๑ แบบ ๐๑ แบบเสนอผลงานความเป็นเลิศในการจัดการศึกษา REO ๑๑ MOE AWARDS สำนกั งานศกึ ษาธิการภาค ๑๑ กระทรวงศึกษาธิการ ประเภท ครูผู้สอน ************************************************* ๑. ข้อมูลการเสนอผลงาน ๑) ชื่อผลงาน การส่งเสริมแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ทางการเรียน โดยใช้ CPS MODEL ในการจัดการเรียน การสอน สำหรับนกั เรียนชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ ๓/๑ โรงเรียนบา้ นหาดแพง(หาดแพงวิทยา) ๒) ระยะเวลาดำเนินงาน ตงั้ แต่ ปีการศกึ ษา ๒๕๖๓ ถึง ปีการศกึ ษา ๒๕๖๔ . ๓) การสง่ ผลงานความเปน็ เลศิ ในการจดั การศึกษาดา้ นการจดั การเรียนรู้ (กรุณาระบุ √ ลงใน ท่ตี รงกบั ระดับการจัดการเรยี นร้ขู องครผู ูส้ อน) ระดบั ปฐมวยั ระดบั ประถมศึกษา ระดับมัธยมศึกษา ระดับอาชีวศึกษา การจัดการเรียนรูน้ อกระบบ/การศึกษาพเิ ศษ (กศพ.) การจดั กจิ กรรมส่งเสรมิ สนบั สนุนการจัดการเรยี นรู้ (ให้เลือกนำเสนอเพยี ง ๑ ด้าน) ๑. ดา้ นการสรา้ งและสง่ เสริมความเป็นพลเมืองดตี ามรอยพระยุคลบาท ๒. ดา้ นการจัดการศึกษาเพื่อยกระดบั คุณภาพการศกึ ษา ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค ตดิ เชอ้ื ไวรสั โคโรนา ๒๐๑๙ (Covid - ๑๙) ๓. ดา้ นการจดั การศึกษาเพ่อื ความปลอดภยั ของผเู้ รียน ๔. ดา้ นการสร้างโอกาสพานอ้ งกลบั มาเรยี น ๕. ด้านการจัดการศึกษาเพือ่ พัฒนาทักษะอาชีพ ๖. ด้านการจัดการเรียนร้ดู า้ นอนื่ ๆ ทเ่ี ป็นเลิศ (นอกเหนือจาก ๕ ดา้ น ข้างตน้ ) ๔) ขอ้ มลู ผู้สง่ ผลงาน ๔.๑ ชอ่ื -สกุล นางสาวปาริชาติ ราญมชี ยั ตำแหน่ง ครู . วนั /เดอื น/ปเี กดิ ๓๐ มิถนุ ายน ๒๕๒๓ อายุ ๔๑ ปี . ๔.๒ ปัจจุบนั ดำรงตำแหน่ง ครู . ระดับ/วิทยฐานะ ครชู ำนาญการพิเศษ . สงั กัด สำนกั งานเขตพืน้ ท่ีการศึกษาประถมศึกษานครพนม เขต ๒ จังหวัด นครพนม . โทรศัพท์ (มือถือ) - โทรสาร -. E-mail : - ๔.๓ ทีอ่ ย่ปู จั จบุ ัน เลขท่ี ๒๘ หมู่ที่ ๑ ถนน - . ตำบล หาดแพง อำเภอ ศรีสงคราม จงั หวดั นครพนม . รหัสไปรษณีย์ ๔๘๑๕๐ โทรศพั ท์ ๐๘๓ - ๓๓๗๐๔๕๖ . E-mail: pomran๗@gmail.com . ๔.๔ ระดับการศึกษาสงู สุด ปรญิ ญาโท . สถานศกึ ษา มหาวทิ ยาลยั กรุงเทพธนบุรี ปีท่สี ำเรจ็ การศึกษา ๒๕๕๔ .
๒ ๕) ข้อมูลสถานศึกษา/หน่วยงานการศึกษา ของผู้เสนอผลงาน ชอื่ สถานศึกษา/หนว่ ยงาน โรงเรียนบ้านหาดแพง(หาดแพงวิทยา) เลขที่ ๙๕ หมู่ ๑ ถนน - . ตำบล/แขวง หาดแพง อำเภอ ศรีสงคราม จังหวัด นครพนม . รหสั ไปรษณีย์ ๔๘๑๕๐ โทรศัพท์ - โทรสาร -. สงั กดั ๑. สำนกั งานศกึ ษาธกิ ารภาค ๑๑ ๒. สำนกั งานศกึ ษาธิการ จงั หวดั …………………………………………………………………....................……… ๓. สำนกั งานเขตพื้นท่ีการศกึ ษาประถมศึกษา นครพนม เขต ๒ . ๔. สำนักงานเขตพืน้ ทีก่ ารศึกษามธั ยมศึกษา …………………………………………............……...… ๕. โรงเรียนเอกชนในจงั หวัด................................................................................................. ๖. สำนกั งานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศัยจังหวัด ......................................................................................................................................... ๗. ศนู ย์การศึกษาพเิ ศษประจำจังหวัด................................................................................... ๘. สำนักงานสง่ เสรมิ การปกครองท้องถ่ินจังหวดั .................................................................. ๙. อนื่ ๆ (โปรดระบุ)
๓ ๒. รายงานผลความเปน็ เลิศในการจดั การเรียนรู้ ๒.๑ ความเปน็ มาและความสำคัญ (๑) ความเป็นมาและความสำคัญ สภาพปจั จบุ นั ปญั หาและความจำเป็น การจดั การศึกษาและการเรยี นรูใ้ นศตวรรษท่ี ๒๑ ไม่ใช่เพียงกระบวนการถา่ ยทอดความรู้ แต่คอื การส่งเสริมทักษะการเรียนรู้ตลอดชวี ิตให้กับผู้เรียน เพราะฉะนั้นการศึกษาควรจัดให้ผู้เรียนได้เรียนรู้และพัฒนา ตนเองอย่างต่อเนื่องมิใช่การจดจำเนื้อหาวิชา ควรเน้นการเรียนรู้ที่เกิดจากความต้องการของผู้เรียนอย่างแท้จรงิ และลงมือปฏิบัติเพื่อให้เกิดประสบการณ์ตรง และต่อยอดความรู้นั้นได้ด้วยตนเอง ผู้สอนต้องสามารถสร้างและ ออกแบบสภาพแวดลอ้ มในการเรยี นรู้ท่มี ีบรรยากาศเก้ือหนุนและเอ้อื ต่อการเรยี นรู้อยา่ งมเี ป้าหมาย การเชื่อมโยง ความรู้หรือแลกเปลี่ยนความรู้กับชุมชนและสังคมโดยรวม เรียนรู้ผ่านบริบทความเป็นจริง การสร้างโอกาสให้ ผเู้ รยี นได้เข้าถงึ ส่ือเทคโนโลยี เครอ่ื งมอื และแหล่งเรียนร้ทู ่มี ีคุณภาพ จากสภาพปญั หาทพี่ บในการจดั การเรยี นการสอนรายวิชาวทิ ยาศาสตร์ ระดบั ช้ันมัธยมศกึ ษาปีที่ ๓/๑ โรงเรียนบา้ นหาดแพง(หาดแพงวิทยา) พบว่าผเู้ รียนจำนวนมากมแี รงจูงใจใฝ่สัมฤทธ์ิทางการเรียนในรายวิชา วิทยาศาสตร์อยู่ในระดับน้อยมาก จากการสังเกตของครูผู้สอนที่ผ่านมา พบว่าพฤติกรรมหลายอย่างของผู้เรียน บง่ ช้ถี งึ การขาดแรงจูงใจใฝส่ ัมฤทธิ์ทางการเรยี นของผู้เรียน เชน่ ขาดความกระตือรือรน้ ในการเข้าเรียน ขาดความ ตั้งใจในการทำงาน ทำงานอย่างเร่งรีบเมื่อได้รับมอบหมาย ไม่สนใจกิจกรรมหรือปฏิบัติงานตามคำสั่งของ ครูผู้สอน ไม่มีความอดทนในการทำงาน ย่อท้อต่ออุปสรรคระหว่างการปฏบิ ัติงาน เป็นต้น สำหรับการส่งเสริม แรงจูงใจใฝส่ มั ฤทธทิ์ างการเรยี นน้นั มกี ระบวนการจัดการเรยี นร้อู ยู่หลายวิธี การเลือกใช้กระบวนการจึงจำเปน็ ต้อง พิจารณาถึงความเหมาะสมด้านเนื้อหา สภาพแวดล้อม ตลอดจนความสามารถทางการเรียนรู้ของผู้เรียน จากการศึกษาค้นคว้าแนวคิดและทฤษฎีต่าง ๆ ได้แก่ แนวคิดตามทฤษฎีการเรียนรู้ของไทเลอร์(Tylor) ซึ่งประกอบด้วย ความต่อเนือ่ ง(continuity) หมายถึง ในวิชาทกั ษะต้องเปิดโอกาสให้มีการฝึกทักษะในกิจกรรม และประสบการณบ์ อ่ ยๆ และตอ่ เนอ่ื งกัน การจัดช่วงลำดบั (sequence) หมายถึง การจดั สง่ิ ทมี่ คี วามง่ายไปสู่ส่ิงที่ มีความยาก ดังนั้นการจัดกิจกรรมและประสบการณ์ ให้มีการเรียงลำดับก่อนหลังเพื่อให้ได้เรียนเนื้อหาที่ลึกซ้ึง ยิ่งขึ้น บูรณาการ (integration) หมายถึง การจัดประสบการณ์จึงควรเป็นในลักษณะที่ช่วยให้ผู้เรียนได้เพิ่มพูน ความคิดเห็นและได้แสดงพฤติกรรมที่สอดคล้องกัน เนื้อหาที่เรียน เป็นการเพิ่มความสามารถทั้งหมดของผู้เรียน ที่จะได้ใช้ประสบการณ์ได้ในสถานการณ์ต่างๆ กัน ประสบการณ์การเรียนรู้ จึงเป็นแบบแผนของปฏิสัมพันธ์ (interaction) ระหว่างผู้เรียนกับสถานการณ์ที่แวดล้อม รูปแบบการเรียนการสอนทักษะปฏิบัติของเดวีส์ (Davie’s Instructional Model for Psychomotor Domain) (ทิศนา แขมณี. ๒๕๔๕ : ๒๔๔ – ๒๔๕ ; อ้างอิง จาก เดวีส์, ๑๙๗๑ : ๕๐ – ๕๖) ได้นำเสนอแนวคิดเกี่ยวกับการพัฒนาทักษะปฏิบัติไว้ว่า ทักษะส่วนใหญ่จะ ประกอบไปด้วยทักษะย่อย ๆ จำนวนมาก การฝึกให้ผู้เรียนสามารถทำทักษะย่อย ๆ เหล่านั้นได้ก่อนแล้วค่อย เชื่อมโยงต่อกันไปเป็นทักษะใหญ่จะช่วยให้ผู้เรียนประสบผลสำเร็จได้ดีและรวดเร็วขึ้น รูปแบบการเรียนการสอน กระบวนการคิดสร้างสรรค์ (synectics Instructional Model) จอยส์และวีล (ทิศนา แขมณี. ๒๕๔๕ : ๒๕๐ – ๒๕๑ ; อ้างอิงจาก จอยส์และวีล, ๑๙๙๖ : ๒๓๙ – ๒๕๓) เป็นผู้พัฒนารูปแบบนี้จากแนวคิดของกอร์ดอน (Gordon) ทกี่ ล่าววา่ บุคคลท่ัวไปมักยึดติดกับวธิ ีคิดแกป้ ัญหาแบบเดิม ๆ ของตน โดยไม่คอ่ ยคำนึงถึงความคิดของ คนอื่นทำให้ความคิดของตนแคบและไม่สร้างสรรค์ บุคคลจะเกิดความคิดเห็นที่สร้างสรรค์แตกต่างไปจากเดิมได้ หากมีโอกาสได้ลองคิดแก้ปัญหาด้วยวิธีการที่ไม่เคยคิดมาก่อนหรือคิดโดยสมมติตนเองเป็นคนอื่น และถ้ายิ่งให้ บุคคลจากหลายกลุ่มประสบการณ์มาช่วยกันแก้ปัญหาก็จะยิ่งได้วิธีที่หลากหลายขึ้น และมีประสิทธิภาพมากข้ึน หลักการเรียนการสอนตามทฤษฎี Constructionism เป็นการเรียนการสอนที่ผู้เรียนเรียนรู้จากการสร้างงาน ผู้เรียนได้ดำเนินกิจกรรมการเรียนด้วยตนเองโดยการลงมือปฏิบัติหรือสร้างงานที่ตนเองสนใจ ในขณะเดียวกันก็ เปิดโอกาสให้สัมผัสและแลกเปลี่ยนความรู้กับสมาชิกในกลุ่มผู้เรียน จะสร้างองค์ความรู้ขึ้นด้วยตนเองจากการ
๔ ปฏิบตั ิงานท่ีมีความหมายต่อตนเอง ครผู สู้ อนจะต้องสร้างให้เกิดองคป์ ระกอบครบทั้ง ๓ ประการ คอื ๑) ให้ผู้เรียน ได้ลงมือประกอบกิจกรรมด้วยตนเอง (ได้สร้างงาน) ตามความสนใจตามความชอบหรอื ความถนัดของแต่ละบุคคล ๒) ให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ภายใต้บรรยากาศและสภาพแวดล้อมในการเรียนรู้ที่ดี ๓) มีเครื่องมืออุปกรณ์ในการ ประกอบกิจกรรมการเรียนรู้ที่เหมาะสม ปรับการจัดการเรยี นรู้ทีเ่ นน้ เนื้อหา (Content) มาเป็นการจัดการเรยี นรู้ ที่เน้นความคิดรวบยอด (Concept) เพื่อช่วยให้ผู้เรียนสามารถนำข้อมูลตา่ ง ๆ มาเชื่อมโยงอย่างเป็นเหตเุ ป็นผล ในรูปแบบของความคิดรวบยอด (concept) แล้วบันทึกไว้เป็นความจำระยะยาว (long term memory) เพราะ เมื่อสมองของผู้เรยี น ถูกจัดระเบียบข้อมูลไว้อยา่ งเป็นระบบในรูปแบบของความคิดรวบยอดแล้ว เมื่อพบกับข้อมลู ใหม่ก็จะสามารถจำแนกหมวดหมู่ เชื่อมโยงความสัมพันธ์(transfer of learning) เข้ากับความคิดรวบยอดที่มี อยูเ่ ดมิ ได้อย่างรวดเร็ว ง่ายขน้ึ ทำใหส้ ามารถต่อยอดความรู้ ประสบการณ์ ได้มปี ระสทิ ธิภาพ และสามารถสร้าง องคค์ วามรู้ไดด้ ว้ ยตนเอง จากการศึกษาแนวคิดทฤษฎีดังกล่าวข้างต้น ข้าพเจ้าจึงได้รวบรวมข้อมูลมาออกแบบและสร้าง เป็นรูปแบบในการพัฒนาการจัดการเรียนการสอนในรายวิชาวิทยาศาสตร์ เพื่อส่งเสริมแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ทาง การเรยี นของผเู้ รียน โดยใช้ CPS MODEL มาใชใ้ นการจัดการเรยี นการสอนเพ่ือสง่ เสริมใหผ้ ้เู รยี นเกิดแรงจูงใจใฝ่ สัมฤทธิ์ในการเรียน อันจะนำมาซึ่งพฤติกรรมการเรียนรู้ที่พึงประสงค์ เช่น มีความกระตือรือร้นในการเข้าเรียน ตั้งใจในการทำงาน ร่วมกิจกรรมการเรียนการสอนหรือปฏิบัติงานตามที่ครูมอบหมาย มีความรับผิดชอบต่องาน ที่ได้รับมอบหมาย อดทนต่อการทำงานที่ยากและอุปสรรคตา่ ง ๆ รวมถึงการวางแผนการทำงานอย่างเปน็ ระบบ และนำความรู้ไปประยุกต์ใชใ้ นการดำเนินชวี ิตประจำวันได้ต่อไป (๒) วัตถปุ ระสงค์ ๑. เพอื่ ศึกษาการส่งเสริมแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธทิ์ างการเรยี น โดยใช้ CPS MODEL ในการจัดการ เรยี นการสอน สำหรบั นักเรยี นช้ันมัธยมศึกษาปที ี่ ๓/๑ โรงเรียนบ้านหาดแพง(หาดแพงวทิ ยา) ๒. เพื่อศึกษาระดับแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ทางการเรียนในรายวิชาวิทยาศาสตร์ หลังใช้ CPS MODEL ในการจัดการเรียนการสอน สำหรับนักเรียนชัน้ มัธยมศกึ ษาปีท่ี ๓/๑ โรงเรียนบ้านหาดแพง(หาดแพง วทิ ยา) ๓. เพื่อศึกษาเจตคติของนักเรียนในการเรียนในรายวิชาวิทยาศาสตร์ หลังใช้ CPS MODEL ในการจัดการเรียนการสอน สำหรบั นักเรยี นชัน้ มธั ยมศกึ ษาปที ี่ ๓/๑ โรงเรยี นบ้านหาดแพง(หาดแพงวิทยา) (๓) เปา้ หมายในการดำเนนิ งาน กลุ่มเปา้ หมาย ๑. กลุ่มเปา้ หมาย กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการศึกษาในครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓/๑ ปีการศึกษา ๒๕๖๔ ของโรงเรียนบ้านหาดแพง(หาดแพงวิทยา) อำเภอศรีสงคราม จังหวัดนครพนม จำนวน ๒๐ คน
๕ (๔) แนวคดิ ทฤษฎปี ระกอบการดำเนนิ งาน การศึกษาครั้งนี้เป็นการศึกษาแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนในระดับช้ัน มธั ยมศกึ ษาปที ี่ ๓/๑ โรงเรยี นบ้านหาดแพง(หาดแพงวทิ ยา) ผู้ศึกษาได้ศกึ ษาแนวคดิ และทฤษฎที ่เี ก่ียวข้อง ดงั นี้ ทฤษฎีแรงจงู ใจ แรงจูงใจเป็นสิ่งที่เราต้องนำมาใช้ในชีวิตประจำวันของเรา ผลสำเร็จทางการเรียน การงาน และความสุขในชวี ิตข้ึนอยู่กบั แรงจงู ใจ การประสบความสำเร็จในการสร้างแรงจูงใจไม่ใช่ทำได้เพียงบางคนเท่านั้น ปัจจุบันก็มนี ักคดิ นักปราชญ์จำนวนมากพยายามชีใ้ หเ้ ห็นถึงความสำคญั และความจำเป็นของการสร้างแรงบันดาล ใจ (Drives) ซึ่งจะกระตุ้นให้คนแสดงความสามารถออกมาเป็นธรรมดาอยู่เองที่ว่า ถ้าคนเรารู้สึกว่าชีวิตมีให้ไว้ มากด้วยคุณค่าเพียงไร ก็จะทำให้ประสิทธิภาพการทำงานเพิ่มพูนมากยิ่งขึ้นเพียงนั้น ดังจะเห็นได้ว่า การที่คน มีความรักในอาชีพ สนใจในงานและอยากทำงานให้มีประสิทธิภาพ กับการที่คนไม่รักงาน ไม่สนใจงาน และ ไมอ่ ยากทำงานให้ดีมีประสิทธิภาพย่อมจะมสี าเหตทุ ี่แตกต่างกนั ออกไป แนวคิดและความหมายเกี่ยวกับแรงจงู ใจ แรงจูงใจ ตามพจนานกรมการจัดการ ( Dictionary of Management ) ของทอส และคารโรลล ( Tois and Carroll 1982 : 387 ) หมายถึง แรงขับของแต่ละบคุ คล ซึ่งเป็นสาเหตุท่ีทำให้บคุ คลแสดงพฤติกรรม โดยเฉพาะที่เกิดขึ้นในการทำงาน หรือการกระทำที่บุคคลจะทำงานให้สำเร็จโดยได้รับอิทธิพลจากการกระทำ ของคนอื่นที่กำหนดแนวทางเฉพาะใช้ในการบริหาร โดยผู้บริหารจะจูงใจพนักงานทำงานใหองคการอย่างมี ประสทิ ธภิ าพ จากความหมายดังกล่าวจะเห็นได้ว่า แรงจูงใจ คือ แรงผลักดัน แรงกระตุ้น ที่เกิดจากความ ตอ้ งการท่จี ะได้รบั การตอบสนองต่อส่ิงกระตนุ้ ที่องคกรจัดให ซง่ึ กอใหเกดิ พฤติกรรมในการทำงาน ซึ่งประกอบด้วย ปัจจัยแห่งความต้องการพื้นฐาน ได้แก่ ความสำเร็จในการทำงาน ความเจริญเติบโตในการทำงาน ปัจจัย สุขอนามัย นโยบายและการบริหารงานขององค์กร ค่าจ้าง เงินเดือนที่ได้รับ ความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงาน สภาพการทำงาน ความสัมพันธ์กับผู้บังคับบัญชา ความมั่นคงในการทำงาน เมื่อวิเคราะห์ดูแล้วก็จะพบว่า แรงจูงใจเหล่านเี้ กิดขน้ึ จากปฏิกิรยิ าพ้นื ฐานสว่ นลึกของจิตใจภายใน ซ่งึ ตามจิตศาสตร์น้นั ถือไดว้ า่ เป็นสภาวะจิตใจ ที่ไม่อยู่ในความควบคมุ ของตัวเรา เป็นที่รวมความคิดเพื่อการแสดงออกโดยเราไม่รู้ตัวหรือที่เรียกว่า จิตใต้สำนกึ นั้นเอง ซึ่งจิตใต้สำนึกนี้บุคคลย่อมมีแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ด้วยกันทุกคน กล่าวโดยสรุปแล้ว แรงจูงใจ หมายถึง ภาวะอินทรีย์ภายในรา่ งกายของบุคคลถูกกระตนุ้ จากส่ิงเร้า เรยี กวา่ สิ่งจูงใจกอ่ ใหเ้ กดิ ความต้องการอันจะนำไปสู่ แรงขับภายในท่ีแสดงพฤติกรรมการทำงานท่มี ีคุณค่าในทิศทางท่ถี ูกต้อง แรงจงู ใจใฝส่ มั ฤทธิ์ แมคเคอแลนด์ (McClelland) ได้กล่าวว่า ประเทศที่มีความเจริญทางเศรษฐกิจ และ อุตสาหกรรม ส่วนมากคนในประเทศจะมีแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์สูงกว่าประเทศที่ด้อยพัฒนา ผลจากการศึกษาวิจัย ในเรื่องแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ พอจะสรุปได้ว่า ผู้ที่มีแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ คือ ผู้ที่มีความต้องการทำอะไรให้ประสบ ความสำเร็จ เครื่องล่อใจของผู้ที่มีแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์สูงคือ การทำอะไรให้ดียิ่งขึ้น สำหรับพวกที่มีแรงจูงใจ ใฝ่สัมฤทธิ์สูง การทำอะไรให้ดียิ่งขึ้น ก็เพื่อความสุขของตนเองในเรื่องการอบรมเลี้ยงดู เพื่อส่งเสริมแรงจูงใจ ใฝ่สัมฤทธิ์ให้กับเด็กนั้น ได้พบว่า การฝึกให้เด็กเป็นอิสระ ให้พึ่งพาตนเองได้ตั้งแต่เยาว์วัยจะทำให้เด็กคนนั้นมี แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์สูงขึ้น แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ หมายถึง แรงจูงใจที่เป็นแรงขับให้บุคคลพยายามที่จะประกอบ
๖ พฤติกรรมที่จะประสบสมั ฤทธิ์ผลตามมาตรฐานความเป็นเลิศท่ีตนตั้งไว้ บุคคลที่มแี รงจูงใจใฝส่ มั ฤทธิ์จะไม่ทำงาน เพราะหวงั รางวัล แต่ทำเพอื่ จะประสบความสำเร็จตามวัตถุปะรสงคท์ ต่ี ั้งไว้ ทฤษฎีของกิลฟอรด ( Guilford. 1968 : 39 ) กลาวถึงลักษณะของผู้ที่มีแรงจูงใจใฝสัมฤทธ์ิว่า ประกอบด้วย ความทะเยอทะยานทวั่ ๆ ไป คือ ปรารถนาทจ่ี ะทำกิจการนนั้ ให้สำเร็จ มีความเพยี ร ทฤษฎีแอคคินสัน ( Atkinsion. 1966 : 51 ) ได้อธิบายแรงจูงใจใฝสัมฤทธิ์วา เป็นแรงผลักดัน ที่เกิดขึ้นเมื่อบุคคลรู้ตัวว่าการกระทำของตนจะตองได้รับการประเมินผลจากตัวเองหรอื บุคคลอื่น โดยเทียบเคียง กับมาตรฐานอันดีเยี่ยม ผลจากการประเมินอาจเป็นที่พอใจเมื่อกระทำจนเสร็จ หรือไม่น่าพอใจเมื่อกระทำ ไม่สำเรจ็ กไ็ ดแ้ รงจงู ใจใฝส่ ัมฤทธติ์ อ้ งคำนงึ ถงึ ประเดน็ ต่าง ๆ ๓ ประเดน็ คอื ๑. การจูงใจจะบรรลุความสำเร็จ ( Motive to Achieve Success ) บุคคลแต่ละคนมีแรงจูงใจ ที่จะไปสู่ความสำเร็จ รวมทั้งจูงใจที่จะหลกี เล่ียงความล้มเหลวแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับประสบการณ์เดิมของแต่ละ บุคคลถ้าเขาประสบความสำเร็จเขาจะมีแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์มากกว่าบุคคลที่เคยประสบความล้มเหลวมาก่อน ซ่งึ จะมแี รงจงู ใจใฝ่สมั ฤทธต์ิ ่ำ ๒. การมีโอกาสของความสำเร็จ ( Probability of Success ) ถ้างานที่ไม่ยากหรือง่ายเกินไป บุคคลจะมีแรงจูงใจใฝส่ ัมฤทธ์ิมาก แต่ถา้ งานที่ทำยากหรือง่ายเกนิ ไป ไม่วา่ คน ๆ นน้ั จะมแี รงจูงใจใฝ่สัมฤทธ์ิมาก หรือน้อยเขาก็จะไม่รสู้ ึกวา่ เขาจะมีโอกาสประสบความสำเรจ็ หรือความล้มเหลว ๓. คุณค่าของความสำเร็จ ( Incentive Value of Success ) เมื่อบุคคลมีความถึงพอใจใน ความสำเร็จของตนมากขึ้น ก็จะทำใหเ้ ขาไม่เกดิ ความพงึ พอใจในความสำเรจ็ น้นั มากเท่าไหร่ พฤตกิ รรมของผูท้ ่มี ีแรงจูงใจใฝส่ ัมฤทธสิ์ ูง ๑. กล้าเสย่ี งพอสมควร ( Moderate Risk – Taking ) ในเหตุการณที่ตองใชความสามารถโดยไม่ ขึ้นอยู่กับโชคชะตา จะมีการตัดสินใจเด็ดเดี่ยวไม่ลังเล บุคคลที่ต้องการสัมฤทธิ์สูงมักไม่พอใจที่จะทำงานง่าย ๆ แต่ต้องการทำงานท่ียากลำบากพอสมควรเพราะมีความมั่นใจในความสามารถของตนเอง เพราะการทำงานท่ียาก ให้ลลุ ว่ งไปได้นน้ั จะนำความพอใจมาสตู่ น ๒. ขยันขันแข็ง ( Energetic ) หรือชอบการกระทำแปลก ๆ ใหม่ ๆ ที่จะทำให้บุคคลนั้นเกิด ความรู้สึกว่าตนเองประสบความสำเร็จ ผู้มีความต้องการสัมฤทธิ์ผลสูงไม่จำเป็นต้องเป็นคนขยันในทุกกรณีไป แต่จะมานะพากเพียรต่อส่ิงที่ท้าทาย หรือยั่วยุความสามารถของตนและทำใหต้ นเกิดความรู้สึกว่าได้ทำงานสำคญั ลุล่วงไปแล้ว ผู้ที่มีความต้องการสัมฤทธิ์ผลสูงมักจะไม่ขยันขันแข็งในงานอันเป็นกิจวัตรประจำวัน แต่จะทำงาน ขยันขันแข็งเฉพาะงานที่ต้องใช้สมองและเป็นงานที่ไม่ซ้ำแบบใคร หรือสามารถจะค้นคว้าหาวิธีการใหม่ ๆ ที่จะ แกป้ ญั หาให้สำเรจ็ ลลุ ่วงไป ๓. รับผิดชอบต่อตนเอง ( Individual Responsibility ) ผู้ที่มีความต้องการสัมฤทธิ์ผลสูงมักจะ พยายามทำงานใหส้ ำเร็จเพ่ือความพึงพอใจในตนเอง มใิ ชห่ วังใหค้ นอื่นยกย่อง มคี วามตอ้ งการเสรีภาพในคิดและ การกระทำไมช่ อบให้ผ้อู ่ืนมาบงการ ๔. ต้องการทราบแน่ชัดถึงผลการตดั สนิ ความสนใจของตนเอง ( Knowledge of Result of Decision ) โดยไม่ใช่เพียงการคาดคะเนเอาว่าจะต้องเป็นลักษณะอย่างนั้นอย่างนี้ นอกจากนี้ผู้ที่ต้องการสัมฤทธ์ิ ผลสงู ยังพยายามท่ีจะทำตวั ใหด้ ีกวา่ เดมิ อีกเมื่อทราบวา่ ผลการทำของตวั มันเองเป็นอย่างไร ๕. มีการทำนายหรือคาดการณ์ไว้ล่วงหน้า ( Anticipation of Future Possibilities ) ผู้ที่มี ความตอ้ งการสมั ฤทธ์ผิ ลสูง มกั เป็นบุคคลท่ีมแี ผนระยะยาวเพราะเลง็ เห็นผลการณไ์ กลกว่าผู้ทีม่ ีสัมฤทธผ์ิ ลต่ำ ๖. มีทักษะในการจัดระบบงาน ( Organizational Skills ) เป็นสิ่งที่แมคเคอแลนด์ เห็นว่าควร จะมแี ต่ยงั มีหลักฐานค้นคว้ามาสนับสนนุ ไดไ้ ม่เพยี งพอ
๗ ความหมายของเจตคติ (Atitude) ไดม้ ีนกั การศึกษาใหค้ วามหมายของเจตคติไวด้ ังต่อไปนี้ คำว่า Atitude ซึ่งแปลว่าเจตคติ เป็นคำมาจากรากศัพท์ภาษาละตินว่า “Aptus” แปลว่า โน้มเอียงเหมาะสม (Allport, ๑๙๖๗, p.๓) ซึ่งมีนักจิตวิทยาและนักการศึกษาได้ให้ความหมายไว้ แตกตา่ งกัน ดังน้ี Glietman (๑๙๙๒, p. ๓๐๙) ให้ความหมายของเจตคติ ว่าเป็นสภาพของจิตใจที่มี ต่อความคิด สิ่งต่าง ๆ หรือคน ซึ่งเกิดจากความเชื่อ ความรู้สึก การไตร่ตรองและการโน้มน้าวให้แสดงออก ในทางบวกหรอื ทางลบ Baron, Donn and Barry (๑๙๘๒, p. ๖๔๒) ใหค้ วามหมายของเจตคติว่าเป็นความรู้สึก ความเช่อื และพฤติกรรมท่ีมีตอ่ ส่งิ ของ คน เร่ืองราว และกลุม่ ตา่ ง ๆ ในทางบวกหรอื ทางลบ Good (๑๙๗๓, p. ๔๘) กล่าวว่า เจตคติ หมายถึงความพร้อมที่จะแสดงออกใน ลักษณะหน่งึ ทั้งในดา้ นดแี ละไม่ดี หรืออาจเปน็ การตอ่ ต้านสถานการณบ์ างอย่างของบุคคล เช่น รัก เกลยี ด กลา้ หรือไมพ่ อใจตอ่ ส่ิงน้ัน ศักดไิ์ ทย สุรกิจบวร (๒๕๔๕, น. ๑๓๘) สรุปเจตคติไวว้ ่า ๑. เจตคติเป็นสง่ิ ที่เรยี นรู้ได้ ๒. เจตคติมลี ักษณะทค่ี งทนอยนู่ านพอสมควร ๓. เจตคติมีลักษณะของการประเมินค่าอยู่ในตัว คือ บอกลักษณะดี ไม่ดี ชอบ ไมช่ อบ เปน็ ต้น ๔. เจตคติทำใหบ้ ุคคลทเี่ ป็นเจ้าของพรอ้ มทจ่ี ะตอบสนองตอ่ ทหี่ มายของเจตคติ ๕. เจตคติบอกถึงความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลกับบุคคล บุคคลกับสิ่งของ และบุคคล กบั สถานการณ์ น่ันคอื เจตคตยิ ่อมมีทีห่ มายน่ันเอง แสงเดอื น ทวีสิน (๒๕๔๕, น. ๖๗) กลา่ วว่า เจตคติ หมายถึง ความร้สู กึ ของบคุ คลที่มี ต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ความรู้สึกดังกล่าวอาจจะเกี่ยวกับบุคคล สิ่งของ สภาพการณ์ เหตุการณ์ เป็นต้น เมื่อเกิด ความรู้สึก บุคคลนั้นจะมีการเตรียมพร้อมเพื่อมีปฏิกิริยาตอบโต้ไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่งตามความรู้สึก ของตนเอง เปล่งศักดิ์ ชาระ (๒๕๔๖, น. ๓๓) ให้ความหมายของเจตคติว่า หมายถึง ท่าที ความรู้สึก ความเชื่อที่มีต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง หรือประสบการณ์ใดประสบการณ์หนึ่ง ซึ่งจะเป็นตัวกำหนดปฏิกิริยา การตอบสนองของแตล่ ะบคุ คลในการแสดงออกของพฤติกรรมในด้านตา่ ง ๆ สรุปได้ว่า เจตคติต่อวิชาวิทยาศาสตร์ หมายถึง ความรู้สึก หรือความคิดของผู้เรียน ที่มีต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ซึ่งเป็นผลและประสบการณ์ที่ได้รับจากการเรียน โดยผู้เรียนอาจจะแสดงออกในลักษณะ ของความพึงพอใจทำให้สนใจเรยี นอย่างสมำ่ เสมอ และทำใหส้ ง่ ผลตอ่ ความสำเร็จในการศกึ ษา เครอื่ งมือที่ใชใ้ นการศกึ ษา ในการศึกษาครั้งนี้ เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาจะจำแนกออกเป็น ๒ ประเภท ตามลกั ษณะการใช้งาน ดงั น้ี ๑. เคร่อื งมอื ทใ่ี ชใ้ นการประเมินผลการศกึ ษา ไดแ้ ก่ ๑.๑ แบบวัดเจตคติต่อรายวิชาวิทยาศาสตร์ของนักเรียน สร้างตามวิธีการวัดของลิเคิร์ท (Likert) ซึ่งเป็นข้อคำถามแบบมาตราประมาณค่า (Rating Scale) ๕ ระดับ จำนวน ๑๕ ข้อ ประกอบด้วย
๘ ข้อคำถามที่มีความหมายทางบวก และข้อความถามที่มีความหมายทางลบ (ธีรวุฒิ เอกะกุล, ๒๕๔๙, น. ๖๐) โดยมีเกณฑก์ ารใหค้ ะแนนเปน็ ดงั นี้ การกำหนดค่าน้ำหนกั คำถามประเภททางบวก กำหนดให้ค่าน้ำหนักสูงสุดอยูท่ ี่ “เห็นด้วย อยา่ งย่ิง” และค่าน้ำหนักตำ่ ที่สดุ อยทู่ ่ี “ไม่เห็นด้วยอยา่ งยงิ่ ” ดังนี้ เห็นดว้ ยอย่างยง่ิ คา่ น้ำหนกั อยู่ที่ ๕ เหน็ ดว้ ย คา่ น้ำหนกั อยู่ที่ ๔ ไมแ่ น่ใจ คา่ น้ำหนกั อยู่ที่ ๓ ไมเ่ หน็ ดว้ ย ค่านำ้ หนักอยู่ท่ี ๒ ไมเ่ หน็ ดว้ ยอยา่ งยง่ิ คา่ น้ำหนกั อยู่ท่ี ๑ คำถามประเภททางลบ กำหนดให้ค่าน้ำหนักสูงสุดอยู่ที่ “ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง” และ ค่าน้ำหนักต่ำท่ีสดุ อยทู่ ่ี “เห็นดว้ ยอยา่ งย่งิ ” ดงั น้ี ไม่เหน็ ดว้ ยอย่างยง่ิ ค่าน้ำหนักอยู่ที่ ๕ ไมเ่ หน็ ดว้ ย คา่ นำ้ หนักอยู่ที่ ๔ ไมแ่ น่ใจ คา่ น้ำหนกั อยทู่ ่ี ๓ เห็นด้วย ค่านำ้ หนกั อยทู่ ี่ ๒ เห็นดว้ ยอย่างยง่ิ ค่าน้ำหนักอยูท่ ี่ ๑ เกณฑ์การแปลความหมาย (ล้วน สายยศ และองั คณา สายยศ, ๒๕๔๓, น. ๘๘) ดังน้ี ค่าเฉลี่ย ๔.๕๐ - ๕.๐๐ หมายถึง มเี จตคตติ ่อวชิ าวิทยาศาสตร์ เห็นด้วยอย่างยงิ่ ค่าเฉล่ยี ๓.๕๐ - ๔.๔๙ หมายถงึ มเี จตคตติ ่อวิชาวทิ ยาศาสตร์ เหน็ ดว้ ย คา่ เฉลีย่ ๒.๕๐ - ๓.๔๙ หมายถึง มีเจตคติต่อวชิ าวทิ ยาศาสตร์ ไม่แน่ใจ ค่าเฉลย่ี ๑.๕๐ - ๒.๔๙ หมายถึง มีเจตคติต่อวชิ าวทิ ยาศาสตร์ ไมเ่ ห็นด้วย ค่าเฉลีย่ ๑.๐๐ - ๑.๔๙ หมายถงึ มเี จตคตติ ่อวิชาวทิ ยาศาสตร์ ไม่เห็นดว้ ยอย่างย่ิง ๒. เครื่องมอื ท่ใี ชใ้ นการสะท้อนผลการปฏบิ ตั กิ าร ไดแ้ ก่ ๒.๑ แบบวัดแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาวิทยาศาสตร์พื้นฐาน โดยใช้ CPS MODEL สำหรบั นักเรียนชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี ๓/๑ โรงเรยี นบา้ นหาดแพง(หาดแพงวิทยา) กำหนดรูปแบบของแบบวดั แรงจูงใจใฝ่สมั ฤทธท์ิ างการเรียน โดยกำหนดเปน็ ชนิดมาตราส่วน ประมาณค่า (Rating Scale) สร้างข้อคำถามเกี่ยวกับแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิท์ างการเรียน ประกอบด้วย ข้อคำถาม ที่มีความหมายทางบวก และข้อความถามที่มีความหมายทางลบ ตามแนวคิดของลิเคิร์ท (Likert, ๑๙๖๑ cited in Bast & Kahn, ๑๙๙๓, p. ๒๔๗) แบ่งเป็น ๕ ระดับ โดยเรียงจาก มากที่สุด มาก ปานกลาง น้อย นอ้ ยท่สี ุด จำนวน ๒๐ ข้อ ซ่งึ มีเกณฑ์คะแนน ดงั น้ี การกำหนดค่าน้ำหนัก คำถามประเภททางบวก กำหนดให้ค่าน้ำหนักสูงสุดอยู่ที่ “มากที่สุด” และค่านำ้ หนักต่ำท่ีสุดอยู่ท่ี “นอ้ ยท่สี ดุ ” ดงั น้ี ๕ หมายถงึ แรงจงู ใจใฝ่สัมฤทธอิ์ ยู่ในระดบั มากท่สี ดุ ๔ หมายถงึ แรงจงู ใจใฝ่สมั ฤทธอ์ิ ยู่ในระดบั มาก ๓ หมายถึง แรงจงู ใจใฝส่ มั ฤทธิอ์ ย่ใู นระดับปานกลาง ๒ หมายถงึ แรงจงู ใจใฝ่สัมฤทธ์ิอย่ใู นระดับนอ้ ย ๑ หมายถงึ แรงจงู ใจใฝส่ ัมฤทธิ์อยู่ในระดบั นอ้ ยท่ีสุด
๙ คำถามประเภททางลบ กำหนดให้ค่าน้ำหนกั สูงสุดอยู่ที่ “น้อยที่สุด” และค่านำ้ หนกั ต่ำท่สี ุดอยู่ ที่ “มากทสี่ ดุ ” ดังน้ี ๕ หมายถึง แรงจูงใจใฝส่ ัมฤทธิ์อยู่ในระดับน้อยทีส่ ุด ๔ หมายถงึ แรงจูงใจใฝ่สมั ฤทธ์อิ ยู่ในระดบั น้อย ๓ หมายถึง แรงจูงใจใฝส่ ัมฤทธ์อิ ยูใ่ นระดับปานกลาง ๒ หมายถึง แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธ์อิ ยใู่ นระดับมาก ๑ หมายถงึ แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธ์อิ ย่ใู นระดบั มากที่สดุ ความหมายของคะแนน โดยใช้คะแนนเฉลี่ยของคะแนนซึ่งกำหนดตามเกณฑ์ของ บุญชม ศรี สะอาด และบุญสง่ นิลแกว้ (๒๕๓๕, น. ๒๒ - ๒๕) ดังนี้ ๔.๕๑ - ๕.๐๐ หมายถึง แรงจูงใจใฝส่ มั ฤทธิ์ทางการเรยี น อยู่ในระดับมากทส่ี ุด ๓.๕๑ - ๔.๕๐ หมายถงึ แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิท์ างการเรยี น อยู่ในระดับมาก ๒.๕๑ - ๓.๕๐ หมายถงึ แรงจูงใจใฝ่สมั ฤทธิ์ทางการเรียน อยู่ในระดับปานกลาง ๑.๕๑ - ๒.๕๐ หมายถึง แรงจูงใจใฝส่ ัมฤทธ์ิทางการเรียน อย่ใู นระดับนอ้ ย ๑.๐๐ - ๑.๕๐ หมายถึง แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ทางการเรียน อยู่ในระดับน้อยที่สุด การเก็บรวบรวมขอ้ มลู ในการศึกษาครั้งนี้ เป็นการศึกษาการส่งเสริมแรงจูงใจใฝส่ มั ฤทธิท์ างการเรียน โดยใช้ CPS MODEL ในการจัดการเรียนการสอน สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓/๑ โรงเรียนบ้านหาดแพง(หาดแพง วิทยา) ซึง่ มีขนั้ ตอนการเก็บรวบรวมขอ้ มลู ดังตารางต่อไปน้ี ชว่ งการดำเนินการ กจิ กรรม เครือ่ งมือ กอ่ นใช้ CPS MODEL ๑. ศกึ ษาปญั หาของผ้เู รยี นและแนวทางแก้ปญั หา ๑. แบบวัดเจตคติตอ่ ในการจดั การเรียน ๒. สอบถามความคดิ เหน็ ของคุณครทู ่านอืน่ ทีส่ อนใน รายวชิ าวิทยาศาสตรข์ อง การสอน ระดับเดียวกนั นักเรยี น ๓. สัมภาษณ์ผเู้ รยี นถงึ ปัญหาที่พบ ๒. แบบวัดแรงจงู ใจใฝ่ ๔. วางแผนดำเนนิ การสร้างเครือ่ งมือ สัมฤทธิท์ างการเรยี น ระหว่างใช้ CPS ขน้ั วางแผน (Plan) ๑. แบบวดั เจตคตติ ่อ MODEL ในการจดั การ ๑. ศึกษาสภาพปญั หา วิเคราะหห์ าสาเหตขุ องปญั หา รายวิชาวทิ ยาศาสตรข์ อง เรยี น และวธิ ดี ำเนินการแกไ้ ข นกั เรียน การสอน ๒. วางแผนและออกแบบการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้ ๒. แบบวัดแรงจงู ใจใฝ่ ๓. สรา้ งเคร่ืองมอื ในการศกึ ษาและเครื่องมือสำหรับ สมั ฤทธิท์ างการเรียน เก็บข้อมูล ขั้นปฏบิ ตั ิการ (Act) ๑. ดำเนนิ การจดั กิจกรรมการเรยี นรูต้ ามแผนการ จดั การเรียนรูท้ ่ีสร้างข้ึน
๑๐ ช่วงการดำเนินการ กิจกรรม เครือ่ งมอื ข้ันสงั เกตการณ์ (Observe) ๑. สงั เกตสง่ิ ท่เี กิขนึ้ ระหว่างการจดั กิจกรรมและหลัง การจัดกจิ กรรม และบันทึกผล ขัน้ สะท้อนผลการปฏิบัติ (Reflect) ๑. วิเคราะห์ขอ้ มูลทเ่ี ก็บรวบรวมได้ นำมาสรปุ และ หาแนวทางแก้ไข ปรับปรงุ การจัดกจิ กรรมการเรยี น การสอนต่อไป หลงั ใช้ CPS MODEL วัดเจตคตติ อ่ รายวชิ าวทิ ยาศาสตร์ของนักเรยี น หลงั ๑. แบบวดั เจตคติตอ่ ในการจัดการเรยี น ใช้ CPS MODEL ในการจัดการเรยี นการสอน รายวิชาวทิ ยาศาสตร์ของ การสอน และวดั ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียน นกั เรยี น ๒.๒ กระบวนการดำเนนิ งาน (๑) แผนการจดั การเรยี นรูท้ ีส่ อดคล้องกับการปฏบิ ัติงาน กำหนดวตั ถุประสงค์ ศึกษาข้อมลู จากเอกสาร ทฤษฎกี ารจดั การเรียนรู้ วิเคราะห์ปัจจัยในการจดั การเรียนรู้ ออกแบบนวตั กรรม ปรับปรงุ จดั กิจกรรมการเรียนการสอนใหก้ ับผู้เรียน ประเมินผล นวัตกรรม (โมเดลการจดั การเรียนการสอน) ภาพท่ี ๑ แผนภาพขน้ั ตอนการดำเนินงาน
๑๑ CPS MODEL ๑. กระตุ้นความสนใจ (Active) Skill ๒. เปิดโอกาสทางความคิด (Open) S ๗. ชีแ้ นะแนวทาง (Guide) ๓. ความเหมาะสม (Match) ๘. ลงมอื ปฏบิ ตั ิ (Make) ๙. ฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ (Always) C X P Creativity Problem solving ๔. ให้ความรู้ (Knowledge) ๕. นำความรไู้ ปปรับใช้ (Use) ๖. คน้ หาความรู้ใหม่ (New) ภาพที่ ๒ แผนภาพโมเดลทอี่ อกแบบเพ่ือใช้ในการจดั การเรยี นรใู้ ห้กับผเู้ รียน แนวคิดและทฤษฎีของ CPS MODEL C : Creativity : ความคิดสร้างสรรค์ ขั้นตอนนี้เป็นสร้างแรงจูงใจใฝ่เรียนรู้ให้กับผู้เรียน เพื่อให้ผู้เรียนมีความกระตือรือร้นในการเรียน และ พัฒนาให้ผ้เู รียนมคี วามคิดสร้างสรรค์ มขี ้นั ตอน ๓ ขน้ั ตอน ดังนี้ ๑. กระตุ้นความสนใจ (Active) ให้ผู้เรียนเกิดแรงจูงใจใฝ่เรียนรู้ กระตุ้นให้มีการระลึกถึง ประสบการณเ์ ดิม มุ่งสู่ประเดน็ ทผี่ ู้เรยี นสนใจ จัดกจิ กรรมท่ีเน้นความสนกุ สนาน เช่น การใชเ้ กมนำเขา้ สู่บทเรียน การตั้งคำถามถึงสิ่งที่ใกล้ตัวที่นกั เรียนเคยพบเห็นหรือเคยสมั ผัส เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้เลอื กเรยี นรู้ในสิ่งท่ีตนเอง สนใจ เปน็ ต้น ๒. เปิดโอกาสทางความคิด (Open) เปิดโอกาสให้นักเรียนได้แสดงความคิดเห็น ครูกระตุ้นด้วย คำถามเพื่อให้ผู้เรียนได้แสดงความคิดเห็นที่หลากหลาย จัดกิจกรรมกลุ่มให้ผู้เรียนได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ ประสบการณ์ระหว่างผู้เรียนดว้ ยกันเอง เพอื่ ฝึกให้ผเู้ รยี นมีความกลา้ แสดงออก และเกิดความคดิ สรา้ งสรรคใ์ หม่ ๆ
๑๒ ๓. ความเหมาะสม (Match) จัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับเพศและวัยของผู้เรียน จัดให้มี กิจกรรมการเรียนรู้ที่หลากหลาย ให้นักเรียนได้เลือกตามความสนใจ ทั้งในห้องเรียนและนอกห้องเรียน เช่น การทำการทดลองทางวทิ ยาศาสตรท์ ส่ี อดคล้องกบั หลักสตู รและทีน่ ักเรียนสนใจ P : Problem solving : การแก้ปัญหา ขนั้ ตอนนเี้ ป็นการสง่ เสริมใหผ้ เู้ รียนมที กั ษะการคิดแก้ปัญหา มีขั้นตอน ๓ ขนั้ ตอน ดงั นี้ ๔. ใหค้ วามรู้ (Knowledge) กระตนุ้ ให้ผ้เู รยี นศึกษาค้นควา้ หาความรูด้ ว้ ยตนเองจากส่ือตา่ ง ๆ เชน่ หนังสอื เรยี น คอมพิวเตอร์ หอ้ งสมุด เพอ่ื รวบรวมขอ้ มูลและนำมาสรุปรว่ มกัน ๕. นำความรไู้ ปปรบั ใช้ (Use) ส่งเสริมให้นกั เรียนนำความร้ทู ่ีได้จากการศึกษาค้นควา้ ไปออกแบบ ชิ้นงานเพื่อแก้ปัญหาในชีวิตประจำวัน โดยใช้กระบวนการกลุ่มให้นักเรียนมีการระดมความคิดเพื่อออกแบบและ แก้ปญั หา ๖. ค้นหาความรู้ใหม่ (New) กระตุ้นให้นักเรียนนำข้อมูลที่ได้จากการศึกษาค้นคว้า มาวิเคราะห์ และสังเคราะห์ เพ่ือให้เกดิ ความรใู้ หมจ่ ากการลงมอื ปฏบิ ตั ดิ ้วยตนเอง S : Skill : ความสามารถ ข้ันตอนนี้เปน็ การฝึกฝนให้ผ้เู รียนเกดิ ทกั ษะความชำนาญ จนสามารถทำได้อย่างคลอ่ งแคล่ว ว่องไว และ ถ่ายทอดความร้ใู หก้ บั ผู้อืน่ ได้ มีขนั้ ตอน ๓ ข้นั ตอน ดงั นี้ ๗. ชี้แนะแนวทางการเรียนรู้ (Guide) แสดงให้ผู้เรียนได้เห็นถึงความสัมพันธ์ของเนื้อหาความรู้ และชว่ ยให้เหน็ วา่ สิ่งย่อยนั้นมีความสัมพนั ธ์กับส่งิ ใหญ่อย่างไร ควรแสดงใหเ้ หน็ ถงึ ความสัมพันธ์ของสิ่งใหม่กับส่ิงที่ ผู้เรียนมีประสบการณ์ผ่านมาแล้ว เช่น การยกตัวอย่างสิ่งที่อยู่ใกล้ตัว การเปรียบเทียบ การใช้สื่อรูปภาพ ประกอบการเรยี น เปน็ ต้น ๘. ลงมือปฏิบัติจริง (Make) ส่งเสริมให้ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติกิจกรรมต่าง ๆ ด้วยตนเอง ตามความสนใจ ตามความถนัดและตามศักยภาพ ให้ผู้เรียนได้ฝึกในสภาพสิ่งแวดล้อมจริง เพื่อให้เกิด ประสบการณต์ รง ซ่ึงจะทำให้ผเู้ รยี นเกดิ ความเช่อื มน่ั เป็นแรงจงู ใจให้เกดิ การใฝ่รู้ ใฝ่เรียน ๙. ฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ (Always) ส่งเสริมให้ผู้เรียนได้ฝึกปฏิบัติกิจกรรมต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง ปฏบิ ัติอยเู่ สมอ เพ่ือใหเ้ กิดความชำนาญ สามารถทำงานไดถ้ ูกต้อง และรวดเรว็ มากข้นึ จนเกดิ เป็นทักษะท่ีถาวร (๒) มกี ารดำเนนิ งานตามแผนงาน มกี ารบันทกึ ผล และแสดงผลอย่างชดั เจน การใช้ CPS MODEL ในการจัดการเรียนการสอน สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓/๑ โรงเรยี นบา้ นหาดแพง(หาดแพงวิทยา) มีการดำเนนิ งานตามแผน มีการบนั ทกึ ผล และแสดงผล ดังน้ี ๑. กำหนดวตั ถปุ ระสงค์ในการดำเนินงาน ๒. ศกึ ษาข้อมลู จากเอกสาร ทฤษฎีการจดั การเรียนรู้ ๓. วิเคราะหป์ จั จัยในการจัดการเรยี นรู้ ๔. ออกแบบวธิ ีการจดั การเรยี นรู้ ๕. จัดทำแผนการจดั การเรียนรรู้ ายวิชาวทิ ยาศาสตร์ ที่เน้นให้ผูเ้ รียนไดล้ งมอื ปฏบิ ตั ิดว้ ยตนเอง
๑๓ ๖. จดั หาสือ่ และวัสดอุ ปุ กรณ์ประกอบการเรียนเรียนการสอน ให้มีความหลากหลาย เพื่อกระตุ้น ให้ผู้เรียนเกิดแรงจูงใจใฝ่เรียนรู้ มีความกระตือรือร้นในการเรียน โดยเลือกสื่อและอุปกรณ์ประกอบการเรียน การสอนท่เี หมาะสมกบั ผู้เรียนท้ังเพศและวยั ภาพท่ี ๓ ภาพตวั อยา่ งส่ือและวสั ดุอุปกรณใ์ นการจดั การเรียนการสอน ภาพที่ ๔ ตัวอย่างคลปิ การสอนท่จี ดั ทำขนึ้ สำหรับใช้เป็นส่อื ในจัดการเรียนการสอน เพอื่ ให้นักเรียนได้ศึกษาเรียนด้วยตนเองนอกเวลาเรยี น
๑๔ ๗. ดำเนินการจดั การเรียนการสอนตามรูปแบบการจัดการเรียนรรู้ ายวชิ าวิทยาศาสตร์ โดยใช้ CPS MODEL เพื่อสร้างแรงจงู ใจใฝเ่ รียนรู้และพฒั นาทักษะการคดิ รวบยอดดว้ ย Concept Map ดงั นี้ ๗.๑ กระตุ้นความสนใจ (Active) ให้ผู้เรียนเกิดแรงจูงใจใฝ่เรียนรู้ กระตุ้นให้มีการ ระลึกถงึ ประสบการณ์เดิม มงุ่ สปู่ ระเดน็ ที่ผเู้ รยี นสนใจ จัดกจิ กรรมทีเ่ นน้ ความสนุกสนาน เช่น การใชเ้ กมนำเข้าสู่ บทเรียน การตั้งคำถามถึงสิ่งที่ใกล้ตัวที่นักเรียนเคยพบเห็นหรือเคยสัมผัส เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้เ ลือกเรียนรู้ ในสิง่ ทตี่ นเองสนใจ ภาพท่ี ๕ ภาพตัวอยา่ งการจัดกจิ กรรมเพือ่ กระตนุ้ ความสนใจ ๗.๒ เปิดโอกาสทางความคิด (Open) เปดิ โอกาสใหน้ ักเรยี นไดแ้ สดงความคดิ เหน็ โดยครูกระตนุ้ ดว้ ยคำถามเพื่อใหผ้ เู้ รยี นไดแ้ สดงความคดิ เห็นท่ีหลากหลาย จดั กิจกรรมกลมุ่ ใหผ้ ้เู รียนไดแ้ ลกเปลี่ยน เรียนร้ปู ระสบการณร์ ะหว่างผเู้ รียนด้วยกันเอง เพื่อฝกึ ใหผ้ ู้เรยี นมีความกล้าแสดงออก และเกดิ ความคิดสร้างสรรค์ ใหม่ ๆ ภาพที่ ๖ ภาพตวั อยา่ งการจัดกจิ กรรมกลุ่มเพื่อให้ผเู้ รยี นได้แลกเปลยี่ นเรยี นรแู้ ละแสดงความคิดเหน็ ในกลมุ่
๑๕ ๗.๓ ความเหมาะสม (Match) จดั กจิ กรรมการเรยี นรทู้ ี่เหมาะสมกับเพศและวยั ของ ผู้เรียน จัดให้มีกิจกรรมการเรียนรู้ที่หลากหลาย ให้นักเรียนได้เลือกตามความสนใจ ทั้งในห้องเรียนและนอก หอ้ งเรยี น เชน่ การทำการทดลองทางวิทยาศาสตรท์ ส่ี อดคล้องกบั หลักสตู รและท่ีนกั เรียนสนใจ ภาพท่ี ๗ ภาพตวั อย่างการจัดกจิ กรรมการเรียนรทู้ ห่ี ลากหลายท้ังในห้องเรยี นและนอกห้องเรียน ๗.๔ ให้ความรู้ (Knowledge) กระตุ้นให้ผูเ้ รียนศึกษาคน้ ควา้ หาความรดู้ ว้ ยตนเอง จากสื่อต่าง ๆ เช่น หนังสือเรียน คอมพิวเตอร์ ห้องสมุด สื่อนอกห้องเรียน เพื่อรวบรวมข้อมูลและนำมาสรุป ร่วมกัน ภาพที่ ๘ ภาพตัวอย่างการศกึ ษาค้นคว้าหาความรู้ดว้ ยตนเองจากสือ่ ตา่ ง ๆ ของนกั เรยี น
๑๖ ๗.๕ นำความรูไ้ ปปรับใช้ (Use) สง่ เสริมใหน้ ักเรยี นนำความร้ทู ่ไี ดจ้ ากการศกึ ษา ค้นคว้าไปออกแบบช้ินงานเพื่อแก้ปัญหาในชวี ติ ประจำวัน โดยใช้กระบวนการกลุ่มใหน้ ักเรียนมีการระดมความคิด เพือ่ ออกแบบและแกป้ ัญหา ภาพท่ี ๙ ภาพการสง่ เสรมิ ให้นักเรยี นนำความรูท้ ไ่ี ด้จากการศกึ ษาคน้ คว้าไปออกแบบชนิ้ งาน เพ่ือแกป้ ัญหาในชีวิตประจำวัน (เครอื่ งฟักไข่ , โรงเรียนอจั ฉรยิ ะ , เคร่ืองอบแหง้ ไม่ง้อแสงแดด) ๗.๖ คน้ หาความรูใ้ หม่ (New) กระต้นุ ให้นกั เรยี นนำข้อมลู ท่ไี ด้จากการศึกษาคน้ ควา้ มาวเิ คราะหแ์ ละสงั เคราะห์ เพือ่ ใหเ้ กดิ ความรใู้ หม่จากการลงมอื ปฏบิ ตั ดิ ้วยตนเอง ภาพท่ี ๑๐ ภาพตัวอยา่ งการจดั กิจกรรมการเรยี นรทู้ ี่เน้นให้นกั เรียนไดล้ งมอื ปฏบิ ตั ิ เพอ่ื ให้เกิดความรู้ด้วยตนเอง
๑๗ ๗.๗ ช้ีแนะแนวทางการเรยี นรู้ (Guide) แสดงใหผ้ ู้เรยี นได้เหน็ ถงึ ความสัมพนั ธ์ของ เนื้อหาความรูแ้ ละช่วยให้เห็นวา่ สิ่งยอ่ ยน้ันมีความสัมพนั ธ์กับสิ่งใหญ่อยา่ งไร ควรแสดงใหเ้ ห็นถึงความสัมพันธ์ของ ส่งิ ใหมก่ บั ส่ิงที่ผเู้ รยี นมีประสบการณ์ผ่านมาแลว้ เช่น การยกตวั อยา่ งสิ่งท่ีอยู่ใกล้ตัว การเปรยี บเทียบ การใช้สื่อ รปู ภาพประกอบการเรียน เปน็ ต้น ภาพที่ ๑๑ ภาพตัวอย่างการจดั กิจกรรมการเรียนการสอนท่เี น้นผู้เรยี นเปน็ สำคัญโดยครเู ป็นผู้ชแ้ี นะแนวทาง ๗.๘ ลงมอื ปฏบิ ัตจิ ริง (Make) สง่ เสริมให้ผู้เรียนได้ลงมอื ปฏบิ ัติกิจกรรมตา่ ง ๆ ดว้ ย ตนเองตามความสนใจ ตามความถนัดและตามศักยภาพ ให้ผู้เรียนได้ฝึกในสภาพสิ่งแวดล้อมจริง เพื่อให้เกิด ประสบการณ์ตรง ซ่ึงจะทำให้ผูเ้ รียนเกิดความเชื่อมน่ั เป็นแรงจูงใจให้เกดิ การใฝร่ ู้ ใฝ่เรียน ภาพท่ี ๑๒ ภาพตัวอย่างการจัดกิจกรรมการเรียนรทู้ ีเ่ น้นใหผ้ ้เู รยี นได้ลงมือปฏบิ ัตกิ ิจกรรมตา่ ง ๆ ด้วยตนเอง
๑๘ ๗.๙ ฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ (Always) ส่งเสริมให้ผู้เรียนได้ฝึกปฏิบัติกิจกรรมต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง ปฏิบัติอยู่เสมอเพื่อให้เกิดความชำนาญสามารถทำงานได้ถูกต้อง และรวดเร็วมากขึ้น จนเกิดเป็น ทักษะที่ถาวร ภาพที่ ๑๓ ภาพตวั อยา่ งการสง่ เสริมใหผ้ เู้ รียนไดฝ้ กึ ปฏิบตั กิ จิ กรรมต่าง ๆ อย่างต่อเน่ือง เพอ่ื ใหเ้ กดิ ความชำนาญ (๓) มีการสรุปผลสำเรจ็ ของการดำเนนิ งานและประเมินผลงาน ผลการศึกษา จากการศึกษาในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการส่งเสริมแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ทางการเรียน โดยใช้ CPS MODEL ในการจัดการเรียนการสอน สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓/๑ โรงเรียนบ้าน หาดแพง(หาดแพงวทิ ยา) สามารถสรปุ ผลการศกึ ษาไดด้ ังน้ี ๑. ผลการศึกษาการส่งเสริมแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ทางการเรียน โดยใช้ CPS MODEL ในการจดั การเรยี นการสอน โดยมกี จิ กรรมการเรยี นรู้ ๙ ขั้นตอน สรุปแต่ละข้ันตอนไดด้ งั นี้ ๑.๑ กระตุ้นความสนใจ (Active) จากการสังเกต พบว่า เมื่อครูตั้งคำถามถึงสิ่งท่ี ใกลต้ ัวที่นักเรียนเคยพบเหน็ หรือเคยสัมผสั เพอื่ กระตุ้นให้ผ้เู รียนระลกึ ถึงประสบการณเ์ ดมิ ผู้เรยี นสามารถอธิบาย คำตอบไดอ้ ย่างถกู ตอ้ ง รู้สึกม่นั ใจในการตอบและมีความสุขในการเรยี น ๑.๒ เปดิ โอกาสทางความคดิ (Open) จากการสงั เกต พบว่า ผเู้ รียนสนใจที่จะตอบ คำถามเมื่อครูถามในเรื่องที่ตนเองถนัดและสนใจ กล้าที่จะแสดงความคิดเห็น และสามารถแลกเปลี่ยนความ คดิ เหน็ ในกลุ่มเพอื่ นท่ีมคี วามสนใจในเรอ่ื งเดยี วกนั ๑.๓ ความเหมาะสม (Match) จากการสังเกต พบว่า เมื่อจัดกิจกรรมการเรียนรู้ท่ี เหมาะสมกับเพศและวัยของผู้เรียน ผู้เรียนจะให้ความสนใจและมีความสุขในการร่วมกิจกรรม และสามารถทำ กิจกรรมไดด้ แี ละสำเร็จ
๑๙ ๑.๔ ให้ความรู้ (Knowledge) จากการสังเกต พบว่า เมื่อครูให้มอบหมายงานใน หัวข้อที่ผู้เรียนสนใจ แล้วไปศึกษาค้นคว้าจากสื่อต่าง ๆ และเก็บรวบรวมข้อมูล ผู้เรียนสามารถรวบรวมข้อมูล และสรุปร่วมกนั กบั เพือ่ นในกลุม่ ได้ ๑.๕ นำความรู้ไปปรบั ใช้ (Use) จากการสังเกต พบว่า ผู้เรียนสามารถใช้การระดม ความคิดกบั เพื่อนในกลุ่ม เพือ่ ออกแบบชน้ิ งานตามโจทย์ท่ีครูมอบหมายให้ได้ ๑.๖ ค้นหาความรู้ใหม่ (New) จากการสังเกต พบว่า จากการร่วมกิจกรรมที่เน้น ให้ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง ทำให้ผู้เรียนเกิดประสบการณ์ตรง และสามารถสรุปบทเรียนในรูปของ Mind Mapping ได้ดี สามารถสรุปองคค์ วามรไู้ ดด้ ว้ ยตนเอง ๑.๗ ชี้แนะแนวทางการเรียนรู้ (Guide) จากการสังเกต พบว่า การยกตัวอย่าง สิ่งที่อยู่ใกล้ตัว การเปรียบเทียบ และการใช้สื่อรูปภาพประกอบการเรียน ทำให้ผู้เรียนเกิดมโนทัศน์ในการเรียน มากขึ้น สามารถอธิบายและตอบคำถามได้ถูกต้อง ๑.๘ ลงมือปฏิบัติจริง (Make) จากการสังเกต พบว่า ผู้เรียนมีความรู้ความเข้าใจ สามารถจดจำเนื้อหาได้ดีขึ้น จากการได้ลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง ทำให้ผู้เรียนเกิดความเชื่อมั่นในตนเอง เกดิ แรงจูงใจใฝ่เรยี นรู้ และมคี วามพยายามทำงานใหส้ ำเรจ็ มากยิ่งขึน้ ๑.๙ ฝกึ ฝนอยา่ งสมำ่ เสมอ (Always) จากการสังเกต พบวา่ ผู้เรียนใช้เวลาในการทำ กจิ กรรมนอ้ ยลง สามารถทำงานไดถ้ กู ต้อง และรวดเร็วขน้ึ ๒. ผลการศกึ ษาเจตคติตอ่ รายวชิ าวทิ ยาศาสตรข์ องนักเรียน หลังจัดการเรยี นการสอน โดยใช้ CPS MODEL สำหรับนกั เรยี นชนั้ มัธยมศกึ ษาปีท่ี ๓/๑ โรงเรยี นบา้ นหาดแพง(หาดแพงวิทยา) ดงั ปรากฏในตารางที่ ๑ ตารางที่ ๑ ผลการวิเคราะห์ขอ้ มูลเจตคตติ ่อรายวชิ าวทิ ยาศาสตรข์ องนกั เรยี นชั้นมัธยมศกึ ษาปีที่ ๓/๑ โรงเรยี นบา้ นหาดแพง(หาดแพงวทิ ยา) หลังจัดการเรียนการสอนโดยใช้ CPS MODEL ระดบั ความคดิ เห็น เหน็ ด้วย เหน็ ด้วย ไมแ่ น่ใจ ไม่เหน็ ไมเ่ ห็น ขอ้ ความ อยา่ งยงิ่ ดว้ ย ดว้ ย คา่ เฉลยี่ S.D. แปลผล จำนวน จำนวน อยา่ งยงิ่ (������̅) ความรสู้ กึ จำนวน จำนวน จำนวน เหน็ ดว้ ย อย่างยิ่ง (รอ้ ยละ) (รอ้ ยละ) (ร้อยละ) (ร้อยละ) (รอ้ ยละ) เหน็ ดว้ ย ๑. วิทยาศาสตรเ์ ปน็ วชิ าทม่ี ี ๑๕ ๕ ๐ ๐ ๐ ๔.๗๕ ๐.๔๔ เห็นดว้ ย ความสำคัญกบั ข้าพเจ้า (๗๕.๐) (๒๕.๐) - - - เหน็ ด้วย ๒. ขา้ พเจา้ อยากเปน็ คนเกง่ ๙๕๖๐ ๐ ๔.๑๕ ๐.๘๘ วทิ ยาศาสตร์ (๔๕.๐) (๒๕.๐) (๓๐.๐) - - ๓. ขา้ พเจ้าเรียนวทิ ยาศาสตร์ด้วย ๘ ๑๒ ๐ ๐ ๐ ๔.๔๐ ๐.๕๐ - - ความสนุกสนาน (๔๐.๐) (๖๐.๐) - ๔. ขา้ พเจา้ ชอบทำแบบฝึกหัด ๓ ๑๖ ๑ ๐ ๐ ๔.๑๐ ๐.๔๕ วทิ ยาศาสตร์ (๑๕.๐) (๘๐.๐) (๕.๐) - -
๒๐ ระดับความคดิ เหน็ เหน็ ด้วย เห็นด้วย ไม่แนใ่ จ ไมเ่ หน็ ไม่เหน็ ขอ้ ความ อย่างยงิ่ ด้วย ด้วย ค่าเฉลีย่ S.D. แปลผล จำนวน จำนวน อยา่ งยง่ิ (������̅) ความรสู้ ึก จำนวน จำนวน จำนวน (รอ้ ยละ) (รอ้ ยละ) (ร้อยละ) (ร้อยละ) (ร้อยละ) ๕. ขา้ พเจ้าคิดว่าวทิ ยาศาสตร์มี ๑๗ ๓ ๐ ๐ ๐ ๔.๘๕ ๐.๓๗ เหน็ ดว้ ย ประโยชนม์ ากในชวี ติ ประจำวัน (๘๕.๐) (๑๕.๐) - - - อยา่ งย่ิง ๖. ข้าพเจา้ รู้สึกเบื่อหน่ายกับการ ๑๐ ๗ ๒ ๑ ๐ ๔.๓๐ ๐.๘๖ เหน็ ด้วย หาคำตอบของโจทย์ปัญหาทาง (๕๐.๐) (๓๕.๐) ๑๐.๐) (๕.๐) - วิทยาศาสตรท์ ่ยี าก ๗. ข้าพเจา้ รู้สึกไม่อยากเรยี น ๑๑ ๘ ๑ ๐ ๐ ๔.๕๐ ๐.๖๑ เห็นดว้ ย วิทยาศาสตร์ เพราะขา้ พเจา้ เรียน (๕๕.๐) (๔๐.๐) (๕.๐) - - อยา่ งยิ่ง รู้วทิ ยาศาสตร์ได้ช้ากว่าวิชาอื่น ๘. ข้าพเจา้ ตั้งใจเรียน ๔ ๑๖ ๐ ๐ ๐ ๔.๒๐ ๐.๔๑ เห็นด้วย วิทยาศาสตร์ (๒๐.๐) (๘๐.๐) - - - ๙. ข้าพเจา้ ชอบชว่ ยสอน ๘ ๑๐ ๒ ๐ ๐ ๔.๓๐ ๐.๖๖ เหน็ ดว้ ย วทิ ยาศาสตรใ์ หน้ อ้ ง ๆ และ (๔๐.๐) ๕๐.๐) (๑๐.๐) - - เพอ่ื น ๆ ๑๐. ข้าพเจา้ ชอบเรียนวิชา ๖ ๑๔ ๐ ๐ ๐ ๔.๓๐ ๐.๔๗ เห็นด้วย วทิ ยาศาสตร์มากกว่าวิชาอื่น (๓๐.๐) (๗๐.๐) - - - ๑๑. วทิ ยาศาสตร์มเี น้ือหาที่ ๖ ๑๑ ๓ ๐ ๐ ๔.๑๕ ๐.๖๗ เห็นดว้ ย ย่งุ ยากและซบั ซ้อนมาก (๓๐.๐) (๕๕.๐) (๑๕.๐) - - ๑๒. ข้าพเจ้าชอบเข้ารว่ ม ๗ ๑๓ ๐ ๐ ๐ ๔.๓๕ ๐.๔๙ เหน็ ด้วย กจิ กรรมทางวทิ ยาศาสตร์ (๓๕.๐) (๖๕.๐) - - - ๑๓. ขา้ พเจ้าสนใจเมอ่ื ครนู ำโจทย์ ๗ ๑๓ ๐ ๐ ๐ ๔.๓๕ ๐.๔๙ เห็นด้วย - - ปัญหาแปลก ๆ มาใหท้ ำ (๓๕.๐) (๖๕.๐) - ๑๔. ข้าพเจ้าคดิ วา่ การเรยี น ๘๙๓๐ ๐ ๔.๒๕ ๐.๗๒ เห็นดว้ ย วิทยาศาสตรต์ อ้ งท่องจำมาก (๔๐.๐) (๔๕.๐) (๑๕.๐) - - เกินไป ๑๕. ขา้ พเจา้ คดิ ว่าเนือ้ หาวชิ า ๖ ๑๔ ๐ ๐ ๐ ๔.๓๐ ๐.๔๗ เห็นด้วย วิทยาศาสตรม์ ีความแปลกใหม่ (๓๐.๐) (๗๐.๐) - - - ทา้ ทายความคดิ รวมเฉลี่ย ๔.๓๕ ๐.๒๓ เหน็ ดว้ ย หมายเหตุ : ๔.๕๐ - ๕.๐๐ = เห็นด้วยอย่างยิ่ง, ๓.๕๐ - ๔.๔๙ = เห็นด้วย, ๒.๕๐ - ๓.๔๙ = ไม่แน่ใจ, ๑.๕๐ - ๒.๔๙ = ไมเ่ หน็ ดว้ ย, ๑.๐๐ - ๑.๔๙ = ไมเ่ ห็นด้วยอย่างยิ่ง จากตารางที่ ๑ พบว่า ผู้ตอบแบบวัดเจตคติ มีเจตคติต่อรายวิชาวิทยาศาสตร์ โดยภาพรวมมี ค่าเฉลี่ยความคิดเห็นอยู่ในระดับ เห็นด้วย (������̅ = ๔.๓๕ S.D. = ๐.๒๓) โดยเจตคติต่อวิชาวิทยาศาสตร์ ข้อ ๕
๒๑ คือ ข้าพเจ้าคิดว่าวิทยาศาสตร์มีประโยชน์มากในชีวิตประจำวัน มีค่าเฉลี่ยสูงที่สุด (������̅ = ๔.๘๕ S.D. = ๐.๓๗) และมคี า่ เฉลีย่ ความคิดเห็นอยู่ในระดับ เหน็ ด้วยอยา่ งย่ิง และเจตคติต่อวิชาวิทยาศาสตร์ ข้อ ๔ คอื ขา้ พเจา้ ชอบ ทำแบบฝึกหัดวิทยาศาสตร์ มีคา่ เฉลี่ยต่ำทีส่ ดุ (������̅ = ๔.๑๐ S.D. = ๐.๔๕) และมีค่าเฉล่ยี ความคิดเหน็ อยู่ในระดับ เห็นดว้ ย ๓. ผลการศึกษาแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธ์ิทางการเรยี นรายวิชาวิทยาศาสตร์ หลังจดั การเรียน การสอนโดยใช้ CPS MODEL สำหรับนักเรยี นช้นั มัธยมศึกษาปที ี่ ๓/๑ โรงเรยี นบ้านหาดแพง(หาดแพง วิทยา) ดงั ปรากฏในตารางที่ ๒ ตารางท่ี ๒ ผลการวิเคราะห์แรงจูงใจใฝ่สมั ฤทธ์ทิ างการเรียน ของนกั เรียนชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีที่ ๓/๑ โรงเรียนบ้านหาดแพง(หาดแพงวทิ ยา) หลังจดั การเรยี นการสอนโดยใช้ CPS MODEL ระดบั ความคดิ เหน็ ข้อความ มาก มาก ปาน นอ้ ย นอ้ ย ทีส่ ดุ จำนวน กลาง จำนวน ทสี่ ดุ ค่าเฉล่ีย S.D. แปลผล จำนวน จำนวน จำนวน (������̅) (รอ้ ยละ) (ร้อยละ) (ร้อยละ) (รอ้ ยละ) (ร้อยละ) ๑. เมื่อข้าพเจ้าทำโจทย์ปญั หา ๙ ๑๑ ๐ ๐ ๐ ๔.๖๐ ๐.๕๐ มากที่สุด วทิ ยาศาสตร์ ข้าพเจา้ จะทำจน (๔๕.๐) (๕๕.๐) - - - สุดความสามารถ ๒. ขา้ พเจา้ ชอบให้ครตู งั้ โจทย์ ๑๐ ๔ ๖ ๐ ๐ ๔.๒๐ ๐.๘๙ มาก - วิทยาศาสตร์ใหท้ ำ (๕๐.๐) (๒๐.๐) (๓๐.๐) - ๓. ขา้ พเจา้ ตอ้ งการท่ีจะได้รับการ ยกยอ่ งอันเน่ืองมาจากการ ๗ ๑๓ ๐ ๐ ๐ ๔.๓๕ ๐.๔๙ มาก - - ประสบผลสำเรจ็ ในการเรยี นวชิ า (๓๕.๐) (๖๕.๐) - วิทยาศาสตร์ ๔. ขา้ พเจ้าพยายามทำการบ้าน ๒ ๑๗ ๑ ๐ ๐ ๔.๐๕ ๐.๓๙ มาก วิทยาศาสตร์จนสำเรจ็ ดว้ ยตนเอง (๑๐.๐) (๘๕.๐) (๕.๐) - - ๕. ข้าพเจ้ามีความมุ่งมน่ั ท่จี ะ ๑๗ ๓ ๐ ๐ ๐ ๔.๘๕ ๐.๓๗ มากทส่ี ุด ประสบความสำเรจ็ ในการเรียน (๘๕.๐) (๑๕.๐) - - - วทิ ยาศาสตร์ ๖. ข้าพเจ้าเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ ๙ ๘๒ ๑ ๐ ๔.๓๐ ๐.๘๖ มาก ไปวนั ๆ โดยไมค่ าดหวงั วา่ จะ (๔๕.๐) (๔๐.๐) (๑๐.๐) (๕.๐) - เรียนไดส้ ำเร็จมากน้อยเพยี งใด ๗. เมื่อมกี ารทำงานกลุ่ม ๑๑ ๘ ๑ ๐ ๐ ๔.๕๐ ๐.๖๑ มาก วิทยาศาสตรข์ ้าพเจ้าชอบทำงาน (๕๕.๐) (๔๐.๐) (๕.๐) - - รว่ มกับเพ่ือน ๘. ขา้ พเจ้าจะดใี จมากถา้ ครูไม่ ๔ ๑๖ ๐ ๐ ๐ ๔.๒๐ ๐.๔๑ มาก เขา้ สอนในรายวชิ าวิทยาศาสตร์ (๒๐.๐) (๘๐.๐) - - -
๒๒ ระดบั ความคดิ เหน็ ข้อความ มาก มาก ปาน น้อย นอ้ ย ท่สี ุด จำนวน กลาง จำนวน ทีส่ ดุ คา่ เฉล่ยี S.D. แปลผล จำนวน จำนวน จำนวน (������̅) (รอ้ ยละ) (ร้อยละ) (รอ้ ยละ) (รอ้ ยละ) (ร้อยละ) ๙. ขา้ พเจา้ อยากทำคะแนนวชิ า ๑๑ ๘ ๑ ๐ ๐ ๔.๓๐ ๐.๖๖ มาก - วทิ ยาศาสตรใ์ ห้ไดส้ งู ๆ (๕๕.๐) (๔๐.๐) (๕.๐) - ๑๐. ข้าพเจา้ อยากได้รบั ความชื่น ๔ ๑๖ ๐ ๐ ๐ ๔.๒๐ ๐.๔๑ มาก ชมจากครูและเพ่ือนเกย่ี วกับผล (๒๐.๐) (๘๐.๐) - - - การเรยี นของขา้ พเจ้า ๑๑. ข้าพเจ้าร้สู ึกมคี วามสขุ กับ ๗ ๑๐ ๓ ๐ ๐ ๔.๑๕ ๐.๖๗ มาก การทำแบบฝึกหดั วชิ า (๓๕.๐) (๕๐.๐) (๑๕.๐) - - วิทยาศาสตรท์ ี่ครูมอบหมายให้ ๑๒. ข้าพเจา้ จะพยายามสอบวิชา ๗ ๑๓ ๐ ๐ ๐ ๔.๓๕ ๐.๔๙ มาก วิทยาศาสตรใ์ ห้ได้คะแนนดขี ้ึน (๓๕.๐) (๖๕.๐) - - - กว่าเดิม ๑๓. เม่ือครใู ห้ทำแบบฝึก ๕ ๑๕ ๐ ๐ ๐ ๔.๒๕ ๐.๔๔ มาก วทิ ยาศาสตรข์ า้ พเจ้าจะรบี ทำให้ (๒๕.๐) (๗๕.๐) - - - แลว้ เสร็จกอ่ นถงึ กำหนดส่ง ๑๔. เมอ่ื ขา้ พเจ้าทำแบบฝึก วิทยาศาสตร์ไม่ไดจ้ ะปรกึ ษาเพื่อน ๘ ๙ ๓ ๐ ๐ ๔.๒๕ ๐.๗๒ มาก หรือครูผสู้ อนเพ่ือจะทำแบบฝึกให้ (๔๐.๐) (๔๕.๐) (๑๕.๐) - - สำเรจ็ ๑๕. ข้าพเจ้าชอบค้นหาคำตอบ ๖ ๑๔ ๐ ๐ ๐ ๔.๓๐ ๐.๔๗ มาก ของปญั หาวิทยาศาสตรท์ ยี่ าก (๓๐.๐) (๗๐.๐) - - - และมีความทา้ ทายเสมอ ๑๖. ข้าพเจา้ คิดอย่เู สมอวา่ จะไม่ ยอมพ่ายแพ้กับปัญหา ๙ ๑๐ ๑ ๐ ๐ ๔.๔๐ ๐.๖๐ มาก - วทิ ยาศาสตรเ์ ม่ือครกู ำหนดให้ (๔๕.๐) (๕๐.๐) (๕.๐) - เรียนและค้นหาคำตอบ ๑๗. ขา้ พเจา้ ชอบเปรยี บเทียบ ๔ ๑๖ ๐ ๐ ๐ ๔.๒๐ ๐.๔๑ มาก ตนเองกับคนท่เี กง่ กว่าเพ่ือจะได้ (๒๐.๐) (๘๐.๐) - - - พัฒนาตนเองให้เก่งขึน้ ๑๘. ขา้ พเจา้ มกั จะตงั้ ความหวงั ไว้ สงู ๆ เพือ่ ที่จะได้ใช้ความ พยายามและความสามารถ ๑๓ ๗ ๐ ๐ ๐ ๔.๖๕ ๐.๔๙ มากที่สดุ ทำงานนน้ั อย่างเตม็ ท่ี (๖๕.๐) (๓๕.๐) - - -
๒๓ ระดับความคิดเห็น ข้อความ มาก มาก ปาน น้อย น้อย ทสี่ ดุ จำนวน กลาง จำนวน ทสี่ ุด ค่าเฉลีย่ S.D. แปลผล จำนวน จำนวน จำนวน (������̅) (รอ้ ยละ) (ร้อยละ) (รอ้ ยละ) (รอ้ ยละ) (รอ้ ยละ) ๑๙. ข้าพเจ้าส่งงานวชิ า ๔ ๑๖ ๐ ๐ ๐ ๔.๒๐ ๐.๔๑ มาก วทิ ยาศาสตร์ชา้ กว่าเวลาทกี่ ำหนด (๒๐.๐) (๘๐.๐) - - - บ่อย ๆ ๒๐. คะแนนในการทำงานไม่วา่ ๑๑ ๙ ๐ ๐ ๐ ๔.๖๐ ๐.๕๐ มากท่ีสุด จะมากหรือน้อยก็เปน็ แรงจงู ใจใน (๕๕.๐) (๔๕.๐) - - - การเรยี นของขา้ พเจา้ รวมเฉลี่ย ๔.๓๕ ๐.๒๒ มาก หมายเหตุ : ๔.๕๑ - ๕.๐๐ = มากท่ีสดุ , ๓.๕๑ - ๔.๕๐ = มาก, ๒.๕๑ - ๓.๕๐ = ปานกลาง, ๑.๕๑ - ๒.๕๐ = นอ้ ย, ๑.๐๐ - ๑.๕๐ = น้อยทีส่ ดุ จากตารางที่ ๒ พบว่า ผู้ตอบแบบวัดแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ทางการเรียน มีแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ ทางการเรียนรายวิชาวิทยาศาสตร์ โดยภาพรวมมีค่าเฉลี่ยความคิดเห็นอยู่ในระดับ มาก (������̅ = ๔.๓๕ S.D. = ๐.๒๒) โดยแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ทางการเรียนต่อวิชาวิทยาศาสตร์ ข้อ ๕ คือ ข้าพเจ้ามีความมุ่งมั่นที่จะประสบ ความสำเรจ็ ในการเรียนวทิ ยาศาสตร์ มีค่าเฉลยี่ สูงทีส่ ุด (������̅ = ๔.๘๕ S.D. = ๐.๓๗) และมคี ่าเฉล่ียความคิดเห็น อยู่ในระดับ มากที่สุด และแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิท์ างการเรียนต่อวิชาวิทยาศาสตร์ ข้อ ๔ คือ ข้าพเจ้าพยายามทำ การบ้านวิทยาศาสตร์จนสำเร็จด้วยตนเอง มีค่าเฉลี่ยต่ำที่สุด (������̅ = ๔.๐๕ S.D. = ๐.๓๙) และมีค่าเฉลี่ยความ คิดเห็นอยใู่ นระดับ มาก จากการส่งเสริมแรงจงู ใจใฝ่สมั ฤทธ์ทิ างการเรยี น โดยใช้ CPS MODEL ในการจดั การเรียนการสอน สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓/๑ โรงเรียนบ้านหาดแพง(หาดแพงวิทยา) สามารถสรุปผลสำเร็จของการ ดำเนินงานและประเมินผลการดำเนนิ การดังนี้ ๑. หลังใช้ CPS MODEL ในการจัดการเรยี นการสอน สำหรับนักเรยี นชั้นมัธยมศกึ ษาปีที่ ๓/ ๑ โรงเรียนบ้านหาดแพง(หาดแพงวิทยา) ผู้เรียนมีเจตคติต่อรายวิชาวิทยาศาสตร์ดีขึ้น ส่งผลให้ผู้เรียนมีความ กระตือรือร้นในการเรียนมากข้ึน เข้าเรียนตรงเวลา ส่งงานตรงเวลา ให้ความร่วมมือในการทำกิจกรรมการเรยี น การสอนในหอ้ งเรยี น มกี ารแสดงความคิดเห็นและการแลกเปลีย่ นเรยี นรกู้ ับเพ่ือนในกลุ่มมากข้ึน ๒. หลังใช้ CPS MODEL ในการจัดการเรยี นการสอน สำหรับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ ๓/ ๑ โรงเรียนบา้ นหาดแพง(หาดแพงวิทยา) ผู้เรียนมีแรงจงู ใจใฝ่สัมฤทธิ์ทางการเรียนในรายวิชาวิทยาศาสตร์สูงข้ึน ส่งผลให้ผู้เรียนมีความกระตือรือร้นในการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ สังเกตได้จากผู้เรียนมีพฤติกรรมการเข้าร่วม กิจกรรมการเรียนการสอนในรายวิชาวิทยาศาสตร์เพิ่มขึ้น ได้แก่ มีความกระตือรือร้นในการเข้าเรียน ต้ังใจใน การทำงาน ร่วมกิจกรรมการเรียนการสอนหรือปฏิบัติงานตามที่ครูมอบหมาย มีความรับผิดชอบต่องานที่ได้รับ มอบหมาย อดทนต่อการทำงานทย่ี ากและอปุ สรรคต่าง ๆ รวมถึงการวางแผนการทำงานอย่างเป็นระบบ และนำ ความรไู้ ปประยุกต์ใช้ในการดำเนนิ ชวี ติ ประจำวันได้
๒๔ ๒.๓ ผลการดำเนินงาน (๑) เกิดประโยชน์ต่อผ้เู รียน ๑.๑ ผู้เรยี นใหค้ วามร่วมมือในการทำกจิ กรรมการเรยี นการสอนเปน็ อย่างดี มคี วามกระตือรือร้น และสนใจในการเขา้ ร่วมกจิ กรรมมากขนึ้ ส่งผลใหผ้ ลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นรายวชิ าวิทยาศาสตรข์ องผู้เรยี นสงู ขึน้ ๑.๒ ผเู้ รยี นเกดิ ทักษะการคดิ รวบยอด สามารถสรา้ งองคค์ วามรู้ได้ด้วยตนเอง ๑.๓ ผู้เรียนมีความคิดสร้างสรรค์ มีจินตนาการ สามารถแสดงศักยภาพของตนเอง ตามความ ถนัด ความสนใจได้ ๑.๔ ผู้เรยี นมีความประพฤตติ ามคณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค์ ๑.๕ ผ้เู รยี นสามารถนำความรไู้ ปพฒั นาเพ่ือแกป้ ัญหาให้กบั ตนเอง ครอบครวั และชุมชนได้ ๑.๖ ผู้เรียนส่วนใหญ่มุ่งมั่นในการเรียน เพื่อทำให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของตนเองอยู่ในระดับ ท่ีดขี ึ้น เพอ่ื ใช้ในการศกึ ษาตอ่ ในระดบั ท่ีสูงขนึ้ ในอนาคต ๑.๗ ผู้เรียนสามารถวางแผนการทำงานอย่างเป็นระบบ และนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ในการ ดำเนนิ ชีวติ ประจำวันได้ (๒) ส่งผลให้เกิดประโยชนต์ ่อสถานศกึ ษา/ผบู้ ริหาร ๒.๑ โรงเรียนได้รับความไว้วางใจจากผู้ปกครองและชุมชน ในการส่งบุตรหลานเข้ามาเรียน ในโรงเรยี นเพิม่ ขึ้น ๒.๒ โรงเรียนได้รับการสนับสนุนในด้านต่าง ๆ จากผู้ปกครอง/เครือข่ายผู้ปกครอง และชุมชน เพมิ่ ขน้ึ ๒.๓ โรงเรียนได้รับคัดเลือกให้เข้าร่วมโครงการต่าง ๆ ของหน่วยงานทางราชการ และได้รับ งบประมาณสนบั สนุนในการจดั กจิ กรรม (๓) เกิดประโยชนต์ อ่ การศึกษาในภาพรวม ๓.๑ ครูผู้สอนมีรูปแบบในการพัฒนาการเรียนการสอนในรายวิชาวิทยาศาสตร์ที่สามารถสร้าง แรงจงู ใจใฝเ่ รียนรู้และพัฒนาทกั ษะการคิดรวบยอดใหก้ บั ผเู้ รียน ๓.๒ โรงเรียนสามารถจัดการศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น สามารถพัฒนาผู้เรียน ให้เป็นบคุ คลทม่ี คี ุณภาพ ๓.๓ ผเู้ รยี นได้รับการพฒั นาอยา่ งเต็มศักยภาพ สามารถแสดงความสามารถตามความถนัดและ ความสนใจของตนเอง ๓.๓ ผู้เรียนได้เรียนรู้จากการลงมือปฏิบัติ ทำให้เกิดประสบการณ์ตรง ซึ่งจะทำให้ผู้เรียน เกิดความเชือ่ ม่นั ในตนเอง สามารถทำงานตา่ ง ๆ ได้อยา่ งมปี ระสิทธิภาพ ๓.๔ ผเู้ รียนสามารถนำความรูท้ ไ่ี ดจ้ ากการศึกษาคน้ ควา้ ไปออกแบบชิ้นงานเพ่ือแก้ปญั หาใน ชีวิตประจำวนั (๔) เกดิ ประโยชน์ตอ่ ผปู้ กครอง ชุมชน และผู้มสี ว่ นเกยี่ วข้องในการจัดการเรียนรู้ ๔.๑ ผู้ปกครอง/เครือข่ายผู้ปกครอง และชุมชน มีความพึงพอใจต่อการจัดการศึกษา ของโรงเรียนมากขึ้น และให้การสนบั สนุนในด้านตา่ งๆ เปน็ อย่างดี ๔.๒ ผู้ปกครอง/เครือข่ายผู้ปกครอง และชุมชน มีความพึงพอใจที่บุตรหลานได้รับการพัฒนา อยา่ งเตม็ ศักยภาพ เป็นคนเกง่ คนดี และสามารถนำความรู้และประสบการณ์ไปพัฒนาอาชีพในอนาคตได้
๒๕ (๕) สรปุ ประโยชน์ทไี่ ดจ้ ากการดำเนนิ งาน การขยายผล และการเผยแพร่ผลการดำเนินงาน ๕.๑ ครูผู้สอนมีรูปแบบในการพัฒนาการเรียนการสอนในรายวิชาวิทยาศาสตร์ที่สามารถสร้าง แรงจงู ใจใฝเ่ รยี นรู้และพฒั นาทักษะการคิดรวบยอดให้กับผู้เรยี น ๕.๒ สามารถเป็นแนวทางในการจัดการเรยี นการสอนให้กับคุณครูที่สอนในรายวิชาวิทยาศาสตร์ หรือครูผู้สอนในรายวิชาอื่น ๆ ได้นำไปปรับใช้กับรายวิชาของตนเอง เพื่อพัฒนาการจัดการเรียนการสอนให้กับ ผเู้ รยี น ๕.๓ ครูผู้สอนมีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ แลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการจัดการเรียนการสอน และสามารถนำมาปรบั ปรุงพฒั นารูปแบบการจดั การเรียนการสอนของตนเองได้ ๕.๔ ช่วยส่งเสรมิ สนบั สนุน และเผยแพร่รูปแบบการจดั การศึกษาสำหรบั คุณครู หรือผู้ท่ีสนใจ ใหส้ ามารถนำรปู แบบการจดั การศกึ ษาไปปรบั ใชต้ ามบริบทของตนเอง เพ่อื พัฒนาคุณภาพของผเู้ รยี น ท้งั นี้ ข้าพเจ้าได้แนบเอกสารทเี่ ก่ียวข้องเพ่ือประกอบการพิจารณาความเป็นเลศิ ในการจดั การศกึ ษาไว้ ครบถว้ นแลว้ และขา้ พเจ้าขอรับรองว่ารายงานการเสนอผลงานนมี้ คี วามถูกตอ้ งและเปน็ จริงทกุ ประการ ลงชอื่ .............................................................ผ้เู สนอผลงาน (นางสาวปาริชาติ ราญมชี ยั ) ตำแหน่ง ครู วทิ ยฐานะ ครูชำนาญการพิเศษ สถานศกึ ษา/หน่วยงานการศึกษา โรงเรียนบา้ นหาดแพง(หาดแพงวทิ ยา) วนั ที่ ๒๓ เดือน มนี าคม พ.ศ. ๒๕๖๕ . ๓. การรับรองผลงาน (ผบู้ ังคับบัญชาของผูเ้ สนอผลงาน) ข้าพเจา้ นายสดุ ใจ ยะภักดี ตำแหน่ง ผู้อำนวยการโรงเรยี นบ้านหาดแพง(หาดแพงวิทยา) . ขอรบั รองวา่ ผลงานนี้เปน็ การปฏิบตั ิหนา้ ท่ขี องผูเ้ สนอผลงานอย่างแทจ้ รงิ ลงช่อื .....................................................ผูร้ บั รองผลงาน (นายสดุ ใจ ยะภักด)ี ตำแหน่ง ผอู้ ำนวยการโรงเรียนบา้ นหาดแพง(หาดแพงวิทยา) วนั ที่ ๒๓ เดือน มนี าคม พ.ศ. ๒๕๖๕ .
๒๖ ภาคผนวก
๒๗ แบบวดั แรงจูงใจใฝ่สมั ฤทธทิ์ างการเรยี น คำชแ้ี จง ๑. ให้นกั เรียนอ่านข้อความแตล่ ะข้อแล้วตอบคำถามใหค้ รบทุกข้อ และในการตอบคำถามแต่ละขอ้ ขอใหต้ อบด้วยความรู้สึกษทเี่ ปน็ จรงิ มากท่ีสุด คำตอบของนักเรยี นจะเกบ็ เป็นความลับและจะไม่กระทบกระเทอื น ต่อผลการเรียนใด ๆ ทง้ั สิ้น แต่จะเปน็ ประโยชนใ์ นด้านการศกึ ษาเปน็ อยา่ งมาก ๒. วธิ ตี อบคำถามใหท้ ำเครื่องหมาย / ลงในช่องท่ีแสดงวา่ นักเรยี นมีความรสู้ ึกอยา่ งไรต่อวิชาวทิ ยาศาสตร์ โดยตอบเพยี งขอ้ ละ ๑ คำตอบเทา่ น้นั ตอนท่ี ๑ ข้อมลู ทัว่ ไปของผู้ตอบแบบวัดแรงจูงใจใฝ่สมั ฤทธิ์ทางการเรยี น รายวิชาวิทยาศาสตร์ ๑. เพศ ชาย หญิง ๒. อายุ ตำ่ กว่า ๑๕ ปี ๑๕ - ๑๘ ปี สูงกว่า ๑๘ ปี ตอนท่ี ๒ แบบวัดแรงจูงใจใฝ่สมั ฤทธิ์ทางการเรยี น ขอ้ รายการ มาก มาก ปาน นอ้ ย น้อย ท่สี ดุ กลาง ทีส่ ดุ ๑ เมื่อข้าพเจา้ ทำโจทยป์ ัญหาวิทยาศาสตร์ ข้าพเจา้ จะทำจนสุด ความสามารถ ๒ ขา้ พเจา้ ชอบใหค้ รูตั้งโจทยว์ ิทยาศาสตรใ์ หท้ ำ ๓ ข้าพเจา้ ต้องการทจี่ ะได้รับการยกย่องอนั เน่ืองมาจากการประสบ ผลสำเรจ็ ในการเรยี นวชิ าวทิ ยาศาสตร์ ๔ ขา้ พเจา้ พยายามทำการบา้ นวทิ ยาศาสตร์จนสำเร็จดว้ ยตนเอง ๕ ขา้ พเจา้ มีความมุ่งม่ันที่จะประสบความสำเร็จในการเรียน วทิ ยาศาสตร์ ๖ ขา้ พเจา้ เรียนวิชาวทิ ยาศาสตร์ไปวัน ๆ โดยไมค่ าดหวังวา่ จะเรยี นได้ สำเร็จมากน้อยเพยี งใด ๗ เมอื่ มีการทำงานกลมุ่ วิทยาศาสตร์ข้าพเจ้าชอบทำงานร่วมกับเพอื่ น ๘ ข้าพเจา้ จะดใี จมากถ้าครูไมเ่ ข้าสอนในรายวชิ าวทิ ยาศาสตร์ ๙ ขา้ พเจ้าอยากทำคะแนนวชิ าวิทยาศาสตรใ์ ห้ได้สูง ๆ ๑๐ ขา้ พเจา้ อยากได้รบั ความชนื่ ชมจากครแู ละเพอ่ื นเกีย่ วกับผลการ เรยี นของข้าพเจ้า ๑๑ ข้าพเจา้ รสู้ กึ มีความสุขกบั การทำแบบฝึกหดั วิชาวทิ ยาศาสตร์ท่ีครู มอบหมายให้ ๑๒ ข้าพเจ้าจะพยายามสอบวิชาวทิ ยาศาสตร์ให้ไดค้ ะแนนดีข้นึ กว่าเดิม ๑๓ เมือ่ ครูให้ทำแบบฝึกวิทยาศาสตร์ขา้ พเจา้ จะรบี ทำให้แล้วเสร็จก่อน ถึงกำหนดส่ง ๑๔ เมอื่ ข้าพเจา้ ทำแบบฝึกวิทยาศาสตร์ไม่ไดจ้ ะปรึกษาเพื่อนหรือ ครผู ู้สอนเพ่ือจะทำแบบฝึกให้สำเรจ็ ๑๕ ข้าพเจ้าชอบคน้ หาคำตอบของปัญหาวิทยาศาสตร์ทยี่ ากและมี ความท้าทายเสมอ
๒๘ ขอ้ รายการ มาก มาก ปาน น้อย นอ้ ย ทส่ี ดุ กลาง ทสี่ ดุ ๑๖ ข้าพเจ้าคิดอยู่เสมอว่าจะไมย่ อมพา่ ยแพก้ บั ปญั หาวทิ ยาศาสตรเ์ มอ่ื ครูกำหนดใหเ้ รียนและคน้ หาคำตอบ ๑๗ ข้าพเจา้ ชอบเปรยี บเทียบตนเองกบั คนทีเ่ กง่ กว่าเพ่ือจะไดพ้ ัฒนา ตนเองให้เก่งข้ึน ๑๘ ขา้ พเจา้ มกั จะตง้ั ความหวังไว้สูง ๆ เพ่ือที่จะไดใ้ ชค้ วามพยายามและ ความสามารถทำงานนนั้ อย่างเตม็ ท่ี ๑๙ ขา้ พเจ้าสง่ งานวิชาวิทยาศาสตร์ชา้ กว่าเวลาทก่ี ำหนดบ่อย ๆ ๒๐ คะแนนในการทำงานไม่ว่าจะมากหรอื น้อยก็เปน็ แรงจงู ใจในการ เรยี นของขา้ พเจา้ ตอนท่ี ๓ ปัญหา/ข้อเสนอแนะ ปัญหา ๑. ..................................................................................................................................... ๒. ..................................................................................................................................... ข้อเสนอแนะ ๑. ..................................................................................................................................... ๒. ..................................................................................................................................... ขอบคุณในความรว่ มมือทที่ า่ นได้เสียสละเวลาใหข้ ้อมลู ทีเ่ ปน็ ประโยชน์แกท่ างราชการในครงั้ นี้
๒๙ แบบวดั เจตคติต่อวิชาวิทยาศาสตร์ คำชี้แจง ๑. ให้นกั เรียนอา่ นข้อความแตล่ ะข้อแลว้ ตอบคำถามใหค้ รบทุกข้อและในการตอบคำถามแต่ละข้อ ขอให้ ตอบดว้ ยความรู้สกึ ท่เี ป็นจริงมากทีส่ ดุ คำตอบของนักเรยี นจะเก็บเปน็ ความลบั และจะไมก่ ระทบกระเทือนต่อผล การเรียนใด ๆ ทง้ั สิ้น แตจ่ ะเปน็ ประโยชน์ในด้านการศึกษาเปน็ อยา่ งมาก ๒. วิธตี อบคำถามใหท้ ำเครื่องหมาย / ลงในช่องที่แสดงว่านกั เรยี นมคี วามรูส้ ึกอยา่ งไรต่อวิชาวิทยาศาสตร์ โดยตอบเพียงข้อละ ๑ คำตอบเทา่ น้ัน ตอนที่ ๑ ขอ้ มลู ทวั่ ไปของผู้ตอบแบบวัดแรงจูงใจใฝ่สมั ฤทธิท์ างการเรยี น รายวิชาวิทยาศาสตร์ ๑. เพศ ชาย หญงิ ๒. อายุ ต่ำกว่า ๑๕ ปี ๑๕ - ๑๘ ปี สงู กวา่ ๑๘ ปี ตอนที่ ๒ แบบวัดเจตคติต่อวชิ าวิทยาศาสตร์ ขอ้ ขอ้ ความ เห็น เหน็ ไม่ ไมเ่ หน็ ไมเ่ ห็น ดว้ ย ด้วย แนใ่ จ ดว้ ย ดว้ ย อย่างยิ่ง อยา่ งยงิ่ ๑ วทิ ยาศาสตรเ์ ปน็ วชิ าทีม่ คี วามสำคัญกับข้าพเจา้ ๒ ข้าพเจ้าอยากเปน็ คนเกง่ วทิ ยาศาสตร์ ๓ ขา้ พเจา้ เรียนวทิ ยาศาสตร์ดว้ ยความสนกุ สนาน ๔ ข้าพเจ้าชอบทำแบบฝกึ หดั วิทยาศาสตร์ ๕ ขา้ พเจ้าคิดว่าวิทยาศาสตร์มปี ระโยชนม์ ากใน ชวี ติ ประจำวัน ๖ ขา้ พเจ้ารสู้ กึ เบ่ือหน่ายกับการหาคำตอบของโจทย์ ปญั หาทางวิทยาศาสตรท์ ย่ี าก ๗ ขา้ พเจา้ รสู้ กึ ไม่อยากเรยี นวิทยาศาสตร์ เพราะ ขา้ พเจ้าเรียนรวู้ ิทยาศาสตรไ์ ด้ชา้ กว่าวชิ าอนื่ ๘ ข้าพเจ้าต้ังใจเรียนวทิ ยาศาสตร์ ๙ ข้าพเจา้ ชอบชว่ ยสอนวิทยาศาสตรใ์ หน้ อ้ ง ๆ และ เพือ่ น ๆ ๑๐ ข้าพเจา้ ชอบเรยี นวิชาวิทยาศาสตร์มากกวา่ วชิ าอนื่ ๑๑ วิทยาศาสตร์มีเน้ือหาทีย่ งุ่ ยากและซบั ซ้อนมาก ๑๒ ข้าพเจ้าชอบเขา้ รว่ มกจิ กรรมทางวทิ ยาศาสตร์ ๑๓ ขา้ พเจ้าสนใจเม่อื ครนู ำโจทย์ปัญหาแปลก ๆ มาให้ ทำ ๑๔ ข้าพเจา้ คิดว่าการเรยี นวิทยาศาสตรต์ อ้ งท่องจำ มากเกินไป ๑๕ ข้าพเจา้ คดิ วา่ เนื้อหาวิชาวทิ ยาศาสตร์มคี วามแปลก ใหม่ ทา้ ทายความคิด
๓๐ โรงเรยี นไดร้ ับรางวลั ระดบั เหรียญทองแดง ในการคัดสรรผลงานหนึ่งโรงเรียนหนึ่งนวตั กรรม ประจำปี ๒๕๖๔
๓๑ ได้รับรางวลั ดเี ยี่ยม การประกวดการสง่ เสริมพัฒนาส่ือนวัตกรรม ประเภทครู กล่มุ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จาก สพป.นครพนม เขต ๒ นางสาวปาริชาติ ราญมชี ยั ครผู ู้ฝกึ สอนนักเรยี นไดร้ ับรางวลั ระดบั เหรียญทอง กิจกรรมการประกวดผลงานสิง่ ประดิษฐท์ างวิทยาศาสตร์ ระดบั ชนั้ ม.๑ - ๓ ในงานศิลปหตั ถกรรมนักเรียน ระดับชาติ ครั้งท่ี ๖๙ ณ จังหวดั ศรีสะเกษ
๓๒ นางสาวปาริชาติ ราญมีชยั ครูผฝู้ กึ สอนนกั เรยี นไดร้ บั รางวัลระดบั เหรียญเงนิ กิจกรรมการประกวดโครงงานวทิ ยาศาสตร์ ประเภทสิง่ ประดิษฐ์ ระดับชั้น ม.๑ - ๓ ในงานศลิ ปหตั ถกรรมนกั เรยี น ระดับชาติ ครั้งท่ี ๖๙ ณ จังหวดั ศรีสะเกษ เด็กหญงิ พยิ ะดา สงิ ห์งอย ไดร้ ับรางวลั ระดับเหรยี ญทอง กจิ กรรมการประกวดผลงานส่งิ ประดษิ ฐท์ างวิทยาศาสตร์ ระดับชัน้ ม.๑ - ๓ ในงานศิลปหตั ถกรรมนักเรยี น ระดบั ชาติ ครั้งที่ ๖๙ ณ จงั หวดั ศรสี ะเกษ
๓๓ เด็กหญิงสดุ ารตั น์ สงิ ห์งอย ไดร้ ับรางวัลระดบั เหรียญทอง กจิ กรรมการประกวดผลงานสิ่งประดษิ ฐ์ทางวทิ ยาศาสตร์ ระดบั ชนั้ ม.๑ - ๓ ในงานศิลปหตั ถกรรมนักเรียน ระดับชาติ คร้งั ท่ี ๖๙ ณ จงั หวดั ศรีสะเกษ เด็กหญิงพชิ ชากานต์ บุพศริ ิ ไดร้ บั รางวัลเหรียญเงิน กิจกรรมการประกวดโครงงานวิทยาศาสตร์ ประเภทส่งิ ประดิษฐ์ ระดับชนั้ ม.๑ - ๓ ในงานศลิ ปหัตถกรรมนักเรียน ระดับชาติ คร้ังท่ี ๖๙ ณ จงั หวดั ศรสี ะเกษ
๓๔ เด็กชายวรี ภทั ร ผาอิฐดี ไดร้ บั รางวลั เหรยี ญเงิน กจิ กรรมการประกวดโครงงานวิทยาศาสตร์ ประเภทส่ิงประดิษฐ์ ระดับชนั้ ม.๑ - ๓ ในงานศิลปหัตถกรรมนักเรียน ระดับชาติ ครงั้ ท่ี ๖๙ ณ จังหวดั ศรีสะเกษ เดก็ ชายสิทธพิ ร เคหภมู ิ ไดร้ ับรางวลั เหรียญเงิน กิจกรรมการประกวดโครงงานวิทยาศาสตร์ ประเภทสิง่ ประดิษฐ์ ระดับชั้น ม.๑ - ๓ ในงานศิลปหัตถกรรมนักเรียน ระดับชาติ ครง้ั ท่ี ๖๙ ณ จังหวัดศรีสะเกษ
๓๕ นกั เรียนเขา้ ร่วมการแขง่ ขันจรวดขวดน้ำ ประเภทยงิ ไกล โดยองคก์ ารพิพิธภัณฑ์วทิ ยาศาสตรแ์ หง่ ชาติ (อพวช.) รว่ มกบั มหาวิทยาลยั ราชภัฏสกลนคร นำนักเรยี นเข้าร่วมกจิ กรรมการประกวดผลงานสิง่ ประดิษฐ์ทางวิทยาศาสตร์ ระดับชั้น ม.๑ - ๓ ในงานศลิ ปหัตถกรรมนักเรียน ระดับชาติ ครัง้ ท่ี ๖๙ ณ จงั หวดั ศรีสะเกษ
๓๖ นำนกั เรยี นเข้ารว่ มกิจกรรมการประกวดโครงงานวทิ ยาศาสตร์ ประเภทสง่ิ ประดษิ ฐ์ ระดับชนั้ ม.๑ - ๓ ในงานศิลปหัตถกรรมนักเรยี น ระดับชาติ คร้ังท่ี ๖๙ ณ จงั หวัดศรีสะเกษ นำเสนอผลงานผลงานส่ิงประดิษฐ์วิทยาศาสตร์และโครงงานวทิ ยาศาสตร์ ต่อผตู้ รวจราชการของกระทรวงศึกษาธิการ
๓๗ ตัวอย่างผลงานการสรุปความคิดรวบยอดในรายวิชาวิทยาศาสตร์ ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓/๑ โรงเรยี นบ้านหาดแพง(หาดแพงวทิ ยา)
๓๘ ข้อมูลเจา้ ของผลงาน ช่ือ - สกุล นางสาวปารชิ าติ ราญมชี ัย วนั /เดอื น/ปีเกดิ ๓๐ มถิ ุนายน ๒๕๒๓ ทอ่ี ยู่ปัจจุบัน บ้านเลขที่ ๒๘ หมู่ ๕ บา้ นหาดแพง ตำบลหาดแพง อำเภอศรสี งคราม เบอรโ์ ทรศัพท์ จังหวัดนครพนม ๔๘๑๕๐ E-mail ๐๘๓ - ๓๓๗๐๔๕๖ ตำแหนง่ ปัจจบุ นั [email protected] ครู วทิ ยฐานะครชู ำนาญการพเิ ศษ ประวัตกิ ารศึกษา โรงเรียนบา้ นหาดแพง(หาดแพงวทิ ยา) ประวตั ิการทำงาน ปริญญาตรี วฒุ กิ ารศึกษา วิทยาศาสตรบัณฑติ สาขาฟสิ ิกส์ สถาบันราชภัฏสกลนคร ปรญิ ญาโท วฒุ กิ ารศกึ ษา ศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาการบรหิ ารการศึกษา มหาวิทยาลยั กรงุ เทพธนบุรี ปี ๒๕๔๙ บรรจุเขา้ รบั ราชการครู ตำแหน่ง ครูผชู้ ว่ ย ท่โี รงเรยี นโพนสวรรค์ราษฎรพ์ ฒั นา อำเภอโพนสวรรค์ จังหวัดนครพนม ปี ๒๕๕๒ ย้ายไปปฏิบตั ิหน้าที่ท่โี รงเรยี นพะทายพิทยาคม อำเภอทา่ อเุ ทน จงั หวัดนครพนม ปี ๒๕๖๒ ยา้ ยไปปฏบิ ตั ิหน้าที่ทีโ่ รงเรยี นบ้านหาดแพง(หาดแพงวทิ ยา) อำเภอศรีสงคราม จังหวดั นครพนม และปฏิบตั หิ นา้ ที่ทโ่ี รงเรยี นบา้ นหาดแพง(หาดแพงวิทยา) จนถึงปัจจบุ ัน
Search
Read the Text Version
- 1 - 38
Pages: