การปลกู ไผ่ ภาคเหนือ ศูนย์ฝกึ อบรมศนู ยเ์ รียนรูช้ ุมชนตาบลทา่ งาม อาเภอวัดโบสถ์ จังหวดั พษิ ณโุ ลก บา้ นเลขท่ี หมู่ที่ 4 บ้านใหมใ่ ต้ ตาบลทา่ งาม อาเภอวัดโบสถ์ จังหวัดพิษณุโลก การปลกู ไผเ่ ลีย้ งทวาย ในอดีตน้ัน เคยมีป่าไผ่มากมาย เช่น ไผ่ป่า ไผ่ซางนวลและไผ่อื่น ๆ อีกมากมาย แต่ปัจจุบันไผ่พวกน้ันกาลังจะหมดไปด้วยฝีมือของมนุษย์ แต่ก่อนเราเคยหาหน่อไม้นามาแปรรูปเป็นอาหารเก็บไว้เฉพาะรับประทานกันพอในปีเดียว และปีต่อไปเราจะต้องออกไปหามาทาเก็บไว้เฉพาะปีต่อปี นัน่ เป็นในอดีตท่ผี า่ นมาแตป่ ัจจุบนั มนษุ ย์เราพากนั หาหน่อไม้นามาแปรรปู ในแบบตา่ ง ๆ เชน่ นามาอดั ปปี๊ ดองแผน่ ดองทงั้หน่อในเชิงการค้ากันมากขึ้น อีกท้ังตัดบุกเบิกทาลายเพ่ือใช้เป็นท่ีทากิน จึงทาให้ ไม้ไผ่พวกน้ีกาลังจะหมดไปจากบ้านเมืองของเรา นั่งจึงเป็นสาเหตุทาให้ฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาล ทาให้เกิดมีน้าป่าไหลหลาก ทาให้เกดิ นา้ ท่วมเพราะไม่มีปา่ และปา่ ไผค่ อยดูดซบั นา้ และยดึ ตดิ ไว้ ผมจึงคิดว่าถ้าเราจะหันมาปลูกป่าไม้และไผ่เพื่อทดแทนป่าไม้ที่ถูกทาลายไปก็น่าจะเป็นการดี ดังนั้นวันน้ีผมจึงได้นาเร่ืองการปลูกไผ่เลี้ยงทวายเพื่อทดแทนไผ่อื่น ๆ ท่ีกาลังจะหมดไปโดยเราปลูกในท่ีดินของเราก็จะสามารถหารายได้จากการขายหน่อ ขายต้น และขายพันธุ์ เพื่อเป็นรายได้เสริมจาก การทาอาชีพหลักอีกทางหนึ่ง เพราะในปัจจุบันการหาหน่อไม้บนภูเขาก็เสี่ยงกับการถูกเจ้าหน้าทีป่ ่าไมจ้ บั กมุปัจจยั หลกั ของการปลกู ไผเ่ ลี้ยงทวาย (1) แหล่งนา้ ดังนัน้ ก่อนทเี่ ราจะตดั สนิ ใจปลูกไผ่เลี้ยงทวาย เราจะต้องคานึงถึงแหล่งน้าก่อน เพราะไผ่เลี้ยงทวายต้องการน้า ถ้าเรามีน้าไว้รดไผ่ในหน้าแล้ง เราก็จะได้รับผลประโยชน์จากไผท่ ง้ั ปี แตถ่ ้าไม่มีแหลง่ น้าทเ่ี พียงพอก็จะให้ไดร้ บั ประโยชน์ตอบแทนเป็นท่ีน่าพอใจ โดยเฉพาะถา้ เราสามารถทาใหห้ น่อไม้ใหอ้ อกในช่วงท่ีไม่ใช่ฤดูของหน่อไม้ได้ ก็จะทาให้เราได้รับรายได้จากการขายในราคาทส่ี งู กว่าราคาปกติ
(2) พื้นที่จะต้องไม่เป็นท่ีน้าท่วมขัง เพราะถึงจะเป็นไผ่ท่ีชอบน้า แต่ก็ไม่ชอบให้น้าทว่ มขงั นานกวา่ 7 -10 วนั เพราะจะทาใหไ้ ผต่ ายได้ (3) ดินที่จะปลูกไผ่ ไม่ควรเป็นดินดานหรือดินลูกรัง เพราะจะทาให้ไผ่ไม่เจรญิ เติบโตและจะทาใหเ้ สียเวลาเปลา่ฤดูในการปลกู ไผ่เลี้ยงทวายสามารถปลกู ได้ในทุกๆ ฤดู ไม่ว่าจะเป็นฤดูฝนหรือฤดูแล้ง ถ้าปลูกในช่วงฤดฝู น กจ็ ะไมต่ อ้ งกังวลในเรือ่ งการรดนา้ แตจ่ ะต้องกังวลในเรอื่ งวัชพชื และเรื่องน้าท่วมขัง ถ้าปลูกในฤดูแล้ง เราจะไม่ตอ้ งกังวลเรอ่ื งวัชพืช แตจ่ ะตอ้ งคอยรดนา้ อาทติ ยล์ ะ 2 - 3 ครงั้ระยะห่างในการปลกู ระยะห่างของต้นและร่อง เราสามารถเลือกได้หลายระยะ สาหรับคนมีเนื้อที่น้อย ก็ควรจะใช้ระยะห่างของร่องหรือแถว 2.50 เมตร ระยะในแถว 2 เมตร หรือจะใช้ 2.50 x 2.50เมตร ก็ได้ ส่วนคนท่ีมีเน้ือที่มากหน่อย จะใช้ 3 x 3 เมตร ก็จะเป็นการดี ถ้าเป็นแปลงใหญ่ควรจะปลูก 6 แถว และเว้นให้อากาศและแสงเข้าถึง และให้เราสามารถเข้าไปบรรทุกหน่อไม้และลาต้นไผ่ออกมาได้สะดวก การปลกู แปลงใหญ่แต่ไม่เว้น แถวนน้ั ไม่ดี เพราะอากาศและแสงเข้าไม่ถึง ทาให้ไผ่ในตอนกลางของแปลงจะไมค่ ่อยออกหน่อวธิ กี ารปลูกไผใ่ นหน้าแลง้ ขุดหลุมลึกกว่าถุงที่ใส่ต้นพันธ์ุลงไปประมาณ 5 เซนติเมตร หลุมไม่ต้องกว้างมาก แค่ประมาณหน้าจอบก็พอ รองก้นหลุมด้วยปุ๋ยหมักชีวภาพ หรือปุ๋ยสูตร 15-15-15 เพียงเล็กน้อย ใส่นา้ ให้เต็มหลดุ แลว้ ฉกี ถงุ ออก นาตน้ พันธุ์ลงไปลูก และเอาดินกลบให้เต็มหลุมก็พอ วิธีการปลูกแบบนี้ต้นพนั ธจุ์ ะมีเปอร์เซ็นต์ตายน้อยมากวิธกี ารดูแลและกาจดั วัชพืช - ดายหญ้าดว้ ยจอบ - ไถพรวนดินดว้ นรถไถเดินตาม - ฉีดยาฆา่ แมลงแบบนอ๊ ก (ห้ามใชแ้ บบดดู ซมึ )วธิ ีการตัดแต่งกิ่งและลาต้น เม่ือมีหน่อไม้ออกและโตแล้วให้ตัดต้นพันธ์ุท่ีปลูกและแขนงออก ถ้ามีหลายต้น ให้ตัดตน้ ทไ่ี ม่ตอ้ งการออก อย่าปลอ่ ยใหต้ น้ อย่ชู ดิ กัน เพราะจะทาให้ตัดหน่อไม้ที่ข้ึนอยูด่ ้านในไดล้ าบาก
ระยะเวลาเก็บผลผลิตได้ หลังจากปลูกได้ประมาณ 7-8 เดือน ถ้าดูแลให้ปุ๋ยน้าดีก็จะเก็บผลผลิตได้บ้างแต่ยังไม่เตม็ ท่ีวธิ ีเลอื กแบบปลกู และใหน้ ้า - ปลกู ในพ้ืนที่ธรรมดา ให้นา้ แบบติดหัวปรงิ เกอร์ - ปลูกในท้องร่อง คือชักร่องแล้วปลูกในร่องแบบน้าจะสะดวกกับการให้น้าในหน้าแลง้วิธกี ารขยายพันธ์ุ - ขุดเอาซอทัง้ เหง้าใส่ถงุ ชาไว้ หรือจะนาไปปลูกเลยกไ็ ด้ - ใชข้ ยุ มะพร้าวแช่น้าแล้วหุ้มท่ีตาแขนงของลาต้น - ใชส้ กัด สกดั เอาแตแ่ ขนงท่ีมีรากเป็นสีน้าตาลใสถ่ ุงชาไว้ - ใช้สกัด สกัดทั้งเหง้าท่ีมีรากสีน้าตาลใส่ถุงชาไว้ ในการชาเราจะต้องนาต้นพันธ์ุจุ่มยาเรง่ รากก่อนทกุ ครั้ง อายขุ องกิง่ พนั ธ์จุ ะใชช้ าจะต้องมอี ายุไม่นอ้ ยกวา่ 3 เดอื น และหลังชาก็ต้องไม่นอ้ ยกวา่ 45 วนั จึงจะนาไปปลกู หรือเคล่ือนยา้ ยได้วัสดอุ ปุ กรณใ์ นการชาตน้ พนั ธ์ุ - แกลบดา - ถุงดา ขนาด 5x8 , 5x9 หรอื 5x10 ขนาดใดก็ได้ - นา้ ยาเร่งราก - สกัด - คอ้ น ขนาด 3 - 4 ตามแต่ถนัดวธิ ใี สถ่ งุ ชา ตัดแกลบดารองก้นถุงประมาณ 1 น้ิว แลว้ นาต้นพนั ธ์ุใสล่ งในถงุ แล้วตักแกลบดาใส่ให้เตม็ ยกกระแทกให้แกลบยบุ ตวั แล้วเติมแกลบอีกจนกวา่ จะกระแทกไมย่ ุบตวั ก็ใชไ้ ด้แลว้
ภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื การปลกู ไผต่ ง ศนู ยก์ ารเรียนรู้ “มหาชีวาลัยอีสาน” ตั้งอยูท่ บ่ี า้ นเลขท่ี 34 บ้านปากชอ่ ง หมทู่ ่ี 10 ตาบลสนามชัย อาเภอสตกึ จังหวัดบุรีรัมย์ ไผเ่ ปน็ พืชท่สี ามารถนามาใช้ประโยชน์ไดม้ ากมายทง้ั ทางตรงและทางอ้อม เช่น ทาเป็นเครื่องใชใ้ นครัวเรือน เคร่ืองจักสารตา่ งๆ เฟอรน์ เิ จอรเ์ ย่ือกระดาษ และหนอ่ กน็ ามาใช้รับประทานได้อีกด้วย ส่วนประโยชน์ทางอ้อมก็คือ ช่วยป้องกันการพังทลายของดินตามบริเวณชายฝ่ังแม่น้าลาคลองช่วยชะลอความเร็วของกระแสน้า และกระแสลมไดเ้ ปน็ อยา่ งดีปจั จุบนั น้ีไผ่มคี วามสาคญั ทางด้านอตุ สาหกรรมมากขึ้น มีการนาไผ่มาใช้เป็นวัตถุดิบสาหรับการผลิตสินค้าต่างๆ เช่น กระดาษ ไหมเทยี ม และไม้ไผ่อัด เป็นต้น โดยเฉพาะไม้ไผ่อัดนั้นเป็นผลิตภัณฑ์ท่ีตลาดมีความต้องการสูง นอกจากนี้ ไม้ไผ่ยังมีคุณสมบัติพิเศษที่แตกต่างไปจากไม้ชนิดอ่ืนคือไม้ไผ่เมื่อแห้งแล้วจะมีการขยายและหดตัวน้อยมาก จึงนิยมนามาทาเป็นไม้แบบในการก่อสร้าง หรือใช้เป็นวัสดุสาหรับตกแต่งบ้านเรือน เนื่องจากไม้ไผ่มีลวดลายของเน้ือไม้ท่ีสวยงามแตกต่างไปจากไม้ชนิดอ่นื น่นั เอง สาหรับการปลูกไผ่ตงนั้น ส่วนใหญ่มุ่งเน้นการผลิตหน่อเป็นสาคัญเนื่องจากหน่อมีรสชาติดีและมีคณุ ค่าทางอาหารสงู จึงเป็นท่ีนิยมของคนทั่วไปนอกจากนี้ยังนามาแปรรูปเป็นหน่อไม้อัดปี๊บสามารถส่งขายยังตลาดต่างประเทศได้อีกด้วย และจากการเกิดปัญหาไผ่ตงออกดอกล้มตายเป็นจานวนมากในปลายปี 2537 ทาให้เกิดการขาดแคลนไผ่ตงมากข้ึน ดังนั้นไผ่ตงจึงเป็นพืชที่น่าสนใจปลูกชนิดหนึ่ง เน่ืองจากมีประโยชน์มากมายตามที่กล่าวมาแล้วและยังมีแนวโน้มความตอ้ งการในตลาดสูงข้ึนด้วยสภาพภมู ิอากาศ ไผ่ตงสามารถปลูกได้ดีเกือบทุกสภาพภูมิอากาศในประเทศไทย โดยทั่วไปจะต้องมีความชื้นเหมาะสม คือ มฝี นตกเฉลี่ยประมาณ 1,000 มิลลเิ มตรตอ่ ปีสภาพพ้นื ทป่ี ลูก ควรปลูกในพื้นที่ราบ น้าท่วมไม่ถึง ดินท่ีใช้ปลูกควรเป็นดินร่วนหรือดินร่วนปนทรายมีการระบายนา้ ได้ดี
ฤดูปลูก การปลูกไผ่ตงควรปลูกช่วงต้นฤดูฝนประมาณเดือนพฤษภาคม-สิงหาคม เนื่องจากในช่วงน้ีจะมฝี นตกชกุ ดนิ จะได้รับน้าและมีความชุ่มช้ืนสม่าเสมอ ไผ่ตงจะตั้งตัวได้เร็ว หลังจากปลูกแล้วหากเกิดฝนท้ิงช่วง จาเป็นต้องรดน้าเพ่ือเพ่ิมความชุ่มช้ืนในดินสักระยะหนึ่งไผ่ตงก็จะเจริญเติบโตเร็วข้ึนพนั ธ์ุไผต่ ง พนั ธไุ์ ผต่ งทก่ี รมสง่ เสรมิ การเกษตรแนะนาให้ปลกู ไดแ้ ก่ (1) ไผต่ งดา ไผต่ งชนดิ นจี้ ะมีลาต้นสีเขียวเข้มอมดา ใบสีเขียวเข้มหน้าใหญ่และมองเห็นร่องใบได้ชัดเจน หน่อจะมีขนาดปานกลาง น้าหนักโดยเฉลี่ย 3 - 6 กิโลกรัม หน่อไผ่ตงชนิดน้ีจะมีรสหวาน กรอบ เนอ้ื เป็นสีขาวละเอียดและไม่มีเส้ียน จึงเป็นพันธุ์ที่นิยมปลูกเพื่อผลิตหน่อและทาไผ่ตงหมก ซ่งึ จะเป็นการช่วยเพ่ิมคุณภาพของหน่อให้ดีขึ้นไปอีก พันธ์ุไผ่ตงชนิดนี้จึงได้ชื่อว่าเป็นพันธ์ุที่ให้หนอ่ ท่มี ีคณุ ภาพและมีช่ือเรยี กจนเปน็ ทรี่ ู้จักกันโดยทั่วไปว่า “ไผ่ตงหวาน” (2) ไผ่ตงเขียว ไผ่ตงชนิดน้ีจะมีลาต้นเล็กและสั้นกว่าไผ่ตงดา สีของลาต้นจะเป็นสีเขียว เน้ือไม้บาง ไมค่ อ่ ยแข็งแรง ถา้ มีลมแรงๆ จะทาหักพับลงมาได้ง่าย ใบบางสีเขียวเข้ม มีขนาดปานกลาง จับแล้วไม่สากมือ หน่อมีน้าหนัก 1-4 กิโลกรัม หน่อไม่ไผ่ตงชนิดนี้จะมีรสชาติหวานอมขื่นเล็กน้อยเนื้อเป็นสีขาวอมเหลือง นอกจากน้ีแล้วไผ่ตงเขียวยังทนต่อสภาพแห้งแล้งได้ดี เหมาะท่ีจะปลูกในภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ ซ่ึงมผี ู้นยิ มปลกู กนั มากเชน่ เดยี วกบั ไผ่ตงดาการขยายพันธ์ุ ไผ่ตงสามารถขยายพันธุ์ได้ 5 วิธี คือ การขยายพันธ์ุด้วยการเพาะเมล็ด การเพาะเล้ยี งเนอื้ เยอ่ื การแยกกอหรือเหง้า การชาปล้อง และการปักชาแขนง ซึ่งในแต่ละวิธีจะมีการปฏิบัติดงั นี้ (1) การเพาะเมล็ด ไผ่ตงเม่ือหมดอายุขัยจะออกดอกและตาย ปกติไผ่ตงจะเร่ิมออกดอกในเดือนพฤศจิกายน - มกราคม โดยเมล็ดไผ่ตงจะเร่ิมแก่และร่วงหล่นประมาณเดือนมีนาคม - เมษายนเกษตรกรสามารถนาเมล็ดไผ่ตงทไี่ ด้ไปทาการเพาะตอ่ ไปโดยวธิ ีการดังน้ี
การเก็บเมล็ดพันธ์ุ - เมล็ดไผ่ตงเมื่อแก่จดั จะรว่ งลงพน้ื เกษตรกรควรถางและทาความสะอาดโคนต้นเพื่อความสะดวกในการรวบรวมเมล็ดไผ่ตงหรือถ้าเขย่าต้นให้เมล็ดร่วงจากต้นควรจะใช้วัสดุหรือตาข่ายรองรบั เมลด็ พนั ธ์ดุ ้วย - รวบรวมเมล็ดพันธุ์ไผ่ตงที่ได้ แล้วทาการฝัดด้วยกระด้งเพื่อคัดเมล็ดเสียออกเหลอื ไวแ้ ต่เมลด็ ทส่ี มบูรณ์ -นาเมลด็ ทีส่ มบูรณม์ าขัดนวดและฝดั เอาเปลอื กออก แล้วนาไปตากแดดประมาณ 1 วัน ก็สามารถนาเมล็ดไปเพาะได้ ในกรณีที่ต้องเก็บเมล็ดพันธุ์ไว้เพาะ ควรคลุกด้วยสารเคมีเซฟวิน (เอส-85) เพื่อป้องกันแมลงและไม่ควรเก็บเมล็ดไว้เกิน 1 เดือน เพราะจะทาให้เปอร์เซ็นต์ความงอกลดลง (2) วธิ ีการเพาะกลา้ ไผต่ ง - เมล็ดไผ่ตงที่จะนามาเพาะควรขัดเอาเปลือกนอกออกก่อนเพ่ือให้เมล็ดลอกเร็วขึ้นและเตบิ โตอย่างสม่าเสมอ - นาเมลด็ ไปแช่น้า 2 คืน หรือแชเ่ มลด็ ดว้ ยน้าอนุ่ กอ่ นประมาณ 2 ช่ัวโมงแล้วแช่นา้ อกี 1 คนื - นาเมล็ดข้ึนจากน้าแล้วห่อหุ้มเมล็ดด้วยผ้า รดน้าให้ชื้นอยู่เสมอ ประมาณ 2คนื เมล็ดจะเร่มิ งอก - นาเมล็ดท่เี รมิ่ งอกไปเพาะในแปลงเพาะท่ีมีขี้เถา้ แกลบผสมดินและทรายรองพื้นหนาประมาณ 4 น้ิว หว่านเมล็ดแล้วกลบด้วยดินหนาประมาณ 1 เซนติเมตร คลุมแปลงด้วยวัสดคุ ลมุ ดนิ เช่น หญ้าแหง้ และฟางขา้ ว - หลังจากเพาะเมล็ดลงในแปลงแล้วประมาณ 15 วนั จะไดต้ น้ กล้าที่มคี วามสูงประมาณ 2 - 3 นวิ้ ให้ทาการยา้ ยกลา้ ท่ีแข็งแรงลงในถงุ เพาะและอนุบาลไว้ในเรือนเพาะชาหรือท่ีร่มราไรประมาณ 6 - 8 เดอื น แลว้ นาไปปลูกต่อไป (3) การเพาะเลย้ี งเน้ือเยอ่ื การเพาะเล้ียงเน้ือเยื่อเป็นการนาต้นกล้าที่ได้จากการเพาะเมล็ดมาขยายพันธ์ุให้ได้ปรมิ าณมากๆ เพอื่ แก้ปัญหาการขาดแคลนตน้ พันธ์ตุ ลอดจนการแกไ้ ขปัญหาต้นพนั ธุท์ ี่มาจากการเพาะชากง่ิ แขนงออกดอกและตายเพราะก่ิงแขนงทนี่ ามาจากตน้ แมจ่ ะมอี ายุเท่ากับต้นแม่ ฉะนั้นเมื่อต้นแม่ออกดอก กิ่งแขนงที่นาไปปลูกก็จะออกดอกตายด้วยเช่นกัน แต่การเพาะเล้ียงเน้ือเย่ือต้องอาศัยข้ันตอนและเทคนคิ ทางวิชาการมาก จึงควรเป็นหน้าท่ขี องหนว่ ยงานราชการหรือบริษัทเอกชนที่มคี วามชานาญเป็นผดู้ าเนินการผลติ
(4) การขยายพนั ธโุ์ ดยการแยกกอหรือเหง้า การขยายพันธ์ุวิธีนี้จะต้องคัดเลือกเหง้าท่ีมีอายุ 1 - 2 ปี โดยตัดให้ตอสูงประมาณ50 - 80 เซนติเมตร แล้วทาการขุดเหง้ากับตอออกจากกอต้นแม่เดิม โดยระวังอย่าให้ตาที่คอเหง้าแตกเสียหายได้ เพราะตานี้จะแตกเป็นหน่อต่อไป ส่วน “หน่อเจ่า” ซ่ึงเป็นหน่อท่ีขุดข้ึนมามีขนาดเล็ก สามารถแยกกอไปปลูกได้เช่นกัน การขยายพันธ์ุวิธีนี้จะได้เหง้าแม่ท่ีสะสมอาหารอยู่มาก จึงมีอัตราการรอดตายสูง ทาให้หน่อแข็งแรงและได้หน่อเร็วกว่าวิธีขยายพันธ์ุโดยการใช้ก่ิงแขนงหรือลาอีกท้ังยังได้พันธ์ุตรงกับสายพันธ์ุเดิมแต่เกษตรกรไม่นิยมท่ีจะขยายพันธุ์โดยวิธีน้ี เน่ืองจากเสียเวลาแรงงานและสนิ้ เปลืองค่าใชจ้ า่ ยมาก (5)การขยายพันธุ์โดยการชาปลอ้ ง การขยายพันธ์ุวิธีนี้จะต้องทาการคัดเลือกลาที่มีอายุประมาณ 1 ปี แล้วนามาตัดเป็นทอ่ นๆ แตล่ ะท่อนมี 1 ข้อ โดยจะตอ้ งตัดตรงกลางท่อนให้รอยตัดทั้งสองห่างจากข้อประมาณ1 คืบ และต้องตัดให้มีแขนงติดอยู่ด้วยยาวประมาณ 1 คืบ จากน้ันจึงนาไปชาในแปลงเพาะชาโดยวางให้ข้ออยู่ระดับดินและให้ตาหงายขึ้น ระวังอย่าให้ตาได้รับอันตราย เพราะจะทาให้หน่อไม่งอก หลังจากนน้ั จึงใสน่ า้ ลงในปลอ้ งไผต่ งให้เต็มการขยายพันธ์ุวิธีนี้จะต้องหมั่นดูแลรดน้าให้ความชุ่มชื้นอยู่เสมอ (คอยเติมน้าให้เต็มปล้องไผ่เสมอ)หลังจากน้ันประมาณ 2 - 4 สัปดาห์จะพบหน่อและรากแตกออกมา เม่ือหน่อและรากแข็งแรงเต็มท่ซี ่ึงจะใช้เวลาประมาณ 6 - 12 เดอื น ก็ทาการย้ายปลกู ได้ การขยายพันธ์ุโดยการใชก้ ่ิงแขนงปักชา กงิ่ แขนง คือ ก่ิงที่แยกอกจากลาต้นไผ่ตรงบริเวณข้อ ซึ่งโคนก่ิงแขนงจะมีรากงอกเห็นได้เด่นชัด การขยายพันธุ์โดยการใช้กิ่งแขนงเป็นวิธีการท่ีได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายเพาะสะดวกและงา่ ย โดยกิ่งแขนงท่ีจะนามาใชข้ ยายพันธ์จุ ะต้องมลี กั ษณะดงั นี้ - ใหเ้ ลอื กกิ่งแขนงทีม่ ขี นาดเส้นผา่ ศูนยก์ ลางประมาณ 1 - 1.5 น้ิว - รากของก่ิงแขนงมีสีน้าตาลหรือน้าตาลอมเหลืองและมีรากฝอยแตกจากรากแขนงแล้ว - ให้เลือกกง่ิ แขนงท่ีใบยอดคลแี่ ลว้ และกาบหมุ้ ตาหลุดออกหมดแลว้ เช่นกนั - ให้เลอื กก่งิ แขนงท่มี ีอายุ 4 - 6 เดือน ถา้ เป็นกิ่งค้างปีกจ็ ะยิ่งดี ขั้นตอนในการปักชาก่ิงแขนง เม่ือได้คัดเลือกกิ่งแขนงแล้ว ให้ทาการตัดแยกกิ่งแขนงออกจากลาไผ่จากน้ันตัดปลายก่ิงออกให้เหลือก่ิงยาวประมาณ 80 - 100 เซนติเมตร การปักชาควรจะทาในช่วงปลายฤดูฝนประมาณเดอื นกนั ยายน - ตลุ าคม ซึง่ เปน็ ชว่ งทม่ี กี ่ิงแขนงมาก โดยปฏิบตั ิตามข้นั ตอนดังนี้
- เตรียมแปลงเพาะชาโดยการไถพรวนดิน ควรตากดินท้ิงไว้ประมาณ 2 สัปดาห์หรือมากกว่านั้น ในกรณีพ้ืนที่เป็นที่ดินน้าท่วมไม่ถึงควรทาการย่อยดินและปรับพื้นที่ให้สม่าเสมอและถ้าเปน็ ที่ลุ่มควรทาการยกร่องเพ่ือใหม้ กี ารระบายน้าไดด้ ี - ขุดร่องในแนวเหนือ - ไต้ ลึกประมาณ 15 เซนติเมตร แต่ละร่องห่างกันประมาณ 30 เซนตเิ มตร เพอื่ ให้กง่ิ แขนงได้รบั แสงแดดถ่ัวถงึ กันทกุ ๆ ดา้ น - นา้ กิง่ แขนงปกั ชาลงในร่องให้ห่างกนั ประมาณ 15 - 20 เซนติเมตรกลบดินให้แน่นแล้วรดน้าตามทนั ที หลงั จากนั้นควรทาหลังคาด้วยทางมะพร้าว เพื่อพรางแสงแดดและหม่ันดูแลรดน้าทกุ วนั หรือวันเวน้ วนั - หลังจากปักชาแล้วประมาณ 6 - 8 เดือน ก่ิงแขนงท่ีชาไว้จะแตกแขนงได้ใบและรากที่แข็งแรงพร้อมท่ีจะย้ายลงปลูกในแปลง การปักชาก่ิงแขนงอาจทาการเพาะชาในถุงพลาสติกสีดาขนาด 8 x 10 น้ิว ก็สามารถเจริญเตบิ โตไดด้ เี ชน่ กนั ถ้ามีการขนย้ายกล้าไปในระยะทางไกลๆ ควรย้ายกล้าลงชาในถุงพลาสติกท้ิงไว้ประมาณ 1 เดือน เพ่ือให้ต้นกล้าท่ีชาไว้แตกแขนง ใบและราก สามารถต้ังตัวได้ และมีความแขง็ แรง การเตรยี มดิน ให้ทาการเตรียมดินในช่วงฤดูแล้ง โดยการไถพรวนดินแล้วตากดินท้ิงไว้ประมาณ 2สปั ดาห์ จากน้นั ทาการยอ่ ยดนิ และปรบั พ้นื ทใี่ หส้ มา่ เสมอสาหรบั พ้ืนที่ดนิ น้าท่วมไม่ถึง แตถ่ า้ เป็นการปลูกในที่ลุ่มควรทาการยกร่องปลูกพ้ืนให้มีการระบายน้าได้ดี ในช่วงการเตรียมดินน้ี ถ้าดินปลูกไม่ค่อยดีนักก็ควรปรับปรุงดินโดยการใส่ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก เพ่ือปรับปรุงดินให้ร่วนซุย และมีการระบายนา้ ได้ดี การปลูก หลังจากเตรียมดินเสร็จเรียบร้อยแล้ว ให้ขุดหลุมปลูกขนาด กว้าง x ยาว x สูงเทา่ กบั 50x50x50 เซนตเิ มตร โดยขดุ แยกดินบนและดนิ ล่างออกเปน็ 2 กอง จากนั้นให้ใส่ปุ๋ยหินฟอสเฟต 1 กระป๋องนม (ประมาณ 300 -5 00 กรัม) ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก 1 บุ้งก๋ี (ประมาณ 1กิโลกรัม) และสารเคมีกาจัดแมลงฟูราดาน 1 - 1.5 ช้อนแกง (ประมาณ 10 - 15 กรัม) ต่อหลุมผสมคลุกเคล้ากับดินบนให้ทั่ว ใส่กลบลงในหลุม จากน้ันนากิ่งพันธุ์ที่เตรียมไว้ลงปลูกในหลุมให้ลึกเท่ากับดินเดิม พูนดินบริเวณโคนต้นให้เป็นเนินสูงขึ้นเล็กน้อย ใช้ไม้ปักเป็นหลักผูกยึดต้นไผ่เพ่ือป้องกันลมโยก หลังจากนั้นรดน้าตามทันที และเพื่อป้องกันความร้อนให้แก่ต้นไผ่ ควรใช้ทางมะพร้าวหรอื วัสดุอน่ื ชว่ ยพรางแสงแดดจนกว่าตน้ กลา้ จะมใี บใหญ่ และต้งั ตวั ไดแ้ ล้วจงึ ค่อยเอา
ออก ซึง่ การนากงิ่ พนั ธหุ์ รอื ตน้ กลา้ ลงปลูกจะมีความแตกตา่ งกนั โดยในการปลูกไผ่ตงท่ีได้จากการชากิง่ แขนง ควรใช้ต้นกลา้ จากการชากิง่ แขนงที่มีความสมบูรณ์เจรญิ เติบโตดี ปราศจากโรคและแมลงมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางไม่น้อยกว่า 2.5 เซนติเมตร สูงไม่น้อยกว่า 80 เซนติเมตร นามาปลูกในหลุมปลูกโดยให้ก่ิงพันธ์ุเอียงทามุม 45 องศากับพ้ืนดิน ส่วนการปลูกไผ่ตงที่ได้จากการเพาะเลี้ยงเนอื้ เยอ่ื ควรใชต้ ้นกลา้ ที่มอี ายุไม่นอ้ ยกว่า 14 เดือน สูงไม่น้อยกว่า 60 เซนติเมตร มีระบบรากฝอยแผ่กระจายและสมบรู ณ์ ไม่ขดมว้ นงออยกู่ ้นถงุ นาตน้ กล้ามาปลูกตรงกลางหลมุ ท่เี ตรียมไว้ การปลูกพชื แซม ในช่วง 1 - 2 ปแี รก ตน้ ไผ่ตงยังมขี นาดเล็กอยู่ ควรจะปลูกผัก พืชไร่ หรือไม้ผลอายุสั้นเป็นพืชแซมเพื่อเสริมรายได้ เช่น กล้วย มะละกอ เป็นต้น หลังจากไผ่ตงโตแล้วแต่ยังมีช่องว่างให้แสงแดดส่องผา่ นไดเ้ ลก็ นอ้ ยก็ยงั สามารถปลูกพืชท่ีทนร่มไดด้ เี ป็นพืชแซมได้ เช่น กระชาย หรือพืชสมุนไพรอีกหลายชนดิ ทท่ี นรม่ และได้ผลดีเช่นกนั ในสวนท่ีไม่ได้ปลูกพืชแซม อาจจะปลูกพืชคลุมดินเพ่อื รักษาหนา้ ดนิ และความชนื้ ภายในดิน เชน่ ถ่วั ลายเพอราเลยี คุดซู โดยหว่านเมลด็ พนั ธใุ์ นอตั รา2 - 3 กโิ ลกรัมต่อไร่ การใหน้ า้ การปลกู ไผต่ งในระยะแรก จะต้องคอยดูแลรดน้าให้ชุ่มชื้นอยู่เสมอ หลังจากนั้นเมื่อไผ่ตงตง้ั ตัวได้ดีแล้ว (อายเุ กิน 1 ปแี ลว้ ) อาจเวน้ ระยะการใหน้ ้าไดบ้ า้ ง เพราะต้นไผต่ งจะแขง็ แรงและทนต่อสภาพแล้งได้ดีข้ึน ซึ่งปริมาณการให้น้าจะข้ึนอยู่กับสภาพดิน ความช้ืนของดิน และในช่วงฤดูแลง้ ควรหาวัสดุ เชน่ หญา้ แหง้ ฟางแห้ง คลุมบรเิ วณโคนต้นเพือ่ รกั ษาความชื้นใหก้ ับดนิการใสป่ ๋ยุ ในช่วงปีแรก ไผ่ตงจะสามารถใช้ธาตุอาหารจากปุ๋ยท่ีใส่คลุกเคล้ากับดินท่ีปลูกได้ แต่หลังจากนน้ั เมือ่ ไผ่ตงเจรญิ เติบโตและตั้งตัวได้แล้ว จะต้องมีการไถพรวนและใส่ปุ๋ยหลังจากเก็บหน่อขาย โดยจะทาการตัดแต่งกอและไถพรวนเพ่ือกาจัดวัชพืชในช่วงเดือนตุลาคม - พฤศจิกายน ก่อนท่ีดินจะแห้ง เพราะถ้าดินแห้งจะไถพรวนได้ยาก ส่วนการใส่ปุ๋ยจะใส่ในช่วงเดือนมีนาคม-เมษายนโดยใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักในอัตรา 1 - 1.5 ตันต่อไร่ (ประมาณ 40-50 กิโลกรัม หรือ 4 - 5 บุ้งกี๋ต่อกอ) หรืออาจใช้ปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15 อัตรา 2 - 4 กิโลกรัมต่อกอร่วมกับปุ๋ยคอก แต่ถ้าต้องการเร่งการแตกหน่อก็ให้ใส่ปุ๋ยยูเรีย สูตร 46-0-0 ในอัตรา 1 - 2 กิโลกรัมต่อกอ โดยโรยรอบๆ กอ อย่าให้โดนหน่อเพราะจะทาให้หน่อเน่าได้ หรืออาจใส่ปุ๋ยสูตร 13-13-21 เพิ่มด้วยในอัตรา 1 กิโลกรมั ตอ่ กอ (ใสพ่ รอ้ มกับป๋ยุ ยูเรยี ) ขอ้ ควรระวังในการใสป่ ุ๋ยคอื ไม่ควรใสป่ ุย๋ เคมีเพียงอยา่ งเดียวเพราะจะทาให้กอไผ่ทรุดโทรมเรว็ ต้องใส่พรอ้ มกับปุย๋ คอกหรือป๋ยุ หมกั ทุกคร้ัง
การไว้ลาและการแตงกอ การไว้ลาและการแต่งกอมขี น้ั ตอนในการปฏบิ ตั ดิ งั นี้ ระยะท่ี 1 เมอ่ื ไผต่ งมอี ายไุ ด้ประมาณ 1 ปี จะเริม่ มีการแทงหน่อ 5 - 6 หน่อ ในระยะน้ียงั ไมค่ วรตัดหน่อโดยเดด็ ขาด ควรปลอ่ ยให้เปน็ ลาต่อไป และใหต้ ดั กง่ิ แขนงเล็กๆ บรเิ วณโคนตน้ ทิ้ง ระยะท่ี 2 เม่ือไผ่ตงมีอายุได้ 2 ปี จะมีหน่อแทงข้ึนมา 5 - 6 หน่อ ในปีน้ีจะไม่มีการตัดหน่อ ยงั คงปลอ่ ยให้เปน็ ลาต่อไป แตถ่ า้ มีหน่อเนา่ ลาคดเอียง แคระแกร็น และกิ่งแขนง ให้ตัดทิ้งไป ระยะท่ี 3 เมอื่ ไผ่ตงมีอายุได้ 3 ปี จะมลี าประมาณ 10 - 12 ลา และมีหนอ่ พอทจ่ี ะตดัขายได้ ควรเร่มิ ตัดหน่อจากลา่ งกอกอ่ นแลว้ ขยายวงออกมารอบนอกกอ ส่วนหน่อที่อยู่ด้านนอกควรมีการรักษาไว้เพื่อทาเป็นลาแม่ โดยให้เลือกหน่อท่ีอวบใหญ่และอยู่ในลักษณะท่ีขยายออกเป็นวงกลมจึงจะทาใหก้ อใหญข่ น้ึ มีหน่อมากข้ึนในปถี ดั ไป นอกจากน้ียงั จะชว่ ยใหก้ ารเข้าไปตัดหน่อและการดแู ลรกั ษาทาได้สะดวกมากขึ้น ในการตัดแต่งกอนัน้ ควรจะทาตดิ ตอ่ กันทกุ ๆ ปหี ลังจาการเก็บเกี่ยวในช่วงปลายฤดูฝนปริมาณเดือนพฤศจิกายน - มกราคม ซงึ่ เปน็ ช่วงท่ไี ผ่ตงชะงักการเจริญเติบโตช่วั คราวหรือท่ีชาวบ้านเรยี กวา่ “การล้างกอไผ่” การตดั แตง่ กิ่งจะตัดแต่งก่ิงที่เป็นโรค มีแมลง และลาที่มีอายุต้ังแต่ 3 ปีขึ้นไปทิ้ง โดยให้เหลือลาแม่ไว้ประมาณ 5 - 10 ลาต่อกอ เพื่อคอยค้าจุนและบังลมให้กับลาท่ีเพ่ิงแตกใหม่ นอกจากนี้การตัดแต่งกอควรตัดแต่งลาท่ีแก่โดยตัดให้ติดดินหรือยู่เหนือพ้ืนดินประมาณ 5เซนติเมตร เพื่อลาแม่จะได้ไม่ต้องส่งอาหารไปเลี้ยงลาแม่เดิมอีก เพราะลาท่ีมีอายุ 3 ปีข้ึนไปจะแก่และไม่แตกหน่ออีก นอกจากน้ีควรตัดหน่อที่เน่า แคระแกร็น และคดงอออกด้วย เม่ือปฏิบัติได้ดังน้ีแล้วจะทาให้ได้หน่อไม้ท่มี ขี นาดใหญ่และสมบรู ณ์ แมลงศัตรขู องไผต่ ง แมลงศตั รขู องไผ่ตงทีส่ ารวจพบและมกี ารระบาดอยูบ่ ้างในขณะนไี้ ด้แก่ 1. แมลงประเภทเจาะไชหน่อและปล้องอ่อน เป็นแมลงที่มีอันตรายมากที่สุดโดยเฉพาะในระยะที่ไผ่ตงกาลังเจริญเติบโตจากหน่ออ่อนเป็นลาต้น แมลงพวกนี้ได้แก่ ด้วงงวงปีกแข็ง จะเจาะทาลายกัดกินเน้ือเยื่อที่อ่อนนุ่มของปล้องภายใต้กาบหุ้มหน่อท่ีกาลังเจริญเติบโต ทาให้หนอ่ และปลายยอดอ่อนเนา่ และหกั ตาย 2. แมลงประเภทเพล้ียแป้ง เป็นแมลงที่ชอบเกาะอยู่ตามหน่ออ่อน หรือตามใบอ่อนเพื่อดูดน้าเลี้ยง จะมองเห็นเป็นก้อนยาวเหมือนแป้ง ทาให้กาบใบและยอดหงิกงอ ชะงักการเจรญิ เติบโต
การป้องกันกาจดั 1. เม่ือพบว่ามีการระบาดของโรคและแมลงในแปลงปลูกไผ่ตง ให้ใช้สารเคมีป้องกันและกาจดั ศัตรพู ืช เชน่ มาลาไธออน หรอื เซฟวิน ผสมน้าราดทห่ี นอ่ และเหง้า 2. ใชต้ ัวหา้ หรือตัวเบียฬเข้าทาลายโรคและแมลงด้วยกันเอง เช่น เมคโตสตีส ซ่ึงเป็นแบคทีเรียชนดิ หนึง่ โดยนามาผสมน้าแล้วพน่ ตามใบ 3. การป้องกันและกาจัดด้วยวิธีกล วิธีน้ีสามารถทาได้โดยการปรับสภาพแวดล้อมของพื้นที่เพ่ือช่วยลดอันตรายจากโรคและแมลง เช่นการตัดก่ิงแขนง การตัดลาแห้งๆ ออกจากกอเพื่อให้มีการระบายอากาศและรับแสง หรือการปลูกพืชชนิดอ่ืนแซม ซ่ึงเป็นวิธีที่ง่ายและประหยัดท่สี ดุการทาหนอ่ ไม้ไผต่ งหมก (ไผต่ งหวาน) หน่อไมไ้ ผ่ตงหมกหรอื ไผ่ตงหวาน เปน็ หน่อไม้ทตี่ ลาดมีความต้องการมาก ราคาสูงกว่าหน่อไม้ไผ่ตงธรรมดา เนื่องจากมีรสชาติและคุณภาพของหน่อดีกว่า คือจะเป็นหน่อท่ีอวบ เนื้อขาวอ่อนนิ่มและหวานกรอบ จะสามารถสังเกตความแตกต่างได้คือ สีของหน่อไม้ไผ่ตงหมกจะเป็นสีน้าตาลอมเหลอื ง สว่ นหน่อไมไ่ ผต่ งธรรมดาจะมีสีน้าตาลดาฤดูที่เหมาะสมในการทาหน่อไม้ไผ่ตงหมกคือช่วงต้นฤดูฝนประมาณเดือนเมษายน - พฤษภาคม ซ่ึงจะเป็นชว่ งทีห่ น่อไม้เรม่ิ แทงหนอ่ พนั ธุท์ น่ี ิยมทาเป็นไผต่ งหมก คอื ไผต่ งจีนหรือไผ่ตงดา แต่ปัจจุบันก็มีการนาเอาไผต่ งเขียวมาทาไผ่ตงหมกมากขึ้น ท้งั นีเ้ พอ่ื ปรับปรงุ คุณภาพของหน่อไผต่ งเขียวให้ดีขึ้นและทัดเทียมกับไผ่ตงดาดว้ ยการทาหนอ่ ไมไ่ ผต่ งหมก คอื การปอ้ งกันไม่ให้หนอ่ ไม้ถูกแสงแดดซึ่งสามารถทาไดห้ ลายวธิ ดี งั น้ี 1. การใช้ข้ีเถ้าแกลบ ในฤดูฝนเมื่อหน่อไผ่ตงโผล่พ้นผิวดินได้ประมาณ 2 - 3 น้ิว(ประมาณครึ่งฝา่ มอื ) ให้เอาป๊ีบก้นทะลุหรือถุงมาครอบหน่อ แล้วเอาข้ีเถ้าแกลบใส่ให้เต็ม เม่ือหน่อไผ่ตงโตสูงพ้นปบี๊ หรอื ถงุ และขเ้ี ถา้ แกลบออกแล้วตดั หนอ่ ได้การหมกด้วยวิธีน้ีจะทาให้ตัดหน่อได้ง่าย หน่อไม่สกปรก และยังทาให้หน่อหวานขึ้น เน่ืองจากข้ีเถ้าแกลบมีธาตอุ าหารโปแตสเซยี มอย่ดู ้วยแต่ถ้าต้องการทาจานวนมากๆ ก็จะมีปัญหาในบางพ้ืนที่ท่ีหาป๊ีบและขเ้ี ถ้าแกลบยาก 2. การใช้ดินพอก ในกรณีที่หาป๊ีบและขี้เถ้าแกลบไม่ได้ก็สามารถใช้ดินบริเวณรอบๆกอไผม่ าพอกปิดหนอ่ ให้สูงประมาณ 1 ศอก พอหน่อโผลพ่ ้นดินท่พี อกได้ประมาณ 1 นิ้ว ก็ทาการตัดหนอ่ ได้ ในการทาหน่อไม้ไผ่ตงหมกหรือหน่อไม้ไผ่ตงหวานโดยวิธีใช้ดินพอกน้ีมีข้อคานึงคือ จะทาให้เราไมส่ ามารถเล้ียงลาแมท่ ี่แข็งแรงสมบูรณ์ที่สดุ ไดเ้ น่ืองจากมักมีการขุดหนอ่ ไปขายจนลืมนกึ ถึงการ
เลี้ยงลาแม่หรือบางทีก็ไม่ทราบตาแหน่งของหน่อที่ควรจะเป็นลาแม่เพราะถูกดินกลบไว้ ฉะนั้นลาท่ีปล่อยใหเ้ ปน็ ลาแม่อาจเป็นลาที่ไม่ดีพอ รวมท้ังการกาหนดระยะห่าง (หรือการเดินกอ) ก็ทาได้ยากและเม่ือมีการพานดินข้ึนทุกปีแล้วเอาดินที่พูนออกหรือเอาออกไม่หมด จะทาให้กอไผ่ทรุดโทรมได้เรว็ และออกหน่อนอ้ ยในปีตอ่ ไป การแกไ้ ขปญั หาดังกล่าวอาจทาได้ดังน้ี 1. ทาการหมกปีเว้นปี หรือหมกสองปีแล้วปล่อยตามปกติ 1 ปี หรือก็แบ่งพ้ืนที่หมกเป็นแปลงๆ แยกกัน ทั้งนี้เพื่อให้ไผ่ตงท่ีผ่านการหมกมีลาแม่ที่สมบูรณ์เต็มท่ี ผลผลิตจะได้ไม่ลดลงในปตี ่อไป 2. มีการหมกกอเวน้ กอ เพอื่ ทีจ่ ะเล้ยี งลาแม่ทสี่ มบูรณ์ได้ 3. หมกเพียงคร่งึ กอ (สลับซา้ ย - ขวา) 4. ตอ้ งเอาดินทพ่ี นู ท่ีโคนออกทกุ ปี หลังตัดหน่อแล้วการตดั หนอ่ ไผ่ตงจะเร่ิมแทงหน่อตั้งแต่เดือนพฤษภาคม - ตุลาคม สาหรับช่วงท่ีแทงหน่อมากคือเดือนกรกฎาคม - สงิ หาคม ไผต่ งทม่ี อี ายุ 3 ปี ขน้ึ ไปจะสามารถตัดหน่อได้ทุก 4 - 5 วัน แต่ถ้ามีการบารุงรักษาท่ีดีจะสามารถตัดหน่อได้วันเว้นวัน การตัดหน่อควรทาในตอนเช้ามืดเพ่ือท่ีจะได้หน่อไม้ท่ีสุดส่งตลาด เพราะถ้าตัดทิ้งไว้นานๆ จะทาให้ความหวานลดลง สาหรับเคร่ืองมือท่ีใช้ในการตัดหน่อไมไ่ ผ่ตงคือเสียมหางปลาซงึ่ ทางด้านคมปลายเสียมจะมหี นา้ กวา้ งประมาณ 3 - 4 น้วิ ในการตัดหน่อนั้นจะต้องใช้ความชานาญพอสมควรในการพิจารณาเลือกตัดหน่อให้ได้ขนาดท่ีเหมาะสมคือจะตอ้ งเลอื กตดั หนอ่ ทไ่ี ม่อ่อนหรอื แก่จนเกนิ ไป ขนาดความยาวของหน่อประมาณ 1 ฟุต ตัดให้มีตาเหลืออยู่ประมาณ 2 - 3 ตา นับจากกาบใบที่ 1 - 3 แล้วตัดบริเวณกาบที่ 3 ซึ่งจะเหลือตาอยู่และให้หน่อในปีถัดไป ส่วนหน่อท่ีไม่แข็งแรง มีขนาดเล็ก หรือหน่อตีนเต่าให้ตัดออก เพราะถ้าปล่อยทิ้งไวก้ จ็ ะไม่มปี ระโยชน์ทาให้ กอไผ่สูงชะลูดไม่แพร่ขยายออกไปในแนวกว้างเป็นวงกลม เพราะเป็นลาแมท่ ี่ไม่ดแี ละยงั ทาใหม้ กี ารแทงหน่อน้อยในปีถัดไป
ข้นั ตอนการตอนกิ่งไผ่
ศนู ยเ์ รยี นรปู้ ราชญ์เกษตรอนิ ทรยี ์ตาบลในเมือง ตั้งอยู่เลขที่ 53 หมูท่ ี่ 1 ตาบลในเมือง อาเภอบ้านไผ่ จงั หวดั ขอนแกน่ การปลูกไผ่เลย้ี งพนั ธ์ไุ ผ่เลยี้ ง 1) พันธ์ุหนัก เป็นพันธุ์ที่ให้ผลผลิตหน่อได้ปกติในช่วงฤดูฝน (มิถุนายน - สิงหาคม)แต่ถา้ จะผลติ เป็นหน่อไผ่นอกฤดูหรือตน้ ฤดูฝน ผลผลติ ทีไ่ ดจ้ ะไมค่ มุ้ กับทนุ 2) พนั ธุ์เบา เปน็ พันธุ์ทส่ี ามารถให้หน่อไผ่ ตกในชว่ งฤดูฝน และสามารถผลิตเป็นหน่อไผ่นอกฤดูได้ดีมาก เพราะมีลักษณะเด่น คือ ถ้าได้น้า ได้ปุ๋ยแล้วจะให้หน่อทันที ถ้าเกษตรกรปลูกมีการบารุงรักษาดี ผลผลติ กย็ ง่ิ จะเพ่มิ มากขึน้ ฉะนนั้ จงึ ขอแนะนาให้ผู้ท่ีจะปลูกไผ่เลี้ยงขายหน่อ ควรปลูกพันธุ์เบาการคดั เลือกพื้นทีป่ ลกู สวนไผ่ สภาพพืน้ ทท่ี ีเ่ หมาะสาหรบั ปลกู ไผเ่ ล้ยี ง ควรมลี กั ษณะเป็นดินร่วนปนทราย ถ้าเป็นดินเหนียวโคกลกู รงั การเจรญิ เติบโต และการให้หน่อจะไม่ดีการเตรยี มดนิ ปลูก - ไถคร้งั แตกดว้ ยรถไถผาล 3 ท้ิงไวป้ ระมาณ 1 - 2 สปั ดาห์ เพ่ือกาจัดวชั พชื - ไถครง้ั ที่ 2 ดว้ ยรถไถผาล 7 เพ่ือปรบั สภาพดินให้ร่วนซุย เหมาะแก่การปลูกพืชระยะปลูก 1) ระยะระหวา่ งต้น x ระหว่างแถว 2 x 4 ม. 1 ไร่ ปลูกได้ 200 ตน้ 2) ระยะระหว่างตน้ x ระหวา่ งแถว 4 x 4 ม. 1 ไร่ ปลูกได้ 100 ต้น 3) ระยะระหว่างต้น x ระหว่างแถว 4 x 6 ม. 1 ไร่ ปลูกได้ 66 ต้น 4.) ระยะท่ีเหมาะสมสาหรับเกษตรกรท่วั ไป ควรปลูกระยะ 4 x 4 ม.การปลกู 1) ปลูกด้วยตอชาถุง (มี.ค. - ก.ค.) ขุดหลุมขนาด 50 x 50 x 50 ซม. รองก้นหลุมดว้ ยปุ๋ยคอกหรอื ปยุ๋ หมักประมาณ 1 บุง้ ก๋ี คลกุ เคลา้ เข้ากับดินลงในหลมุ ปลกู ฉกี ถุงดาออกอยา่ ใหด้ ินแตก นาลงหลุมกลบดินให้แนน่ แล้วรดน้าสัปดาห์ละ 2 คร้งั (ถ้าฝนไม่ตก)
2) ปลูกด้วยเหง้า หรือตอไผ่ท่ีไม่ได้ชาถุง โดยขุดเหง้าหรือตอไผ่ แล้วนาไปปลูกทันทีดว้ ยการขดุ หลุมเฉพาะ ไม่ตอ้ งรองก้นหลุมด้วยปุ๋ยคอก ปลูกแล้วกลบดินให้แน่น รดน้าให้ชุ่มสัปดาห์ละ 2 คร้ัง ช่วงท่ีเหมาะสมในการปลูกโดยวิธีน้ี คือ เดือน ม.ค. - เม.ย. เหมาะสาหรับผู้ที่มีแหล่งน้าและสะดวกในการใหน้ ้าการดแู ลรกั ษา - ถ้าไมม่ ีฝนตกควรรดน้าสัปดาหล์ ะ 2 ครัง้ - กาจัดวชั พชื ทาความสะอาดแปลงอยา่ ปล่อยใหห้ ญ้าคลุม - เมอ่ื ไผ่ปลูกได้ 7 เดอื น ควรตดั แต่งกิ่งและลาตน้ ทีเ่ ลก็ ออกให้เหลอื ไว้แต่ต้นท่ีมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 3 - 5 ซม. แล้วพรวนดินรอบกอ ให้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก กอละประมาณ 5 - 10กก. คลมุ โคนดว้ ยเศษหญ้า ใบไมแ้ หง้ หรือฟางข้าว เพ่ือเก็บรักษาความช้ืนในดิน ถ้ามีน้าในไร่นาควรใหน้ า้ ตลอดช่วงฤดแู ลง้ เพื่อเร่งการเจรญิ เตบิ โต - เมือ่ ไผ่มอี ายุได้ 8 เดือน ขึ้นไป ก็จะสามารถให้หน่อและเพ่ิมจานวนต้นในแต่ละกอเพ่อื จะไดป้ ริมาณจานวนต้นไว้ผลิตหนอ่ ในฤดูต่อไปเทคนคิ การตัดแตง่ กอและกิง่ ไผ่ - หลกั สาคัญในการตัดแต่งกิ่งไผ่อยู่ท่ีปีท่ี 2 ซึ่งจะต้องตัดต้นท่ีแก่และยู่ชิดกันออก โดยใช้เล่อื ยตดั แตง่ กง่ิ เฉพาะจะสะดวกให้เหลือจานวนตน้ ไวใ้ นแตล่ ะกอไม่เกิน 12 ตันต่อไป (การตัดแต่งควรตัดทุกปีอย่างตอ่ เน่ือง ปลี ะ 1 ครั้ง) - ฤดูกาลท่ีเหมาะสมในการตัดแตง่ กิ่ง คอื เดอื น ธค.- มค. - หลงั ตัดแต่งเสร็จให้ใสป่ ยุ๋ คอก หรอื ปุ๋ยหมัก กอละประมาณ 15 - 20 กก. แล้วให้น้าทันที เพ่อื เรง่ ให้ไดผ้ ลผลติ หน่อไผช่ ว่ งต้นฤดู ซง่ึ ขายได้ราคาสงู - ถ้าจะเร่งการออกหน่อ และเพ่ิมผลผลิตให้มากยิ่งขึ้น ให้เสริมด้วยปุ๋ยเคมี สูตร25 - 7 - 7 หรือ 46 - 0 - 0 กอละประมาณ 2 กามือ โดยใส่รอบๆ กอ แล้วจึงกลบด้วยปุ๋ยคอกแล้วให้น้าทันที ถา้ ไม่มีน้าให้ก็ตอ้ งรอเก็บผลผลิตในฤดฝู นตามปกติ แต่ผลผลิตก็จะได้มากกว่า สวนท่ีไม่มีการตดั แตง่ ใสป่ ยุ๋ อย่างแนน่ อนการเก็บผลผลิตหนอ่ ไผ่ - ขนาดความยาวของหน่อไผ่ที่เหมาะสม 40 - 50 ซม. หรือ ถ้าเห็นหน่อไผ่พ้นดินขึ้นมาใหร้ ออกี 4 - 6 วนั กเ็ กบ็ เก่ียวได้ - ช่วงเดือนสิงหาคม ควรคัดเลือกหน่อท่ีมีลักษณะสมบูรณ์และแตกหน่อออกอยู่ห่างกอไว้เปน็ ลาตน้ ต่อไป
- ผลผลติ เฉลย่ี ตอ่ ไร่ 1,700 กก. - รายไดเ้ ฉล่ยี 17,000 บาท/ไร่การขยายพันธุ์ไผ่ ทาได้ 2 ลกั ษณะ ได้แก่ 1) ขยายพันธ์ุโดยการขุดเอาเหง้าของลาต้นไผ่ท่ีมีอายุ 1 ปี แต่ไม่ควรเกิน 1 ปีคร่ึงเมื่อขุดออกมาแล้วควรตัดให้เหลือตอไว้ประมาณ 40 ซม. และตัดแต่งรากออกพอประมาณ เพื่อสะดวกในการปักชา ถุงท่ีเหมาะสมควรเป็นถุงดาขนาด 5 x 11 น้ิว ขึ้นไป ส่วนผสมของดินบรรจุถุงคือ หน้าดิน 1 ส่วน และแกลบดา 1 ส่วน ผสมคลุกเคล้า แล้วใส่ลงในถุงนาเหง้าไผ่ท่ีเรียมไว้ลงถุงกลบดินแกลบให้แน่น ต้ังถุงเรียงไว้กลางแจ้ง รดน้าให้พอชุ่มอยู่ตลอดประมาณ 15 วัน ก็จะเร่ิมแตกแขนง ครบ 2 เดือน นาไปปลูกได้ ช่วงระยะเวลาที่เหมาะสมในการขยายพันธ์ุตามแบบท่ี 1 คือเดือน กพ. - พค. 2) ขยายพันธ์ุโดยการใช้เหง้า จากส่วนท่ีเป็นเหง้าของหน่อท่ีถูกตัดไปขาย แล้วเหลือตอติดดินไว้แตกแขนงข้ึนมารอใหแ้ ขนงทแี่ ตกมาใหม่ มใี บแก่ (แตกใบขิง) จึงขดุ เหง้าพรอ้ มแขนงนี้มาชาถุง แต่ต้องตัดก่ิงแขนงส่วนบนออกให้เหลือติดเหง้าข้ึนไปยาวประมาณ 30 - 40 ซม. ใช้วัสดุชาเหมอื นกับการขยายพนั ธ์ุแบบที่ 1 ชว่ งเวลาทีเ่ หมาะสมในการชาแบบท่ี 2 คือ ตัง้ แตเ่ ดอื น พย. - พค.โรคและแมลงศัตรไู ผ่ - โรค ยงั ไมม่ ีปรากฏทีช่ ัดเจน - แมลงศัตรู ได้แก่ ดว้ งเจาะหนอ่ ไผ่ โดยทว่ั ไปยงั ไมม่ กี ารระบาดถงึ ระดบั เศรษฐกิจ - หนู กัดกินและทาลายหน่อไม้ เกษตรกรผู้ปลูกสามารถดูแลและควบคุมได้ และยังไม่มีการระบาดถงึ ระดับเศรษฐกิจไผอ่ อกดอกแล้วแห้งตาย (ไผเ่ ปน็ ข)ี - สาเหตุ เกดิ จากกอตน้ พนั ธุ์มอี ายุมาก ซึ่งการนามาขยายพันธ์ุไมท่ ราบวา่ กีช่ ่ัวอายแุ ล้ว - การแกไ้ ข ถา้ หากตน้ ทป่ี ลกู ไปแล้วออกดอกใหข้ ุดท้ิงแล้วปลูกทดแทนการปลูกไผ่นอกฤดู ควรเตรียมต้นตั้งแต่ปลายฝน ทาการตัดแต่งกิ่ง รอดูไว้ว่าให้น้านานประมาณ 1 เดือนสาหรับดินทราย ถ้าเป็นดินเหนียวประมาณ 2 เดือน ทาการให้น้าและให้ปุ๋ย รอประมาณ 45 วันหน่อไมจ้ ะแทงหนอ่ ขึน้ มา ให้ตัดขายได้ การออกหน่อหนา้ หนาวจะออกยาก แต่หากอากาศรอ้ นอบ
อ้าว สามารถออกหน่อได้ง่าย อาการเย็นผลผลิตจะออกไม่มาก การเก็บผลผลิตเลือกหน่อที่มีความยาวประมาณ 30-50 เซนติเมตร แล้วทาการหักหน่อโดยใช้มีดหักหน่อนับจากพื้นดิน ข้ึนมา 2 ข้อแล้วเอาหน่อท่ีได้ไปแต่งขาย ส่วนตอของหน่อไม้ ให้ปล่อยไว้สาหรับเป็นหน่อน้า ก็จะแตกกิ่งแขนงออกมา ซ่ึงใช้เวลาประมาณ 2 สัปดาห์ จากน้ันอีกไม่นานบริเวณรอบๆโคนก็จะมีหน่อไม้แตกขึ้นมาใหไ้ ดเ้ ก็บขายเป็นระยะๆ หน่อไม้นอกฤดูปลอดสารพิษ การผลิตหน่อไม้ปลอดสารพิษ หน่อไม้ท่ีผลิตจะไม่ใช้สารเคมีใดๆ ใช้เพียงปุ๋ยคอก ปุ๋ยฟางข้าว หญ้าแห้ง หมักโคน ทาการผลิตปุ๋ยชีวภาพใช้เอง ใช้มูลไก่จากฟาร์ม และเก็บขยะไข่จากฟาร์ม นาเปลือกไข่มาผสมกับมูลวัว กากน้าตาล และหัวเช้ือ พด.2นาไปหมักทาปุ๋ย นอกจากให้ปุ๋ยคอก และ ปุ๋ยชีวภาพแล้ว ถ้ามีจอกหรือผักตบชวา จะนามาคลุมรอบ บริเวณโคนต้น ใหช้ ่วยรกั ษาความช้ืนในดิน สว่ นกิง่ ไผแ่ ละใบ
Search
Read the Text Version
- 1 - 19
Pages: