Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore EB2266_ภาษาต่างประเทศในภาษาไทย โดย มัลลิกา มาภา

EB2266_ภาษาต่างประเทศในภาษาไทย โดย มัลลิกา มาภา

Published by Thanarat Sa-Ard-Iam, 2023-08-04 02:48:58

Description: EB2266_ภาษาต่างประเทศในภาษาไทย โดย มัลลิกา มาภา

Search

Read the Text Version

ภาษาต่างประเทศในภาษาไทย มัลลิกา มาภา คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั อุดรธานี 2559

ภาษาต่างประเทศในภาษาไทย มัลลกิ า มาภา ศศ.ม. (ภาษาไทย) คณะมนุษยศาสตรแ์ ละสงั คมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏอุดรธานี 2559

ก คำนำ ตำรำ ภำษำต่ำงประเทศในภำษำไทยเล่มน้ี จัดทำขึ้นเพื่อใช้ประกอบกำรเรียนกำรสอน รำยวิชำ TC02201 ภำษำต่ำงประเทศในภำษำไทย ซ่ึงผู้เขียนได้รวบรวมและเรียบเรียงข้ึน จำกประสบกำรณ์กำรสอน กำรศึกษำค้นคว้ำเอกสำร ตำรำ และแหล่งข้อมูลสำรสนเทศต่ำง ๆ ในกำรเรียบเรียงนั้นผเู้ ขียนมีควำมตั้งใจว่ำ ต้องกำรให้ผูท้ สี่ นใจเน้อื หำตำรำเล่มนี้ได้ศึกษำควำมสัมพันธ์ ของประเทศไทยกับชำติอ่ืน ๆ ไม่ว่ำจะเป็น กัมพูชำ มอญ ฝรั่งเศส โปรตุเกส อังกฤษ ฯลฯ อันเป็นผลทำให้ทรำบถึงสำเหตุ ที่มำที่ไปของกำรยืมภำษำ ประเพณีวัฒนธรรม รวมไปถึงวิทยำกำร ทที่ ันสมยั ต่ำง ๆ ดว้ ย ดังนั้นในตำรำ ภำษำต่ำงประเทศในภำษำไทยจึงมีเน้ือหำเกี่ยวกับ ลักษณะภำษำ ลักษณะ ภำษำไทย ควำมหลำกหลำยของภำษำ ควำมหมำยและควำมสำคัญของกำรยืมภำษำ สำเหตุของ กำรยืม ลักษณะภำษำต่ำงประเทศในภำษำไทย วิธีกำรรับคำภำษำต่ำงประเทศ และอิทธิพลคำยืม ภำษำต่ำงประเทศที่มีต่อภำษำไทย ซง่ึ คำยืมนั้นจะเร่ิมศึกษำเน้ือหำจำกคำยืมที่มีอิทธิพลต่อภำษำไทย มำกท่ีสุด ไปหำคำยืมท่ีมีอิทธิพลน้อยท่ีสุด ได้แก่ ภำษำบำลี สันสกฤต ภำษำอังกฤษ ภำษำเขมร ภำษำจนี ภำษำชวำ มลำยู และภำษำอื่น ๆ เชน่ ภำษำฝรง่ั เศส ภำษำโปรตเุ กส ภำษำอำหรบั เป็นต้น หำกศึกษำเร่ืองนี้อย่ำงถ่องแท้ ทำควำมเข้ำใจเป็นอย่ำงดี และให้ควำมสำคัญเกี่ยวกับคำยืม ภำษำต่ำงประเทศในภำษำไทยแล้วจะทำให้ทรำบถึงที่มำท่ีไปของคำยืมน้ัน ๆ ซึ่งจะส่งผลดีต่อกำรใช้ ภำษำท้ังกำรพดู และกำรเขยี นคำยืมควบคูก่ ับภำษำไทยได้อย่ำงถูกต้อง มลั ลิกำ มำภำ ธนั วำคม 2559

สารบญั ก คานา หน้า สารบญั ก บทที่ 1 ลกั ษณะภาษาไทยและความหลากหลายของภาษา ค 1 ลักษณะทั่วไปของภาษา 1 คุณสมบัตแิ ละหน้าทข่ี องภาษา 3 องคป์ ระกอบของภาษา 4 ความสาคัญของภาษาไทย 6 ลักษณะภาษาไทย 7 ความหลากหลายของภาษา 8 สรุป 10 คาถาามทบทวน 10 บทท่ี 2 การยมื ภาษา และสาเหตุทีภ่ าษาต่างประเทศเขา้ มาปนภาษาไทย 11 การยืมภาษา 11 11 ความหมายของการยืมภาษา 11 ความเปลีย่ นแปลงของภาษา 12 ประโยชนใ์ นการศึกษาเรื่องการยืมภาษา 12 เหตุทที่ าให้เกิดการยืมภาษา 14 ประเภทของการยืมภาษา 16 สาเหตุที่ภาษาต่างประเทศเขา้ มาปนภาษาไทย 19 สรุป 19 คาถาามทบทวน 21 บทที่ 3 คายมื ภาษาบาลี สนั สกฤตในภาษาไทย 21 ความเปน็ มาของคายมื ภาษาบาลี สนั สกฤต 22 สาเหตุท่คี าภาษาบาลี สนั สกฤตเข้ามาปะปนภาษาไทย 22 ลกั ษณะภาษาบาลี สนั สกฤตในภาษาไทย 31 วธิ ีการรบั คาภาษาบาลี สนั สกฤตมาใชใ้ นภาษาไทย 33 การกลายความหมาย 39 การใช้คาภาษาบาลี สันสกฤตในภาษาไทย 42 หลกั สงั เกตคายืมภาษาบาลี สันสกฤต 45 ตวั อยา่ งคายืมภาษาบาลี สันสกฤตในภาษาไทย 50 สรปุ 50 คาถาามทบทวน

สารบญั (ตอ่ ) ข บทท่ี 4 คายมื ภาษาเขมรในภาษาไทย หน้า ความเปน็ มาของคายืมภาษาเขมร 51 วธิ กี ารยืมคาภาษาเขมรมาใช้ในภาษาไทย 51 การกลายความหมาย 53 การสรา้ งคาแบบไวยาการณ์ภาษาเขมร 59 การใชค้ ายมื ภาษาเขมรในภาษาไทย 61 หลกั การสงั เกตคายืมภาษาเขมรในภาษาไทย 67 ตวั อยา่ งคายืมภาษาเขมรในภาษาไทย 69 จากพจนานุกรมฉบับราชบัณฑติ ยสถาาน พ.ศ. 2554 71 สรุป 76 คาถาามทบทวน 77 79 บทที่ 5 คายมื ภาษาอังกฤษในภาษาไทย 79 ความเป็นมาของคายมื ภาษาอังกฤษ 81 ประวัตขิ องการยืมคาจากภาษาองั กฤษ 84 วธิ ีการยืมคาภาษาอังกฤษเขา้ มาใชใ้ นภาษาไทย 91 วงศัพท์คายืมภาษาอังกฤษในภาษาไทย 95 ศัพทบ์ ัญญตั ิ 96 สรุป 97 คาถาามทบทวน 99 99 บทท่ี 6 คายมื ภาษาจีนในภาษาไทย 101 ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งไทยกบั จนี 102 ลกั ษณะคายืมภาษาจีนในภาษาไทย 103 วธิ กี ารรบั คาภาษาจีนมาใชใ้ นภาษาไทย 106 การกลายความหมาย 107 คายืมภาษาจีนในวรรณคดี และวรรณกรรมไทย 109 การใช้คายืมภาษาจีนในภาษาไทย 114 ตัวอย่างคายืมภาษาจนี ในภาษาไทย 114 สรปุ 115 คาถาามทบทวน 115 116 บทท่ี 7 คายมื ภาษาชวา มลายใู นภาษาไทย 117 ความเป็นมาของคายืมภาษาชวา มลายู วธิ กี ารรับคาภาษาชวา มลายมู าใช้ในภาษาไทย การเปล่ียนแปลงความหมายของคาศัพท์ภาษาชวา มลายูในภาษาไทย

สารบญั (ตอ่ ) ค หน้า การใชค้ ายืมภาษาชวา มลายูในภาษาไทย 118 การใชค้ ายืมภาษาชวา มลายใู นวรรณคดเี รอ่ื งอิเหนา ดาหลัง 120 ตวั อยา่ งคายืมภาษาชวา มลายูจากพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาาน พ.ศ. 255 122 สรปุ 123 คาถาามทบทวน 124 บทที่ 8 อิทธิพลคายืมภาษาต่างประเทศทมี่ ีตอ่ ภาษาไทย 125 อิทธิพลภาษาต่างประเทศท่มี ีต่อภาษาไทย 125 อิทธพิ ลท่ีมตี อ่ ระบบเสยี งภาษาไทย 125 อิทธพิ ลที่มีตอ่ วงศัพท์ 127 อทิ ธพิ ลทางดา้ นการเรียงคาในประโยค 131 อิทธิพลต่อการใชค้ าและสานวนภาษาตา่ งประเทศ 132 ผลดีและผลเสียในการรบั คาภาษาตา่ งประเทศเขา้ มาในภาษาไทย 133 ข้อควรระวังในการศกึ ษาเรอื่ งการยืมภาษา 135 สรปุ 137 คาถาามทบทวน 138 บรรณานุกรม 139

บทที่ 1 ลักษณะภาษาไทยและความหลากหลายของภาษา ภาษาเป็นเคร่ืองมือท่ีใช้ในการส่ือสารของมนุษย์ มนุษย์ติดต่อกันได้ เข้าใจกันได้ก็ด้วยอาศัย ภาษาเป็นเครื่องช่วยสื่อความหมาย ภาษาเปน็ สิ่งช่วยยดึ ให้มนษุ ย์มคี วามผูกพนั ต่อกัน เนื่องจากแต่ละ ภาษาต่างก็มีระเบียบแบบแผนของตน ซึ่งเป็นที่ตกลงกันในแต่ละชาติแต่ละกลุ่มชน การพูดภาษา เดียวกันจึงเป็นส่ิงท่ีทาให้คนรู้สึกว่าเป็นพวกเดียวกัน มีความผูกพันต่อกันในฐานะท่ีเป็นชาติเดียวกัน ภาษาเป็นวัฒนธรรมอยา่ งหนึ่งของมนษุ ย์ และเป็นเครื่องแสดงให้เห็นวัฒนธรรมส่วนอ่ืน ๆ ของมนุษย์ ดว้ ย เราจึงสามารถศึกษาวัฒนธรรมตลอดจนเอกลักษณ์ของชนชาติต่าง ๆ ได้จากศกึ ษาภาษาของชน ชาติน้ันๆภาษาศาสตร์มีระบบกฎเกณฑ์ผู้ใช้ภาษาต้องรักษากฎเกณฑ์ในภาษาไว้ด้วยอย่างไรก็ตาม กฎเกณฑ์ในภาษาน้ันไม่ตายตัวเหมือนกฎวิทยาศาสตร์ แต่มีการเปล่ียนแปลงไปตามธรรมชาติของ ภาษา เพราะเป็นส่ิงท่ีมนุษย์กาหนดขึ้น จึงเปล่ียนแปลงไปตามกาลสมัยตามความเห็นชอบของ ส่วนรวมภาษาเปน็ ทงั้ ศาสตร์และศลิ ป์ มีความงดงามในกระบวนการใช้ภาษา กระบวนการใช้ภาษานั้น มีระดับและลีลา ข้ึนอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ หลายด้าน เช่น บุคคล กาลเทศะ ประเภทของเรื่อง ฯลฯ การที่จะเข้าใจภาษา และใช้ภาษาได้ดีจะต้องมีความสนใจศึกษาสังเกตให้เข้าถึงรสของภาษาด้วย องค์ประกอบของภาษาไม่ว่าจะเป็นลักษณะภาษา ความหลากหลายภาษา การศึกษาสิ่งเหล่านี้จะทา ให้เราเข้าใจลักษณะภาษาของตนได้ดี และเห็นความคล้ายคลึงหรือความแตกต่างของภาษาอื่น ๆ ได้ด้วย ลักษณะท่ัวไปของภาษา ลักษณะทั่วไปของภาษามีหลายประการ ที่สาคัญคือ ภาษาเป็นกลุ่มของเสียงท่ีมีระบบ กฎเกณฑ์ กลุ่มเสียงที่มนุษย์เปล่งออกมาน้ีจะต้องมีความหมายตามที่คนในสังคมได้ตกลงรับรู้กัน ดังน้ัน ภาษาจึงไม่ใช่ส่ิงที่เป็นสัญชาตญาณ บุญยงค์ เกศเทศ (2548 : 23) กล่าวว่า นักภาษาศาสตร์ เห็นวา่ ภาษามลี กั ษณะท่วั ไป ดงั นี้ 1. ภาษา หมายถงึ ภาษามนษุ ย์ มนษุ ยส์ ามารถสร้างภาษาโดยแสดงออกมาได้อย่างไม่จากดั 2. ภาษา หมายถึง ภาษาพูด เนื่องจากภาษาพูดเป็นภาษาท่ีใช้กันมาก ส่วนภาษาเขียนน้ัน เปน็ เพยี งตวั แทนหรอื เปน็ การบันทึกภาษาพูดทีถ่ ่ายทอดออกมาเท่านนั้ 3. ภาษาทุกภาษามีค่าเท่าเทียมกัน ภาษาทุกภาษาที่ใช้กันอยู่ในแต่ละสังคมนั้นมีความเท่า เทียมกันและมีคุณค่าเหมือนกัน ไม่ว่าภาษานั้นจะเป็นภาษาของชนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งหรือใช้ในสังคมใด สังคมหนงึ่ ต่างก็มรี ปู แบบและมลี กั ษณะเฉพาะของตวั เอง ซึ่งมีคุณค่าเหมือนกัน 4. ภาษาเป็นวัฒนธรรม มนุษย์เป็นผู้สร้างภาษาและเป็นความคิดของมนุษย์ท่ีเป็นผู้กาหนด ภาษาขึ้นมา เพื่อใช้เป็นตัวถ่ายทอดความรู้ ความคิดและเร่ืองราวต่าง ๆ ซึ่งส่ิงเหล่านี้ช่วยให้สังคม ได้รับรู้เรื่องราวจากรุ่นหนึ่งสู่รุ่นหน่ึง การท่ีภาษาเป็นวัฒนธรรมนี้ย่อมแสดงให้เห็นว่าภาษา มีการถา่ ยทอดอย่างเห็นไดช้ ัด และภาษาก็เป็นสง่ิ ทแ่ี สดงถึงความเจรญิ ของสังคมนนั้ ๆ ดว้ ย

2 5. ภาษามโี ครงสร้าง ภาษานั้นจะประกอบไปด้วยเสยี งและความหมาย น่ันคอื ตอ้ งเปลง่ เสียง ออกมาเพอ่ื ต้องการพดู ถึงสง่ิ ใดสง่ิ หนึ่งทาให้สื่อสารกนั ไดเ้ ขา้ ใจ 6. ภาษามีระบบกฎเกณฑท์ ่ีแน่นอนในตวั เอง ภาษาแต่ละภาษาจะมีระบบกฎเกณฑ์ทแ่ี นน่ อน จงึ ทาใหม้ นษุ ย์เข้าใจและเรียนรภู้ าษาตา่ ง ๆ ได้ และสามารถส่ือความกบั บุคคลอืน่ ได้และเข้าใจตรงกัน ซ่ึงเจ้าของภาษานั้น ๆ ย่อมทราบระบบภาษาของตนว่ามีการเรียบเรียงหรือมีกฎเกณฑ์อย่างไร เช่น ภาษาไทย ประกอบคาเป็นหน่ึงคาได้ต้องมี พยัญชนะ สระ และวรรณยุกต์ หรือมีการเรียงลาดับ ประโยคแบบ ประธาน กริยา กรรม เป็นต้น 7. ภาษาเป็นส่ิงสมมติวา่ แทนความหมาย การเรียกส่ิงใดสงิ่ หน่ึงบางครง้ั ก็ไม่สามารถบอกได้ว่า ทาไมถงึ เรยี กสงิ่ น้ันว่าอย่างนนั้ เพราะเป็นเพียงการสมมตขิ นึ้ มาใช้แทนความหมายน้นั ๆ เทา่ น้ัน 8. ภาษามีจานวนประโยคไม่รูจ้ บ ภาษาแต่ละภาษามจี านวนเสยี งและคาที่จากดั แตส่ ามารถ สร้างประโยคได้ไม่จากัด เพราะเมื่อนาเสียงและคาท่ีมีอยู่ในภาษานั้น ๆ มาสร้างเป็นคาพูดเพ่ือ ต้องการสอ่ื หรืออธบิ ายขยายความก็สามารถสร้างประโยคได้หลายประโยค 9. ภาษามีลักษณะเป็นสังคม ภาษานั้นมีความหมายไปตามแต่ละสังคมและมีการแปร ของภาษาซึ่งขึ้นอยูก่ ับปัจจัยตา่ ง ๆ ทีเ่ กิดขึ้นในสังคม ปัจจยั ดงั กลา่ ว เชน่ เพศ อายุ การศกึ ษา อาชีพ กาลเทศะ ถ่ินท่ีอยู่อาศัย เป็นต้น เช่น การออกเสยี งของคนแต่ละวัยหรือการเข้าใจความหมายของคา ยอ่ มมีการแปรไปตามอายแุ ละวัย รวมทัง้ การศกึ ษาของแต่ละบคุ คล 10. ภาษาเกิดจากการเรียนรู้ เลียนแบบ และถ่ายทอดจากบุคคลหนึ่งไปยงั บคุ คลหนึ่งท่ีอยู่ใน สังคมเดียวกัน เช่น เมื่อชาวต่างประเทศเข้ามาอยู่ในประเทศไทย ก็จาเป็นต้องเรียนรู้ที่จะต้องใช้ ภาษาไทยเพื่อให้ส่ือสารกับคนไทยใหเ้ ข้าใจได้ 11. ภาษามีการเปลี่ยนแปลงได้ตามกาลเวลา กล่าวคือ เมื่อสังคมได้รับสิ่งใหม่เข้ามาก็ย่อมมี คาท่ีใช้เรียกสิ่งต่าง ๆ ท่ีตกลงใช้ร่วมกัน เช่น คาเรียกอุปกรณ์เคร่ืองมืออิเล็กทรอนิกส์ แต่บางภ าษา ก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลงเนื่องจากไม่มีการใช้พูดกันในชีวิตประจาวัน เช่น ภาษากรีก ภาษาบาลี สันสกฤต ภาษาเขมร เป็นต้น ส่วนภาษาไทยยังมีการเปล่ียนแปลงของภาษาท้ังด้านเสียง คา ประโยค และความหมาย 12. ภาษาแต่ละภาษามภี าษากลุ่มยอ่ ย เมือ่ สงั คมมกี ลมุ่ ย่อยที่ต่างกนั ภาษาย่อมต่างกนั ไป ซ่ึง ขน้ึ อยู่กับพ้ืนที่ เช่น ภาษาไทยมีภาษายอ่ ยแบ่งตามลักษณะภูมศิ าสตร์ ไดแ้ ก่ ภาษาถน่ิ กลาง ถ่ินเหนือ ถน่ิ ใต้ และถ่นิ อสี าน 13. ภาษาเป็นส่ิงท่ีศึกษาได้ด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ ซ่ึงเป็นการศึกษาที่ต้องมีเคร่ืองมือ มี การทดลอง มีข้อสันนิษฐาน มีทฤษฎีท่ีใช้ศึกษาและมีการพิสูจน์เพื่อหาคาตอบให้ได้ถูกต้องตามความ เป็นจริง เช่น การศกึ ษาภาษาถิน่ ตอ้ งใชว้ ิธีทางภาษาศาสตร์ มีการเกบ็ ขอ้ มลู เพ่ือหาผลการศึกษา

3 สรุปได้ว่า ลักษณะทั่วไปของภาษาน้ันเป็นสิ่งท่ีมนุษย์สร้างขึ้นมาใช้พูดใช้เขียนอย่างไม่จากัด มี ภาษากลุ่มย่อยต่าง ๆ และสามารถสะท้อนสังคม วัฒนธรรมได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ภาษายังมีความเท่า เทียมกัน ซง่ึ แตล่ ะภาษานน้ั จะมโี ครงสรา้ งทป่ี ระกอบไปดว้ ยเสยี ง ความหมายทาใหเ้ รยี นรเู้ ขา้ ใจได้ คณุ สมบัตแิ ละหนา้ ทขี่ องภาษา ดียู ศรีนราวัฒน์ และชลธิชา บารุงรกั ษ์ (2558 : 2-8) ได้กล่าวถึงคุณสมบัติและหน้าท่ีของภาษา ไวด้ ังนี้ 1. คณุ สมบัติของภาษา 1.1 ภาษาเป็นระบบสัญลักษณ์ท่ีมนุษย์สร้างข้ึนเพื่อส่ือความหมาย ความสัมพันธ์ระหว่าง สัญลักษณ์และความหมายน้ีเป็นเรื่องท่ีมนุษย์ในแต่ละสังคมกาหนดขึ้น ภาษาบางภาษาอาจนาเสียงชุด เดียวกันมาใช้ แตต่ ่างนามาใช้เพอื่ สื่อความหมายแตกต่างกนั 1.2 ภาษามีระบบและกฎเกณฑ์ที่แน่นอน แต่ละภาษามีหลักเกณฑ์ทั้งในด้านเสียง คา ประโยค และความหมาย เช่น เสียงที่นามาใช้ในภาษาไทยน้ัน เสียงพยัญชนะใดปรากฏในตาแหน่งต้น พยางค์ เสียงพยัญชนะใดปรากฏตาแหน่งท้ายพยางค์ คามีวิธีการสร้างคาหรือประกอบคาอย่างไรบ้าง และมวี ธิ ีการเรยี งคาอยา่ งไร 1.3 ภาษาเป็นเร่ืองที่ต้องเรียนรู้ ไม่สามารถเกิดข้ึนได้โดยกาเนิดหรือสัญชาตญาณ กล่าวคือ มนุษย์มีความปกตทิ างดา้ นสมองและสรีระทเ่ี กยี่ วขอ้ งกับการเปลง่ เสยี งพดู ลว้ นมีศักยภาพที่จะพฒั นาภาษา ได้ ซึ่งการพัฒนาขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมรอบตัวว่าใช้ภาษาใดในชีวิตประจาวัน ทาให้มนุษย์ที่อยู่ใน สภาพแวดล้อมทใ่ี ช้ภาษาตา่ งกันพัฒนาภาษาแตกตา่ งกนั ไป 1.4 ภาษามีผลิตภาวะที่สร้างสรรค์ไม่จบสิ้น กล่าวคือ เจ้าของภาษาทุกภาษามีความสามารถ ในการสร้างสรรค์ภาษา ทาให้สามารถนากฎเกณฑ์ที่มีอยู่ในภาษามาใช้ในลักษณะท่ีต่างไปจากเดิม เช่น สร้างคาใหม่ พูดประโยคใหม่ ๆ ที่ไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อน สามารถสร้างประโยคได้อย่างไม่มีขีดจากัด และสามารถเขา้ ใจประโยคใหม่ ๆ ในภาษา 1.5 ภาษาเกี่ยวข้องกับบริบทซ่ึงส่งผลโดยตรงต่อการตีความ บริบทดังกล่าวนี้หมายถึง สภาพแวดล้อมโดยรอบขณะที่มกี ารใชภ้ าษา ทง้ั ท่ีอยู่ในรูปภาษา 1.6 ภาษาเป็นเร่ืองของปฏิสัมพันธ์และมีความเป็นพลวัต การสื่อสารด้วยภาษาแสดงให้เห็น ปฏิสมั พันธร์ ะหวา่ งคูส่ อื่ สาร 1.7 ภาษาเปล่ียนแปลงไปตามกาลเวลา ทุกภาษาต้องมีการปรับเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลาเพื่อ รองรับและให้ทันกับการพัฒนา การเปล่ียนแปลงทางเทคโนโลยี สังคม และวัฒนธรรม ภาษาท่ีไม่มีการ เปลี่ยนแปลงถือว่าเป็นภาษาท่ีตายแล้ว จะเห็นได้ว่าในปัจจุบันมีคาใหม่ในภาษาเพิ่มขึ้นตลอดเวลาเพ่ือให้ ทันกับความก้าวหนา้ ทางวทิ ยาการ ส่วนคาท่ไี ม่มผี ู้ใช้ก็จะสญู หายไป 1.8 ภาษาบางภาษามีลักษณะบางประการท่ีมอี ยู่ร่วมกนั เชน่ ภาษาพูดทุกภาษาประกอบด้วย เสียงพยัญชนะ และเสียงสระเปน็ อย่างน้อย ภาษาบางภาษามีระบบในการสรา้ งคาและประโยคที่แน่นอน ภาษาทกุ ภาษามกี ารแสดงการบอกเล่า ปฏเิ สธ คาถาม และคาสั่ง เปน็ ต้น 2. หนา้ ท่ีของภาษา 2.1 หน้าที่ให้รายละเอียด โดยท่ัวไปหน้าที่หลักของภาษาคือ เพ่ือให้ข้อมูลรายละเอียด ผู้สง่ สารมวี ตั ถปุ ระสงค์เพอื่ ใหข้ อ้ มลู ข่าวสาร หรอื ความรู้ ความคดิ แกผ่ ู้รบั สาร

4 2.2 หน้าที่แสดงความรู้สึก ภาษาอาจทาหน้าท่ีถ่ายทอดความรู้สึกและทัศนคติของผู้ส่งสาร ที่สื่อให้ผู้รับสารรับทราบ การส่ือสารบรรลุวัตถุประสงค์เมื่อผู้รับสารได้ทราบถึงความรู้สึกของผู้ส่งสารน้ัน ลักษณะภาษาที่ทาหน้าท่ีนี้อาจปรากฏในรูปประโยคบอกเล่าหรือปฏิ เสธโดยอาจมีรูปภาษา ที่แสดงความรู้สึก เชน่ รัก เกลยี ด ชอบ เบื่อ ขยะแขยง ชนื่ ชม 2.3 ทาหน้าท่ีช้ีแนะ มนุษย์อาจใช้ภาษาเพ่ือชี้แนวทางให้ผู้อื่นปฏิบัติตามในทางใดทางหนึ่ง ซ่ึงแบ่งเป็น 2 ลักษณะได้แก่ เพื่อให้ผู้รับสารแสดงการกระทาอย่างใดอย่างหนึ่ง ผู้ส่งสารใช้ภาษาโดยมี วัตถุประสงค์ให้ผู้รับสารแสดงการตอบสนองโดยกระทาอย่างใดอย่างหนึ่ง และเพื่อให้ผู้รับสารปฏิบัติโดย การใชถ้ ้อยคาแสดงการตอบ 2.4 หน้าท่ีแสดงปฏิสัมพันธ์ทางสังคม ภาษาท่ีมนุษย์ใช้ในชีวิตประจาวันอาจไม่ได้ทาหน้าที่ สามประการท่ีกล่าวมาข้างต้น แต่เกิดขึ้นเพ่ือมารยาททางสังคมเพ่ือเป็นการแสดงปฏิสัมพันธ์ระหว่าง คนในสงั คม และเพ่อื ให้มนุษยส์ ามารถดารงชวี ติ อยู่ร่วมกนั ในสังคมได้ สรุป คุณสมบัติและหน้าท่ีของภาษาเป็นการแสดงให้เห็นว่ามนุษย์มีระบบการสื่อสารเฉพาะของ ตนท่ีทาให้มนุษย์แตกต่างไปจากสัตว์อื่น กลา่ วคอื คณุ สมบัตขิ องภาษาท้ังภาษาพูด ภาษาเขยี น และภาษา มือ ถือเป็นภาษา ส่วนการสื่อสารท่ีไม่ใช้ถ้อยคา เช่น กิริยาท่าทาง การสัมผัส ระยะห่าง ซ่ึงต่างส่ือ ค ว าม ห ม าย ได้ ใน ท างภ าษ าศ าส ต ร์ไม่ ถื อ เป็ น ภ าษ าเนื่ อ งจ าก ข าด คุ ณ ส ม บั ติ ท างภ าษ า ดงั ไดก้ ล่าวแล้ว ส่วนหน้าที่ของภาษาน้ันเป็นส่ิงที่มนุษย์ใช้ตามจุดมุ่งหมายของตน ภาษาทาหน้าท่ีท้ัง ให้รายละเอียด แสดงความรู้สึก ช้ีแนะ และแสดงปฏิสัมพันธ์ในสังคม ซึ่งเป็นการสนองเจตนารมณ์ ของผ้ใู ชภ้ าษา องค์ประกอบของภาษา ภาษาทุกภาษามีส่วนประกอบท่ีสร้างขึ้นมาเพ่ือให้สื่อความหมาย และใช้ส่ือสารได้ ซ่ึงจิรวัฒน์ เพชรรัตน์ และอัมพร ทองใบ (2556 : 16-18) ได้กล่าวถงึ องคป์ ระกอบทว่ั ไปของภาษาไวด้ งั น้ี 1. เสียง นักภาษาศาสตร์ใหค้ วามสนใจต่อเสียงพูดมากกว่าตัวเขียน เพราะภาษาพูดเกิดจากเสยี ง ท่ีใช้พูดกัน ส่วนภาษาเขียนเป็นสัญลักษณ์ท่ีใช้แทนเสียงพูด เสียงพูดในภาษาไทยประกอบด้วย เสียง พยัญชนะ เสียงสระ และเสียงวรรณยุกต์ แต่ในบางภาษาก็ไม่มีเสียงวรรณยุกต์ เช่น ภาษาบาลีสันสกฤต ภาษาเขมร ภาษาอังกฤษ เป็นต้น 2. พยางค์ และคา เป็นองค์ประกอบของภาษา ซ่ึง พยางค์ คือ เสียงท่ีเปล่งออกมาพร้อมกัน ครั้งหนึ่ง ๆ ซึ่งประกอบด้วยเสียงพยัญชนะ เสียงสระ และเสียงวรรณยุกต์ จะมีความหมายหรือไม่มี ความหมายกไ็ ด้ เพราะบางพยางคอ์ าจเป็นคาหน่งึ ทมี่ ีความหมายสมบูรณ์ หรือเป็นเพยี งเสียงของคาก็ได้ พยางค์มีความสาคัญในภาษา เพราะพยางค์เป็นส่วนประกอบของคา พยางค์ใดมีความหมาย ก็จะเกิดขึ้นเป็นคา ถึงแม้พยางค์หน่ึง ๆ จะยังไม่มีความหมาย แต่เม่ือรวมกับพยางค์อื่นอาจมีความหมาย ข้ึนได้ เช่น พยางค์ “มะ” “ละ” และ “กอ” ต่างเป็นพยางค์ท่ีไม่มีความหมาย เม่ือรวมเป็น “มะละกอ” ก็จะมคี วามหมายเกดิ เป็นคาข้นึ หมายถึง ชือ่ ต้นไม้ชนดิ หนงึ่ ใบหยกั หยาบ ๆ กา้ นยาว ผลกินได้ คา คือ พยางค์ที่มีความหมาย อาจประกอบด้วยพยางค์เดียว หรือหลายพยางค์ก็ได้ คาท่ี ประกอบด้วยพยางค์หน่ึงพยางค์ เรียกว่า คาพยางค์เดียว เช่น พ่อ บ้าน นา ไก่ นก ฯลฯ ส่วนคาท่ี ประกอบด้วยพยางค์หลายพยางค์ เรยี กว่า คาหลายพยางค์ เช่น รอมร่อ (3 พยางค์) รัฐมนตรี (4 พยางค์) สมเด็จพระเจา้ อยู่หัว (6 พยางค)์ เอกอัครราชทูต (6 พยางค์) ฯลฯ

5 3. ประโยค เป็นองค์ประกอบทางโครงสร้างของภาษาเพอื่ ใชใ้ นการสื่อสาร ประโยคในความหมาย ทางไวยากรณ์น้ัน หมายถึง ความสัมพันธ์ของถ้อยคาตามท่ีวางกฎเกณฑ์ไว้ อาจกล่าวได้ว่า ประโยค คือ การนาคามาเรียงกันตามลักษณะโครงสร้างของภาษาท่ีกาหนดเป็นกฎเกณฑ์ หรือเป็นระบบตามไวยากรณ์ ของแต่ละภาษา และทาให้ทราบหนา้ ท่ขี องคา 4. ความหมาย คาท่ใี ช้ส่ือสารกัน อาจมีลักษณะทางความหมายได้ดังนี้ 4.1 คาที่มคี วามหมายตรง อาจมคี วามหมายเดยี ว และมหี ลายความหมายอย่าง เชน่ ทายก หมายถึง ผู้ถวายจตปุ จั จยั แกภ่ กิ ษสุ ามเณร, ถ้าเปน็ เพศหญงิ เรียกว่า ทายกิ า ประสบการณ์ หมายถึง ความจัดเจนท่ีเกิดจากการกระทาหรือได้พบเห็นมา สวม หมายถงึ 1. กิริยาทเ่ี อาของที่เป็นโพรงเปน็ วงเป็นต้น ครอบลงบนอกี ส่งิ หนึง่ , คล้อง, น่งุ ในคาว่า สวมกางเกง, ใส่ เชน่ สวมเสอ้ื สวมรองเทา้ 2. เขา้ แทนท่ี เช่น สวมตาแหน่ง 4.2 คาท่ีมีความหมายโดยนัย คือ คาท่ีมีความหมายไม่ตรงตามศัพท์แต่มีเลศนัย แสดงให้เข้าใจเป็นอย่างอื่น เช่น เขาควรลงจากเก้าอ้ี (เก้าอ้ี - ตาแหน่ง) ข้อสอบวิชานี้กล้วย ๆ (กลว้ ย – ง่าย) 4.3 คาท่ีมีความหมายตามเสียงวรรณยุกต์ หมายความว่าเสียงวรรณยุกต์ทาให้ความหมายของ คาเปลี่ยนไป เช่น นาหมายถึง พ้ืนท่ีราบทาเป็นคันกั้นน้าเป็นแปลง ๆ สาหรับปลูกข้าว เป็นต้น พ้นื ทีม่ ีลกั ษณะคล้ายนาสาหรับทาประโยชน์อืน่ ๆ เรียกตามส่ิงที่ทา เช่น นาเกลอื นากงุ้ , ใชป้ ระกอบกบั คา อน่ื ทเ่ี กดิ หรือเกีย่ วข้องกบั นา เชน่ ปนู า เต่านา เป็นต้น น่าหมายถึง คาประกอบหน้ากริยา หมายความว่า ควร เช่น น่าจะทาอย่างนั้น น่าจะเป็นแบบนี้, ชวนให้ ทาให้อยากจะ เชน่ นา่ กิน น่าอยู่ น้า หมายถงึ นอ้ งชายหรือน้องสาวของแม,่ เรยี กผูท้ ่มี วี ัยออ่ นกวา่ แม่ 4.4 คาทมี่ ีความหมายเปรยี บเทียบ (อปุ มา) คือคาท่ใี ช้เปรียบ คาทเี่ รามาใชใ้ นความหมายอปุ มา ถือว่ามีความหมายใหม่เกิดขึ้นอีกความหมายหนึ่ง เช่น ลิง (ซน อยู่ไม่สุขเหมือนลิง) ควาย (โง่ ให้คนจูง จมูกได้งา่ ย) จากองค์ประกอบของภาษาข้างต้นสรุปได้ว่า ภาษาต่าง ๆ โดยท่ัวไปจะประกอบไปด้วย เสียง (เสียงพยัญชนะ สระ และวรรณยุกต์) บางภาษาไม่มีเสียงวรรณยุกต์ พยางค์หรือคา ซึ่งอาจมีความหมาย หรือไม่มีความหมายก็ได้ ประโยค และความหมายของคา ซึ่งสอดคล้องกบั การอธบิ ายส่วนประกอบภาษา ของกาญจนา นาคสกุล (2554 : 3) ว่า ส่วนประกอบของภาษานั้นมีส่วนประกอบท่ีเล็กท่ีสุด คือ หน่วย เสียง ซ่ึงเป็นเสียงท่ีเจ้าของภาษาจะเรียนรู้ทั้งลักษณะ หน้าท่ี และตาแหน่ง ท่ีหน่วยเสียงหน่ึง ๆ ปรากฏ และเรียนรู้หน่วยเสียงอื่นที่ปรากฏด้วยกันด้วย บางภาษามีหน่วนเสียง 2 ประเภท คือ หน่วยเสียงสระ และหน่วยเสียงพยัญชนะ เช่น ภาษาเขมร ภาษาพม่า ภาษาอังกฤษ ภาษาฝรั่งเศส เป็นต้น บางภาษามีหน่วยเสียง 3 ประเภท คือ หน่วยเสียงสระ หน่วยเสียงพยัญชนะ และหน่วยเสียงวรรณยุกต์ เช่น ภาษาไทย ภาษาจีน ภาษาเวียดนาม เป็นต้น เจ้าของภาษาจะเรียนรู้หน่วยเสียงในภาษาของตน หนว่ ยเสยี งในแต่ละภาษามจี านวนจากัด หน่วยเสียงประกอบกันเข้าเป็นพยางค์และเป็นคาตามกฎเกณฑ์ของภาษา คา หมายถึง หน่วยที่เล็กที่สุดที่มีความหมายและปรากฏได้โดยลาพัง คาคาหนึ่งจะมีหน่วยเสียงหน่วยเดียวหรือ หลายหน่วยก็ได้ ในกระแสแห่งการพูด คามีตาแหน่งและมีหน้าท่ีสัมพันธ์กับคาอื่น ในบางภาษา คาเปลี่ยนรูปเพื่อแสดงความหมายและหน้าที่ท่ีต่างออกไป นักภาษาศาสตร์เรียกภาษาประเภทนี้ว่า ภาษาคาติดต่อหรือภาษาต่อรวมหน่วย ในบางภาษาคาเปล่ียนรูปเพ่ือแสดงความสัมพันธ์กับคาอ่ืน และมี

6 กฎหรอื แบบการเปลี่ยนรูปคาตามชนิดของคาด้วย นักภาษาศาสตร์เรียกภาษาประเภทน้ีว่า ภาษามีวภิ ัตติ ปจั จยั หรอื ภาษาคาผันรูป และในบางภาษาคาไม่มีการเปลย่ี นรปู นักภาษาศาสตร์เรียกภาษาประเภทนี้ว่า ภาษาคาโดด ภาษาจึงแบง่ ออกเป็นประเภทตา่ ง ๆ ไดต้ ามลักษณะคาทแ่ี ตกต่างกนั ความสาคญั ของภาษาไทย “เราโชคดีที่มีภาษาเป็นของตนเอง” ข้อความข้างต้นเป็นการยืนยันความเป็นเอกราชของชาติได้ เป็นอย่างดี เพราะชาติใดที่มีอักษรและภาษาใช้เป็นของตน ชาติน้ันย่อมไม่เป็นเมืองขึ้นต่อใคร ชาติไทยก็ เป็นชาติหน่ึงที่มีภาษาและอักษรของตนใช้ ซึ่งหลักศิลาจารึกหลักที่ 1 ของพ่อขุนรามคาแหงเป็นหลักฐาน สาคญั ทีส่ ามารถสืบความเป็นมาของภาษาไทยไดเ้ ป็นอย่างดี ทาใหไ้ ทยมีภาษาใชจ้ นกระท่งั ทุกวนั น้ี ชาติไทยมีประวัติความเป็นมาท่ียาวนาน คนไทยใช้ภาษาไทยเป็นเครื่องมือในการส่ือสารกัน ระหว่างคนในชาติทั้งภาษาพูดและภาษาเขียน แสดงความเจริญของชาติไทย ท่ีสามารถสร้างภาษาเพ่ือใช้ ในการส่ือสารอย่างมีวัฒนธรรม ดังนั้นคนในชาติควรให้ความสาคัญต่อภาษาไทยให้มาก ดังเช่น วิพุธ โสภวงศ์ และคณะ (2547 : 23-24 อ้างถึงใน จิรวัฒน์ เพชรรัตน์ และอัมพร ทองใบ, 2556 : 1) กล่าวถึงความสาคญั ของภาษาไทยไวด้ ังนี้ 1. ภาษาไทยเปน็ ภาษาประจาชาติ คนไทยใช้ภาษาไทยในการติดต่อสื่อสารกันมาต้ังแต่อดีตจนถึง ปัจจบุ ันเปน็ เวลายาวนาน ภาษาไทยจึงเปน็ เครื่องแสดงถึงความเจรญิ ของชนชาตไิ ทย 2. ภาษาไทยช่วยให้คนไทยมีความสมัครสมานสามัคคีกัน ภาษาช่วยให้คนในชาติเกิดความรู้สึก ผูกพันเป็นนา้ หน่งึ ใจเดียวกัน ทาให้เกดิ ความกลมเกลียวกนั เพราะใชภ้ าษาเดยี วกัน 3. ภาษาไทยใช้สร้างความเข้าใจซ่ึงกันและกันในการดาเนินชีวิต การสื่อสารท้ังการพูด การฟัง การอา่ น และการเขียน จะไดผ้ ลตรงตามวตั ถุประสงค์ของการสือ่ สารก็ต่อเมื่อผสู้ ่งสารและผรู้ ับสาร มคี วาม เข้าใจสารและเรื่องราวต่าง ๆ ได้ตรงกัน ดังน้ัน ผู้ส่งสารและผู้รับสาร ต้องเรียนรู้และใช้ภาษาให้ถูกต้อง ตามระเบยี บ และกฎเกณฑข์ องภาษา เพื่อใหก้ ารสอื่ ความหมายเขา้ ใจตรงกนั 4. ภาษาไทย เป็นภาษาท่ีมีเอกลักษณ์ คือ ประกอบด้วยเสียงพยัญชนะ เสียงสระ และเสียง วรรณยุกต์ในการเขียนเร่ืองราวต่าง ๆ การนาคามาเรียบเรียงเพื่อพูดและเขียน ภาษาไทยมีเสียงวรรณยกุ ต์ ท่ีเป็นเสยี งสงู และเสียงต่าทาให้เกิดเสียงไพเราะ และที่สาคญั เสียงวรรณยุกต์ทีต่ ่างกันทาให้เกิดความหมาย ของคาไดต้ า่ งกนั ด้วย เป็นการเพม่ิ คาภาษาไทยได้มากขนึ้ 5. ภาษาไทยช่วยให้คนไทยได้จดบันทึกเรื่องราวในอดีตมาสู่คนรุ่นปัจจุบัน เช่นความรู้ด้าน ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม บทกวีนิพนธ์ ทาให้คนไทยใช้ภาษาอ่านศึกษาค้นคว้าหาความรู้ถา่ ยทอดจากรุ่น สู่รุ่นได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังสามารถใช้ภาษาในการสร้างสรรค์วรรณคดีและวรรณกรรมได้ ภาษาจึงเป็น เครื่องมือของการเรียนรู้ ทาให้เกิดการค้นคว้า สร้างเสริมสติปัญญาของคนในชาติสืบทอดวัฒนธรรม และ งานวิชาการดา้ นตา่ ง ๆ สรุปได้ว่า คนไทยทุกคนควรช่วยกันสืบสานภาษา และคอยธารงภาษาไว้ให้คงอยู่ต่อไป และควร ให้ความสาคัญต่อภาษาเพราะภาษาไทยเป็นภาษาประจาชาติ มีความเปน็ เอกลักษณ์ เป็นเคร่ืองมือในการ สื่อสารให้เกิดความเข้าใจ เป็นสิ่งท่ีสร้างความสามัคคีแก่คนในชาติ และนอกจากนี้ภาษาไทยยังเป็น เครื่องมือในการจดบันทึกความรู้ต่าง ๆ และทาให้เราสามารถศึกษาหาความรู้ ส่งเสริมพัฒนาปัญญาของ คนไทยไดอ้ กี ด้วย

7 ลักษณะภาษาไทย ภาษาไทยเป็นภาษาประชาชาติ เป็นภาษาท่ีคนไทยทุกคนต้องเรียนรู้ เพ่ือให้ใช้ภาษาไทยได้อย่าง ถูกต้องในการติดต่อส่ือสาร รวมทั้งสามารถใช้ภาษาไทยเป็นเคร่ืองมือในการเรียนรู้ ประกอบกับปัจจุบัน การใช้ภาษาพูดและภาษาเขียนเปลี่ยนแปลงไปมาก ดงั นั้น จาเป็นอย่างยิ่งที่ตอ้ งรู้จักลักษณะของภาษาไทย และเลอื กใช้ภาษาท่ีถูกตอ้ งได้ตามความประสงค์ กาญจนา นาคสกุล (2554 : 6) กล่าวถึงลักษณะภาษาไทย ว่าภาษาไทยเป็นภาษาคาโดด หมายความว่า ในการพูดการใช้ภาษาไทยจะมี คา เป็นหน่วยภาษาที่แทนความหมาย เม่ือต้องการจะสื่อ ความหมายใดก็นาคาที่มีความหมายน้ันมาเรียงต่อกันเพื่อแทนความคิดหรือเรื่องราวที่ ต้องการสื่อออกไป โดยคาน้ัน ๆ ไม่ต้องเปลี่ยนแปลงรูป หรือผันแปรเพื่อให้สอดคล้องกับคาอื่นในลักษณ ะความสัมพันธ์ ทางไวยากรณ์ ในภาษาไทยมีความสัมพันธ์กันด้วยตาแหน่งและความหมาย เช่น เป็นผู้กระทา เป็นผู้รับ การกระทา เป็นอาการที่กระทา เป็นต้น ตาแหน่งและความหมายของคาสัมพันธ์กับหน้าท่ีของคานั้นด้วย หน้าที่ของคาในวลี ในประโยค หรือในข้อความจะเป็นไปตามตาแหน่งและความหมายท่ีปรากฏ เช่น เป็นประธาน เป็นภาคแสดง เป็นกรรม เป็นส่วนขยาย หรือเป็นส่วนเสริมอื่น ๆ เม่ือจะส่ือภาษาออกเป็น เสียงพูด ภาษาไทยมีเสียงพยัญชนะ สระ และวรรณยุกต์เป็นหน่วยภาษา ซ่ึงจะประกอบกันตามกฎของ ระบบเสียงภาษาไทยเป็นคา และกลุ่มคา การออกเสียงคาและกลุ่มคาต้องเป็นไปตามลักษณะของเสียง การประสมเสียง และการลงเสยี งหนักเบาของพยางค์ซ่ึงมีความหมายในภาษาไทย จากลักษณะภาษาไทยดงั กล่าว สามารถสรปุ ลกั ษณะภาษาไทยเป็นหวั ข้อตา่ ง ๆ ไดด้ ังนี้ 1. ภาษาไทยเป็นภาษาคาโดด โดยสว่ นใหญเ่ ปน็ คาพยางค์เดียว เช่น พ่อ แม่ พี่ นอ้ ง เป็นต้น 2. คาภาษาไทยหน่ึงมีหลายความหมายโดยไม่เปลยี่ นแปลงรูปคา ขึ้นอยู่กับบริบทของคา เชน่ ขัน - ฉนั มีอารมณข์ นั (ขัน หมายถึงหวั เราะ นึกอยากหวั เราะ) - พอ่ ขันนอตรถจกั รยาน (ขนั หมายถึง ทาให้ตงึ หรอื ทาใหแ้ น่นด้วยวิธีหมุนเข้าไป) - ตอนเช้าเราจะได้ยินเสียงไก่ขัน (ขัน หมายถึง อาการร้องอย่างหน่ึงของไก่หรือนก บางชนดิ เฉพาะในตวั ผู้) - ทบ่ี ้านของฉันยังใชข้ นั ดมื่ นา้ (ขัน หมาย ภาชนะสาหรับตกั หรือใส่นา้ มีหลายชนดิ ) 3. ภาษาไทยเรียงลาดับประโยคแบบ ประธาน กริยา กรรม เช่น ฉนั กนิ ขา้ ว เป็นต้น 4. ภาษาไทยมีเสียงวรรณยุกต์ และเกิดความหมายของคาท่ีแตกต่างกัน เช่น ปา หมายถึง ซดั ไปดว้ ยอาการยกแขนขน้ึ สงู แลว้ เอย้ี วตวั ปา่ หมายถงึ ทีท่ ่มี ตี ้นไมต้ ่าง ๆ ข้นึ มา ป้า หมายถึง พี่สาวของพอ่ หรือแม่ ป๊า หมายถงึ พ่อ (ภาษาจีน) ป๋า หมายถงึ พอ่ หรือชายสูงวัยท่ีมกี าลังทรพั ยป์ รนเปรอผูห้ ญงิ 5. ภาษาไทยมีการสรา้ งคาแบบประสม คาซ้า และซ้อนคา 6. สะกดตามมาตราตวั สะกด 8 มาตรา ไดแ้ ก่ แม่ กก กด กบ กง กน กม เกย และเกอว 7. ภาษาไทยมีลกั ษณนาม เช่น รถ 3 คนั บ้าน 2 หลงั เป็นตน้ 8. ภาษาไทยมีการเลือกใช้คาตามกาลเทศะ หรือมีระดับภาษา เช่น ภาษาปาก ภาษาก่ึงทางการ ภาษาทางการ ภาษาพธิ ีการ หรือภาษาทีใ่ ช้แกพ่ ระมหากษตั รยิ ์ เป็นต้นระดับภาษาถูกกาหนดโดยบรบิ ท ของการใช้ภาษาหรือส่ิงแวดล้อมในการใช้ภาษาแต่ละคร้ัง ซึ่งได้แก่ ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ส่งสารกับผู้รับ

8 สาร กาลเทศะและเน้ือเร่ืองที่ต้องการพูดถึง ระดับภาษาเป็นส่ิงท่ีผู้ใช้ภาษาต้องคานึงถึง เพราะหากใช้ ภาษาไมเ่ หมาะกับระดับภาษา การสื่อสารอาจจะไมป่ ระสบความสาเรจ็ ตามท่ตี อ้ งการ 9. ภาษาไทยไม่มีการเปลีย่ นแปลงรปู คาเม่ือเขา้ ประโยค กล่าวคือ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงรูปคาเพื่อ แสดงเพศ พจน์ การก กาล มาลา วาจก การจะทราบหรือเข้าใจถึงความหมายของคาน้ันต้องดูบริบท โดยรอบของคานน้ั เชน่ ฉันกินข้าว (ชว่ งเวลาทีเ่ กิดขึ้นขณะนั้น คอื ตอนนนั้ กนิ ข้าวอยู่) ฉนั กาลังจะไปกนิ ขา้ ว (หมายถงึ ยังไม่ได้กนิ ข้าว แต่กาลังจะไปกิน) ฉนั กินข้าวแลว้ (หมายถึง กินข้าวเสร็จเรยี บร้อยแลว้ ) คาว่า “กิน” ไม่มีการเปล่ียนแปลงรูปคาเม่ืออยู่ในประโยค แต่สามารถเข้าใจความหมายของ ประโยคไดโ้ ดยดูจากบริบทของคา ความหลากหลายของภาษา ภาษาท่ีใช้ติดต่อสื่อสารกันบนโลกมีอยู่เป็นจานวนมาก แต่ละภาษามีทั้งความเหมือน และความแตกต่างกันออกไปตามลักษณะของภาษานั้น ๆ ซ่ึงนักภาษาศาสตร์ได้จัดภาษาที่มีลักษณะ โครงสร้างทางภาษาท่ีเหมือนกันไว้ในตระกูลเดียวกัน ซึ่งวิไลศักด์ิ กิ่งคา (2556 : 2-5) ได้แบ่ง ความหลากหลายของภาษาไว้ 3 ประเภท สรปุ ไดด้ ังน้ี 1. แบ่งตามเชื้อชาติผู้พูดหรือเจ้าของภาษา การแบ่งตามวิธีน้ีถือเอาเปน็ แบบอย่างแน่นอนไม่ได้ เน่ืองจากมนุษย์ต้องมกี ารแตง่ งานหรือผสมกันในทางเชอื้ ชาติคนชาติหน่ึงอาจใช้ภาษาของของคนชาติหนึ่ง ได้เพราะภาษาได้เป็นพันธุกรรม ภาษาเกิดจากการเรียนรู้ส่ิงแวดล้อม เช่น คนไทยพูดภาษาอังกฤษได้ จะถือว่า คนไทยและคนอังกฤษเปน็ เชือ้ ชาติเดยี วกันเพียงเพราะพูดภาษาเดียวกันนัน้ ไมไ่ ดเ้ ลย 2. แบ่งตามรูปลักษณะของภาษา การแบ่งตามวิธีน้ีอาศัยความสาคัญอยู่ที่ลักษณะของการ ประกอบคา และการวางตาแหน่งของคาในประโยคเป็นเกณฑ์ถ้าลักษณะภาษามีส่วนเหมือนกันหรือ คลา้ ยคลงึ กนั ก็สามารถรวมเปน็ ประเภทเดยี วกนั ได้ 3. แบ่งตามตระกูลของภาษา การแบง่ ประเภทน้ีเป็นผลสืบเนื่องมาจากการแบ่งตามรูปลกั ษณะ ภาษา โดยอาศัยหลกั ในการแบ่ง ดงั นี้ 3.1 ภาษามวี ิภัตติปัจจัยคือ ภาษาที่มีคาเดิมหรือรากศัพท์เป็นธาตุ เม่ือจะใช้คาใดในภาษาต้อง แปรรูปคาของธาตุดว้ ยวิธีประกอบคา โดยเตมิ ปัจจยั ใหเ้ ป็นศพั ท์ แล้วนาคาศพั ท์มาประกอบดว้ ยวิภตั ตใิ ห้ เป็นบท หลังจากน้ันจึงนาไปเรียงเข้าประโยคในตาแหน่งท่ีเหมาะสม วิภัตติจะเป็นตัวกากับบทให้รู้หน้าที่ ของคาว่าทาหน้าท่ีอะไรในประโยค ภาษามีวิภัตติปัจจัย เช่น ภาษาบาลี ภาษาสันสกฤต ภาษากรีก ภาษาละติน ภาษาอาหรับ เป็นต้นนอกจากนี้ จิรวัฒน์ เพชรรัตน์ และอัมพร ทองใบ (2556 : 72) ไดอ้ ธิบายถงึ วิธีการประกอบคาของภาษามวี ภิ ัตติปจั จยั ดังนี้ 3.1.1 ธาตุ (root) คือ รากศัพท์ที่มีความหมายในตัว แต่ยังนาไปใช้ไม่ได้ ต้องนาไปปรุง แต่งเสียก่อนธาตแุ ต่ละตวั อาจปรงุ เป็นศัพท์ไดห้ ลายศพั ท์โดยอาศัยปจั จัยต่างกัน ปจั จัยแต่ละตัวมวี ิธีตกแต่ง ธาตุเป็นเฉพาะอย่างไป วิธีการแต่งคือ นา ธาตุ ไปลง ปัจจัย จะได้เป็นศัพท์ อาจเป็นกริยาศัพท์ หรอื นามศัพท์ 3.1.2 เม่ือได้ “ศัพท์ “ แล้ว นาศัพท์มาประกอบวิภัตติให้เป็นบท แล้วนาบทไปเรียงเข้า ประโยคในตาแหน่งใดก็ได้เพราะมีวิภัตติกากับบทแต่ละบท ให้รู้ว่าทาหน้าท่ีอะไรในประโยคอย่างแน่ชัด บางประโยคแม้ไม่มีประธานปรากฏอยู่ ก็ยังสามารถรู้ได้ว่าใครเป็นประธาน เพราะว่าวิภัตติของกริยาจะ ช่วยบอกให้ เชน่ วนทฺ ติ (เขาผ้ชู ายไหว)้ / วนฺทนตฺ ิ (เขาผ้ชู ายทั้งหลายไหว้)

9 สรุป“ธาตุ” เป็นคาดั้งเดิมของภาษามีวิภัตติปัจจัย โดยมากเป็นคาพยางค์เดียว สาหรับนาปัจจัย เขา้ ไปประกอบใหเ้ ปน็ ศัพทข์ ึน้ (ธาตุ + ปจั จัย = ศพั ท)์ 3.2 ภาษาคาติดต่อคือ ภาษาที่ใช้คาอุปสรรคเติมหน้าคา ใช้คาอาคมเติมกลางคา และใช้ปัจจัย เติมท้ายคา เพื่อให้เกิดคาต่าง ๆ ในภาษาข้ึน เมื่อเติมเข้าไปแล้ว คาเดิมและคาเติมเข้าไปยังคงรูปอยู่ไม่ เปลี่ยนแปลง ภาษาคาติดต่อบางภาษามีแต่การเติมหน้าและเติมท้าย เช่น ภาษาอังกฤษ บางภาษาเติม หนา้ และเติมกลาง เชน่ ภาษาเขมร ภาษาที่จัดว่าอยู่ในลักษณะภาษาติดต่อมีหลายภาษา เช่น ภาษาทมิฬ ภาษาชวา มลายู ภาษา ตรุ กี ภาษาเขมร ภาษาญีป่ ุ่น ภาษาเกาหลี เป็นตน้ 3.3 ภาษาคาควบมากพยางค์คือ การนาคาหลายคามาต่อกันเท่ากับเป็นประโยค ซึ่งภาษา ประเภทนี้มีลักษณะทางภาษาคล้ายกับภาษาคาติดต่อ แต่ใช้วิธีการประกอบแบบนาคามาต่อกันให้ยาว ภาษาทีม่ ลี ักษณะเป็นคาควบมากพยางค์ เชน่ ภาษาตุรกี ภาษาเอสกิโม เปน็ ตน้ 3.4 ภาษาคาโดด คือ ภาษาที่นาคาตั้งหรือคามูลมาเรียงลาดับกันเข้าเป็นประโยค คงรูปคา เหมือนเดมิ ไมเ่ ปลีย่ นแปลง แยกโดด ๆ เป็นคา ๆ ออกไป เมื่อสลับตาแหนง่ ของคาในประโยค ความหมาย ก็จะเปล่ียนไป ภาษาที่มีลักษณะเป็นภาษาคาโดด เช่น ภาษาไทย ภาษาจีน ภาษาพม่า ภาษาเขมร ภาษามอญ ภาษาญวน เปน็ ตน้ สรุปได้ว่าความหลากหลายของภาษาเป็นความแตกต่างของภาษาที่เกิดขึ้นบนโลก เราสามารถ ศึกษาความหลากหลายนี้ได้จาก เชื้อชาติผู้พูดหรือเจ้าของภาษา รูปลักษณะของภาษา และตระกูลภาษา ซง่ึ ตระกูลภาษานี้สามารถแบ่งตามรปู ลักษณะภาษา ได้แก่ ภาษามีวิภัตติปัจจัย ภาษาคาติดต่อ ภาษาคา ควบมากพยางค์ และภาษาคาโดด สรุป ภาษาไทยเป็นภาษาท่ีสร้างความภาคภูมิใจแก่คนไทย เพราะมีเอกลักษณ์ท่ีโดดเด่น และมีความ เหมาะสมต่อการใช้ของคนไทย ลักษณะภาษาไทย ได้แก่ ภาษาคาโดด มีหลายความหมายโดยไม่ เปล่ียนแปลงรปู คา มรี ะบบเสียงวรรณยุกต์ เรียงประโยคแบบ ประธาน กรยิ า กรรม มกี ารสร้างคาโดย การประสมคา ซ้าคา และซ้อนคา มีตัวสะกดตรงตามมาตรา มีคาลักษณนาม และมีระดับภาษา ภาษาไทยถือว่าเป็นภาษาหนึ่งในอีกหลากหลายภาษาบนโลกอยู่ในความหลากหลายของภาษาที่เกิดจาก ความแตกต่างกันทั้งรูปภาษา อักขรวิธี ลักษณะภาษา การส่ือความหมาย เป็นต้น ความแตกต่างเหล่านี้ จาเป็นอย่างย่ิงท่ีต้องจัดกลุ่มภาษาเพื่อให้ง่ายตอ่ การศึกษา ง่ายต่อความเข้าใจ นอกจากน้ียงั สามารถทราบ ถึงท่ีมาที่ไปของภาษาแตล่ ะตระกูลภาษาไดน้ ักภาษาแบ่งภาษาออกเป็น 3 ลกั ษณะ ไดแ้ ก่ แบ่งตามเช้ือชาติ ผู้พูดหรือเจ้าของภาษา แบ่งตามรูปลักษณะของภาษา และแบ่งตามตระกูลของภาษาซ่ึงการจัดกลุ่มเช่นนี้ เกดิ จากความคลา้ ยคลึงกนั ของลักษณะภาษา แหล่งกาเนิดภาษา เปน็ ต้น การศึกษาลักษณะภาษาไทย และความหลากหลายของภาษาน้ี สามารถศึกษาที่มาของคายืม และวิเคราะหท์ ่ีมาของภาษานัน้ ๆ ได้ ดงั จะกล่าวในบทต่อไป

10 คาถามทบทวน ให้นักศกึ ษาตอบคาถามตอ่ ไปนี้ 1. ภาษาหมายถงึ อะไร 2. ลกั ษณะท่ัวไปของภาษามอี ะไรบ้าง สรุปพอเข้าใจ 3. ลักษณะเด่นของภาษาไทยมอี ะไรบา้ ง 4. “ภาษาไทยมรี ะดับภาษา” จากลกั ษณะเด่นของภาษาไทยดงั กล่าวนี้ หมายถงึ อะไร ยกตัวอย่าง ประกอบ 5. ภาษาโดยท่ัวไปมอี งคป์ ระกอบอะไรบา้ ง 6. ภาษาจนี จดั อยู่ในภาษาตระกูลใด และตระกลู ภาษาดังกล่าวมลี กั ษณะอย่างไร 7. ภาษาไทยมกี ารสร้างคาอยา่ งไร อธบิ ายพรอ้ มยกตวั อยา่ งประกอบ 8. ภาษาไทยมคี วามสาคัญอย่างไร 9. ภาษาอังกฤษอยใู่ นตระกูลภาษาใด จงอธบิ าย 10. ภาษามีวิภตั ตปิ จั จยั มกี ารประกอบคาอยา่ งไร

บทที่ 2 การยมื ภาษา และสาเหตทุ ภ่ี าษาตา่ งประเทศเขา้ มาปนภาษาไทย ศิลาจารึก หลักที่ 1 ของพ่อขุนรามคาแหงมหาราช เป็นหลักฐานสาคัญทางภาษาช้ินหน่ึง ที่สามารถทาให้ทราบถึงจุดเร่ิมต้น และการเปลี่ยนแปลงภาษาไทยต้ังแต่อดีตถึงปัจจุบันหลักฐานนี้ แสดงให้เห็นถึงลักษณะอักษรที่เรียกว่า “ลายสือไทย” อักขรวิธีของลายสือไทย รวมไปถึงการใช้ภาษา ท่ีพอจะสังเกตได้ว่าไม่ใช่คาไทยแท้ทั้งหมด เพราะเน้ือหาท่ีบันทึกศิลาจารึกหลักที่ 1 มีเน้ือหาเก่ียวกับ ประวัติพ่อขุนรามคาแหง สภาพบ้านเมืองในสมัยสุโขทัย ความเจริญรุ่งเรืองทางพระพุทธศาสนา อาณาเขตของกรุงสุโขทัย ซ่ึงเนื้อหาที่กล่าวมาน้ี ล้วนแล้วแต่มีคาภาษาต่างประเทศทั้งส้นิ เช่น ภาษาเขมร (สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นภาษาหนึ่งท่ีคนไทยใช้ก่อนเกิดกรุงสุโขทัย) ภาษาบาลีสันสกฤต เข้ามาปะปน ภาษาไทยเนอ่ื งจากการรบั นับถอื พระพุทธศาสนา เปน็ ต้น ความเปล่ียนแปลงของภาษา ภาษาเป็นเครื่องมือท่ีมนุษย์ใช้สื่อสารกัน สังคมมนุษย์เป็นสังคมที่ไม่หยุดนิ่งเพราะมนุษย์ เป็นสัตว์ที่มีสมอง มีสติปัญญาสามารถท่ีจะคิด สร้างสรรค์ พัฒนาเปล่ียนแปลงชีวิตและความเป็นอยู่ ให้ดีข้ึนอยู่เสมอ ภาษาซ่ึงเป็นกลไกสาคัญของสังคมมนุษย์จึงอาจเปล่ียนแปลงควบคู่กันไปกับสังคมมนุษย์ คาและประโยคในทุกภาษาอาจเปล่ียนแปลงเพิ่มขึ้นหรือหดหายไปพร้อม ๆ กับความเปลี่ยนแปลง ความเจริญ และความเส่ือมของสังคมมนุษย์ ภาษามักเปล่ียนแปลงไปในแต่ละยุคแต่ละสมัย เช่น ภาษาไทยสมัยสุโขทัยไม่เหมือนภาษาไทยในสมัยอยุธยาทั้งหมด ภาษาไทยในสมัยอยุธยาย่อมไม่เหมือน ภาษาไทยในสมัยรัตนโกสินทร์ แต่ก็ใช่ว่าจะแตกต่างกันไปเสียทั้งหมด ความเปลี่ยนแปลงทางภาษา จะคอ่ ย ๆ เกิดข้ึนและดาเนนิ ไป ไม่มีใครบอกล่วงหน้าได้ว่าอะไรจะเปล่ียนแปลงไป จะเปลีย่ นแปลงอย่างไร หรือจะเปล่ียนเมื่อใด ความเปล่ียนแปลงท่ีเกิดข้ึนกับภาษานอกจากจะเกิดจากปัจจัยภายในตัวภาษาแล้ว ยังอาจเกิดจากปัจจัยภายนอกภาษา คือ อิทธพิ ลของภาษาอื่นอีกด้วย ภาษาอาจเปล่ียนแปลงไดท้ ้ังในด้าน การออกเสียง ระบบเสียง ความหมายของคา และหน้าที่ของคาในบริบทต่าง ๆ (กาญจนา นาคสกุล, 2554 : 4) การยืมภาษา ภาษาหลายภาษามีการเปลี่ยนแปลงตามยุคสมัย การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้เกิดจากผู้ใช้ภาษาเอง และเกิดจากปัจจยั ภายนอก เช่น การศึกษา เทคโนโลยี ประเพณีวัฒนธรรม ซึง่ การเปลยี่ นแปลงภายนอก ดงั กลา่ วที่ทาใหเ้ กดิ การยืมภาษาข้นึ ซ่งึ มีรายละเอียดต่าง ๆ ดังน้ี 1. ความหมายของการยืมภาษา การยืมภาษา หมายถึง ปรากฏการณ์ท่ีภาษาหนึ่งยืมตัวอักษร เสียง ความหมาย หน่วยคา คา สานวน กฎเกณฑ์ทางไวยากรณ์ โครงสร้างประโยค ฯลฯ จากภาษาอ่ืนมาใช้ แม้ว่าการยืมภาษา

12 จะไม่จากัดแค่การยืมคา แต่โดยทั่วไปเม่ือกล่าวถึงการยืมภาษา มักมุ่งประเด็นไปที่การยืมคาเป็นสาคัญ เพราะเปน็ วิธกี ารนาไปใช้ไดง้ ่ายท่ีสุดและเกดิ การยมื มากทีส่ ุด (อนนั ต์ เหลา่ เลศิ วรกุล, 2555: 100) วิไลศักด์ิ ก่ิงคา (2556 : 9) ได้ให้ความหมายของการยืมคาไว้ว่า การยืมคา หมายถึง ภาษาหน่ึง นาเอาคาหรือลักษณะทางภาษาหนึ่งไปใช้ในภาษาของตน ภาษาที่ถูกยืมมามักจะถูกเปลี่ยนแปลงรูปคา เสียง และความหมายในภาษานั้นใหม่ เพื่อความสะดวกในการออกเสียง และเป็นไปตามลักษณะสาคัญ ของภาษาผ้ยู ืม จากความหมายข้างต้น สอดคล้องกับการอธิบาย คายืม ของ จิรวัฒน์ เพชรรัตน์ และ อัมพร ทองใบ (2556 : 87) ว่า“คายืม”เป็นลักษณะธรรมชาติของภาษา ย่อมมีการหยิบยืมคา ของภาษาต่างประเทศมาใช้ปะปนกับภาษาของตนอยู่เสมอ การยืมคาจากภาษาอ่ืนมาใช้เป็นการช่วยให้ มีถ้อยคาใช้มากขึ้น และเพื่อความสะดวกรวดเร็วในการติดต่อส่ือสาร การยืมคามาใช้ ไม่มีขอบเขตจากัด ตายตัว อาจจะยมื เสยี ง ยืมคา หรือยมื ไวยากรณก์ ็ได้ ขึน้ อยูก่ บั ความตอ้ งการและความสะดวกของผใู้ ช้ คาภาษาต่างประเทศท่ีไทยยืมมาใช้ที่นับว่ามีอิทธิพลต่อภาษาไทยมาก ได้แก่ ภาษาบาลีสันสกฤต เขมร อังกฤษ และภาษาอ่ืน ๆ เช่น ภาษาจีน ภาษาฝรั่งเศส ภาษาชวา มลายู ภาษาญี่ปุ่น ภาษามอญ ภาษาทมฬิ ภาษาเปอร์เซยี ภาษาโปรตุเกส ภาษาพมา่ ฯลฯ สาเหตุท่ีต้องยืมคาภาษาต่างประเทศมาใช้ในภาษาไทยนั้น เพราะว่าคาในภาษาไทยมีไม่เพียงพอ และเพือ่ ต้องการให้ภาษาไทยมีความสมบรู ณย์ ิ่งขนึ้ น่ันเอง สรุป การยืมภาษา คือการท่ีภาษาหนึ่งรับภาษาหน่ึงไปใช้ในภาษาของตน ด้วยวิธีการต่าง ๆ เช่น การเปล่ียนแปลงเสียง การเปลี่ยนแปลงคา การเปลี่ยนแปลงความหมาย การยืมไวยากรณ์ และการยืม ฉันทลักษณ์มาใช้ การปรับเปล่ียนเหล่านี้เพื่อให้ง่ายและสะดวกต่อการใช้ การยืมภาษาแสดงให้เห็นถึง ความสัมพันธ์ของสองภาษาท้ังผู้ให้ยืมและผู้รับ อาทิ ด้านประวัติศาสตร์ ด้านภูมิศาสตร์ ด้านการเมือง การปกครอง เปน็ ตน้ 2. ประโยชนใ์ นการศึกษาเร่ืองการยมื ภาษา เม่ือภาษาหน่ึงมีคาจากภาษาอ่ืน ๆ เข้าไปปนอยู่มากย่อมเป็นร่องรอยให้สืบค้นประวัติ ความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าของภาษาทั้งสอง เช่น ภาษาไทยมีคายืมจากภาษาโปรตุเกสอยู่ด้วย เช่น คาว่า “สบู่” “(ขนม) ปัง” “เหรียญ” ฯลฯ ย่อมแสดงให้เห็นว่า ชนชาวโปรตุเกสเคยติดต่อกับชนชาวไทย นอกจากนี้คาท่ีถกู ยืมไปใช้ในภาษาอ่ืนยังใช้เปน็ หลักฐานทางภาษาศาสตร์เชงิ ประวัตไิ ด้ว่า ลักษณะเดิมของ ภาษาท่ีถูกยืมเป็นเช่นไร เช่น ในภาษาไทยปจั จุบันใชท้ ้ังคาว่า “ตบแต่ง” และ “ตกแต่ง” ในความหมายว่า “ประดับให้สวยงาม” แม้จะใช้ทั้งสองคา แต่คนส่วนใหญ่มักใช้ว่า “ตกแต่ง” และคิดว่า ตกแต่ง เป็นคา ที่ถูกต้อง คานี้ภาษาเขมรยืมเข้าไปใช้เป็น “ตุบแตง” ใกล้เคียงกับเสียงของคาว่า “ตบแต่ง” มาก จึงเป็นหลักฐานว่า “ตบแต่ง” เป็นคาเก่า ส่วนคาว่า “ตกแต่ง” น่าจะกลายเสียงมาในภายหลัง (อนนั ต์ เหลา่ เลิศวรกุล, 2555 : 101)

13 3. เหตุทท่ี าใหเ้ กิดการยืมภาษา อนันต์ เหล่าเลิศวรกุล (2555 : 101-102) กล่าวถึงเหตุผลสาคัญท่ีภาษาหน่ึงยืมคา หรอื ลกั ษณะตา่ ง ๆ ของอีกภาษาหน่ึงมาใช้ 2 ประการ ดงั นี้ 3.1 เหตุผลด้านความจาเปน็ การยมื ภาษาด้วยเหตุผลดา้ นความจาเป็นมักเกิดขน้ึ เมอ่ื ผ้พู ูดภาษาผู้ใหเ้ ป็นเจา้ ของความคิดทาง ศาสนา ปรชั ญา โลกทรรศน์ ค่านยิ ม ประดิษฐกรรม นวตั กรรม วทิ ยาการ อาหาร การละเลน่ ฯลฯ หรือเป็นผู้ที่อยู่ในถ่ินท่ีมีปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ พันธ์ุพืช และพันธ์ุสัตว์ที่ไม่ปรากฏในภาษาผู้รับ ภาษาผู้รับจึงจาเป็นต้องยืมภาษาผู้ให้มาใช้โดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เช่น ภาษาไทยยืมคาศัพท์ทางศาสนา เช่น บาป นรก เทวดา จิต ฯลฯ มาจากภาษาบาลีและสันสกฤต ยืมคาศัพท์เก่ียวกับประดิษฐกรรม นวัตกรรม และความรู้ทางวิทยาศาสตร์ เช่น คอมพิวเตอร์ อะตอม เรดาร์ พลาสติก วัคซีน ฯลฯ มาจากภาษาอังกฤษ และยืมคาศัพท์เก่ียวกับอาหาร เช่น ต่ิมซา ก๋วยเตี๋ยว โจ๊ก กวยจั๊บ ฯลฯ มาจากภาษาจนี เป็นตน้ 3.2 เหตผุ ลดา้ นจิตวิทยา เม่ือผู้พูดภาษาผู้ให้เป็นผู้ครอบครองความรู้ ความคิด วิทยาการ ฯลฯ ซึ่งผู้พูดภาษาผู้รับ ไม่มี และภาษาผู้รับจาเป็นต้องรับความรู้ ความคิด วิทยาการ ฯลฯ รวมท้ังคาท่ีถ่ายทอดความรู้ ความคิด วิทยาการ ฯลฯ น้ันจากภาษาผู้ให้ ผู้พูดภาษาผู้รับจะรู้สึกว่า ภาษาผู้ให้เป็นภาษาท่ีแสดงศักด์ิศรีและฐานะ ทางสังคมสูงกว่าภาษาผู้รับ ความรู้สึกดังกล่าวทาให้เกิดการยืมภาษาเกินความจาเป็น เป็นการยืม อันสืบเนื่องมาแต่ความนิยมทัศนคติว่า ภาษาผู้ให้เป็นภาษาสูง เป็นภาษาท่ีแสดงศักดิ์ศรีมากกว่า ซงึ่ ก่อใหเ้ กิดผลในการยืมภาษาในลกั ษณะต่าง ๆ ดังน้ี 3.2.1 การยืมคาศัพท์พื้นฐาน ภาษาผู้รับยืมคาศัพท์พื้นฐานมาจากภาษาผู้ให้ ดังกรณี ที่ภาษาไทยยืมคาว่า เดิน เกิด เรียน จมูก ถนน ฯลฯ ซ่ึงเป็นคาศัพท์พ้ืนฐานในภาษาเขมรใช้เป็นคา พ้ืนฐานในภาษาไทย 3.2.2 การยืมคาท่ีมีศักด์ิสูง ภาษาผู้รับอาจยืมคาภาษาอื่นมาใช้เป็นคาสุภาพ รวมท้ังคาที่มี ศักดิ์สูง เช่น ภาษาไทยยมื คาภาษาบาลี สนั สกฤต เขมร มาใช้เปน็ คาสภุ าพและคาราชาศพั ท์ เชน่ หมา ไทยยมื คาภาษาบาลใี ช้เป็นคาสภุ าพ สุนขั ควาย ไทยยืมคาภาษาเขมรใชเ้ ป็นคาสุภาพ กระบือ ดวงตา ไทยยมื จากภาษาเขมรใช้เปน็ คาราชาศพั ท์ พระเนตร กนิ ไทยยืมจากภาษาเขมรใช้เป็นคาราชาศัพท์ เสวย 3.2.3 การยืมมาใช้เป็นศัพท์วรรณคดี ภาษาผู้รับยืมคาภาษาอื่นมาใช้แต่งวรรณคดีเพ่ือให้ เกิดความหลากหลาย และความไพเราะ เช่น ภาษาไทยยืมคาภาษาบาลี สันสกฤต และเขมร มาใช้ใน วรรณคดีไทย และภาษาเขมรยืมคาภาษาไทยไปใช้ในวรรณคดเี ขมร เป็นต้น

14 3.2.4 การยืมเพ่ือแสดงภูมิรู้ ภาษาผู้รับยืมคาภาษาอื่นมาใช้ ทั้ง ๆ ที่ภาษาผู้รับก็มีคาที่สื่อ ความหมายเดยี วกนั อยู่แล้ว ทัง้ นเ้ี พ่ือแสดงว่าผู้ใช้คาภาษาอ่ืนมีภูมิรภู้ าษานั้นเป็นอย่างดี เช่น ภาษาไทยยืม คาว่า ชอปป้ิง ทัวร์ ป๊อปคอร์น ฯลฯ จากภาษาอังกฤษมาใช้ ท้ังที่ภาษาไทยมีคาหรือกลุ่มคา ซ่ึงสือ่ ความหมายเดียวกันอยูแ่ ล้ว เช่น ซื้อของ เท่ยี ว ขา้ วโพดคัว่ ฯลฯ บางกรณีภาษาผู้รับอาจยืมเสียงบางเสียงของภาษาอื่นที่ไม่มีในภาษาผู้รับมาใช้เพื่อแสดงภูมิรู้ ดังกล่าว เช่น กรณีคนไทยท่ีรู้ภาษาอังกฤษพยายามออกเสียงพยัญชนะท้าย /-s/ และ /-l/ ในคาว่า เทนนสิ แกส๊ บัสแอลกอฮอล์ บอล ฯลฯ เพื่อแสดงว่าเป็นผรู้ ภู้ าษาอังกฤษดี สรุป เหตุท่ีทาให้เกิดการยืมภาษาระหว่างภาษาผู้ให้ และภาษาผู้รับ เกิดจากเหตุผลหลัก ๆ 2 ประการคือ 1) เหตุผลด้านความจาเป็น เนื่องจากภาษาผู้ให้เป็นเจ้าของความคิดทางศาสนา ปรัชญา ค่านิยม อาหาร วิทยาการ ฯลฯ ซึ่งภาษาผู้รับไม่มีจึงยืมมาใช้ด้วยความจาเป็น 2) เหตุผลด้านจิตวิทยา ภาษาผู้ให้ เป็นผู้ครอบครองความรู้ ความคิด วิทยาการ ฯลฯ ซ่ึงภาษาผู้รับไม่มีจึงเกิดการยืม ท่ีสืบเนื่องมาจากค่านิยมและทัศนคติ อันก่อให้เกิดผลการยืมในลักษณะต่าง ๆ ได้แก่ การยืมคาศัพท์ พน้ื ฐาน การยืมคาท่มี ีศกั ดิส์ งู การยืมมาใช้เป็นศัพทใ์ นวรรณคดี และการยมื เพ่อื แสดงภูมริ ู้ การยืมดงั กล่าว ทาให้เกิดการยืมภาษาเกินความจาเป็น เช่น การท่ีภาษาผู้รับใช้ศัพท์จากภาษาผู้ให้ที่มีความหมาย เหมอื นกนั ทงั้ 2 ฝา่ ย เป็นตน้ 4. ประเภทของการยมื ภาษา การยืมภาษาสามารถจาแนกได้หลายลักษณะโดยใช้เกณฑ์ที่แตกต่างกัน ในท่ีน้ีจาแนกโดยใช้ เกณฑ์พิจารณาจากประเภทขององค์ประกอบต่าง ๆ ของภาษาท่ียืมกับประเภทของภาษาท่ียืมซึ่ง อนนั ต์ เหล่าเลิศวรกลุ (2555: 105-109) ไดส้ รุปประเภทของการยมื ภาษาไวด้ ังน้ี 4.1 ประเภทของการยืมภาษาจาแนกตามองคป์ ระกอบต่าง ๆ ของภาษาท่ยี ืม 4.1.1 การยืมคา คือ การยืมท้ังรูปและความหมายมาใช้ การยืมรูปคาน้ันคงเดิมหรือ เปลีย่ นแปลงเลก็ น้อย แต่ความหมายของคาทีย่ มื ตอ้ งไม่มกี ารเปล่ียนแปลง 4.1.2 การยืมความหมาย คือ การที่ภาษาผู้รับ ยืมเฉพาะความคิด (ความหมาย) ของคา โดยไมย่ มื รูป (ท้ังรปู เขียนและเสียง) มาด้วย หรือภาษาผรู้ ับสรา้ งคาลอกเลยี นแบบคาในภาษาผใู้ ห้ยืมภาษา โดยนาคาท่ีมีความหมายเดียวกับคาในภาษาผู้ให้มาประกอบกัน บางคร้ังอาจเรียกว่า การยืมแบบแปล เช่น honey moon - นา้ ผึ้งพระจนั ทร์ sea lion– สงิ โตทะเล black market – ตลาดมดื ฯลฯ 4.1.3 การยืมเสียง คือ การรับเสียงบางเสียงซึ่งมีในภาษาผู้ให้ยืม แต่ไม่มีในภาษาผู้รับมา ใช้ เชน่ ภาษาไทยยมื พยัญชนะควบกลา้ ในภาษาองั กฤษมาใช้ เช่น ทร- บร- บล- ฟร- ดร- เป็นตน้ ตวั อยา่ งคา ไดแ้ ก่ ทร- เช่น จนั ทรา ทริป อนิ ทรยี ์ บร- เชน่ เบรก แบรนด์ บล- เช่น บลอ็ ก บลู ฟร- เชน่ ฟรี ฟรักโทส ดร- เชน่ ดรอป ดรามา ดรมี ฯลฯ

15 4.1.4 การยืมตัวอักษร คือ การนาตัวอักษรของภาษาผู้ให้ยืมมาใช้ในภาษาผู้รับ การยืม ตวั อักษรมักเกิดข้ึนเม่ือภาษาผรู้ ับไมม่ ีระบบการเขยี นเป็นของตนเอง เช่น ภาษาพมา่ ยืมตัวอักษรมอญไปใช้ และปรับเป็นตวั อักษรพมา่ เปน็ ต้น 4.1.5 การยืมสานวน คือ การที่ภาษาผู้รับยืมสานวนซ่ึงไม่มีในภาษาของตนมาจากภาษา ผู้ให้ เช่น ภาษาไทยยืมสานวนภาษาจีน เช่น หนทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน ไม่เข้าถ้าเสือ ก็ไม่ได้ ลูกเสือ ยืมจากสานวนภาษาอังกฤษ เช่น แพะรับบาป น้าตาจระเข้ ยืมจากภาษาบาลีสันสกฤต เช่น ฉันใดฉันน้ัน เปน็ ตน้ 4.1.6 การยืมไวยากรณ์ คือ การที่ภาษาผู้รับนากลวิธีในการสร้างคาใหม่ วิธีการเรียงคาใน ประโยค เป็นต้น ของภาษาผู้ให้มาใช้ เช่น ภาษาไทยยืมการประกอบหน่วยคาเติมกลางจากภาษาเขมรมา ใช้ หรือยืมวิธีการประสมคาของภาษาบาลีและภาษาสันสกฤต ซึ่งเรียกว่า “สมาส” มาสร้างคาสมาส โดยภาษาไทยสร้างเลียนแบบภาษาบาลีและภาษาสันสกฤต ซ่ึงบางคาท่ีนามาสร้างจะประสมกับ คาภาษาไทยบา้ ง ภาษาเขมรบ้าง 4.1.7 การยืมฉันทลักษณ์ คือ การนารูปแบบและข้อกาหนดในการแต่งบทร้อยกรอง จากภาษาผู้ให้ยืมมาใช้ในภาษาผู้รับ เช่น ภาษาไทยยืมรูปแบบและข้อกาหนดในการแต่งบทร้อยกรอง ประเภทฉันท์มาจากภาษาบาลี ซ่ึงคาประพันธ์ประเภทฉันท์มาจากภาษาสันสกฤต ภาษาบาลีรับมาจาก ภาษาสันสกฤตอีกต่อหน่ึง ภาษาไทยไม่ได้รับจากสันสกฤตโดยตรง จึงยังคงใช้ชื่อฉันท์ส่วนใหญ่ตามแบบ ของภาษาบาลี เช่น วสันตดลิ ก สาลนิ ี สัททลุ วิกีฬติ เป็นต้น วิไลศักด์ิ ก่ิงคา (2556 : 10-11) มีความเห็นสอดคล้องกับองค์ประกอบต่าง ๆ ของการยืมภาษา ข้างต้น กล่าวคือการพิจารณาลักษณะของภาษาไทยท่ีใช้อยู่ในปัจจุบันน้ี จะเห็นว่าส่วนใหญ่ไม่ได้เป็น คาไทยอย่างแท้จริง เป็นคายืมภาษาต่างประเทศใชป้ ะปนอยู่ จนเกือบแยกไม่ออกวา่ คาใดเป็นคาภาษาไทย คาใดเป็นคาภาษาตา่ งประเทศ เพราะเรายมื มาเปน็ เวลานาน และได้ปรบั ปรุงเปลยี่ นแปลงคาที่ยมื มาใชน้ ั้น ให้มีลักษณะผสมกลมกลืนกับภาษาไทยเป็นอย่างดี ซ่ึงการยืมส่วนใหญ่เป็นการยืมคา ส่วนเรื่องเสียง คา ไวยากรณห์ รอื โครงสร้างการเรียงคาน้นั เปน็ ผลที่ได้รบั จากการยืมคา มี 3 ลักษณะดังน้ี 1. การทับศัพท์ เป็นวิธีการยืมคาจากภาษาหน่ึงเข้าไปใช้ในอีกภาษาหนึ่งโดยตรงไม่มี การเปลี่ยนแปลงรูปคอื พยายามรกั ษาลักษณะเดน่ ของภาษาเดิมเอาไว้ เช่น เทนนิส = tennis กีวี = kiwi เทอม = term วญิ ญาณ = วญิ ฺญาณ 2. การแปลศัพท์คายืม หมายถึง การยืมความหมายของอีกภาษาหน่ึงมาใช้ โดยการแปล ความหมายของศัพท์ชนิดคาต่อคา เรอ่ื งเสียงไม่สาคัญ การแปลศัพท์มกั แปลคาประสมหรือสานวนการพูด เช่น

16 black sheep = แกะดา weekend = วนั สุดสปั ดาห์ standpoint = จุดยนื 3. การยืมความหมาย หมายถึง การยืมความหมายซึ่งเดิมไม่มีใช้อยู่ในภาษา และสร้างคาข้ึนมา ใหมเ่ พ่ือใช้กับความหมายที่ยืมมา ส่วนมากคาทใ่ี ชเ้ ฉพาะในวงการศกึ ษาวิชาการต่าง ๆ ทีต่ ้องอาศัยความรู้ จากตา่ งประเทศ เชน่ ศพั ทใ์ นวงการแพทย์ การศึกษาการเมือง เช่น ทกั ษะ ยืมความหมายมาจากคาวา่ Skill ทดสอบ ยืมความหมายมาจากคาวา่ test รายงาน ยืมความหมายมาจากคาวา่ report จ ากตั วอ ย่ างดั งกล่ าว จ ะเห็ น ว่ าเป็ น กา รบั ญ ญั ติ ศัพ ท์ ขึ้น มา ใช้ ให้ มีคว า มห ม าย ต รงกับ ค าเดิ ม ซ่ึงคาศัพทจ์ ะมีท้ังคาไทยและคาบาลี สันสกฤต คณะกรรมการบัญญัตศิ ัพท์ได้วางเกณฑ์ในการบัญญัติศัพท์ ภาษาไทยโดยประกาศสานกั นายกรฐั มนตรี 2.2 ประเภทของการยมื ภาษาจาแนกตามภาษาทีย่ มื 2.2.1 การยมื จากภาษาตา่ งประเทศ การยืมภาษาส่วนใหญ่มักเกิดจากการยืมภาษาต่างประเทศ คือ การยืมคาจากภาษาซึ่งไม่มี ความสมั พันธ์กนั ทางเช้ือสาย ตัวอย่างการยืมภาษาประเภทนี้พบได้มากมายในคาภาษาต่างประเทศที่ใช้อยู่ ภาษาใดภาษาหนง่ึ ตวั อย่างคายมื ภาษาต่างประเทศต่าง ๆ ที่ใช้ในภาษาไทย เชน่ กา๊ ซ ‹ gas (ฝรง่ั เศส) กิมจิ ‹ kimchi (เกาหล)ี ฉลาด ‹ ฉลฺ าต (เขมร) 2.2.2 การยืมภาษาถ่ิน คือ การยืมจากภาษาย่อย (dialect) ของภาษาเดียวกันซึ่งแปรไป ตามถิ่น เช่น ภาษาไทยมาตรฐานมีภาษาย่อยท่ีแปรไปตามถิ่นใหญ่ ๆ 4 ถิ่น ได้แก่ ภาษาไทยถ่ินกลาง ภาษาไทยถ่ินเหนือ ภาษาไทยถน่ิ อีสาน และภาษาไทยถิน่ ใต้ นอกจากน้ี ภาษาไทยมาตรฐานยังยืมภาษาถิ่น ทัง้ 4 ถน่ิ นม้ี าใช้เชน่ กัน 2.2.3 การยมื จากภาษาบรรพบุรษุ คอื การยืมจากภาษาโบราณซึ่งเป็นภาษาที่มีความสมั พนั ธ์ ทางเช้ือสายกับภาษาผู้รับ เช่น ภาษาอังกฤษยืมคาจานวนมากจากภาษากรีกและภาษาละตินมาใช้ ในทานองเดียวกันภาษาฮินดียืมคาจานวนมากจากภาษาสันสกฤต และภาษาไทยก็ยืมคาภาษาโบราณ มาใช้ เปน็ ต้น สรุป ประเภทของการยืมภาษาแบ่งได้เป็น 2 ลักษณะ ได้แก่ 1) การยืมภาษาจาแนกตาม องค์ประกอบต่าง ๆ ของภาษาท่ียืม เช่น การยืมคา ความหมาย สานวน ตัวอักษร เป็นต้น 2) การยืม ภาษาจาแนกตามภาษาท่ียืม เช่น การยืมภาษาจากต่างประเทศ การยืมภาษาถิ่น การยืมภาษาจาก บรรพบุรษุ ประเภทการยืมเหล่านจี้ ะเปลย่ี นแปลงเพื่อความสะดวกในการใช้ และเหมาะกับภาษานั้น ๆ

17 สาเหตทุ ่ภี าษาต่างประเทศเขา้ มาปนภาษาไทย จันจิรา จิตตะวิริยะพงษ์ (2556 : 159) กล่าวถึงการนาภาษาต่างประเทศเข้ามาใช้ในภาษาไทย มีสาเหตหุ ลายประการสรุปได้ ดังน้ี 1. สาเหตุทางด้านภูมิศาสตร์ ประเทศไทยมีอาณาเขตติดต่อกับประเทศต่าง ๆ ได้แก่ พม่า ลาว กั มพูชา มาเลเซีย จึงทาให้ คนไทย ท่ีอยู่อาศัยบริเวณชายแดนเดินทางข้ามแดนไปมาหาสู่กันและเกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน ไม่ว่าจะเป็น การข้ามแดนเพื่อเข้ามาหางานทา การท่องเท่ียว การอพยพย้ายถิ่น เป็นต้น เหตุผลดังกล่าวจึงทาให้ เกิดการแลกเปลี่ยนภาษากัน เช่น คนไทยท่ีอยู่ภาคอีสานที่อยู่ในจังหวัด สุรินทร์ บุรีรัมย์ ศรีสะเกษ ก็จะสามารถส่ือสารด้วยภาษาเขมรได้ คนไทยท่ีอยู่ทางภาคใต้ เช่น จังหวัดปัตตานี ยะลา นราธิวาส สงขลา กร็ บั ภาษาชวา มลายูเข้ามาใช้ เปน็ ตน้ 2. สาเหตุทางด้านประวัตศิ าสตร์ สภาพการอพยพโยกย้าย การกวาดต้อนผู้คนพลเมืองในทางประวัติศาสตร์พบว่า ได้มีการอพยพ โยกย้ายกวาดต้อนผู้คนท้ังของไทยไปดินแดนอื่น ๆ เช่น พม่า หรือผู้คนจากดินแดนอ่ืนมาในไทย เช่น จีน เขมร ถ้าหากเรายอมรับว่าดินแดนท่ีเป็นอาณาเขตของประเทศไทยในปัจจุบัน เดิมก่อนที่ไทยจะเข้า ครอบครองก็เคยมีเจ้าของเป็นชนเชื้อชาติอื่น เช่น ขอม มอญ ละว้า เมืองไทยได้อพยพเข้ามาจึงได้รับเอา ภาษาของพวกชนเหล่านั้นเข้าไว้ด้วย ย่อมเป็นเครื่องยืนยันว่า จากความสัมพันธ์ทางด้านประวัติศาสตร์ ทาให้เกิดการยมื ภาษาจากชนชาตอิ ่ืน ๆ ไดเ้ ป็นอย่างดี 3. สาเหตุทางด้านการเมืองการสงคราม และการทาสัมพันธไมตรีกับชาวต่างชาติ เหตุการณ์ทางด้านประวัติศาสตร์ ได้ระบุไว้อย่างชัดแจ้งว่าไทยได้ทาสงครามรบพุ่งกับประเทศเพ่ือนบ้าน เสมอมา เช่น เขมร พม่า และในบางโอกาสก็ได้มีการสร้างสัมพันธไมตรีกับประเทศเหล่าน้ันอีกด้วย และประเทศอื่น ๆ อีก เช่น ฝรั่งเศส โปรตุเกส ฮอลันดา อังกฤษ เป็นต้น ย่อมมีผลทาให้คาของภาษา เหล่าน้ันเข้ามาปะปนอยู่ในภาษาไทย แตเ่ ป็นท่ีน่าสังเกตว่า แม้ไทยจะทาสงครามกับประเทศพม่ามากกว่า ชาติอื่น ๆ แตค่ ายืมจากพมา่ ไมไ่ ด้เข้ามาปะปนกบั ภาษาไทยด้วยสาเหตุทางการเมอื งเป็นสาคัญ 4. สาเหตุทางดา้ นศาสนา ไทยเราได้รับเอาลัทธบิ างอย่างของศาสนาพราหมณ์ซ่ึงเป็นศาสนาของพวกท่ีเปน็ เจ้าของถน่ิ ดั้งเดิม ของสุวรรณภูมิเข้าไว้ และหลังจากน้ันได้รับพระพุทธศาสนาเข้ามาเป็นศาสนาประจาชาติมาต้ังแต่สมัย สุโขทัย จงึ มีคายืมจากภาษาบาลี สนั สกฤต ซึง่ ใช้ในศาสนาพุทธ และศาสนาพราหมณ์ ปะปนกบั ภาษาไทย มาตั้งแต่แรกเริ่มดังที่กล่าวไว้แล้วในตอนต้น และปัจจุบันคาศัพท์ต่าง ๆ ที่มาจากภาษาบาลี สันสกฤต โดยผ่านภาษา ท้ังสองน้ี ก็มีใช้อยู่ในภาษาไทยเป็นจานวนมาก จนบางครั้งเราลืมไปว่าคาต่าง ๆ เหล่าน้ัน เปน็ คาภาษาไทยทีใ่ ช้แต่เดมิ เพราะใช้กันมายาวนานจนจาไดแ้ ม่นยา และใชม้ าพรอ้ มกับภาษาไทยโบราณ ปัจจุบันไทยเรามีศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจาชาติ แต่ลัทธิบางประการของศาสนาพราหมณ์ ก็ยังคงอยู่กับศาสนาพุทธ และยังเปิดโอกาสให้ศาสนาอื่น ๆ ได้เผยแผ่ในไทยอย่างเสรี เช่น ศาสนาคริสต์ อิสลาม จงึ มคี าศพั ท์ท่ีมาพร้อมกบั ศาสนาเหล่านีเ้ ป็นจานวนมาก เช่น คาทอรกิ เยซู รอมฎอน มสั ยิด ฯลฯ

18 5. สาเหตทุ างดา้ นศลิ ปวัฒนธรรมและขนบธรรมเนยี มประเพณตี ่าง ๆ อิทธิพลทางด้านศิลปวัฒนธรรมและขนบธรรมเนียมประเพณีต่าง ๆ ของอินเดีย มีอิทธิพลเหนือ ดินแดนสุวรรณภูมิเป็นเวลาช้านานแม้ว่าประเทศไทยจะมิได้มีอาณาเขตติดต่อกับอินเดียโดยตรงแต่เรา ก็รับเอาศิลปวฒั นธรรมและประเพณีตา่ ง ๆ ผ่านทางเขมร ลังกา และมลายูอีกทอดหน่ึง การรับเอาศลิ ปวฒั นธรรมและประเพณีต่าง ๆ นั้นเมอ่ื เรารับพระพุทธศาสนาหรือศาสนาพราหมณ์ รับเอาวรรณคดีของอินเดียมา ก็ส่งผลให้วัฒนธรรมบางอย่างมาพร้อมกันด้วย เช่น ประเพณีวันตรุษ วันสงกรานต์ วันสารท ตักบาตรเทโว พิธีพืชมงคล พิธีบูชายัญ เทศน์มหาชาติ พิธีตรียัมปวาย พระราชพิธี อภิเษกสมรส ซ่ึงส่วนใหญเ่ ปน็ ประเพณีท่ีได้รบั จากศาสนา 6. สาเหตุทางด้านธุรกิจ และการติดต่อค้าขาย ประเทศไทยมีการติดต่อกับต่างชาติ ตั้งแต่สมัย พ่อขุนรามคาแหง ซ่ึงติดต่อกับประเทศจีน และสมัยกรุงศรีอยุธยาก็ยังมีชาติตะวันตกประเทศต่าง ๆ เช่น โปรตเุ กส ฮอลนั ดา องั กฤษ ฝรั่งเศส ฯลฯ เข้ามาติดต่อค้าขายกบั ประเทศไทย ภาษาจงึ เปน็ เคร่ืองมือสาคัญ ในการติดต่อสื่อสาร ตกลงเร่ืองกิจการค้าขาย หรือโฆษณาสินค้าซ่ึงกันและกัน ทาให้ภาษาของชาตินั้น ๆ เข้ามาปะปนกับภาษาไทยเป็นจานวนมาก และโดยเฉพาะในปัจจุบันกิจการทางธุรกิจการค้าของไทย มีผู้ลงทุนเป็นชาวจีนเสียส่วนใหญ่ ดังนั้นภาษาท่ีใช้ในการติดต่อซื้อขายจึงนิยมใช้ภาษาจีนเป็นหลัก โรงเรยี น ที่สอนเก่ยี วกบั การค้าขาย จงึ สอนภาษาจนี ด้วย แม้คนไทยเองท่ีไม่ไดม้ ีอาชพี เก่ียวกับการค้าขายก็ มีศัพท์เก่ียวกับการค้าขาย ซ่ึงเป็นคายืมภาษาจีนท่ีพบใช้ในชีวิตประจาวัน เช่น หยวน ตุน โสหุ้ย ตั๋ว เซ้ง เถ้าแก่ ฯลฯ 7. ความสัมพนั ธส์ ่วนตัว มกี ลมุ่ คนไทยหลายกลมุ่ ที่เดินทางไปใช้ชีวิตต่างแดน และได้แตง่ งานกับ ชาวต่างชาติ คนไทยตามบริเวณชายแดนอาจแต่งงานกับชาวมลายู พม่า เขมร หรืออาจแต่งงานกับ ชาติอื่น ๆ เช่น จีน อังกฤษ ฝรั่งเศส ก็มีผลทาให้ภาษาของชาติเหล่าน้ันปะปนกับคาภาษาไทยได้ เช่น คนท่ีแต่งงานกับชาวอังกฤษ สามารถพูดได้ท้ังภาษาไทยและภาษาอังกฤษ อาจพูดภาษาไทยปนกับ ภาษาองั กฤษได้ หรอื คนไทยที่แต่งงานกับคนจีน ก็มีการนาคาเรยี กเครือญาติมาใช้ เช่น อาม่า อากง หมวย ซอ้ เฮีย เปน็ ต้น 8. สาเหตุทางด้านการศึกษา การศกึ ษาแตเ่ ดิมของคนไทยมีการศึกษาเลา่ เรียนท่ีวดั ฉะนนั้ ภาษา ท่ีใช้เล่าเรียน คือ ภาษาบาลี เขมร ต่อมาเม่ือการศึกษาได้มีความเจริญก้าวหน้ามากขึ้นวิทยาการต่าง ๆ รบั มาจากต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศทางตะวันตก ตาราวิชาการที่เป็นภาษาต่างประเทศ เช่น ตารา แพทย์ ตาราเคร่ืองจักรกลของเยอรมัน ตาราการปกครองของอังกฤษและฝรั่งเศส หรือตาราอาหารของ ญ่ีปุ่น และจีน เม่ือประชาชนมีการศึกษาในระดับท่ีสูงขึ้น มีโอกาสท่ีจะได้ไปศึกษาต่อยังต่างประเทศมาก ขึ้น ทาให้การติดต่อกับชาตินั้น ๆ กระทาได้สะดวก และมีโอกาสได้ศึกษาภาษาชาติต่าง ๆ หลายชาติ ประกอบกับภาษาอังกฤษเป็นภาษาสากลท่ีทั่วโลกยอมรับใช้เป็นภาษากลางในการส่ือสารกัน จึงมี การศึกษาภาษาอังกฤษโดยตรง อันเป็นผลทาให้ภาษาองั กฤษเข้ามาปะปนกับภาษาไทยมากขึ้นโดยเฉพาะ ในปัจจุบัน และยังมีอิทธิพลต่อภาษาท้ังด้านเสียง ศัพท์ ความหมาย และโครงสร้างประโยค ของภาษาไทยด้วย

19 9. ความเจริญทางด้านเทคโนโลยีต่าง ๆ ประเทศไทยเป็นประเทศท่ีกาลังพัฒนาความเจริญ ทางวทิ ยาการด้านต่าง ๆ เรารบั เอาส่ิงที่เป็นความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีจากประเทศที่เจริญแล้วมา ใช้ ส่ิงของและความคิดต่าง ๆ เหล่านน้ั เปน็ สิ่งท่ีไทยเราไม่เคยมใี ช้มาก่อน ฉะนั้นเมื่อเรารับเอาวัตถุส่ิงของ และความคิดอันเป็นของใหม่เหล่านั้นเข้ามา จึงพลอยรับเอาภาษาของเจ้าของความคิดนั้น ๆ เข้ามาด้วย โดยเฉพาะคาศัพท์จากทางตะวันตก ได้แก่ ภาษาอังกฤษ ฝรั่งเศส และศัพท์ที่รับเข้ามามักเป็นศัพท์ท่ีใช้ เหมือนหรือใกลเ้ คยี งกับภาษาเดมิ บา้ ง บญั ญัติศัพทข์ ึน้ ใชใ้ หม่บ้าง หรือแปลความหมายของศพั ทเ์ ดมิ บ้าง สรุปได้ว่าการยืมภาษานั้นเป็นการรับเอาภาษาอื่นมาใช้ด้วยสาเหตุต่าง ๆ ได้แก่ สาเหตุทางด้าน ภูมิศาสตร์ ด้านประวัติศาสตร์ ด้านการเมือง การสงคราม และการเจริญสัมพันธไมตรีกับชาวต่างชาติ ด้านศาสนา ด้านศิลปวัฒนธรรมและขนบธรรมเนียมประเพณีต่าง ๆ ด้านธุรกิจและการติดต่อค้าขาย ด้านความสัมพนั ธ์สว่ นตวั ด้านการศึกษา และดา้ นความเจรญิ ทางด้านเทคโนโลยีต่าง ๆ สรุป การยืมภาษา คือ การรับเอาภาษาผู้ให้ มาใช้ในภาษาผู้รับทาให้ภาษานั้นมีคาศัพท์เพิ่มมากขึ้น การยืมนั้น ผู้ยืมอาจใช้วิธียืมให้เหมาะแก่การใช้ในภาษาของตนมีหลายวิธี ได้แก่ การยืมเสียง การยืมคา การยมื ความหมาย การยืมประโยค การยืมสานวน และบางครั้งยังรบั เอาไวยากรณ์ภาษาคายืมนนั้ มาดว้ ย ซ่ึงการรับภาษาอื่นเข้ามาปะปนในภาษาไทยนั้นมีสาเหตุหลายประการ ได้แก่ สาเหตุทางประวัติศาสตร์ สาเหตุด้านการเมือง การสงคราม สาเหตุด้านประเพณีวัฒนธรรม สาเหตุด้านการค้าขาย สาเหตดุ ้านการ ทูต สาเหตุดา้ นการศกึ ษา และสาเหตุด้านความเจริญดา้ นเทคโนโลยตี า่ ง ๆ การรับภาษาต่างประเทศเข้ามาปะปนเช่นน้ีมีการรับมายาวนาน แสดงถึงพัฒนาการทางด้าน ภาษาว่ามีการเปล่ียนแปลง ตามยุคสมัย เมื่อมีภาษาท่ีสูญหายไป ก็ย่อมมีภาษาที่เพิ่มเข้ามาทาให้ภาษา ไม่ขาดแคลนสามารถใชส้ ือ่ สารกันได้เป็นอยา่ งดี คาถามทบทวน 1. การยมื ภาษาหมายถึงอะไร 2. เพราะเหตใุ ดต้องมีการยืมภาษาอน่ื เข้ามาใช้ในภาษาไทย 3. คาว่า movie star แปลวา่ ดาราภาพยนตร์ มลี กั ษณะของการยืมคาในลักษณะใด 4. คาว่า Internet ไทยใช้ อนิ เทอร์เน็ต มีลักษณะของการยืมคาในลักษณะใด 5. ภาษาต่างประเทศที่มอี ิทธพิ ลต่อภาษาไทย ไดแ้ ก่ภาษาอะไรบา้ งยกตวั อย่างคาประกอบ 6. ประเภทของการยืมภาษาจาแนกตามองค์ประกอบของภาษาท่ียืม มีอะไรบ้าง 7. การยมื เสยี ง มีลกั ษณะอย่างไร

20 8. นักศึกษาคิดว่า การเรียงลาดับประโยคในภาษาข่าว เช่น “7 นักศึกษาค้ายาบ้า” เป็นการยืม ประเภทใด 9. ประเภทการยมื ภาษาตามภาษาทย่ี มื มอี ะไรบ้าง อธิบาย 10. สาเหตทุ ี่ภาษาต่างประเทศเขา้ มาปนภาษาไทยมีอะไรบา้ ง

21 บทท่ี 3 คำยืมภำษำบำลี สนั สกฤตในภำษำไทย ภาษาบาลีสันสกฤตถือได้ว่าเป็นภาษาที่มีอิทธิพลต่อภาษาไทยมากท่ีสุด และมีความสัมพันธ์ กับไทยมาเป็นเวลาช้านาน คนไทยใช้คายืมภาษาบาลี สันสกฤตทั้งภาษาพูดในชีวิตประจาวัน การต้ังชื่อ การศึกษา และการแต่งคาประพันธ์ ซึ่งสาเหตุสาคัญท่ีทาให้คายืมบาลี สันสกฤตเข้ามา ปะปนในภาษาไทยคือ ศาสนา ประเพณีวัฒนธรรม กล่าวคือ คนไทยส่วนมากนับถือพระพุทธศาสนา หลักคาสอนทางพุทธศาสนาได้จารึกไว้ด้วยภาษาบาลี สันสกฤตใช้เผยแผ่คาสอนของพระพุทธเจ้า ด้วยอิทธิพลดังกล่าวทาให้ภาษาไทยเกิดการเปล่ียนแปลงหลายประการ เช่น มีคาหลายพยางค์ มตี ัวสะกดไมต่ รงตามมาตรา นอกจากน้ีไทยเรายงั ใช้ภาษาบาลี สนั สกฤตมาบญั ญัติศพั ท์อกี ดว้ ย ควำมเปน็ มำของคำยมื ภำษำบำลี สันสกฤต อนันต์ เหล่าเลิศวรกุล (2555 : 113-115) ได้กล่าวถึงความเป็นมาของคายืมภาษาบาลี สันสกฤตในภาษาไทย พอสรุปได้ว่าในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ดินแดนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีการ ตดิ ต่อสัมพันธ์กบั อนิ เดียและได้นาอารยธรรมอินเดียทั้งดา้ นความเชอ่ื ศาสนา ภาษา ความคดิ เกี่ยวกับ เมืองและรัฐ ฯลฯ เข้ามาเผยแพร่ในดินแดนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อารยธรรมดังกล่าวเป็นปัจจัย สาคัญที่ช่วยก่อกาเนิดอารยธรรมเมืองของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในยุคเร่ิมแรก ดังน้ันภาษาท่ีสาคัญ ของอินเดยี ได้แก่ ภาษาบาลี สันสกฤตจงึ เข้ามามีอิทธพิ ลตอ่ ภาษาของชาตติ ่าง ๆ ในประเทศไทย พบหลักฐานที่เป็นจารึกรุ่นแรก ๆ มีเน้ือหาทางศาสนา จารึกที่พบมากท่ีสุด ได้แก่จารึกท่ีบันทึกคาของ พระอัสสชิ ซึ่งสรุปคาสอนของพระพุทธเจ้าให้พระสารีบุตรสมัยท่ีเป็น อปุ ติสสมานพ ฟัง จารกึ น้ีคนไทยนิยมเรยี กวา่ จำรึกคำถำ เย ธมฺมำ พบมากกว่า 20 หลักเม่ือคนไทย ตั้งถ่ินฐานในบริเวณประเทศไทย (ไม่ว่าจะอยู่ท่ีดินแดนแถบนี้มาแต่เดิมหรืออพยพมาจากที่อื่น) ภาษาไทยก็นา่ จะได้รบั อทิ ธิพลจากภาษาบาลี สันสกฤตต้ังแตก่ ่อนเกิดอาณาจักรสโุ ขทัยซึง่ เปน็ รัฐอสิ ระ ของไทยแห่งแรกในดินแดนนี้ ไม่ว่าจะรับอิทธิพลจากอินเดียโดยตรงหรือรับผ่านภาษาของชนชาติอ่ืน เชน่ ขอม เป็นตน้ ในเอกสารตัวเขียนภาษาไทยไม่มีเอกสารใดเก่าไปกว่า ศิลำจำรึกหลักที่ 1 ของพ่อขุน รามคาแหง ซ่ึงแสดงให้เห็นว่าภาษาบาลี สันสกฤตมีอิทธิพลต่อภาษาไทยมากแล้ว ตัวอย่าง เช่น ศีล ทาน ศาสนา พระพทุ ธรูป (ถ่นิ )ฐาน ฯลฯ เน้ือหาในจารึกและวงศัพท์ภาษาบาลี สันสกฤตในเอกสารตัวเขียนสมัยแรก ๆ ทาให้เชื่อว่า การรับภาษาบาลี สันสกฤตเข้ามาใช้ในภาษาไทยเป็นความจาเป็นอันเนื่องมาจากการรบั ความเชื่อทาง

22 ศาสนาท้ังศาสนาฮินดู และพุทธศาสนา (เถรวาท อาจารยวาท และอ่ืน ๆ) ได้เข้ามาสู่ดินแดนเอเชีย ตะวนั ออกเฉียงใตแ้ ละไดก้ ลายเป็นรากฐานความคดิ ความเชื่อท่ีสาคัญของคนไทย ผสมผสานกับความเชื่อ ดั้งเดิม ภาษาบาลีสันสกฤตในฐานะส่ือทางความคิดของอินเดียโบราณจึงไหลบ่าเข้ามาสู่ภาษาไทย และมีอิทธพิ ลอย่างมากตอ่ ภาษาไทย ตงั้ แต่อดตี ถึงปัจจุบนั สำเหตุท่ีคำภำษำบำลี สนั สกฤตเข้ำมำปะปนภำษำไทย จริ วัฒน์ เพชรรัตน์ และอัมพร ทองใบ(2556 : 112-113) กล่าวถึงสาเหตุที่ภาษาบาลี สันสกฤต เขา้ มาปะปนในภาษาไทยซ่ึงถอื ได้วา่ มีมากกว่าคาภาษาอ่ืน ๆ น้ัน เนอื่ งมาจากสาเหตหุ ลายประการ ดังน้ี 1. ควำมสัมพันธ์ทำงด้ำนศำสนำ ภาษาสันสกฤตเข้ามาสู่ภาษาไทย เพราะภาษาสันสกฤต เป็น ภาษาท่ีพราหมณ์ใช้สอนศาสนาพราหมณ์ ซึ่งศาสนาน้ีเข้ามาก่อนสมัยสุโขทัย ส่วนภาษาบาลี เป็นภาษา ประจาศาสนาพทุ ธ เข้ามาในภาษาไทยพรอ้ มกับการรับนับถือศาสนา และเขา้ มาหลงั ภาษาสันสกฤต ถ้าคา ใดออกเสียงเหมือนกันทั้งภาษาบาลี และสันสกฤตเรามักใช้รปู สันสกฤต เช่น ภาษา อากาศ อาศัย ฯลฯ แต่ถ้าเมอ่ื ใดคาบาลอี อกเสยี งง่ายกว่าเราจะรับคาบาลแี ทน 2. ควำมสัมพันธ์ด้ำนประเพณี เม่ือชนชาติอินเดียเข้ามาอยู่ในประเทศไทย ก็ได้นาประเพณี ของตนเข้ามาด้วย ทาให้มีคาที่เกี่ยวข้องกับประเพณีเข้ามาปะปนในภาษาไทย เช่น มาฆบูชา อาสาฬหบชู า พระราชพธิ ีอภิเษกสมรส ตักบาตรเทโว บชู ายัญ ฯลฯ 3. ควำมสัมพันธ์ด้ำนวัฒนธรรม อินเดียเป็นประเทศที่เจริญทางวัฒนธรรมมานาน ไทยได้รับ อิทธิพลจากอารยธรรมของอินเดียหลายสาขา ได้แก่ ศิลปะ คาท่ีเกี่ยวข้อง เช่น มโหรี สังคีต ดุริยางค์ ดาราศาสตร์ เช่น จักราศี สุริยคติ จันทรคติ อัง พุธ เกตุ องศา มีนาคม ธนู มงั กร จันทรคราส ฯลฯ การแต่งกาย เช่น มงกุฎ ชฎา สังวาล มาลา ภูษา หางหงส์ สุคนธ์ อาภรณ์ พัสตรา มรกต เพชร ฯลฯ ส่ิงก่อสร้าง เช่น อาสน์ ศาลา ปราสาท บุษบก สถูป เจดีย์ เคหะ อาวาส อาศรม มุข จัตุรมุข วหิ าร บัลลงั ก์ ฯลฯ และเคร่อื งมือเคร่อื งใช้ เช่น ศร อาวุธ ทพั พี โตมร คนโท ฉตั ร ธนู จกั ร ขรรค์ ฯลฯ 4. ควำมสัมพันธ์ทำงด้ำนวรรณคดี วรรณคดีอินเดียมีอิทธิพลต่อวรรณคดีไทยอย่างยิ่ง เม่ือ วรรณคดีเหล่าน้ีมาแพร่หลายในเมืองไทย ทาให้เกิดศัพท์มากมาย เช่น ราม สีดา ครุฑ คนธรรพ์ สุเมรุ อโนดาต หิมพานต์ อัปสร ฉันท์ กาพย์ อลงั การ ชาดก ฯลฯ ลกั ษณะภำษำบำลี สนั สกฤตในภำษำไทย 1. ลักษณะทำงรูปเขียน ลักษณะเฉพาะทางรูปเขียนของคายืมภาษาบาลีและสันสกฤตภาษาไทยท่ีจะกล่าวถึงต่อไปนี้ เป็นลักษณะที่พบในภาษาไทยปัจจุบัน หากดูในเอกสารโบราณไม่ว่าจะเป็นจารึก ใบลาน สมุดข่อย จะพบวิธีการเขียนคายมื ภาษาบาลแี ละสนั สกฤตแตกต่างไปจากท่ีใชอ้ ยู่ในปัจจบุ ัน

23 รูปเขียนคายืมภาษาบาลีและสันสกฤตในปัจจุบันน้ัน ส่วนใหญ่ใช้ตามรูปเขียนภาษาบาลี และสันสกฤตเดิม โดยไม่คานึงว่าคาภาษาบาลีและสันสกฤตเดิมจะออกเสียงอย่างไร ( อนันต์ เหลา่ เลิศวรกลุ , 2555 : 119 – 132) 1.1 การใชอ้ กั ษรบางตวั ท่ีไม่นิยมใช้เขียนคาภาษาไทย อักษรบางตัวท่ีพบมากในคายืมภาษาบาลีและสันสกฤต แต่พบน้อยหรือบางตัวไม่พบในคา ภาษาไทยเลย ไดแ้ ก่ ฆ ฌ ฎ ฏ ฐ ฑ ฒ ณ ภ ศ ษ ฬ ฤ ฤๅ ตวั อักษร คำยืมภำษำบำลแี ละสนั สกฤต คำภำษำไทย ท. ฆาต < บ. ส. ฆาต ฆ่า เฆ่ียน ท. เมฆ < บ. ส. เมฆ < บ. วยฺ คฆฺ พยฺ คฺฆ ฆอ้ ง ฆ ท. พยัคฆ์ < บ. ฆราวาส ท. ฆราวาส < บ. ฆาน ท. ฆาน ท. ฌาน < บ. ฌาน ฌ ท. อัชฌาสัย < บ. อชฺฌาสย < บ. อชฌฺ ตตฺ กิ ท. อชั ฌาสยั ท. ฎีกา < บ. ส. ฎีกา ท. กุฎี < บ. ส. กุฏิ กุฎี ฏ ท. ชฎา < บ. ส. ชฏา ท. กรกฎา < ส. กรกฺ ฎ ท. ราษฎร < ส. ราษฺฏฺร ท. กุฏิ < บ. ส. กุฏ-ิ กุฎี ท. ปฏิกลู < บ. ปฏกิ ฺกูล ฏ ท. ปฏบิ ัติ < บ. ปฏปิ ตฺติ ท. ปฏิเสธ < บ. ปฏิเสธ ท. ปรากฏ < บ. ปากฎ ปากต ท. ฐาน ฐานะ < บ. จาน ท. ฐติ ิ < บ. ติ ฐ ท. อฐั ิ < บ. อฏฺจิ < บ. รฏฺ ท. รฐั < ส. โอษฺ ท. โอษฐ์ < บ. ป วี ท. ปฐพี < ส. ครุฑ ท. ครฑุ < บ. ส. ปณฺฑติ ท. บณั ฑติ < บ. ส. มณฑฺ ล ท. มณฑล < บ. ส. มณฑฺ ป ฑ ท. มณฑป ท. กรฑี า < ส. กรฺ ีฑา ท. จณั ฑาล < บ. ส. จณฑฺ าล

24 ตัวอกั ษร คำยืมภำษำบำลีและสันสกฤต คำภำษำไทย ฒ ท. วฒุ ิ < บ. วฒุ ิ เฒ่า ณ ท. พัฒนา < บ. วฑฺฒิ ท. สามเณร < บ.สามเณร - ภ ท. ญาณ < บ. าณ ศอก ศกึ ศ ท. ประณาม < ส. ปฺรณาม เศกิ เศร้า ท. ธรณี < บ. ส. ธรณี ษ ท. วญิ ญาณ < บ. วญิ ฺ ณ ท.ภยั < บ. ส. ภย ฤ ท. ครรภ์ < ส. ครฺก ฤๅ ท. ภูมิ < บ. ส. ภมู ิ ท. ภาระ < บ.ส. ภาร ท. ประภา < ส. ปฺรภา ท. ภาษา < ส. ภาษา ท. ศิลา < ส. ศลิ า ท. ศีรษะ < ส. ศรี ฺษ (น)ฺ ท. ศาล < ส. ศาลา ท. ศาสตร์ < ส. ศาสตฺ ฺร ท. ศนู ย์ < ส. ศูนฺย ท. ยศ < ส. ยศสฺ ท. รักษา < ส. รกษฺ า ท. บริษัท < ส. ปรษิ ทฺ ท. บุษบา < ส. ปษุ ฺป ท. อษุ า < ส. อษุ า ท. พิษ < ส. วษิ ท. หฤทัย < ส. หฤทย ท. ทฤษฎี < ส. ทฤษฺฏิ ท. พฤกษ์ < ส. วฤกฺษ ท. ฤทธิ์ < ส. ฤทฺธิ ท. ฤกษ์ < ส. ฤกฺษ ท. นฤบาล < ส. นปาล ท. ฤๅษี < ส. ฤษิ น่าสังเกตวา่ คายมื ภาษาบาลีและสันสกฤตในภาษาไทยบางคา แม้จะใชร้ ปู อักษรท่ีไม่ใช้กับคา ภาษาไทย แตเ่ มือ่ สอบกลบั ไปทร่ี ปู ในภาษาบาลีและสันสกฤต เดิมพบวา่ รูปในภาษาไทยอาจไม่ตรงกบั รูปทใ่ี ช้ในภาษาบาลแี ละสันสกฤตเดิมก็ได้ เช่น ท. นฤบาล < ส. นร – ปาล ท. ฤๅษี < ส. ฤษิ : บ. มจฉฺ า

25 ท. มฤจฉา < บ. มจิ ฉฺ า : ส. มจฉฺ า ท. นฤพาน < ส. นิรวฺ าณ : นิพฺพาน 1.2 การใชต้ ัวการนั ตท์ า้ ยคา คายืมภาษาบาลีและสันสกฤตในภาษาไทยจะมีจุดเด่นที่สังเกตได้ชัดประการหนึ่ง คือ มักใช้ ตัวการันต์ในตาแหน่งสุดท้ายของคา การใช้ตัวการันต์น้ีสัมพันธ์กับการปรับเสียงของคาภาษาบาลีและ สันสกฤตให้เข้ากับระบบเสียงภาษาไทย ด้วยเป็นวิธีลดจานวนพยางค์ของคาภาษาบาลีและสันสกฤตลง เพ่ือใหอ้ อกเสยี งภาษาไทยไดส้ ะดวก เช่น ส. จนทฺ ฺร (2 พยางค)์ > ท. จันทร์ (1 พยางค์) บ.ส. ชวน (3 พยางค์) > ท. เชาวน์ (1 พยางค์) ส. ทรฺ วฺย (2 พยางค)์ > ท. ทรพั ย์ (1 พยางค)์ บ.ส. มรณ (3 พยางค์) > ท. มรณ์ (1 พยางค)์ ส. สตตฺ ฺว (2 พยางค์) > ท. สัตว์ (1 พยางค)์ บ.ส. อาสน (3 พยางค์) > ท. อาสน์ (1 พยางค)์ 1.3 การแทรก ร เข้าภายในคา 1.3.1 คายืมภาษาบาลีและสนั สกฤตในภาษาไทยจานวนมาก ไดแ้ ทรก ร เข้าไปภายในคา คาท่ี มี ร แทรกอยู่นี้ อาจทาให้หลายคนเข้าใจผิดว่า เป็นรูปเดิมของภาษาสันสกฤต ทั้ง ๆ ที่คานั้นอาจยืมมา จากภาษาบาลี เช่น บ. ปาโมชฺช (ส. ปรฺ าโมทยฺ ) > ท. ปราโมช > ท. มารดา บ. มาตา (ส. มาตฤ) บ. วตตฺ (ส. วฺรต) > ท. วัตร ส. ไกลาส (บ. เกฬาส) > ท. ไกรลาส ส. มาตรฺ (< มาตฤ) (บ. มาตุ) > ท. มารดร > ท. วาสุกรี ส. วาสกุ ิ 1.3.2 คาบางคาเมื่อแทรก ร แล้ว จาเป็นต้องปรับรูปเขียนในภาษาไทยไปบ้างเล็กน้อยด้วย เช่น เพมิ่ รปู วิสรรชนีย์ ( -ะ ) หรอื เพิม่ ห ในกรณที อี่ อกเสียงแบบอักษรนา เชน่ บ. ปวตฺติ ; (ส. ปฺรวฤตตฺ ิ) > ท. ประวัติ > ท. ประลาต บ. ปลาต ; (ส. ปลายติ ) บ.ส. กนก > ท. กระหนก ส. ปฏาก , ปตาก (า) (บ. ปฏาก) > ท. ประดาก 1.3.3 คายมื ภาษาบาลแี ละสันสกฤตบางคาใชท้ ั้งรูปทม่ี ี รแทรกและไมม่ ี ร แทรก เชน่ > ท. ปกติ , ปรกติ บ. ปกติ (ส. ปฺรกฤติ) บ.ส นมิ ิตฺต > ท. นิมติ , นมิ ิตร ส. กษฺ ย (บ. ขย) > ท. กษยั . กระษัย

26 ส. การฺษาปณ (บ. กหาปณ) > ท. กษาปณ์ , กระษาปณ์ 1.3.4 คายืมภาษาบาลีและภาษาสันสกฤตใช้ท้ังรูปที่ไม่มี ร แทรก และรูปท่ีมี ร แทรก รูปทไี่ ม่มี ร แทรกเปน็ รูปที่ใช้ในภาษาทัว่ ไป ส่วนรูปทม่ี ี ร แทรก พบในวรรณคดี เชน่ รูปท่ใี ช้ในภำษำท่ัวไป รูปทใ่ี ชใ้ นวรรณคดี กระบาล ส. กปาล > ท. กบาล บ.ส. กลิ > ท. กลี กระลี ส. เกษฺ ม > ท. เกษม กระเษม ส. กษฺ ริ > ท. เกษยี ร กระเษียร ส. กมล > ท. กลม กระมล บ.ส. ปโุ รหติ > ท. ปุโรหิต ประโรหติ ส. ปศุ > ท. ปศุ ประศุ บ.ส. อปุ มา > ท. อปุ มา อปุ รมา 1.3.5 คายืมภาษาบาลีและสันสกฤตบางคาใช้ทั้งมี ร กับรูปที่ไม่มี ร แต่ใช้ต่างความหมายกัน เชน่ บ.ส. มายา > ท. มายา “สิง่ ลวงตาใหเ้ ข้าใจผิดจากความเป็นจรงิ ” มารยา “จริตหรอื การกระทาทแ่ี สรง้ ทาใหผ้ ู้อ่ืนหลงเชื่อ” บ.ส. กนก > ท. กนก “ทองคา” กระหนก “ชือ่ ลายไทยแบบหนง่ึ ” 1.4 ตดั รปู พยญั ชนะท่ีซ้อนกันออกไป คายืมภาษาบาลีท่ีมรี ูปพยัญชนะซ้อนกนั อยู่ ถ้ามีรูปสระตามมา หรือเปน็ ตัวทไ่ี มอ่ อกเสยี งซ่ึง มีรูปเคร่ืองหมายทัณฑฆาตกากับอยู่ หรือมีพยัญชนะอีกตัวหนึ่งเป็นตัวสะกด จะคงรูปพยัญชนะซ้อนไว้ แต่ถ้าไม่มีรูปสระตามมา ไม่มีเคร่ืองหมายทัณฑฆาตกากับ หรือไม่มีตัวสะกดตามมาจะตัดรูปพยัญชนะ ทซี่ ้อนออกไปตัวหนงึ่ เชน่ ใช้รูปพยญั ชนะซ้อน ตัดรปู พยญั ชนะที่ซ้อนออกตัวหนึง่ กิจจา กิจ ทิพพา ทิพ, ทิพรส อตั ตา อตั ลักษณ์ , อตั ชีวประวตั ิ , อัตวินิบาตกรรม สักกะ สักบรรพ สัททะ สัทศาสตร์ , สัทพจน์ สัจจะ , สัจจา สัจธรรม อสั สะ อสั ดร

27 1.5 การใช้รปู วสิ รรชนีย์ 1.5.1 คายมื ภาษาบาลีและสันสกฤตในภาษาไทยปัจจบุ ันมีขนบในการเขียนเฉพาะจะไม่ใชร้ ปู วิสรรชนยี ์ (- ะ ) กลางคา แต่ใชร้ ปู วสิ รรชนยี ์เฉพาะในตาแหนง่ ทา้ ยคา เชน่ ท. รตั นบัลลงั ก์ < บ. รตนปลฺลงฺก เทียบ ท. รัตนะ < บ. รตน ; ส. รตฺน ท. เทวโลก < บ.ส. เทวโลก เทียบ ท. เทวะ < บ.ส. เทว ท. ธรรมศาสตร์ < ส. ธรฺมศาสตฺ ฺร เทียบ ท. ธรรมะ < ส. ธรมฺ ท. สมณพราหมณ์ < บ. สมณพฺราหมฺ ณ เทยี บ ท. สมณะ < บ. สมณ ท. มรณบัตร < บ.ส. มรณ + ส. ปตรฺ เทยี บ ท. มรณะ < บ.ส. มรณ 1.5.2 คาท่ใี ช้รูปวสิ รรชนยี ์กลางคาพบแตใ่ นพยางค์ กระ– และ ประ– ทอ่ี ยู่ตน้ คา เชน่ > ท. กระบาล บ.ส. กปาล ส. การฺษาปณ > ท. กระษาปณ์ ส. กฏุ มฺ ฺพนิ ฺ > ท. กระฎมุ พี ส. ปฺรมาน > ท. ประมาณ ส. ปฺรโยชน > ท. ประโยชน์ ส. ปรฺ สตู ิ > ท. ประสูติ 1.6 ไมใ่ ชเ้ คร่ืองหมายไม้ไตค่ ู้ เครื่องหมายไม้ไต่คู้ ( ) เป็นเคร่ืองหมายที่ใช้เขียนคาท่ีออกเสียงส้ัน ทั้งคาที่เป็นคาภาษาไทยแท้ และคาทย่ี ืมมาจากภาษาตา่ งประเทศอ่ืนซึง่ ไม่ใชค่ าภาษาบาลแี ละสันสกฤต ดงั นี้ คาภาษาไทยแท้ เช่น เปน็ , เหน็ , เซ็น คาภาษาต่างประเทศอนื่ เชน่ เพญ็ < ข. เพญ เซง็ ลี้ < จ. (แตจ้ ิ๋ว) เซ็น < อ. sign ภเู ก็ต < มล. Bukit

28 แต่คายืมจากภาษาบาลีและสันสกฤตจะไม่ใช้เครื่องหมายไม้ไต่คู้ แม้ว่าจะเป็นคาท่ีออกเสียงสั้น กต็ าม เชน่ บ.ส. ปญฺจ > ท. เบญจ- ส. วชรฺ ; บ. วชริ > ท. เพชร บ. วชฌฺ ฆาตก > ท. เพชฌฆาต บ. วจฺจ > ท. เวจ ส. สรวฺ ชฺ > ท. สรรเพชญ 1.7 ไมใ่ ชร้ ูปวรรณยกุ ต์ คายืมภาษาบาลแี ละสันสกฤตในภาษาไทยส่วนใหญเ่ ป็นคาทีไ่ ม่มรี ูปวรรณยุกต์กากบั เช่น บ.ส. ทาน > ท. ทาน มเี สยี งวรรณยุกต์ /สามญั / บ.ส. สทิ ธฺ ิ > ท. สทิ ธ์ิ มีเสียงวรรณยุกต์ /เอก/ บ.ส. ลาภ > ท. ลาภ มีเสยี งวรรณยกุ ต์ /โท/ ส. วรฺ ต > ท. ศีล มีเสยี งวรรณยกุ ต์ /ตร/ี ส. ศีล > ท. ศีล มีเสียงวรรณยุกต์ /จัตวา/ คายืมภาษาบาลแี ละสันสกฤตในภาษาไทยท่ีมีรปู วรรณยุกต์อยู่ด้วย พบไมม่ ากนัก ส่วนใหญ่เป็น คาทใี่ ช้รว่ มกับรูปวรรณยุกต์เอก เช่น บ.ส. เทห > ท. เท่ห์ บ.ส. เลห > ท. เลห่ ์ บ.ส. วาห > ท. พ่าห์ ส. เสฺนห > ท. เสนห่ ์ ส. อตุ ฺสาห > ท. อุตสา่ ห์ 1.8 ใช้รปู รร กับคายืมภาษาสันสกฤต คายมื ภาษาสันสกฤตในภาษาไทย จะใชร้ ปู -รร- (ร หัน) เขียนแทนรปู รฺ (ร เรผะ) ในภาษา สันสกฤตเดมิ ซึ่งมีเสียงสระ /a/ หรอื /aa/ อยู่ขา้ งหนา้ รปู รฺ นน้ั เชน่ ส. กรมฺ นฺ > ท. กรรม ส. จรฺยา > ท. จรรยา ส. ตรฺชะนี > ท. ดรรชนี ส. มรยฺ าทา > ท. มรรยาท , มารยาท ส. ปรวฺ ต > ท. บรรพต ส. สสรฺค > ท. สังสรรค์ ส. ภารยฺ า > ท. ภรรยา 1.9 คายืมทมี่ าจากภาษาบาลีจะตดั รูป ฏฺ หนา้ และรปู ฑฺ หน้า ฒ ออก 1.9.1 คาที่ยืมมาจากภาษาบาลี และในภาษาบาลีใช้รูป ฎฺ เม่ือยืมเข้ามาใช้ในภาษาไทย จะใช้รูปแตกตา่ งกนั ดังนี้ ตัด ฏ ออก ใช้แต่รปู ฐ เม่ือไม่มีรูป -า หรือ - ตามมา เช่น รฐั < บ. รฏฺ รฐั บาล < บ. รฏฺ + บ.ส. ปาล อฐั บริขาร < บ. อฏฺ ปรขิ าร

29 ใชร้ ปู ฏฐ เมอื่ มีรปู -า- , - หรอื - ตามมา เชน่ รฏั ฐาธิปัตย์ < บ. รฏ + ส. อธิปตฺย อฏั ฐังคิกมรรค < บ. อฏฺ งคฺ ิก + ส. มรฺค 1.9.2 รูป ฑฒฺ ในภาษาบาลเี ดิม เมอ่ื ยมื เขา้ มาใชใ้ นภาษาไทยจะลดรปู ฑฺ ออกจนหมด เชน่ ท. วุฒิ , พฒุ ิ < บ. วฑุ ฺฒิ ท. วฒั นา , วัฒน- , พฒั นา , พฒั น์ , พัฒน- < บ. วฑฒฺ น 2. ลักษณะกำรออกเสียง 2.1 เปน็ คาหลายพยางค์ คาส่วนใหญ่ในภาษาบาลีและสนั สกฤตมีลักษณะเป็นคำหลำยพยำงค์ แตกต่างกบั คาส่วนใหญ่ใน ภาษาไทยซึ่งเป็นคำพยำงค์เดียว เม่ือภาษาไทยยืมคาภาษาบาลีและสันสกฤตเข้ามา จะปรับลดจานวน พยางค์ของคาภาษาบาลีและสันสกฤตลงจากคาหลายพยางค์เป็นคาพยางค์เดียวเช่นเดียวกับคาส่วนใหญ่ ในภาษาไทย 2.1.1 คาภาษาบาลแี ละสันสกฤต 2 พยางค์ กลายมาเป็นคาภาษาไทย 1 พยางค์ เช่น บ. ปญุ ญฺ > ท. บุญ /บุน/ บ. รฏฺ > ท. รฐั /รดั / บ.ส. เวลา > ท. เพล /เพน/ บ.ส. จิตต > ท. จติ /จิด/ 2.1.2 คาภาษาบาลแี ละสนั สกฤต 3 พยางค์ กลายมาเปน็ คาภาษาไทย 1 พยางค์ เชน่ ส. ครฑุ > ท. ครฑุ /ครุด/ บ. สารท > ท. สารท /สาด/ บ.ส. วจน > ท. พจน์ /พด/ 2.2 เป็นคาท่มี ีพยางคเ์ บา 2 พยางคเ์ รยี งกัน คายมื ภาษาบาลีและสนั สกฤตในภาษาไทยบางคามลี กั ษณะเปน็ พยางค์แบบพิเศษทไ่ี มพ่ บในคา ภาษาไทยมาก่อน คอื เป็นคาพยางค์เบา 2 พยางคเ์ รยี งกัน เช่น บ. กิริยา >ท. กิริยา /กิ-ร-ิ ยา/ บ.ส. ปริยาย >ท. ปริยาย /ปะ-ร-ิ ยาย/ ส. รตฺนตฺรย >ท. รตั นตรยั /รัด-ตะ-นะ-ตรัย/ ส. ศิลปฺ + ศาสตฺ รฺ >ท. ศลิ ปะศาสตร์ /สิน-ละ-ปะ-สาด/ บ. สรณ >ท. สรณะ /สะ-ระ-นะ/ 3. ลักษณะรูปคำ 3.1 ไม่มีหน่วยผนั คาประกอบอยู่ คาของภาษาบาลีและสันสกฤตส่วนใหญ่ เมื่อนาไปใช้จริงจะต้องนาหน่วยผันคาหรือวิภัตติมาประกอบเข้า ท้ า ย ค าเพ่ื อ บ อ ก ค ว าม ห ม าย ท างไว ย า ก รณ์ แ ล ะ เป็ น เค ร่ือ งห ม า ย แ ส ด งค ว า ม สั ม พั น ธ์ ทางวากยสัมพันธ์กับคาอ่ืน ๆ ในประโยค แต่คาในภาษาบาลีและสันสกฤตเกือบท้ังหมดที่ยืมเข้ามาใช้ใน ภาษาไทยจะยืมมาเฉพาะรูปท่ีไม่มีหน่วยผันคาประกอบอยู่ เช่นประโยคภาษาบาลีว่า ราชูน ธน พล“ร้ี พลเป็นทรัพย์ของพระราชาทั้งหลาย” ประกอบข้ึนจากคา 3 คา คาทั้ง 3 นี้ เป็นรูปที่มีหน่วยผัน คาประกอบอยูท่ ้ายคา ดังน้ี

30 ราชา มีหน่วยผนั คา -(อ)ู น ประกอบอย่ขู า้ งท้าย เป็น ราชูน “ ของพระราชา ท้ังหลาย” รูปแสดงความ เปน็ เจา้ ของ พหูพจน์ เพศ ชาย) ธน มหี นว่ ยผันคา - ประกอบอยู่ขา้ งท้าย เป็น ธน“ทรพั ย์” (รปู ส่วนเติมเตม็ เอกพจน์ เพศกลาง) พล มหี นว่ ยผันคา - ประกอบอย่ขู ้างท้าย เป็น พล “รี้พล” (รูปประธาน เอกพจน์ เพศกลาง เมื่อภาษาไทยยืมคาภาษาบาลีและสันสกฤตเข้ามาใช้ในภาษาไทย จะตัดหน่วยผันคาท้ายคาออก ทั้งหมด กลายมาเป็นคายืมในภาษาไทยว่า ราช หรือ ราชา ธน- ธนะ หรือ ธนา และ พล หรือ พละ ตามลาดบั 3.2 คาเดยี วกนั มหี ลายรปู ภาษาบาลีและสันสกฤตเป็นภาษาที่คาสามารถผันรูปไปได้หลายรูปเพ่ือแสดงความหมายทาง ไวยากรณ์และบอกความสัมพันธ์เชิงวากยสัมพันธ์ท่ีแตกต่างกัน คาที่ผันไปแม้จะมีความหมาย ทางไวยากรณ์แตกต่างกนั แตค่ วามหมายประจาคาคงไม่ต่างกัน เช่น ในภาษาบาลี คาว่า ราชาสามารถผัน เป็นรูปต่าง ๆ ได้ 13 รูป ได้แก่ ราชา ราชาน รญฺ ราชินา รญฺโ ราชิโน ราชินิ ราช ราชาโน ราชูหิ รญฺ ราชูน ราชูสุ ทุกรูปมีความหมายประจาคาเหมอื นกันวา่ “พระราชา” คนไทยอาจ สังเกตลักษณะเช่นน้ีของภาษาบาลีและสันสกฤต จึงได้แปรรูปคาภาษาบาลีและสันสกฤตไป ทาให้ได้รูป แปรหลายรูปไปใช้ในความหมายเดียวกัน รปู ที่แปรไปต่าง ๆ น้ี บางรูปก็อาจตรงหรือใกล้เคียงกับรปู ในชุด คาผนั ของคาในภาษาบาลีและสันสกฤต เช่น กาย – กายา – กายิน – กายี – กาเยศ เดช – เดชะ – เดชา – เดโช – เตชะ เทวะ – เทวา – เทวญั – เทเวศ นาค – นาคะ – นาคา – นาคี ชพี – ชวี ะ – ชวี า – ชีวี – ชวี ิน – ชีเวศ โลก – โลกา – โลเกศ อยธุ ย์ – อยุธยา – อยธุ เยศ นอกจากนี้ รปู คายมื ภาษาบาลแี ละสนั สกฤตท่ีแตกต่างกัน ยังทาให้ผบู้ ัญญัติศัพท์ใหม่มีคาจานวน มากเป็นวัตถุดิบในการสร้างคาใหม่ ๆ เช่น คาว่า วจน ในภาษาบาลีและสันสกฤต สามารถดัดแปลงเป็น คาทใ่ี ช้ในภาษาไทยปัจจุบนั ไดห้ ลายรูป ได้แก่ พจน์ ในคาวา่ สทั พจน์ พจนา- ในคาวา่ พจนานุกรม วจนะ ในคาวา่ วจนะ วจั น- ในคาวา่ วจั นกรรม

31 3.3 มรี ูปเหมือนคาภาษาไทยแท้ คาภาษาบาลีและสันสกฤตท่ียืมเข้ามาใช้ในภาษาไทยจะเปลี่ยนแปลงไปจนมีระบบเสียงเข้ ากับ ระบบเสียงของคาภาษาไทยแท้ หลายคามีพยางค์เดียวและมีรูปเขียนท่ีคล้ายคลึงกับคาภาษาไทยแท้มาก คนไทยใชค้ าเหล่าน้ีจนเคยชิน ผู้ท่ีมไิ ด้เรียนภาษาบาลีและสันสกฤตมาโดยตรงอาจเข้าใจว่า คาเหล่าน้ีเป็น คาไทยแท้ได้ เชน่ (รา่ ง) กาย < บ.ส. กาย โกหก < บ.ส. กุหก ครู < บ. ครุ คุรุ ; ส. คุรุ โค < บ.ส. โค ฉาย < บ.ส. ฉายา ธนู < บ.ส. ธนุ นาที < ส. นาฑิ ประปา < ส. ปฺรปา เพล เวลา < บ.ส. เวลา (ยวด) ยาน < บ.ส. ยาน ยาม < บ.ส. ยาม ลามก < บ.ส. ลามก สบาย < บ. สปปฺ าย สันดาน < บ.ส. สนฺตาน อายุ < บ.ส. อายุ สรุปได้ว่า คายืมภาษาบาลี สันสกฤตในภาษาไทยมีลักษณะต่าง ๆ หลายประการ ได้แก่ ลักษณะ ทางรูปเขียน เช่น การใช้อักษรบางตัวท่ีไม่นิยมใช้ในคาไทยแท้ การเติมตัวสะกดการันต์ การแทรก ร เข้าภายในคา ลักษณะทางการออกเสียง เช่น เป็นคาหลายพยางค์ เป็นคาท่ีมีพยางค์เบา 2 พยางค์เรียง กนั และลักษณะรปู คาเชน่ คาเดยี วกันมีหลายรูป บางคามีลักษณะเหมือนคาไทยแท้ เปน็ ตน้ ลักษณะของ คายืมภาษาบาลี สันสกฤตดังกล่าวจะทาให้เรามีแนวทางในการสังเกตว่าคานั้นยืมจากภาษาใด และ สามารถเลอื กคายืมใช้ในภาษาไทยไดอ้ ยากถูกตอ้ ง วธิ กี ำรรับคำภำษำบำลี สันสกฤตมำใช้ในภำษำไทย ภาษาบาลีและสันสกฤต เป็นภาษามีวิภัตติปัจจัยซ่ึงเป็นภาษาต่างตระกูลกับภาษาไทยการนาคา ในท้ัง 2 ภาษามาใช้ จาเป็นต้องเปลี่ยนแปลงให้สะดวกในการใช้ และเข้ากับระบบไวยากรณ์ภ าษาไทย ดังที่ กาชัย ทองหล่อ (2554 : 319-323) ได้อธิบายถึงวิธีการนาคาบาลี สันสกฤตมาใช้ในภาษาไทยซ่ึงมี หลายวิธีสามารถสรุปได้ ดังนี้

32 1. ใช้ตำมรูปเดิมโดยไม่ตัดรูปวิภัตติออก เช่น เดโช/เตโช โทโส โมโห นานาจิตตัง เสโท อนิจจัง อาวโุ ส ฯลฯ 2. ใช้ตำมรูปเดิมแต่ตัดวิภัตติออก เช่น กุมาร โจร ทูต เศรษฐี สุขี ภิกษุ วัตถุ สัญญา ฯลฯ วิธนี ้ใี ชม้ าก 3. ตดั สว่ นหนำ้ ของคำออก ใชแ้ ตส่ ว่ นหลัง เช่น ณรงค์ ตดั มาจาก รณรงค์ เณร ตัดมาจาก สามเณร ตกั ษยั ตดั มาจาก ชพี ิตกั ษัย นุช ตัดมาจาก อนุช ภริ มย์ ตัดมาจาก อภริ มย์ ฤทยั ตดั มาจาก หฤทยั โบสถ์ ตดั มาจาก อโุ บสถ 4. ตดั สว่ นหลงั ของคำออก ใช้แตส่ ว่ นหนา้ เช่น จรลี ตดั มาจาก จรลีลา พารา ตัดมาจาก พาราณสี พินจิ ตดั มาจาก วนิ ิจฉยั อกั โข ตัดมาจาก อกั โขภณิ ี อหิวาต์ ตดั มาจาก อหวิ าตกโรค อโหสิ ตัดมาจาก อโหสกิ รรม 5. แผลงสระและพยญั ชนะ เชน่ เกยี รติ แผลงมาจาก กรี ติ วิเชียร แผลงมาจาก วชริ ะ บรุ ษุ แผลงมาจาก ปุรุษ เบญจ แผลงมาจาก ปญั จ เคราะห์ แผลงมาจาก ครหฺ สรรพ แผลงมาจาก สรวฺ เยาว์ แผลงมาจาก ยวุ 6. เติมทณั ฑฆำตในพยำงคส์ ดุ ท้ำยของคำ เพ่ือลดพยำงค์ให้นอ้ ยลง เช่น สคุ ันธ์ กณั ฑ์ ขัณฑ์ ทันต์ อานนั ท์ สุรีย์ พักตร์ โอษฐ์ ยกุ ต์ ฯลฯ 7. เติมเคร่ืองหมำยวรรณยุกต์ลงไปอย่ำงไทย เพราะภาษาบาลี สันสกฤต ไม่มีระบบเสียง วรรณยกุ ต์ เช่น เทห-เทห่ ์ พุทโธ-พทุ โธ่ รยา-ระยา้ อตุ ฺสาห-อุตส่าห์ เสนห-เสนห่ ์ ฯลฯ 8. เปล่ียนหรือเพ่มิ รูปคำใหเ้ พยี้ นไปจำกเดิม เช่น

33 บำลี สนั สกฤต ไทยใช้ ประจักษ์ ปฏิปกกฺ ข ปรตฺ ฺยกฺษ กระยาจก มารดา ยาจก ยาจก เทพยดา เสลด มาตา มาตฤ ควำมหมำยทีไ่ ทยใช้ เทวตา เทวตา สงสาร เอ็นดู ปราณี เอน็ ดู ปราณีรู้สกึ หว่ งใย เสมหะ เศลฺ ษมฺ สงสาร เอน็ ดู สลดใจทาให้ เกิดสงสาร 9. เปล่ียนควำมหมำยใหผ้ ดิ ไปจำกเดมิ เชน่ น่าสงสาร นา่ สลด นา่ คำ ควำมหมำยเดมิ สงั เวช เวทนา ความรสู้ กึ ทุกข์สขุ นิสยั ใจคอ ความเปน็ ไปของ สงสาร การเวยี นว่ายตายเกิด โลก จติ ใจในขณะหนง่ึ ๆ สมเพช ความสลด หว่ งใย อาลยั คิดกังวลถึง นอกแบบ นอกคอก แปลก อนาถ ไมม่ ีทีพ่ งึ่ ออกไป โกรธ อารมณ์ เครอ่ื งยดึ เหนยี่ วหน่วงใจ อาวรณ์ เครอ่ื งกน้ั เคร่อื งกาบัง อตุ ริ ยงิ่ โมโห ความหลง ความโง่เขลา กำรกลำยควำมหมำย เสียงของคาไม่ว่าจะเป็นเสียงสระหรือเสียงพยัญชนะ ย่อมเปลี่ยนแปลงและกลายได้ การกลาย เสียงเป็นเรื่องของอาการภายนอก เราสามารถกาหนดได้ ส่วนเร่ืองความหมายเป็นเร่ืองของความคิด ความเข้าใจ ความคดิ ความเข้าจะเป็นเร่อื งของอาการภายใน ยากท่ีเราจะกาหนดได้ คาแต่ละคาทยี่ ืมมาใช้ สามารถเปล่ียนแปลงทางความหมายได้ พัฒน์ เพ็งผลา (2552 : 283-288) กล่าวถึงลักษณะการกลาย ความหมายของคายืมภาษาบาลี สันสกฤต ไว้ 4 ลักษณะ ดงั น้ี 1. ควำมหมำยแคบเข้ำ หมายถงึ การนาคายืมภาษาบาลี สันสกฤตที่มีความหมายทว่ั ๆ ไปมาใช้ ในภาษาไทยในความหมายเฉพาะสาหรับสิ่งใดสงิ่ หน่ึง ความหมายแคบเขา้ แบง่ เปน็ 2 ลกั ษณะ คือ 1.1 ความหมายจากัด หมายความว่าคาภาษาบาลี สันสกฤตใช้ในความหมายทั่ว ๆ ไปไทยเรา นามาใช้ในความหมายจากัด หรือเฉพาะเจาะจง ซง่ึ อาจจากดั ในทางดี ทางไม่ดี หรือเปน็ กลาง ๆ ได้ เชน่ กิริยา/กริยาภาษาบาลี สันสกฤต หมายถึง การกระทาทั่ว ๆ ไป ไทยใช้ หมายถึง ความ ประพฤตขิ องคนในทางดี ถกู และควร สกุล ภาษาบาลี สันสกฤต หมายถึง ตระกูล หรอื ผรู้ ่วมตระกูลเดียวกัน ไทยใช้ หมายถึง ผู้อยู่ใน ตระกูลผู้ดี คือมเี ชอื้ สายดี เผา่ พนั ธดุ์ ี

34 กรรม ภาษาบาลี สันสกฤต หมายถึง การกระทาท่ัว ๆ ไปไม่ว่าดีหรือไม่ดี ไทยใช้ หมายถึง การกระทาในทางท่ไี มด่ ี หรอื เปน็ ผลของการกระทาที่เกิดจากการไม่ทาความดี พายุ ภาษาบาลี สันสกฤต หมายถึง ลมทว่ั ๆ ไป ไทยใช้ หมายถึง ลมแรงจดั เท่านั้น 1.2 คาภาษาบาลี สนั สกฤตมีหลายความหมาย ไทยเลือกมาใช้ความหมายใดความหมายหนึ่ง เช่น สังหาร ภาษาบาลี สันสกฤต หมายถึง การทาลาย ความพินาศ สังเขป ย่อ การระงับ ไทยใช้ หมายถึง การทาลาย เคารพ ภาษาบาลี สันสกฤต หมายถึง ความหนัก ความลึก ความย่ิงใหญ่ ความรุ่งโรจน์ และความเคารพ ไทยใช้หมายถึง ความเคารพ กุศล ภาษาบาลี สันสกฤต หมายถึง ฉลาด ชานาญ มีคุณธรรม ที่ถูก ที่ควร ไทยใช้ หมายถึง ส่ิงที่ดที ่ชี อบ ฉลาด วิตก ภาษาบาลี สันสกฤต หมายถึง ความตรึกตรอง ความคิด ความลังเลใจ ไทยใช้ หมายถึง ความคดิ เชิงทกุ ขร์ ้อน 2. ควำมหมำยกว้ำงออก หมายถึง คาภาษาบาลี สันสกฤตที่มีความหมายเฉพาะจากัด ไทยเรา นามาใช้ในความหมายกว้างหรือท่ัวไป ไม่เฉพาะเจาะจง และอาจมีบางคาท่ีเพิ่มความหมายใหม่เข้าไปอีก ทาให้ความหมายมากข้ึน ความหมายกวา้ งออกแบ่งเป็น 2 ลักษณะ ดังนี้ 2.1 คาภาษาบาลี สันสกฤตใชใ้ นความหมายจากัด ไทยใชค้ วามหมายท่วั ไป เชน่ คงคา ภาษาบาลี สันสกฤต หมายถึง แม่น้าคงคา (ช่ือแม่น้าสายหน่ึงในอินเดีย) ไทยใช้ หมายถึง น้า หรอื แมน่ า้ ทวั่ ไป เวที ภาษาบาลี สันสกฤต หมายถึง แท่นที่วางเครื่องสักการะ ที่บูชา ไทยใช้ หมายถึง ท่ียกพื้น ท่ัวไปเพื่อการแสดงตา่ ง ๆ 2.2 คาภาษาบาลี สันสกฤตมีความหมายเดียว หรือมีความหมายน้อยกว่าเม่ือไทยนามาใช้จะ ใช้ทง้ั ความหมายเดมิ และเพ่ิมความหมายใหมใ่ ห้มีมากขนึ้ เช่น กมล ภาษาบาลี สนั สกฤต หมายถงึ ดอกบัว ไทยใช้ หมายถึง ดอกบวั หัวใจ มาลา ภาษาบาลี สันสกฤต หมายถึงพวงหรีด พวงดอกไม้ ไทยใช้ หมายถึง พวงหรีด พวงดอกไม้ หมวก รักษา ภาษาบาลี สันสกฤต หมายถึง ดูแล รักษา ป้องกันไทยใช้ หมายถึง ดูแล รักษา ป้องกัน การแกไ้ ขเยยี วยาคนเจบ็ ปว่ ย ดิถี (ติถิ) ภาษาบาลี สันสกฤต หมายถึง วันทางจันทรคติ ไทยใช้ หมายถึง วันทางจันทรคติ วันโอกาสพเิ ศษ 3. ควำมหมำยย้ำยที่ หมายถึง การเปล่ียนความหมายเดิม ไม่ใช้ความหมายเดิมจากภาษาบาลี สันสกฤต ไทยเราสร้างความหมายใหม่ข้ึนมาใช้ คาบางคาที่มีความหมายย้ายที่น้ัน บางครั้งอาจมี เค้าความหมายเดิมบา้ ง หรืออาจไม่มีเค้าเดมิ อยเู่ ลย เชน่

35 เทวษ (ป.โทส ส.เทฺวษ) ภาษาบาลี สันสกฤต หมายถึงความเคียดแค้นชิงชัง ความเกลียดชังย่ิง ความเป็นขา้ ศกึ แกก่ ัน ไทยใช้ หมายถงึ คร่าครวญโศกเศรา้ อาสา (ป.อาสา ส.อาศา) ภาษาบาลี สันสกฤต หมายถึง ความหวัง ความปรารถนา ไทยใช้ หมายถงึ ทาใหโ้ ดยเตม็ ใจ หรือเสนอตัวทาให้ อภัย (ป.,ส.อภย) ภาษาบาลี สันสกฤต หมายถึง ไม่กลัว ปลอดภัย ไทยใช้ หมายถึง ไม่มีภัย ปราศจากภยั ความไม่ตอ้ งกลัว ยกโทษ นิยม ภาษาบาลี สันสกฤต หมายถึง การกาหนด การควบคุม การระงับยับย้ัง จากัด จาศีล ประพฤติ ไทยใช้ หมายถงึ ชอบ พอใจ นบั ถือ อิจฉา ภาษาบาลี สันสกฤต หมายถึง ความปรารถนา ความอยาก ไทยใช้ หมายถึง ไม่อยากให้ คนอน่ื ได้ดีกว่าตน 4. กำรกลำยเสยี งเพ่ือแยกควำมหมำย หมายถงึ การกลายเสียงคาภาษาบาลี สันสกฤตเป็นเสียง ในภาษาไทยและสร้างความหมายใหม่ในคาท่ีกลายเสียงน้ันด้วย คาภาษาบาลี สันสกฤตท่ีมีเสียงต่างกัน ความหมายเหมือนกัน เรานามากลายเสียงและเพิ่มความหมายใหม่เข้าไป บางคายังมีเค้าความหมาย เดิมอยู่ เช่น ป. กิริยา หมายถึง การกระทา ชื่อทางไวยากรณ์ของชนิดของคา ใช้เป็นส่วนหลักในภาคแสดง ไทยใช้หมายถึง ท่าทาง มารยาท ส. กรฺ ิยา หมายถึง การกระทา งาน ธุระ พธิ ีกรรม ชือ่ ทางไวยากรณ์ของชนดิ ของคา ใช้เป็นสว่ น หลกั ในภาคแสดง ไทยใช้ หมายถึง ชอ่ื ทางไวยากรณ์ของชนิดของคา ใช้เปน็ ส่วนหลกั ในภาคแสดง ป. เขตตฺ หมายถงึ ท่ีดิน ทนี่ า สถานท่ี ไทยใช้ เขต หมายถึง บริเวณ ส. เกฺษตฺร หมายถึง ท่ีดิน นา สถานท่ี ร่างกาย ครรภ์มารดา บริเวณ ไทยใช้ เกษตร หมายถึง การใช้ทีด่ ินเพือ่ ยังชพี ป. ปญฺญา หมายถึง ความรอบรู้ ความรู้ความเข้าใจ ในความเป็นจริงของโลกและชีวิต ไทยใช้ ปญั ญา หมายถงึ ความฉลาด ส.ปฺรชฺญา หมายถึง ความรู้รอบ ความเข้าใจ ความรู้ ความชาญฉลาด ไทยใช้ ปรัชญา หมายถึง ชื่อวิชาศึกษาเกี่ยวกับความเป็นจริง เกี่ยวกับมนุษย์ โลก จักรวาล และความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ โลก จักรวาล ป. รฏฺฐ หมายถึง แว่นแควน้ ไทยใช้ รัฐ หมายถึง ประเทศ ส. ราษฏฺ ฺร หมายถึง แวน่ แควน้ ประชาชน ไทยใช้ ราษฎร หมายถงึ ประชาชน สรุปลักษณะการกลายความหมายของคายืมภาษาบาลี สันสกฤต แบ่งได้เป็น 4 ลักษณะ ได้แก่ ความหมายแคบเข้า ความหมายกว้างออก ความหมายย้ายท่ี และการกลายเสียงเพ่ือแยกใช้ความหมาย ของคาจากภาษาบาลี สันสกฤต ซึ่งวิธีการดังกล่าวเป็นการรับคายืมมาใช้ในรูปแบบหนึ่งทาให้ภาษาไทย นอกจากจะมีความหลากหลายของคาแล้ว ยังมีความหลากหลายของความหมาย แต่เม่ือนาคาท่ีมี ความหมายต่าง ๆ เหลา่ นไี้ ปใชก้ ็ควรระมดั ระวังและเลือกใชใ้ ห้ถูกต้องตามความหมายด้วย

36 1. รับคำภำษำใดภำษำหนงึ่ เพยี งภำษำเดียว 1.1 รบั มาใชเ้ ฉพาะภาษาบาลี เช่น ภำษำบำลี ภำษำไทย ควำมหมำย เมือกในลาคอ เสมฺห เสมหะ ความรู้แจง้ จติ การเพ่งอารมณจ์ นเป็นสมาธิ วิญญฺ าณ วิญญาณ การย่อ ความเจรญิ ความงอกงาม ฌาณ ฌาณ ปลา มือ สงฺเขป สังเขป ความดี กศุ ล ความสขุ ความยาก ความลาบาก วฑุ ฒฺ ิ วฒุ ิ ความกาหนดรู้ รอ้ น อบอนุ่ มจฉฺ า มัจฉา คาถาม การรว่ มพร้อม หตฺถ หตั ถ์ ควำมหมำย ปุญญฺ บุญ ผู้บาเพญ็ พรต ส่วนของปีซ่งึ แบ่งโดยถือเอาภูมิอากาศเปน็ หลกั ทกุ ฺข ทุกข์ พญานกในเทพนิยาย เป็นพาหนะของพระ นารายณ์, ใช้เปน็ ตราแผ่นดินและเครื่องหมาย ปรญิ ญฺ า ปรญิ ญา ทางราชการ แจ้งใหท้ ราบ อณุ ฺห อุณห ความเช่ือ ทางบก ปญหฺ า ปญั หา สามคฺคี สามคั คี 1.2 รับมาใชเ้ ฉพาะภาษาสนั สกฤต เชน่ สนั สกฤต ไทย ฤษิ ฤษี ฤตุ ฤดู ครฑุ ครฑุ ปรฺ กาศ ประกาศ ศรฺ ทฺธา ศรัทธา สถฺ ล สถล

37 สฺตรฺ ี สตรี หญงิ ทวิ ยฺ ทพิ ย์ ของเทวดา สปตฺ าห สปั ดาห์ รอบ 7 วนั , ระยะ 7 วัน รมฺย รมย์ นา่ ยินดี วฺรต พรต กิจวัตร จกฺษุ จักษุ ดวงตา ปาตฺร บาตร ภาชนะสาหรับใสอ่ าหารของพระ อาศรฺ ม อาศรม ท่ีพัก ธรฺม ธรรม คณุ ความดี สรวฺ สรรพ ทัง้ หมด พร้อม 2. รบั ทงั้ ภำษำบำลี และสนั สกฤตมำใช้ และใชค้ วำมหมำยเหมอื นกนั มี 2 ลักษณะ ดงั น้ี 2.1 ไทยใชค้ าที่มรี ูปเหมอื นกันทงั้ ภาษาบาลี สันสกฤต และความหมายเหมือนกนั ภำษำบำลี สนั สกฤต ภำษำไทย ควำมหมำย กร กร มือ, ผ้ทู า (ท้ายสมาส) กนก กนก ทองคา กปฏ กบฏ ความทรยศ, ความคดโกง กมล กมล ดอกบัว ใจ คงคฺ า คงคา น้า แมน่ า้ ช่อแมน่ ้า คช คช ช้าง กาย กาย ตัว, มักใชเ้ ข้าคูก่ ับ ร่าง จวี ร จีวร เครอ่ื งนุ่งห่มของภกิ ษสุ ามเณร ตารา ดารา ดาว ดวงดาว นรก นรก แคนหรอื ภูมทิ ี่เชือ่ กนั ว่าผ้ทู าบาปจะต้องไป เกดิ และถูกลงโทษ โค โค วัว (มักใชเ้ ปน็ ทางการ)

38 ปาป บาป ความชัว่ ความมัวหมอง มงฺคล มงคล เหตทุ ่นี ามาซง่ึ ความเจรญิ รูป รูป สง่ิ ทร่ี ับรไู้ ดด้ ้วยตา, รา่ ง 2.2 ไทยใชค้ าภาษาบาลี สันสกฤตทมี่ รี ูปตา่ งกัน แตค่ วามหมายเหมอื นกัน เช่น บำลี สันสกฤต ไทย ควำมหมำย หทย หฤทย หทัย, หฤทัย ใจ ดวงใจ มน มนสฺ มน, มนสั ใจ สิริ ศรฺ ี สริ ิ, ศรี มิง่ ขวัญ, มงคล นิจฺจ นติ ฺย นจิ , นติ ย์ เสมอไป, สมา่ เสมอ สตฺต สปตฺ สัต, สตั ตะ, สปั ต เจ็ด สรุ ยิ ะ สรู ฺย สุรยิ , สุรยิ ะ, สรู ย์ พระอาทิตย์ อทิ ฺธิ ฤทธฺ ิ อทิ ธิ, ฤทธ์ิ อานาจศักดสิ์ ิทธิ์ ตณิ ตฤณ ติณ, ตฤณ หญา้ ครุ ครุ ุ ครู,ครุ,คุรุ หนกั ครู 3. ไทยรบั มำใช้ทั้งคำภำษำบำลี สนั สกฤต แต่แยกควำมหมำยกัน บำลี สันสกฤต ไทย ควำมหมำย กฬี า กฺรีฑา กีฬา กจิ กรรมหรือการเลน่ ที่กฎ กติกากาหนด กรีฑา กฬี าประเภทหน่ึงแบ่งเป็นประเภทลแู่ ละลาน เขตฺต เกฺษตฺร เขต อาณาบรเิ วณ เกษตร ไร่ นา ทท่ี ากิน มชฌฺ มิ มธฺยม มชั ฌมิ ปานกลาง มัธยม กลาง ปานกลาง วชิ ชฺ า วิทยฺ า วชิ า ความรู้ ความรทู้ ี่ไดเ้ ลา่ เรียนหรอื ฝกึ ฝน วทิ ยา ความรู้ มกั ใช้ประกอบกับคาอนื่ เช่น วทิ ยากร วติ ฺถาร วสิ ตฺ าร วิตถาร นอกแบบ นอกทาง กว้างขวาง มากเกินไป พิสดาร กวา้ งขวาง ละเอียดลออ แปลกพิลึก สรุป วิธีการเลือกรับคายืมภาษาบาลี สันสกฤตมาใช้ในภาษาไทยน้ัน ไทยเราปรับเปลี่ยนเพื่อให้ ง่าย และสะดวกในการออกเสียง นอกจากน้ียังคานึงถึงความไพเราะของเสียงด้วย วิธีการรับคายืมมาใช้ ได้แก่ การใช้คาตามรูปเดิมโดยไม่ตัดวิภัตติออก การใช้ตามรูปเดิมแต่ตัดวิภัตติออก การตัดส่วนหน้าคา หรือหลังคาออก การแผลงสระหรือพยัญชนะ การใช้ทัณฑฆาตฆ่าเสียงเพื่อลดพยางค์ของคาให้น้อยลง

39 การเติมเครื่องหมายวรรณยุกต์ การเปล่ียนหรือเพิ่มรูปคาให้ผิดเพ้ียนไปจากเดิม นอกจากวิธีการดังกล่าว แล้ว ยังมีนักวิชาการอธิบายถึงวิธีการรับคายืมภาษาบาลี สันสกฤตโดยแบ่งตามลักษณะของคาที่ยืมมา ได้แก่ การรับคาบาลี สันสกฤตมาใช้โดยท่ีมีรูปและความหมายเดียวกัน การรับมาท้ังสองคาที่มีรูปคา ต่างกัน ความหมายเหมือนกัน และการรับมาท้ังสองคารูปต่างกัน และใช้แยกความหมายกัน นอกจาก วธิ กี ารรบั คาแล้ว ยังมีวธิ ีการรับโดยการกลายความหมาย ได้แก่ ความหมายแคบเขา้ ความหมายกว้างออก และความหมายย้ายท่ี แม้ว่าวิธีการรับจะมีความหลากหลายซับซ้อน เพราะความแตกต่างกันด้านระบบ ภาษา แต่วิธกี ารตา่ ง ๆ ทาให้ภาษาไทยมคี าใช้เพมิ่ มากขึ้น กำรใช้คำภำษำบำลี สันสกฤตในภำษำไทย ดงั ทก่ี ลา่ วไปแล้วขา้ งตน้ เก่ียวกับสาเหตุของการเข้ามาของภาษาบาลี สันสกฤต ซ่ึงส่งผลให้ไทยเรา ได้รับอิทธิพลต่าง ๆ เกี่ยวกับการยืมคา และใช้กลวิธีการยืมคาภาษาบาลี สันสกฤตมาใช้ในภาษาไทย ตามระบบไวยากรณ์ และความเหมาะสมในการออกเสียง ดังนั้นจึงมีคายืมหลายคาท่ีใช้ในภาษาไทยใน ลักษณะต่าง ๆ ดังท่ี อนันต์ เหล่าเลิศวรกุล (2555 : 163-173) ได้อธิบายถึงการใช้คายืมภาษาบาลี สนั สกฤต สามารถสรุปได้ ดงั น้ี 1. ใช้เปน็ คำทว่ั ไป คาภาษาบาลี สันสกฤตจานวนมากที่ยมื เข้ามาใช้ในภาษาไทยทั่วไปในฐานะเป็นคาท่ีจาเป็นตอ้ งใช้ ในชีวติ ประจาวันโดยไมอ่ าจหลีกเล่ยี งหรือหาคาอื่นทก่ี ระชับและส่ือความหมายได้ดีเท่ามาใช้แทนได้ คายืม ภาษาบาลี สันสกฤตในภาษาไทยที่ใช้เป็นคาทั่วไปเป็นคาศัพท์ท่ีอยู่ในวงศัพท์ต่าง ๆ แทบทุกวงศัพท์ ดงั ตัวอยา่ ง 1.1 ใช้เป็นคาท่ีมีความหมายกว้างเรียกรวมคาหลายคาท่ีอยู่ในประเภทเดียวกัน เช่น กิริยา (ท่าทาง อาการต่าง ๆ) ญาติ (เรียกรวมบุคคลที่มีความสัมพันธ์กันทางสายเลือดหรือแต่งงาน) ธาตุ (เรียก รวมสสารพื้นฐาน) พืช (เรียกรวมสิ่งมีชวี ิตชนิดต่าง ๆ เคล่ือนที่เองไม่ได้มักมีสีเขียว สังเคราะห์แสงได้) โรค (เรียกรวมความเจ็บไข้ต่าง ๆ) อวัยวะ (เรียกรวมส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย) อาวุธ (เรียกรวมเคร่ืองต่อสู้ ประเภทต่าง ๆ) อาหาร (เรียกรวมของกินประเภทต่าง ๆ) 1.2 ใช้เป็นชื่อเรียกพันธุ์พืชหรือพันธุ์สัตว์ เช่น กรรณิการ์ จาปา ชมพู่ ตาล พุทรา ศาริกา หงส์ พทุ ธรกั ษา ฯลฯ 1.3 ใช้เปน็ ช่อื เรียกดาวนพเคราะห์ วัน และจกั รราศี เชน่ พฤหัสบดศี กุ ร์ เสาร์ อาทติ ย์ กุมภ์ มนี เมษ พฤษภ ฯลฯ 1.4 ใชเ้ ป็นชือ่ เรียกอัญมณี เช่น นิล เพชร ไพฑรู ย์ มรกต ฯลฯ 1.5 ใช้เป็นศัพท์ที่เก่ียวกับความเช่ือและศาสนา เช่น กรรม กิเลส เทวดา นรก บาป บุญ เปรต เวร วญิ ญาณ สวรรค์ ฯลฯ 1.6 ใช้เป็นช่ือเรียกส่ิงในธรรมชาติและปรากฏการณ์ต่าง ๆ ทางธรรมชาติ เช่น คราส เมฆ อากาศ ฤดู เวลา หิมะ มหาสมทุ ร ฯลฯ

40 1.7 ใช้เป็นคาเรียกความคิดหรือส่ิงที่เป็นนามธรรมต่าง ๆ เช่น ฐานะ ทิศ มิติ สภาพ เหตุ อายุ โอกาส ฯลฯ 1.8 ใช้เป็นศัพท์ทางการศึกษา เช่น คณะ ครู คูณ นิสิต เลข วิชา ศึกษา แพทย์ สัทอักษร ฯลฯ 1.9 ใชเ้ ปน็ ชื่อเรยี กส่งิ ประดิษฐต์ า่ ง ๆ เชน่ ทพั พี ธนู ธูป รถ 1.10 ใช้เป็นคาทางการปกครอง เช่น กษัตริย์ ชนบท ชาติ ทวีป ทูต ประเทศ ราชินี ศาล ศัตรู ฯลฯ 1.11 ใช้เป็นคากริยาสามัญ เช่น กตัญญู บูชา ปรากฏ มารยาท ปรารถนา ผลิต มารยา รกั ษาลามก สามัคคี สามารถ อจิ ฉา อุตส่าห์ ฯลฯ 2. ใชเ้ ป็นคำสภุ ำพ คายืมภาษาบาลี สนั สกฤตบางคาใช้เปน็ คาสุภาพแทนคาภาษาไทยซึ่งอาจเป็น คาไม่สุภาพหรือเปน็ คาหยาบ เช่นหมา-สุนขั ผวั -สามี เย่ยี ว-ปัสสาวะ เปน็ ตน้ 3. ใช้เป็นภำษำทำงกำร เช่น คาทางการ คาทีไ่ ม่เปน็ ทางการ โค ววั ฌาปนกจิ เผาศพ บุรษุ ผชู้ าย สตรี ผหู้ ญงิ มนษุ ย์ คน ศรี ษะ หวั สุกร หมู สุสาน ปา่ ชา้ สรุ า เหลา้ อาคาร ตกึ 4. ใช้สร้ำงศัพท์บัญญัติ คายืมภาษาบาลี สันสกฤตนามาใช้เป็นศัพท์บัญญัติ หรือใช้สร้างศัพท์ บัญญัติ เพื่อหลีกเลี่ยงการใช้รูปคาภาษาอังกฤษหรือภาษาตะวันตกอื่นโดยตรง ผู้บัญญัติศัพท์นิยมใช้คา ภาษาบาลี สันสกฤตด้วยสาเหตุหลายประการ ดงั นี้ 4.1 ภาษาไทยนยิ มนาคายืมภาษาบาลี สนั สกฤตมารวมกนั เพ่อื สรา้ งเปน็ คาใหม่ 4.2 ภาษาบาลี สันสกฤตเป็นภาษาตระกูลอินโด-ยูโรเปียน เช่นเดียวกับภาษาอังกฤษและ ภาษาตะวันตกอ่ืน ๆ จึงสามารถเลือกใช้คาภาษาบาลี สันสกฤตท่ีเป็นคาร่วมเชื้อสายเดียวกันกับคาที่ ต้องการบัญญัติน้ันมาสร้างศัพท์บัญญัติ ทาให้ศัพท์ที่สร้างขึ้นมีท้ังเสียงและความหมายตามรูปศัพท์ ใกล้เคยี งกบั คาทีต่ อ้ งการบญั ญัตมิ าก เชน่ สมมาตร บัญญัติศัพท์จากคาภาษาอังกฤษว่า symmetry ราชนาวี บญั ญตั ิศพั ทจ์ ากคาภาษาอังกฤษวา่ royal navy ตรโี กณมติ ิ บัญญตั ศิ ัพท์จากคาภาษาอังกฤษวา่ trigonometry

41 4.3 คายืมภาษาบาลี สันสกฤตในภาษาไทยคาเดียวกันอาจมีรูปแปรหลายรูป เช่น วิทยำแปร รปู เป็น วิทย์ วิทยา วิทย- วิทยะ พิทย์ พิทยา พิทย- พทิ ยะ ทาให้คาคาเดียวกันมีหลายรูปคาใหเ้ ลือก ผบู้ ญั ญตั ศิ พั ทส์ ามารถเลือกรูปท่ีเหมาะสมมาสร้างเป็นศัพทบ์ ัญญัติทีต่ ้องการได้ 4.4 คายืมภาษาบาลี สันสกฤตที่ใช้เป็นศัพท์บัญญัติ มีลักษณะกระชับกินความหมายลึกซ้ึง และทาให้ผู้ใช้รู้สึกว่าเป็นศัพท์ทางวิชาการ แตกต่างกับศัพท์บัญญัติที่ใช้วิธีแปลอธิบายความท่ีอาจจะมี ลักษณะที่เย่ินเย้อ และทาให้ผู้ใช้เข้าใจผิดว่าเป็นข้อความทั่วไป คือไม่รู้สึกว่าเป็นศัพท์บัญญัติทางวิชาการ เชน่ ศัพทบ์ ัญญัติ ศพั ท์บัญญตั ิ ใชแ้ ทนศพั ท์วิชำกำร (ภำษำบำลี สนั สกฤต) แปลอธิบำยควำม ในภำษำอังกฤษ ตรรกสัจจะ ความจริงเชงิ ตรรกะ logical truth ปฐมฐาน แบบด้งั เดมิ primitive ราชรัฐ รฐั ทม่ี เี จ้าของ principality อสมการ การไมเ่ ทา่ กนั inequality อายุขัย อัตรากาหนดตาย life span สทั อักษร อักษรและเครอ่ื งหมายที่กาหนด phonetic alphabet ใช้แทนเสยี ง ศพั ท์บัญญตั ิข้างต้นเปน็ ศัพท์บัญญัติของราชบัณฑิตยสถาน (2530) ซึ่งศัพท์ภาษาอังกฤษแต่ละคา ราชบัณฑิตยสถานได้บัญญัติศัพท์ไว้ 2 คาผู้ใช้ภาษาสามารถเลือกใช้คาใดก็ได้ เห็นได้ชัดว่า ศัพท์บัญญัติ ท่ีสรา้ งจากคาภาบาลี สันสกฤต มลี กั ษณะกระชบั กวา่ แบบแปลความหมาย 5. ใช้เป็นชื่อเฉพำะ คายืมภาษาบาลี สันสกฤตจานวนมากนามาใช้เป็นชื่อเฉพาะหรือผูกเป็นชื่อ เฉพาะ ทัง้ ท่ีเป็นชอื่ บุคคล ชอ่ื สกลุ และชอื่ สถานท่ี เช่น ตัวอย่างชือ่ เฉพาะของบุคคล : วศิ รุต สรติ า มลั ลกิ า ทกั ษิณ อภสิ ิทธิ์ ฯลฯ ตวั อย่างชื่อสกุลของบุคคล : กาญจนากร ธนไพบูลย์กิจ สทุ ธกิ มล ศริ ลิ ักษณ์ วิมลสถิตพงษ์ ฯลฯ ตัวอยา่ งชื่อเฉพาะของสถานที่ : ราชภฏั ดสุ ิตธานี ยโสธร สวนสาธารณะ มหาวทิ ยาลัย ฯลฯ 6. ใช้เป็นคำรำชำศัพท์ คายืมภาษาบาลี สันสกฤตนิยมใช้เป็นคาราชาศัพท์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ใช้ประกอบหลงั คาว่า พระ- พระราช- เช่น พระวกั กะ – ไต พระเสโท – เหงือ่ พระมัสสุ – หนวด

42 พระเวฐนะ – ผา้ โพกศรี ษะ พระเนตร – ตา พระพักตร์ – หน้า ประสตู ิ – เกดิ สวรรคต – ตาย 7. ใช้เป็นศัพท์ในวรรณคดี คายืมภาษาบาลี สันสกฤตจานวนมากใช้เป็นศัพท์เฉพาะในวรรณคดี เนื่องจากภาษาบาลี สันสกฤตมีคาพ้องความหมายหรือคาไวพจน์อยู่มาก เม่ือภาษาไทยยืมภาษาบาลี สนั สกฤตมาใช้ ทาให้ภาษาไทยมีคาไวพจน์มากตามไปดว้ ย เช่น ชา้ ง– หัตถี หสั ดิน คช มาตังค์ กริน กรี ฯลฯ ผู้หญงิ – นารี อนงค์ สดุ า ยพุ า ดรุ ณี ฯลฯ กษัตรยิ ์ – นรบดี นฤบาล ภบู าล ภูธร ภวู นาถ ภวู ไนย ขตั ตยิ ะ ราชนั ฯลฯ ดอกไม้ – บุปผา บษุ บา กสุ ุม ฯลฯ ทอ้ งฟ้า – โพยม เวหา นภา นภสั ฯลฯ สรุป การใช้คายืมภาษาบาลี สันสกฤตในภาษาไทยถือเป็นปรากฏการณ์ทางภาษาท่ีมีความ หลากหลาย และไทยเราใช้ภาษาคายืมเหล่าน้ีเป็นจานวนมาก ไม่ว่าจะเป็นในชีวิตประจาวัน เช่น คาเรียก พืช สัตว์ คาเรียกดาวนพเคราะห์ วัน จักรราศี คาเรียกอัญมณี ความเชื่อ และศาสนา เป็นต้น นอกจากนี้ยังใช้คายืมภาษาบาลี สันสกฤตเป็นคาสุภาพใช้เป็นคาทางการ ใช้สร้างศัพท์บัญญัติ ใช้เป็นช่ือเฉพาะ ใชเ้ ปน็ คาราชาศพั ท์ และใช้เปน็ ศพั ท์ในวรรณคดี ซึ่งการใช้แต่ละรปู แบบแสดงถึงอทิ ธิพล ของการยมื คาภาษาบาลี สนั สกฤตในภาษาไทยซ่ึงมจี านวนมากท่ีสุดในบรรดาคายืม หลักสงั เกตคำยืมภำษำบำลี สนั สกฤต เน่ืองจากภาษาบาลี สันสกฤตมีลักษณะท่ีแตกต่างกันบ้างท้ังสระ พยัญชนะ เป็นต้น ดังน้ันเมื่อ ไทยรับภาษาบาลี สันสกฤตมาใช้ในภาษาไทยมักเกิดการเปล่ียนแปลงให้เข้ากับระบบโครงสร้างของ ภาษาไทยการเปล่ียนแปลงน้ันทาให้รูปคาของภาษาเหล่านี้เปล่ียนแปลงไปจากเดิม หากเราต้องการทราบ ท่ีมาท่ีไปว่าคาศัพท์น้ัน ๆ ยืมมาจากภาษาบาลี หรือภาษาสันสกฤตจึงต้องอาศัยหลักสังเกตกว้าง ๆ ดังที่ สุภาพร มากแจง้ (2535 : 97-98) ไดใ้ หห้ ลักการสังเกตคายมื ภาษาบาลี สนั สกฤตในภาษาไทยไวด้ ังนี้ 1. สงั เกตจำกกำรใช้สระ 1.1 คาที่ประสมด้วยสระ ฤ ไอ เอำ แอ มีตัวสะกดในภาษาไทย เดิมเป็นคาท่ีมาจากภาษา สนั สกฤตเช่น ภำษำสันสกฤต ภำษำไทย ฤษิ ฤษี ฤๅษี ฤตุ ฤดู กฤษฺณา กฤษณา

43 ไอศวฺ รฺย ไอศวรรย์ ไกลาส ไกลาส ไกรลาส เอารส เอารส เมาลิ เมาลี ไวทยฺ แพทย์ ไสนฺยา แสนยา 1.2 คาที่ประสมด้วยสระ ไอ + ย สะกดในภาษาไทย เดิมเป็นคาบาลีใช้ เอยฺย สันสกฤตใช้ เอฺยยแตส่ ่วนมากคาไทยลกั ษณะนี้มักยืมจากภาษาบาลีเชน่ ภำษำบำลี ภำษำไทย เวเนยยฺ เวไนย เวยยฺ ากรณ ไวยากรณ์ ภาคเิ นยยฺ ภาคิไนย เทยฺยทาน ไทยทาน สาเถยฺย สาไถย อุปเมยยฺ อปุ ไมย 2. สงั เกตจำกพยัญชนะ 2.1 คาท่ีใช้ ศ ษ รฺ (รร ในภาษาไทย) ร สะกด ร ควบ มีพยัญชนะซ้อนต้นคา และมี ตวั สะกดตัวตามอย่ตู ่างวรรคกัน เดิมคาเหล่าน้ันจะมาจากภาษาสนั สกฤตเชน่ ภำษำสันสกฤต ภำษำไทย ศลี ศีล ศฺรี ศรี ศรี ษ ศรษี ะ ลกฺษณ ลักษณะ ภารฺย ภรรยา ครภฺ ครรภ์ อาศจฺ รฺย อศั จรรย์ วรฺณ วรรณ ธรฺม ธรรม จนทฺ ฺรา จนั ทรา วกตฺ ฺร พกั ตร์ ปุตฺร บุตร มิตฺร มติ ร เกษฺ ตรฺ เกษตร

44 กษฺ ย กษยั สฺวสตฺ ิ สวัสดี ปรฺ ชฺญา ปรชั ญา ทฺรวฺย ทรัพย์ 2.2 คาท่ีใช้ ฬเป็นคาภาษาบาลีซง่ึ ภาษาสนั สกฤตจะใช้ ฑ ล ฏ เชน่ ภำษำบำลี ภำษำสันสกฤต จูฬา จูฑา ครุฬ ครฑุ ตาฬ ตาล กกขฺ ฬ กกขฺ ฏ กฬี า กรฺ ฑี า คาที่ยมื จากภาษาบาลจี ะมีตวั สะกดตัวตามอยูใ่ นวรรคเดยี วกันหรอื ตวั สะกดตัวตามเป็นตัวเดียวกัน เช่น ทุกฺข จนฺท มชฺฌิม ปุปฺผ จิตฺต กปฺป ปุญฺญ มจฺจุ เวชฺช ปลฺลงฺก ฯลฯและคาท่ีตัดตัวสะกดแล้วเล่ือน ตัวตามเป็นตัวสะกดเช่นเช่นจิตฺต – จิต ทิฏฺฐิ – ทิฐิ วุฑฺฒิ – วุฒิ รฏฺฐ – รัฐ เขตฺต – เขต ฯลฯใช้คาที่มี ห เป็นตวั ตามก็ถอื วา่ ยืมมาจากภาษาบาลี เชน่ อณุ ฺห คิมหฺ ตณฺห ปญหฺ า กณฺหา สายณฺห เป็นต้น นอกจากน้ี กาชัย ทองหล่อ (2554 : 139 -147) ได้ให้หลักการสังเกตความแตกต่างระหว่างคา ภาษาบาลแี ละสันสกฤตไวด้ ังนี้ 1. สระภาษาบาลมี ี 8 ตวั คอื อ อา อิ อี อุ อู เอ โอ สระสันสกฤตมี 14 ตวั คอื อ อา อิ อี อุ อู ฤ ฤๅ ฦ ฦๅ เอ ไอ โอ เอา 2. พยญั ชนะบาลมี ี 33 ตัว คือ วรรค/แถวท่ี 1 2345 วรรค กะ ก ขคฆง วรรค จะ จ ฉ ช ฌญ วรรค ฏะ ฏ ฐ ฑฒณ วรรค ตะ ต ถทธ น วรรค ปะ ป ผพภม เศษวรรค ย ร ล ว ส ห ฬ º (อัง) พยัญชนะสันสกฤตมี 34 ตัว (ไม่นับนิคหิต) คือมีตัว ศ ษ เพิ่มเข้ามาอีก 2 ตัว นอกนั้นเหมือนภาษา บาลี 3. ตัวสะกดในบาลี จะต้องมีตัวพยัญชนะตามหลัง เชน่ กงั ขา อิจฉา ทุกข์ เป็นต้น แตต่ ัวสะกด ในสันสกฤต ไมต่ ้องมพี ยญั ชนะตามหลงั ก็ได้ เช่น มนสั วทิ ยา ศตั รู จักรี เป็นตน้ 4. ตวั สะกดในภาษาบาลีแบ่งออกเป็นสองพวก คือ เป็นพยัญชนะวรรคพวกหน่ึง เป็นพยัญชนะ เศษวรรคพวกหน่งึ มีหลกั เกณฑ์ ดังน้ี