที่)ทำลายลูกตาของสามัญชนหรือทำให้กระดูกหัก เขาผู้นั้นต้องจ่ายเงินจำนวนหนึ่งเหรียญมินา\" ประมวกฎหมาย ฮัมบูราบีนับว่าสร้างระเบียบวินัยขึ้นในสังคมรวมทั้งยังเป็น กฎหมายฉบับแรกที่คำนึงถึงสิทธิสตรีและให้สิทธิเธอในการ ฟ้องหย่าสามีได้

นอกจากนี้ อาณาจักรบาบิโลนเก่ายังมีลักษณะเป็น \"รัฐสวัสติ การ\" ที่รัฐดูแลพลเมืองอย่างใกล้ชิด ฝ่ายปกครองมีอำนาจได้เพียงไม่นานเพราะพวกนักบวชกลับ มีอิทธิพเช่นเดิม อาณาจักรบาบิโลนเก่าจึงเริ่มอ่อนแอ และถูก พวกฮิตไตต์ เผ่าอินโด-ยูโรเบียน จากตอนเหนือเข้าปลันสะดม เมื่อ ๑,๕๙๕ ปีก่อนคริสต์ศักราช พวกฮิตไตต์เป็นนักรบ ใช้ อาวุธ ทำด้วยเหล็ก (พวกฮิตไตต์เป็นชนชาติแรกๆ ที่จัดทำ โรงงานผลิตอาวุธเหล็กก่อนที่จะมีการใช้กันอย่างแพร่หลาย) ของพวกซูเมเรีย แต่หลังจากมีชัยชนะและทำลายอาณาจักรบา บิโลนเก่าแล้วก็เดินทางกลับ ปล่อยให้พวกคัสไซต์ จากเอเชีย กลางเข้ายืดครองดินแดน นับจากนั้นเรื่องราวของเมโสโปเต เมียก็เลือนรางไปเกือบ ๓ ศตวรรษ จนได้ชื่อว่าเป็น \"ยุคมืด\" จนกระทั่งพวกอัสซีเรีย ซึ่งเป็นชนเผ่าที่พูดภาษาเซมิติกเข้า รุกรานเมื่อประมาณ ๑,๓๐๐ ปีก่อนคริสต์ศักราช และค่อยๆ แผ่ อำนาจไปทั่วดินแดนเมโสโปเตเมีย 3.สมัยจักรวรรดิอัสซีเรีย เกิดขึ้นเมื่อ 1,300-612 ปีก่อนคริสต์ศักราช ใน 612 ปีก่อน คริสต์ศักราช พวกอัสวีเรียสามารถเข้ายึดครองดินแดนทั้งหมด ของเมโซโมเตเมียรวมทั้งอียิปต์ตอนเหนือ ทำให้อัสซีเรียกลาย เป็นเจ้าแห่งดินแดนวงพระจันทร์เสี้ยวไพบูลย์ ที่ครอบคลุมเมดิ เตอร์เนเนียนและอียิปต์ มีศูนย์กลางปกครอง ณ เมืองนิเนเวห์ พวกเขามีความเชื่อว่ากษัตริย์ของตนเป็นสมมติเทพ จึงนิยม สร้างวังแทนวัดเพื่อเป็นที่ประทับและศูนย์กลางของการ ปกครอง

4.สมัยอาณาจักรคาลเดียหรือบาบิโลนใหม่ เกิดขึ้นเมื่อ 612-539 ปีก่อนคริสต์ศักราช ใน 612 ปีก่อน คริสต์ศักราช ราชองศ์ใหม่แห่งบาบิโลนหรือพวกคาลเดียน ร่วมมือกับศัตรูทางตะวันออกโจมตีและทำลายเมืองนิเนเวห์ และยึดครอง โดยตั้งอาณาจักรบาบิโลนใหม่ กษัตริย์องค์ สำคัญ ได้แก่ พระเจ้าเนบูคัดเนซซาร์ สามารถพิชิตกรุงเยรูซา เลมและกวาดต้อนเชลยชาวยิวมายังบาบิโลนใหม่ มีการ ก่อสร้างและขยายเมืองบาบิโจนจนใหญ่โตและมีกำแพงขนาด ใหญ่ล้อมรอบ ส่วนพระราชวังก็สร้างหลายชั้น แต่ละชั้นจะมี ระเบียงปลูกต้นเฟิร์นและต้นไม้นานาพันธ์เขียวขจีตลอดทั้งปี จนได้ชื่อว่า \"สวนลอยแห่งโบบิโลน\" ทำให้ชาวกรีกยกย่องสวน ลอยแห่งนี้ว่าเป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณ นอกจากการสร้างซิกกูแรตขนาดใหญ่ซึ่งรู้จักต่อมาว่า หอคอยแห่งบาเบล พวกบาบิโลนใหม่ยังสนใจด้านดาราศาสตร์ มีการแบ่งสัปดาห์ออกเป็น 7 วันวันละ 12 คาบ คาบละ 120 นาที สามารถพยากรณ์สุริยุปราคาและเวลาการโคจรของดวงอาทิตย์ ในรอบปีได้อย่างถูกต้องรวมทั้งให้ความสำคัญแก่วิชา โหราศาสตร์ ใน 539 ปีก่อนคริสต์ศักราชอาณาจักรบาบิโลนใหม่ ถูก กองทัพของพระเจ้าไซรัสมหาราชแห่งเปอร์เซียบุกเข้ายึดครอง อาณาจักรบาบิโลนใหม่ถูกรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิ เปอร์เซียที่เรืองอำนาจนับเป็นการสิ้นสุดประวัติศาสตร์ของดิน แดนเมโสโปเตเมียในยุคโบราณ

5.สมัยแห่งอาณาจักรขนาดเล็ก เกิดขึ้นเมื่อ 700 ปีก่อนคริสต์ศักราช นอกจากชนชาติต่างๆ ที่มีบทบาทต่อการสร้างอารยธรรมในตะวันออกกลางที่เป็น ต้น กำเนิดของอารยธรรมตะวันตกดังที่กล่าวมาแล้ว ยังมีชนชาติ อื่นๆ ในตะวันออกใกล้อีกหลายชนชาติที่สำคัญ ที่สำคัญ ได้แก่ พวกฟินีเชียและฮิบรู 5.1) พวกฟินีเชีย เป็นชื่อที่ชาวกรีกใช้เรียกพวกแคนาไนต์ อาศัยอยู่ชายฝั่ งทะเล เมดิเตอร์เรเนียนในซีเรีย(ปัจจุบันคือเลบานอน) ซึ่งมีความ สามารถทางการค้า สร้างเรือเดินสมุทรและจัดตั้งอาณานิคมหรือ เมืองลูกก่อนชาวกรีก และยังมีความสามารถในการทำเครื่อง เรือน เครื่องแก้ว เครื่องโลหะและเครื่องประดับ แลยังรู้จักย้อม ผ้าโดยใช้สีจากเปลือกหอย พวกฟินีเชียไม่ใช่นักสร้างสรรค์ ไม่มีผลงานทางวรรณกรรมหรือ งานศิลปะที่สำคัญ มรดกที่สำคัญ ได้แก่ การนวัตกรรมตัวอักษรที่ ใช้แทนเสียงโดยปรับปรุงแก้ไขอักษรเฮียราติก เป็นตัวเขียนของ อียิปต์และอักษรลิ่มจนเกิดเป็นพยัญชนะ 22 ตัวอักษร ไม่มีสระ ของพินีเชียเป็นที่นิยมและแพร่หลายทั่วไปและชาติต่างๆ พวกฟิ นีเชียยังมีบทบาทสำคัญในการเผยแพร่อารยธรรมในแถบเมโส โปเตเมียและลุ่มแม่น้ำไนล์ไปยังตะวันตก

5.2) พวกฮิบรูหรือยิว เป็นชนเผ่าเซมิติก ครั้งหนึ่งประสบความสำเร็จในการสร้างราช อาณาจักรและขยายเป็นจักรวรรดิอิสราเอล แต่ไม่สามารถผดุง รักษาไว้ในสมัยอาณาจักรบาบิโลนใหม่ พวกยิวถูกกวาดต้อนไป เป็นทาส ต่อมาตกอยู่ใด้การปกครองของเปอร์เซีย กรีกและ โรมัน ใน ค.ศ.70 พวกฮิบรูได้ก่อกบฏต่อจักรวรรดิโรมันและถูก ทัพโรมัน ปราบปรามจนกลายเป็นชนเผ่าเร่ร่อน และต้องอยู่ อย่างกระจัดกระจายในดินแคนต่างๆ ทั้งในเอเชียและยุโรป พวก เขาจึงแสวงหาดินแดนแห่งคำสัญญา ได้แก่ ดินแดนปาเลสไตน์ ที่เชื่อว่าเป็นดินแดนที่พระยาห์เวห์ ทรงประทานให้แก่อับราฮัม ศาสนทูตและบรรพบุรุษคนสำคัญหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ ฝ่าย พันธมิตรตกลงให้จัดตั้งประเทศอิสราเอลขึ้นบนดินแดน ปาเลสไตน์ เพื่อให้เป็นที่อยู่ของชาวฮิบรูหรือยิวซึ่งกลายเป็นปัญหาทางการ เมืองที่สำคัญในปัจจุบัน มรดกสำคัญที่ชาวฮิบรูทิ้งไว้ คือ การนับถือพระเจ้าองค์เดียว ได้แก่ พระยาห์เวห์ หรือพระเยโฮวาห์ หรือพระเป็นเจ้า ในคริสต์ ศาสนา พวกฮิบรูได้บันทึกความผูกพันระหว่างตนกับพระ ยาห์เวห์และประวัติศาสตร์ของเผ่าในพันธสัญญาเดิม ซึ่งเป็น ภาคแรกของคัมภีร์ไบเบิล ทั้งยังเป็นวรรณกรรมที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งมี ความสำคัญอย่างยิ่งต่อพัฒนาการทางวัฒนธรรมยุโรป คือเป็น องค์ประกอบพื้นฐานของการมองประวัติศาสตร์อารยธรรมตะวัน ตก ศาสนาของพวกฮิบรูคือ ศาสนายูดาห์ และการนับถือพระเจ้า องค์เดียวซึ่งเป็นพระเจ้าของความถูกต้องและความเมตตากรุณา อันเป็นต้นกำเนิดของคริสต์ศาสนาและศาสนาอิสลาม ซึ่งศาสนา ทั้งสามห่างมีอิทธิพลต่อการสร้างอารยธรรมโลก

จัดทำโดย 1.นายอชิระ กาลสุวรรณ์ ชั้น ม.6/2 เลขที่ 5 2.นางสาวเขมิกา ศรีระวิ ชั้น ม.6/2 เลขที่ 8 3.นางสาวณัฏฐวรรณ บุญนำ ชั้น ม.6/2 เลขที่ 11 4.นางสาวนารีรัตน์ ชำนาญ ชั้น ม.6/2 เลขที่ 19 5.นางสาวปริชาติ ชังชาสิทธิ์ ชั้น ม.6/2 เลขที่ 24 6.นางสาวปิยาพัชร แก้วระกำ ชั้น ม.6/2 เลขที่ 26 7.นางสาวภัทรวดี จันทร์ทอง ชั้น ม.6/2 เลขที่ 31 8.นางสาวสราศินี นิลสุวรรณ ชั้น ม.6/2 เลขที่ 38


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook