ใบความรู้ท่ี 1 การถา่ ยทอดลกั ษณะทางพันธกุ รรม ทบทวนความรูเ้ ดมิ สว่ นประกอบและหน้าท่ีของเซลล์ เซลลข์ องสงิ่ มีชวี ติ ไมว่ ่าจะเปน็ เซลล์พืชหรือเซลลส์ ัตว์ จะมโี ครงสร้างพน้ื ฐานทีส่ าคญั ๆ 3 สว่ น คอื สว่ นที่หอ่ ห้มุ เซลล์ นิวเคลียส และไซโทพลาสซมึ ดังนี้ เซลล์พืช(Plant Cell) เซลลส์ ตั ว์ (Animal Cell) โครงสร้าง ลักษณะ หนา้ ที่ 1. สว่ นท่ีหอ่ หมุ้ เซลล์ เป็นเยอื่ บางๆประกอบด้วยสารประเภท เปน็ เยอื่ เลอื กผา่ น(semipermeable 1.1 เยือ่ หุ้มเซลล์ โปรตนี แทรกอยใู่ นชั้นไขมันเรียงตวั เป็น 2 membrane)ควบคมุ ปรมิ าณและชนดิ (cell membrane) ชั้น ของสารท่ีผ่านเข้า-ออกจากเซลล์ 1.2 ผนงั เซลล(์ cell อยชู่ ัน้ นอกสุดพบเฉพาะในเซลล์พชื ทาให้เซลลพ์ ชื มคี วามแขง็ และคงรปู รา่ ง wall) ประกอบดว้ ยสารจาพวกเซลลโู ลส (cellulose) เปน็ ศูนย์กลางการทางานของเซลล์ 2. นวิ เคลยี ส(nucleus) คอ่ นขา้ งกลม ประกอบด้วย สรา้ งไรโบโซมของเซลล์ 2.1นวิ คลีโอลสั เป็นก้อนกลมของ RNA ประกอบด้วยกรด (Nucleolus) นวิ คลอี ิกและโปรตีน ถา่ ยทอดลกั ษณะทางพนั ธกุ รรม 2.2 โครโมโซม เปน็ เสน้ ใยเล็กและยาวของนวิ เคลียสทพี่ บ (chromosome) โปรตีนและ DNA ซ่งึ เปน็ สารพันธกุ รรม
3. ไซโทพลาซมึ เปน็ ของเหลวภายในเยอื่ หมุ้ เซลลท์ งั้ หมด นวิ เคลียส ประกอบด้วย ยกเว้นนิวเคลยี ส ประกอบด้วยโปรตนี สร้างและลาเลียงโปรตนี และสังเคราะห์ ไขมัน และแก๊สตา่ งๆ คาร์โบไฮเดรตและไขมันประเภท สเตอ นิวเคลียส รอยด์ 3.1ร่างแหเอนโดพลาซมึ นวิ เคลยี ส สรา้ งเอนไซมเ์ พอื่ ย่อยสารต่างๆในเซลล์ (Endoplasmic เป็นถงุ เยื่อบางๆ2 ชน้ั คล้ายหลอดเลก็ ๆ เช่นโปรตีน คาร์โบไฮเดรต ไขมัน ในเม็ด reticulum) แบนยาวพับทับไปมาคลา้ ยร่างแห มี 2 เลือดขาว ทาหน้าท่ียอ่ ยเชื้อโรคและยอ่ ย 3.2ไลโซโซม ชนดิ ชนิดหยาบ และชนิดเรียบ ตวั เองเมอ่ื เซลลต์ าย (Lysosome) พบเฉพาะในเซลลส์ ัตว์ เปน็ ถงุ มีเย่ือหมุ้ แหล่งสังเคราะหด์ ้วยแสงของพืชสาหร่าย บรรจโุ ปรตนี และสงิ่ มีชวี ติ เซลลเ์ ดียวบางชนิด 3.3คลอโรพลาสต์ (Chloroplast) เปน็ ถุงทเี่ ยื่อผนังชน้ั ในพนั ทบกนั เปน็ ชน้ั ๆมี สะสมอาหาร น้า หรือของเสีย เพอื่ รักษา สารคลอโรฟิลลบ์ รรจอุ ยู่ ทาใหม้ องเห็นเปน็ ดุลยภาพของเซลล์ 3.4แวควิ โอล(Vacuole) สีเขียวพบเฉพาะในเซลล์พืช เป็นถุงทม่ี ีเยอื่ ห้มุ ชน้ั เดยี ว ยดื หยนุ่ สูง ช่วยดึงและจัดโครโมโมโซมในระยะเซลล์ 3.5เซนทรโิ อล ภายในบรรจขุ องเหลวหลายชนิด เช่นน้า แบง่ ตัว (Centriole) อาหาร และของเสีย สังเคราะหโ์ ปรตีน สาหรบั ใช้ในเซลล์และ 3.6ไรโบโซม มีลกั ษณะเปน็ มดั ท่อไมโครทิวบลู 2 มดั วาง สง่ ออกภายนอก (Ribosome) ตั้งฉากกนั มขี นาดเล็ก ลกั ษณะเปน็ ก้อนท่ี บรรจโุ ปรตนี ท่ีได้มาจากการสังเคราะห์ 3.7กอลจิคอมแพลกซ์ ประกอบด้วยโปรตนี และ RNA พบในเซลล์ เชน่ เอนไซม์ โปรตีน เพอื่ นาไปใช้ (Golgi complex) ทกุ ชนิด กระจายอยูใ่ นไซโทพลาซมึ และพบ ประโยชน์ เกาะอยู่ทผ่ี วิ ของร่างแหเอนโดพลาซมึ ชนดิ แหลง่ ผลิตและสะสมสารเคมพี ลงั งานสงู 3.8ไมโทคอนเดรยี หยาบ ใหแ้ กเ่ ซลล์ (Mitochondria) เป็นถุงเยือ่ แบนยาว พับทบคล้ายจานเรียง ซอ้ นเปน็ ชัน้ 5-6ชนั้ อยใู่ กล้นวิ เคลยี ส เปน็ ถุงเยอื่ 2 ช้ัน ชั้นนอกเรียบ ช้นั ในพบั ทบไปมาเปน็ ห้องในไซโทพลาซึม นักวทิ ยาศาสตรท์ ่ีมีส่วนในการค้นพบโครงสรา้ งและหน้าทีข่ องสารพนั ธุกรรม โยฮันน์ ฟรีดรซิ มเี ซอร์ (Johann Friedrich Miescher) หรอื นิวคลนิ (Nuclein)นักชีวเคมีชาวสวิต ได้ คน้ พบ DNA เป็นคนแรก ต่อมา ทอมสั ฮันต์ มอรแ์ กน (Thomas Hunt Morgan) นักวทิ ยาศาสตรช์ าวอเมรกิ ัน เป็นผ้คู ้นพบความสมั พนั ธ์ของกฎและกลไกทางพนั ธุกรรม และได้ตั้งทฤษฎีโครโมโซมเกี่ยวกบั พันธกุ รรม ทง้ั ยงั ทา การวจิ ยั ทร่ี ะบุว่าตาแหนง่ ของยนี (Gene) นัน้ อย่บู นโครโมโซม เซอร์อารซ์ แิ บลด การร์ อดล์ (Sir Archibald
Garrod’s)เป็นผศู้ ึกษาเกีย่ วกบั ความผิดปกติของกระบวนการทางเคมีในเซลล์ ได้แสดงใหเ้ หน็ ว่ายนี ทผี่ า่ เหล่าไปจะ มีผลทาใหเ้ อนไซมบ์ างชนดิ ทางานได้ไมด่ แี ละเปน็ เหตุใหเ้ กดิ โรคทางพนั ธกุ รรมข้นึ จอรจ์ เวลศ์ บเี ดิล (George Wells Beadle) ไดร้ ่วมมือกบั เอดเวริ ์ด ลอวร์ ี ทาทมั (Edward Lawrie Tatum) และโจซวั เลเดอรเ์ บริ ์ก (Joshua Lederberg) ค้นพบว่ายีนเปน็ ตัวควบคมุ เอมไซม์ และพบการถ่ายโอนยีน นอกจากน้ยี ังเสนอทฤษฎีหนึง่ ยีนหน่ึงเอนไซม์ ซงึ่ เป็นการระบวุ ่ายีนเปน็ ตวั กาหนดชนิดของเอมไซมท์ ส่ี ่งิ มชี วี ติ นั้นต้องการสร้าง และเมอ่ื พ.ศ. 2487 นักวทิ ยาศาสตร์ช่อื ออสวาร์ด อเวอรี (Osward Avery) ไดแ้ สดงผลการทดลองทีส่ ามารถอธบิ ายได้อย่าง ชดั เจนว่า DNA เป็นสารพันธุกรรมอย่างแทจ้ รงิ ความสมั พนั ธร์ ะหว่างโครโมโซม ยีน และสารพันธกุ รรม เซลลเ์ ป็นหนว่ ยพ้ืนฐานทีส่ าคญั ของสง่ิ มชี วี ิต เซลลท์ ่วั ไปประกอบด้วยส่วนสาคญั 3 ส่วน คือ เยื่อหมุ้ เซลล์ ไซโทพลาซึม และนิวเคลยี ส ซึง่ เป็นสว่ นประกอบทส่ี าคญั ทส่ี ุดของส่งิ มชี ีวติ ภายในนวิ เคลียสซง่ึ มีรปู รา่ งกลม หรือรูปไขถ่ า้ ใช้กลอ้ งจลุ ทรรศนส์ อ่ งดภู ายในขณะที่เซลล์กาลงั จะแบง่ ตวั จะเหน็ ว่า ภายในมโี ครงสรา้ งทม่ี ลี ักษณะ เป็นเส้นใยเล็กๆขดพันกนั อยเู่ หมอื นขดลวดสปรงิ เตม็ ไปหมด เราเรียกเสน้ ใยเลก็ ๆทขี่ ดพนั กนั อยเู่ หมือนลวดสปรงิ เตม็ ไปหมด เราเรยี กโครงสรา้ งน้วี ่า โครมาทิน (chromatin) ซง่ึ ประกอบดว้ ยโมเลกลุ ของ DNA (deoxyribonucleic acid) ขดจับตัวกับโปรตีน เม่ือมกี ารแบง่ เซลล์ ปรมิ าณของ DNA จะเพม่ิ ขน้ึ เป็น 2 เทา่ เสน้ โครมาทินกจ็ ะขดแนน่ มากข้นึ และหดสัน้ เขา้ จนมลี กั ษณะเป็นแทง่ ๆ เรยี กว่า โครโมโซม (chromosome)มี หน้าทถ่ี า่ ยทอดลกั ษณะทางพันธกุ รรมจากรุน่ พอ่ แม่ไปสรู่ ุน่ ลกู ส่ิงมีชีวิตแตล่ ะชนดิ จะมจี านวนโครโมโซมที่แน่นอน และคงที่ และสงิ่ มชี วี ิตต่างชนดิ กันจะมจี านวนโครโมโซมแตกต่างกัน ยีน เปน็ ส่วนหนงึ่ ของโครโมโซม โครโมโซมหนึง่ ๆมียนี ควบคมุ ลักษณะต่างๆเป็นพันๆลกั ษณะตา่ งๆ เปน็ พนั ลกั ษณะ ภายในยนี พบว่ามีสารเคมที ่ีสาคัญชนดิ หนง่ึ คือ DNA หรือเรียกว่า สารพันธุกรรม ซ่ึงเปน็ โครงสรา้ ง ประกอบดว้ ยสายยาว 2 เส้น พนั กนั เปน็ เกลียวค่แู บบบนั ไดเวยี น ทาหน้าท่ี กาหนดกิจกรรมต่างๆภายในเซลล์ โดยควบคมุ การสงั เคราะห์โปรตีนชนิดตา่ งๆ เชน่ เอนไซม์ เฮโมโกลบินในเมด็ เลอื ดแดง ฮอรโ์ มนบางชนิด เป็น ต้น DNA เป็นองคป์ ระกอบสาคัญของโครโมโซมทพี่ บในส่งิ มีชวี ติ ทกุ ชนิด ไม่วา่ จะเปน็ พืช สตั ว์ คน หรือ สงิ่ มชี ีวิตเซลลเ์ ดียว เช่น แบคทเี รยี ในสิง่ มชี วี ติ แตล่ ะชนดิ จะมปี รมิ าณ DNA ไมเ่ ทา่ กนั แตใ่ นสง่ิ มชี วี ติ ชนดิ เดียวกัน แตล่ ะเซลล์มปี ริมาณ DNA เทา่ กนั ไม่วา่ จะเป็นเซลลต์ บั ไต หวั ใจ กล้ามเนอื้ เป็นตน้ การแบ่งเซลล์ โครโมโซมเป็นโครงสรา้ งทอี่ ยู่ในนวิ เคลียสของเซลล์ ส่ิงมีชีวิตเมอ่ื เซลลเ์ จริญเตบิ โตเตม็ ที่แล้วจะมกี ารแบง่ เซลล์ เมอ่ื เกิดการแบง่ เซลลเ์ ราจะเหน็ ลกั ษณะของโครโมโซมไดช้ ัดเจน วธิ ีการแบง่ เซลล์ของสง่ิ มีชวี ิตจะมขี ้ันตอนท่ี แน่นอนและเป็นระเบยี บ ประกอบด้วยการแบง่ เซลล์ 2 แบบ คือ 1. การเซลลแ์ บบไมโทซสิ 2. การแบ่งเซลลแ์ บบไมโอซสิ การแบ่งเซลลแ์ บบไมโทซิส (mitosis) เป็นการแบ่งเซลลเ์ พ่อื เพ่มิ จานวนของเซลล์รา่ งกายของ ส่ิงมีชีวิต เช่น เซลล์ผิวหนงั เซลลก์ ลา้ มเนื้ และเซลลอ์ วยั วะภายในต่างๆ รวมทง้ั เซลลล์ าต้น ใบ ผลของพชื เปน็ ตน้ การแบ่งเซลลแ์ บบไมโทซสิ จะแบง่ เซลลเ์ ดมิ ออกเป็นเซลลใ์ หม่ 2 เซลล์ เซลลใ์ หมท่ ีไ่ ดจ้ ะมขี นาด รปู ร่าง และ จานวนโครโมโซมเหมอื นกับโครโมโซมในนิวเคลยี สของเซลล์เดมิ ทุกประการ การแบง่ เซลล์แบบไมโทซสิ จงึ มี
ความสาคัญต่อสงิ่ มีชีวติ เปน็ อย่างมาก เพราะเป็นการเจริญเติบโตเพ่ือเพม่ิ ปรมิ าณและขนาดของเซลลใ์ นร่างกาย ของสงิ่ มชี วี ติ การแบ่งเซลล์แบบไมโทซิส แบง่ เป็นระยะตา่ งๆ ดงั น้ี 1. โพรเฟส (prophase) เป็นระยะเซลลส์ ตั วเ์ ซนทรโิ อลจะเคล่อื นที่ไปยังทศิ ทางตรงข้าม และทาหนา้ ท่ี เป็นข้ัว เซลล์ ที่ข้วั นีจ้ ะมีการสร้างเส้นใยสปนิ เดลิ (spindle fiber) ไปยดึ โครโมโซมทต่ี าแหน่งเซนโทรเมียรก์ บั ขัว้ ของเซลล์ นวิ คลีโอลสั จะเรมิ่ สลายตัว 2. เมทาเฟส (metaphase) เยอื่ หมุ้ นวิ เคลยี สจะหายไป โครโมโซมหดตวั สนั้ ที่สดุ แตล่ ะโครโมโซมจะเคล่อื นมา เรียงกันบรเิ วณตรงกลางเซลล์ และเป็นระยะที่นิยมนับจานวนโครโมโซม 3. แอนาเฟส (anaphase) เปน็ ระยะท่ีใช้เวลาส้ันทส่ี ุดเซนโทรเมยี รข์ องแตล่ ะโครโมโซมจะแบ่งตัวจาก 1 เปน็ 2 เส้นใยสปนิ เดิลดงึ โครมาทดิ แยกออกจากกันไปยงั ข้ัวทงั้ สองของเซลล์ และทาหน้าที่เป็นโครโมโซมของเซลลใ์ หม่ 4. เทโลเฟส (telophase) โครโมโซมยืดยาวออกไมเ่ หลอื ลกั ษณะรปู รา่ งทเี่ ป็นแทง่ เหตกุ ารณ์นเ้ี กดิ ขึน้ บรเิ วณขั้ว เซลล์ทง้ั สองข้างรอบๆ โครโมโซมทง้ั สองแทง่ มกี ารสรา้ งเยอ่ื ห้มุ เซลล์ข้ึนใหม่ ดงั รูป รูปแสดงการแบ่งเซลล์แบบไมโทซสิ การแบง่ เซลล์แบบไมโอซิส(meiosis) เป็นการแบ่งเซลลเ์ พื่อสรา้ ง เซลลส์ บื พนั ธุ์ (อสจุ ิและไข)่ การแบง่ เซลล์แบบไมโอซสิ นีจ้ ะมกี ระบวนการแบง่ เปน็ 2 ครั้ง คอื 1. ไมโอซสิ ครง้ั ท่ี 1 (ไมโอซสิ 1 ) 2. ไมโอซสิ คร้งั ที่ 2 (ไมโอซิส2) และเม่อื แบง่ เซลลแ์ ล้วจะได้เซลล์ใหม่ 4 เซลล์ โดยเซลลใ์ หมแ่ ต่ละเซลลจ์ ะมจี านวนโครโมโซมลดลง ครง่ึ หนึ่งจากเซลล์เดมิ
เซลลใ์ หม่ 4 เซลลท์ ่ีไดจ้ ากกระบวนการแบ่งเซลลแ์ บบไมโอซสิ เรียกวา่ เซลล์สบื พนั ธุ์ ซ่ึงมีสมบัตแิ ละ องค์ประกอบทีแ่ ตกต่างจากเซลลร์ า่ งกาย คอื มจี านวนโครโมโซมเพียงครง่ึ เดียวของเซลลร์ า่ งกาย เรยี ก ส่วนเซลลร์ ่างกายเรยี กว่าเปน็ เซลลด์ พิ ลอยด์ (dipioid cell) คือ มจี านวนโครโมโซมเปน็ 2n เท่ากับเซลลเ์ ดมิ การแบง่ เซลลแ์ บบไมโอซิส การแบ่งเซลล์แบบไมโอซสิ (meiosis) เป็นการแบ่งของเซลลเ์ พศ (sex cell) ในสัตวส์ ามารถพบการแบง่ เซลล์แบบ ไมโอซิสในอัณฑะและรังไข่ สว่ นในพืชพบไดใ้ นอบั เรณหู รอื รงั ไข่เพื่อสร้างเซลลส์ บื พนั ธ์ุ การแบ่งเซลลแ์ บบไมโอซสิ มี 2 ข้ันตอนคอื 1. ไมโอซิส 1 เปน็ ระยะทม่ี ีการลดจานวนโครโมโซมจากเดมิ ลงคร่ึงหน่ึง คือ จากเซลลเ์ รม่ิ ต้นทมี่ จี านวนโครโมโซม เปน็ ดพิ ลอยด์ (dipioid cell) (2n) จะไดเ้ ซลล์ทม่ี ีโครโมโซมเปน็ แฮพลอยด์ (haploid cell) 2 เซลล์ ไมโอซสิ 1 แบง่ ออกเป็นระยะต่างๆ 4 ระยะ 1) โพรเฟส 1 (prophase - I) เป็นระยะทม่ี คี วามซบั ซ้อนมากที่สุด 2) เมทาเฟส 1 (metaphase - I) เยอื่ หมุ้ นวิ เคลียสจะสลายไป 3) แอนาเฟส 1 (anaphase - I) ระยะน้เี ซนโทรเมียรจ์ ะยงั ไมแ่ บ่งตัวจาก 1 เปน็ 2 4) เทโลเฟส 1 (telophase - I) โครโมโซมทขี่ ั้วเซลลม์ จี านวนโครโมโซมลดลงคร่ึงหนึ่ง 2. ไมโอซสิ 2 เป็นระยะท่คี ล้ายคลงึ กบั การแบง่ เซลลแ์ บบไมโทซสิ มีการแยกตวั ของโครมาทดิ เกิดข้นึ เมือ่ ส้นิ สดุ ระยะนี้ จะได้ 4 เซลล์ มโี ครโมโซมเปน็ แฮพลอยด์ และ 4 เซลล์นจ้ี ะมจี านวนโครโมโซมและพันธกุ รรมแตกตา่ งจาก เซลลเ์ ริม่ ต้น จากนนั้ จะเปลย่ี นเปน็ เซลลส์ ืบพนั ธุ์ ไมโอซสิ 2 จะมกี ารจาลองโครโมโซมขึน้ อกี ในสง่ิ มชี วี ติ ชนั้ สูง ประกอบดว้ ย 1) โพรเฟส 2 (prophase - II) โครโมโซมของแต่ละเซลลจ์ ะเร่มิ ปรากฏข้นึ มาใหม่ 2) เมทาเฟส 2 (metaphase - II) เย่ือหมุ้ นิวเคลยี สหายไป แตล่ ะโครโมโซมทีป่ ระกอบด้วย 2 โครมาทดิ จะเคล่อื น ตวั มาเรียงบรเิ วณตรงกลางเซลล์ 3) แอนาเฟส 2 (anaphase - II) เซนโทรเมยี รข์ องแตล่ ะโครโมโซมจะแบง่ ตัวจาก 1 เป็น 2 และโครมาทิดจะแยก ออก 4) เทโลเฟส 2 (telophase - II) จะเกิดเยือ่ ห้มุ นิวเคลียสขน้ึ มาล้อมรอบโครโมโซมที่ขว้ั เมอ่ื เกิดการแบ่งไซโทพลา ซมึ อีกจะได้เซลล์ลกู 4 เซลล์ ดังรปู
รปู แสดงการแบ่งเซลลแ์ บบไมโทซิสเปรียบเทียบกบั แบบไมโอซิส หนา้ ท่ขี องสารพันธกุ รรม DNA (deoxyribonucleic acid) การศึกษาการถ่ายทอดทางพนั ธุกรรม เรยี กวา่ พันธศุ าสตร์ (Genetics) ซึ่งจะอธิบายใหร้ ูว้ า่ ลกั ษณะทาง พนั ธกุ รรมที่พ่อแม่ถา่ ยทอดใหล้ ูกน้ัน เรยี กวา่ ยีน (Gene) ยีนเปน็ ขอ้ มูลทางพนั ธุกรรมที่เรยี งอยบู่ นโครโมโซมใน นิวเคลียส โดยมจี านวนมากมายเรยี งตอ่ กนั เปน็ สายคลา้ ยลกู ปัด ยนี ของพ่ออย่ภู ายในนิวเคลยี สของเซลลอ์ สจุ ิ (Sperm cell) และยีนของแมอ่ ยภู่ ายในนิวเคลยี สของเซลลไ์ ข่ (Egg cell) เมอ่ื มกี ารสบื พันธเ์ุ ซลลอ์ สจุ แิ ละเซลลไ์ ข่ จะเกิดการปฏสิ นธิ ( Fertilization) นิวเคลยี สของเซลลอ์ สจุ จิ ะรวมกบั นิวเคลียสของเซลล์ไข่ ได้นิวเคลียสของ เซลล์ใหม่ เรียกว่า ไซโกต (Zygote) ซึ่งเปน็ เซลลเ์ รมิ่ ตน้ ของสิง่ มชี วี ติ ใหม่หรือ ลกู ดงั นน้ั ลกู จงึ มียีนมาจากพอ่ ครึ่งหนงึ่ และจากแมอ่ ีกครงึ่ หนงึ่ ลักษณะต่างๆทปี่ ระกอบขึน้ เป็นตัวเรานัน้ ไดม้ าจากพ่อและแม่ สงิ่ ท่พี ่อแมส่ ่งผา่ น มาใหเ้ รานเ้ี รียกว่า ลกั ษณะทางพันธุกรรม (genetic character) ซ่งึ ทาใหเ้ ราเหมือนพอ่ และแม่ และเมอ่ื
พิจารณาใหล้ ะเอยี ดขน้ึ ไปอีกจะพบวา่ ลกั ษณะทเ่ี ราเหมอื นแม่น้ันจะเหมอื นตากบั ยายของเรา เชน่ เดียวกันลกั ษณะ ทีเ่ ราเหมือนพอ่ กจ็ ะเหมอื นปกู่ ับยา่ ดว้ ย แสดงวา่ ลกั ษณะทางพันธุกรรมจะมีการถ่ายทอดจากรนุ่ หนึง่ ไปอีกรุ่นหน่งึ โดยผ่านการสบื พันธ์ุ (Reproduction) แผนภาพแสดงเซลลส์ บื พนั ธเุ์ พศชายและเพศหญงิ รปู แสดงจานวนโครโมโซมภายหลงั การปฏสิ นธิ
โครโมโซมในเซลลร์ า่ งกายของสง่ิ มีชีวติ มีรปู ร่างลกั ษณะเหมอื นกันเปน็ คๆู่ แต่ละคเู่ รียกว่า ฮอมอโลกัส โครโมโซม (homologous chromosome) เมอ่ื แบ่งเซลล์โครโมโซมแตล่ ะแทง่ จะประกอบดว้ ยโครมาทดิ 2 โครมาทดิ (chromatid) ทเี่ หมอื นกัน บริเวณทีโ่ ครมาทิดทงั้ สองติดกันเรียกว่า เซนโทรเมยี ร์ (centromere) โครโมโซมเซลลร์ า่ งกาย 1 เซลลข์ องผู้ชาย โครโมโซมเซลล์รา่ งกาย 1 เซลล์ของผหู้ ญงิ รปู แสดงโครโมโซมของเซลลร์ า่ งกายในเพศชายและเพศหญิง
โครโมโซมในเซลลร์ า่ งกายเรยี กวา่ ออโตโซม (Autosome)และในเซลลส์ บื พันธคุ์ ือไข่และอสุจเิ รียกวา่ โครโมโซมเพศ(Sex Chromosome)ในสงิ่ มชี วี ติ ต่างชนดิ กันจะมจี านวนไมเ่ ทา่ กัน เชน่ สิ่งมชี ีวิต จานวนโครโมโซม(แทง่ ) สิง่ มชี วี ติ จานวนโครโมโซม(แท่ง) ในเซลล์ร่างกาย ในเซลลส์ ืบพนั ธ์ุ ในเซลล์รา่ งกาย ในเซลลส์ ืบพันธุ์ มนุษย์ กบ ลิงชิมแพนซี 46 23 แมลงวัน 26 13 วัว 48 24 ยงุ ก้นปลอ่ ง 12 6 สนุ ขั 60 30 มะเขือเทศ 63 หนู 78 39 ถวั่ ลันเตา 24 2 42 21 14 7 ศพั ทท์ างพันธุศาสตรบ์ างคาท่คี วรร้จู ัก 1. ยนี (Gene) คอื ลกั ษณะทางพันธกุ รรมซึ่งเปน็ ส่วนหนึ่งของโครโมโซม โครโมโซมของคนมี 23 คู่ และมยี ีนอยปู่ ระมาณ 50,000 ยีน ยนี เหลา่ นีก้ ระจายอยใู่ นโครโมโซมแตล่ ะคู่และควบคุมการถา่ ยทอดลกั ษณะ ไปสู่ลกู ไดป้ ระมาณ 50,000 ลกั ษณะ 2. แอลลลี (allele) คือยนี ทีเ่ ป็นคู่เดยี วกนั เรยี กว่าเปน็ แอลลลี กิ (allelic) ตอ่ กันหมายความวา่ แอลลลี เหล่าน้ันจะมตี าแหน่งเดียวกันบนโครโมโซมทเ่ี ปน็ คกู่ ัน (homologous chromosome) 3. เซลลส์ บื พนั ธุ์ (gamete) หมายถึง เซลลเ์ พศ (sex cell) ทั้งไข่ (egg) และอสจุ หิ รอื (Sperm) 4. จีโนไทป์ (genotype) หมายถึง ลักษณะการจบั คกู่ นั ของแอลลลี ของยนี ที่ควบคมุ ลกั ษณะทาง พันธุกรรมของสิ่งมชี วี ติ ซงึ่ จะมี 2 ลักษณะ ลกั ษณะพันธแ์ุ ท้ เช่น TT, tt และลักษณะพันธท์ุ าง เช่น Tt 5. ฟโี นไทป์ (phenotype) หมายถึงลกั ษณะทปี่ รากฏออกมาใหเ้ หน็ ซึง่ เป็นผลจากการแสดงออกของ จีโนไทป์นน่ั เอง เช่น TT, Tt มียนี ไทป์ตา่ งกนั แต่มีฟีโนไทปเ์ หมือนกัน คอื เปน็ ต้นสงู ทง้ั คู่ 6. ฮอมอไซโกต (homozygote) หมายถงึ คูข่ องแอลลีลซง่ึ เหมือนกนั เชน่ TT จัดเปน็ ฮอมอไซกัด โดมิแนนต์ (homozygous dominant) เนอ่ื งจากลกั ษณะท้งั คเู่ ปน็ ลกั ษณะเด่น หรือ tt จัดเปน็ ฮอมอไซกสั รเี ซสซีฟ(homozygous recessive) เนื่องจากลกั ษณะทง้ั คเู่ ป็นลักษณะด้อย ลักษณะทเี่ ปน็ ฮอมอไซโกตเราเรียกวา่ พนั ธแ์ุ ท้ 7. เฮเทอโรไซโกต (heterozygote) หมายถึง คขู่ องแอลลีนท่ไี มเ่ หมือนกัน เชน่ Tt ลกั ษณะของเฮเทอโรไซโกตเราเรยี กวา่ เป็นพันธ์ุทาง 8. ลกั ษณะเดน่ (dominant) คือลักษณะท่แี สดงออกเมื่อเป็นฮอมอไซกสั โดมิแนนต์และเฮเทอโร ไซโกต 9. ลักษณะดอ้ ย (recessive) ลักษณะทจ่ี ะถูกขม่ เมอ่ื อยใู่ นรปู ของเฮเทอโรไซโกตและจะแสดงออกเมอื่ เป็นฮอมอไซกสั รเี ซสซฟี 10. ลกั ษณะเด่นสมบรู ณ์ (complete dominant) หมายถงึ การขม่ ของลักษณะเดน่ ต่อลกั ษณะดอ้ ย เปน็ ไปอย่างสมบรู ณ์ทาให้ฟโี นไทป์ของฮอมอไซกัสโดมเิ นนตแ์ ละเฮเทอโรไซโกตเหมอื นกนั เชน่ TT จะมีฟโี นไทป์ เหมอื นกบั T t ทกุ ประการ
11. ลักษณะเด่นไมส่ มบูรณ์ (incomplete dominant) เป็นการขม่ กันอย่างไมส่ มบรู ณ์ ทาให้ เฮเทอโรไซโกตไมเ่ หมอื นกบั ฮอมอไซกัสโดมิเนนต์ เชน่ การผสมดอกไมส้ ีแดงกบั ดอกไม้สีขาวได้ดอกไม้สีชมพู แสดงวา่ แอลลลี ทคี่ วบคมุ ลกั ษณะดอกสีแดงข่มแอลลลี ที่ควบคมุ ลักษณะดอกสขี าวไดไ้ ม่สมบรู ณ์ 12. ลกั ษณะเดน่ ร่วม(codominant) เป็นลกั ษณะท่ีแอลลลีลแตล่ ะตัวมีลกั ษณะเด่นกนั ทงั้ คขู่ ่มกันไมล่ งทา ใหฟ้ โี นไทปข์ องเฮเทอโรไซโกตแสดงออกมาท้ังสองลักษณะ เชน่ หมู่เลือด AB ทั้งแอลลลี IA และแอลลลี IB จะ แสดงออกในหมเู่ ลอื ดท้งั คู่ 13. เทสต์ ครอส (test cross) เป็นการผสมระหวา่ งตน้ ทม่ี ีฟโี นไทป์เดน่ กบั ต้นทมี่ ีฟีโนไทปด์ อ้ ย เพ่ือ ตอ้ งการทราบวา่ ต้นลกั ษณะเด่นนั้นเป็นลักษณะพันธุ์แทห้ รือพนั ทาง ถ้าหากตน้ ทผี่ สมซง่ึ เปน็ ลกั ษณะดอ้ ยนนั้ เป็น พ่อแม่จะเรยี กว่าการผสมแบบแบค ครอส (back cross) 14. คารโ์ อไทป์ (karyotype) คือการศกึ ษาโครโมโซมโดยการถ่ายภาพแลว้ นาภาพถ่ายของ โครโมโซม มาจัดเรยี งเข้าค่กู นั และแบง่ เปน็ กลุ่มๆได้ 15. การถ่ายทอดพนั ธุกรรมลกั ษณะเดียว(monohybrid cross) เปน็ การผสมพนั ธซ์ุ ง่ึ เราคานงึ ถึงลกั ษณะ เพียงลกั ษณะเดยี วและมยี ีนควบคุมอยเู่ พยี งคเู่ ดียว 16. การถา่ ยทอดพันธกุ รรมสองลกั ษณะ (dihybrid cross) เป็นการผสมทศ่ี กึ ษาลักษณะสองลักษณะใน เวลาเดยี วกัน มยี นี ควบคุมสองคู่
Search
Read the Text Version
- 1 - 10
Pages: