Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore EB_คนสกลนคร ชาติพันธุ์ในชั้นประวัติศาสตร์

EB_คนสกลนคร ชาติพันธุ์ในชั้นประวัติศาสตร์

Published by Thanarat Sa-Ard-Iam, 2023-08-01 05:07:34

Description: EB_คนสกลนคร ชาติพันธุ์ในชั้นประวัติศาสตร์

Search

Read the Text Version



ข คนสกลนคร ชาตพิ ันธใ์ุ นชัน้ ประวัติศาสตร์ พิพธิ ภณั ฑ์เมืองสกลนคร มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั สกลนคร จัดพมิ พ์ พ.ศ. ๒๕๖๑

ค คนสกลนคร ชาติพันธุ์ในชั้นประวตั ศิ าสตร์ ISBN : ปีที่พิมพ์ : พ.ศ. ๒๕๖๑ จานวนที่พิมพ์ : ๕๐๐ เลม่ จัดพมิ พ์โดย : พิพิธภณั ฑเ์ มืองสกลนคร มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั สกลนคร ผเู้ ขียน : นักวิชาการศึกษาปฏบิ ัติการ นายพจนวราภรณ์ ขจรเนตรวณชิ กลุ สถาบนั ภาษา ศิลปะและวัฒนธรรม มหาวิทยาลยั ราชภฏั สกลนคร คณะทางาน : นางสาวชุตมิ า ภูลวรรณ นักวิชาการศึกษาปฏิบัตกิ าร สถาบนั ภาษา ศิลปะและวัฒนธรรม มหาวิทยาลยั ราชภฏั สกลนคร นายกฤษดากร บันลือ พนักงานบริหาร สถาบนั ภาษา ศลิ ปะและวฒั นธรรม มหาวทิ ยาลัยราชภฏั สกลนคร ที่ปรกึ ษา : พระเทพสิทธิโสภณ เจ้าอาวาสวัดพระธาตเุ ชิงชมุ วรวหิ าร จังหวดั สกลนคร พระครูปลัดศรีธรรมวฒั น์ ประธานศนู ย์อนุรักษว์ ัฒนธรรมพืน้ บ้านหทัยภูพานสกลนคร ผชู้ ว่ ยศาสตราจารย์ปรีชา ธรรมวินทร อธกิ ารบดีมหาวิทยาลัยราชภฏั สกลนคร นางฟองจนั ทร์ อรุณกมล ทปี่ รึกษานายกเทศมนตรเี ทศบาลนครสกลนคร ดร.เกรยี งไกร ปรญิ ญาพล ผู้ทรงคณุ วฒุ ิภาคประชาชน ดร.ธรี ะวัฒน์ แสนคา มหาวิทยาลัยราชภฏั เลย ดร.ปรู ดิ า วิปัชชา มหาวทิ ยาลัยราชภัฏสกลนคร ดร.สถิตย์ ภาคมฤค มหาวิทยาลยั ราชภฏั สกลนคร ดร.เกรียงไกร ผาสุตะ มหาวิทยาลยั นครพนม ดร.อธริ าชย์ นนั ขนั ตี มหาวิทยาลยั นครพนม ดร. พมิ พ์อมร นยิ มค้า มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ วิทยาเขตเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดสกลนคร นางสาวกณั ฐิกา กล่อมสวุ รรณ มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ วิทยาเขตเฉลิมพระเกียรติ จงั หวัดสกลนคร พสิ ูจนอ์ ักษร : นางสาวอลิสา ทบั พลิ า โรงเรยี นวถิ ธี รรมแห่งมหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร ภาพ/ออกแบบปก : นายหตั ธไชย ศิริสถิตย์ มหาวิทยาลยั ราชภัฏอดุ รธานี สงวนลิขสทิ ธิต์ ามกฎหมาย พมิ พ์ท่ี : โรงพมิ พ์สมศักด์ิการพิมพ์ กรุ๊ป สกลนคร

๕ คานยิ ม เมืองสกลนครมีประวัติศาสตร์ความเป็นมาอันยาวนาน มีความอุดมสมบูรณ์ทางธรรมชาติ และมีความเจริญรุ่งเรืองทางด้านเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม รวมท้ังความหลากหลายทางวฒั นธรรม ของชาติพันธ์ุต่าง ๆ อาทิ ลาวหรือไทอีสาน ผู้ไทหรือภูไท ญ้อ โส้ โย้ยและกะเลิง รวมไปถึงกลุ่มคนที่ อพยพเข้ามาภายหลัง คือ ชาวจีน ชาวเวียดนาม การที่บ้านเมืองมีความเจริญ สืบมาในปัจจุบันก็ด้วย อาศัยหยาดเหง่ือแรงกาย ภูมิปัญญาของเหล่าบรรพชนที่ส่ังสมมาหลายยุคหลายสมัย ปัจจุบันใน ท่ามกลางกระแส แห่งโลกาภิวัตน์ การศึกษาประวัติศาสตร์ความเป็นมาของท้องถิ่นบ้านเมืองและ วัฒนธรรมแห่งความเป็นชาติพันธุ์ นั้น มักถูกมองว่าเป็นเร่ืองเก่าล้าสมัย แต่ตรงกันข้ามว่า การศึกษา รากเหง้าความเป็นมาของท้องถิ่นนับเป็นสิ่งสาคัญอย่างหนึ่งอันจะก่อให้เกิดความรู้และความเข้าใจ เกิดสานึกความเห็นคุณค่า ความภูมิใจ และศักด์ิศรีของส่ิงท่ีตนเองมีอยู่ท่ีเป็นมรดกตกทอดมาจาก บรรพบุรุษในท้องถิ่น ความภูมิใจนี้ทาให้คนเรามีความเชื่อม่ันในตัวเองว่ามีของดีอยู่ สู่การพัฒนา ท้องถนิ่ ให้มีความเจรญิ ในอนาคต การจัดพิมพ์หนังสือ “คนสกลนครชาติพันธ์ุในชั้นประวัติศาสตร์” ของพิพิธภัณฑ์เมือง สกลนคร มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร เล่มนี้ จะเผยแพร่ไปสู่สถานศึกษาทุกระดับ ยังประโยชน์แก่ นักเรียน นักศึกษาและประชาชนท่ัวไปได้ร่วมตระหนักและเกิดความภาคภูมิใจในความหลากหลาย ทางชาตพิ ันธ์ุในทอ้ งถิน่ เมืองสกลนคร อาตมาภาพ ขอแสดงความชื่นชมในความวิริยะอุตสาหะและขออนุโมทนาในกุศลเจตนา ของทุกท่านท่ีได้ร่วมกันจัดพิมพ์หนังสือท่ีมีคุณค่าเล่มน้ี อันจะเป็นหลักฐานในการศึกษาค้นคว้า ของอนชุ นสบื ไป พระครูปลัดศรีธรรมวัฒน์ ประธานศนู ยอ์ นุรักษ์วัฒนธรรมพน้ื บ้านหทัยภูพานสกลนคร ศูนย์อนรุ ักษว์ ัฒนธรรมพ้นื บ้านหทยั ภูพานสกลนคร วนั ที่ ๑๕ ตลุ าคม พ.ศ. ๒๕๖๑

๖ คานา หนังสือ “คนสกลนครชาติพันธ์ุในชั้นประวัติศาสตร์” ของพิพิธภัณฑ์เมืองสกลนคร มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร เล่มน้ี มีเน้ือหาประกอบด้วยข้อมูลความเป็นมาของกลุ่มชาติพันธ์ุท้อง คนพื้นถ่ินกลุ่มต่าง ๆ ประกอบด้วย ลาวหรือไทอีสาน ผู้ไทหรือภูไท ญ้อ โส้ โย้ยและกะเลิง รวมไปถึง กลุ่มคนที่อพยพเข้ามาภายหลัง คือ ชาวจีน ชาวเวียดนาม ท่ีเข้ามาอาศัยอยู่ในพ้ืนท่ีจังหวัดสกลนคร นอกจากนี้ภายในเล่มยังประกอบด้วยภาพถ่ายวิถีชีวิตของบรรดากลุ่มชาติพันธ์ุพื้นถิ่น จากสานักหอ จดหมายเหตแุ ห่งชาติ กรมศิลปากร นามาประกอบเข้ากบั เนอ้ื หาไวอ้ ย่างน่าสนใจ พิพิธภัณฑ์เมืองสกลนคร ยังมีจุดมุ่งหมายท่ีสาคัญในการจัดพิมพ์เผยแพร่หนังสือเล่มน้ี อีกหลายประการ กลา่ วคือ ๑. เพื่อเสริมสร้างสานึกรกั ทอ้ งถ่ินของชาวสกลนคร ๒. เพื่อธารงรกั ษาและเสริมสรา้ งความภาคภมู ิใจในอตั ลกั ษณ์ความเป็นชาตพิ นั ธ์ุนน้ั ๆ ๓. เพอ่ื สง่ เสริมการศึกษาค้นควา้ วิเคราะห์และวิจยั ผลงานทางด้านประวัติศาสตร์ ศลิ ปะและ วฒั นธรรมทอ้ งถิ่นสกลนครใหก้ ว้างขวางย่ิงขนึ้ ขอขอบพระคุณไปยังท่านผู้มีอุปการคุณทุกท่านท่ีกรุณาจัดหางบประมาณและร่วมเป็น เจา้ ภาพสนับสนุนการจัดพิมพใ์ นคร้ังน้ี หวังเป็นอย่างย่ิงว่า หนังสือเล่มนี้ จะอานวยประโยชน์ให้เกิดความรักความเข้าใจและ ตระหนักในการศึกษาเรื่องราวของท้องถ่ินยิ่งข้ึน อีกท้ังยังมีส่วนช่วยเสริมสรา้ งส่ิงที่ทาให้เกิดสานึกรกั ท้องถ่นิ และประเทศชาตอิ ยา่ งมั่นคงสบื ไป ผชู้ ว่ ยศาสตราจารย์ปรีชา ธรรมวินทร อธิการบดมี หาวทิ ยาลยั ราชภัฏสกลนคร มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั สกลนคร วันที่ ๑๕ ตลุ าคม พ.ศ.๒๕๖๑

๗ คานาผูเ้ รียบเรยี งพมิ พ์ คาว่า “ชาติพันธ์ุ” (Ethnics) เป็นคาท่ีใช้เรียกกลุ่มคนทั่วไปมีความหมายคล้ายกับกลุ่มคา เหล่านี้คือ เช้ือชาติ ชนชาติ เผ่าพันธ์ุ เป็นคาที่ใช้กันทั่วไปในความหมายกว้าง ๆ ว่า หมายถึง กลุ่มคน ที่มีชีวิตอยู่ในพ้ืนท่ีบริเวณหน่ึง มีภาษา วิถีชีวิต จารีตประเพณีคล้ายคลึงกัน รวมทั้งอาจมีความสานึก วา่ เปน็ คนท่มี ีสายโลหติ เดียวกันและมีความเป็นอันหน่ึงอันเดียวกันในทางวัฒนธรรม สกลนคร มีความอุดมสมบูรณ์เหมาะสมกับการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ เกิดการอพยพเข้ามา ของผู้คนจากหลายหลากกลมุ่ ชาติพันธ์ุกลายเป็น “เขตสะสมทางวัฒนธรรม” ดังพบร่องรอยหลักฐาน การต้งั ถ่ินฐานมาตงั้ แตส่ มัยก่อนประวัตศิ าสตร์ โดยรบั เอาอิทธพิ ลทางความเช่อื ศาสนาและวฒั นธรรม ในยุคทวารวดี ขอม ล้านช้างและรัตนโกสินทร์ตามลาดับ โดยเฉพาะในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๒๔ เป็น ต้นมา ผลจากความขัดแย้งระหว่างสยามกับเวียงจันทน์ทาให้เกิดการเคลื่อนย้ายของผู้คนเข้าสู่ สกลนคร ประกอบด้วยกลุ่มชาติพันธุ์ท้องถ่ินเดิมถึง กลุ่ม ประกอบด้วย ลาวหรือไทอีสาน ผู้ไทหรือภู ไท ญ้อ โส้ โย้ยและกะเลิง พร้อมกันน้ียังมีกลุ่มของชาวจีนและชาวเวียดนามท่ีอพยพเข้ามาอยู่ ภายหลังกระจายตัวตั้งถิ่นฐานอยู่ปะปนกันกับกลุ่มชาติพันธ์ุในท้องถ่ินเดิม ล้วนแล้วแต่มีวิถีชีวิต ประเพณีวัฒนธรรมอันนา่ สนใจ เนือ้ หาในหนงั สอื เลม่ นี้ ผู้เขียนนาเสนอเนือ้ หาโดยสงั เขปของกลุ่มชาติพนั ธ์ุพ้นื ถ่นิ สกลนครกับ อีกสองเชื้อชาติที่อาศัยอยู่ในจังหวัดสกลนคร โดยพยายามเรียงลาดับเน้ือหาการเข้ามาของกลุ่มชาติ พันธุน์ ั้น ๆ ตามมติ ขิ องเวลาเปน็ หลกั และไดน้ ารปู ภาพต่าง ๆ แทรกประกอบด้วย ดังน้ี ๑. ภาพถ่ายเมื่อคร้ังกรมหลวงดารงราชานุภาพ หรือนายพลเอก มหาอามาตย์เอก สมเด็จ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดารงราชานุภาพ เสนาบดีกระทรวงมหาดไทย เสด็จตรวจราชการ มณฑลอดุ รและมณฑลอสี าน ปพี ุทธศกั ราช ๒๔๔๙ ประกอบดว้ ยภาพวิถีชีวติ สังคมและวัฒนธรรมของ เมอื งนครพนม เมอื งกสุ ุมาลยม์ ณฑลและเมืองสกลนคร ๒. ภาพถ่ายเมื่อคร้ังนายพลเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบุรฉัตรไชยากร กรมพระ กาแพงเพ็ชรอัครโยธิน ผู้บัญชาการกรมรถไฟหลวง เสด็จสารวจเส้นทางทาทางรถไฟภาคอีสาน ปี พุทธศักราช ๒๔๖๕ ประกอบด้วยภาพวถิ ีชวี ติ สังคมและวัฒนธรรม ของเมืองนครพนม เมืองกุสุมาลย์ มณฑลและเมืองสกลนคร

๘ แต่อย่างไรก็ดี ผลการศึกษารวบรวม วิเคราะห์ตีความและเรียบเรียงของผู้เขียนท่ีปรากฏใน หนังสือเล่มนี้ อาจยังไม่ใช่เป็นข้อยุติทางวิชาการ ยังจาเป็นท่ีจะต้องศึกษาค้นคว้ากันต่อไป หากว่ามี ผู้สนใจศึกษาและใช้ข้อมูลในหนังสือเล่มน้ีเป็นฐานข้อมูลเพ่ือต่อยอดผลการศึกษาให้ดียิ่งขึ้น นาไปสู่ ความก้าวหน้าทางวิชาการด้านสังคมวิทยา มานุษยวิทยา ประวัติศาสตร์ โบราณคดีและวัฒนธรรม ท้องถนิ่ สกลนครแลว้ ผู้เขียนจักถอื ว่าเปน็ ความสาเรจ็ ย่ิงของหนงั สอื เล่มน้ีอยา่ งยิง่ นายพจนวราภรณ์ ขจรเนตรวณชิ กุล นกั วิชาการศึกษาปฏิบตั ิการ สถาบนั ภาษา ศลิ ปะและวัฒนธรรม มหาวทิ ยาลัยราชภฏั สกลนคร พิพิธภัณฑเ์ มืองสกลนคร วนั ท่ี ๑๗ สงิ หาคม พ.ศ.๒๕๖๑

๙ สารบัญ คานิยม คานา คานาผู้เรยี บเรียงพิมพ์ สารบัญ ความหลากหลายทางชาติพนั ธ์ุในสกลนคร กลมุ่ ชาติพันธไ์ุ ทลาวหรือไทอีสาน กลมุ่ ชาติพนั ธผ์ุ ู้ไทหรอื ภไู ท กลุ่มชาตพิ ันธไ์ุ ทญ้อ กลุ่มชาติพันธุ์ไทโส้ กลุ่มชาตพิ นั ธุ์ไทโยย้ กลุ่มชาตพิ นั ธุไ์ ทกะเลงิ กลุ่มชาวจีนหรอื ชาวไทยเชือ้ สายจีน กลุม่ ชาวญวนหรือชาวไทยเชอ้ื สายเวยี ดนาม สรุป บรรณานกุ รม

๑๐ ความหลากหลายทางชาตพิ นั ธุใ์ นสกลนคร ______________________________________________ คาว่า “ชาติพันธ์ุ” (Ethnics) เป็นคาท่ีใช้เรียกกลุ่มคนทั่วไปมีความหมายคล้ายกับกลุ่มคา เหล่าน้ีคือ เช้ือชาติ ชนชาติ เผ่าพันธ์ุ เป็นคาท่ีใช้กันทั่วไปในความหมายกว้าง ๆ ว่า หมายถึง กลุ่มคน ที่มีชีวิตอยู่ในพ้ืนที่บริเวณหน่ึง มีภาษา วิถีชีวิต จารีตประเพณีคล้ายคลึงกัน รวมท้ังอาจมีความสานึก วา่ เปน็ คนที่มีสายโลหติ เดยี วกนั และมคี วามเป็นอันหนึ่งอันเดียวกนั ในทางวฒั นธรรม ล่มุ น้าโขงตอนล่างของภมู ิภาคเอเชยี ตะวันออกเฉยี งใต้ มีความม่งั ค่งั และอดุ มสมบูรณ์มาอย่าง ยาวนาน ก่อให้เกิดการต้ังถ่ินฐานกระจายเข้าครอบครองผืนแผน่ ดินในอนุภูมิภาคจนเกิดลักษณะร่วม ทางภูมิศาสตร์และวัฒนธรรมแทบเป็นหน่วยเดียวกัน โดยพบว่า เป็นกลุ่มที่พูดภาษาในตระกูล “ไท– กะได” (Tai-Kadai Languages Family) และตระกูลออสโตรเอเชียติก (Austroasiatic Languages Family) หรือมอญ – เขมร (Mon – Khmer Languages Family) ตั้งถ่ินฐานกระจายอยู่อย่าง กว้างขวางในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวและภาคตะวันออกเฉียงเหนือหรื ออีสานของ ราชอาณาจักรไทยดว้ ยความหลากหลายทางกลมุ่ ชาติพนั ธ์ุในลุ่มแม่นา้ โขงตอนล่าง จึงเปน็ ปรากฏการ ทางสังคมและวัฒนธรรมท่ีพบแพร่หลายโดยท่ัวไปและพบว่า หมู่บ้านหรือชุมชนเหล่านี้ คร้ังหนึ่งเคย อยอู่ ยา่ งโดดเดยี่ วและมคี วามเปน็ อย่ขู องตนอย่างอิสระ ต่อมาไดก้ ลายเป็นสว่ นหนึง่ ของอาณาจักรล้าน ช้างและสยามหรือรัฐไทยในภายหลังสาหรับท่ีอาศัยอยู่ในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว บรรดากลุ่มชาติพันธ์ตุ ่างๆ แต่เดมิ ได้รบั การแบ่งกลุ่มตามทอี่ ยอู่ าศยั เปน็ 3 กลมุ่ คอื 1. ลาวลมุ่ คือ กลุ่มประชากรท่ีอาศัยอยพู่ ื้นท่ีราบประกอบดว้ ยไทกลุ่มต่าง ๆ อาทิ ไทลาว ไท แดง ไทดา ไทลื้อ ไทพวน เป็นต้น 2. ลาวเทงิ คอื กลุม่ ประชากรท่ีอาศัยอยู่ในบริเวณที่ราบสงู อาทิ บรู มะกอง งวน ตะโอย ตา เลยี ง ละเมด็ ละเวน กะตงั เป็นต้น 3. ลาวสูง คือ กลุ่มประชากรท่ีอาศัยอยู่ในบริเวณภูเขาสูงตอนเหนือ อาทิ ชาวม้ง เย้า มูเซอ และชาวเขาชนกลมุ่ น้อยตา่ งๆ แม้ว่ามีความแตกต่างทางกลุ่มภาษาไม่น้อยกว่า ๘๒ ภาษา แต่รูปแบบทางวัฒนธรรมของ กลุ่มชาติพันธ์ุในลาวและไทยยังคงเป็นอันเดียวกันมีระบบความเชื่อในเรื่องธรรมชาติและวิญญาณ ปรากฏรูปแบบพิธีกรรมท่ีเน้นการบูชาดินฟ้าอากาศและผีบรรพบุรุษ โดยมักมีผู้หญิงเป็นผู้ประกอบ พิธกี รรม เพ่อื นามาสคู่ วามอุดมสมบูรณ์ของชมุ ชน แม้ระยะหลงั อิทธิพลทางพระพุทธศาสนามีบทบาท มากขึ้นในลมุ่ นา้ โขง แต่ความเชื่อในเรื่องดงั กลา่ วยังแทรกซึมอยู่ในพิธีกรรมทางศาสนา เห็นได้จากการ เซ่นไหว้บูชาผีที่เป็นอารักษ์ท่ีต่างๆพร้อมกันน้ียังมีนิทานกาเนิดมนุษย์หรือพงศาวดารเมืองแถง เป็น วรรณกรรมร่วมของผู้คนในในตระกูล “ไท – กะได” (Tai-Kadai Languages Family) และตระกูล ออสโตรเอเชียติก (Austroasiatic Languages Family) หรือมอญ – เขมร (Mon – Khmer Languages Family)โดยระบุว่าทั้ง 2 กลุ่ม เป็นเครือญาติกันหรือเป็นพี่น้องท้องแม่ (น้าเต้าปุง) เดียวกนั

๑๑ ราษฎรเมืองสกลนคร จากหลากหลายกลมุ่ ชาตพิ นั ธุ์ เฝ้ารบั เสดจ็ พระเจา้ นอ้ งยาเธอ กรมหลวงดารง ราชานภุ าพ เสนาบดีกระทรวงมหาดไทย ถา่ ยเมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๙ ภาพ : สานักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ กรมศลิ ปากร

๑๒ สาหรับภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนหรือบริเวณ “แอ่งสกลนคร” (Sakon Nakhon Basin) เป็นบริเวณหน่ึงท่พี บการต้งั ถ่ินฐานของกลุ่มประชากรชาติพันธต์ุ ่างๆ ปรากฏหลักฐานมาต้งั แต่ พุทธศตวรรษท่ี ๑๙ เป็นต้นมา ภายหลังมีการเคล่ือนย้ายเข้ามาต้ังถิ่นฐานอาศัยอยู่เป็นชุมชนย่อย ท่ัวไปในหลายจังหวัดโดยเฉพาะจังหวัดสกลนคร เนื่องจากความหลากหลายทางธรรมชาติของ เทือกเขาภูพานและหนองหานอีกทั้งประกอบด้วยลาน้าหลายสายที่ไหลลงสู่แม่น้าโขง อาทิ ลาน้า สงครามและลาน้าก่า จนเกิดระบบนิเวศพ้ืนท่ีชุ่มน้าธรรมชาติทาให้สกลนครมีความอุดมสมบูรณ์ เหมาะสมกับการตั้งถ่ินฐานของมนุษย์ เกิดการอพยพเข้ามาของผู้คนจากหลายหลากกลุ่มชาติพันธ์ุ กลายเป็น “เขตสะสมทางวัฒนธรรม” ดังพบร่องรอยหลักฐานการตั้งถิ่นฐานมาต้ังแต่สมัยก่อน ประวัติศาสตร์ โดยรับเอาอิทธิพลทางความเช่ือ ศาสนาและวัฒนธรรม ในยุคทวารวดี ขอม ล้านช้าง และรัตนโกสินทร์ตามลาดับ โดยเฉพาะในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๒๔ เป็นต้นมา ผลจากความขัดแย้ง ระหว่างสยามกับเวียงจันทน์ทาให้เกิดการเคล่ือนย้ายของผู้คนเข้าสู่สกลนคร ประกอบด้วยกลุ่มชาติ พันธุ์ทอ้ งถิ่นเดิมถึง ๗ กลุ่ม ประกอบด้วย ไทลาวหรอื ไทอสี าน ผู้ไทหรือภไู ท ไทญอ้ ไทโส้ ไทโย้ย และ ไทกะเลิง พร้อมกันน้ียังมีกลุ่มของชาวจีนและชาวเวียดนามท่ีอพยพเข้ามาอยู่ภายหลังกระจายตัวตั้ง ถ่ินฐานอยู่ปะปนกันกับกลุ่มชาติพันธ์ุในท้องถิ่นเดิม ล้วนแล้วแต่มีวิถีชีวิต ประเพณีวัฒนธรรมอัน นา่ สนใจ

๑๓ กลุ่มชาตพิ นั ธไ์ุ ทลาวหรือไทอีสาน กลุ่มชาติพันธุ์ไทลาว หรือ “ไทอีสาน” อยู่ในกลุ่มภาษาไท - กะได (Tai –Kadai Languages Family) เปน็ กลุม่ ชาตพิ นั ธ์ทุ ี่มีจานวนประชากรมากที่สุดพบวา่ มกี ารตัง้ ถิ่นฐานอาศัยอยใู่ นพน้ื ท่ีลุ่มน้า โขงก่อนพุทธศตวรรษท่ี ๒๒ อาศัยกระจายกัน แถวริมฝั่งแม่น้าโขง ต้ังแต่จังหวัดเลย หนองคาย อุดรธานี สกลนคร จนถึงนครพนม ขณะนั้นเป็นส่วนหน่ึงของอาณาจักรล้านช้าง ไทลาวส่วนใหญ่มี บรรพบุรุษอพยพมาจากฝั่งซ้ายของแม่น้าโขงหรือในประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ในปจั จบุ ัน นอกจากน้พี บกระจายตั้งถิ่นฐานอย่ใู นบรเิ วณตา่ งๆ ของทร่ี าบสงู โคราช (Khorat Plateau) อาทิหนองบัวลาภู กาฬสินธุ์ ขอนแก่น มหาสารคาม ยโสธร ชยั ภูมิ และอบุ ลราชธานี เปน็ ตน้ สาหรับจังหวัดสกลนครพบว่ากลุ่มไทลาวส่วนใหญ่ต้ังถิ่นฐานอาศัยอยู่กระจายทั่วไปในพ้ืนที่ ของอาเภอสว่างแดนดิน อาเภอส่องดาว อาเภอเจริญศิลป์และอาเภอพังโคน เป็นต้น อีกท้ังยังมี บางส่วนจากจังหวัดอุบลราชธานี จังหวัดกาฬสินธุ์ จังหวัดร้อยเอ็ด จังหวัดมหาสารคาม อพยพเข้ามา เพ่ิมเติมในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๒๕ โดยคนถิ่นเดิมเรียกกลุ่มที่เข้ามาอยู่ใหม่นี้ว่า “ไทครัว” ทาให้กลุ่ม ชาติพนั ธุไ์ ทลาวนบั ได้วา่ เปน็ กล่มุ ใหญ่ทสี่ ุดในบรรดากลุ่มชาติพนั ธท์ุ อี่ าศัยอย่ใู นบรเิ วณสกลนคร

๑๔ สตรีกลมุ่ ชาตพิ นั ธไ์ุ ทลาว ในมณฑลอุดร เมอ่ื พ.ศ. ๒๔๔๙ ภาพ : สานักหอจดหมายเหตแุ ห่งชาติ กรมศลิ ปากร

๑๕ สตรีกลมุ่ ชาตพิ นั ธไ์ุ ทลาว ในมณฑลอุดร เมอ่ื พ.ศ. ๒๔๔๙ ภาพ : สานักหอจดหมายเหตแุ ห่งชาติ กรมศลิ ปากร

๑๖ กลุม่ ชาติพนั ธผุ์ ู้ไทหรือภไู ท กลุ่มชาติพันธุ์ผู้ไทหรือภูไท จัดอยู่ในกลุ่มภาษาไท - กะได (Tai Kadai Languages Family) เดิมมีถิ่นฐานอาศัยอยู่บริเวณแคว้นสิบสองจุไททางตอนเหนือของลาวและเวียดนามซ่ึงติดต่อกับ ภาคใต้ของจีน โดยเฉพาะแถบบริเวณลุ่มแม่น้าดากับแม่น้าแดง โดยอาศัยอยู่รวมกับเผ่าอ่ืน ๆ เนื่องจากความอดุ มสมบูรณข์ องลุ่มน้าดงั กลา่ วชาวผไู้ ทบริเวณนแี้ บ่งออกเปน็ ๒ กลุ่ม คอื ๑. กลุ่มผู้ไทบริเวณเมืองไล (ไลเจา) ประกอบด้วยชาวผู้ไทที่อาศัยอยู่ใน ๔ เมือง คือ เมือง เจียน เมืองมุน เมอื งบางและเมอื งไลบางคร้งั เรยี กว่า กลุม่ ผู้ไทขาวและผไู้ ทแดง ๒. กลมุ่ ผูไ้ ทบริเวณเมืองแถน (เดียนเบียนฟู) ประกอบด้วยชาวผู้ไทท่ีอาศัยอยู่ใน ๘ เมือง คอื เมืองควาย เมืองคุง เมืองม่วย เมืองลวย เมืองโมะ เมืองหวัด เมืองซาและเมืองแถง โดยทั่วไปเรียกว่า กลุ่มผู้ไทดา นอกจากน้ีมีมีบางกลุ่มได้อพยพเข้ามาตั้งบ้านเรือนในพ้ืนที่ตอนกลางของลาวข้ึนต่อ เวียงจันทน์ เรียกว่า ผู้ไทวัง ผู้ไทกะปอง ผู้ไทกะตาก ก่อนอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานในประเทศไทยใน ระยะต่อมา จากหลักฐานทางประวัติศาสตรท์ าให้ทราบว่า กลุ่มชาติพันธ์ุผู้ไทหรือภูไทอพยพเข้ามาต้ังถ่ิน ฐานในสกลนครหลายครั้งด้วยกันโดยเฉพาะในสมัยรัชกาลท่ี 3 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์มีการอพยพเข้า มามากที่สุด นอกจากน้ีพบต้ังถิ่นฐานกระจายในไปบริเวณต่าง ๆ ของแอ่งสกลนคร อาทิ นครพนม มุกดาหาร กาฬสินธ์ุระยะต่อมาชุมชนชาวผู้ไทได้รับการยกข้ึนเป็นบ้านเมืองหลายแห่งด้วยกัน ประกอบดว้ ย เมืองเรณูนคร (เมืองเว) เมืองพรรณานคิ ม เมืองภูแล่นชา้ ง (เมอื งภูแดนชา้ ง) เมอื งหนอง สงู เมอื งเสนานิคม เมอื งคาเขอื่ นแก้วและเมอื งวาริชภมู ิ เป็นต้น กลุ่มชาติพันธ์ุผู้ไทหรือภูไทสกลนครส่วนใหญ่ตั้งถิ่นฐานอาศัยอยู่เป็นหลักแหล่งกระจายอยู่ ตามหมูบ่ า้ นบรเิ วณเชิงเขาภูพาน โดยเฉพาะบริเวณพื้นที่อาเภอวารชิ ภูมิและอาเภอพรรณานิคม แต่มี บางส่วนต้ังถิ่นฐานอาศัยอยู่ในแถบอาเภอพังโคน อาเภอวานรนิวาส อาเภอบ้านม่วงและอาเภอคาตา กล้า โดยพบว่า มีการต้ังถิ่นฐานอยู่ในแอ่งสกลนครหลายคร้ังด้วยกัน สาหรับกลุ่มชาติพันธ์ุผู้ไทในเขต จังหวัดสกลนคร ประกอบด้วย 3 กลุม่ หลักๆ ดงั นี้ - ผูไ้ ทวัง ตัง้ ถ่ินฐานอยใู่ นแถบอาเภอพรรณานิคม - ผ้ไู ทกะปอง ตั้งถิ่นฐานอยู่ในแถบอาเภอวาริชภมู ิ - ผู้ไทกะตาก ตั้งถ่ินฐานในเขตตาบลโนนหอม อาเภอเมืองสกลนครและทิศใต้ของหนองหาน เป็นต้น

๑๗ สตรีกล่มุ ชาติพันธผุ์ ไู้ ทหรือภไู ท ในมณฑลอุดร เมอ่ื พ.ศ. ๒๔๔๙ ภาพ : สานกั หอจดหมายเหตแุ ห่งชาติ กรมศิลปากร

๑๘ สตรีกล่มุ ชาติพันธผุ์ ไู้ ทหรือภไู ท ในมณฑลอุดร เมอ่ื พ.ศ. ๒๔๔๙ ภาพ : สานกั หอจดหมายเหตแุ ห่งชาติ กรมศิลปากร

๑๙ กล่มุ ชาตพิ นั ธุ์ไทญอ้ กลุ่มชาติพันธุ์ไทญ้อจัดอยู่ในกลุ่มภาษาไท - กะได (Tai - Kadai Languages Family) ส่วน ใหญ่มีถิ่นฐานอาศัยบริเวณตอนกลางของประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวลาวในแถบ เมืองมะหาไซกองแกว้ เมืองคาเกิด เมอื งคามว่ น นอกจากนยี้ ังมบี างสว่ นระบุวา่ อพยพจากเมืองหงสา แขวงไชยบุลี สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว1 โดยเข้ามาตั้งถ่ินฐานในแถบอาเภอท่าอุเทน จงั หวดั นครพนม เป็นกลมุ่ ใหญ่ กลุ่มชาติพันธ์ุไทญ้อ กลุ่มใหญ่อพยพเข้ามาตั้งถ่ินฐานในเขตตัวเมืองสกลนคร เป็นกลุ่มที่มา จากเมืองมะหาไซกองแก้ว เมืองคาเกิด เมืองคาม่วน ซึ่งอยู่ในแผ่นดนิ ฝงั่ ซ้ายแม่น้าโขงของลาวในอดตี เมื่อคร้ังแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ดังปรากฏ หลกั ฐานระบวุ ่า เมื่อ พ.ศ. ๒๓๘๗ อปุ ฮาด (คาสาย) ราชวงศ์ (คา) และท้าวอนิ เมอื งมะหาไซกองแก้ว ถกู กวาดต้อนให้มาตั้งบ้านเรือนอยู่ที่เมืองสกลนครเก่า ต่อมาราชวงศ์ (คา) ไดร้ บั การโปรดเกล้าตั้งเป็น เจ้าเมือง และยกเป็นเมืองสกลนครอย่างเป็นทางการ โดยกลุ่มไทญ้อหลัก ๆ อยู่ในพื้นท่ีของอาเภอ เมอื งสกลนคร อาเภอโพนนาแก้ว อาเภอโคกศรีสพุ รรณ อาเภอเตา่ งอย และบรเิ วณชุมชนต่าง ๆ รอบ หนองหารเป็นต้นและยังพบว่ากลุ่มไทญ้อกระจายออกไปตั้งถ่ินฐานตามบรเิ วณต่างๆ ต่อมาได้รับการ ยกขึ้นเป็นเมือง อาทิ เมืองแซงบาดาล (บา้ นแซงบาดาล อาเภอสมเดจ็ จังหวัดกาฬสินธุ์) เมอื งท่าขอน ยาง (บา้ นทา่ ขอนยาง อาเภอกนั ทรวิชยั จงั หวดั มหาสารคาม) นอกจากน้ยี ังมกี ลมุ่ ไทญ้อในแถบอาเภอ พนัสนิคม และอาเภออรัญประเทศจงั หวัดปราจีนบรุ ีอกี ดว้ ย 1 เมธี ดวงสงค์ภูมิ – ประวตั ศิ าสตร์ท่าอุเทน ประวตั ิทา่ นพระอาจารย์ศรีทัตถ์และประวัตพิ ระธาตทุ า่ อุเทน นครพนม : โรงพิมพ์ ส. วัฒนา 2514, หนา้ 22

๒๐ สตรกี ลมุ่ ชาติพันธไ์ุ ทญอ้ กับอปุ กรณจ์ บั ปลาในหนองหาน เมืองสกลนคร มณฑลอุดร เมือ่ พ.ศ. ๒๔๔๙ ภาพ : สานักหอจดหมายเหตแุ ห่งชาติ กรมศลิ ปากร

๒๑ สตรกี ลมุ่ ชาติพนั ธไ์ุ ทญอ้ มณฑลอดุ ร เมอื่ พ.ศ. ๒๔๔๙ ภาพ : สานักหอจดหมายเหตแุ หง่ ชาติ กรมศิลปากร

๒๒ กลมุ่ ชาตพิ นั ธ์ุไทโส้ กลุ่มชาติพันธ์ุไทโส้ หรือ “กะโส้” จัดอยู่ในกลุ่มภาษาออสโตรเอเชียติค (Austro Asiatic Languages Family) หรือมอญ – เขมร (Mon – Khmer Languages Family ) เดิมอาศัยอยู่ใน บริเวณตอนกลางของประเทศลาวแถบเมืองมะหาไซกองแก้ว นอกจากน้ียังอาศัยแถบเมืองพิณ เมือง นอง เมืองวังอ่างคาและเมืองตะโปน ท้ังน้ีนักภาษาศาสตร์จาแนกออกเป็น 3 กลุ่มประกอบด้วย “ไท โส้”“โส้ทะวืง” สองกลุ่มน้ีอาศัยในแถบจังหวัดนครพนม สกลนคร มุกดาหารและบางสว่ นของจงั หวัด กาฬสนิ ธุ์สว่ นกลุ่มสดุ ท้ายเรยี กวา่ “บรู” ต้งั ถิ่นฐานในแถบจังหวดั อบุ ลราชธานี เปน็ ตน้ ไทโส้ในสกลนครส่วนใหญ่มีถ่ินฐานเดิมอยู่ในเขตเมืองมะหาไซกองแก้ว2 แขวงคาม่วน สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว พบหลักฐานการเข้ามาตั้งถ่ินฐานอาศัยของชนเผา่ ไทโส้ ใน สกลนครเม่ือพุทธศักราช ๒๓๖๒ สมัยแผ่นดินล้นเกล้ารัชกาลท่ี ๓ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ โดยการนา ของเพ้ียเมืองสูง เข้ามาต้ังบ้านเรือนอยู่ที่ริมห้วย “กุดขมาน” ก่อนทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ยกข้ึน เป็น “เมืองกุสุมาลย์มณฑล” และภายหลังได้แยกออกไปตั้งเป็นเมืองข้ึนอีกเมืองหน่ึงคือ “เมืองโพธิ ไพศาล” ชนเผ่าไทโส้ส่วนใหญ่ อยู่ในพื้นท่ีของอาเภอกุสุมาลย์และจัดเป็นกลุ่มใหญ่สุดอาศัยอยู่ใน สกลนครนอกจากน้ยี ังพบว่ามีอีกกลุ่มหนึง่ ทีเ่ รยี กตนเองว่า “โส้ทะวงึ ” ต้ังถ่นิ ฐานใกล้กับเชิงเขาภูพาน ในแถบท่ีบา้ นปทุมวาปี ตาบลปทมุ วาปี อาเภอส่องดาว จงั หวัดสกนคร 2 ประเวท แดงดา (บรรณาธิการ) นทิ านโบราณคดี พระนพิ นธ์ : สมเดจ็ ฯ กรมพระยาดารงราชานภุ าพ นนทบรุ ี : สานกั พมิ พด์ อก หญ้า 2000 2559 หน้า 275

๒๓ ชายกลมุ่ ชาตพิ ันธโ์ุ ส้หรอื กระโส้ ในมณฑลอุดร เมอื่ พ.ศ.2449 ภาพ : สานกั หอจดหมายเหตุแหง่ ชาติ กรมศิลปากร

๒๔ พระอรัญอาสา (กงิ่ ) และนางพระอรัญอาสา ภรรยา เจ้าเมอื งกสุ ุมาลย์มณฑล ถ่ายเมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๙ ภาพ : สานักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ กรมศลิ ปากร

๒๕ การเล่น “สะโลออ๊ ” หรือ “สะลา” ตามความเชื่อของกลุม่ ชาติพันธโุ์ ส้ ในมณฑลอดุ ร เมอื่ พ.ศ. ๒๔๔๙ ภาพ : สานกั หอจดหมายเหตุแห่งชาติ กรมศิลปากร

๒๖ สตรกี ลมุ่ ชาติพนั ธไ์ุ ทโส้ ในมณฑลอุดร เมอ่ื พ.ศ. ๒๔๖๕ ภาพ : สานกั หอจดหมายเหตแุ หง่ ชาติ กรมศลิ ปากร

๒๗ กลุ่มชาติพันธ์ุไทโย้ย กลุ่มชาติพนั ธ์ไุ ทโย้ย จดั อยใู่ นกลุ่มภาษาไท - กะได (Tai –Kadai Languages Family) แต่ เดิมต้ังถิ่นฐานอาศัยในแถบเมืองฮ่อมท้าวฮูเซ3หรอื เมืองหอมทา้ ว เมืองหลวงปุงเลง และเมืองตะโปน บรเิ วณตอนกลางของประเทศลาวต่อมาได้อพยพเขา้ มาตัง้ ถิ่นฐานในประเทศไทย แตใ่ นนิทาน โบราณคดี พระนิพนธ์ของสมเด็จฯ กรมพระยาดารงราชานภุ าพ เมอื่ ครั้งเสดจ็ ตรวจราชการมณฑล อุดรและมณฑลอีสาน พ.ศ.2449 กล่าววา่ “พวกโย้ย อยู่ที่เมอื งอากาศอานวยขน้ึ เมืองสกลนคร ถาม ไมไ่ ดค้ วามว่าถ่นิ เดิมอยู่ทไ่ี หน”4 ไทโยย้ ในสกลนคร ไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชดั ว่าเข้ามาต้งั ฐานฐานในสมยั ใด หากแต่ในสมัย รตั นโกสนิ ทร์ตอนต้นพบหลกั ฐานระบุชัดว่า มีการต้ังถิน่ ฐานเป็นชุมชนของราษฎรทเ่ี ปน็ กลุ่มชาตพิ ันธุ์ ไทโย้ยในแขวงเมืองสกลนคร โดยบางชุมชนไดร้ บั โปรดเกล้ายกขน้ึ เปน็ เมืองในรัชสมัยแผน่ ดิน พระบาทสมเดจ็ พระนง่ั เกล้าเจา้ อยู่หัวรัชกาลท่ี 3 และรชั กาลท่ี 4 อาทิ เมืองอากาศอานวย เมืองสวา่ ง แดนดนิ และเมืองวานรนิวาส กลมุ่ ชาติพนั ธ์ุไทกะเลิง กลุ่มชาตพิ ันธุ์ไทกะเลิง เปน็ อีกกลมุ่ หน่ึงทป่ี จั จบุ นั มภี าษาพูดในกลมุ่ ไท – กะได (Tai – Kadai Languages Family) โดยทั่วไปมักเข้าใจกนั วา่ “กะเลิง” มาจากคาวา่ “ขะเลิง” หรือ “ข่าเลิง” จึง เชื่อมโยงจดั ให้กลุ่มชาติพันธกุ์ ะเลิงภาษาออสโตรเอเชยี ติค (Austro Asiatic Languages Family) หรอื มอญ – เขมร (Mon – Khmer Languages Family ) แต่จากการศกึ ษาพบว่า กลุ่มชาติพนั ธ์ุ กะเลิงท่ีอาศยั อยู่ในจงั หวดั สกลนครและอยู่ในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวในปจั จบุ นั ต่าง มภี าษาพดู ในตระกลู ไท – กะได(Tai – Kadai Languages Family) แทบท้ังสิน้ โดยตง้ั ถิ่นฐานอาศัย อย่ใู นเขตแขวงเมืองคาเกดิ แขวงเมอื งคาม่วน สาธารณรฐั ประชาธิปไตยประชาชนลาว กอ่ นอพยพ และถูกกวาดต้อนเน่ืองจากผลแห่งสงครามเขา้ มาตั้งถนิ่ ฐานในแถบนครพนมและสกลนครเป็นสว่ น ใหญ่ นอกจากน้ีพระนิพนธ์ เรือ่ งนิทานโบราณคดี ของสมเด็จฯ กรมพระยาดารงราชานุภาพ เมื่อครงั้ เสดจ็ ตรวจราชการมณฑลอดุ รและมณฑลอีสาน พ.ศ.2449 กลา่ วว่า “พวกกะเลิง พบในแขวง สกลนครมมี าก วา่ ถ่นิ เดมิ อย่เู มอื งกะตากแต่ไม่รู้วา่ เมืองกะตากอยู่ที่ไหน เพราะอพยพมาอยใู่ นแดน ลานชา้ งหลายชวั่ คน”5 กลมุ่ ชาติพนั ธุ์กะเลงิ อพยพเขา้ มาอาศัยในจงั หวดั สกลนครสมัยรัตนโกสนิ ทร์ และสว่ นใหญต่ ั้ง ถน่ิ ฐานอาศยั อย่บู รเิ วณรมิ หนองหารกบั บรเิ วณเทือกเขาภพู านมีวิถีชวี ติ ท่ผี ูกพันกับธรรมชาติ ปจั จุบนั ไทกะเลงิ สว่ นใหญ่อาศยั ยใู่ นพ้ืนที่ของบา้ นนายอ บ้านโพนงาม อาเภอเมอื งสกลนคร และมีบางกลุ่มท่ี อพยพขึ้นไปตง้ั ถ่นิ ฐานในแถบอาเภอกุดบาก อาเภอภูพาน เปน็ ตน้ 3 สานกั งานศกึ ษาธกิ ารจังหวัดสกลนคร ประวตั ชิ นเผ่าพ้นื เมอื ง จังหวัดสกลนคร ไม่ระบสุ ถานทีพ่ ิมพ์ 2545 หนา้ 17 4 ประเวท แดงดา (บรรณาธิการ) นทิ านโบราณคดี พระนพิ นธ์ : สมเดจ็ ฯ กรมพระยาดารงราชานภุ าพ นนทบุรี : สานักพิมพ์ดอก หญา้ 2000 2559 หน้า 274 5 ประเวท แดงดา (บรรณาธิการ) นิทานโบราณคดี พระนพิ นธ์ : สมเดจ็ ฯ กรมพระยาดารงราชานภุ าพ นนทบรุ ี : สานักพมิ พด์ อก หญา้ 2000 2559 หน้า 273

๒๘ ชายกล่มุ ชาติพนั ธ์ุกะเลิง ในมณฑลอดุ ร เม่อื พ.ศ. ๒๔๔๙ ภาพ : สานกั หอจดหมายเหตุแหง่ ชาติ กรมศิลปากร

๒๙ สตรกี ลมุ่ ชาติพันธุ์กะเลงิ ในมณฑลอดุ ร เมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๕ ภาพ : สานักหอจดหมายเหตแุ ห่งชาติ กรมศิลปากร

๓๐ ราษฎรชาตพิ ันธ์ุกะเลงิ ในมณฑลอดุ ร เม่ือ พ.ศ. ๒๔๖๕ ภาพ : สานักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ กรมศลิ ปากร

๓๑ กลุ่มชาวจีนหรอื ชาวไทยเช้ือสายจนี ชาวไทจีนหรือ ไทยเช้ือสายจีน คือ ชาวจีนที่เกิดในประเทศไทยหรือมีเป็นเช้ือสายของผู้ อพยพชาวจีนหรือชาวจีนโพ้นทะเล คนไทอีสานและไทลาวส่วนใหญ่อาจเรียกว่า “เจ๊ก” ส่วนมากมัก เป็นเชื้อสายจีนแต้จ๋ิวรองลงมา ได้แก่ จีนแคะ จีนไหหลา จีนกวางตุ้ง จีนฮกเก้ียน ไทจีนสาหรับการ เข้ามาตั้งถิ่นฐานของชาวจีนในประเทศไทยมีหลักฐานเด่นชัดในสมัยอยุธยาสืบเ นื่องมาจนถึงสมัย รัตนโกสินทร์ โดยเข้ามาต้ังรกรากทาการค้าขาย และทาการรับจ้างท่วั ไป การทาทางรถไฟสายกรุงเทพ – นครราชสีมา ในสมยั รชั กาลที่ ๕ เปน็ สว่ นสาคัญทาใหช้ าวจีน ไดเ้ ข้าส่ภู าคอีสานมากขนึ้ โดยมีจุดเร่ิมตน้ ทจี่ ังหวัดนครราชสีมา ก่อนกระจายเข้ามาต้ังบ้านเรือนทามา หากินในชุมชนเมือง ตามทางรถไฟโดยเฉพาะเมืองที่เป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ อาทิ ขอนแก่น อดุ รธานี หนองคาย อบุ ลราชธานี เป็นต้นการเข้ามาของชาวจนี ในจังหวดั สกลนคร พบหลกั ฐานเขา้ มา ก่อนปี พ.ศ. ๒๔๓๒6 สมัยรัชกาลที่ ๕ โดยทาการค้าขาย ตั้งรกรากทามาหากินและแต่งงานกับคนใน พ้ืนที่ โดยเฉพาะในเขตอาเภอเมืองสกลนคร อาเภอสว่างแดนดิน อาเภอพังโคน ปัจจุบันชาวจีนมี บทบาทอย่างกว้างขวาง อาทิ ด้านสังคม เศรษฐกิจการเมืองและวัฒนธรรม ของจังหวัดสกลนคร โดยเฉพาะบทบาทด้านเศรษฐกิจสังคม และการเมืองท้องถ่ินยกตัวอย่างเช่น การค้าขายในจังหวัด การมสี ่วนรว่ มทางการเมืองท้องถน่ิ รวมทั้งการกอ่ ตง้ั สมาคมชาวจีนภายในจงั หวัด 6 หอจดหมายเหตแุ หง่ ชาติ กรมศลิ ปากร ใบบอกเมืองสกลนครม.2.123/1(94) วัน 1710 คา่ ปฉี ลเู อกศก ศักราช 1251 (2432)

๓๒ การทาทางรถไฟสายกรงุ เทพ – นครราชสมี า ในสมยั รชั กาลที่ ๕ เปน็ ส่วนสาคญั ทาให้ชาวจีนไดเ้ ขา้ ส่ภู าคอสี านมากขึ้น ภาพ : สานกั หอจดหมายเหตุแห่งชาติ กรมศิลปากร

๓๓ “ปงึ เถ่ากง – ปงึ เถา่ มา่ ” หรอื “เจ้าปู่ – ยา่ ” เปน็ ส่งิ ศกั ดสิ์ ทิ ธิ์ท่ีชาวจีนหรือชาวไทยเชอ้ื สายจนี ในท้องถ่นิ ตา่ งๆ ใหค้ วามเคารพนบั ถือ ภาพ : คุณประสาท ตงศริ ิ

๓๔ กลุ่มชาวญวนหรอื ชาวไทยเชอ้ื สายเวียดนาม ชาวญวน หรือชาวไทยเชอ้ื สายเวียดนาม คือ คนเวียดนามอพยพเข้ามาต้ังถิ่นฐานในประเทศ ไทยและชาวเวยี ดนามท่เี กดิ ในประเทศไทยโดยชาวญวน หรอื ชาวไทยเชอ้ื สายเวียดนามมกั เรยี กตนเอง วา่ “เหวียต”บางครั้งคนอสี านและไทลาวเรียกวา่ “แกว” แต่เดิมชาวเวียดนามกระจายตวั อยทู่ างตอน ใตข้ องประเทศจีน ปจั จบุ นั คอื สาธารณรัฐสงั คมนยิ มเวยี ดนามสาหรบั การเข้ามาต้ังถิน่ ฐานในประเทศ ไทยของชาวญวนหรือชาวเวียดนามน้ันแบ่งออกเป็น ๒ กลุ่ม คือ กลุ่มญวณเก่าหรือเวียดนามเก่า คือ กลุ่มที่เข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรไทยก่อนปี พ.ศ. ๒๔๘๘ หรือเม่ือก่อนการประกาศพระราชบัญญัติ ตรวจคนเขา้ เมือง พุทธศักราช ๒๔๘๘ และกลุม่ ญวนใหมห่ รือเวียดนามใหม่ เรียกอกี อยา่ งหนง่ึ วา่ ญวน อพยพหรือเวียดนามอพยพคือ กลุ่มที่เข้ามาภายหลังปี พ.ศ. ๒๔๘๘ และหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ กลุ่มน้ีมีฐานะเป็นคนต่างด้าว และระยะหลังถูกผลักดันให้กลับมาตุภูมิโดยสมัครใจบางกลุ่มส่วนใหญ่ ได้รับสัญชาติไทยในเวลาต่อมา ชาวไทยเช้ือสายเวียดนามส่วนมากอาศัยอยู่หนาแน่นต่างๆในจังหวัด ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนอื ได้แก่ นครพนม สกลนคร อุดรธานี หนองคาย มกุ ดาหาร และอบุ ลราชธานี เป็นต้น ชาวไทญวน หรือ ชาวไทยเชื้อสายเวียดนาม อพยพเข้ามาต้ังถิ่นฐานในจังหวัดสกลนคร สามารถแบง่ ออกได้ ๓ กลมุ่ ดงั นี้ กลุ่มแรก ตามหลักฐานที่ปรากฏในเอกสารพ้ืนเวียง กล่าวถึงการกวาดต้อนกลุ่มชาติพันธุ์ ต่างๆ แถบเมืองมหาชัยกองแก้ว และภูเขาอาก ซ่ึงเป็นภูเขาแบ่งเขตลาว – เวียดนาม ในคร้ังน้ันได้ เรียกชาวเวียดนามกลมุ่ น้ีว่า “แกว” โดยข้ามแม่น้าโขงเข้ามาต้ังถ่ินฐานในบ้านเมืองต่างๆ ในสยามแต่ ยังมีจานวนไม่มากนัก กลุ่มทสี่ อง สมัยรชั กาลท่ี 5 เม่อื เกดิ ศึกฮ่อตที ุ่งเชียงคาเวียงจันทน์ ชาวเวยี ดนามและกลุ่มชาติ พันธ์ุ ในแถบเมืองภูวดลสอาง ได้เข้ามาในสกลนครอีกครั้งหนึ่ง และทาให้มีชาวเวียดนามในเมือง สกลนครมากข้ึน บางส่วนได้นับถือคริสต์ศาสนานิกายโรมันคาทอลิก ต่อมาได้ย้ายไปต้ังชุมชนใหม่ที่ บ้านทา่ แร่ ด้านทศิ เหนอื ของหนองหาน ในปีพุทธศกั ราช 2427 จนถงึ ปัจจบุ ัน กลุ่มท่ีสาม ในปี พ.ศ. 2488 ช่วงปลายสงครามโลกคร้ังที่ 2 ฝรั่งเศสเข้ายึดครองอินโดจีนอีก ครั้งหนึ่ง ชาวเวียดนามได้อพยพหนีสงครามเข้าสู่อีสานและจังหวัดสกลนครเป็นจานวนมากท่ีสุดกว่า ทุกครงั้ การเข้ามาของชาวเวียดนามในช่วงแรก มักบ้านเรือนอยู่ในแถบชุมชนเมืองตามริมแม่น้าโขง แล้วขยายเข้าสูช่ มุ ชนเมอื งทีอ่ ยูห่ า่ งออกไปในระยะต่อมาปัจจบุ นั ชาวไทยเชอ้ื สายเวียดนามในสกลนคร ค่อนข้างมีบทบาทในด้านต่างๆ ภายในท้องถิ่น อาทิ ด้านสังคม เศรษฐกิจ และศิลปวัฒนธรรม อย่าง กว้างขวางเหมือนชาวจีน โดยเฉพาะธุรกิจการรับเหมาก่อสร้างของชาวไทยเช้ือสายเวยี ดนาม และใน ด้านวฒั นธรรมปรากฏอยู่ตามวัด ในสกลนคร อาทิ ฝมี ือการก่อสร้างพัทธสีมาหลังเก่าและหอระฆังวัด พระธาตุเชิงชุม วรวิหาร พัทธสีมาวัดศรีสะเกษและพัทธสีมาวัดสะพานคา อาเภอเมืองสกลนคร จังหวัดสกลนคร เป็นต้นชาวไทญวนหรือชาวไทยเชื้อสายเวียดนามยังกระจายตั้งถิ่นฐานในหลาย อาเภอของสกลนคร อาทิ อาเภอเมอื งสกลนคร อาเภอพงั โคน และอาเภอสวา่ งแดนดิน เปน็ ต้น

๓๕ ชาวเวยี ดนามอพยพเข้ามาอาศัยอยู่ในจังหวดั สกลนครหลายครั้งด้วยกัน ระยะแรกมาอยู่เป็น กลุ่มมีอาชีพปลูกพืชเล้ียงสัตว์และรับจ้าง โดยอาศัยเช่าบ้านคนในพื้นที่เป็นท่ีอยู่อาศัยและประกอบ อาชีพส่วนมากต้ังถิ่นฐานตามชุมชนเมือง โดยเฉพาะเมืองที่เป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจสาคัญ และ มักจะเลือกทาเลการต้ังถ่ินฐานเหมือนกับชาวจีน เม่ือประกอบด้วยเรื่องการสะดวกในการติดต่อ คา้ ขาย ความมัน่ คงของอาชพี และความปลอดภยั ในชีวิตทรัพย์สิน โดยอาศัยอยู่รวมกันปะปนกบั คนใน ท้องถิ่น สาหรับรูปแบบที่พักอาศัยพบว่าเป็นห้องแถวไม้หรือปูนชั้นเดียวหรือ 2 ชั้น ประตูเป็นบาน เฟี้ยมชั้นล่างใช้ทาการค้าขายชั้นบนเป็นท่ีพักอาศัย ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพค้าขาย เช่น เสื้อผ้า อาหาร อะไหลร่ ถจักรยาน จกั รยานยนต์ รถยนต์ ตดั เย็บเมื้อผ้า และขายวัสดุกอ่ สรา้ ง เปน็ ต้น

๓๖ ราษฎรชาวญวนหรอื เวียดนาม ในมณฑลอดุ ร เมอ่ื พ.ศ. ๒๔๔๕ ภาพ : สานักหอจดหมายเหตแุ หง่ ชาติ กรมศลิ ปากร

๓๗ ราษฎรทเี่ ปน็ ญวนเกา่ และญวนใหม่ ในมณฑลอดุ ร เมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๕ ภาพ : สานักหอจดหมายเหตุแหง่ ชาติ กรมศิลปากร

๓๘ สรุป สกลนครมีการตั้งถิ่นฐานของกลุ่มประชากรชาติพันธ์ุต่างๆ ปรากฏหลักฐานมาตั้งแต่พุทธ ศตวรรษท่ี 19 เป็นต้นมา ภายหลังมีการเคลื่อนย้ายเข้ามาตั้งถิ่นฐานอาศัยอยู่เป็นชุมชนย่อยท่ัวไปใน หลายจังหวัดโดยเฉพาะจังหวัดสกลนคร ความหลากหลายทางธรรมชาติของเทือกเขาภูพานและ หนองหาน มีความอุดมสมบูรณ์เหมาะสมกับการต้ังถิ่นฐานของมนุษย์ จึงเกิดการอพยพเข้ามาของ ผู้คนจากหลายหลากกล่มุ ชาติพันธ์กุ ลายเปน็ “เขตสะสมทางวัฒนธรรม” ดังพบร่องรอยหลักฐานการ ต้ังถ่ินฐานมาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะในช่วงพุทธศตวรรษท่ี ๒๔ เป็นต้นมา ผลจาก ความขัดแย้งระหว่างสยามกับเวียงจันทน์ทาให้เกิดการเคล่ือนย้ายของผู้คน ส่วนมากประกอบด้วย กลุ่มชาติพันธ์ุท้องถิ่นเดิมถึง ๖ กลุ่ม ประกอบด้วย ลาวหรืออีสาน ผู้ไทหรือภูไท ญ้อ โส้ โย้ย และ กะเลิง ปะปนกันกับกลุ่มชาติพันธุ์ในท้องถิ่นเดิม รวมทั้งชาวจีนและชาวญวนหรือเวียดนาม ที่อพยพ เข้ามาต้ังถิ่นฐานในภายหลัง ดังนั้นเมืองสกลนครจึงกลายเป็นเขตสะสมทางวัฒนธรรมท่ีมีผู้คนอาศัย อยู่ปะปนกันบนบริเวณผืนแผ่นดินอันอุดมสมบูรณ์และล้วนแล้วแต่มีวิถีชีวิต ประเพณีวัฒนธรรมอัน น่าสนใจ

๓๙ บรรณานกุ รม หนงั สอื และบทความในหนงั สือ เกรยี งไกร ปรญิ ญาพล. บรรณาธิการ. พงศาวดารเมอื งสกลนคร : ฉบับ รองอามาตยโ์ ท พระบริบาลศภุ กจิ (คาสาย ศริ ิขนั ธ)์ . สกลนคร : โรงพมิ พส์ กลนครการพิมพ์, ๒๕๕๘. มลู นิธสิ ารานุกรมวฒั นธรรมไทย ธนาคารไทยพานชิ . “สารานุกรมวัฒนธรรมไทย ภาคอสี าน เลม่ ๘ ประจนั ตประเทศธานี,พระยา – พงศาวดาร เมอื งสกลนคร”,พมิ พ์เนือ่ งในพระราชพิธีมหามงคลเฉลมิ พระชนมพรรษา ๖ รอบ ๕ ธนั วาคม ๒๕๔๒, กรุงเทพ, ๒๕๔๒. ประเวท แดงดา (บรรณาธิการ) นทิ านโบราณคดี พระนิพนธ์ : สมเดจ็ ฯ กรมพระยาดารงราชานุภาพ นนทบรุ ี : สานกั พมิ พ์ดอกหญ้า ๒๐๐๐ ,๒๕๕๙. พจนวราภรณ์ เขจรเนตร. บรรณาธกิ าร. พงศาวดารเมืองสกลนคร : ฉบับอามาตย์โท พระยาประจันตประเทศธานี (โง่นคา พรหม สาขา ณ สกลนคร ณ สกลนคร).สกลนคร : สมศักดิก์ ารพมิ พ์ กรุ๊ป สกลนคร, ๒๕๖๑. พจนวราภรณ์ เขจรเนตร. บรรณาธิการ. พงศาวดารเมืองสกลนคร : ฉบับลายมือ อามาตย์โท พระยาประจันตประเทศธานี (โง่นคา พรหมสาขา ณ สกลนคร ณ สกลนคร). สกลนคร : สมศักด์กิ ารพมิ พ์ กรุ๊ป สกลนคร, ๒๕๖๑. เมธี ดวงสงคภ์ มู ิ – ประวตั ศิ าสตรท์ ่าอุเทน ประวัติทา่ นพระอาจารยศ์ รีทัตถแ์ ละประวตั ิพระธาตุ ท่าอเุ ทน นครพนม : โรงพิมพ์ ส.วัฒนา,๒๕๑๔. สรุ ตั น์ วรางคร์ ตั น์. บรรณาธิการ. ตานานพงศาวดารเมืองสกลนคร : ฉบับอามาตย์โท พระยาประจันตประเทศธานี (โง่นคา พรหมสาขา ณ สกลนคร ณ สกลนคร). สกลนคร: สกลนครการพิมพ,์ ๒๕๒๓. สานักงานศกึ ษาธิการจังหวดั สกลนคร ประวตั ชิ นเผ่าพืน้ เมือง จังหวัดสกลนคร ไมร่ ะบสุ ถานที่พมิ พ์ ๒๕๕๔ หน้า ๑๗.

๔๐ รายช่ือผู้มอี ุปการคณุ ในการจัดพิมพ์ : ๑. พิพธิ ภณั ฑ์เมืองสกลนคร มหาวิทยาลัยราชภฏั สกลนคร ๒. ศูนย์อนรุ ักษ์วฒั นธรรมพนื้ บ้านหทยั ภพู านสกลนคร ๓. นายพจนวราภรณ์ เขจรเนตร – นางสาวอมรรัตน์ ธนู ๔. ดร. ปรู ิดา วปิ ัชชา ๕. ดร. พิมพ์อมร นิยมค้า ๖. นายจกั รกฤษณ์ ดเิ รกคุณาภรณ์ – นางสาวสุพรรษา อนิ ทรวศิ ษิ ฎ์ ๗. คุณปกรณ์ ปกุ หตุ

๔๑

๔๒


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook