Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 3) การนำหลักสูตรไปใช้

3) การนำหลักสูตรไปใช้

Published by wasana.wit, 2019-03-30 01:14:01

Description: 3) การนำหลักสูตรไปใช้

Search

Read the Text Version

การนาหลักสูตรไปใช้ (Curriculum Implementation) TP503 นวตั กรรมหลกั สตู ร 1 | ห น้ า

การนาหลกั สตู รไปใช้ (Curriculum Implementation) การนาหลักสูตรไปใช้ เป็นข้ันตอนที่สาคัญยิ่งในการพัฒนาหลักสูตร เพราะเป็นการนาอุดมการณ์ จุดหมายของหลักสูตร เนื้อหาวิชา และประสบการณ์การเรียนรู้ที่กล่ันกรองอย่างดีแล้วไปสู่ผู้เรียน ขั้นตอน การนาหลักสูตรไปใช้ มีความสาคัญยิ่งกว่าขั้นตอนตอนใดๆท้ังหมด เป็นตัวบ่งช้ีถึงความสาเร็จหรือความ ลม้ เหลวของหลกั สูตร ถึงแมห้ ลกั สตู รจะสร้างไวด้ เี พียงใดกต็ าม ยงั ไม่สามารถจะกล่าวได้ว่าประสบความสาเร็จ หรือไม่ ถ้าหากวา่ การนาหลักสตู รไปใชด้ าเนนิ ไปอยา่ ง ไม่ถูกตอ้ งหรือไม่ดเี พยี งพอ ความล้มเหลวของหลักสูตร ก็จะเกิดขึ้นอย่างหลีกเล่ียงไม่ได้เพราะฉะนั้นการนา หลักสูตรไปใช้ จึงมีความสาคัญที่ผู้เก่ียวข้องในการนา หลักสูตรไปใช้ จะต้องทาความเข้าใจกับวิธีการขั้นตอนต่างๆ เพื่อให้สามารถนาหลักสูตรไปใช้อย่างมี ประสิทธิผลสงู สุดตามความมุ่งหมายทุก ประการ ความหมายของการนาหลกั สูตรไปใช้ การนาหลักสูตรไปใช้ เป็นขั้นตอนท่ีนาหลักสูตรไปสู่การปฏิบัติ ความหมายของคาว่า การนา หลักสูตรไปใช้มีแตกต่างกันออกไป นักการศึกษาหลายท่านได้ให้ความหมาย คานิยาม ของคาว่าการนา หลักสตู รไปใชด้ งั น้ี โบแชมป์ (Beauchamp,1975:164) ได้ให้ความหมายของการนาหลักสูตรไปใช้ว่า การนาหลักสูตร ไปใช้ หมายถึง การนาหลักสูตรไปปฏิบัติ โดยกระบวนการที่สาคัญท่ีสุด คือการแปลงหลักสูตรไปสู่การ สอน การจดั สภาพสง่ิ แวดล้อมในโรงเรยี นใหค้ รไู ด้มพี ฒั นาการเรียนการสอน สันติ ธรรมบารุง (2527.120) กล่าวว่า การนาหลักหลักสูตรไปใช้ หมายถึง การที่ผู้บริหารโรงเรียน และครูนาโครงการของ หลักสตู รทเ่ี ป็นรปู เลม่ น้ันไปปฏิบัตใิ ห้บังเกิดผล รวมถึงการบริหารงานด้านวิชาการของ โรงเรียนเพื่ออานวยความสะดวกใหค้ รแู ละนัก เรียน สามารถสอนและเรยี นได้อย่างมปี ระสิทธิภาพ สงัด อุทรานันท์ (2535.260) ได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับการนาหลักสูตรไปใช้ว่า เป็นข้ันตอนของการ พัฒนาหลักสูตรไปสู่การเรียนการสอนในห้องเรียน ได้แก่การจัดเอกสารประกอบหลักสูตร การเตรียม บคุ ลากร การบรหิ ารและบริการหลกั สูตร และการนเิ ทศการใช้หลักสตู ร ธารง บัวศรี (2504.165) กล่าวว่า การนาหลักสูตรไปใช้ หมายถึงกระบวนการเรียน การสอน สาหรับสอนเปน็ ประจาทกุ ๆวนั สุมิตร คุณากร (2523) กลา่ ววา่ การนาหลักสตู รไปใชเ้ ปน็ การรวมกจิ กรรม 3 ประเภท โดยได้อธิบาย กจิ กรรมทัง้ 3 ประเภทดงั นี้ 1. การแปลงหลักสูตรไปสู่การสอน หลักสูตรระดับชาติจะกาหนดจุดหมาย เน้ือหาวิชา การ ประเมินผลไวอ้ ย่างกว้างๆ ครูจงึ ไมส่ ามารถนาหลักสตู รไปสอนไดห้ ากยังไมม่ กี ารดดั แปลงให้เหมาะ 2. การจดั ปัจจัยและสภาพต่างๆภายในโรงเรียนใหห้ ลักสตู รบรรลถุ งึ เปา้ หมาย การนาหลักสูตรมา ปฏิบัติน้ันเกิดขึ้นที่โรงเรียน ผู้บริหารควรสารวจปัจจัยและสภาพต่างๆของโรงเรียนว่าเหมาะสมกับการนา หลักสูตรมาปฏบิ ัตหิ รอื ไม่ 2 | ห น้ า

3. การสอนของครู การเอาใจใส่ต่อการสอนให้สอดคล้องกับจุดมุ่งหมายของหลักสูตร การเลือก วิธีการสอนที่เหมาะสม เหล่าน้ีเป็นปัจจัยท่ีจะช้ีชะตาหลักสูตรท้ังสิ้น ส่วนผู้บริหารก็ต้องคอยให้ความสะดวก และกาลงั ใจแก่ครู สงัด อุทรานันท์ (2532) กล่าวว่า ระบบการใช้หลักสูตรเป็นระบบย่อยในการพัฒนาหลักสูตร ประกอบด้วย ระบบการร่างหลักสูตร ระบบการใช้หลักสูตร ระบบการประเมินหลักสูตร ในส่วนการใช้ หลักสตู รมงี านหลกั ที่เก่ียวขอ้ งอยู่ 3 ลักษณะ คอื 1. งานบริหารและการบริการหลักสูตร คือ การดาเนินการในเร่ืองการเตรียมบุคลากรก่อนท่ีจะนา หลักสูตรไปใช้ โดยการจัดให้มีการให้ความรู้หรือช้ีแจงให้ผู้ท่ีจะใช้หลักสูตรเข้าใจถึงจุดหมาย หลักการ โครงสรา้ ง แนวทางจัดกิจกรรมการเรียนการสอนและวัดประเมนิ ผลตามหลกั สูตรที่ไดจ้ ดั ทาขึ้น 2. งานดาเนินการเรียนการสอนตามหลักสูตร เร่ิมตั้งแต่ปรับปรุงหลักสูตร ทาแผนการสอน ไปสู่ ภาคปฏบิ ัติ จดั กิจกรรมการเรียนการสอน การวัดประเมนิ 3. งานสนับสนุนและส่งเสริมการใช้หลักสูตร ได้แก่ การนิเทศและติดตามเพื่อติดตามผลการใช้ หลักสตู รในโรงเรยี นวา่ ดาเนินการด้วยความถูกต้องหรือมีปัญหาเกิดข้ึนหรือไม่ นอกจากน้ีอาจให้การสนับสนุน และส่งเสรมิ การใชห้ ลักสตู รด้วยการตงั้ ศนู ย์วชิ าการหรือจดั ตัง้ โรงเรียนตัวอย่าง จากความหมายของการนาหลักสูตรไปใช้ ตามท่ีนักการศึกษาได้ให้ไว้ข้างต้น พอจะสรุปได้ว่า การนา หลกั สูตรไปใช้ หมายถึง การดาเนนิ งานและกิจกรรมต่างๆ ที่จะทาให้หลักสูตรที่สร้างขึ้นดาเนินไปสู่การปฏิบัติ เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย นับแต่การเตรียมบุคลากร อาคาร สถานท่ี วัสดุอุปกรณ์ สภาพแวดล้อม และการ จดั การเรียนการสอนในโรงเรียน แนวคิดเกย่ี วกับการนาหลกั สตู รไปใช้ ถ้าเรายอมรับว่าการนาหลักสตู รไปใชเ้ ปน็ ข้ันตอนหนึ่งท่ีสาคญั ท่สี ุดทจี่ ะทาใหห้ ลกั สตู ร เกิดผลต่อการใช้อย่างแท้จริงแล้ว การนาหลักสูตรไปใช้ก็ควรจะเป็นวิธีการปฏิบัติท่ีมีหลักเกณฑ์ และมี กระบวนการปฏิบัติท่ีมีประสิทธิภาพ พอท่ีจะมั่นใจได้ว่า หลักสูตรท่ีได้สร้างขึ้นน้ัน จะมีโอกาสนาไปปฏิบัติ จริงๆอยา่ งแน่นอน นักการศกึ ษาต่างกใ็ หท้ ัศนะซึ่งเปน็ แนวคิดในการนาหลักสูตรไปใชด้ ังนี้ โบแชมป์ (Beauchamp,1975.164-169) กล่าวว่า ส่ิงแรกที่ควรทาคือ การจัดสภาพแวดล้อมของ โรงเรียน ครูผู้นาหลักสูตรไปใช้มีหน้าที่แปลงหลักสูตรไปสู่การสอน โดยใช้หลักสูตรเป็นหลักในการพัฒนา กลวธิ กี ารสอน สิ่งที่ควรคานึงถึงในการนาหลักสูตรไปใช้ให้เห็นผลตามเป้าหมาย คือ ครูผู้สอนควรมีส่วนร่วม ในการร่างหลกั สตู ร ผู้บรหิ าร ครใู หญต่ ้องเหน็ ความสาคญั และสนบั สนนุ การดาเนินการใหเ้ กิดผลสาเร็จ วิชยั วงษ์ใหญ่ (2521) กล่าวว่า การนาหลักสูตรไปใชค้ วรมี 8 ขนั้ ตอน ดงั นี้ 1. การเตรียมวางแผนงานเพื่อใช้หลักสูตรใหม่ ผู้บริหารจะต้องศึกษาวิเคราะห์หลักสูตรในเร่ือง จดุ มงุ่ หมายท่แี ทจ้ ริง 2. การเตรยี มการจดั อบรมครเู พื่อใชห้ ลักสูตรใหม่ จะตอ้ งพิจารณาวางโครงการฝึกอบรมให้ชัดเจน และมีข้นั ตอน 3 | ห น้ า

3. การจัดครเู ขา้ สอน ครจู ะต้องมองเหน็ ความสาคัญและกา้ วให้ทันกบั เหตุการณ์ 4. การจัดตารางการสอน ควรคานึงถึงความเหมาะสมในเร่ืองระดับความยากง่าย วัย ความสามารถของผู้เรยี น ตลอดจนชัว่ โมงการสอนของครู 5. การจัดบริการวัสดุประกอบหลักสูตรและส่ือการเรียน ได้แก่การทาโครงการสอน แผนการสอน พฒั นาค่มู อื ครู แบบเรยี นและสอื่ การเรียน ซึง่ ตอ้ งอาศยั บุคคลหลายฝ่ายชว่ ยเหลือ 6. การประชาสัมพันธก์ ารใชห้ ลักสตู ร เพ่อื ให้ประชาชนในชุมชนได้ทราบว่าการใชห้ ลกั สตู รใหม่นั้น ลูกหลานของเขาหรือตวั เขาจะเกิดการเปลย่ี นแปลงอย่างไรในการเรียนรู้ 7. การจัดสภาพแวดล้อมและการเลือกสรรโครงการกิจกรรมหลักสูตร ได้แก่สภาพแวดล้อมและ กิจกรรมภายนอกห้องเรยี น ถา้ ไดเ้ ลอื กสรรอยา่ งดจี ะกอ่ ให้เกดิ ประโยชน์อยา่ งมากต่อครแู ละนักเรียน 8. การจดั โครงการประเมินผลการใช้หลักสูตรและการปรบั ปรุงหลักสูตร เป็นส่ิงสาคัญและต้องทา เปน็ ขั้นตอน ธารง บัวศรี (2504.165-195) ได้สรุปช้ีให้เห็นปัจจัยที่จะนาไปสู่ความสาเร็จ ของการนาหลักสูตรไป ใช้ไวว้ ่า ควรคานึงถึงส่ิงตอ่ ไปนี้คอื 1. โครงการสอน เช่น การวางโครงการสอนแบบหน่วย ( Unit Organization of Instruction, Teaching Unit) ประเภทของหน่วยการสอนมี 2 ประเภท คือ หน่วยรายวิชา (Subject Matter Unit) และ หน่วยประสบการณ์ (Experience Unit) หน่วยวิทยาการ (Resource Unit) เป็นแหล่งให้ความรู้แก่ครู เช่น เอกสารคมู่ ือ และแนวการปฏบิ ตั ติ ่างๆ 2. องค์ประกอบอ่ืนๆ ที่ช่วยในการสอน เช่น สถานที่และเครื่องมือเครื่องใช้ อุปกรณ์ การเรียน การสอน วิธีการสอน และวัดผลการศึกษา กิจกรรมร่วมหลักสูตร การแนะแนวและ การจัดและบริหาร โรงเรยี น เป็นต้น การนาหลักสูตรไปใช้เป็นงานหรือกิจกรรมท่ีเกี่ยวข้องกับบุคคลหลายฝ่าย ตั้งแต่ผู้บริหารระดับ กระทรวง กรม กอง ผ้บู ริหารระดับโรงเรยี น ครผู ู้สอน ศึกษานิเทศก์ และบุคคลอื่นๆขอบเขตและงานของ การนาหลกั สูตรไปใชเ้ ปน็ งานทม่ี ีขอบเขตกว้าง ขวาง เพราะฉะนัน้ การนาหลักสูตรไปใช้จึงเป็นส่ิงที่ต้องทาอย่าง รอบคอบและระมดั ระวัง หลกั การสาคัญในการนาหลักสตู รไปใช้ หลักการสาคญั ในการนาหลักสตู รไปใช้ได้ดงั นี้ 1. มีการวางแผนและเตรียมการในการนาหลักสูตรไปใช้ ผู้มีส่วนเก่ียวข้องควรจะได้ศึกษา วิเคราะห์ ทาความเข้าใจหลักสูตรที่จะนาไปใช้ ให้มีความเข้าใจตรงกันเพื่อให้การปฏิบัติ เป็นไป ในทานอง เดยี วกันและสอดคล้องต่อเนอ่ื งกัน 2. มีคณะบุคคลทั้งส่วนกลางและส่วนท้องถ่ินที่จะต้องทาหน้าท่ีประสานงานกันเป็นอย่างดี ในแต่ละ ขั้นตอนในการนาหลกั สตู รไปใช้ 4 | ห น้ า

3. ดาเนินการอย่างเป็นระบบเป็นไปตามข้ันตอนท่ีวางแผนและเตรียมการไว้การนา หลักสูตรไป ใช้จะต้องคานึงถึงปัจจัยสาคัญ ที่จะช่วยให้การนาหลักสูตรไปใช้ประสบความสาเร็จได้ ปัจจัยต่างๆ ได้แก่ งบประมาณ วสั ดุอปุ กรณ์ เอกสารหลักสูตรต่าง ตลอดจนสถานท่ตี า่ งๆ ทีจ่ ะเป็นแหล่งให้ความรู้ประสบการณ์ ตา่ งๆ ส่ิงเหล่านี้จะต้องได้รบั การจดั เตรยี มไว้เป็นอย่างดี และพรอ้ มที่จะให้การสนับสนุนไดเ้ มื่อได้รับการร้องขอ 4. ครูเป็นบุคลากรท่ีสาคัญในการนาหลักสูตรไปใช้ ดังน้ันครูจะต้องได้รับการพัฒนาอย่างเต็มท่ีและ จริงจงั ต้งั แตก่ ารอบรมความรู้ ความเขา้ ใจ ทักษะและเจตคตเิ กี่ยวกบั การใชห้ ลกั สูตรอยา่ งเข้มข้น 5. การนาหลักสูตรไปใช้ควรจัดตั้งให้มีหน่วยงานท่ีมีผู้ชานาญการพิเศษ เพื่อให้การสนับสนุนและ พฒั นาครู โดยการทาหน้าท่นี เิ ทศ ตดิ ตามผลการนาหลกั สตู รไปใช้ และควรปฏบิ ัตงิ านร่วมกบั ครูอย่างใกล้ชิด 6. หนว่ ยงานและบคุ ลากรในฝา่ ยต่างๆ ทเี่ กี่ยวข้องกับการนาหลกั สูตรไปใช้ ไม่ว่าจะเป็นส่วนกลางหรือ ส่วนทอ้ งถิ่นตอ้ งปฏบิ ัตงิ านในบทบาทหนา้ ท่ีของตน อยา่ งเตม็ ทแ่ี ละเตม็ ความ สามารถ 7. การนาหลักสูตรไปใช้สาหรับผู้ที่มีบทบาทเก่ียวข้องทุกฝ่าย ทุกหน่วยงาน จะต้องมีการติดตามและ ประเมินผลเป็นระยะๆ เพื่อจะได้นาข้อมูลต่างๆ มาประเมินวิเคราะห์ เพ่ือพัฒนาท้ังในแง่การปรับปรุง เปล่ยี นแปลง และการวางแนวทางในการนาหลกั สตู รไปใช้ ใหม้ ีประสิทธิภาพ ดียิง่ ขน้ึ กจิ กรรมที่เกี่ยวข้องกบั การนาหลักสตู รไปใช้ 1. การแปลงหลกั สตู รไปสู่การสอน คือ การตีความหมายและกาหนดรายละเอียดของหลักสูตรโดยจะ ดาเนินการในรูปของเอกสาร ประกอบหลกั สูตร และวัสดุอุปกรณ์การสอน เชน่ โครงการสอน ประมวลการสอน คู่มือครูเป็นต้น 2. การจดั ปัจจยั และสภาพตา่ งๆภายในโรงเรียนเพ่ือให้หลักสูตรบรรลุเป้าหมาย ผู้บริหารโรงเรียนควร สารวจปจั จัยและสภาพตา่ งๆของโรงเรียนว่า เหมาะสมกบั สภาพการนาหลกั สตู รมาปฏบิ ตั หิ รอื ไม่ 3. การสอนซึ่งเป็นหน้าที่ของครูประจาการ ถือว่าเป็นหัวใจสาคัญของการนา หลักสูตร ไปใช้ ครู ตอ้ งสอนให้สอดคลอ้ งกับจุดมงุ่ หมายของหลักสูตร เลอื กวธิ ีสอนใหเ้ หมาะสม โดยมผี บู้ ริหารคอยให้ความสะดวก ใหค้ าแนะนาและใหก้ าลังใจ หน้าท่ีของผู้บริหารและผู้สอนในการใชห้ ลักสูตร ผทู้ เ่ี กี่ยวข้องกบั การใช้หลักสตู รในโรงเรยี นมหี ลายกล่มุ แตท่ ่ีเกย่ี วข้องโดยตรงและจะส่งผลต่อการ จะทาให้บรรลุจุดหมายของหลักสูตรหรือไม่ มี 2 กลุ่ม คือผู้บริหารและผู้สอน หน้าที่ ท่ีสาคัญของผู้บริหาร และผสู้ อนในการใชห้ ลกั สตู รมดี งั น้ี หนา้ ที่ของผบู้ รหิ าร 1. เปน็ ผู้นาในการใช้หลกั สูตรและการเปลี่ยนแปลงการแกไ้ ขหลักสตู ร 2. ศึกษาและทาความเข้าใจในหลักสูตรอย่างกระจ่าง สามารถควบคุมดูแลและให้คาแนะนาแก่ผู้สอน ให้ดาเนนิ การจนบรรลจุ ุดมุ่งหมายของหลกั สูตร 3. กาหนดมาตรการและแนวปฏบิ ตั ใิ นการใชห้ ลักสูตร 4. จัดหาวสั ดหุ ลกั สูตรทีท่ นั สมยั และใหม้ ีจานวนเพียงพอต่อจานวนผู้สอน 5 | ห น้ า

5. ควบคุมดูแลติดตามผลการใช้หลักสูตร สนับสนุนส่งเสริมและนิเทศการใช้หลักสูตรและการสอน ใหก้ าลงั ใจ และชว่ ยแก้ไขปัญหาท่ีเกดิ ข้นึ 6. ประเมนิ ผลการใช้หลกั สูตรและพัฒนาหลกั สตู รสาหรบั โรงเรยี นของตน หนา้ ท่ีของผ้สู อน 1. ใชห้ ลกั สตู รตามทไี่ ดร้ ับมอบหมาย 2. ศึกษาและทาความเข้าใจองค์ประกอบของหลกั สตู รทุกสว่ น รวมท้ังวัตถุประสงค์ ของกลุ่มวิชา จุดประสงค์รายวิชาและคาอธิบายรายวิชา และจัดการเรียนการสอนที่ได้รับมอบหมายได้สอดคล้องกับ จุดมุ่งหมายของหลกั สูตร 3. ปฏบิ ัติตามแนวทางท่โี รงเรยี นกาหนด 4. ใชว้ สั ดหุ ลักสตู รอยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ 5. วเิ คราะหห์ ลักสตู ร แปลและตคี วามหลักสตู รส่แู นวปฏิบตั ิและเลอื กใชเ้ ทคนคิ การสอน ทเี่ หมาะสม 6. ประเมินผลการเรียนการสอนเพื่อนาไปสกู่ ารประเมินผล การใช้หลักสูตร และ การพัฒนา หลักสูตร การให้บรกิ ารและการจดั ทาวัสดหุ ลกั สตู ร ผู้บริหารในฐานะผู้นาการใช้หลักสูตร ซึ่งนอกจากจะต้องทาความเข้าใจเกี่ยวกับหลักสูตรแล้วยัง ตอ้ งทาหน้าท่ใี นการ บรหิ ารหลักสตู รดว้ ย ในหน้าทีน่ ง้ี านแรกและเป็นงานท่ีสาคัญก่อนเริ่มงานอย่างอ่ืน ๆ ก็คือ การหาวธิ ีการท่ีจะทาให้ผู้สอนและผู้เกี่ยวข้องมีความรู้ความเข้าใจในหลักสูตร กิจกรรมท่ีสามารถทาได้มีหลาย วิธี เช่น อาจใช้วิธีช้ีแจงให้ทราบเป็นลายลักษณ์อักษร อาจเรียกประชุมช้ีแจง หรือจัดบรรยาย อบรม หรือ สัมมนาเกี่ยวกับความรู้ทางด้านหลักสูตรและแนวทางปฏิบัติ รวมตลอดท้ังการประชุมเชิงปฏิบัติในการแปลง หลักสตู รไปสกู่ ารสอน ข้อเท็จจริงประการหนึ่งท่ีทาให้การใช้หลักสูตรท่ีผ่านมาไม่ประสบผลสาเร็จเท่าท่ีควร และบางคร้ัง อาจจะล้มเหลวก็เนือ่ งจากวา่ ผูส้ อนซงึ่ จะต้องเป็นผู้ที่แปลงหลกั สตู รไปสู่การปฏิบัติ น้ันไม่เคยเห็นหลักสูตร ไม่ เคยใชห้ ลกั สูตร คดิ วา่ แบบเรียนในรายวชิ าที่ได้รับมอบหมายใหส้ อน คอื หลกั สตู ร หากสอนเนื้อหาในแบบเรียน ได้ครบถ้วนก็หมายความว่าสอนได้ครบตามหลักสูตรแล้ว ที่เป็นเช่นน้ีอาจจะเนื่องมาจาก หนังสือหลักสูตรใน โรงเรียนมจี านวนไมเ่ พียงพอ วัสดหุ ลักสตู รมีไม่ครบถ้วนและมีจานวนไม่เพียงพอ หรือมีแต่ไม่ทันสมัย ผู้สอนไม่ รู้จักหรือไม่สนใจและ ไม่นาไปใช้ ขาดการกระตุ้นหรือแรงย่ัวยุในการจัดทาวัสดุหลักสูตร ฯลฯ ดังน้ัน ผบู้ ริหารจึงตอ้ งให้บรกิ ารและสนบั สนุนในการจดั ใหม้ กี ารทาวัสดหุ ลกั สูตร ด้วย ปญั หาในการนาหลักสตู รไปใช้ 1. ปัญหาดา้ นครู 1.1 ครูขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับหลักสูตร และขาดหลักสูตรกับเอกสารประกอบหลักสูตร เช่น คมู่ อื การใช้หลักสตู ร ฯลฯ ซงึ่ ทาใหก้ ารสอนของครูไมม่ ปี ระสทิ ธิภาพเท่าทคี่ วร 6 | ห น้ า

1.2 ครูไม่ยอมเปลี่ยนพฤติกรรมการสอนให้สอดคล้องกับหลักสูตร ยังคงยึดถือวิธีสอนแบบ “ยึดตัวครู เป็นศนู ย์กลาง” ในการสอน 1.3 ครูไม่มเี วลาศึกษาหลักสูตรกอ่ นสอน 2. ปัญหาดา้ นผบู้ ริหารโรงเรยี น 2.1 ผู้บริหารมีความรู้ความเข้าใจในหลักสูตรน้อย ทาให้ไม่สามารถสนับสนุน การจัด กิจกรรมการเรยี นการสอนไดด้ ีเทา่ ทีค่ วร 2.2 ผบู้ รหิ ารไมม่ ีความรู้ความสามารถในการนิเทศและการให้คาแนะนาเกี่ยวกับการใช้ หลักสูตรแก่ ครู และ/หรอื นิเทศน้อยไม่ท่ัวถงึ และไม่ต่อเนื่อง 2.3 ผู้บริหารไม่ได้ให้การสนับสนุนการใช้หลักสูตรของคณะครู เช่น การจัดหาเอกสารประกอบ หลกั สูตรประเภทตา่ ง ๆ และการจัดหาจดั ทาวัสดุอุปกรณก์ ารเรียนการสอนให้เพียงพอ กับความต้องการของ ครู การจัดครเู ขา้ สอนไม่เหมาะสม การไมไ่ ด้สนบั สนนุ การพฒั นาบุคลากร ในโรงเรียน เปน็ ตน้ 3. ปัญหาดา้ นศกึ ษานเิ ทศก์ 3.1 ศึกษานเิ ทศก์นิเทศการใช้หลกั สตู รในโรงเรยี นต่าง ๆ ไม่ทั่วถึง 3.2 ศกึ ษานิเทศก์ไมม่ ีความรคู้ วามเข้าใจเกย่ี วกับหลักสูตรอยา่ งถ่องแท้ 3.3 ศกึ ษานเิ ทศกไ์ มม่ คี วามรูค้ วามสามารถในการนิเทศและให้คาแนะนาแก่ครทู ี่ดเี ท่าทีค่ วร 4. ปญั หาดา้ นหน่วยงานส่วนกลาง ระดับจงั หวัด และระดับอาเภอ 4.1 สง่ เอกสารหลกั สตู รและเอกสารประกอบลา่ ช้า และไมเ่ พยี งพอต่อความต้องการของโรงเรียน 4.2 ขาดการประชาสัมพันธ์หลักสูตร โดยเฉพาะกับผู้ปกครองทาให้ไม่ได้รับความร่วมมือเกี่ยวกับ การใช้หลกั สูตร 4.3 ขาดงบประมาณท่ีจะสนบั สนนุ การใชห้ ลกั สูตร 4.4 การฝึกอบรมให้ความรู้และทักษะเกี่ยวกับการนาหลักสูตรไปใช้แก่ครูและบุคลากร ท่ี เกย่ี วขอ้ งยังไมท่ ว่ั ถงึ และ/หรือไมต่ รงกบั ความตอ้ งการของครูและบุคลากรที่เกยี่ วขอ้ ง ตวั อย่างปัญหาการนาหลักสูตรไปใช้ สาหรับประเทศไทย จากรายงานผลการศึกษาของ TIMSS พบว่า นักเรียนไทยในระดับประถมศึกษามีผลสัมฤทธ์ิ ทางการ เรียนวิชาคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ต่ากว่าคะแนนเฉลี่ยของนักเรียนนานาชาติ ประกอบ กับการศึกษา รายงานผลการศึกษาเปรียบเทียบทางคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ในครั้งน้ี มีส่ิงที่ ประเทศไทยควรพิจารณา ปรบั ปรงุ การเรียนการสอนคณิตศาสตร์และวทิ ยาศาสตรด์ ังตอ่ ไปนี้ 1. ด้านหลกั สูตร 1.1 ประเทศที่นักเรียนมีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนสูงในวิชาคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์มีการลด เนื้อหาในหลักสูตรลง 10-30% เพ่ือให้มีเวลาพอที่จะให้นักเรียนเรียนด้วยการปฏิบัติและสร้างความรู้ด้วย ตนเองมากขึ้น ประเทศไทยจึงไม่ควรท่ีจะเพ่ิมเน้ือหาของหลักสูตร ให้มากข้ึนในการปรับปรุงหลักสูตรใหม่ 7 | ห น้ า

น อ ก จ า ก จ ะ จั ด ใ ห้ มี เ ว ล า เ รี ย น ใ น วิ ช า ค ณิ ต ศ า ส ต ร์ แ ล ะ วิ ท ย า ศ า ส ต ร์ อ ย่ า ง เ พี ย ง พ อ 1.2 ควรจัดทาเอกสารหลักสูตรที่ชัดเจนและเสนอแนะแนวปฏิบัติแก่ครูอย่างเพียงพอเน่ืองจากครูท่ี สอนในระดับประถมศึกษาไม่ได้รับการเตรียมมาสาหรับการสอนคณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ 1.3 ควรมีการจัดเตรียมวัสดุและส่ือการศึกษาโดยเฉพาะอย่างย่ิงหนังสือเรียน คู่มือครู อุปกรณ์และ เ ค รื่ อ ง มื อ ท ด ล อ ง ใ ห้ พ ร้ อ ม ส า ห รั บ ค รู ก่ อ น ก า ร น า ห ลั ก สู ต ร ใ ห ม่ ไ ป ใ ช้ 1.4 ควรมกี ารเตรียมการก่อนการนาหลักสูตรใหม่ไปใช้ล่วงหน้าให้นานตามสมควรเช่นจัดให้หลักสูตร ใหม่ถึงมือครูก่อนการประกาศใช้เป็นเวลา 1-2 ปี มีการอบรมครูอย่าง เข้มข้นและท่ัวถึงก่อนเวลาประกาศใช้ หลักสูตร จัดเตรียมหนังสือเรียนและวัสดุประกอบ การสอนล่วงหน้า และจัดให้มีระบบการให้คาปรึกษาหรือ นิเทศการสอนที่มปี ระสทิ ธภิ าพ 2. ด้านการฝึกหัดครแู ละการอบรมครปู ระจาการ 2.1 ครูประถมศึกษาในประเทศท่ีนักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์สูง มพี ้ืนความรู้ทางคณติ ศาสตรแ์ ละวิทยาศาสตร์ดีพอสมควร เพราะส่วนใหญ่ เรียนคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ จนถงึ ชั้นปีสุดท้ายในโรงเรียนมัธยมศึกษา ซ่ึงแตกต่าง จากประเทศไทยท่ีผู้เรียนครูประถมจานวนมากไม่ได้จบ การศึกษาในสายวิทยาศาสตร์-คณิตศาสตร์ จากโรงเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย ผู้ท่ีเรียนครูวิชาเอกทาง ประถมศึกษาจานวนมากจึงมีพ้ืน ความรู้ทางคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ไม่เพียงพอ และหลักสูตรฝึกหัดครู ประถมศึกษาก็ ไม่ได้จัดโปรแกรมการเรียนเพ่ือเติมเต็มความรู้ด้านเนื้อหาของนักศึกษาให้เพียงพอ ดังน้ันครู ประถมศกึ ษาในประเทศไทยจงึ มกั จะมีปญั หาและขาดความมั่นใจในการสอน คณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ สิ่ง ทีป่ ระเทศไทยควรจะกระทาคอื ควรกาหนดคณุ สมบัติของ ผ้ทู จ่ี ะเรยี นเป็นครูสอนคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ ในระดับประถมศึกษาต้องเรียนคณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์จนถึงช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 6 และสถาบันฝึกหัดครู ควรมกี ารฝึกอบรมผู้ท่จี ะ เปน็ ครูคณติ ศาสตร์และวิทยาศาสตร์ในระดับประถมศึกษาโดยเฉพาะเพ่ือให้มีความรู้ และ ทักษะเพียงพอสาหรบั การสอนคณิตศาสตร์และวทิ ยาศาสตร์ในระดบั ประถมศึกษา 2.2 สถาบันการฝึกหัดครูในระดับประถมศึกษาควรจัดประสบการณ์ให้นักศึกษาได้สังเกต การสอน จากครทู ี่เปน็ ตัวแบบทีด่ ี ทางการสอนเพ่ือใหน้ ักศึกษาได้เห็นตัวอย่างการสอนที่ดี เพื่อนาไปปฏบิ ตั ิในอนาคต 2.3 ควรพิจารณากาหนดมาตรการต่างๆในการที่จะทาให้มีผู้สนใจมาเรียนครูมากขึ้น เช่นการให้ ค่าตอบแทนและสวัสดิการสูงขึ้น หรือจัดแนวทางการเลื่อนตาแหน่งในอาชีพครู ให้จูงใจให้มีผู้มาประกอบ อาชพี ครมู ากขึน้ 2.4 ประเทศไทยควรคิดหาวิธีการอบรมครูประจาการท่ีมีประสิทธิภาพโดยใช้งบประมาณไม่มากนัก เช่นจัดการนิเทศภายในโรงเรียนที่มีประสิทธิภาพ การให้มีระบบการทางานร่วมกันเป็นคณะของครูเพ่ือจะได้มี การปรกึ ษาหารือแลกเปลีย่ นความรูแ้ ละ ประสบการณซ์ ่ึงกันและกัน โปรแกรมการฝึกอบรมครูประจาการที่จะ จัดให้แก่ครูก็ควรจัด ให้มีการอบรมในเร่ืองเนื้อหาให้มากขึ้นด้วยแทนที่จะอบรมเร่ืองวิธีสอนเท่าน้ัน ท้ังน้ี เนือ่ งจากครปู ระถมส่วนใหญ่ยงั ขาดความพร้อมในดา้ นเนื้อหาทางคณิตศาสตรแ์ ละวิทยาศาสตร์ 8 | ห น้ า

3. ดา้ นกระบวนการเรยี นการสอน กระบวนการเรียนการสอนของประเทศที่นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์และ วทิ ยาศาสตร์สูงจะเนน้ การสอนในแนวท่ีให้นกั เรยี นสร้างความรู้เอง เน้นการปฏิบัติและความสอดคล้องกับชีวิต จรงิ ของผเู้ รียน ซ่ึงสอดคล้องกับพระราช บัญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 แต่ก็ยังมีประเด็นต่างๆที่อาจเป็น ปัญหา/อุปสรรค ในทางปฏิบัติหลายประการ เช่น ความพร้อมและความเข้าใจของครูต่อการเรียน การสอน ตามแนวใหม่ เนื้อหาในหลักสูตรอาจมีมากเกินไปสาหรบั เวลาในการสอน ท่ีอานวยให้ จานวนนักเรียนในแต่ละ ห้องมีมากเกินไปสาหรับการทากิจกรรมการเรียน การสอน อุปกรณ์การสอนและส่ิงอานวยความสะดวกยังไม่ พรอ้ ม การนิเทศการสอน และการให้คาแนะนาปรึกษายงั ดาเนินการไมท่ ่วั ถึง ฯลฯ ในการจัดกระบวนการเรียน การสอนในประเทศไทยควรเน้นการสอนให้นักเรียนปฏิบัติจริงให้มากข้ึน มีการสอน ให้นักเรียนฝึกหัดวิจัยทาง วิทยาศาสตรเ์ บือ้ งต้นดว้ ยการใหท้ าโครงงานวทิ ยาศาสตร์ จัดกิจกรรมค่ายวิทยาศาสตร์ให้แก่นักเรียน เชิญผู้ที่มี ความรู้ทางคณิตศาสตร์และ วิทยาศาสตร์ท่ีมีอยู่ในชุมชนมาพบปะ สนทนา หรือสอนนักเรียนบ้าง และควรมี ปัจจัย อ่ืนที่ส่งเสริมการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์เช่นศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อ การศึกษาให้ทั่ว ประเทศ สรปุ ปญั หาการนาหลกั สตู รไปใช้ของไทยจากรายงานการวิจยั ของ TIMS 1. หลักสูตรมีเนื้อหามากเกินไป ทาให้ใช้เวลาเรียนในช้ันเรียนมาก นักเรียนไม่มีเวลาเรียนด้วยการ ปฏบิ ัตแิ ละสร้างความรดู้ ้วยตนเอง 2. ครูผู้สอนมีความรู้ในวิชาที่สอนไม่เพียงพอ รวมทั้งวิธีสอนเฉพาะทาง เช่น วิชาวิทยาศาสตร์ และ คณิตศาสตร์ ซึ่งต้องมีวิธีการสอนที่เหมาะสมกับลักษณะวิชาทาให้มีปัญหาและขาดความม่ันใจในการสอน จึง ควรมีการจัดเตรียมวัสดุและส่ือการศึกษาโดยเฉพาะอย่างย่ิงหนังสือเรียน คู่มือครู อุปกรณ์และเคร่ืองมือ ทดลองให้พร้อมสาหรับครูก่อนการนาหลักสูตรใหม่ไปใช้ ดังน้ันจึงควรกาหนดคุณสมบัติของผู้สอนวิชาต่าง ๆ ให้ชัดเจน 3. ครคู วรได้หลักสูตรใหม่ให้ถึงมือก่อนการประกาศใช้เป็นเวลา 1-2 ปี เพื่อมีเวลาเตรียมการก่อนการ นาหลักสูตรใหม่ไปใช้ และควรจัดให้มกี ารอบรมครูอยา่ ง เขม้ ขน้ และทวั่ ถงึ กอ่ นเวลาประกาศใช้หลักสตู ร 4. ครไู ม่มคี วามพร้อมและความเข้าใจต่อการเรียน การสอนตามแนวใหม่ 9 | ห น้ า

เอกสารอา้ งองิ ใจทพิ ย์ เชือ้ รัตนพงษ.์ (2539). การพัฒนาหลกั สูตร : หลกั การและแนวปฏบิ ตั ิ. กรุงเทพฯ: อลนี เพรส. ไชยยศ เรอื งสุวรรณ. (2533). เทคโนโลยีทางการศกึ ษา : ทฤษฎแี ละการวิจัย. กรงุ เทพฯ: โอเดียนสโตร.์ ทศพร สทิ ธิโชติ. การพัฒนาหลักสูตร การนาหลกั สตู รไปใช้ และการประเมนิ หลกั สตู ร. ธารง บัวศรี. (2542). ทฤษฎีหลักสูตร:การออกแบบและพัฒนา ประชมุ รอดประเสรฐิ . (2535). การบรหิ ารโครงการ. กรุงเทพฯ: เนติกุลการพิมพ.์ พสิ ณุ ฟองศร.ี (2549). การประเมินทางการศึกษา : แนวคดิ สูก่ ารปฏิบตั ิ. กรุงเทพฯ: เทียมฟา้ การพมิ พ์. เยาวดี รางชยั กุล วบิ ลู ย์ศรี. (2549). การประเมินโครงการ : แนวคดิ และแนวปฏบิ ตั .ิ กรุงเทพฯ: จฬุ าลงกรณ์ มหาวทิ ยาลัย. รัตนะ บวั สนธ.์ (2540). การประเมินผลโครงการ การวิจัยเชิงประเมิน. กรุงเทพฯ: คอมแพคท์พรน้ิ . รุจิร์ ภูส่ าระ. (2546). การพฒั นาหลักสูตรตามแนวปฏิรปู การศกึ ษา. กรุงเทพฯ: บุ๊ค พอยท.์ วราภรณ์ แผ่นทอง. (2548). การประเมนิ หลักสูตรสถานศึกษากลุ่มสาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์ช่วงชัน้ ท่ี 3 ของ สถานศึกษาเอกชน สานกั งานเขตพนื้ ทก่ี ารศึกษากรงุ เทพมหานคร เขต2. วิทยานิพนธ์ครศุ าสตรอุตสาหกรรม มหาบณั ฑิต สาขาวชิ าหลักสตู รและการสอนอาชวี ศึกษา: บัณฑติ วทิ ยาลัย สถาบันเทคโนโลยพี ระจอมเกล้าเจา้ คณุ ทหารลาดกระบัง. วิชยั พรมาลยั รงุ่ เรือง. (2544). การประเมนิ หลกั สูตรประกาศนียบัตรวชิ าชพี ชนั้ สูง (ปวส.) สาขาวิชาช่างเคห ภณั ฑ์ พทุ ธศกั ราช 2535 สถาบนั เทคโนโลยรี าชมงคล. วิทยานิพนธ์ ศึกษาศาสตรมหาบัณฑติ : มหาวิทยาลยั ศรนี ค รนิ ทรวโิ รฒ ประสานมิตร. วิชยั วงษ์ใหญ่. (2537). กระบวนการพฒั นาหลักสตู รและการเรียนการสอน. กรงุ เทพฯ: สุวีริยาสาส์น. ศกั ด์ศิ รี ปาณะกลุ . (2545). การประเมินหลกั สูตร. พิมพ์คร้ังท่ี 3. กรุงเทพฯ: มหาวทิ ยาลัยรามคาแหง. ศิริชัย กาญจนวาส.ี (2550). ทฤษฎกี ารประเมิน. กรงุ เทพฯ: จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย. สงดั อทุ รานันท์. (2532). พืน้ ฐานและหลักการพัฒนาหลกั สตู ร. กรุงเทพฯ: เซนเตอร์พบั ลคิ เคชัน่ . สมคิด พรมจุย้ . (2544). เทคนิคการประเมนิ โครงการ. พมิ พค์ ร้งั ที่ 3. นนทบุร:ี มหาวทิ ยาลยั สุโขทัยธรรมาธิราช. สันต์ ธรรมบารุง. (2527). หลักสูตรและการบริหารหลักสูตร. กรุงเทพฯ: การศาสนา. 10 | ห น้ า

สุนยี ์ ไพรี. (2548). การประเมนิ หลักสตู รการศึกษาขน้ั พ้ืนฐานพทุ ธศักราช 2544 กล่มุ สาระการเรียนรูก้ ารงาน อาชีพและเทคโนโลยี ช่วงช้ันที่ 3 ของโรงเรยี นในสังกดั สานักงานเขตพ้ืนทก่ี ารศกึ ษาลพบุรี เขต 2. วิทยานิพนธ์ ครศุ าสตรมหาบัณฑติ สาขาหลกั สูตรและการสอน: มหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรี. สุนีย์ ภู่พนั ธ.์ (2546). แนวคดิ พน้ื ฐานการสร้างและการพัฒนาหลักสตู ร. เชยี งใหม่: ดวงกมลเชยี งใหม.่ สุวมิ ล ติรกานันท์. (2548). การประเมินโครงการ : แนวทางสกู่ ารปฏบิ ัติ. (พิมพ์ครั้งที่ 6). กรุงเทพฯ: โรงพมิ พ์แหง่ จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย. องอาจ นยั พัฒน.์ (22(64) พฤษภาคม – สงิ หาคม 2543). การวจิ ยั เชิงปฏิบตั ิการ : แนวคิดและวิธกี าร. วารสาร วัดผลการศกึ ษา , หน้า 23-40. อาภาภรณ์ รกั ความสุข. (2546). การประเมินหลกั สูตรประกาศนยี บัตรวิชาชีพการศึกษาชน้ั สูงพทุ ธศักราช 2540 สาขาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ. วิทยานิพนธ์คณะครุศาสตร์อตุ สาหกรรมมหาบัณฑติ สาขาหลักสูตรและการสอน อาชวี ศึกษา: สถาบันเทคโนโลยพี ระจอมเกลา้ เจา้ คณุ ทหารลาดกระบงั . https://www.l3nr.org/posts/413485 สบื คน้ วันที่ 26 ตุลาคม 2557 http://wichudatomtam.blogspot.com/2013/03/blog-post_1520.html สบื คน้ เมอ่ื วนั ที่ 1 พฤศจกิ ายน 2557 11 | ห น้ า


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook