1 รายงาน เรือ่ ง การสรา้ งเครอื่ งมือการวดั ผลด้านพทุ ธพิ ิสัย จดั ทำโดย ธนเดช ศรีระโส รหัสนักศกึ ษา 6520711103 ศุภวชิ ญ์ จติ ธรรมมา รหสั นักศกึ ษา 6520711104 อารยา วิชาสวสั ด์ิ รหสั นกั ศกึ ษา 6520711105 โสภณ อมั รัตนเจตแจม่ รหสั นกั ศกึ ษา 6520711132 เสนอ ดร.รอง ปัญสังกา รายงานนี้เป็นส่วนหนง่ึ ของวชิ า ED 509 หลกั สตู ร การสอน การวดั และการประเมนิ ผลการเรียนรู้ ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 ศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารการศกึ ษา วิทยาลยั สันตพล จงั หวัดอุดรธานี
ก คำนำ รายงานเลม่ นีเ้ ปน็ ส่วนหน่ึงของรายวชิ า ED 509 หลักสูตร การสอน การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ ตามหลักสูตรศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารการศึกษา ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 วิทยาลัยสันตพล โดยมีจุดประสงค์เพื่อศึกษาค้นคว้า เรื่อง การสร้างเครื่องมือวัดผลด้านพุทธิพิสัย เพื่อเพิ่มพูนความรู้และพัฒนาทักษะในการสร้างเครื่องมือวัดผลด้านพุทธิพิสัยของผู้เรียนอย่างมีประสิทธิภาพ โดยคณะผู้จดั ทำได้ศึกษา ค้นคว้า รวบรวมขอ้ มลู จากแนวคดิ ทฤษฎีทเี่ ก่ียวข้องเพอื่ ประโยชนท์ างการศึกษา คณะผู้จัดทำหวังว่ารายงานนี้จะให้ความรู้ และเกิดประโยชน์แก่ผู้อ่านหรือผู้ที่ศึกษาหาข้อมูลตาม สมควร คณะผู้จัดทำ
สารบัญ ข เร่อื ง หน้า คำนำ ก สารบัญ ข การสรา้ งเคร่ืองมอื วดั ผลดา้ นพุทธิพสิ ัย 1 1. การวัดผลและประเมินผลทางการศึกษา 1 2. ความหมายของการวัดผล 2 3. ลกั ษณะของเครื่องมือวัดและประเมินผลที่มคี ุณภาพ 4 4. การสรา้ งเครื่องมือสำหรบั การประเมนิ ทางการศกึ ษา 5 5. ประเภทของแบบทดสอบ 7 6. แบบทดสอบผลสัมฤทธ์ิ 16 7. การจำแนกประเภทของจุดประสงค์ทางการศึกษา 17 8. การเขียนขอ้ สอบตามจุดประสงคข์ องการเรยี นรู้ 19 9. การวิเคราะหร์ ายวิชา 20 สรปุ 21 บรรณานกุ รม
1 การสร้างเครอ่ื งมือการวัดผลดา้ นพุทธิพิสยั การวัดผลและประเมนิ ผลทางการศกึ ษา การวดั และประเมินผลทางการศึกษาจะเกีย่ วข้องกับคำ 3 คำ คือ 1) การทดสอบ (testing) หมายถึง การนำเสนอชุดคำถามที่เรียกว่าข้อสอบหรือแบบทดสอบ ที่มีมาตรฐานให้ผู้สอบตอบ 2) การวัดผล (measurement) หมายถงึ การวดั คณุ ลกั ษณะ (attribute) ของบุคคลจากผลการตอบคำถามในแบบทดสอบ ตามกฏเกณฑ์ที่กำหนด เพื่อแสดงคุณค่าเชิงปริมาณหรือตัวเลขท่ีวัดได้ การวัดผลนอกจากใช้แบบทดสอบแลว้ ยังรวมถึงการใช้เครื่องมืออื่นเพื่อรวบรวมข้อมูลเชิงปริมาณหรือเชิงคุณภาพด้วย เช่น การสั งเกตพฤติกรรม การสัมภาษณ์ การตรวจผลงานต่าง ๆ ที่กำหนดให้ผู้ถูกประเมินทำ 3) การประเมินผล (evaluation) หมายถึง กระบวนการอย่างมีระบบที่นำข้อมูลจากการวัดผลมาตีค่าและตัดสินคุณค่าของผู้เรียน ซ่ึงการวัดผล และการประเมินผลเป็นกระบวนการที่มีความต่อเนื่อง เม่ือมีการวัดจะทำให้ได้ข้อมูลและรายละเอียดหลาย ด้าน เมื่อนำข้อมูลดังกล่าวมาวิเคราะห์ เปรียบเทียบกับเกณฑ์ใดเกณฑ์หนึ่งเพื่อตีค่าหรอื สรุปคุณค่าออกมาถือ ว่าเป็นกระบวนการประเมิน ผลการประเมินจะมีความถูกต้องเที่ยงตรงเพียงใดขึ้นกับความถูกต้องของผล การวัด ถ้าผลการวัดถูกต้องการประเมินก็จะมีความเชื่อถือได้มากและตรงกับความเป็นจริง ถ้าผลการวัด ผิดพลาด การประเมินก็จะผิดพลาดไปด้วย การวัดผลและการประเมินผลมีความแตกต่างกัน (ไพศาล สุวรรณ นอ้ ย, 2545) ตารางแสดงการเปรียบเทยี บระหวา่ งการวดั และการประเมนิ ผล การวัดผล การประเมินผล 1. เปน็ การกำหนดรายละเอยี ด จำนวน หรอื ปรมิ าณ 1. เป็นการกำหนดระดบั คุณค่า ตดั สนิ ลงขอ้ สรุป 2. กระทำอย่างละเอียดทลี ะดา้ น 2. สรปุ รวมเปน็ ข้อชขี้ าด/ผลการตดั สนิ 3. ใชเ้ ครอื่ งมอื เปน็ หลกั 3. ใช้ผลการวัดเป็นหลักโดยพิจารณาตามเกณฑ์ที่ กำหนดไวแ้ ลว้ ลว่ งหนา้ 4. ผลที่ได้เป็นขอ้ มูลละเอียด 4. ผลทีไ่ ด้เปน็ การตดั สิน 5. อาศัยวิธีการทางวทิ ยาศาสตร์ 5. อาศยั การใช้ดุลยพนิ ิจ ความหมายของการวดั ผล กิลฟอร์ด (Guilford) กล่าวว่า การวัดผลเป็นขบวนการของการกำหนดรายละเอียดข้อมูลให้เป็น ตวั เลข ภายใตก้ ฎเกณฑ์ทีม่ ีเหตุผลยอมรับได้ ไทเลอร์ (Tyler) กลา่ ววา่ การวดั ผลคือการกำหนดจำนวนตัวเลขใหเ้ ขา้ กับส่งิ ทจี่ ะวดั ภายใตก้ ฎเกณฑ์ ทอนไดค์และแฮเกน (Thorndike and Hagen) อธิบายของการวัดผลว่า การวัดผลย่อมเกี่ยวข้องกับ ขั้นตอนทง้ั สาม คือ ข้ันท่ี 1 ข้นั ในการใหค้ วามหมายของสง่ิ ทีจ่ ะวัดใหช้ ัดเจน
2 ขนั้ ที่ 2 ขั้นปฏบิ ัติการวัด ข้ันท่ี 3 ขน้ั ของการสรา้ งกฎเกณฑ์ในการกำหนดตวั เลขแทนปริมาณของส่งิ ท่ีจะวัด ไลด์แมนและเมอเรนดา (Lindeman and Merenda) กล่าวว่า การวัดผลหมายถึงขบวนการใน การกำหนดตัวเลขใหส้ อดคล้องกบั เซตของบุคคลหรือสงิ่ ของภายใต้กฎเกณฑ์ที่กำหนดไว้ใหช้ ัดเจน สุนันท์ ศลโกสุม กล่าวว่า การวัดผล หมายถึง กระบวนการในการนำสิ่งเร้าเข้าไปเร้า คุณลักษณะที่ ตอ้ งการวดั เป็นการทำใหผ้ ู้ถูกเรา้ ได้แสดงปฏิกิริยา หรอื พฤติกรรมโต้ตอบตามคุณลักษณะน้ัน ๆ ออกมาเป็นสิ่ง ท่สี งั เกตไดแ้ ละวดั ได้ เปน็ ตวั เลขหรือสญั ลกั ษณท์ แี่ ทนคณุ ภาพหรือปริมาณของพฤติกรรมที่แสดงออกมาน้ัน เสนอ ภิรมจิตรผอ่ ง กล่าวว่า การวัดเป็นการกำหนดตวั เลขเพ่ือใช้แทนปรมิ าณของลกั ษณะของบุคคล หรือสง่ิ ของที่จะวดั โดยลักษณะของบุคคลหรือสิ่งของทจ่ี ะวัดนั้นต้องวัดดว้ ยเครื่องมือวัดที่สอดคล้องกันและใช้ มาตรการวัดที่เหมาะสม โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ เครอื่ งมอื วัดน้นั ตอ้ งเชอื่ ถือได้ สมบรูณ์ ตันยะ กล่าวว่า การวัดผลการศึกษา หมายถึง กระบวนการในการกำหนดหรือหาจำนวน ปริมาณ อันดับ หรือรายละเอียดของคุณลักษณะหรือพฤติกรรมความสามารถของบุคคล โดยใช้เครื่องมือเปน็ หลักในการวัดกระบวนการดังกล่าวจะทำให้ได้ตัวเลขหรือข้อมูลรายละเอียดต่าง ๆ ที่ใช้แทนจำนวน และสญั ลกั ษณท์ ่ีเกิดขนึ้ สรุปได้ว่า การวัดผล หมายถึง กระบวนการกำหนดตัวเลข สัญลักษณ์แทน คุณลักษณะ คุณภาพหรือ พฤตกิ รรมของสงิ่ ท่ตี อ้ งการวดั โดยใช้เครื่องมอื วดั ท่สี อดคลอ้ งกนั และเชือ่ ถอื ได้ ลักษณะของเคร่ืองมือวดั และประเมนิ ผลท่ีมคี ุณภาพ การวัดผลและประเมินทางการศึกษาตอ้ งอาศัยเครื่องมือที่มีคุณภาพในการเก็บรวบรวมข้อมูล เพื่อให้ ได้ข้อมูลถูกต้องตรงตามความต้องการและมีความน่าเชื่อถือ สามารถนำไปใช้ในการประเมินและตัดสินใจ คุณภาพของเครื่องมือวัดและประเมินจึงเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นยิ่งดังนั้นในการสร้างและพัฒนาเครื่องมือวัด และประเมิน ผู้สร้างจะต้องสร้างและพัฒนาเครื่องมือแต่ละชนิดให้มีคุณภาพที่ดี ซึ่งเครื่องมือวัดและประเมิน ทดี่ ีควรมีลกั ษณะทส่ี ำคญั โดยทัว่ ไป ดงั น้ี 1. ความเที่ยงตรง (Validity) หมายถึง คุณลักษณะของแบบทดสอบท่ีสามารถวัดในส่ิงที่ต้องการวดั ไดถ้ กู ต้อง แบง่ ออกเป็น 4 ประเภท คือ 1.1 ความเที่ยงตรงตามเนื้อหา (Content Validity) หมายถึง ข้อสอบที่มีคำถามสอดคล้องกับ เนือ้ หาในหลกั สูตร เช่น สอนเรือ่ งน้ำ ก็ตอ้ งตั้งคำถามเกีย่ วกับน้ำ และครอบคลุมเนือ้ หาเรอื่ งนำ้ ทัง้ หมด 1.2 ความเที่ยงตรงตามโครงสร้าง (Construct Validity) หมายถึง คุณลักษณะของ แบบทดสอบที่สามารถวัดคุณลักษณะ หรือพฤติกรรมที่ต้องการวัดได้อย่างถูกต้อง เช่น ต้องการวัดเจตคติ ลกั ษณะของคำถามควรเปน็ พฤตกิ รรมท่เี กีย่ วกับเจตคติ 1.3 ความเท่ียงตรงตามสภาพ (Concurrent Validity) หมายถึง คุณลกั ษณะแบบทดสอบที่วัด ได้ตรงกับสภาพความเป็นจริงของเด็กในขณะนัน้ กล่าวคือถ้าเด็กทำข้อสอบเรือ่ งใดได้ดีแล้วเด็กคนนั้นสามารถ
3 ปฏิบัติได้จริง ๆ ด้วย เช่น เด็กสอบวิชาพลานามัยได้คะแนนดี ดังนั้นในชีวิตประจำวันเขาควรมีพล านามัยท่ี สมบรู ณ์ – แข็งแรง และออกกาลงั อยูเ่ สมอ เปน็ ตน้ 1.4 ความเท่ียงตรงเชงิ พยากรณ์ (Predictive Validity) หมายถงึ ลกั ษณะข้อสอบทสี่ ามารถวัด แล้วทานายไดว้ า่ เด็กคนใดจะเรยี นวชิ าใดได้ดีเพียงใดในอนาคต 2. ความเชื่อมัน่ (Reliability) หมายถงึ คณุ ลกั ษณะของแบบทดสอบทสี่ ามารถวัดได้แน่นอน คงเส้น คงวา ไม่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา การวัดครั้งแรกเป็นอย่างไร เมื่อวัดซ้ำอีกหรือหลาย ๆ ครั้ง โดยสิ่งที่วัดคงที่ผล การวัดก็ยังคงเดิม เช่น ถ้านำแบบทดสอบฉบับหนึ่งไปทดสอบกับเด็กกลุ่มหนึ่ง แล้วบันทึกคะแนนไว้ เมื่อนำ แบบทดสอบฉบับเดิมไปทดสอบกับเด็กกลุ่มเดิม (สมมติว่าเด็กจำข้อสอบไม่ได้) คะแนนที่ทำได้ก็จะคงเดิม คือ คร้งั แรกสอบได้คะแนนมาก ครงั้ ท่สี องก็ยงั คงได้คะแนนมากอยู่เหมือนเดมิ เป็นตน้ 3. อำนาจจำแนก (Discrimination) คือความสามารถของข้อสอบในการจำแนก ผู้สอบออกเป็น 2 กลุม่ คอื กลมุ่ สงู – กลุ่มตำ่ หรือ กลมุ่ เกง่ – กลุ่มออ่ นได้ 4. ความเป็นปรนัย (Objectivity) หมายถึง ข้อสอบที่มีคุณสมบัติ 3 ประการ คือ (พิตร ทองชั้น, 2524 : 7) 4.1 คำถามชดั เจน ผูเ้ ขา้ สอบเขา้ ใจได้ตรงกัน 4.2 การตรวจให้คะแนนได้ตรงกันไม่วา่ ใครจะตรวจก็ตาม 4.3 มคี วามแจ่มชัดในการแปลความหมายของคะแนน กล่าวคือ แปลคะแนนทีไ่ ดเ้ ปน็ อยา่ งเดยี วกัน เพ่ือประโยชนใ์ นการเปรียบเทยี บ ข้อสอบข้อใดกต็ ามทีม่ คี ณุ สมบตั ิครบทั้ง 3 ประการ เราเรียกขอ้ สอบนั้นวา่ เป็นปรนัยท้งั สน้ิ 5. ความยาก (Difficulty) หมายถงึ สัดสว่ นท่ีผ้ตู อบข้อสอบข้อนนั้ ถูกกับจำนวนคนทเี่ ขา้ สอบทั้งหมด ความยากของข้อสอบขึ้นอยู่กับทฤษฎีการวัด ถ้าตามทฤษฎีการวัดผล แบบอิงกลุ่ม ข้อสอบที่ดีคือข้อสอบที่ไม่ ยากเกินไปหรือไม่งา่ ยเกินไป เพราะข้อสอบดงั กล่าวจะสามารถจำแนกไดว้ ่าใครเก่งใครอ่อน ส่วนทฤษฎีการวัด ผลแบบองิ เกณฑ์มีจุดประสงค์เพ่ือใหผ้ ู้เรยี นได้บรรลุจุดประสงค์ตามท่ีกำหนดไว้ ดงั นน้ั ถ้าผู้เข้าสอบทำข้อสอบ ได้หมด แสดงว่าเขาบรรลุจุดประสงค์ตามต้องการ และจะถือว่าเป็นข้อสอบที่ไม่ดีก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้นตาม แนวคิดนี้เรื่องความยากง่ายของข้อสอบจึงไม่ใช่เรื่องสำคัญ สิ่งที่สำคัญอยู่ที่ข้อสอบนั้นจะวัดจุดประสงค์ ทตี่ อ้ งการวัดไดจ้ ริงหรือไม่ 6. ความมปี ระสทิ ธภิ าพ (Efficiency) หมายถงึ ลกั ษณะขอ้ สอบท่มี คี ุณสมบัติที่แสดงถึงการประหยัด ทางเศรษฐกิจ (Economic) เช่น ลงทุนน้อย มีราคาถูก ง่ายต่อการดำเนินการสอบ พิมพ์ชัดเจน อ่านง่าย มีเนือ้ หามากแตใ่ ชเ้ วลาสอบนอ้ ย เป็นตน้ 7. คำถามลึก (Searching) หมายถึง ลักษณะข้อสอบที่ถามครอบคลุมพฤติกรรมหลาย ๆ ด้าน เช่น มีคำถามวัดความเข้าใจ การนำไปใช้ การวิเคราะห์ การสังเคราะห์ และการประเมินค่า เป็นต้น ไม่ใช่ว่าวัดแต่ พฤตกิ รรมตนื้ ๆ คอื ดา้ นความรูค้ วามจำเพียงอย่างเดียว
4 8. ความยุติธรรม (Fair) หมายถึง การดำเนินการสอบจะต้องไม่เปิดโอกาสให้เด็กคนใดคนหน่ึง ได้เปรียบคนอื่น ๆ นอกจากได้เปรียบเรื่องความรู้เท่านั้นและข้อสอบควรจะถามมาก ๆ เพื่อให้ครบถ้วนตาม หลกั สูตร 9. ความจำเจาะจง (Definite) หมายถึง ข้อสอบที่มีแนวทางหรือทิศทางการถามการตอบอย่าง ชัดเจน ไม่คลุมเครือ ไม่แฝงกลเม็ดใหเ้ ด็กงง ในแต่ละข้อควรถามประเดน็ เดยี ว ไมถ่ ามหลายแง่หลายมุม เพราะ จะทาให้เดก็ ไมเ่ ข้าใจคำถาม 10. คำถามยั่วยุ (Exemsperation) หมายถึง แบบทดสอบที่นักเรียนทำด้วยความสนุกสนาน เพลิดเพลิน มีการถามล่อ โดยจัดเอาข้อสอบง่าย ๆ ไว้ในตอนแรก แล้วจึงค่อยถามให้ยากขึ้นตามลำดับ นอกจากนล้ี กั ษณะคำถามควรมรี ปู ภาพประกอบจะช่วยใหข้ อ้ สอบมีความน่าสนใจมากย่ิงขน้ึ แบบทดสอบใดมีลักษณะครบทั้ง 10 ประการดังกล่าว ถือว่าเป็นแบบทดสอบที่ดีเยี่ยม แต่โดยทั่วไป แล้ว แบบทดสอบที่มีคุณสมบัติเพียง 5 ประการก็ถือว่าเป็นแบบทดสอบที่มีคุณภาพแล้ว คุณสมบัตินั้นได้แก่ ความเทีย่ งตรง ความเชอื่ ม่นั อำนาจจำแนก ความยากและความมีประสิทธิภาพของข้อสอบ การสรา้ งเครื่องมอื สำหรับการประเมินทางการศกึ ษา เครื่องมือที่จะนำไปใช้เก็บรวบรวมข้อมูลนั้นหากต้องการให้เป็นเครื่องมือที่มีคุณภาพแล้วผู้สร้าง และพัฒนาเคร่อื งมือต้องพิถีพิถนั ต้ังแต่ข้นั ตอนการสร้าง มหี ลายคนเข้าใจผิดคดิ ว่าในชว่ งการสรา้ งเครื่องมือนั้น ไม่ค่อยสำคัญเท่าไร แต่ตอนวิเคราะห์เพื่อหาคุณภาพของเครื่องมือ ได้พยายามหาวิธีวิเคราะห์ที่ใช้สถิติชั้นสูง เพ่ือที่จะทำให้เกดิ ความน่าเชอ่ื ถือในเครื่องมือท่ีสรา้ งขนึ้ ซง่ึ เปน็ เรอื่ งทไี่ มถ่ กู ต้องเพราะหาเครอื่ งมือมีคุณภาพไม่ ดตี ้งั แตแ่ รกแลว้ ถึงแมว้ า่ จะใชค้ ่าสถติ ิทีด่ สี กั เพียงไรก็ไม่ไดท้ ำให้เคร่ืองมือมคี ุณภาพดีขึ้น 1. กำหนดสิ่งที่ต้องการวัด ผู้สร้างเครื่องมือต้องระบุวัตถุประสงค์ในการสร้างเครื่องมือว่าต้องการ ข้อมูลอะไรบ้าง มีขอบเขตกว้างเพียงไร อยู่ในสเกลการวัดระดับใด สิ่งที่ต้องการจะไปเก็บข้อมูลหรือสิ่งท่ี ตอ้ งการวดั วา่ คืออะไร นบั ว่าเป็นประโยชนอ์ ยา่ งมากในการวางแผนสร้างเครื่องมอื 2. นิยามสิ่งที่ต้องการวัด เมื่อกำหนดสิ่งที่ต้องการวัดได้แล้วจะต้องให้ความหมายหรือนิยามสิ่งนั้นให้ ชดั เจนว่าคอื อะไร หากนิยามให้รายละเอียดสิง่ ทจ่ี ะวดั ได้มากและชัดเจนเพยี งไรแล้วก็จะทำให้สร้างเครื่องมือได้ ตรงและครอบคลมุ สง่ิ ทีต่ ้องการวดั 3. เลือกชนิดของเครื่องมือ เนื่องจากเครื่องมือที่ใช้ในการวัดและประเมินมีหลายชนิดด้วยกัน แต่ละ ชนิดก็มีลักษณะและจุดเด่นแตกต่างกันออกไป ดังนั้น จึงต้องมีการเลือกใช้เครื่องมือให้เหมาะสมกับสิ่งท่ี ต้องการวัด เพราะหากเลือกใช้เครื่องมือที่ไม่เหมาะสมแล้วก็อาจทำให้ได้ข้อมูลที่ไม่ครบ ถ้วนหรือไม่ตรงกับ ความตอ้ งการได้ 4. การสร้างเคร่ืองมอื เมื่อเลือกเครื่องมอื ได้แล้ว ก็สร้างเครื่องมอื ดังกล่าวตามวิธีการและขั้นตอนของ เครือ่ งมือชนดิ น้นั ๆ เพราะเคร่ืองมอื แต่ละชนิดมรี ปู แบบและวธิ กี ารสร้างที่แตกต่างกัน
5 5. การทดลองใช้เครื่องมือ เมื่อได้ร่างเครื่องมือวัดแล้วผู้สร้างเครื่องมือต้องนำร่างเครื่องมือไปทดลอง ใช้กับกลุ่มตัวอย่างทีม่ ีลักษณะใกลเ้ คียงกับกลุม่ ตัวอย่างที่จะไปเก็บข้อมูลจริง เพื่อจะได้เทียบเคียงได้ว่าเม่ือนำ เครอ่ื งมือไปใช้ในสภาพจริงแล้วจะเกิดปญั หาใดบา้ งและเปน็ การยืนยนั วา่ เคร่อื งมือท่ีสร่างขึ้นนัน้ มคี ุณภาพดจี ริง 6. การวิเคราะห์คุณภาพเครื่องมือ เป็นการจัดกระทำกับข้อมูลที่ได้มาจากการเก็บข้อมูลโดยใช้ เครอ่ื งมอื ทสี่ ร้างขึ้น โดยใช้สถิติท่แี ตกต่างกนั ไปตามธรรมชาติของข้อมูล เคร่ืองมอื ต่างชนดิ กันก็จะใช้ค่าสถิติท่ี แตกตา่ งกนั ไป 7. การปรับปรุงเครื่องมือ ข้อมูลท่ีได้จากการวิเคราะห์เพื่อหาคุณภาพของเครื่องมือนั้นจะเป็น ประโยชน์อย่างมากในการที่จะนำมาใช้ประกอบการตัดสินใจที่จะเลือกใช้เครื่องมือหรือปรับปรุงเครื่องมือ ดังกล่าวเปน็ บางสว่ นทยี่ ังบกพรอ่ ง หรอื มคี ณุ ภาพไม่ดี 8. การจัดทำคู่มอื การใชเ้ ครื่องมอื เพื่อให้การใช้เครื่องมอื เป็นไปอย่างถกู ต้องจงึ ควรมีคู่มอื ทีร่ ะบุอย่าง ชัดเจนเกยี่ วกับขอบเขตของการวัด ลกั ษณะของเคร่ืองมือวิธีการใช้เครื่องมือและวิธีการให้คะแนน วิธีการแปล ผลคะแนน ประเภทของแบบทดสอบ แบบทดสอบนั้นสามารถแบ่งได้หลายประเภท แล้วแต่การยึดอะไรเป็นเกณฑ์ในการแบ่ง ซึ่งจะขอ ยกตัวอย่างการแบง่ ประเภท พร้อมอธบิ ายส้ัน ๆ ดงั น้ี 1. แบ่งตามสิ่งที่วดั แบง่ ออกเปน็ 3 ประเภท คือ 1.1 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ (Achievement) หมายถึง ข้อสอบที่วัดสมรรถภาพสมองด้านต่าง ๆ ทนี่ กั เรยี นไดร้ ับการเรยี นร้ผู า่ นมาแล้ววา่ มอี ยเู่ ทา่ ใด แบง่ ออกเปน็ 2 ชนิด คือ 1.1.1 แบบทดสอบที่ครูสร้างขึ้น (Teacher Made Test) เป็นข้อสอบที่มุ่งวัดผลสัมฤทธ์ิของ ผู้เรียนเฉพาะกลุ่มท่คี รสู อนเท่านี้ ไม่นำไปใช้กับกลุ่มอน่ื 1.1.2 แบบทดสอบมาตรฐาน (Standardized Test) เป็นข้อสอบที่มุ่งวัดผลสัมฤทธิ์ของ ผู้เรียน ได้มีการพัฒนาด้วยการวิเคราะห์ทางสถิติมาแล้วหลายครั้งจนมีคุณภาพสมบูรณ์ อีกทั้งยังมีเกณฑ์ปกติ (Norm) ไว้สำหรบั เปรียบเทียบคุณภาพตา่ ง ๆ ของนักเรียนตา่ งกลมุ่ กันไดอ้ ีกดว้ ย 1.2 แบบทดสอบวัดความถนัด (Aptitude) เป็นข้อสอบที่มุ่งวัดสมรรถภาพสมองของผู้เรียนว่าจะ เรยี นได้ไกลหรอื ประสบผลสำเรจ็ เพียงใด เพือ่ ใชใ้ นการทานายหรือพยากรณ์อนาคตของผู้เรียน แบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ 1.2.1 แบบทดสอบวัดความถนัดทางการเรียน ( Scholastic Aptitude Test) เป็น แบบทดสอบทีม่ ่งุ วดั ความสามารถทางวิชาการตา่ ง ๆ เช่น ภาษา คณิตศาสตร์ 1.2.2 แบบทดสอบวัดความถนัดเฉพาะอย่าง (Specific Aptitude Test) เป็นแบบทดสอบท่ี มงุ่ วดั ความถนัดเฉพาะอยา่ งที่เก่ียวข้องกบั อาชพี ต่าง ๆ เช่น ความสามารถทางศลิ ปะ เครอ่ื งยนต์ 1.3 แบบทดสอบวัดบุคลิกภาพ (Personality) เปน็ แบบทดสอบที่ใชว้ ัดบุคลิกภาพและการปรับตัว ใหเ้ ข้ากับสังคม เช่น แบบทดสอบวดั เจตคติ ความสนใจ
6 2. แบง่ ตามลกั ษณะการเขยี นตอบ แบง่ เป็น 2 ประเภท คือ (วิเชยี ร์ เกตสุ ิงห,์ 2515 : 20-21) 2.1 แบบทดสอบอัตนัย (Subjective) หรือแบบทดสอบความเรียง หรือ แบบทดสอบเรียงความ (Essay) หมายถึงแบบทดสอบทกี่ ำหนดปญั หาแลว้ ใหผ้ ้ตู อบเขยี นตอบยาว ๆ 2.2 แบบทดสอบปรนยั (Objective) แบง่ ออกเป็นสว่ นยอ่ ย ๆ ได้ 4 แบบ คอื 2.2.1 แบบถูก – ผดิ (True - False) 2.2.2 แบบเติมคำ (Completion) 2.2.3 แบบจบั คู่ (Matching) 2.2.4 แบบเลอื กตอบ (Multiple Choice) 3. แบง่ ตามวธิ กี ารตอบ แบ่งได้ 3 ประเภท คอื 3.1 แบบให้ลงมือกระทำ (Performance Test) หมายถึง ข้อสอบภาคปฏิบัติทั้งหลาย เช่น พลศึกษา การฝมี ือ การปรุงอาหาร เป็นตน้ 3.2 แบบให้เขยี นตอบ (Paper – pencil Test) หมายถึง ขอ้ สอบที่ตอ้ งใชก้ ารเขียนตอบทั้งหมด 3.3 แบบสอบปากเปล่า (Oral Test) หมายถงึ การถามตอบแบบปากเปลา่ โดยการโตต้ อบกันทาง คำพูด การสอนแบบนี้จะสอบทลี ะคน (Individual Test) เชน่ การสอบ-สมั ภาษณ์ 4. แบ่งตามเวลาที่กำหนดให้ตอบ แบ่งเปน็ 2 ประเภท คือ 4.1 แบบใช้ความเรว็ (Speed Test) ข้อสอบประเภทนี้จะมจี ำนวนข้อมาก ๆ และงา่ ย แตจ่ ะจำกัด เวลา เชน่ ข้อสอบวิชาเลขคณิตคิดในใจ ข้อสอบวดั ทักษะทางตา 4.2 แบบให้เวลามาก ๆ (Power Test) ข้อสอบประเภทนี้ มักจะเป็นข้อสอบอัตนัยเพื่อทดสอบ ความรู้ที่มีอยู่ว่ามีมากน้อยเพียงใด โดยให้เวลานาน ๆ หรือบางครั้งก็ให้นากลับไปทำที่บ้าน เช่น รายงาน ภาคนิพนธ์ วทิ ยานิพนธ์ 5. แบง่ ตามจดุ ม่งุ หมายในการใช้ประโยชน์ อาจแบง่ ออกได้ ดงั น้ี (วเิ ชียร เกตุสิงห์, 2515 : 23-24) 5.1 แบบทดสอบเพื่อวินิจฉัย (Diagnostic Test) หมายถึง แบบทดสอบที่สร้างขึ้น เพื่อค้นหา ขอ้ บกพร่อง หรือจุดออ่ นในการเรียนแตล่ ะวิชาเป็นเรื่อง ๆ ไป 5.2 แบบทดสอบเพื่อทำนาย (Prognostic Test) เป็นแบบทดสอบที่มีคุณภาพในด้านความ เท่ยี งตรงเชิงพยากรณ์ (Predictive Validity) สูง เพือ่ ใชท้ านายวา่ จะเรียนสำเรจ็ หรือไม่ในอนาคต ซ่ึงส่วนมาก จะเปน็ แบบทดสอบวัดความถนัดในการเรยี น 6. แบ่งตามความถ่ใี นการสอบ แบง่ ออกได้ 2 ประเภทคือ (บุญเชิด ภญิ โญอนนั ตพงษ์, 2526 : 107) 6.1 แบบทดสอบย่อย (Formative Test) เป็นแบบทดสอบที่ใช้วัดหลังจบหน่วยการเรียนแต่ละ หน่วย แลว้ นำผลทไี่ ด้มาปรบั ปรงุ การเรยี นการสอน 6.2 แบบทดสอบรวม (Summative Test) เปน็ แบบทดสอบท่ใี ชว้ ดั หลังจากท่ศี ึกษาจบรายวิชานั้น ทั้งหมดแลว้ เพื่อจะประเมนิ ผลว่านักเรยี นสอบได้หรือตก ผา่ นหรอื ไมผ่ า่ น
7 แบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ แบบทดสอบผลสัมฤทธิ์สามารถจำแนกได้ 2 ประเภท ได้แก่ แบบทดสอบประเภทเสนอคำตอบ และ แบบทดสอบประเภทเลอื กคำตอบ ซงึ่ แตล่ ะประเภทสามารถเลือกใชไ้ ด้ ดังน้ี 1. แบบทดสอบประเภทนำเสนอคำตอบ (Supply Type) แบบทดสอบประเภทนำเสนอคำตอบเป็นแบบทดสอบทีผ่ ู้สอบจะต้องอ่านคำถาม กำหนดแนวทาง คำตอบ และเขียนคำตอบด้วยตนเอง ซ่ึงอาจเป็นการเรียบเรียงคำตอบแบบความเรียง ตอบสนั้ หรือเติมคำตอบ ได้แก่ 1.1 ข้อสอบแบบความเรียง (Essay Questions) เป็นข้อสอบที่ให้เสรีภาพแก่ผู้ตอบใน การประมวล คัดเลือกความรู้ ความสามารถที่ตนมีอยู่นำมาจัดระบบ เรียบเรียงและเขียนเป็นคำตอบ จึงมี ความหลากหลายในระดับของคุณภาพและความถูกต้อง เมื่อพิจารณาถึงความเป็นอิสระในการตอบสามารถ แบง่ ข้อสอบแบบความเรียงออกเปน็ 2 ประเภท ดังนี้ 1) ขอ้ สอบความเรียงไมจ่ ำกัดคำตอบ (Extended-Response Question) แบบข้อสอบที่เปิด โอกาสอย่างเต็มที่ให้แกผ่ ูส้ อบแสดงความสามารถในการคัดเลือกความรู้ ประเมินความรู้ ความคิดนั้น และเรียบเรียงผสมผสานออกมาเป็นคำตอบตามความคิดและเหตุผลของตน ไม่จำกัดขอบเขตของ คำตอบ แต่จำกัดเวลาในการตอบจึงสามารถใช้วัดความสามารถระดับ การวิเคราะห์ การสังเคราะห์ และการประเมนิ ผลได้เป็นอย่างดี ตวั อย่าง จงเปรียบเทียบความเหมือนและความแตกต่างระหว่างกระบวนการ “วัดผล” กับ “ประเมินผล” 2) ข้อสอบความเรียงจำกัดคำตอบ (Restricted-Response Question) มีลักษณะเป็น ข้อสอบที่มีการจำกัดกรอบของเนื้อหาหรือรูปแบบของแนวทางคำตอบ และความยากของคำตอบ ตามปกติจะกำหนดขอบเขตของประเด็นให้ผู้ตอบทำการตอบในเนื้อหาทีแ่ คบและสั้นมากกว่าข้อสอบ ความเรยี งท่ีไม่จำกดั คำตอบ ตัวอย่าง จงเปรียบเทียบความเหมือนและความแตกต่างที่สำคัญ ของผลการประเมินจาก ” การประเมินระหว่างเรียน” กับ “การประเมินสรุปรวม” ในประเด็นของผลที่ได้จากการประเมิน และการนาผลการประเมินไปใชส้ าหรับพฒั นาการเรียนรู้ (กำหนดให้ตอบไม่เกนิ 1 หน้า) รปู แบบคำถามสำหรับขอ้ สอบแบบความเรียง รปู แบบคำถามทีน่ ยิ มใชก้ ับข้อสอบแบบความเรยี ง ดงั น้ี ก) จงเปรียบเทียบความเหมือนและความแตกตา่ งระหวา่ ง “...” กบั “...” ข) จงอธบิ ายความสมั พนั ธ์ระหวา่ ง “...” กบั “...” ค) จงเช่ือมโยงความสมั พันธเ์ ชิงสาเหตุของ “...” ง) จงแสดงความคดิ เห็นว่าทา่ นเหน็ ดว้ ยหรอื ไมเ่ หน็ ด้วย พร้อมท้งั เหตผุ ลเก่ียวกับ “...” จ) จงสรุปประเดน็ สำคญั ของ “...” ฉ) จงประยุกตห์ ลกั การของ “...” เพือ่ แก้ปญั หาเกย่ี วกบั “...”
8 ช) จงวเิ คราะหผ์ ลกระทบของ “...” ต่อ “...” ซ) จงวเิ คราะหจ์ ุดเด่นจุดด้อยของ “...” ฌ) จงสรา้ งกฎเกณฑ์ทว่ั ไปจาก “...” ญ) จงสร้างระบบจำแนกของ “...” ฎ) จงสรา้ งหรอื พฒั นาแผน/โครงสร้างเพื่อแกป้ ัญหา “...” ฏ) จงประเมินผลของ “...” ขอ้ สังเกตการใช้แบบทดสอบถามความเรยี ง ในการนำแบบทดสอบความเรียงไปใชม้ ขี ้อสงั เกต ดังนี้ 1. ควรใช้เมอ่ื ต้องการวัดผลการเรียนร้ใู นระดับสงู และซับซ้อน 2. ควรใชค้ ำถามทีช่ ดั เจน ตรงกับวตั ถปุ ระสงคท์ ี่สำคัญ 3. ควรให้ผู้สอบทำข้อสอบทุกข้อในชดุ เดียวกัน ไม่ควรมีขอ้ สอบไว้ให้เลือก 4. กำหนดเวลาในการตอบอย่างเพียงพอ 5. มีการเตรยี มคาเฉลยทถี่ ูกต้องสมบรู ณ์ พร้อมเกณฑ์การตรวจใหค้ ะแนน 6. ควรตรวจข้อสอบทลี ะข้อของทุกคนโดยไมด่ รู ายช่อื 7. ควรนำสถานการณ์ใหม่ ๆ มาใช้ในรปู ของคำถาม 8. ควรอ่านคำตอบและประเมินคุณภาพของคำตอบโดยจำแนกเป็นกลุ่ม ๆ เช่น ดี ปานกลาง และยังใชไ้ ม่ได้ เปน็ ตน้ แล้วตรวจหักคะแนนอย่างละเอียดของแต่ละคนในแตล่ ะกลุ่ม โดยควรเริ่มจาก กลุม่ ที่ดีทีส่ ุดไปยังกลุ่มทีอ่ อ่ นทีส่ ุด ข้อสอบแบบความเรยี งแบบประยกุ ต์ เพื่อแก้ไขจุดอ่อนของข้อสอบแบบความเรียงให้มีความครอบคลุมจุดมุ่งหมายของการเรียนรู้ และสอดคล้องกับธรรมชาติของการเรียนรู้ในวิชาตา่ ง ๆ มากยิ่งขึ้น จึงมีการพัฒนาข้อสอบความเรียง แบบประยุกต์ (Modified Essay Questions : MEQ) ข้อสอบความเรียงแบบประยุกต์ มีรูปแบบของ การกำหนดกรอบปัญหาที่ต้องการทดสอบเปน็ เรื่อง ๆ โดยแต่ละเรื่องมีการกำหนดคำถามเป็นตอน ๆ อย่างต่อเนื่องตามลำดับขั้นของปัญหา เพื่อให้ผู้ตอบรวบรวมความรู้ ความสามารถมาตอบพร้อม เหตุผล แต่ละลำดบั ขนั้ ของปัญหามีการสะสมความรู้สงู ขึ้นเพื่อใช้ตอบคำถามท่ีซับซอ้ นขึน้ ตามลำดับ ข้อสอบความเรยี งแบบประยุกต์ ควรมอี งค์ประกอบดังน้ี 1. คำบรรยายสถานการณห์ รอื สภาพปญั หาท่ีเกดิ ขึน้ 2. คำถามเกย่ี วกับการตั้งสมมุตฐิ านเบื้องต้นทเี่ ป็นไปได้ 3. คำถามเกย่ี วกับแนวทางแสวงหาขอ้ มลู เพ่อื มาสนบั สนุนหรือคดั ค้านสมมตุ ฐิ าน 4. คำถามเกี่ยวกบั การทดสอบสมมุติฐานเพ่ือสรปุ ผล 5. คำถามเกีย่ วกับแนวทางแก้ปญั หา 6. คำถามเชงิ ประเมนิ ความสามารถขัน้ สูง
9 ขอ้ สอบความเรยี งแบบประยุกต์นจี้ งึ มีข้อดี คือ สามารถกำหนดแนวทางของคำตอบภายใต้ กรอบของปัญหาท่ีสนใจ และสามารถกำหนดเกณฑ์การให้คะแนนได้อยา่ งเป็นปรนยั ตัวอย่างการสรา้ งข้อสอบความเรียงแบบประยกุ ต์ สถานการณ์ สมมติว่าทา่ นไดร้ บั มอบหมายใหอ้ อกข้อสอบวชิ าชีพครสู ำหรับคัดเลอื ก ผสู้ อบเข้าศึกษาต่อคณะครุศาสตร์ ทา่ นจำเป็นตอ้ งออกข้อสอบแบบ ความเรียง 10 ข้อ ใชเ้ วลาสอบ 3 ชัว่ โมง สำหรบั ผู้สอบ 300 คน และตอ้ งการทราบผลภายใน 10 วัน คำถาม 1. ทา่ นคดิ ว่ามีองค์ประกอบสำคัญใดบา้ งท่นี า่ จะมีผลต่อความเป็นปรนัยใน การตรวจขอ้ สอบของทา่ น (ตอบมา 3 ประการ) คำถาม 2. จงอธิบายวา่ องคป์ ระกอบดงั กล่าวส่งผลตอ่ ความเปน็ ปรนัยในการตรวจสอบ ข้อสอบอยา่ งไร และองคป์ ระกอบใดท่ที า่ นคดิ ว่าน่าจะส่งผลต่อความเป็น ปรนยั ในการตรวจได้มากท่สี ุด พร้อมทงั้ ยกเหตุผลประกอบ คำถาม 3. ท่านมีวิธตี รวจสอบความเป็นปรนัยในการตรวจข้อสอบของทา่ นได้อยา่ งไร (บอกมา 2 วิธ)ี คำถาม 4. ถ้าทา่ นมีอาจารย์ผชู้ ่วยอีก 2 คน สามารถตรวจข้อสอบวชิ าชพี ครูได้ ทา่ นจะวางแผนการตรวจขอ้ สอบใหม้ ปี ระสทิ ธิภาพไดอ้ ยา่ งไร โดยให้มี ความถกู ต้อง และความเปน็ ปรนยั ในการตรวจสูงสุด 1.2 ข้อสอบแบบตอบสั้น (Short Answer) และข้อสอบแบบเติมคำ (Completion) ข้อสอบ แบบตอบส้ันและข้อสอบแบบเติมคำมีลักษณะท่ีคลา้ ยคลงึ กัน คอื ตา่ งเปน็ ข้อสอบทผ่ี ูส้ อบต้องคิดคำตอบข้ึนมา เองแต่เป็นคำตอบสั้น ๆ หรือการเติมคำตอบจึงเหมาะสำหรับวัดความรู้ ความจาเกี่ยวกับคำศัพท์ ข้อเท็จจริง หลกั การ และกฎเกณฑต์ า่ ง ๆ ตวั อยา่ ง ก) การวัดผลทางการศึกษาหมายถงึ อะไร ข) ประเทศที่เปน็ สมาชิกประชาคมอาเซยี น ไดแ้ ก่................................................................. ขอ้ สงั เกตการใช้ข้อสอบแบบตอบสั้นและเติมคำ การใช้ข้อสอบแบบตอบสั้นและเตมิ คำมขี ้อสงั เกต ดังน้ี 1. ควรใช้คำตอบที่สามารถตอบได้อย่างชัดเจนด้วยข้อความ คำ วลี สัญลักษณ์ หรือจำนวน (ควรระบหุ นว่ ย) 2. ควรเวน้ ช่องว่างใหพ้ อเหมาะ หลกี เลย่ี งการให้เติมข้อความหรอื คาท่ไี มส่ ำคญั 3. นิยมใช้ข้อสอบแบบตอบสั้น ในการทดสอบความรู้เกี่ยวกับคำศัพท์ เฉพาะศัพท์เทคนิค หลกั การเฉพาะตา่ ง ๆ
10 2. แบบทดสอบประเภทเลือกคำตอบ (Selection Type) แบบทดสอบประเภทเลือกคำตอบเป็นแบบทดสอบท่ีกำหนดคำตอบไว้ให้ผตู้ อบเลือกคำตอบตามท่ี กำหนดให้ การตรวจข้อสอบจึงทำได้ง่าย สะดวก มีความเป็นปรนัย และสามารถใช้เครื่องจักรช่วยตรวจได้ แบบทดสอบประเภทนี้สามารถเขียนเป็นข้อสอบได้หลายรูปแบบ ได้แก่ ข้อสอบแบบถูกผิด ข้อสอบแบบจับคู่ และข้อสอบแบบหลายตวั เลอื ก 2.1 ข้อสอบแบบถูก- ผิด (True - False) ข้อสอบแบบถูกผิดเป็นข้อสอบที่ให้ผู้สอบเลือกตอบ คำตอบท่เี ปน็ ไปได้ 2 อยา่ ง เช่น ขอ้ ความท่ีกำหนดใหน้ น้ั ถูกหรอื ผดิ ใช่หรือไม่ใช่ จรงิ หรอื เทจ็ เปน็ ตน้ ข้อสอบ แบบ ถูก – ผิดนี้ สามารถใช้วัดความรู้ ความจำ ความเข้าใจในหลักการ และการนำไปใช้ได้แต่มีข้อเสียในแง่ ผู้สอบมีโอกาสเดาข้อสอบไดถ้ ูก ค่าความเชื่อม่ันมักต่ำ และไม่เหมาะสำหรับใช้เป็นแบบทดสอบวินิจฉยั เพราะ บอกไม่ได้วา่ ผตู้ อบผิดดว้ ยสาเหตอุ ะไร ตวั อยา่ ง ถ ผ 1. แบบทดสอบท่ีมีความเชื่อมั่นสูงจะเปน็ แบบทดสอบที่มคี วามเที่ยงตรง ถ ผ 2. การวดั เปน็ กจิ กรรมขนั้ ตอนหนง่ึ ของการประเมนิ ขอ้ สังเกตการใช้ขอ้ สอบแบบถกู - ผดิ ข้อสอบแต่ละข้อควรมีประเด็นคำถามที่สำคัญเพียงประเด็นเดียว เพื่อให้คำถามเข้าใจง่าย ชัดเจน ไม่สับสน ควรถามในเชิงปริมาณมากกว่าคุณภาพ หลีกเลี่ยงคำถามที่เป็นการตัดสินใจหรือ ความคิดเห็นเฉพาะบุคคล หลีกเลี่ยงคำถามที่เป็นข้อโต้แย้งที่ยังหาข้อสรุปไม่ได้ ระมัดระวังการใช้ ข้อความที่เป็นปฏิเสธ เหมาะสาหรับการทดสอบความรู้ ความเข้าใจ ความเชื่อในเรื่องต่าง ๆ สถานการณ์บางอย่าง เช่น การทดสอบกับเดก็ เล็ก เดก็ มีปัญหาการอ่าน เด็กเรยี นซ้า เป็นตน้ การดัดแปลงข้อสอบแบบถกู - ผดิ ผู้สอนสามารถดัดแปลงข้อสอบแบบถูก – ผิด สาหรับวัดความสามารถที่สลับซับซ้อนได้โดย ใช้รูปแบบต่อไปนี้ ก. รูปแบบการจำแนกความจริงออกจากความคิดเหน็ ใช้ข้อสอบแบบถูก – ผิด วัดความสามารถในการจำแนกความจริงออกจาก ความคิดเห็น ถ้าข้อความเป็นจริงให้วงกลมรอบ “ถ” ถ้าข้อความไม่เป็นจริงให้วงกลมรอบ “ผ” แต่ถ้าข้อความใดเป็นความคิดเห็นไม่สามารถตัดสินได้ว่าเป็นจริงหรือไม่เป็นจริงให้ วงกลมรอบ “ค” ตวั อย่าง ถ ผ ค 1. ความเทย่ี งและความตรงของแบบทดสอบมีความสัมพนั ธก์ ัน ถ ผ ค 2. การวัดเปน็ สว่ นหนึ่งของการประเมนิ ข. รปู แบบการแกส้ ว่ นท่ีผดิ ให้ถูก
11 ใชข้ อ้ สอบแบบถูก – ผิด วดั ความรถู้ กู และรูผ้ ดิ โดยใหต้ อบวา่ ขอ้ ความน้ันถูกหรือผิด แต่ถา้ ผิดใหข้ ีดเสน้ ใต้ส่วนทผี่ ดิ แลว้ แก้ใหถ้ กู ตัวอยา่ ง คำแก้ไข ถ ผ 1. การวดั เปน็ ส่วนหนง่ึ ของการประเมิน …………… ถ ผ 2. แบบทดสอบถามท่ีมีความเทย่ี งสูงจะต้อง …………… เป็นแบบทดสอบทีม่ ีความตรง ค. รปู แบบการกลับข้อความ ใช้ข้อสอบแบบถูก – ผิด วัดความเป็นเหตุและผลหรือความสัมพันธ์ระหว่างสิ่ง 2 สิ่ง โดยให้ตอบว่าข้อความนั้นถูกหรือผิด แล้วให้กลับประธานหรือคาที่ขีดเส้นใต้ให้สลับกัน ถา้ กลับแล้วเปน็ ข้อความท่ถี กู ให้วงกลมรอบ “กถ” แตถ่ ้ากลับแลว้ เปน็ ข้อความทีผ่ ดิ ให้วงกลม รอบ ”กผ” ดังน้ัน แตล่ ะขอ้ ความจะต้องตอบ 2 คำถาม ตวั อย่าง ถ ผ กถ กผ 1. แบบทดสอบที่มีความเชื่อมั่นสูงจะเปน็ แบบทดสอบทีม่ คี วามเท่ียงตรงสูงดว้ ย ถ ผ กถ กผ 2. การวดั เป็นส่วนหน่งึ ของการประเมิน ง. รปู แบบการจัดกลุ่มถูก - ผดิ ใช้ข้อสอบแบบถูก – ผิด วัดความรู้ในการจำแนกข้อเท็จจริงเกี่ยวกับมโนทัศน์ หรือ คุณลักษณะสำคัญที่ต้องการตรวจสอบว่า ลักษณะใดเป็นข้อความจริง หรือข้อความเท็จ เกีย่ วกบั สิง่ นนั้ ตวั อยา่ ง คำแก้ไข ถ ผ 1. ความคงเสน้ คงวาของคะแนนสอบ …………….. ถ ผ 2. ความถกู ต้องแมน่ ยาของคะแนนสอบ …………….. ถ ผ 3. ความเปน็ เอกพนั ธ์ของเน้ือเรื่องท่ีขอ้ สอบมุ่งวดั …………….. ถ ผ 4. ความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งคะแนนจากแบบทดสอบคขู่ นาน …………….. 2.2 ข้อสอบแบบจับคู่ (Matching) เป็นข้อสอบที่ให้ผู้ตอบจับคู่ระหว่างคำหรือข้อความสอง คอลัมน์ มีความสอดคล้องหรือสัมพันธ์กัน โดยทั่วไปคอลัมน์ทางซ้ายมือจะเป็นข้อคำถาม ส่วนคอลัมน์ทาง ขวามือจะเป็นคำตอบ ขอ้ สอบแบบจบั ค่เู หมาะสำหรับวัดความรู้ ความจำเกีย่ วกบั ข้อเทจ็ จรงิ คำศพั ท์ หลักการ ความสมั พันธ์ และการตีความหมาย ตวั อยา่ ง …………….. 1. การวดั ก. การตดั สินคุณค่าโดยเทียบกบั เกณฑห์ รอื มาตรฐาน …………….. 2. การประเมนิ ข. การตัดสินคุณคา่ โดยเทยี บกบั เกณฑหื รอื มาตรฐาน …………….. 3. การทดสอบ ค. การแปลความหมายคะแนนโดยเทียบกับ ความสามารถของกลุ่ม
12 …………….. 4. การประเมนิ ง. การแปลความหมายของคะแนนโดยเทียบกบั เกณฑ์มาตรฐาน …………….. 5. การวดั จ. สถานการณข์ องการใช้แบบทดสอบสำหรบั วัดผล การเรยี น ฉ. เครอื่ งมืออย่างหนึง่ สำหรับวัดผลการเรยี นรู้ ช. เคร่ืองมอื ยา่ งหนง่ึ ใช้สำหรับวดั ค่าของคุณลักษณะ เกณฑท์ ่ีใชส้ ำหรับการจับคู่ วิธีการจับคสู่ ามารถใชเ้ กณฑ์การจับคูไ่ ดห้ ลายรปู แบบ ดังนี้ 1. ใช้ความสัมพันธ์ระหว่างกัน (Interrelation) เช่น การจับคู่ชื่อคนกับส่ิงประดษิ ฐ์ ผู้แต่งกบั ชื่อหนังสือ วันเดือนปีกับเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ คำศัพท์กับความหมาย กฎเกณฑ์กับตัวอย่างเหตุการณ์ เคร่อื งมือกับการนำไปใช้ประโยชน์ เป็นตน้ 2. ใช้การจำแนกประเภท (Classification) เช่น การจับคู่ ชื่อพืชหรือสัตว์กับตระกูล คำใน ประโยคตัวอย่างกบั ชนิดของคำ เป็นตน้ ขอ้ สงั เกตในการใช้ข้อสอบแบบจับคู่ ควรอธิบายวิธีการจับคู่ให้ชัดเจน กลุ่มของคำถามและคำตอบจะต้องมีลักษณะเป็นเอกพันธ์ คำถามและคำตอบควรสั้นและรัดกุม จำนวนรายการใช้ระหว่าง 5 – 12 รายการ คำตอบควรมีตัวลวงแทรก ประมาณรอ้ ยละ 30 ควรสรา้ งให้คำถามและคำตอบทงั้ หมดอย่ใู นหน้าเดียวกัน 2.3 ข้อสอบแบบหลายตัวเลือก (Multiple - Choice) เป็นข้อสอบแบบเลือกตอบที่นิยมใช้กัน อย่างกวา้ งขวาง เพราะสามารถใชว้ ัดผลการเรียนรู้ ทั้งความรู้ ความเข้าใจ การนำไปใช้ และผลการเรียนรูข้ ้ันสูง ได้ สามารถสร้างใหว้ ดั ได้ครอบคลุมเนื้อเรื่องตามโครงสร้างอย่างมีประสทิ ธิภาพ และนำไปพฒั นาเป็นแบบสอบ มาตรฐานได้ แต่มีข้อจำกัดที่สร้างให้มีคุณภาพดีได้ยาก ต้องใช้ผู้รู้ในเนื้อหาและมีทักษะในการเขียนข้อสอบ คอ่ นขา้ งสิน้ เปลืองเวลาและแรงงาน ไมเ่ หมาะสมสำหรบั ใชว้ ัดความคิดริเรม่ิ สร้างสรรค์ ข้อสอบแบบหลายตัวเลือกเป็นข้อสอบที่ให้ผู้สอบเลือกคำตอบจากตัวเลือกท่ี กำหนดให้ข้อสอบแบบ หลายตัวเลือกประกอบด้วย 2 ส่วน ได้แก่ ตัวคำถาม (Item) และตัวเลือก (Alternatives) ซึ่งนิยมใช้ 3 – 6 ตัวเลือก ในส่วนของตัวเลือกประกอบด้วยตัวเลือกที่เป็นคำตอบถูกเรียกว่า ตัวคำตอบ (Answer หรือ Key) 1 ตัว สว่ นท่เี หลอื เป็นตัวเลือกท่ผี ดิ เรียกว่า ตวั ลวง (Distracters) รูปแบบคำถามของข้อสอบแบบหลายตวั เลือก ข้อสอบแบบหลายตวั เลือกสามารถสร้างโดยมรี ูปแบบคำถามแตกต่างกัน ดงั นี้ 1. คำถามเดียว (Single Question) คำถามเดียวเป็นข้อความเรื่องเดียวโดยเฉพาะ แต่ละข้อ คำถามมีความสมบูรณ์ในตวั เอง คำถามเดียวมรี ปู แบบการเขียนคำถามและคำตอบได้ต่าง ๆ กัน ดงั ตอ่ ไปน้ี 1.1 คำถามแบบให้เลือกคำตอบถูก (Correct Answer) มีลักษณะเป็นคำถามที่ต้องการ คำตอบถกู เพยี งคำตอบเดยี วระหวา่ งตัวเลอื กจะมีคำตอบทถี่ ูกต้องเพียงคำตอบเดียว นอกนั้นเปน็ ตัวลวงที่ผิด ตวั อย่าง
13 ถ้าแบบทดสอบถามสามารถวดั ได้อย่างคงเสน้ คงวาแสดงวา่ แบบทดสอบถามน้ันมีคุณลักษณะอย่างใด ก. ความเทีย่ งตรง ข. ความเชอ่ื มน่ั ค. ความเปน็ ปรนยั ง. ความซ่ือสัตย์ จ. ความยตุ ธิ รรม 1.2 คำถามแบบให้เลือกคำตอบผิด (Incorrect Answer) มีลักษณะเป็นคำถามที่ต้องการ ให้ผตู้ อบหาคำตอบทผ่ี ิดระหว่างตวั เลือกทีถ่ กู ต้องหลายตัว และมตี ัวเลอื กทผี่ ิดอยู่ 1 ตวั ตวั อย่าง ขอ้ ใด ไม่ใช่ ลักษณะของแบบทดสอบทดี่ ี ก. ความเที่ยงตรง ข. ความเชื่อมน่ั ค. ความเป็นปรนัย ง. ความซือ่ สัตย์ จ. ความยตุ ิธรรม 1.3 คำถามแบบให้เลือกคำตอบที่ดีที่สุด (Best answer) มีลักษณะเป็นคำถามที่ต้องการ ให้ผู้ตอบเลือกคำตอบที่ดีที่สุดระหว่างตัวเลือกจะมีตัวเลือกที่ถูกหลายตัว แต่มีระดับความถูกต้องเหมาะสม แตกตา่ งกนั ผู้ตอบจะตอ้ งทำหน้าทหี่ าตวั เลือกทีเ่ ปน็ คำตอบท่ีถูกต้องท่ีสดุ ตวั อยา่ ง ข้อใดเปน็ คุณลักษณะท่สี ำคัญทส่ี ุดของแบบทดสอบ ก. ความเทยี่ งตรง ข. ความเชอ่ื มั่น ค. ความเป็นปรนยั ง. ความซ่อื สตั ย์ จ. ความยตุ ธิ รรม 1.4 คำถามแบบให้เรียงลำดับคำตอบ มีลักษณะเป็นคำถามที่ต้องการให้ผู้ตอบเรียงลำดับ ตามขั้นตอนต่าง ๆ ตัวเลือกจะเป็นรายการของกิจกรรมหรือขั้นตอนการดำเนินงาน ผู้ตอบจะต้องเรียงลำดับ ตามขั้นตอนหรือความสำคญั กอ่ นหลงั ระหว่างตัวเลือกที่กำหนดให้ ตัวอย่าง ในการตรวจข้อสอบต่อไปนี้ ก. ขอ้ สอบแบบความเรียงจำกัดคำตอบ ข. ข้อสอบแบบความเรยี งไมจ่ ำกัดคำตอบ
14 ค. ขอ้ สอบแบบเตมิ คำ ง. ข้อสอบแบบตอบส้ัน จ. ขอ้ สอบแบบจบั คู่ 79 การจดั เรียงลำดับความเปน็ ปรนัยของการตรวจขอ้ สอบดงั กล่าวจากมากไปหานอ้ ย ก. 2 1 4 3 5 ข. 3 4 1 5 3 ค. 3 5 4 1 2 ง. 3 5 4 1 2 จ. 5 4 3 2 1 1.5 คำถามแบบใหเ้ ลอื กคำตอบเปรยี บเทยี บ (Analogy Answer) มีลักษณะเป็นคำถามท่ี ต้องการใหผ้ ูต้ อบเลือกตอบในเชงิ เปรียบเทยี บ ผ้ตู อบจะต้องหาความสัมพันธ์ระหวา่ งสิ่งท่ีกำหนดให้ในคำถาม แล้วประยกุ ตค์ วามสมั พนั ธด์ ังกล่าวไปใช้เลอื กคำตอบตามที่ข้อสอบตอ้ งการ ตวั อย่าง การวัด : การประเมนิ : การกำหนดค่า : ___?___ . ก. การแปลค่า ข. การตคี ่า ค. การตดั สินคณุ ค่า ง. การวิเคราะหค์ ่า จ. การเทียบค่า 1.6 คำถามแบบให้เลือกคำตอบซ้อน เป็นลักษณะเป็นคำถามที่ต้องการให้ผู้ตอบเลือก คำตอบในเชิงเปรียบเทียบ ผู้สอนจะต้องพิจารณาความเป็นไปได้ของตัวเลือกแต่ละตัว และผสมคำตอบหลาย ขอ้ เข้าดว้ ยกัน ตวั อยา่ ง แบบทดสอบฉบับหนงึ่ มีค่าความเชอ่ื ม่ันเท่ากบั 0.60 ถ้าเพิ่มจำนวน ขอ้ สอบทม่ี ลี กั ษณะคู่ขนานเข้าไปอีกร้อยละ 30 ทา่ นคดิ ว่าข้อใด เป็นจริง 1. ค่าความเชอ่ื มนั่ ของแบบทดสอบเพิ่มขน้ึ 2. ค่าความเทย่ี งตรงของแบบทดสอบเพิ่มข้ึน 3. ค่าอำนาจจำแนกของข้อสอบเพิ่มขึน้ ก. ไมม่ ีข้อถูก ข. ขอ้ 1. เท่าน้ัน ค. ขอ้ 2. เทา่ น้ัน 80 ง. ขอ้ 3. เทา่ น้ัน
15 จ. ข้อ 1, 2 และ 3 2. คำถามเป็นชุดแบบตัวเลือกคงที่ (Constant Choice Question) การเขียนข้อสอบหลาย ตัวเลือก อาจใช้รูปแบบการเขียนคำถามเป็นชุดโดยใช้คำถามหลายข้อรว่ มกันถามครอบคลุมเนือ้ เรื่องเดยี วกนั ซง่ึ คำถามแต่ละขอ้ มีชุดของตวั เลอื กคงทีห่ รอื ใชต้ ัวเลอื กทเ่ี ป็นคำตอบชุดเดยี วกนั ตวั อย่าง คำถามข้อ 1 – 5 เป็นคำถามเกี่ยวกบั คณุ ลักษณะของแบบทดสอบ หรือข้อสอบ จงพจิ ารณาว่าแตล่ ะข้อเปน็ คุณลักษณะของแบบทดสอบ หรอื ขอ้ สอบในด้านใด ดังต่อไปน้ี ก. ความเทีย่ งตรง ข. ความเชอื่ ม่นั ค. ความเปน็ ปรนัย ง. ความซอ่ื สัตย์ จ. ความยุตธิ รรม ฉ. ความยากง่าย 1. ผ้สู อบส่วนใหญท่ ำข้อสอบได้ 2. คำถามของขอ้ สอบบางข้อไมช่ ัดเชน 3. ขอ้ สอบวัดไดส้ อดคล้องกบั จดุ มุง่ หมายของการสอน 4. ข้อสอบวัดไดค้ ะแนนคงเสน้ คงวา 5. คนเกง่ ส่วนใหญท่ ำได้ แต่คนออ่ นส่วนใหญ่ทำไม่ได้ 3. คำถามแบบบทความหรือสถานการณ์ (Text or Situational Questions) การเขียน ขอ้ สอบแบบหลายตัวเลอื ก อาจใชบ้ ทความหรือยกสถานการณ์ขนึ้ มาเป็นตวั เลือก แลว้ ต้ังคำถามในแง่มุมต่าง ๆ ให้ผู้สอบตอบภายใต้เนื้อเรื่องหรือสถานการณ์นั้น ๆ หรืออาจใช้คำถามในรูปของตาราง กราฟ แผนภูมิ หรือ ภาพ แล้วตั้งคำถามวัดความสามารถทักษะในการอ่านแผนภูมิ ตาราง หรือกราฟ การตีความหมาย การวเิ คราะห์ แนวโนม้ การสรุปผล การวิจารณ์ เปน็ ต้น ขอ้ สังเกตการใช้ข้อสอบแบบหลายตัวเลือก การเขียนคำถามแต่ละข้อ ควรประกอบด้วยข้อความที่สำคัญประเด็นเดียว สั้น กระชับ ชัดเจน และมีความหมายสมบูรณ์ในตัวเอง คำถามแต่ละข้อความเป็นอิสระจากกันเพื่อป้องกันการใช้ความรู้ จากคำถามข้อหน่ึงไปใช้แนะนำคำตอบของคำถามขอ้ อื่น ตัวเลือกควรมีความเป็นเอกพันธ์ และมีความเป็นไป ควรจัดเรียงตามหลักเหตุผลให้อ่านง่าย ควรหลีกเลี่ยงการใช้ตัวเลือก “ถกู หมดทุกข้อ” หรอื “ผิดหมดทกุ ขอ้ ” แตค่ วรให้ตวั เลอื ก “ไมม่ ีข้อถูก” เป็นคร้ัง คราวเพ่ือลดโอกาสการเดาให้นอ้ ยลง
16 การเขยี นข้อสอบแบบหลายตวั เลอื กตามจุดประสงค์ของการเรียนรู้ จุดประสงค์ของการเรียนรู้ เป็นข้อกำหนดเก่ียวกบั คุณลักษณะพฤติกรรม อันพึงประสงค์ของ ผเู้ รยี น อันเป็นผลจากระบวนการจัดการศกึ ษาตามเจตนารมณข์ อง หลักสตู รหรือโครงการฝึกอบรม จดุ ประสงค์ของการเรียนรู้มีความสำคัญ เพราะนอกจากเป็นจุดหมายปลายทางในการพัฒนา ผเู้ รียนแล้ว ยงั เป็นเป้าหมายสำหรบั การวดั และประเมินผู้เรียนว่ามีสมั ฤทธิผ์ ลตามจดุ มุง่ หมายหรือไม่ เพยี งใด การจำแนกประเภทของจดุ ประสงคท์ างการศกึ ษา (Taxonomy of Educational Objectives) การจำแนกประเภทของจุดประสงค์ทางการศึกษา (Benjamin S. Bloom and Other, 1971) ไดแ้ บ่ง ประเภทของจุดประสงคอ์ อกเปน็ 3 ด้าน ได้แก่ ดา้ นพุทธพิ ิสยั ดา้ นจิตพสิ ัย และด้านทักษะพสิ ยั ดงั น้ี 1. ด้านพุทธิพิสัย หรือด้านความรู้ความคิด (Cognitive Domain) เป็นพฤติกรรมของผู้เรียนใน ด้านความสามารถทางสมอง และสติปัญญา ที่จำแนกเป็นพฤติกรรมทางสมองจากระดับที่ง่ายไม่สลับซับซ้อน ไปสพู่ ฤติกรรมระดบั ทย่ี ากข้ึน และมีความสลับซับซอ้ นซึ่งจำแนกเป็น 6 ระดบั ดังน้ี 1.1 ความรคู้ วามจำ (knowledge) 1.2 ความเข้าใจ (comprehension) 1.3 การนำไปใช้ (application) 1.4 การวเิ คราะห์ (synthesis) 1.5 การสังเคราะห์ (synthesis) 1.6 การประเมนิ คา่ (evaluation) 2. ด้านจิตพิสัย หรือด้านอารมณ์ความรู้สึก (Affective Domain) เป็นพฤติกรรมของผู้เรียนใน ด้านการพัฒนาจิตใจ ค่านิยม เจตคติ และการสร้างคุณลักษณะต่าง ๆ ซึ่งสามารถจำแนกระดับขั้นของการ พฒั นาคุณลักษณะตา่ ง ๆ เป็น 5 ระดับ ดงั น้ี 2.1 การรับรู้ (Receiving or Attending) 2.2 การตอบสนอง (Responding) 2.3 การสร้างคา่ นิยม (Valuing) 2.4 การจดั ระบบ (Organization) 2.5 การสรา้ งคุณลักษณะ (Characterization) 3. ด้านทักษะพิสัย (Psychomotor Domain) เป็นพฤติกรรมในด้านการใช้ส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย และการลงมอื ปฏิบัติ ซ่ึงสามารถจำแนกระดับขั้นของการพัฒนาทกั ษะการปฏบิ ตั ิเป็น 5 ระดับ ดงั นี้ 3.1 การเลยี นแบบ (Imitation) 3.2 การทาตามแบบ (Manipulation) 3.3 การพัฒนาความละเอียดถูกต้อง (Precision) 3.4 การฝึกฝนอยา่ งต่อเน่ือง (Articulation) 3.5 การปฏบิ ัติอย่างคลอ่ งแคลว่ เป็นธรรมชาติ (Naturalization)
17 การเขยี นข้อสอบตามจดุ ประสงคข์ องการเรียนรู้ ในที่นี้ขอนำเสนอรายละเอียดของจุดประสงค์ทางการศึกษาด้านพุทธิพิสัย หรือด้านความรู้ความคิด (Cognitive Domain) ตามระดับขั้นพัฒนาการทางสมองและสติปัญญา พร้อมทั้งเสนอตัวอย่างการเขียน ขอ้ สอบตามจุดประสงคด์ ังนี้ 1. ความร้คู วามจำ (Knowledge) ความรู้ความจำ หมายถึง ความสามารถทางสมองของผู้เรียนในการรับรู้ หรือด้านความรู้ความคิด (Cognitive Domain) ตามระดับขั้นพัฒนาการทางสมองและสติปัญญา พร้อมทั้งเสนอตัวอย่างการเขียน ข้อสอบตามจดุ ประสงค์ ดังนี้ 1.1 ความรู้ในเนื้อเร่ืองเฉพาะ (Knowledge of Specifics) ไดแ้ ก่ 1.1.1 คำศัพท์ (Terminology) จำนยิ าม สญั ลกั ษณ์ เครอ่ื งหมาย 1.1.2 ข้อเทจ็ จริง (Specific Facts) จำขอ้ ความจริง สตู ร กฎ ทฤษฎี 1.2 ความรูใ้ นวธิ ดี ำเนินการ (Knowledge of Procedures) ได้แก่ 1.2.1 ระเบยี บแบบแผน (Convention) จาหลกั ประเพณี ระเบียบ ข้อตกลง 1.2.2 แนวโน้มและลำดบั ขั้น (Trends and Sequences) จาขน้ั ตอนการปฏบิ ัติเปรียบเทียบ ความน่าจะเป็นของลำดบั ขั้นตอน 1.2.3 การจัดประเภทและระบบการจำแนก (Classification and Categories) จำการจัด หมวดหมู่ ประเภท ชนิดของส่งิ ตา่ ง ๆ 1.2.4 เกณฑ์ (Criteria) จำคุณสมบัติทีใ่ ชใ้ นการจำแนกหรอื ตดั สนิ 1.2.5 วธิ กี าร (Methodology) จำการดำเนนิ การให้บรรลุตามเปา้ หมาย 1.3 ความรูใ้ นหลกั สากลและนามธรรม (Knowledge of Universal and Abstractions) 1.3.1 หลักการและนัยทั่วไป (Principles and Generalization) จาหลักการสำคัญและการ สรปุ อ้างองิ 1.3.2 ทฤษฎีและโครงสร้าง (Theories and Structure) จาทฤษฎีโครงสร้างของคุณลักษณะ ตามหลักการหรือทฤษฎี 2. ความเขา้ ใจ (Comprehension) ความเข้าใจ หมายถึง ความสามารถทางสมองของผู้เรียนในการเรียนรู้ จำ และสื่อสาร ความรู้น้ัน ออกมาได้อย่างถกู ต้อง สามารถจำแนกเปน็ พฤติกรรมยอ่ ยไดด้ งั น้ี 2.1 การแปลความ (Translation) บอกความหมายตามนัยของคา กิจกรรม 2.2 การตคี วาม (Interpretation) นาผลการแปลความมาเปรยี บเทียบข้อยตุ ิ 2.3 การขยายความ (Extrapolation) เปรียบเทียบความหมายของคำ / กิจกรรมที่กว้างไกล ออกไปจากเดิม
18 3. การนำไปใช้ (Application) การนำไปใช้ หมายถึง ความสามารถในการนำความรู้ ความเข้าใจที่มีอยู่ไปใช้ในการแก้ปัญหาของสิ่ง น้นั ในสถานการณใ์ หม่ 4. การวเิ คราะห์ (Analysis) การวิเคราะห์ หมายถงึ ความสามารถในการแยกแยะองค์รวมของสิง่ ต่าง ๆ ออกเป็นสว่ นประกอบย่อย ไดท้ ำให้เหน็ โครงสรา้ งของสงิ่ นน้ั สามารถจำแนกเป็นพฤติกรรมยอ่ ยได้ดังน้ี 4.1 การวิเคราะห์แบบย่อยส่วนประกอบ (Analysis of Elements) แยกแยะคุณลักษณะขององค์ รวมเปน็ ส่วนประกอบยอ่ ย 4.2 การวิเคราะห์แบบเชื่อมโยงความสัมพันธ์ของส่วนประกอบ (Analysis of Relationship) แยกแยะองคร์ วมเปน็ ส่วนประกอบยอ่ ยท่ีสัมพันธก์ นั 4.3 การวิเคราะห์แบบเชื่อมโยงโครงสร้างของหลักการ (Analysis Organizational Principles) แยกแยะองคร์ วมเป็นโครงสรา้ งของสว่ นประกอบท่สี ัมพันธ์กัน 5. การสงั เคราะห์ (Synthesis) การสังเคราะห์ หมายถึง ความสามารถในการผสมผสานส่วนประกอบย่อยเข้าด้วยกัน เป็นองค์รวม ใหมท่ ก่ี ลมกลืนอย่างมีความหมาย สามารถจำแนกเป็นพฤตกิ รรมยอ่ ยได้ดงั นี้ 5.1 การสังเคราะห์ข้อความ (Production of a Unique Communications) รวบยอดข้อความ เปน็ ขอ้ สรปุ ความสำคัญ 5.2 การสังเคราะห์แผนงาน (Production of a Plan or Operations) รวมส่วนประกอบยอ่ ยเข้า ด้วยกันเป็นแผนการดำเนนิ งานใหบ้ รรลผุ ลตามเปา้ หมาย 5.3 การสังเคราะห์แนวคิด (Derivation of Abstract Relations) ผสมผสานความรู้จากหลาย แหล่งเข้าดว้ ยกนั และสรุปเป็นแนวคิด/องคค์ วามร้อู ย่างเปน็ ระบบแบบแผน 6. การประเมินคา่ (evaluation) การประเมินค่า หมายถึง ความสามารถในการตีค่า หรือตัดสินคุณค่าของ สิ่งต่าง ๆ ตามเกณฑ์หรือ มาตรฐานที่กำหนดไว้ สามารถจำแนกเปน็ พฤตกิ รรมย่อยได้ ดังน้ี 6.1 การประเมินค่าโดยใช้เกณฑ์ภายใน (Judgments in Terms of Internal criteria) ตัดสิน คุณค่าตามเกณฑภ์ ายนอกที่กำหนดไว้ในเรื่องนัน้ 6.2 การประเมินค่าโดยใช้เกณฑ์ภายนอก (Judgments in Terms of External Criteria) ตัดสิน คณุ คา่ ตามเกณฑภ์ ายในที่กำหนดได้อยา่ งเปน็ มาตรฐาน ตัวอย่างข้นึ การสร้างขอ้ สอบวดั พฤตกิ รรมดา้ นพทุ ธพิ ิสัยปรากฏ ในการจัดการเรยี นรู้ทจี่ ะทำให้หลักสตู รบรรลุวตั ถุประสงค์ จำเปน็ ท่ีผสู้ อนจะต้องวเิ คราะห์จุดมุ่งหมาย ของหลักสูตร หรือรายวิชาเพื่อกำหนดการวัดและประเมินผลให้สอดคล้องกับโครงสร้างเนื้อหาวิชา มาตรฐาน การเรยี นร้แู ละตวั ชี้วดั ในแต่ละรายวิชา โดยการสร้างตารางวเิ คราะห์
19 การวิเคราะหร์ ายวิชา การกำหนดสิ่งที่จะวัดจากจุดมุ่งหมายของหลักสูตรหรือรายวิชา จำเป็นจะต้องทำการวิเคราะห์ ลกั ษณะสงิ่ ทวี่ ัดออกมาให้ได้ ซงึ่ ตอ้ งใช้วธิ กี ารที่เรียกว่า การวเิ คราะห์หลกั สูตรหรือวิเคราะห์รายวิชา ซ่ึงจะช่วย ให้ผู้สอนทราบวา่ จะต้องสอนหรือออกข้อสอบอย่างไรให้สอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้ของแต่ละรายวิชา ในการวิเคราะห์หลักสูตรหรือรายวิชานั้น จะต้องทำการวิเคราะห์ทั้ง 2 คือ (สมบูรณ์ ชิตพงศ์ และศศิธร ชตุ ินันทกลุ , 2554 : 24-28) 1. การวิเคราะห์เน้ือหาท่ีจะสอน 2. วเิ คราะหว์ ัตถุประสงคห์ รอื จุดมุ่งหมายของการศึกษา จุดมุ่งหมายทางการศึกษาที่ต้องการให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในตัวผู้เรียนมีด้วยกัน 3 ด้าน คือ ด้าน พุทธพิ สิ ัย ดา้ นจิตพสิ ยั และด้านทกั ษะพสิ ัย ในทน่ี จ้ี ะขอกล่าวเฉพาะการวิเคราะห์หลักสูตรหรือรายวิชาเฉพาะ ด้านพุทธิพิสัย เพื่อใช้การจัดการเรียนการสอนและการออกข้อสอบ ซึ่งมีขั้นตอนในการวิเคราะห์หลักสูตร หรือรายวชิ าหลัก ๆ 4 ขั้นตอนดังนี้ 1. ตั้งกลุ่มหรือคณะทำงาน ในการวิเคราะห์หลักสูตรหรือรายวิชา ประกอบด้วย ผู้มีความรู้ด้าน การวดั ผล ผู้มคี วามรู้เก่ียวกับการพัฒนาหลักสตู รหรือวิเคราะห์หลักสูตร และผูท้ ่ีมีความรอบรู้ในเน้ือหาวิชาน้ัน ๆ (ครผู ู้สอน) ร่วมกนั วิเคราะห์ 2. วิเคราะห์เนื้อหาวิชานั้น ๆ แยกเนื้อหาเป็นหน่วยหรือบทเรียนเรียงลำดับการสอนจากก่อนไปหลัง ตามความเหมาะสมในการจัดกาเรียนการสอน ถ้าเป็นหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กระทรวงศึกษาธิการจะกำหนดสาระการเรียนรู้แกนกลางและตัวชี้วัดของแต่ละชั้นมาให้ ซึ่งมีสาระ การเรียนรูแ้ กนกลางมาให้ ผ้สู อนต้องร่วมกนั กำหนดเน้ือหาสาระเองตามเหมาะสมสำหรบั ใชใ้ นการจัดกิจกรรม การเรียนการสอน เพอื่ ใหบ้ รรลุตามตัวชี้วดั ท่ีกำหนด 3. วิเคราะห์จุดมุ่งหมายเชิงพฤติกรรม หรือวัตถุประสงค์การเรียนรู้หรือผลการเรียนรู้ที่คาดหวังหรือ มาตรฐานและตัวชี้วัดที่สอดคล้องกับจุดมุ่งหมายรายวิชาและจุดมุ่งหมายทั่วไปของหลักสูตรที่คาดว่าหลังจาก การเรยี นการสอนรายวิชานแี้ ลว้ ตอ้ งการให้ผเู้ รยี นเกิดพฤติกรรมของเนื้อหาเหล่าน้ีทจี่ ะวัดพฤติกรรมด้านพุทธิ พสิ ยั ลำดบั ขน้ั ของบลูม จากนั้นจดั ทำตารางโครงสร้างเนอื้ หาและวัตถปุ ระสงค์ 4. วิเคราะห์กำหนดน้ำหนักและจำนวนข้อของแต่ละเนื้อหาและพฤติกรรมของงเนื้อหาแต่ละหน่วย/ บทเรียนจนครบทกุ หน่วย/บทเรยี น ขัน้ ตอนในการกำหนดน้ำหนกั ให้กรรมการแต่ละคน กำหนดจำนวนขอ้ สอบ ของแต่ละหน่วย/บทเรียนอย่างอิสระ จากนั้นนำมาหาค่าเฉลี่ยแล้วรวมข้อสอบในแต่ละหน่วย/บทเรียน จัด อันดับความสำคัญ แลว้ จงึ ปรบั เป็นตารางเพื่อใหง้ า่ ยต่อการนำไปใช้ หมายเหตุ การวิเคราะห์นี้เพียงเพื่อต้องการให้เห็นตัวอย่างของการวิเคราะห์เท่านั้น ไม่ได้ผ่าน การวิเคราะห์มาจากคณะกรรมการ ผลการวิเคราะห์นี้จึงยังไม่สามารถนำไปใช้ได้ ลักษณะที่วัดซึ่งกำหนดได้ จากหลักสูตรหรือรายรายวิชา จากตารางวิเคราะห์จะทำให้ทราบได้ว่าจะวัดพฤติกรรมอะไรในเนื้อหาใดเป็น สดั สว่ นอย่างไร ประโยชน์ของตารางวิเคราะห์ดังกลา่ วมีอยา่ งนอ้ ย 3 ประการคือ
20 ประการที่ 1 กำหนดชนิดของเครื่องมือ เนื่องจากเครื่องมือในการวัดมีหลายชนิด แต่ละชนิดก็มี ความเหมาะสม ในการวัดตามลักษณะพฤติกรรมที่ต่างกันออกไป ผลการวิเคราะห์ทาให้ทราบการแสดงออก ของผ้เู รียนที่เป็นเครือ่ งมอื บง่ ชวี้ า่ จะตอ้ งใชเ้ ครื่องมือชนิดใดจึงจะสามารถวัดพฤติกรรมน้ัน ๆ ได้ ประการที่ 2 กำหนดจำนวนขอ้ คำถามในแบบทดสอบ คา่ นา้ หนกั ในแตล่ ะชอ่ งของตารางวิเคราะห์ จะ เป็นตวั ทบี่ อกถงึ สัดสว่ นของจำนวนขอ้ คำถามทว่ี ดั พฤตกิ รรมนัน้ ๆ ในแตล่ ะเนื้อหาของข้อสอบทัง้ ฉบับ ประการท่ี 3 กำหนดสดั สว่ นของคะแนนเพื่อประเมินผลการสอบจากค่าน้ำหนักท่ใี ห้ในตารางวิเคราะห์ และเมื่อเลือกใช้เครื่องมือวัดแต่ละพฤติกรรมแล้ว การตัดสินผลจากการวัดว่าจะให้น้าหนักในการเน้น ความสำคัญของคะแนนทไ่ี ด้จากวดั พฤติกรรมนน้ั ๆ ได้ ทำใหก้ ารประเมินผลเปน็ ไปอย่างยุตธิ รรมย่ิงขนึ้ ขอ้ ดีและขอ้ จำกัดของขอ้ สอบวดั ผลสัมฤทธแ์ิ บบต่าง ๆ การสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ของผู้เรียนด้วยข้อสอบแบบต่าง ๆ ย่อมมีข้อดี และข้อจำกัด แตกต่างกัน ในด้านความครอบคลุมจุดมุ่งหมายของการเรียนรู้ ระดับความสามารถที่มุ่งวัด อทิ ธพิ ลตอ่ การเรยี นรู้ โอกาสการเดาคำตอบได้ถูก การสรา้ งขอ้ สอบ การนำไปใช้และคณุ ภาพของขอ้ สอบ สรปุ การสร้างเครื่องมือวัดผลด้านพุทธิพิสัย ส่วนใหญ่จะใช้ข้อสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนชนิดเขียน ตอบทุกรูปแบบ ประกอบด้วยข้อคำถามที่ใช้เป็นสิ่งเร้าทางสมอง ซึ่งคำถามนั้นอาจจะเป็นประโยคคำถาม โดยตรงหรือเป็นประโยคคำสั่งหรือเป็นข้อความที่ทำหน้าที่เป็นคำถามก็ได้ คำถามที่กำหนดขึ้นต้องคำนึงถึง ลักษณะที่ดีหลายประการ เช่น ถามตรงตามสาระถามตรงจุดประสงค์ของการเรียนรู้ มีความชัดเจนรัดกุม ตลอดจนถามได้ลึกกวา่ ความจำ ซ่ึงจะมีผลโดยตรงท่ที ำให้ข้อสอบทง้ั ฉบับมีคุณลักษณะสำคัญทตี่ ้องการ เช่น มี ความตรง มคี วามเท่ียง และมคี วามเป็นปรนัย เปน็ ตน้ สำหรบั ขอ้ คำถามแบบอัตนยั น้นั จะใช้คำถามที่กว้างหรือ ค่อนข้างกว้าง และผู้สอบต้องตอบคำถามโดยการเขียนเรียบเรียงคำตอบจากการบูรณาการความรู้ ความคิด ตลอดจนประสบการณ์ของตนเอง ทำให้ข้อคำถามชนิดนี้สามารถวัดพฤตกิ รรมทางสมอง (ด้านพุทธิพิสัย) ของ ผู้เรียนในขั้นสูง หรือในระดับลึกได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งถือเป็นข้อสอบที่วัดความสามารถจริง (Authentic Test)
21 บรรณานุกรม บุญเชดิ ภิญโญอนนั ตพงษ.์ (2526). การวัดและประเมินผลการศึกษา : ทฤษฎีและการประยกุ ต.์ กรงุ เทพฯ : อกั ษรเจรญิ ทศั น์. พิตร ทองชั้น. (2524). การวดั ผลการศกึ ษา. กรุงเทพฯ : โอเดียนสโตร.์ ไพศาล สวุ รรณนอ้ ย (บรรณาธกิ าร). (2545). ค่มู อื การพัฒนาการเรยี นการสอนมหาวิทยาลัยขอนแกน่ . ขอนแกน่ : มหาวิทยาลัยขอนแกน่ ฝ่ายวชิ าการ. มหาวทิ ยาลยั สุโขทัยธรรมาธริ าช. (ไมป่ รากฏ). สถิติ วจิ ัย และประเมินผลการศึกษา. มหาวิทยาลยั สุโขทัยธรรมาธริ าช สาขาศกึ ษาศาสตร.์ ฉบบั ปรับปรุงคร้ังที่ 2. วเิ ชียร เกตุสงิ ห์. (2515). การวัดผลการศึกษาและสถติ เิ บอ้ื งต้น. พมิ พ์ครัง้ ท่ี 2. กรงุ เทพฯ : การพมิ พ์ ไชยวัฒน.์ สมบรู ณ์ ชติ พงศ์ และศศธิ ร ชุตินนั ทกุล. (2554). เอกสารการสอนชดุ วชิ า สถิติ วิจยั และประเมินผล การศึกษา. หนว่ ยที่ 7. กรงุ เทพ : โรงพมิ พม์ หาวิทยาลยั สุโขทยั ธรรมาธิราช. สมบูรณ์ ตนั ยะ. (2545). การประเมินทางการศกึ ษา. กรุงเทพฯ : สุวีรยิ าสาส์น, 10 สนุ นั ท์ ศลโกสมุ . (2545). การประเมินทางการศึกษา. กรุงเทพฯ : สวุ ิรยิ าสาสน์ , 10. เสนอ ภริ มจติ รผ่อง. (2542). การประเมนิ ผลภาคปฏบิ ตั ิ. อบุ ลราชธานี : คณะครศุ าสตร์ สถาบันราชภฏั อุบลราชธานี, 1. Bloom, Benjamin S. and Other. (1971). Handbook on formative and Summative Evaluation of Student Learning. New York : McGraw-Hill.,. J.P.Guilford. (1965). Fundamental Statistics in Psychology and Education. New York : McGraw-Hill Book Company, 20. Leona E Tyler. (1969). Test and Measurements. New Delhi : Prentice-Hall of India (Private) LTD., 7. Richard H. Lindeman, and Peter F. Merenda. (1979). Education Measurement. lllinois : Scott, Foresman and Company,1979, 3. Thorndike R.L. and Hagen E.P.. (1977). Measurement and Evaluation in Psychology and Education 4th ed. New York : John Wiley & Sons, 9.
Search
Read the Text Version
- 1 - 24
Pages: