Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore การสร้างหนังสือ E-book วิชาพัฒนาบทเรียน

การสร้างหนังสือ E-book วิชาพัฒนาบทเรียน

Published by Ponnapat Buakamsri, 2021-06-09 08:53:17

Description: 1.เพื่อให้นักศึกษาสามารถศึกษา ค้นคว้า เนื้อหาพัฒนาบทเรียนออนไลน์
2.เพื่อให้นักศึกษามีความรู้ ความเข้าใจ เนื้อหาพัฒนาบทเรียนออนไลน์
3.เพื่อให้นักศึกษามีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในรายวิชาพัฒนาบทเรียนออนไลน์ อยู่ในระดับดี

Keywords: พัฒนาบทเรียนออนไลน์,การสร้างหนังสืออิเล็กทรอนิกส์

Search

Read the Text Version

กลม่ ุ ที่ 8 วฒั นธรรมองคก์ ร Organization

ความหมายของวฒั นธรรม Culture วัฒนธรรม หมายถึง วิธกี ารดาํ รงชวี ิต ของมนษุ ยท์ แ่ี สดงถึงความเจรญิ งอกงาม ในการอย่รู ่วมกนั เป็ นการสรา้ งสรรค์ ของมนษุ ยท์ ่ีแสดงออกในลักษณะวัตถุ และไม่ใชว่ ตั ถแุ ลว้ ถ่ายทอดสบื ตอ่ กนั มา

ความสาคญั ของวฒั นธรรม วฒั นธรรมทาํ ใหเ้ กดิ ความสามัคคคี วามเป็ นอนั หนึ่งอนั เดยี วกนั สงั คมทีม่ วี ัฒนธรรมเดยี วกนั ย่อมจะมีความรสู้ ึกผกู พันเดยี วกนั เกดิ ความเป็ นปึ กแผน่ วัฒนธรรมเป็ นตวั กาํ หนดรปู แบบของสถาบัน เชน่ วฒั นธรรมไทยกาํ หนดเป็ นแบบสามีภรรยาเดยี ว ในอีกสงั คมหนึ่งกาํ หนด ว่าชายอาจมีภรรยาไดห้ ลายคน หรอื หญิงอาจมีสามีไดห้ ลายคน

วฒั นธรรมเป็ นเครอื่ งแสดงเอกลกั ษณข์ องชาติ วฒั นธรรมเป็ นเคร่ืองแสดงเอกลกั ษณข์ องชาติ หมายถึง ลักษณะพิเศษหรอื ลักษณะเดน่ ของบคุ คลหรือสงั คม ที่แสดงวา่ สงั คมนแี้ ตกตา่ งไปจากอกี สงั คมหนงึ่ เชน่ วฒั นธรรมการพบปะกนั ในสงั คมไทย จะมกี ารยกมือไหวก้ นั แตใ่ นสังคมญ่ปี ่ นุ ใชก้ ารคาํ นับกนั ความมีระเบียบวนิ ัย ขยนั ประหยดั อดทน การเห็นประโยชนส์ ว่ นรวมมากกว่าสว่ นตวั เป็ นตน้

วฒั นธรรมเป็ นเครือ่ งสรา้ งระเบียบแก่สงั คมมนษุ ย์ วัฒนธรรมเป็ นเคร่ืองสรา้ งระเบยี บแกส่ งั คมมนษุ ย์ เป็ นเคร่อื งกาํ หนดพฤตกิ รรม ของ สมาชกิ ในสงั คมไทย ใหม้ ีระเบยี บแบบแผนท่ีชดั เจนรวมถงึ ผลของการแสดง พฤตกิ รรมตลอดจนถงึ การสรา้ งแบบแผนของความคดิ ความเชอ่ื และคา่ นยิ ม ของสมาชกิ ใหอ้ ยใู่ นรปู แบบเดียวกนั เป็ นเคร่ืองมือชว่ ยแกป้ ัญหา และ สนองความตอ้ งการของมนษุ ย์ มนษุ ยไ์ ม่สามารถดํารงชวี ิตภายใตส้ ิ่งแวดลอ้ ม ไดอ้ ย่างสมบรู ณ์ ดังนน้ั มนษุ ยต์ อ้ งแสวงหาความรจู้ ากประสบการณท์ ่ีตนไดร้ ับ ใหเ้ กดิ ประโยชนต์ อ่ ชวี ิตและถา่ ยทอดจากสมาชกิ ร่นุ หนง่ึ ไปส่สู มาชกิ ร่นุ ตอ่ ไปไดโ้ ดย วฒั นธรรมของสงั คม

วัฒนธรรมองคก์ ร เป็ นวิถชี วี ิตท่ีคนกล่มุ ใดกล่มุ หนึ่งยึดถือ ปฏิบัตสิ ืบตอ่ กนั มากลายเป็ นนิสัยและความเคยชนิ และ Culture กลายเป็ นขนบธรรมเนียมประเพณี วิถีประพฤติปฏบิ ตั ิ Culture ความเชอื่ ค่านิยม รวมทง้ั ภาษาวตั ถสุ ่ิงของตา่ งๆทาํ ให้ คนรวมตวั กนั เป็ นสังคม มกี ารอย่รู ่วมกนั อย่างมรี ะเบียบ ผลของวฒั นธรรมจะออกมาในรปู จริยธรรม ตลอดจน ค่านยิ มท่ใี ชใ้ นการตดั สินใจหรือวินจิ ฉยั สงั่ การ วฒั นธรรมองคก์ ร

จริยธรรมองคก์ ารถือเป็ นส่วนสาํ คญั ทจ่ี ะทาํ ให้ Culture การดาํ เนินงานขององคก์ ารกา้ วหนา้ และส่งผลใหอ้ งคก์ าร Culture ไดร้ ับความเชอ่ื ถือจากสังคม ดงั นนั้ องคก์ ารทกุ ประเภทจึงจาํ เป็ น อย่างยิ่งที่จะตอ้ งนาํ จริยธรรมมาใชใ้ นการบรหิ ารและแกไ้ ขปัญหา องคก์ ารอย่างถกู วิธีเพ่ือใหไ้ ดร้ บั ความเช่ือถือ ภาพพจนท์ ดี่ ี อนั นาํ มาซ่ึงชอื่ เสียง เกียรติยศและความกา้ วหนา้ ในระยะยาว ขององคก์ ร จริยธรรมองคก์ าร

การรวมกลม่ ุ คนในองคก์ รอยา่ งมีระเบียบ ในองคก์ รทงั้ หลายซึ่งเกิดจากการรวมกล่มุ ของคน อย่างมรี ะเบียบนนั้ ถา้ เรามองท่ปี ัจเจกบคุ คลจะเห็นว่า บคุ คลจะ กระทาํ การไปส่เู ป้ าหมายใด ๆ ไดน้ นั้ ตอ้ งอาศยั ศนู ย์รวมของใจหรือ จิตใจเป็ นตวั นาํ ดงั ทม่ี กั กล่าวกนั ว่า “สาํ เร็จดว้ ยใจ” เมอ่ื ปัจเจกบคุ คลมารวมกนั ในองคก์ ร มีจิตใจมากมายแตกต่างกนั ไป สิ่งท่ีจะผกู ความแตกต่างของจิตใจ เหล่าน้ใี หอ้ ย่ดู ว้ ยกนั ไดแ้ ละทาํ งานไปในทิศทางเดียวกนั ไดโ้ ดยเฉพาะ คา่ นยิ มทเี่ กย่ี วกบั งานในหน่วยงานท่ีตนเองมีวิถชี ีวิตอย่สู อดคลอ้ งกนั ได้ นนั้ ก็คอื “วฒั นธรรม” ในองคก์ ร

วฒั นธรรมการทางานขององคก์ ร ในองคก์ รไดร้ บั ความสนใจมากขนึ้ ในปัจจบุ นั เมอ่ื การเปลี่ยนแปลง ของสังคมมีผลกระทบต่อองคก์ รโดยเฉพาะในดา้ นเทคโนโลยี เทคโนโลยีสามารถทาํ ใหง้ านง่ายข้ึนและทาํ ใหก้ ารทาํ งานในยคุ ขอ้ มลู ข่าวสารหรือยคุ โลกาภวิ ัฒนส์ ามารถจัดขนาดองคก์ รใหเ้ ล็กลงมีการ กระจายอาํ นาจออกไปใหบ้ ริการอยา่ งกวา้ งขวางเฉพาะพื้นที่ เฉพาะราย เฉพาะดา้ น เฉพาะกล่มุ เช่น กล่มุ นิติกร กล่มุ บญั ชี กล่มุ บริหารงานบคุ คล และกล่มุ อน่ื ๆ กล่มุ เหล่านี้อาจมีช่ือเป็ นแผนก ฝ่ าย กอง กรม หรือ กระทรวงก็ได้ มีสายโยงใยคอื วัฒนธรรมในการทาํ งาน เป็ นศนู ย์รวมของ จิตใจจากองคก์ รต่าง ๆ เพ่ือใหอ้ งคก์ รสามารถทาํ งานมงุ่ ไปสู่ ทศิ ทางการศึกษาวฒั นธรรมเดียวกนั ได้

ความหมายของวฒั นธรรมในองคก์ ร Extinct Animalsกอรด์ อน (Gordon. 1999: 342) กล่าวว่าวฒั นธรรมองคก์ รคือสิง่ ที่ อธิบายสภาพแวดลอ้ มภายในองคก์ รท่ีรวมเอาขอ้ สมมตุ ิ ความเช่อื และคา่ นยิ มที่ สมาชิกขององคก์ รมรี ่วมกนั และใชเ้ ป็ นแนวทางในการปฏบิ ตั ิงานเพ่อื มี ปฏิสมั พนั ธก์ บั โครงสรา้ งอย่างเป็ นทางการในการกาํ หนดรปู แบบ วิรชั สงวนวงศ์วาน (2547: 20 ธรรมองคก์ รคอื คา่ นิยมและความเชอื่ ที่มี ร่วมกนั อย่างเป็ นระบบที่เกิดขนึ้ ในองคก์ ร และใชเ้ ป็ นแนวทางในการกาํ หนด พฤติกรรมของคนในองคก์ รนนั้ วฒั นธรรมองคก์ ารจึงเป็ นเสมอื น “บคุ ลิกภาพ” หรือ “จิตวิญญาณ” ขององคก์ ร สนุ ทร วงศ์ไวศยวรรณ (2540: 11) กล่าวว่า วัฒนธรรมองคก์ ร หมายถึง ส่ิงต่างๆ อนั ประกอบดว้ ยส่ิงประดษิ ฐ์ แบบแผนพฤตกิ รรม บรรทดั ฐาน ความ เช่อื ค่านิยม อดุ มการณ์ ความเขา้ ใจและขอ้ สมมตุ ิพ้ืนฐานของคนจาํ นวนหนง่ึ หรือส่วนใหญ่ภายในองคก์ ร

ความหมาย วฒั นธรรมองคก์ ร วฒั นธรรมองคก์ ร (Moorherad & Griffin 1995: 440) หมายถึง การแสดงใหเ้ ห็นถึงค่านยิ ม ความรู้ ความคิด ศีลธรรม ประเพณี เทคโนโลยีตลอดจนส่ิงต่าง ๆ ทมี่ นษุ ย์สรา้ งขน้ึ มา ความเชื่อถือ ศรัทธาร่วมกนั ของบรรดาสมาชิกภายในองคก์ รนน้ั ๆ และ ทง้ั แสดงใหเ้ หน็ ถึงสัญลักษณ์ตา่ ง ๆ เช่น ปรชั ญา ตาํ นาน นยิ าย เรื่องราว และภาษาพิเศษ ฯลฯ

สรปุ วฒั นธรรมองคก์ ร หากมองในทศั นะแคบ วัฒนธรรมจะหมายถงึ ระบบอดุ มการณ์หรือแนวความคดิ (an ideational or conceptual system) ท่ีเรียนรกู้ นั แลกเปล่ียนกนั ไดแ้ ละเป็ นแนวทางหรือมาตรฐานสาํ หรับพฤติกรรม ทีเ่ หมาะสมอนั ควรแก่การประพฤติปฏบิ ตั ิ วฒั นธรรมในแงน่ ้ีจึงเป็ นเสมือนเคร่ืองมือเพ่ือรกั ษาและ เกื้อกลู ความสมั พันธ์ระหว่างคนกบั สภาพแวดลอ้ ม สําหรับวฒั นธรรมองคก์ รจะเป็ นวฒั นธรรมทงั้ ระดบั กวา้ งและระดบั แคบ คอื เป็ นทงั้ แบบแผนสําหรับ พฤตกิ รรมและแบบแผนของพฤติกรรมซึ่งสมาชิกทง้ั หลายในองคก์ รยึดถอื ร่วมกนั และ สะทอ้ นความเป็ นจริงในองคก์ ารหรือสงั คมทท่ี กุ คนรบั รแู้ ละยอมรบั อย่างเป็ นเอกฉนั ท์ร่วมกนั หรือไมแ่ ตกต่างกนั มากนกั โดยสรปุ วฒั นธรรมองคก์ รหมายถงึ ฐานคตพิ ื้นฐานทีม่ แี บบแผนซึ่งถกู ประดษิ ฐค์ น้ พบจากการเรียนรู้ โดยกล่มุ เพ่ือใชเ้ ป็ นเครื่องมอื ในการแกไ้ ขปัญหาการปรบั ตวั และถกู ถา่ ยทอดไปยงั สมาชกิ ในองคก์ ร

Back Next ความสาคญั ของวฒั นธรรมองคก์ ร วัฒนธรรมเป็ นรากฐานทก่ี าํ หนดทศั นคติและพฤติกรรม ของมนษุ ย์ในสงั คม องคก์ ารซ่ึงจัดว่าเป็ นสงั คมย่อยย่อมมี วฒั นธรรมเป็ นหลกั ในการดาํ รงชวี ิต หรือวิถีชวี ิต หรือ เป็ นแบบแผนสาํ หรบั พฤตกิ รรมในการทาํ งานของมนษุ ย์ โดยที่สมาชิกในสังคมหรือมนษุ ยไ์ มร่ ตู้ วั

วฒั นธรรมองคก์ รหลกั ฐานการศึกษาวจิ ยั มี 3 ประการ คลัคคอน และเคลลี (Kluckhohn and Kelly) เรียกวฒั นธรรมในองคก์ ร ว่า เป็ นแบบหรือวิถกี ารดาํ รงชีวิตท่ีทาํ ใหอ้ งคก์ ารมีเอกลักษณ์ ของตนเองตา่ งไปจากองคก์ รอนื่ และแบบการดาํ รงชีวติ น้ี สามารถแลกเปล่ียนกนั และกนั หรือแพร่กระจายออกไปไดใ้ นหม่สู มาชกิ ของสังคม โดยมกี ารเรียนรผู้ า่ นกระบวนการขดั เกลาทางสงั คม วัฒนธรรมนเี้ ปรียบเสมือนเป็ นกาวหรือหลกั ท่ียึดองคก์ รหรือ หนว่ ยงานใหก้ ลมเกลียวไมแ่ ตกสลายลงไปความสําคญั ของวฒั นธรรม ต่อองคก์ ร มีหลกั ฐานการศึกษาวิจยั ไว้ 3 ประการคือ

1. วัฒนธรรมองคก์ รสามารถกาํ หนดรปู แบบพฤติกรรม number ขององคก์ ารได้ เช่น วฒั นธรรมองคก์ ารที่คนส่วนมาก มกั วางเฉยตอ่ ปัญหาทีเ่ กิดข้ึนในองคก์ าร เมื่อวิถชี ีวิต ขอ้ 1 ทวั่ ไปสรา้ งแบบแผนการวางเฉยตอ่ ปัญหาพฤตกิ รรม การปฏิบตั ิของมนษุ ยใ์ นองคก์ ารก็จะซึมซับเรียนรู้ แพร่กระจายในเร่ืองการวางเฉย นานเขา้ ก็จะเป็ น วัฒนธรรมการวางเฉย และกลายเป็ นแบบแผนสําหรับ พฤตกิ รรมมนษุ ย์ในองคก์ ารนนั้ ๆ ตอ่ ไป

2. รปู แบบพฤติกรรมองคก์ รท่เี กดิ ขนึ้ จากวัฒนธรรมองคก์ ร number อาจเป็ นไดท้ ง้ั ปัจจยั เกอ้ื กลู หรืออปุ สรรคต่อการดาํ เนินงานของ องคก์ รโดยเฉพาะอย่างยิ่งการตดั สินในแกไ้ ขปัญหาในการ ขอ้ 2 บริหารงาน เชน่ ในกรณีท่ีองคก์ ารมปี ัญหาที่เกีย่ วกบั งาน หรือพฤตกิ รรมของคน และจําเป็ นตอ้ งแกไ้ ขปัญหาเหล่าน้ี เม่อื แบบแผนการประพฤติถกู ปิ ดกน้ั กจ็ ะเกิดการวางแนวปฏิบัตขิ น้ึ มา หรือวิธีการแบบใดในการแกไ้ ขปัญหาเป็ นทีย่ อมรับไม่ได้ (เพราะขดั กบั วฒั นธรรมกลมุ่ ท่ีมอี ย่ใู นใจ หรือกล่มุ ไมม่ ี วฒั นธรรมนอี้ ยู่ คือความกลา้ หาญในการคดิ ริเร่ิมสรา้ งสรรค)์ วฒั นธรรมจึงเป็ นเง่อื นไขสาํ คญั ในการศึกษาปัญหาขององคก์ าร ทง้ั โครงสรา้ ง กระบวนการ พฤติกรรม และส่ิงแวดลอ้ มใน องคก์ ร

3. จากผลงานการศึกษาของ พอล เบท และ เอ็มอีพี สลิกแมน number (Paul Bate and M.E.P. Seligman) พบว่าวัฒนธรรมจะมีอาํ นาจ ชกั นาํ ใหเ้ กดิ ภาวการณ์เรียนรตู้ ่าง ๆ ไดโ้ ดยเฉพาะอย่างยิ่งทีม่ ี ขอ้ 3 ความสาํ คญั กบั องคก์ รคอื การเรียนรภู้ าวะช่วยตวั เองไม่ได้ (Learned helplessness)ซึ่งเป็ นสถานภาพทางจิตทค่ี นจะมเี ม่ือเขา รบั รวู้ ่าเขาไม่สามารถควบคมุ เป้ าหมายในชีวติ ของเขาเองได้และ ถา้ การรับรเู้ ช่นนีไ้ ดร้ บั การยืนยนั โดยผนู้ น้ั มปี ระสบการณ์ตรง โดยเขาผนู้ นั้ พบกบั ตวั เองว่าเป็ นเช่นนน้ั จริง ๆ กจ็ ะทาํ ใหก้ ารจงู ใจ ในการตอบโตก้ บั ปัญหาหายไป โดยสรปุ วัฒนธรรมองคก์ รในฐานะเป็ นแบบแผนสาํ หรบั พฤติกรรมมนษุ ย์ในองคก์ รเป็ นสิ่งที่ผศู้ ึกษาพฤตกิ รรมองคก์ าร จะละเลยไม่ได้เพราะเป็ นเสมือนแกนกลางของทกุ ส่ิงทกุ อย่างใน การดาํ เนนิ งานของมนษุ ย์ในองคก์ ร

องคป์ ระกอบของวฒั นธรรมองคก์ ร เน่อื งจากวัฒนธรรมองคก์ รมขี อบเขตทก่ี วา้ ง และมลี กั ษณะคลา้ ย ๆ ภเู ขานา้ํ แข็ง (Iceberg) คอื มีส่วนท่อี ย่ขู า้ งบนนา้ํ ส่วนหนง่ึ และอย่ใู ตน้ า้ํ อีกส่วนหนง่ึ จึงอาจแบ่ง วัฒนธรรมออกไดเ้ ป็ น 2 ส่วน คือ ส่วนทีม่ องเห็นได้ (Visible) จะเป็ นส่ิงที่สมาชกิ องคก์ รสรา้ งหรือประดิษฐข์ นึ้ มา เชน่ ส่ิงประดิษฐต์ ่าง ๆ (Artifacts) อาทเิ ช่น รปู ปั้นของผกู้ อ่ ตง้ั กจิ การ และถาวรวัตถตุ ่าง ๆ เช่น โดมของธรรมศาสตร์ หรือการตบแตง่ อาคารสถานท่ี ป้ าย สัญลักษณ์ คาํ ขวัญ (Slogan) และพิธีกรรมต่างๆ และการแตง่ กาย เป็ นตน้ ส่วนทอี่ ย่ลู ึกลงไป จะมองไมเ่ ห็น (Invisible) แต่เป็ นส่ิงทสี่ มาชิกรับรแู้ ละเขา้ ใจ ร่วมกนั เช่น ค่านยิ มขององคก์ รที่สมาชกิ รับรู้ เชน่ ค่านิยมของ Mcdonald ทเ่ี นน้ คณุ ภาพ บริการความสะอาด และคณุ คา่ ของสินคา้ และบรกิ าร หรือความมงุ่ มนั่ คณุ ค่าและความเช่อื ของบริษทั หรือองคก์ ร

คณุ ลกั ษณะของวฒั นธรรมองคก์ ร รากฐานรองรบั วัฒนธรรมองคก์ รใดคือ ความเช่อื ทนี่ าํ ทางคา่ นิยม ที่สรา้ งรากฐานของปรัชญาเพ่ือทิศทางขององคก์ รขน้ึ มา ความเชื่อ เหล่าน้ีจะกาํ หนดบรรทดั ฐานเพื่อพฤตกิ รรมภายในองคก์ าร เช่น ณ ยไู นเต็ด พารเ์ ซิล เซอร์วิส ความเช่อื ของพวกเขาคือบริษทั ควรจะรักษาสถานที่ทาํ งานท่เี สมอภาคเอาไว้ ที่พนกั งานทกุ คนจะถกู ปฏบิ ัติอย่างยตุ ิธรรมและเสมอภาค และพนกั งานจะตอ้ งไดร้ บั รางวลั จากการทาํ งานหนกั เพ่ือท่ีจะบรรลเุ ป้ าหมายของบริษทั

บรรทัดฐานสองอยา่ งน้ที ี่เกดิ ข้นึ จากความเชื่อต่อ สถานท่ีทางานที่เสมอภาค คือ 1. จงเรียกพนกั งานและผบู้ รหิ ารระดบั สงู ของยพู ีเอส ดว้ ยช่อื ตวั แรกของพวกเขาเหมือนกนั 2. การมที จี่ อดรถยนตท์ ่ไี มม่ ีการสงวนสิทธ์ิภายใน ลานจอดรถยนตข์ องบริษทั เมื่อคา่ นยิ มและความเชอื่ ไดถ้ กู ยอมรับ ทวั่ ทง้ั องคก์ ารและพนกั งานกระทาํ ตามค่านิยมเหล่านแ้ี ลว้ บริษทั จะมีวฒั นธรรมองคก์ รทีเ่ ขม้ แข็ง นกั วิจัยไดร้ ะบเุ ครื่องวดั ความ เขม้ แข็งทางวัฒนธรรมหลายอยา่ ง คือ ความลึกของการแทรกซึม ภายในองคก์ ร 1. วฒั นธรรมจะใหค้ วามรสู้ ึกที่เป็ นเอกลกั ษณแ์ ก่สมาชิกองคก์ ร 2. วฒั นธรรมจะถกู กระตนุ้ ความผกู พันร่วมกนั 3. วัฒนธรรมจะส่งเสริมความมนั่ คงของระบบทางสงั คม 4. วัฒนธรรมจะมีอิทธิพลตอ่ พฤตกิ รรมท่ีช่วยใหบ้ คุ คลเขา้ ใจ เหตผุ ลส่ิงแวดลอ้ มของพวกเขาได้

ลกั ษณะของวฒั นธรรมองคก์ ร มิติท่ี 1 แบ่งเป็ น 1. วัฒนธรรมเด่น (Dominant Culture) จะเป็ นลกั ษณะของคนในองคก์ รโดยรวมซึ่งจะเห็นได้ จากค่านิยมหลกั ขององคก์ รนนั้ วัฒนธรรมประเภทนจ้ี ะเป็ นวัฒนธรรมของคนส่วนใหญ่ท่รี ับรู้ และยอมรับ ตลอดจนเขา้ ใจร่วมกนั เช่น วฒั นธรรมของมหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์ คอื ส่งเสริมประชาธิปไตยและความเสมอภาค ตลอดจนม่งุ รับใชส้ งั คม 2. วฒั นธรรมย่อย (Subculture) จะเป็ นวฒั นธรรมของกล่มุ งาน แผนกงาน หรือพ้ืนทีง่ าน ซ่ึง ในองคก์ รหนงึ่ ๆ ที่มหี ลายกล่มุ งานหรือแผนกงานกจ็ ะมวี ฒั นธรรมย่อย ๆ เช่น วัฒนธรรม ของคณะพาณิชยศ์ าสตร์ และการบัญชี ทีเ่ นน้ การทาํ งานอย่างมีประสิทธิภาพ และการมงุ่ ตอบสนองความตอ้ งการ ของลกู คา้ ซึ่งจะแตกตา่ งจากวฒั นธรรมของคณะวารสารศาสตรแ์ ละส่ือสารมวลชนทเ่ี นน้ ความเป็ นอิสระของวิชาชีพของสื่อตา่ ง ๆ เป็ นตน้ การมวี ฒั นธรรมย่อยจะก่อใหเ้ กิดประโยชนต์ ่อองคก์ ารหรือไม่นน้ั อย่กู บั ถา้ ว่าวฒั นธรรม ย่อยนนั้ ๆ เหน็ พอ้ งตอ้ งกนั กบั ความเชอื่ ทเี่ ป็ นสมมติฐานพื้นฐานและค่านยิ มหลักขององคก์ ร แต่ไมเ่ ห็นพอ้ งกบั พฤตกิ รรมหรือวิธีการท่ีจะไปส่คู วามเชือ่ มนั่

ลกั ษณะของวฒั นธรรมองคก์ ร มิติท่ี 2 แบ่งเป็ น วฒั นธรรมที่เขม้ แข็งหรืออ่อนแอซ่ึงจะขึน้ อย่กู บั ระดบั ของการ เหน็ พอ้ งตอ้ งกนั (ConsensusหรือAgreement)การยึดเหนยี่ วกนั (Cohesiveness)และการผกู พนั (Commitment) ของสมาชกิ ตอ่ วัฒนธรรม องคก์ ารนน้ั ๆ วัฒนธรรมท่ีเขม้ แขง็ (Strong Culture) หมายถึง วฒั นธรรมที่มนี าํ้ หนกั มาก คนเห็นพอ้ งตอ้ งกนั และยอมรับมากจึงเปลีย่ นแปลงยาก มผี ลต่อการ ควบคมุ พฤตกิ รรมไดม้ ากทาํ ใหส้ มาชกิ ขององคก์ รมีแรงยึดเหนย่ี วกนั สงู ในองคก์ ารทางการทหารหรือในองคก์ รของชาวเกาหลีและญ่ีป่ ุน จะมี วฒั นธรรมองคก์ รทม่ี นี าํ้ หนกั และมคี วามเขม้ แขง็ มากกวา่ องคก์ รแบบตะวันตก อนั เป็ นผลมาจากการไดร้ ับอทิ ธิพลจากวฒั นธรรมประจาํ ชาตนิ นั่ เอง

ส่วนประกอบของวฒั นธรรมท่ีสาคญั Deal และ Kennedy (1982) ไดเ้ สนอว่าองคก์ รทมี่ ีวฒั นธรรมองคก์ รทีเ่ ขม้ แขง็ จะมี ส่วนประกอบของวฒั นธรรมที่สําคญั คือ 1) มคี ่านิยม ซ่ึงสะทอ้ นวิสยั ทศั น์ และความเชอ่ื ขององคก์ ารทชี่ ดั เจน ดงั เชน่ ท่ี 3 เอ็ม ท่มี ีความเชือ่ ในการม่งุ สรา้ งนวัตกรรม 2) มวี ีรบรุ ษุ ซึ่งจะปรากฏอย่ใู นเรื่องเล่าขององคก์ ร เช่น บิลเกตต์ จะมวี ีรบรุ ษุ ท่ี สาํ คญั ในการสรา้ งวัฒนธรรมกรมงุ่ คิดไปขา้ งหนา้ ใหเ้ กดิ ขน้ึ แก่ไมโครซอฟท์ 3) มพี ิธีกรรมและพิธกี าร เพ่ือเป็ นการเนน้ ยํา้ คา่ นิยมขององคก์ ร เชน่ พิธีมอบ รางวัลดเี ดน่ ใหแ้ กพ่ นกั งานที่มคี วามคิดสรา้ งสรรคใ์ หม่ ๆ แกอ่ งคก์ ร 4) มเี ครือขา่ ยของวฒั นธรรม ซึ่งจะเป็ นวิธีการตา่ ง ๆ ในการสื่อสารวฒั นธรรมให้ ถกู ปลกู ฝงั และเนน้ ยํา้ วฒั นธรรมองคก์ รแก่สมาชกิ ในองคก์ ารนน้ั ๆ เช่น การมีสมดุ กพก หรือ บตั รวัฒนธรรมองคก์ รตดิ ตวั พนกั งาน

โดยทวั่ ไปพบวา่ วฒั นธรรมทีเ่ ขม้ แขง็ จะทาํ ใหส้ มาชกิ ยึดมนั่ ต่อเป้ าหมายขององคก์ ร สรา้ งแรงจงู ใจใหแ้ กส่ มาชกิ แต่ขณะเดียวกนั ก็พบว่า องคก์ ารมกั จะยึดถอื ดแี ละ มงุ่ เนน้ ภายในองคก์ รเป็ นสําคญั ตลอดจนมีความเป็ นระบบราชการเพมิ่ ขนึ้ เรื่อย ๆ มีผลประกอบการทางการเงินทป่ี ระสบความสําเร็จ และถา้ องคก์ รตอ้ งการ เปล่ียนแปลงกม็ กั จะเปลี่ยนไดย้ าก วฒั นธรรมทอ่ี ่อนแอ (Weak Culture) จะเป็ นวัฒนธรรมทีค่ นอาจจะ ไม่เห็นพอ้ งตอ้ งกนั มาก และเปลี่ยนแปลงไดง้ า่ ย และไม่คอ่ ยมนี าํ้ หนกั ตอ่ สมาชกิ เทา่ ไร นกั วฒั นธรรมองคก์ รจึงอาจยังไม่มนี า้ํ หนกั ต่อสมาชกิ มากเท่าใดนกั หรืออาจจะ CREDITS:เกThดิ isขpึน้ reในseอnงtaคtiกo์ nาtรeทmผี่plนู้atาํ eไมwไ่aดsใ้ หค้ วามสาํ คญั กบั วฒั นธรรมขององคก์ รมากนกั createadndbyinSfolเgiนdreอ่ืaspงghจoicา,siกn&cอlimuงdคaingก์ geาsicรboเynปsFิ ดrbeรyeับpFliกkat.าicรoเnปลีย่ นแปลงต่าง ๆ จากสภาพแวดลอ้ มมาก

การทจ่ี ะทราบว่าวฒั นธรรมจะเขม้ แข็งหรืออ่อนแอนนั้ ตอ้ งพจิ ารณาถงึ ระดบั ความผกู พนั ของบรรดาเหล่าสมาชกิ ทง้ั หลาย หากความผกู พนั ของสมาชกิ มสี งู มาก ก็แสดงว่าวัฒนธรรมภายในองคก์ รนน้ั เขม้ แข็งซง่ึ เป็ นเป้ าหมายขององคก์ ร ทง้ั นี้ สมาชกิ ทกุ คนจะตอ้ งดาํ เนินการตามเป้ าหมายนน้ั อย่างอดทนและเสียสละ ลกั ษณะทสี่ ําคญั ของวัฒนธรรมทีเ่ ขม้ แขง็ นน้ั ผกู พันกบั นโยบาย กลยทุ ธ์ และ โครงการของธรุ กจิ จะตอ้ งสอดคลอ้ งกบั คา่ นยิ ม เพราะค่านิยมเป็ นรากฐานของ วฒั นธรรมทเ่ี ขม้ แข็งมีบทบาทสําคญั ในการเป็ นพลงั จงู ใจแกเ่ หล่าสมาชิกในองคก์ ร CREDITS: Tนhนั้ isวpัฒresนeธntรaรtioมnนteน้ั mกp็จlaะtเeป็wนaทsรพั ย์สินทส่ี าํ คญั ทางธรุ กจิ created by Slidesgo, including icons by Flaticon and infographics & images by Freepik.

ความสาคญั วฒั นธรรมในองคก์ รเป็ นสิ่งสาํ คญั ทแ่ี สดงออกถงึ พฤติกรรมของ คนในองคก์ รนนั้ ๆ ซ่ึงเกดิ จากความตอ้ งการท่จี ะเปล่ียนแปลง วัฒนธรรมองคก์ ร ภายในองคก์ ร ดังนนั้ ผบู้ ริหารควรใหค้ วามสาํ คัญกับวัฒนธรรมองค์กร โดยการประเมนิ สภาพของวัฒนธรรมองคก์ รท่ีเป็ นอยู่ และประเมนิ ความเหมาะสมหรือคุณ ค่าท่ีมีตอ่ องคก์ ร เพอ่ื จะไดส้ ร้างวัฒนธรรมองคก์ รใหเ้ ป็ นไปในแนวทางท่ี เหมาะสม เกิดประโยชนส์ งู สดุ ตอ่ องค์กร ถึงแมบ้ างบริษัทอาจจะลอกเลียน สตู รการทาํ ธรุ กิจจากบริษทั ทีป่ ระสบความสาํ เร็จได้ แตอ่ าจจะประสบ ความสาํ เร็จไม่เท่ากัน เพราะวัฒนธรรมองค์กรนั้นแตกต่างกันไปไม่สามารถ ลอกเลียนแบบวัฒนธรรมการทาํ งานของแตล่ ะบริษัทได้

ลกั ษณะของวฒั นธรรมที่จะทาใหอ้ งคก์ ารบรรลปุ ระสทิ ธิผล จากการศึกษาของ Daniel R. Denison (1990)พบว่าวฒั นธรรมองคก์ รจะสง่ ผลต่อ ประสิทธิผล (Effectiveness) ขององคก์ รเป็ นอย่างมาก เมอ่ื วัฒนธรรมนน้ั ก่อใหเ้ กดิ 1. การผกู พนั (Involvement) และการมีส่วนร่วมในองคก์ ร 2. การปรับตวั (Adaptability)ท่ีเหมาะสมกบั การเปลีย่ นแปลงของสภาพแวดลอ้ มทงั้ ภายใน และภายนอกองคก์ ร 3. การประพฤตปิ ฏิบัตไิ ดส้ มาํ่ เสมอ(Consistency)ซึ่งจะทาํ ใหเ้ กิดการทาํ งานที่ประสานกนั และ สามารถคาดหมายพฤติกรรมต่าง ๆ ที่จะเกดิ ขน้ึ ได้ 4. มีวิสัยทศั นแ์ ละภารกจิ ขององคก์ รทีเ่ หมาะสม ทาํ ใหอ้ งคก์ รมีกรอบและทศิ ทางกร ดาํ เนินงานทีช่ ดั เจน

ปัจจยั ดา้ นวฒั นธรรมองคก์ รมคี วามสาคญั ที่จะสนบั สนนุ ใหอ้ งคก์ าร บรรลสุ วู่ สิ ยั ทศั น์ และภารกิจที่กาหนดอย่างเหมาะสมได้ ดังแผนภมู ิ ตอ่ ไปน้ี การปรับตัว ที่เหมdาะสม การผกู พัน การมสี ่วน ร่วมในองคก์ ร วิสยั ทศั นแ์ วละภารกิจของ องค์กรที่เหมาะสม การปฏกบิ ัติอย่าง สมา่ํ เสมอ รปู แสดงลกั ษณะของวัฒนธรรมที่จะทาํ ใหอ้ งคก์ รบรรลปุ ระสทิ ธิผล

วฒั นธรรมองคก์ รสามารถแบ่งไดเ้ ป็ น 4 แบบ คือ 1. วฒั นธรรมแบบปรับตวั (adaptability culture) วัฒนธรรมแบบปรับตวั เกิดขนึ้ จากการทีผ่ นู้ าํ เชิงกลยทุ ธ์ (strategic leader) มงุ่ สร้างค่านยิ ม ใหมข่ ององคก์ ารที่เออ้ื ต่อการเพิม่ ขดี ความสามารถในการตีความหรือคาดการณ์ ภาวะแวดลอ้ มภายนอกเพ่ือให้ เกิดพฤติกรรมในองคก์ รท่สี ามารถตอบสนองไดต้ ลอดเวลา พนกั งานของ องค์กรจึงได้ รับความอิสระในการตัดสนิ ใจเอง โดยยึดค่านยิ มในการสนอง ตอบตอ่ ลกู ค้าเป็ นสาํ คัญผนู้ าํ มบี ทบาทสาํ คัญตอ่ การสร้างความ เปลยี่ นแปลงใหเ้ กิดขน้ึ กับองค์กรดว้ ยการกระตนุ้ พนักงานใหก้ ลา้ เสย่ี งกลา้ ทดลองคิดทาํ ในส่ิงใหม่ และเนน้ การใหร้ างวัล ผลตอบแทนแก่ผู้ ทร่ี ิเร่ิม สร้างสรรค์เป็ นพเิ ศษ หลายบริษัทไดเ้ ปล่ยี นนโยบาย ใหมม่ าเนน้ เร่ืองการมอบหมายอาํ นาจในการตดั สนิ ใจแก่พนักงาน (employee empowerment) เนน้ กลยุทธค์ วามยืดหย่นุ และความสามารถ ตอบสนองไดร้ วดเร็ว เป็ นหลกั ซึ่งสอดคลอ้ งกับยุคแห่งการเปล่ียนแปลงท่ี รวดเร็ว

วฒั นธรรมองคก์ รสามารถแบ่งไดเ้ ป็ น 4 แบบ คือ 2. วฒั นธรรมแบบม่งุ ผลสาํ เร็จ (achievement culture) วฒั นธรรมแบบนี้ คือ การมวี ิสัยทศั นท์ ่ชี ดั เจนของเป้ าหมายองคก์ ร ผนู้ าํ มงุ่ เห็นผลสาํ เร็จตามเป้ าหมายเช่น ตวั เลขยอดขายเพิ่มขนึ้ ผลประกอบการมกี าํ ไร หรือมีเปอรเ์ ซ็นตส์ ่วนแบง่ ของตลาด (market share) สงู ขึ้นเป็ นตน้ องคก์ รมงุ่ ใหบ้ ริการลกู คา้ พิเศษเฉพาะกลมุ่ ใน ภาวะแวดลอ้ มภายนอก แตไ่ มเ่ หน็ ความจําเป็ นทจ่ี ะตอ้ งมคี วาม ยืดหย่นุ และ ตอ้ งเปล่ียนแปลงรวดเร็วแตอ่ ยา่ งใด องคก์ รทย่ี ึดวัฒนธรรมแบบมงุ่ ผลสาํ เร็จ จึงเนน้ ค่านิยมแบบ แข่งขนั เชงิ รกุ ความสามารถริเริ่มของบคุ คล และพึง พอใจตอ่ การทาํ งานหนกั ในระยะยาวจนกว่าจะบรรลผุ ล ตามเป้ าหมาย ค่านิยมทมี่ งุ่ การเอาชนะจึงเป็ นเสมือนกาวเช่ือมทกุ คนในองคก์ ารเขา้ ดว้ ยกนั หลายบริษทั ท่มี ี วัฒนธรรมมงุ่ ผลสําเร็จจะใหค้ วามสําเร็จการแขง่ ขนั การ เอาชนะ พนกั งานทมี่ ผี ลงานดจี ะไดผ้ ลตอบแทนสงู ในขณะทผ่ี มู้ ผี ลงานตาํ่ กว่าเป้ าก็จะถกู ไล่ออกจากงาน

วฒั นธรรมองคก์ รสามารถแบ่งไดเ้ ป็ น 4 แบบ คือ 3. วัฒนธรรมแบบเครือญาติ (clan culture) วฒั นธรรมแบบเครือญาตใิ หค้ วามสาํ คญั ของการมสี ่วนร่วมของพนกั งานภายในองคก์ รเพื่อให้ สามารถพฒั นาตนเองใหพ้ รอ้ มทจ่ี ะรองรบั การเปลย่ี นแปลงตา่ งๆเนน้ ความตอ้ งการของพนกั งานมากกว่า วฒั นธรรมแบบอน่ื ดงั นนั้ องคก์ รจึงมีบรรยากาศของมวลมติ รทร่ี ่วมกนั ทาํ งานคลา้ ยอย่ใู นครอบครัว เดยี วกนั ผนู้ าํ มงุ่ เนน้ เร่ืองความรว่ มมือ การใหค้ วามเอาใจใส่เออื้ อาทร ทงั้ พนกั งานและลกู คา้ โดยพยายาม หลีกเลี่ยงมใิ หเ้ กิด ความรสู้ ึกแตกตา่ งกนั ทางสถานะภาพ ผนู้ าํ จะยึดมนั่ ในการให้ ความเป็ นธรรมและการ ปฏบิ ัตติ ามคาํ มนั่ สัญญาอย่างเคร่งครัด

วฒั นธรรมองคก์ รสามารถแบ่งไดเ้ ป็ น 4 แบบ คือ 4. วัฒนธรรมแบบราชการ (bureaucratic culture) เป็ นวฒั นธรรมท่ีใหค้ วามสําคญั ตอ่ ภาวะแวดลอ้ มภายใน ความคงเสน้ คงวาในการดาํ เนินการเพ่ือให้ เกดิ ความมนั่ คง วัฒนธรรมแบบราชการ จะม่งุ เนน้ ดา้ นวิธีการ ความเป็ นเหตผุ ล ความมรี ะเบียบของการ ทาํ งาน ม่งุ เนน้ เรื่องใหย้ ึดและปฏบิ ตั ิตาม กฎระเบียบ ยึดหลกั การประหยดั ความสาํ เร็จขององคก์ ารเกิด จากความสามารถในการบรู ณาการและความมปี ระสิทธิภาพ

กระบวนการสรา้ งวฒั นธรรมองคก์ ร 1. การกาํ หนดลกั ษณะของวัฒนธรรมองคก์ รทีต่ อ้ งการขึ้นมา อาจมีการกาํ หนดจากวิสัยทศั น์ และภารกิจขององคก์ ร สะทอ้ นใหส้ มาชิกไดท้ ราบว่า องคก์ รของตนจะตอ้ งมลี ักษณะอย่างไร จึง จะทาํ ใหส้ ามารถเดินทางไปถึงเป้ าหมายไดอ้ ย่างรวดเร็วและมีประสทิ ธิภาพ

กระบวนการสรา้ งวฒั นธรรมองคก์ ร 2.ทาํ การวิเคราะหช์ ่องว่างระหว่างวัฒนธรรม ทจี่ ะทาํ ใหเ้ กดิ ขน้ึ กบั วัฒนธรรมทเ่ี ป็ นอยู่ เมือ่ ไดก้ าํ หนดวัฒนธรรมองคก์ รท่สี อดคลอ้ งกบั วิสยั ทศั นอ์ งคก์ รเรียบร้อยแลว้ ทาํ การวิเคราะหช์ ่องว่างระหว่างวัฒนธรรมทต่ี อ้ งการดวู ่าลักษณะของวฒั นธรรม องคก์ รที่ตอ้ งการนน้ั มีในองคก์ รของเรา ณ ปัจจบุ นั นหี้ รือไม่เพื่อท่ีจะไดร้ ีบแกไ้ ขและ ทาํ การประเมินว่าภารกิจในการสรา้ งวฒั นธรรมองคก์ รนนั้ มมี ากนอ้ ยเพียงใด

กระบวนการสรา้ งวฒั นธรรมองคก์ ร 3. กาํ หนดกลยทุ ธใ์ นการสรา้ งวัฒนธรรมองคก์ ร โดยการกาํ หนดกลยทุ ธ์ในการสรา้ ง วัฒนธรรมองคก์ รนยิ มทาํ กนั ใน 2 ลกั ษณะ คือการเปลี่ยนแปลงแบบค่อยเป็ นค่อยไป จากวฒั นธรรมทเ่ี ปล่ียนไดง้ า่ ยไปส่กู ารเปลี่ยนแปลงทย่ี ่งุ ยาก หรืออาจจะเป็ นการสรา้ ง กระแสวฒั นธรรมใหมก่ ลบกระแสวฒั นธรรมเกา่ การเปลี่ยนแปลงจะแทรกซึมอย่ใู น ทกุ กิจกรรม และการเปลี่ยนแปลงแบบผา่ ตดั เป็ นการเปล่ยี นแปลงทนั ทีทนั ใดเพราะ ทกุ คนทราบว่าตวั เองจะอย่ไู ดห้ รอไม่ไดภ้ ายใตว้ ัฒนธรรมองคก์ ร

เคร่ืองมอื ในการถ่ายทอดวฒั นธรรมองคก์ ร 1. จากเร่ืองเล่า หรือประวตั ศิ าสตรข์ ององคก์ ร (Stories หรือ Histories) เป็ นเรื่องราวหรือตาํ นานท่เี ล่า ใหฟ้ ังถา่ ยทอดตดิ ต่อกนั มาเกีย่ วกบั องคก์ ร หรือบคุ คลสาํ คญั ในองคก์ ร ที่ตอ้ งเผชิญกบั เหตกุ ารณ์ ที่เกิดขึ้นในอดีตใหก้ บั พนกั งานใหม่ในองคก์ รไดร้ ับรู้หรือประวตั กิ ารทาํ งานของพนกั งานดีเด่นและ ประวตั ิรปู แบบการทาํ งานของผบู้ ริหารดีเด่น 2. จากพิธีการ (Rituals) และพิธีกรรม (Ceremonies) องคก์ รสามารถใชพ้ ิธีการต่างๆ ทจี่ ดั ข้ึนเป็ น ประจาํ ทกุ ปี หรือทกุ รอบเหตกุ ารณส์ ําคญั ๆ ทีเ่ กีย่ วขอ้ งกบั องคก์ ร หรือ ส่ิงที่องคก์ รปฏิบัติ เป็ นกิจวัตร เป็ นแบบแผน เพ่ือรกั ษาวฒั นธรรมและคา่ นยิ มบางอย่างท่ีดงี ามเอาไว้ และ ถา่ ยทอดไปยังพนกั งานใหม่

เครอ่ื งมือในการถา่ ยทอดวฒั นธรรมองคก์ ร 3. สัญลกั ษณ์ต่างๆ (Material Symbols) องคก์ ร นยิ มใชส้ ัญลกั ษณท์ ีเ่ ป็ นวตั ถุ เป็ นเคร่ืองมือในการ แสดงความหมาย ถ่ายทอดความคิดบางสิ่งบางอย่าง แสดงใหเ้ หน็ วฒั นธรรมขององคก์ ร 4. ภาษาท่ีใช้ (Language) ซ่ึงในองคก์ รอาจจะมกี ารสรา้ งคาํ ศัพทแ์ ละภาษาเฉพาะทจี่ ะใช้ ภายในองคก์ รนน้ั 5. คาํ ขวัญ (Slogans) เป็ นวลีหรือขอ้ ความส้ันๆ กระชบั ทจ่ี ดจาํ ไดง้ า่ ยท่ีคิดข้ึนมา เพื่อประโยชนใ์ น การส่ือสารดา้ นการโฆษณาผลิตภณั ฑ์ ใหส้ ามารถจดจําอย่ใู นความรสู้ ึกนึกคดิ ของผบู้ ริโภคได้ 6. คาํ แถลงท่เี ป็ นหลกั (Statement of Principle) องคก์ รอาจจดั ทาํ เป็ นคาํ แถลงที่เป็ นหลักการเพ่ือ ถา่ ยทอดวฒั นธรรมขององคก์ ร เป็ นลายลักษณอ์ กั ษร เพื่อประกาศใหพ้ นกั งานยึดถอื ปฏบิ ตั ิ โดยตรง

การรกั ษาวฒั นธรรมใหค้ งอยู่ 1. ผบู้ ริหารระดบั สงู (Top Management) การประพฤติปฏิบตั ิของผบู้ ริหารระดบั สงู ท่สี ืบทอด กนั มา ทีก่ ระทาํ ตนเป็ นแบบอย่าง เพื่อเนน้ ย้าํ ค่านิยมและวิถปี ฏิบตั ิต่าง ๆ ที่ผกู้ ่อตง้ั ไดส้ รา้ งไว้ 2. การสรรหาและการคดั เลือก (Recruitment and selection) คนท่เี ราจะรบั เขา้ มา จะตอ้ งผ่าน กลไกการสรหาและคดั เลือก เพ่ือคดั คนทม่ี ีความสามารถและมที ศั นคติทสี่ อดคล้องเขา้ กนั ได้ กบั วฒั นธรรมองคก์ รเป็ นสาํ คญั 3. กระบวนการเรียนรทู้ างสังคม (Socialization Process) กระบวนการในการปรบั พนกั งานให้ เขา้ กบั วัฒนธรรมองคก์ ร โดยอาศัยแนวทางตา่ ง ๆ

การรกั ษาวฒั นธรรมใหค้ งอยู่ 4. การออกแบบโครงสรา้ ง โครงสรา้ งเป็ นตวั กาํ หนดลกั ษณะของวามสมั พนั ธร์ ะหว่างฝ่ าย ตา่ ง ๆ และบคุ คลตา่ งๆ ในองคก์ ร เป็ นการกาํ หนดระดบั การควบคมุ บงั คบั บญั ชาในองคก์ ร แห่งนนั้ 5. ระบบตา่ ง ๆ ขององคก์ ร ระบบต่าง ๆขององคก์ ร และขนั้ ตอนการปฏบิ ตั ทิ ีส่ าํ คญั การทาํ งานขององคก์ รนนั้ ๆจะมีงานทีเ่ กิดขึน้ ระบบงานหรือขน้ั ตอนการทาํ งานทีถ่ กู กาํ หนด ซ้ํา ๆเหล่านี้ จะถกู ออกแบบเพ่ือใหเ้ นน้ ยา้ํ ค่านยิ มขององคก์ ร หรือสื่อสารค่านยิ มท่สี าํ คญั ทผ่ี บู้ ริหารตอ้ งการ 6. แนวทางในการจัดสรรรางวันและสถานภาพ เป็ นเคร่ืองมอื ในการจงู ใจบคุ คลใหค้ ง อยู่ และช่วยในการส่ือสารค่านิยมและการใหค้ วามสาํ คญั ในกจิ กรรมหรือเร่ืองราวบางอย่าง โดยการเชื่อมโยงกบั การใหร้ างวัลหรือสถานภาพบางอย่าง 7.การออกแบบอาคาร สถานท่ี สภาพแวดลอ้ มต่างๆในการทาํ งาน การจดั ตงั้ โตะ๊ เกา้ อี้ ฉากกนั้ ซึ่งสไตล์ การตกแต่งหอ้ งจะแสดงใหเ้ ห็นถงึ ค่านยิ มหรือความเชื่อบางอย่างได้

ทาไมจึงเกิดการเปลีย่ นแปลงวฒั นธรรมองคก์ ร คาํ ตอบก็คอื สถานการณโ์ ลกท่ีเปล่ียนแปลงไป หรือการรวมตวั กนั ขององคก์ ร ตา่ ง ๆ ทาํ ใหบ้ คุ ลากรในหน่วยงานไมม่ นั่ ใจในสถานภาพของตนเอง รสู้ ึกขาดอสิ รภาพ ถกู บบี บังคบั ใหอ้ ย่ภู ายใตก้ ฎระเบยี บ ขอ้ บังคบั ใหม่ ๆ ท่ีเกดิ ขึน้ จากการรวมตวั กนั ขององคก์ ร จึงกอ่ ใหเ้ กดิ ความตอ้ งการการเปลี่ยนแปลง

ปัจจยั ท่ีมีผลต่อการเปลยี่ นแปลงในวฒั นธรรมองคก์ รมดี งั น้ี 1.เมอื่ องคก์ รเกดิ วิกฤตการณห์ รือเจอปัญหาใหญ่ องคก์ รจําเป็ นตอ้ งปรับตวั จาก สถานการณเ์ ดิม 2.เมื่อมกี ารเปลี่ยนตวั ผนู้ าํ ระดบั สงู กม็ กั จะมกี ารเปล่ียนแปลงในปรัชญาและค่านิยม ทีส่ ําคญั ขององคก์ รดว้ ย 3.เมอื่ มกี ารควบรวมกิจการเกดิ ขนึ้ องคก์ รแม่ก็มกั จะถา่ ยเทวฒั นธรรมของตนเอง ไปยงั องคก์ รทีค่ วบรวมเขา้ มา หรือมีการรวมวัฒนธรรมต่าง ๆ ขององคก์ าร เหล่านน้ั เขา้ มาไวด้ ว้ ยกนั

ปัจจยั ที่มีผลต่อการเปลีย่ นแปลงในวฒั นธรรมองคก์ รมีดงั น้ี 4.ในกรณีท่อี งคก์ รมีขนาดเล็กและก่อตง้ั มาไมย่ าวนาน ผบู้ ริหารจะสามารถส่ือสารค่านิยมและ ปรัชญาใหม่ๆ ใหส้ มาชกิ ยอมรบั ไดง้ า่ ยกว่า แตถ่ า้ องคก์ รกอ่ ตง้ั มายาวนาน การนาํ คา่ นยิ ม หรือปรัชญาใหม่ ๆ ท่ีแตกตา่ งไปจากเดมิ มาส่อู งคก์ รจาํ กระทาํ ไดย้ ากตอ้ งใชเ้ วลานานกว่า 5.เมอ่ื องคก์ รมวี ฒั นธรรมท่ีออ่ นแอซึ่งองคก์ รจะเปิ ดรับการเปล่ียนแปลงไดง้ ่ายกว่ากรณีท่ี องคก์ ารมีวัฒนธรรมองคก์ ารทเี่ ขม้ แข็ง 6.เร่ิมจากทาํ การวิเคราะหส์ ภาพวฒั นธรรมองคก์ รทีเ่ ป็ นอย่เู พ่ือใหเ้ ขา้ ใจ ในองคป์ ระกอบต่าง ๆ ทีค่ วรจะตอ้ งมกี ารเปล่ียนแปลง

ปัจจยั ที่มีผลต่อการเปล่ยี นแปลงในวฒั นธรรมองคก์ รมดี งั น้ี 7.ทาํ ความเขา้ ใจกบั พนกั งานเพื่อใหเ้ ห็นความจําเป็ นทว่ี ่าองคก์ ารจะอยรู่ อดไม่ไดห้ ากไมม่ กี าร เปลี่ยนแปลงเกดิ ขึน้ 8.แตง่ ตง้ั ผนู้ าํ ท่ีมวี ิสัยทศั นใ์ หม่ ๆ เขา้ มาทาํ หนา้ ที่ผลกั ดนั การเปลี่ยนแปลง 9.ทาํ การปรับโครงสรา้ งและปรบั องคก์ ารใหเ้ หมาะสม 10.สรา้ งเรื่องเล่าและพิธีกรรมใหม่ ๆ ทจ่ี ะชว่ ยส่ือวิสยั ทศั นน์ น้ั ออกมาใหค้ นอนื่ ไดท้ ราบ 11. ปรบั เปลี่ยนกระบวนการคดั เลือกและกระบวนการเรียนรทู้ างสงั คม การประเมนิ ผล และ ระบบรางวลั จงู ใจทจ่ี ะชว่ ยสนบั สนนุ คา่ นยิ ม และปรชั ญาใหม่ ๆ เพ่ือสรา้ งวฒั นธรรมใหมใ่ ห้ เกิดขนึ้


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook