นางสาววนาลี พ่งึ บุญ
เพลงพนื้ บ้านประเภทของเพลงพนื้ บ้าน เพลงพ้ืนบา้ นแบง่ ไดห้ ลายประเภทข้ึนอยกู่ บั วธิ ีการจดั แบ่งดงั น้ีแบ่งตามเขตพนื้ ท่ี เป็นการแบ่งตามสถานท่ีที่ปรากฏเพลง อาจแบง่ กวา้ งที่สุดเป็นภาค เช่น เพลงพ้ืนบา้ นภาคกลาง เพลงพ้นื บา้ นภาคเหนือ เพลงพ้นื บา้ นภาคอีสาน เพลงพ้นื บา้ นภาคใต้ หรืออาจแบง่ ยอ่ ยลงไปอีกเป็ นเขตจงั หวดัอาเภอ ตาบล เช่น เพลงพ้ืนบา้ นตาบลเขาทอง อาเภอพยหุ ะคีรี จงั หวดั นครสวรรค์ เพลงพ้ืนบา้ นของอาเภอพนมทวน จงั หวดั กาญจนบุรีแบ่งตามกล่มุ วฒั นธรรมของผู้เป็ นเจ้าของเพลง เป็นการแบง่ ตามกลุ่มชนทอ้ งถ่ินที่มีวฒั นธรรม หรือเช้ือชาติต่างกนั เช่น เพลงพ้ืนบา้ นกลุ่มวฒั นธรรมไทยโคราช เพลงพ้ืนบา้ นกลุ่มวฒั นธรรมเขมร-ส่วย เพลงพ้ืนบา้ นกลุ่มวฒั นธรรมไทย-ลาว เพลงพ้นื บา้ นกลุ่มไทยมุสลิมแบ่งตามโอกาสท่รี ้อง กลุ่มหน่ึงเป็นเพลงที่ร้องตามฤดูกาลหรือเทศกาล เช่น เพลงที่ร้องในฤดูกาลเกบ็ เกี่ยว ไดแ้ ก่ เพลงเก่ียวขา้ ว เพลงสงฟาง เพลงนา และเพลงที่ร้องในเทศกาลสงกรานต์ ไดแ้ ก่ เพลงบอก เพลงร่อยพรรษาเพลงตร๊จ อีกกลุ่มหน่ึงเป็ นเพลงท่ีร้องไดท้ ว่ั ไปไม่จากดั โอกาส เช่น ซอ หมอลา เพลงโคราช เพลงลาตดัเพลงฉ่อย เพลงอีแซวแบ่งตามจุดประสงค์ในการร้อง เช่น เพลงกล่อมเด็ก เพลงปลอบเดก็ เพลงประกอบการละเล่นของเด็ก เพลงปฏิพากย์ เพลงร้องราพนัเพลงประกอบการละเล่นของผใู้ หญ่ และเพลงประกอบพธิ ีกรรมแบ่งตามจานวนผู้ร้อง เป็นเพลงร้องเดี่ยวและเพลงร้องหมู่ เช่น เพลงกล่อมเด็ก เพลงพาดควาย จ๊อย เป็ นเพลงร้องเดี่ยว ส่วนเพลงเกี่ยวขา้ ว เพลงเรือ เป็ นเพลงร้องหมู่ นอกจากน้ี ยงั มีการแบง่ ประเภทเพลงพ้ืนบา้ นแบบอ่ืนๆ เช่น ตามความส้นั ยาวของเพลง แบง่ ตามเพศของผรู้ ้อง แบง่ ตามวยั ของผรู้ ้อง ในท่ีน้ีขอกล่าวถึงเพลงพ้นื บา้ น โดยแบง่ตามเขตพ้ืนที่เป็นภาค ๔ ภาค คือ ๑. เพลงพ้ืนบา้ นภาคกลาง ๒. เพลงพ้ืนบา้ นภาคเหนือ ๓. เพลงพ้นื บา้ นภาคอีสาน ๔. เพลงพ้นื บา้ นภาคใต้
เพลงพนื้ บ้านภาคกลาง เพลงพ้นื บา้ นภาคกลางส่วนใหญเ่ ป็ นเพลงโตต้ อบหรือเพลงปฏิพากย์ เป็นเพลงท่ีหนุ่มสาวใชร้ ้องโตต้ อบเก้ียวพาราสีกนั มกั ร้องกนั เป็นกลุ่มหรือเป็นวง ประกอบดว้ ย ผรู้ ้องนาเพลงฝ่ ายชายและฝ่ ายหญิงท่ีเรียกวา่ พอ่ เพลง แมเ่ พลง ส่วนคนอื่นๆ เป็นลูกคู่ร้องรับ ใหจ้ งั หวะดว้ ยการปรบมือ หรือใชเ้ คร่ืองดนตรีประกอบจงั หวะ เช่น กรับ ฉิ่ง เพลงโตต้ อบน้ี ชาวบา้ นภาคกลางนามาร้องเล่นในโอกาสต่างๆ ตามเทศกาลหรือในเวลาที่มารวมกลุ่มกนั เพ่ือทากิจกรรมอยา่ งใดอยา่ งหน่ึง หรือบางเพลงกใ็ ชร้ ้องเล่นไมจ่ ากดั เทศกาลแบง่ ได้ ๕ กลุ่ม คือ๑. เพลงท่ีนิยมร้องเล่นในฤดูน้าหลาก เทศกาลกฐินและผา้ ป่ า ในช่วงเทศกาลออกพรรษา ไดแ้ ก่ เพลงเรือ (ร้องกนั ทวั่ ไปในลุ่มแมน่ ้าเจา้ พระยา โดยเฉพาะพระนครศรีอยธุ ยา อ่างทอง สิงห์บุรี สุพรรณบุรี ลพบุรี) เพลงคร่ึงทอ่ น เพลงไก่ป่ า (ปรากฏชื่อในหนงั สือเก่าก่อนสมยั รัชกาลท่ี ๕ วา่ ร้องอยแู่ ถบ พระนครศรีอยธุ ยา) เพลงหนา้ ใย เพลงยมิ้ ใย เพลงโซ้ (นครนายก) เพลงราพาขา้ วสาร (ปทุมธานี) เพลงร่อยภาษา (กาญจนบุรี)๒. เพลงที่นิยมเล่นในเทศกาลเก็บเกี่ยว เป็นเพลงท่ีร้องเล่นในเวลาลงแขกเกี่ยวขา้ ว และนวดขา้ ว ไดแ้ ก่ เพลงเก่ียวขา้ ว เพลงกม้ (อ่างทอง สุพรรณบุรี) เพลงเตน้ กา (อ่างทอง พระนครศรีอยธุ ยา) เพลงเตน้ การาเคียว (นครสวรรค)์ เพลงจาก (อ. พนมทวน กาญจนบุรี) เพลงสงฟาง (สุพรรณบุรี กาญจนบุรี อ่างทอง สิงห์บุรี) เพลงพานฟาง (สุพรรณบุรี กาญจนบุรี) เพลงสงคอลาพวน (กาญจนบุรี นครปฐม ราชบุรี) เพลงชกั กระดาน (กาญจนบุรี ราชบุรี นครปฐม สิงห์บุรี อา่ งทอง) เพลงโอก (ราชบุรี ใชร้ ้องเล่นเวลาหยดุ พกั ระหวา่ งนวดขา้ ว)๓. เพลงท่ีนิยมเล่นในเทศกาลสงกรานต์ เป็นเพลงท่ีร้องเพ่ือความสนุกสนาน ร่ืนเริง และบางเพลงเป็นเพลงที่ใชป้ ระกอบการละเล่นของหนุ่มสาว ไดแ้ ก่ เพลงพษิ ฐาน (พระนครศรีอยุธยา สุพรรณบุรี อุทยั ธานี นครสวรรค์ สุโขทยั กาแพงเพชร ตาก) เพลงพวงมาลยั (นครปฐม เพชรบุรี กาญจนบุรี อ่างทอง นครสวรรค)์
เพลงระบา เพลงระบาบา้ นไร่ (พระนครศรีอยธุ ยา ลพบุรี อ่างทอง สุพรรณบุรี) เพลงฮินเลเล (พระนครศรีอยธุ ยา นครสวรรค์ สุโขทยั พิษณุโลก) เพลงคลอ้ งชา้ ง (สุพรรณบุรี กาญจนบุรี นครปฐม) เพลงชา้ เจา้ หงส์ (พระนครศรีอยธุ ยา) เพลงชา้ เจา้ โลม (นครสวรรค์ อุทยั ธานี) เพลงเหยอ่ ย (กาญจนบุรี) เพลงกรุ่น (อุทยั ธานี พิษณุโลก) เพลงชกั เยอ่ (อุทยั ธานี) เพลงเขา้ ผี (เกือบทุกจงั หวดั ของภาคกลาง) เพลงสังกรานต์ (เป็นเพลงใชร้ ้องยว่ั ประกอบทา่ รา ไม่มีชื่อเรียกโดยตรง ในท่ีน้ี เรียกตามคาของยาย ทองหล่อ ทาเลทอง แม่เพลงอาวโุ สชาวอยธุ ยา)๔. เพลงท่ีใชร้ ้องเวลามารวมกนั ทากิจกรรมอยา่ งหน่ึง ไดแ้ ก่ เพลงโขลกแป้ ง (ร้องโตต้ อบกนั เวลาลงแขกโขลกแป้ งทาขนมจีน ในงานทาบุญ ของชาวอ่างทอง ชาวนครสวรรค)์ เพลงแห่นาคหรือสั่งนาค (ร้องกนั ทวั่ ไปในภาคกลาง ในงานบวชนาคขณะแห่นาคไปวดั หรือรับไป ทาขวญั นาค)๕. เพลงที่ร้องเล่นไม่จากดั เทศกาล เป็นเพลงท่ีร้องเพอ่ื ความสนุกสนานรื่นเริงในงานบุญประเพณีตา่ งๆ ร้องราพนั แสดงอารมณ์ความรู้สึก ร้องประกอบการละเล่น หรือร้องโดยที่มีวตั ถุประสงคอ์ ยา่ งใดอยา่ งหน่ึงไดแ้ ก่ เพลงเทพทอง (เป็ นเพลงพ้ืนบา้ นที่เก่าที่สุด ตามหลกั ฐานในวรรณคดีและหนงั สือเก่าบนั ทึกไวว้ า่ นิยมเล่นต้งั แตส่ มยั อยธุ ยา สมยั ธนบุรี สมยั รัตนโกสินทร์ จนถึง รัชกาลท่ี ๖) เพลงลาตดั เพลงโนเนโนนาด เพลงแอว่ เคลา้ ซอ เพลงแห่เจา้ บ่าว เพลงพาดควาย เพลงปรบไก่ เพลงขอทาน เพลงฉ่อย (มีชื่อเรียกอ่ืนๆ เช่น เพลงวง เพลงเป๋ เพลงฉ่า เพลงตะขาบ)
เพลงทรงเครื่อง เพลงระบาบา้ นนา เพลงอีแซว เพลงราโทน เพลงสาหรับเด็ก (เพลงกล่อมเดก็ เพลงปลอบเดก็ เพลงประกอบการละเล่นเดก็ )เพลงพ้นื บา้ นภาคกลางแมจ้ ะมีหลากหลายประเภทมากกวา่ ทุกภาค แตม่ ีเพลงจานวนนอ้ ยท่ียงั คงร้องเล่นกนับา้ งในชนบท และส่วนหน่ึงกเ็ ป็นเพลงท่ีเล่นกนั เฉพาะถ่ินเทา่ น้นั ศิลปิ นพ้ืนบา้ นสาธิตการร้องเล่นเพลงสงฟาง ที่นามาร้องในเวลาลงแขกเกี่ยวขา้ ว และนวดขา้ วเพลงพ้นื บา้ นภาคกลางท่ีแพร่หลายไดย้ นิ ทวั่ ๆ ไป และมีพอ่ เพลงแมเ่ พลงท่ียงั จดจาร้องกนั ได้ ๘ เพลง คือ ๑. เพลงเรือ ๒. เพลงเตน้ กา ๓. เพลงพิษฐาน ๔. เพลงระบาบา้ นไร่ ๕. เพลงอีแซว ๖. เพลงพวงมาลยั
๗. เพลงเหยอ่ ย ๘. เพลงฉ่อยเพลงเรือ เพลงเรือเป็นเพลงที่ร้องเล่นในฤดูน้าหลาก นิยมเล่นในจงั หวดั พระนครศรีอยธุ ยา อา่ งทอง สิงห์บุรีสุพรรณบุรี และลพบุรี ช่วงเทศกาลกฐิน ผา้ ป่ า หรืองานนมสั การ งานบุญประจาปี ของวดั ซ่ึงเป็นฤดูน้าหลากชาวนาวา่ งเวน้ จากการทานา รอน้าลด และรวงขา้ วสุก ก็จะพากนั พายเรือมาทาบุญไหวพ้ ระและเล่นเพลง เรือที่ใชม้ ีเรือมาดสี่แจว เรือพายมา้ ทุกลาจุดตะเกียงเจา้ พายุ หรือตะเกียงลานไวก้ ลางลาเรือ ธรรมเนียมในการเล่นมีเรือฝ่ ายชายและฝ่ ายหญิง จานวนผเู้ ล่นข้ึนอยกู่ บั ขนาดของเรือประมาณ ๙ - ๑๐ คน มีพ่อเพลง แม่เพลง ส่วนท่ีเหลือเป็ นลูกคู่ ใชก้ ลอนลงสระเสียงเดียวกนั ไปเรื่อยๆ ท่ีเรียกวา่ \"กลอนหวั เดียว\" นิยมร้องกลอนลา และกลอนไล เพราะคิดหาคาไดง้ ่ายกวา่ สระเสียงอื่น มีเครื่องประกอบจงั หวะ ไดแ้ ก่ ฉ่ิง และกรับ พอ่ เพลงท่ีนง่ักลางลาเรือ จะเป็นคนตีฉ่ิงดงั ฉบั ๆ ไปเรื่อยๆ ท่ีเหลือก็เป็นลูกคู่คอยร้องรับหรือร้องยว่ั ดว้ ยคาวา่ \"ฮา้ ไฮ\"้ และคอยกระทุง้ วา่ \"ชะ ชะ\" ตามความคะนองปากเป็นจงั หวะๆ เม่ือชาวเพลงพายเรือมาถึงที่หมาย โดยทวั่ ไปก็จะมองหาเรือจบั คูว่ า่ เพลงกนั แลว้ ฝ่ ายชายจะพายเรือไปเทียบจนชิดเรือฝ่ ายหญิงและเก็บพายข้ึน ในเรือแตล่ ะลาจะนงั่ เป็นคู่ๆ นอกจากช่วงหวั เรือทา้ ยเรือจะนง่ั คนเดียวเพราะที่แคบ เรือฝ่ ายชายจะเร่ิมวา่ เพลงก่อน เรียกวา่ \"เพลงปลอบ\" เพ่อื ขอเล่นเพลงกบั ฝ่ ายหญิงตามมารยาท เม่ือวา่ ไปสัก ๒ - ๓ บท หากฝ่ ายหญิงน่ิงไม่ตอบ กแ็ สดงวา่ ไม่สมคั รใจเล่นเพลงดว้ ย หรือมีคู่นดัหมายอยแู่ ลว้ เรือฝ่ ายชายตอ้ งไปหาคูใ่ หม่ แตถ่ า้ ฝ่ ายหญิงเอ้ือนเสียงตอบ แสดงวา่ ตกลงปลงใจเล่นเพลงดว้ ยกเ็ ริ่มวา่ \"เพลงประ\" โตต้ อบกนั ในเชิงเก้ียวพาราสีอยา่ งสนุกสนาน เม่ือวา่ เพลงกนั สมควรแก่เวลาแลว้ เรือฝ่ ายชายจะพายไปส่งเรือฝ่ ายหญิง ในระหวา่ งน้นั ก็วา่ \"เพลงจาก\" เพ่อื เป็นการแสดงความอาลยั อาวรณ์ตวั อย่าง เพลงเรือชายเกริ่น : เอย เลียบเรือเรียง เขา้ เคียงใกล้ หวงั จะฝากน้าใจ (ฮา้ ไฮ)้ ของขา้ (ชะ ชะ)นอ้ งจะรีบไปไหน ขอใหพ้ ายเบาเบา พ่จี ะไดม้ าพบเจา้ (ฮา้ ไฮ)้ งามตาพีพ่ ายมานาน ใหแ้ สนเหน่ือยหนกั พอไดพ้ บนงลกั ษณ์ (ฮา้ ไฮ)้ โสภาท่ีเหน่ือยก็หาย ท่ีหน่ายกแ็ ขง็ กลบั มีเรี่ยวมีแรง (ฮา้ ไฮ)้ หนกั หนาขอเชิญนวลนอ้ ง มาร้องเล่นดงั วา่ ขอจงเผยวาจาสกั คา...เอย
ลูกคู่รับ : ขอจงเผยวาจาสักคา เอย ขอเชิญนวลนอ้ งมาเล่นร้องดงั วา่ (ซ้า) ขอจงเผยวาจาสักคาเอย ฯลฯหญิงตอบ : เอย ไดย้ นิ น้าคา เสียงมาร่าสนอง เสียงใครมาเรียกหานอ้ ง (ฮา้ ไฮ)้ ที่ไหนล่ะ แตพ่ อเรียกหาฉนั แมห่ นูไม่นานไม่เนิ่น เสียงผชู้ ายร้องเชิญ (ฮา้ ไฮ)้ ฉนั จะวา่ การจะเล่นจะหวั หนูนอ้ งไมด่ ีดไม่ดิ้น หรอกแมว้ า่ ไมใ่ ช่ยามกฐิน (ฮา้ ไฮ)้ ผา้ ป่ า พอเรียกกข็ าน แต่พอวานก็เอ่ย หนูนอ้ งไมน่ ิ่งกนั ทาเฉย (ฮา้ ไฮ)้ ใหม้ นั ชา้ แตพ่ อเรียกหานอ้ ง ฉนั ก็ร้องข้ึนร่า ฉนั นบนอบตอบคา (ฮา้ ไฮ)้ จริงเจา้ ขา แม่หนูนบนอบตอบคา ตอบกนั ไปเสียดว้ ยน้า (ฮา้ ไฮ)้ วาจา แตพ่ อเรียกหานอ้ ง ฉนั ก็ร้องวา่ จ๋า กนั แต่เมื่อเวลา เอ๋ยจวนเอยลูกคูร่ ับ : กนั แต่เม่ือเวลา จวนเอย แต่พอเรียกหานอ้ ง ฉนั ก็ร้องวา่ จ๋า (ซ้า) กนั แต่เม่ือเวลา จวนเอยเพลงพนื้ บ้านภาคเหนือ ชีวติ ของผคู้ นในภาคเหนือ หรือชาวลา้ นนา ผกู พนั อยกู่ บั เสียงเพลงตลอดเวลาต้งั แต่ในวยั เด็ก วยัหนุ่มสาว จนถึงวยั ชรา เพลงพ้นื บา้ นภาคเหนือเป็นบทร้องมุขปาฐะ คิดคาร้องข้ึนดว้ ยปฏิภาณไหวพริบ ขบัร้อง ไดฟ้ ัง และจดจาสืบทอดกนั มาหลายชว่ั อายุ เพลงพ้นื บา้ นภาคเหนือที่ยงั เป็ นที่รู้จกั และมีการร้องเล่นกนัอยบู่ างแห่งจนถึงปัจจุบนั ซ่ึงจะกล่าวถึงในท่ีน้ีมี ๓ ประเภท คือเพลงสาหรับเดก็ ไดแ้ ก่ เพลงกล่อมเด็ก และเพลงร้องเล่น พบวา่ มีการร้องกนั ในจงั หวดั เชียงใหม่ เชียงราย ลาพนูลาปาง แพร่ น่าน พะเยา และแมฮ่ ่องสอน เพลงกล่อมเด็ก ผใู้ หญ่ใชร้ ้องขบั กล่อมใหเ้ ด็กหลบั มกั เรียกวา่ เพลงอื่อ ชา ชา (ออกเสียงวา่ อื่อ จาจา) ตามเสียงท่ีเอ้ือนออกมาตอนข้ึนตน้ เพลง เพ่ือใหเ้ กิดความนุ่มนวล ชวนใหเ้ ด็กหลบั ไปไดง้ ่าย เน้ือเพลงมีลกั ษณะคาประพนั ธ์ท่ีไมต่ ายตวั จานวนคาและสัมผสั ไมเ่ คร่งครัดเช่นเดียวกบั เพลงพ้นื บา้ นอื่นๆ ส่วนทานอง
เป็นทานองร่า (ฮ่า) โดยเอ้ือนเสียงทอดยาวที่พยางคส์ ุดทา้ ยของวรรค และเปล่งเสียงข้ึนลง ตามระดบั สูงต่าของเสียงวรรณยกุ ต์ตวั อย่าง เพลงกล่อมเดก็ อื่อ ชา ชา หลบั สองตาอยา่ ไห้แกว้ แก่นไท้ แม่จกั อื่อชาชานายไหอ้ ยากกินช้ืน บ่มีไผไพหานายไหอ้ ยากกินปลา บม่ ีไผไพส้อนมีเขา้ เยน็ สองสามกอ้ น ป้ อนแลว้ ลวดหลบั ไพเพลงพนื้ บ้านภาคอสี าน ภาคอีสานเป็ นแหล่งรวมกลุ่มชนที่มีวฒั นธรรมแตกต่างกนั ถึง ๓ กลุ่ม จึงมีเพลงพ้ืนบา้ นแบ่งเป็ น ๓ประเภท ดงั น้ี ๑. เพลงพ้นื บา้ นกลุ่มวฒั นธรรมไทย-ลาว ๒. เพลงพ้นื บา้ นกลุ่มวฒั นธรรมเขมร-ส่วย (กยู ) ๓. เพลงพ้นื บา้ นกลุ่มวฒั นธรรมไทยโคราชเพลงพนื้ บ้านกล่มุ วฒั นธรรมไทย-ลาว กลุ่มชนกลุ่มน้ี ไดแ้ ก่ ประชาชนในจงั หวดั หนองคาย อุดรธานี เลย สกลนคร นครพนม กาฬสินธุ์มหาสารคาม ร้อยเอ็ด ขอนแก่น ชยั ภมู ิ มุกดาหาร ยโสธร อุบลราชธานี บุรีรัมย์ และบางส่วนของจงั หวดั ศรีสะเกษ กลุ่มชนน้ีใชภ้ าษาถิ่น คือ ภาษาอีสาน เพลงพ้ืนบา้ นของกลุ่มวฒั นธรรมไทย- ลาว มี ๒ ประเภท คือหมอลา และเซิ้งก. หมอลา หมอลาเป็นเพลงพ้ืนบา้ นท่ีนิยมมากในภาคอีสาน ไดพ้ ฒั นาการแสดงเป็นคณะ มีการฝึกหดั เป็ นอาชีพ รับจา้ งไปแสดงในงานตา่ งๆ มีทานองลา เรียกตามภาษาถิ่นวา่ \"ลาย\" ที่นิยมมีดว้ ยกนั ๔ ลาย คือ ๑. ลายทางเส้น ๒. ลายทางยาว ๓. ลายลาเพลิน ๔. ลายลาเตย้
ตัวอย่าง ลายลาเต้ย ชื่อ เต้ยโขง ลา ลา ก่อนเดอ้ ขอใหเ้ ธอจงมีรักใหม่ชาติน้ีขอเป็นขวญั ตา ชาติหนา้ ขอเป็ นขวญั ใจชาติน้ีแลชาติใด ขอใหไ้ ดเ้ คียงคูก่ บั เธอ คณะหมอลา ท่ีร้องเล่นหมอลา โดยใชภ้ าษาถิ่นอีสานเพลงพนื้ บ้านภาคใต้ เพลงพ้นื บา้ นภาคใตม้ ีคอ่ นขา้ งนอ้ ย เม่ือเทียบกบั ภาคอ่ืนๆ แต่ยงั รักษารูปแบบพ้นื เมืองไดม้ าก นิยมเล่นกนั เองตามเทศกาลตา่ งๆ โดยไมม่ ีการรับจา้ งแสดง และไม่ถือเป็นอาชีพ เพลงพ้ืนบา้ นภาคใตท้ ่ีสาคญั ๆไดแ้ ก่ เพลงเรือ เพลงบอก เพลงนา เพลงกล่อมนาคหรือแห่นาค และเพลงร้องเรือหรือเพลงชานอ้ งซ่ึงเป็นเพลงกล่อมเด็กเพลงเรือ เป็นเพลงพ้นื บา้ นประเภทหน่ึง ใชเ้ ล่นในเรือ นิยมเล่นในเดือนสิบเอด็ หรือเดือนสิบสองหลงั ออกพรรษาแลว้ ภาคใตจ้ ะมีงานประเพณีชกั พระหรือแห่พระ ผเู้ ล่นเพลงเรือเป็ นชาวบา้ นท่ีอยใู่ กลแ้ มน่ ้า ลาคลองหรือทะเลสาบ เช่น อาเภอไชยา อาเภอเกาะสมุย อาเภอทา่ ชนะ จงั หวดั สุราษฎร์ธานี อาเภอหาดใหญ่ อาเภอเมืองฯ อาเภอรัตภูมิ จงั หวดั สงขลา และจงั หวดั ชุมพร การเล่นเพลงเรือ มีเรือเพลงฝ่ ายชายและฝ่ ายหญิง โดยเริ่มตน้ ร้องกลอนไหวค้ รูก่อน จากน้นั กว็ า่ กลอน ชกั ชวนเรือเพลงอีกฝ่ ายใหม้ าร้องเล่นกนั แลว้ ร้องโตต้ อบกนั ดว้ ยปฏิภาณไหวพริบ ท้งั ในเชิงเก้ียวพาราสี โตค้ ารมอยา่ งเผด็ ร้อน และกระเซา้ เยา้ แหยก่ นั มกั นาเอา
เหตุการณ์บา้ นเมือง หรือสภาพแวดลอ้ มมาสอดแทรกในเน้ือร้อง เพื่อใหเ้ กิดอารมณ์ขนั หรือเสียดสีประชดประชนั กนั ในระหวา่ งท่ีร้องเพลงเรือน้นั ผพู้ ายตอ้ งพายใหเ้ ขา้ กบั จงั หวะของเพลงดว้ ย การร้องเล่นเพลงเรือตัวอย่าง เพลงเรือ เพลงเรือสงขลา ข้ึนขอ้ ต่อกล่าว ถึงสาวทุกวนัแตง่ ตวั กวดขนั ในวนั ประชุมตุม้ หูพหู่ อ้ ย สาวนอ้ ยหนุ่มหนุ่มสองเตา้ เตง่ ตุม เหมือนพุม่ มาลาถา้ ไดพ้ ชี่ าย จะจบู ซา้ ยจูบขวาสาวนอ้ ยงามสรรพ ดบั กายไวท้ า่ถึงวนั ออกษา พี่จะพาเจา้ ไปวธิ ีร้อง ตน้ เสียงจะร้องนา และลูกคูร่ ับ ซ่ึงจะร้องซ้ากบั ตน้ เสียง
Search
Read the Text Version
- 1 - 10
Pages: