Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 2564_0-พระครูปริยัติวิสุทธิคุณ (การพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากของชุมชนปราสาทขอมในจังหวัดสุรินทร์)

2564_0-พระครูปริยัติวิสุทธิคุณ (การพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากของชุมชนปราสาทขอมในจังหวัดสุรินทร์)

Published by Thanarat Sa-Ard-Iam, 2023-06-30 00:45:14

Description: 2564_0-พระครูปริยัติวิสุทธิคุณ (การพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากของชุมชนปราสาทขอมในจังหวัดสุรินทร์)

Search

Read the Text Version

รายงานการวิจยั แผนงานวิจัย เรอ่ื ง การพฒั นาเศรษฐกิจฐานรากของชมุ ชนปราสาทขอมในจงั หวดั สุรนิ ทร์ Foundation Economic Development of Prasat Khmer Community in Surin Province โดย พระครูปรยิ ัติวสิ ทุ ธิคณุ , รศ.ดร. พระปรัชญา ชยวฑุ ฺโฒ ดร.ธนรัฐ สะอาดเอยี่ ม พระอธิการเวยี ง กติ ตฺ ิวณฺโณ, ผศ.ดร. นายธีรทพิ ย์ พวงจนั ทร์ มหาวทิ ยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วทิ ยาเขตสุรินทร์ พ.ศ. ๒๕๖๔ ไดร้ ับทุนอุดหนนุ การวจิ ัยจากกองทนุ ส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วจิ ยั และนวัตกรรม MCU RS 800764017

รายงานการวิจยั แผนงานวิจัย เรอื่ ง การพฒั นาเศรษฐกจิ ฐานรากของชุมชนปราสาทขอมในจงั หวัดสุรนิ ทร์ Foundation Economic Development of Prasat Khmer Community in Surin Province โดย พระครปู รยิ ัตวิ ิสุทธิคุณ, รศ.ดร. พระปรชั ญา ชยวฑุ ฺโฒ ดร.ธนรัฐ สะอาดเอี่ยม พระอธกิ ารเวยี ง กิตตฺ วิ ณฺโณ, ผศ.ดร. นายธรี ทิพย์ พวงจนั ทร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย วทิ ยาเขตสรุ ินทร์ พ.ศ. ๒๕๖๔ ได้รบั ทนุ อดุ หนุนการวจิ ยั จากกองทุนสง่ เสริมวทิ ยาศาสตร์ วจิ ยั และนวัตกรรม MCU RS 800764017 (ลขิ สิทธ์เิ ป็นของมหาวิทยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย)

Plan Research Report Foundation Economic Development of Prasat Khmer Community in Surin Province BY Phrakhru Pariyatwisutthikhun, Assoc. Prof. Dr. Phra Parachya Chayawutto/Tinkeaw Dr.Thanarat Sa-ard-iam Phra Athikarn Weang Kittiwanno, Asst. Prof. Dr. Mr. Theerathip Phuangjantra Mahachulalongkornrajavidyalaya University Surin Campus B.E.2564 Research Project Funded by Science Research and innovation Promotion Found MCU RS 800764017 (Copyright by Mahachulalongkornrajavidyalaya University)

ชอ่ื รายงานการวจิ ยั : การพฒั นาเศรษฐกจิ ฐานรากของชุมชนปราสาสาทขอมในจังหวัดสรุ นิ ทร์ ผวู้ จิ ัย : พระครูปรยิ ัตวิ สิ ุทธิคณุ , รศ.ดร., พระปรัชญา ชยวฑุ ฺโฒ, ดร.ธนรัฐ สะอาดเอี่ยม, พระอธกิ ารเวยี ง กิตฺติวณฺโณ, ผศ.ดร. สว่ นงาน : นายธรี ทิพย์ พวงจนั ทร์ ปงี บประมาณ : มหาวทิ ยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั วทิ ยาเขตสรุ นิ ทร์ ทนุ อดุ หนนุ การวจิ ัย: ๒๕๖๔ กองทนุ สง่ เสริมวทิ ยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม บทคดั ยอ่ การวิจัยเรื่อง “การพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากของชุมชนปราสาทขอมในจังหวัดสุรินทร์” มี วัตถุประสงค์ ๔ ประเด็น คือ ๑) เพื่อศึกษาประวัติศาสตร์และกิจกรรมการท่องเท่ียวชุมชนปราสาท ขอมในจังหวัดสุรินทร์ ๒) เพ่ือพัฒนาสินค้าและรูปแบบการบริการการท่องเท่ียวของชุมชนปราสาท ขอมในจังหวัดสุรินทร์ ๓) เพื่อพัฒนาเส้นทางท่องเท่ียวของชุมชนปราสาทขอมในจังหวัดสุรินทร์ และ ๔) เพื่อศึกษากลไกการจัดการและเครือข่ายการท่องเท่ียวของชุมชนปราสาทขอมในจังหวัดสุรินทร์ โดยใช้รูปแบบการวิจัยแบบปฏิบัติการ (Action Research) และการออกแบบการวิจัยแบบพัฒนา (Research and Development) โดยศกึ ษาข้อมูลจากการศึกษาเอกสารวิชาการที่เก่ียวข้อง และจาก การสมั ภาษณ์กลุม่ ผ้ใู หข้ อ้ มูลสาคัญ จานวน ๑๙๘ รูป/คนและ ใชว้ ธิ ีการพรรณนาวิเคราะห์ ผลการวจิ ัยพบว่า ๑) ประวัติศาสตร์และกิจกรรมการท่องเที่ยวชุมชนปราสาทขอมในจังหวัดสุรินทร์ พบว่า จากหลักฐานโบราณคดีที่ขุดพบในพื้นที่ของจังหวัดสุรินทร์ยังพบแหล่งอารย ธรรมเก่าแก่ของชุมชน โบราณยุคโลหะตอนปลายเป็นจานวนมากแสดงถึงความเจริญรุ่งเรืองท้ังศิลปกรรม สถาปัตยกรรม วัฒนธรรม ศาสนา เศรษฐกจิ และการปกครอง และปราสาทหินที่เก่าแก่ท่ีสุดและมากท่ีสุดในประเทศ ไทย ท่ีสร้างมาในช่วงพุทธศตวรรษท่ี 12 ซึ่งเป็นส่วนหน่ึงของ “อาณาจักรเจนละ ปราสาทขอมใน จังหวัดสรุ นิ ทร์พบวา่ มีจานวน ๓๙ แห่ง ใน ๑๕ อาเภอ ที่ปรากฏว่ามีปราสาทขอมต้ังอยู่ ได้แก่ อาเภอ เมืองสุรินทร์ อาเภอกาบเชิง อาเภอปราสาท อาเภอบัวเชด อาเภอศีขรภูมิ อาเภอจอมพระ อาเภอท่า ตูม อาเภอสังขะ อาเภอพนมดงรัก อาเภอโนนนารายณ์ อาเภอรัตนบุรี อาเภอเขวาสินรินทร์ อาเภอ ลาดวน อาเภอสาโรงทาบ และอาเภอสนม ซ่ึงในแต่ละแห่งมีสภาพของตัวอาคารและพื้นที่ๆ แตกต่าง กัน บางแห่งสภาพค่อนข้างสมบูรณ์ ส่วนของกิจกรรมการท่องเที่ยวของชุมชนปราสาทขอมในจังหวัด สุรินทร์ จากการศึกษาพบว่าปราสาทขอมมีจานวน ๑๒ แห่งเท่านั้นท่ีองค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน ภาคเอกชน และชุมชน สนับสนุนให้มีกิจกรรมการท่องเที่ยวในพ้ืนที่ปราสาทขอม โดยนิยมจัดใน รปู แบบของการบวงสรวงสงิ่ ศกั ด์ิสทิ ธ์ิ และการแสดงแสง สี เสียง เล่าเร่ืองราวประวัติความเป็นมาและ

ข ตานานทเี่ กยี่ วกับปราสาทขอมในแต่ละพื้นที่ ซึ่งเป็นกิจกรรมที่กาหนดจัดข้ึนตามกรอบระยะเวลา เมื่อ นักท่องเท่ียวเดินทางมาท่องเท่ียวจึงต้องมาในช่วงท่ีมีการจัดกิจกรรมโดยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เท่านั้น เพราะกิจกรรมท่ีสามารถทาได้ในพื้นที่ชุมชนปราสาทขอมมีกิจกรรมที่จากัด ซ่ึงสามารถทาได้ เพียงการถ่ายภาพค่กู ับปราสาท การศกึ ษาประวัตขิ องปราสาทแห่งนั้นๆ และมีบางแห่งที่สามารถเลือก ซ้อื สนิ คา้ ท่มี าขายในบรเิ วณปราสาทได้ ซึง่ ปราสาทขอมทั้ง ๑๒ นัน้ ได้แก่ ปราสาทศขี รภูมิ ปราสาทช่าง ป่ี ปราสาทบ้านอนันต์ ปราสาทภูมิโปน ปราสาทบ้านจารย์ ปราสาทหม่ืนชัย ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาควาย ปราสาทเบง ปราสาทยายเหงา ปราสาทตามอญ ปราสาทตระเปียงเตีย เป็นต้น ท่ี สามารถต่อยอดกิจกรรมในพ้ืนที่และสร้างเศรษฐกิจในชุมชนต่อไป และในประเด็นการจัดการ ท่องเที่ยวของชุมชนปราสาทขอมในจังหวัดสุรินทร์ จากข้อจากัดในหลายๆด้านทั้งพ้ืนท่ี และความ สมบูรณ์ของตัวปราสาทขอมเอง ส่งผลให้ความน่าสนใจของตัวปราสาทขอมมีน้อยลง การจัดการ ท่องเท่ยี วในแตล่ ะพืน้ ทย่ี ังคงเป็นหนว่ ยงานหลัก คือ สานกั ศลิ ปากรที่ ๑๐ (นครราชสีมา) กรมศิลปากร เป็นเจ้าของพื้นที่ในการบริหารจัดการและจัดหาส่ิงอานวยความสะดวกให้เกิดข้ึนในพื้นที่ แต่ด้วย จานวนของปราสาทขอมทัง้ ท่ขี ึ้นทะเบียนแล้ว และยังไมข่ ้นึ ทะเบยี นมปี ระมาณ 39 แห่งนนั้ ๒) การพฒั นาสนิ ค้าและรูปแบบการบรกิ ารการทอ่ งเที่ยวของชุมชนปราสาทขอมในจังหวัด สุรินทร์ พบว่า ๑) ต้นทุนทางสังคมและวัฒนธรรมของชุมชนปราสาทขอมในจังหวัดสุรินทร์ พบว่า : จังหวัดสุรินทร์ซึ่งเป็นจังหวัดท่ีตั้งอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย เป็นจังหวัดท่ีมีทุน ทางสังคมท้ังมี ๕ รูปแบบ คือ (๑) จิตวิญญาณ: แบ่งออก ๒ กลุ่มใหญ่ คือ (๑.๑) กลุ่มความเชื่อหรือ ศรัทธาในพระพุทธศาสนาเป็นฐาน คอื เป็นกลมุ่ ที่มพี ิธกี รรมทางพระพุทธศาสนาเข้ามาเกี่ยวข้อง (๑.๒) กลุ่มความเชอื่ ทอ้ งถ่นิ ที่เปน็ ภูมปิ ัญญาชาวบ้าน (๒) ทนุ ทางปัญญา : ได้แก่ ความรู้เก่ียวกับการเลี้ยงช้าง หรือเรียกว่า คชศาสตร์, ความรู้เกี่ยวกับการสร้างปราสาทขอม, ความรู้ด้านการทาการเกษตร, ความรู้ ด้านการวางผังเมือง, ความรู้ด้านการทาเคร่ืองปั่นดินเผ่า เช่นท่ีชุมชนบ้านปราสาทช่างป่ี เป็นต้น ภูมิ ปัญญาการทอผ้าไหมมัดหมี่ เป็นต้น (๓) ทรัพยากรมนุษย์: บรรพบุรุษกลุ่มชาติพันธ์ต่าง ๆ ท่ีมีความ เชี่ยวชาญเฉพาะด้านของตนเอง จังหวัดสุรินทร์มีความหลากหลายทางชาติพันธ์ ของเผ่าสุรินทร์ ท่ีมี เอกลักษณ์ เช่น ลาว กยู เขมร ทีม่ วี ฒั นธรรมการกิน การแตง่ งกาย วถิ ชี วี ิต ภาษาที่ต่างกัน (๔) ทุนทาง ทรพั ยากรธรรมชาติ : มที รี่ าบสาหรบั ปลูกขา้ วหอมมะลิ มีแม่น้าท่ีสาคัญไหลผ่าน คือ แม่น้ามูล, แม่น้าชี และมีแหล่งนา้ ทสี่ าคญั หลายแห่ง เช่น ห้วยเสนง, หว้ ยลาพอก, ห้วยทับทันเป็นต้น รวมท้ังเป็นจังหวัดท่ี ตงั้ อยูต่ ดิ ชายแดนกมั พชู า โดยมีเทือกเขาพนมดงรัก เป็นจุดเช่ือมความสัมพันธ์ระหว่างชาวไทยกับชาว กัมพูชา ภูเขาสวาย (๕) ทุนโภคทรัพย์ คือ ปราสาทขอม ซึ่งเป็นมรดกท่ีบรรพบุรุษของชาวสุรินทร์ได้ ร่วมกันสร้างซ่ึง มีปราสาทขอมในเขตอีสานใต้ของประเทศไทยเป็นส่วนหน่ึงแห่งมรดกทางวัฒนธรรม แห่งอารยธรรมขอมปราสาทขอมในจังหวัดสุรินทร์เหล่าน้ี ในส่วนของทุนทางวัฒนธรรมของจังหวัด สุรินทร์ พบว่า สุรินทร์เป็นจังหวัดเก่าแก่ที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นทางศิลปวัฒนธรรมและวิถีชีวิต คช ศาสตร์ชาวกูย, เจรียง, กันตรึม ประเกือมสุรินทร์, ภาษาเขมรถ่ินไทย ภาษากูย-กวย กะโน้บติง ราตร๊ต และมะม๊วต ๒) การพัฒนาสินค้าของชุมชนปราสาทขอมในจังหวัดสุรินทร์ พบว่า การสร้างสินค้าจาก

ค ต้นทุนทางสังคมและวัฒนธรรมของชุมชนปราสาทขอมเป็นมรดกทางวัฒนธรรมท้องถ่ินในจังหวัด สรุ นิ ทร์ มที ้งั ท่ียงั คงรกั ษาอยู่ แตก่ ระจดั กระจายและถกู ทาให้ลดจานวนลงอย่างมาก ยังไม่เป็นจุดสนใจ ของนักท่องเที่ยว รวมทั้งรูปแบบผลิตภัณฑ์ยังไม่มีความหลากหลาย ทั้งมีราคาถูกและด้อยคุณภาพ สาเหตุเนื่องจากตลาดชุมชนปราสาทขอมในจังหวัดสุรินทร์ยังไม่เป็นที่สนใจของนักลงทุนเท่าท่ีควร และนักท่องเที่ยวยังมีไม่มากพอหากเทียบกับภูมิภาคอื่น ๆ ในประเทศไทย ดังน้ัน ในการพัฒนา ผลติ ภัณฑป์ ราสาทขอมนน่ั คือ การพัฒนาผลติ ภณั ฑ์ท่ีมปี ราสาทขอมซึง่ เป็นทุนทางวัฒนธรรมท่ีมีอยู่ใน ชุมชนเป็นฐานคติทางความคิด โดยผู้วิจัยได้แบ่งผลิตภัณฑ์ เพ่ือพัฒนาและสร้างมูลค่าเพ่ิมให้กับทุน วัฒนธรรมปราสาทาขอม โดยแบ่งสินค้าใน ๓ รูปแบบ คือ (๑) ตราสัญลักษณ์สินค้า: ตราสัญลักษณ์ สินค้าหรือโลโก้ (Logo) ของแต่ละชุมชมปราสาท โดยมีลวดลายจากปราสาทขอมนามาออกแบบเป็น ตราสัญลักษณ์ (๒) กล่องบรรจุผลิตภัณฑ์ผ้าไหม: จังหวัดสุรินทร์เป็นแหล่งผลิตผ้าไหมจานวนมาก มี ลวดลายท่ีหลากหลาย แต่กล่องบรรจุภัณฑ์ผลิตภัณฑ์ผ้าไหมยังไม่เป็นจุดสนใจแก่นักท่องเท่ียว ดังน้ัน การออกแบบกล่องบรรจุผลิตภัณฑ์ผ้าไหมประจาชุมชนปราสาทขอม ๔ ชุมชน โดยใช้ฐานคติทุนทาง วฒั นธรรม คือ องค์ปราสาทขอม เป็นต้นแบบการออกแบบ และ (๓) แก้วน้าลายปราสาทขอม: สินค้า หน่ึงที่ยังไม่มีการวางขายตามร้านตลาดในชุมชนปราสาทขอม และร้านขายของท่ีระลึกในจังหวัด สุรนิ ทร์ น่ันคือ แก้วน้าใส่แต่มีลวดลายปราสาทขอม ที่บ่งบอกถึงอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมอันเป็นทุนท่ี ทรงคุณค่า คู่ควรแก่การอนุรักษ์ (๓.๑) แก้วน้าลายเส้นปราสาทขอมศีขรภูมิ: ใช้รูปนางอัปสราถือ ดอกบัวพร้อมนกแก้วท่ีมีปรากฏในองค์ปราสาทมาเป็นลวดลายประดับแก้วน้า และลายเส้นตรา สญั ลกั ษณ์ พรอ้ มกลอ่ งบรรจุผลติ ภัณฑ์ (๓.๒) แกว้ น้าลายเสน้ ปราสาทช่างป่ี: ใช้ลายเส้นปราสาทช่างปี่ และตราลายเส้นสีทองเข้มเป็นตราสัญลักษณ์ พร้อมกล่องบรรจุผลิตภัณฑ์ (๓.๓) แก้วน้าลายเส้น ปราสาทภูมิโปน: ใช้ลายเส้นของดอกผักกูดท่ีเป็นลายขอมโบราณที่ปรากฏในหน้าบันทางเข้าองค์ ปราสาทภูมิโปนและซุ้มประตู พร้อมด้วยตราลายเส้นสีทองเป็นตราสัญลักษณ์ และกล่องบรรจุ ผลิตภัณฑ์ และ (๓.๔) แก้วน้าลายเส้นปราสาทตาเมือน: ใช้ลายเส้นของปราสาทตาเมือนธมเป็น สัญลักษณ์ และตราลายเส้นสีทองเข้มเป็นตราสัญลักษณ์ พร้อมกล่องบรรจุผลิตภัณฑ์ ๓) การพัฒนา รูปแบบการบริการการท่องเท่ียวของชุมชนปราสาทขอมในจังหวัดสุรินทร์ พบว่า การพัฒนารูปแบบ การบริการการท่องเที่ยวของชุมชนปราสาทขอมในจังหวัดสุรินทร์น่ัน ในแต่ละชุมชนปราสาทขอมทั้ง ๔ แห่งแบ่งรูปแบบการท่องเที่ยวออกเป็น ๒ รูปแบบ คือ ๓.๑) รูปแบบการท่องเท่ียวโดยชุมชน ปราสาทขอม: (๑) รูปแบบกิจกรรมการทอ่ งเท่ยี วโดยชุมชน ใน ๔ ชุมชนปราสาทขอมในจังหวัดสุรินทร์ ประกอบดว้ ย ๑) ชมุ ชนปราสาทศขี รภูมิ: มีรูปแบบกิจกรรมการท่องเท่ียว ประกอบด้วย ช๊อปปิงตลาด ชุมชน แวะซื้อกาละแม :ของฝากข้ึนชื่อจากอาเภอศีขรภูมิ และของอร่อยแห่งจังหวัดสุรินทร์ แวะชิม ผักกาดหวาน…ตานานการเกษตรสู่คาขวัญจังหวัดสุรินทร์ : เที่ยวตลาดนัดรักษ์ศีขรภูมิ : เลือกซ้ือ สินค้าและผลิตภัณฑ์จากแหล่งชุมชน และเข้าท่ีพักโฮมสเตย์อันอบอุ่น ณ ชุมชนปราสาทศีขรภูมิ ๒) ชมุ ชนปราสาทชา่ งป่ี: มีรปู แบบกิจกรรม ดงั นี้ สืบสานตานานงานปั้นหม้อ ชมเตาโบราณบ้านช่างป่ี อัน ซอมสะเลิกโดงจองใจ หลุมน้ีมีรักพักใจ ประดิษฐ์เตยหอม ผูกรักปันใจ ฐานแปรรูปข้าวอินทรีย์ เข้าที่ พักโฮมสเตย์อันอบอุ่น ๓) ชุมชนปราสาทภูมิโปน ประกอบด้วย ปั่นใจให้ภูมิโปน นายลอออังกอกระ

ง โอบ หัตถกรรมสวยด้วยมือคุณ น้าพริกถ้วยใหม่สดในกว่าเดิม รูปแบบการท่องเท่ียวที่ ฟ้าร้องน้อง สะอ้ืน จักสานสาราญใจ สวนจินจู กิจกรรมสบู่ลูกตาลเนียงด๊อฮทม และเข้าที่พักโฮมสเตย์อันอบอุ่น ๔) ชุมชนปราสาทตาเมือน: ประกอบด้วยการท่องเท่ียวตลาดนัด ๒ ประเทศ-ไทย/กัมพูชา รูปแบบ กิจกรรมขับรถแรลล่ีชมวิถีชุมชนกลุ่มปราสาทตาเมือน รูปแบบโครงการยุวมัคคุเทศก์ และรูปแบบ กิจกรรมเขา้ ท่ีพกั โฮมสเตย์ (๒) รูปแบบกิจกรรมการท่องเท่ียวเชิงวัฒนธรรม ใน ๔ ชุมชนปราสาทขอม ในจังหวัดสุรินทร์ ประกอบด้วย๑) ปราสาทศีขรภูมิ ประกอบด้วย กิจกรรมไหว้ปราสาทตานานพันปี กิจกรรมสืบสานประเพณีไทยร่วมใจตักบาตรหน้าปราสาทศีขรภูมิ ๒) ปราสาทช่างป่ี ประกอบด้วย กิจกรรมต้องมนต์ศิลา เย่ียมชมวัตถุโบราณตานานขลัง กิจกรรมหนุ่มสาวร่วมรักปักสะนา และรีรี ขา้ วสารตานานเจียงแป็ย: ๓) ปราสาทภูมโิ ปน ประกอบดว้ ยสืบสานตานานพนั ปี ประเพณี“ปะอ๊อกเปร้ี ยะแค ลาเจียก มัดใจ ชมแสง สี เสียง ตานานเนียงเด๊าะทม ๔) ปราสาทตาเมือน ประกอบด้วย กจิ กรรมเยี่ยมชมปราสาทตาเมือน ไหว้พระศิวะ และ ร่วมพิธีบวงสรวงเจ้าพ่อปราสาทตาเมือน ในช่วง เทศกาลสงกรานต์ วันขึน้ ปใี หมข่ องชาวไทยและชาวกมั พชู า ๓) การพฒั นาเสน้ ทางท่องเท่ยี วของชมุ ชนปราสาทขอมในจังหวัดสุรินทร์ พบว่า ในจังหวัด สุรินทร์มีเส้นทางการท่องเที่ยวทางศาสนาศาสนาและวัฒนธรรมคือที่สาหรับใช้สัญจรเที่ยวไปมาของ มนุษย์ เพ่ือการพักผ่อนหย่อนใจในระยะเวลาส้ัน ๆ จากสถานท่ีหน่ึงไปยังอีกสถานท่ีหน่ึง โดยเส้นทาง การท่องเที่ยวปราสาทขอมในงานวิจัยน้ีมี ๔ แห่ง คือปราสาทศีขรภูมิ ปราสาทช่างปี ปราสาทภูมิโปน และปราสาทตาเมือน ในการเดินทางเพ่ือไปเยี่ยมชมหรือไปศึกษาปราสาทศีขรภูมินั้นสามารถเดินทาง ได้ทั้งรถยนต์ส่วนตัว รถไฟและรถโดยสารสาธารณะ เส้นทางการเดินทางมีดังน้ี เส้นทางหลัก รถยนต์ ส่วนตัว ใช้ทางหลวงหมายเลข ๒๒๖ การเดินทางมาเพ่ือท่องเที่ยวท่ีปราสาทช่างป่ี มีเส้นทางการ เดินทางดังน้ี เส้นทางหลัก การเดินทางมาปราสาทช่างปี่ ให้ใช้เส้นทางหมายเลข ๒๒๖ สายสุรินทร์ – ศรีสะเกษ เม่ือเข้าเขตอาเภอศีขรภูมิประมาณกิโลเมตรท่ี ๑๙ แล้วเล้ียวซ้ายเข้าไปประมาณ ๑ กิโลเมตร การเดนิ ทางไปปราสาทภมู โิ ปนน้ันสามารถเดินทางจากตัวจังหวัดสุรินทร์ซึ่งเป็นเส้นทางหลัก หรือจะใช้เส้นทางรองโดยเม่ือเดินทางมาจากประโคนชัยใช้เส้นทางประโคนชัยเดชอุดมก็ได้ การ เดินทางไปชมกลุ่มปราสาทตาเมือน สะดวกท่ีสุดคือการเดินทางไปด้วยรถยนต์ส่วนตัว ส่วนรถยนต์ สาธารณะนน้ั ไมค่ ่อยมใี ห้บริการการพฒั นาเส้นทางการท่องเท่ียวปราสาทขอมในจังหวัดสุรินทร์มีความ เชื่อมโยงกับการทอ่ งเท่ยี วปราสาทขอมหรือการท่องเท่ียวเชิงศาสนาและวัฒนธรรมกับจังหวัดใกล้เคียง เช่นนครราชสีมา บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษและอุบลราชธานี การพัฒนาคู่มือการท่องเท่ียวเส้นทาง ชุมชนปราสาทขอมจังหวัดสุรินทร์ นอกจากจะมีประโยชน์ในการเท่ียวปราสาทขอมในจังหวัดสุรินทร์ แล้วยงั ไดน้ าเสนอสถานทที่ อ่ งเที่ยวดา้ นอนื่ ทมี่ อี ย่ใู นจังหวัดสุรนิ ทรด์ ้วย ๔) กลไกการจัดการและเครือข่ายการท่องเท่ียวของชุมชนปราสาทขอมในจังหวัดสุรินทร์ พบวา่ กลไกทข่ี ับเคลอื่ นการทอ่ งเทีย่ วปราสาทขอมในจังหวัดสรุ ินทร์ประกอบด้วย รฐั ธรรมนูญนโยบาย ของรัฐบาลที่สนับสนุนส่งเสริมการอนุรักษ์และการท่องเท่ียวสถานที่โบรารณสถานและการท่องเที่ยว ชุมชน กรมศิลปากรณ์โดยพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติสุรินทร์ เป็นแหล่งข้อมูลในการให้ความรู้เกี่ยวกับ

จ โบราณสถานโบราณวัตถุและข้อมูลเก่ียวกับปราสาทขอมในจังหวัดสุรินทร์ และเป็นหน่วยงานที่คอย ดูแลรักษาบูรณปฏิสังขรณ์ปราสาทขอมในจังหวัดสุรินทร์ องค์การบริหารส่วนจังหวัดสุรินทร์เป็น หน่วยงานท่ีสนับสนุนส่งเสริมการท่องเที่ยวจังหวัดสุรินทร์ สนับสนุนงบประมาณให้ชุมชนจัดกิจกรรม การทอ่ งเท่ียวเช่นกิจกรรมบวงสรวงปราสาทขอมการเสริมสร้างเครือข่ายการท่องเท่ียวชุมชนปราสาท ขอมในงานวจิ ัยนป้ี ระกอบด้วยชุมชนปราสาทขอม ๔ แหง่ คอื ปราสาทศขี รภูมิ ปราสาทช่างป่ี ปราสาท ภมู โิ ปนและปราสาทตาเมือน ซ่ึงได้มีการแบ่งประเด็นในการศึกษาประด้วยประเด็นด้านต่าง ๆ ๕ ด้าน ดังน้ี ๑) ด้านบุคคล ๒) ด้านการประสานงานระหว่างเครือข่าย ๓) ด้านการแลกเปล่ียนเรียนรู้และ ประสบการณ์ระหว่างเครือข่าย ๔) ด้านกระบวนการทางาน ๕) ด้านผู้นาวิสัยทัศน์ นโยบายและ ยทุ ธศาสตร์การประยุกต์ใช้กระบวนการสรา้ งเครอื ขา่ ยการทอ่ งเท่ียวปราสาทขอมสรุปตามเครือข่ายที่มี อยู่เดมิ จากการศกึ ษาสภาพของเครือข่ายการท่องเท่ียวปราสาทขอมจังหวัดสุรินทร์ ด้านการรวมตัวกัน และความเป็นอิสระของเครือข่าย การขยายผลการท่องเที่ยวไปยังชุมชนอื่น การเรียนรู้แล้ ว ประสบการณร์ ่วมกัน ๕) องค์ความรู้ท่ีค้นพบ พบว่า รูปแบบการพัฒนาเศรษฐกิจชุมชนฐานรากปราสาทขอมใน จังหวัดสุรินทร์ ได้แก่ รูปแบบการพัฒนา “ขอมสุรินทร์-โมเดล (Khmer Surin-Model)”อัน ประกอบด้วยรายละเอียดแต่ละข้อดังนี้ (๑) K= Knowledge คือ การมีองค์ความรู้ที่เป็นภูมิปัญญา ท้องถ่ินพัฒนาสู่สากล (๒) H =Honesty คือ ความซื่อสัตย์ต่อลูกค้า และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในทุกภาค ส่วน (๓) M= Morality คือ ยึดหลักสัมมาชีพในการดาเนินธุรกิจ (๔) E= E-commerce คือ สร้าง รูปแบบและช่องทางการค้าขายในโลกอินเตอร์เน็ต (๕) R= Resource คือ ทรัพยากร ส่ิงที่เป็นต้นทุน ทางสังคมและวัฒนธรรม (๖) S= Speech คือ สัมมาวาจา การสื่อสารเชิงสร้างสรรค์ (๗) U= Unity คือ ความเป็นหนึ่งเดียว ความสามัคคีของคนในชุมชน และ (๘) R= Responsibility คือ ความ รับผิดชอบต่อตนเองสงั คมและสว่ นรวม

Research Tile: Foundation Economic Development of Prasat Khmer Community in Surin Province Researcher: Phrakhru Pariyatwisutthikhun, Assoc. Prof. Phra Parachya Chayawutto/Tinkeaw Dr. Thanarat Sa-ard-iam, Phra Athikarn Weang Kittiwanno, Assist. Prof. Dr. Mr.Theerathip Phuangjantra Department: Mahachulalongkornrajavidyalaya University, Surin Campus Fiscal Year: 2564 / 2021 Research Scholarship Sponsor: Science Research and innovation Promotion Found ABSTRACT The research consisted of the following objectives: 1) to study the history and activities of Khmer community in Surin province, 2) to product development and tourism service model of Prasat Khmer community in Surin province 3) to develop tourist routes of Prasat Khmer community in Surin province and 4) to study management mechanisms and tourism networks of Prasat Khmer community in Surin province. The study applied the research and development method. The analytical description method presented the data collected from the educational documentaries and in-depth interviews and focus groups with the 198 key informants. The results of the research showed that: 1) The history and activities of the Khmer community in Surin province were found regarding the history of the Khmer castle community in Surin, from the archaeological evidence excavated in the area of Surin province. Many ancient civilizations of the ancient age community represent the prosperity of art, architecture, culture, religion, economy, and governance, and the oldest most ancient stone castle. The best in Thailand built during the 12th Buddhist century as part of Chenla Empire Khmer castles in Surin province found 36 places in 15 districts. 2. Tourism activities of the Prasat Khmer community in Surin, from the study, there were only 12 Khmer castles that the local government, the private sector, and the community-supported tourism activities in the Khmer castle area. This is popularly organized in the form of sacrificial offerings. A light and sound show tells the story of

ช the history and legends about the Khmer castle in each area organized according to the time frame. When tourists come to travel, they must only come during activities organized by the local government because activities that can be done in the Khmer castle community area are limited. Besides, they can be done only by taking pictures and studying the history of that castle. All of them are still beautiful and complete. If they are further developed, they will attract the attention of specific tourists who are interested in Khmer castles. These tourist groups are the specific group that has a small number. 2) The product development and tourism service model of the Prasat Khmer community in Surin province found that: 1) There are five forms of Prasat Khmer communities social and cultural costs of Surin province, namely: (1) spirituality: divided into two large groups: (1.1) Buddhism-based beliefs or beliefs are groups with Buddhist rituals involved (1.2) Local faith groups are folk wisdom. (2) Intellectual capital: knowledge of elephant farming, also known as chrysanthemum, knowledge of the construction of Khom castle, knowledge of agriculture, knowledge of urban planning, knowledge of tribal blender making, such as at Ban Prasat Mechapi community, etc. Wisdom of muddy silk weaving, etc. (3) Human resources: ancestors of different ethnic groups with specializations. Surin province has a unique ethnic diversity of Surin tribes such as Lao Gui Khmer with eating, dressing, lifestyle, other languages. (4) Natural Resource Funding: There is a plain for growing jasmine rice. Major rivers are running through the Mul River and the Chee River. There are many essential water bodies such as Huai Seng, Huai Lam Pok, Huai Thap Tan, etc., and a province on the Cambodian border, with the Phanom Dong Rak Mountains. This natural resource connects Thais and Cambodians. Khao Sawai (Phnom Sawai) (5) The capital is Khom Castle, a legacy that the ancestors of the Surin people created. There is a Khom castle in The South East of Thailand as part of the cultural heritage of the Khom Prasat Khom Civilization in these Surin provinces. There are also idol sculptures in Khom Castle, such as Avalokiteswora, Phra Watcharathorn, Phra Watcharasat, etc. In the cultural capital of Surin Province. Surin was an old province with a distinctive cultural and lifestyle identity. Three cultural pearls of wisdom have been declared as follows Gajasatra of Gui, Cha Riang, Kantruam, Ram Trod (Folk Music), and Mamut were declared national cultural wisdom heritage.

ซ 2) Product development of Khmer Castle Community in Surin Province found that the creation of goods from the social and cultural costs of Khmer Castle Community is a local cultural heritage in Surin Province. There are both scattered and significantly reduced in number. The products are distributed in the Khmer Castle community, and it is not yet a tourist focus, and the product model is not diverse, cheap, and underwhelming. The Prasat Khom Community Market in Surin province is not as appealing to investors as it should be. Therefore, in developing Khmer Castle products, the development of products with Khmer Castle, cultural capital in the community, is a conceptual basis. The researchers divided the products between developing and creating added value for Prasat Khmer Cultural Capital, dividing them into three forms: (1) Brand: The logo of each, with a motif from Khmer castle, which is culturally capitalized, designed as a symbol, taking into account the distinctiveness and vibe of the Khmer civilization. Help make it a tourist spotlight. (2) Silk product packaging: Surin province is home to many silk products. There are various patterns, and Surin province has announced seven provincial silk patterns, but since in general, silk in Surin province, which is mass-produced (3) Khom Castle Pattern Glass: One item that has not yet been sold at a market shop in Prasat Khom community and a souvenir shop in Surin province is a glass of water with a Khom castle pattern that indicates a valuable capital cultural identity worth preserving and continuing to develop to create added value. Prasat Srikhoraphum: Use a picture of Apsara holding a lotus flower with a parrot that appears in the castle as a motif adorning the glass and a striped emblem with a product box. 3.2) Prasat Chan Pee mug: Uses mechanic's castle stripes and dark gold stripes as a badge with product box (3.3) Prasat Bhumbon Saliva Glass: Use the stripes of ancient khom goods that appear in front of the entrance to Bhumibol Castle and the arch. with a gold emblem and a product box, and (3.4) Prasat Ta Muean Saliva Glass: Use the stripes of Ta Sham Castle as a symbol and a dark gold emblem as a badge, with a product box.3) Development of the tourism service model of Khom Castle community in Surin Province was found that the development of the tourism service model of the Khom Castle community in Surin province was found. In each of the four Khom Castle communities, the tourism patterns are divided into two forms: 3.1) Tourism style by Khom Castle Community: (1) Community-Based Tourism -CBT in four Khom Castle communities in Surin Province includes: 1) Prasat Srikhoraphum Community: There is a form of tourism activity. Shopping Community Market: Famous souvenirs from Sikaramphum District

ฌ and Surin's delicious treats. Stop by for a taste. Sweet lettuce agricultural legend to Surin motto: beets or radish are native plants of Asia. Raksirabhum Flea Market: Shop and products from community sources, and enter a cozy homestay at Prasat Srikhoraphum Community. 2) Prasat Chan Pee Community: There is seven activities model consisting of continuing pottery legends, Ban Chan Pee Ancient Furnace, Un Som Sa Leok Dong Chan Chai: Coconut leaf porridge is the name of the ancient dessert used in various auspicious ceremonies. Tie Rak Panjai: Community learning activities Enjoy making flowers from pandan leaves in different ways, Organic Rice Processing Base: This activity model is an organic rice processing base model and enter a warm homestay. 3) Prasat Bhumbon Community: There are six types of activities, including spinning the mind to Bhumibol: Cycling program learns history through buildings experience the community and Nay La, or Uang Kor Kra Op means steamed rice and Khao Sarai is a demonstration of traditional rice cooking and rice cooking with a visit to Prasat Bhumbon community's rice mill, Beautiful Hand: Community learning, Fresher cups of chili paste: community way learning program Enjoy traditional chili paste recipes with Ta Bal tom with two or three people, choose to learn how to make different pastes and community way Learning program of Nieang Tou Tom: Enter a warm homestay.4) Prasat Ta Muean Community: activities include two market tours in Thailand and Thailand/Cambodia. Patterns of rally driving activities to see the community way of The Ta Muean castle Group: Yu Wa Makkudes (Tour Guide) and warm homestay activity model at Prasat Ta Muean Community. (2) Cultural tourism activities in for Khmer castle communities in Surin province include 1) Prasat Srikhoraphum community: There is an activity style consisting of paying homage to the legendary millennial castle and continuing Thai traditions. 2) Prasat Chan Pee Community: There is an activity model: this type is consists of a magic stone. Magical mythical artifacts young, love Sa Ba Na and Re Re Khow San, a legend of Chan Pee: 3) Prasat Bhumbon: There are activity formats including Continuing millennial myths Tradition Pa Cak Prei Khea, Lum Jiek Mudjai (4) See the light, color, sound, legend Niang Tou Tom. 4) Prasat Ta Muean: There is an activity model and visit Prasat Ta Muean during Songkran festival, Thai and Cambodian New Year’s day. 3) The developed tourist routes of Prasat Khmer community in Surin province were found that there are religious and cultural tourism routes used for

ญ human travel for short-term recreation from one place to another in Surin province. There are 4 Khmer castle tourism routes in this research: Prasat Sikhoraphum, Prasat Chang Pee, and Prasat Phum Phon. And Ta Muen Castle To travel to visit or study Sikhoraphum castle can be traversed by private car. Trains and public buses. The travel route is as follows: the main route, private car Take Highway 226 to travel to Chang Pee Castle. Travel routes are as follows: The main route: Getting to Chang Pee Castle Take route number 226, Surin-Sisaket route, when entering Sikhoraphum district about 19 km, then turn left for about 1 kilometer. When traveling, traveling to Prasat Phum Phon can be traversed from Surin Province, which is the main route or takes a secondary route. Coming from Prakhon Chai, you can use the Prakhon Chai Det Udom route. A trip to see the Ta Muen Castle group. The most convenient is traveling by private car. Public vehicles are rarely available. The development of Khmer castle tourism routes in Surin province is linked to Khmer castle tourism or religious and cultural tourism with neighboring regions such as Nakhon Ratchasima, Buriram, Surin, Sisaket, and Ubon Ratchathani. Development of a tourism guide on the Khmer castle community route, Surin province In addition to being helpful in visiting the Khmer castle in Surin, it also presents other attractions that exist in Surin, such as Traveling to pay homage to sacred Buddha images such as Luang Pho Phra Chee, Burapharam Temple Phra Sri Ariyamettri, Sala Loi Temple, National Museum of Surin Province, etc. 4) The management mechanisms and tourism networks of Prasat Khmer community in Surin province were found that mechanisms that drive tourism to the Khmer castle in Surin include: constitution. This government policy supports the conservation and tourism of ancient sites and community tourism. The fine arts department by the Surin national museum is a resource to educate about ancient relics, antiques, and information about the Khmer castle in Surin., and it is an agency that maintains and restores the Khmer castle in Surin. Surin provincial administrative organization is an agency that supports tourism promotion in Surin province, and support the budget for the community to organize tourism activities such as worshiping the Khmer castle. The strengthening of tourism networks of Prasat Khmer communities in this research consisted of 4 Khmer Prasat communities, namely Prasat Sikhoraphum. Chang Bei Castle Prasat Phum Phon and Prasat Ta Muen The issues in the study were divided into five different areas as follows: 1) the aspect of the

ฎ people 2) the coordination between the networks 3) the exchange of knowledge and experiences between the networks 4) the work process 5) Vision Leader policy and strategy. The application of building a Khmer castle tourism network was summarized according to the existing network from a study of the condition of the Khmer castle tourism network in Surin province. 5) The body of Knowledge was found that the model of foundation economic development of Prasat Khmer community in Surin province known as the development model known as “Khmer Surin-Mode”l The details are as follow: (1) K- Knowledge means having Knowledge that is local wisdom develops internationally, (2) H –Honesty means loyalty to customers and stakeholders in all sectors, (3) M- Morality means adherence to business symmetrical principles, (4) E- E-commerce means create patterns and channels of trading on the internet. (5) R- Resource means resources what is a social and cultural cost, (6) S- Speech means right speech and creative communication (7) U- Unity means solidarity community unity and (8) R- Responsibility means responsibility to oneself, society and the public.

กิตติกรรมประกาศ การวจิ ยั เรื่อง “การพฒั นาเศรษฐกิจฐานรากของชุมชนปราสาทขอมในจังหวัดสุรินทร์” น้ี สาเร็จลุล่วงได้ด้วยดี ท้ังนี้ เพราะได้รับการสนับสนุนช่วยเหลือจากหน่วยงานและบุคคลหลายท่าน ดังน้ัน คณะผู้วิจยั ขอนามากลา่ วถงึ ดังตอ่ ไปน้ี คณะผู้วจิ ยั ขอกราบขอบคุณต่อสถาบันวิจัยพุทธศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราช วิทยาลยั นาโดย พระสุธีรัตนบณั ฑิต, รศ.ดร. ผู้อานวยการสถาบันวิจัยพุทธศาสตร์ และพระมหาชุติภัค อภินนฺโท ป.ธ.๙ ผู้อานวยการส่วนงานวางแผนและส่งเสริมการวิจัย และเจ้าหน้าท่ีทุกภาคส่วนของ สถาบันวิจัยพุทธศาสตร์ ท่ีได้ให้ความกรุณาในการให้ข้อเสนอแนะเพื่อแก้ไขปรับปรุงจนงานวิจัยนี้ได้ สาเร็จลงอย่างสมบูรณ์ และขอขอบคุณเจ้าหน้าที่สถาบันวิจัยทุก ๆ ท่านท่ีได้ช่วยเหลือในการ ประสานงานและตรวจรูปเลม่ ให้มีความสมบูรณ์ ขอขอบคุณผู้เช่ียวชาญประจาโครงการ อันประกอบด้วย ๑) พระสุธีรัตนบัณฑิต,รศ.ดร. ผู้อานวยการสถาบันวิจัยพุทธศาสตร์ ๒) รศ.ดร.โกนิฏฐ์ ศรีทอง คณะสังคมศาสตร์ ๓) รศ.ดร.วุฒินันท์ กนั ทะเตียน มหาวิทยาลัยมหิดล ๔) รศ.ดร.สุวิญ รักสัตย์ มหาวิทยาลัยมหามกุฎราชวิทยาลัย และ ๕) รศ.ดร.ทวีศักด์ิ ทองทิพย์ บณั ฑติ ศึกษา วทิ ยาลยั สงฆส์ ุรนิ ทร์ ท่ีได้รบั เป็นผใู้ ห้คาปรึกษาในงานวิจัย และ ตรวจเครอื่ งมอื การการวิจยั ในครง้ั น้ีกระทัง้ ได้สาเร็จลลุ ่วงอย่างสมบรู ณ์ ขอขอบคุณมหาวิทยามหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตสุรินทร์ โดยมีพระเดช พระคุณพระพรหมวชิรโมลี, ดร. รองอธิการบดีวิทยาเขตสุรินทร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราช วิทยาลัย ได้อานวยความสะดวกในด้านอุปกรณ์สานักงานท่ีใช้ในการวิจัยเป็นอย่างดี เช่น เคร่ือง คอมพิวเตอร์ เคร่ืองถ่ายเอกสาร พร้อมกับสถานที่เพื่อให้ผู้วิจัยได้ใช้เป็นสถานท่ีทาวิจัยในหน่วยงาน ด้วย และคณาจารย์สาขาวิชาพระพุทธศาสนา ที่ได้ให้การช่วยเหลือในการทาสารบัญชั่วคราว เพื่อให้ ระดมความคดิ เหน็ และเป็นแนวทางในการทางานและค้นหาแหล่งข้อมูลจากส่วนต่าง ๆ ท่ีเก่ียวข้องกับ การวิจัย และช่วยรวบรวมข้อมูลจากพระไตรปิฎก อรรถกถา ฎีกา อนุฎีกา และขออนุโมทนาขอบคุณ เจ้าหน้าท่ีห้องสมุด มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตสุรินทร์ ท่ีให้ได้ความร่วมมือ ช่วยค้นหาและรวบรวมข้อมูลที่เป็นหนังสืออันเก่ียวข้องกับหัวข้อการวิจัย และเอกสารรายงการการ วิจยั ทเี่ กีย่ วข้อง และสิ่งตพี มิ พต์ ่าง ๆ ด้วย จนกระท่งั งานวจิ ัยคร้ังนเี้ สรจ็ สมบรู ณ์ ขอขอบคุณกลุ่มพระสงฆ์และผู้ทรงคุณวุฒิที่เป็นนักวิชาการทางด้านพระพุทธศาสนา วัฒนธรรม การผลิตสินคา้ และการทอ่ งเที่ยวท่ีกรณุ าให้สมั ภาษณ์และเต็มใจให้ข้อมูลเพื่อทาการวจิ ัย พระครปู รยิ ตั วิ ิสทุ ธิคุณ,รศ.ดร. และคณะ ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๕

สารบัญ เร่อื ง หน้า บทคดั ย่อภาษาไทย.............................................................................................................................. ก บทคัดยอ่ ภาษาองั กฤษ........................................................................................................................ ฆ กิตติกรรมประกาศ............................................................................................................................... ฉ สารบัญ................................................................................................................................................ ช สารบญั ตาราง..................................................................................................................................... ท สารบัญรูปภาพ.....................................................................................................................................ด บทท่ี ๑ บทนา.................................................................................................................................. ๑ ๑.๑ ความเป็นมาและความสาคัญของปญั หา..................................................... ............. ๑ ๑.๒ วตั ถปุ ระสงค์ของการวิจยั .......................................................................................... ๕ ๑.๓ ปัญหาการวิจยั .......................................................................................................... ๕ ๑.๔ ขอบเขตการวจิ ยั ....................................................................................................... ๖ ๑.๕ คานยิ ามศัพทเ์ ฉพาะ................................................................................................. ๘ ๑.๖ กรอบแนวคิดการวจิ ัย............................................................................................... ๙ ๑.๗ ประโยชนท์ ่ไี ดร้ ับจากการวจิ ัย................................................................................... ๙ บทที่ ๒ แนวคดิ ทฤษฎี และงานวิจัยที่เกยี่ วข้อง................................................................. ๑๐ ๒.๑ แนวคดิ เรอ่ื งเศรษฐกิจฐานราก............................................................................... ๑๑ ๒.๒ แนวคดิ เรือ่ งการพฒั นาชุมชน................................................................................ ๒๓ ๒.๓ แนวคิดเรอ่ื งการพฒั นาผลติ ภัณฑ์ใหม่................................................................... ๓๒ ๒.๔ แนวคดิ เรือ่ งการทอ่ งเท่ยี วเชิงวฒั นธรรม................................................................ ๓๗ ๒.๕ แนวคดิ เร่อื งการทอ่ งเที่ยวโดยชมุ ชน...................................................................... ๔๑ ๒.๖ แนวคดิ เรื่องการสรา้ งเครอื ขา่ ยการท่องเทยี่ วโดยชุมชน......................................... ๔๗ ๒.๗ แนวคดิ เรอ่ื งการสร้างปราสาทขอม........................................................................ ๕๑ ๒.๘ ข้อมูลพื้นทีก่ ารวจิ ัย................................................................................................ ๕๘ ๒.๙ งานวจิ ยั ทเ่ี กยี่ วขอ้ ง................................................................................................ ๖๖ บทท่ี ๓ วธิ ดี าเนนิ การวจิ ยั …………………………………………………………………………………………… ๘๕ ๓.๑ รูปแบบการวิจัย..................................................................................................... ๘๕ ๓.๒ พื้นทกี่ ารวจิ ยั ประชากร และกลมุ่ ตวั อย่าง............................................................ ๘๘

ฒ ๓.๓ เคร่ืองมือการวจิ ยั ................................................................................................... ๙๐ ๓.๔ การเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู ........................................................................................... ๙๒ ๓.๕ การวิเคราะห์ขอ้ มลู ................................................................................................ ๙๓ ๓.๖ สรุปกระบวนการวิจัย ........................................................................................... ๙๓ บทที่ ๔ ผลการศึกษาวิจัย……………………………………………………………………………………………....๙๕ ๔.๑ ผลการศึกษาประวตั ิศาสตร์และกิจกรรมการทอ่ งเท่ียวชมุ ชนปราสาทขอม ในจังหวดั สุรนิ ทร์………………………………………………………………………………………….๙๕ ๔.๒ ผลการพฒั นาสนิ ค้าและรูปแบบการบริการการท่องเท่ียวของชมุ ชนปราสาท ในจงั หวดั สุรินทร์……………………………………………………………………………………….๑๒๓ ๔.๓ ผลการการพฒั นาเส้นทางการท่องเท่ยี วของชุมชนปราสาทขอม ในจังหวัดสุรินทร์……………………………………………………………………………..……... ๑๖๐ ๔.๔ ผลการศึกษากลไกการจดั การและเครอื ขา่ ยการท่องเทีย่ วของชุมชนปราสาทขอม ในจังหวดั สุรนิ ทร์……………………………………………………………………………….……. ๑๘๔ ๔.๕ องค์ความรทู้ ่ีไดจ้ ากการวจิ ยั ................................................................................ ๒๓๐ บทที่ ๕ สรุปผลการวิจยั อภปิ รายผล และขอ้ เสนอแนะ.................................................... ๒๔๗ ๕.๑ สรุปผลการวิจัย.................................................................................................. ๒๔๗ ๕.๑.๑ สรปุ ผลการศึกษาประวัติศาสตรแ์ ละกจิ กรรมการทอ่ งเท่ยี วชุมชน ปราสาทขอมในจังหวดั สรุ นิ ทร์............................................................ ๒๔๗ ๕.๑.๒ สรุปผลการพัฒนาสินคา้ และรูปแบบการบริการการท่องเท่ียวของ ชุมชนปราสาทในจงั หวัดสรุ นิ ทร์............................................................ ๒๔๙ ๕.๑.๓ สรปุ ผลการการพฒั นาเสน้ ทางการท่องเที่ยวของชุมชนปราสาทขอม ในจงั หวัดสรุ นิ ทร์.................................................................................. ๒๖๐ ๕.๑.๔ สรุปผลการศกึ ษากลไกการจดั การและเครือขา่ ยการท่องเท่ียวของชมุ ชม ปราสาทขอมในจงั หวัดสรุ ินทร์........................................................... ๒๖๓ ๕.๒ อภิปรายผล......................................................................................................... ๒๖๖ ๕.๓ ขอ้ เสนอแนะ....................................................................................................... ๒๘๒ ๕.๓.๑ ขอ้ เสนอแนะเชงิ นโยบาย........................................................................ ๒๘๒ ๕.๓.๒ ข้อเสนอแนะเชงิ ปฏบิ ตั ิ........................................................................... ๒๘๓ ๕.๓.๓ ขอ้ เสนอแนะสาหรับการวิจยั ครั้งต่อไป................................................... ๒๘๕ บรรณานุกรม................................................................................................................................ ๒๘๗

ณ ภาคผนวก..................................................................................................................................... ๒๙๗ ภาคผนวก ก หนงั สอื ขอความอนุเคราะหข์ ้อมลู ............................................................... ๒๙๘ ภาคผนวก ข รายชื่อผู้ให้ขอ้ มูลสาคัญ (Key Informants)……………………………………..…. ๓๐๙ ภาคผนวก ค เครื่องการวิจัย............................................................................................ ๓๑๙ ภาคผนวก ฆ รปู ภาพการทาวจิ ัย..................................................................................... ๓๓๕ ภาคผนวก ง ต้นแบบสนิ ค้าของชุมชนปราสาทขอมในจังหวดั สุรินทร์.............................. ๓๔๕ ภาคผนวก จ ผลผลิต ผลลพั ธ์ และผลกระทบจากการวิจยั .............................................. ๓๕๐ ประวัติคณะผวู้ ิจัย........................................................................................................................ ๓๕๔

สารบัญตาราง ตารางที่ หน้า ตารางท่ี ๔.๑ รวมกจิ กรรมการแสดงแสง สีเสยี ง ของปราสาทขอมในจงั หวดั สรุ นิ ทร์.... ๑๑๖ ตารางที่ ๔.๒ รายการมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมที่ได้รับการประกาศขึ้นบัญชี ตารางที่ ๔.๓ ตารางที่ ๔.๔ (ระหว่าง พ.ศ.๒๕๕๒-๒๕๖๒) จังหวัดสุรินทร์...................................... ๑๒๘ ตารางที่ ๔.๕ กลไกการขับเคลื่อนแผนพัฒนาการท่องเท่ียวแห่งชาติ........................... ๑๘๕ ตารางที่ ๔.๖ ตารางท่ี ๔.๗ แสดงกลไกการจัดการปราสาทขอม........................................................ ๑๙๑ ตารางที่ ๔.๘ การวิเคราะห์ SWOT ขีดความสามารถและขอ้ จากัด ตารางที่ ๔.๙ ดา้ นการจดั การทรัพยากรและสงิ่ แวดลอ้ มด้านการ ตารางท่ี ๔.๑๐ ตารางที่ ๔.๑๑ ท่องเท่ยี วของชุมชนปราสาทศขี รภมู ิ...................................................... ๑๙๓ ตารางที่ ๔.๑๒ แสดงกลไกการจดั การเครือขา่ ยการทอ่ งเทยี่ วปราสาทศขี รภูมิ................. ๑๙๔ ตารางท่ี ๔.๑๓ ตารางท่ี ๔.๑๔ การวิเคราะห์ SWOT ขีดความสามารถและข้อจากัดด้านการจัดการ ทรพั ยากรและส่ิงแวดล้อมดา้ นการท่องเท่ยี วของชมุ ชนปราสาทชา่ งป่ี..... ๑๙๘ ตารางที่ ๔.๑๕ ตารางที่ ๔.๑๖ แสดงกลไกการจดั การเครือขา่ ยการท่องเที่ยวปราสาทช่างปี่................... ๑๙๙ การวเิ คราะห์ SWOT ขดี ความสามารถและข้อจากดั ดา้ นการจัดการทรพั ยากรและส่ิงแวดลอ้ มด้าน การทอ่ งเท่ียวของชมุ ชนปราสาทภูมโิ ปน.................................................. ๒๐๑ แสดงกลไกการจัดการเครือขา่ ยการท่องเทีย่ วปราสาทชา่ งป่ี ๒๐๒ การวิเคราะห์ SWOT ขีดความสามารถและข้อจากัด ดา้ นการจัดการทรัพยากรและสิ่งแวดลอ้ มด้าน การท่องเท่ยี วของชมุ ชนปราสาทตาเมือน................................................ ๒๐๕ แสดงกลไกการจดั การเครือข่ายการทอ่ งเท่ียวปราสาทภมู โิ ปน................ ๒๐๖ การจดั การเครือขา่ ยการท่องเท่ยี วปราสาทขอมสุรนิ ทร์........................... ๒๐๗ รูปแบบการพัฒนาเศรษฐกจิ ฐานรากของชมุ ชนปราสาทขอมในจังหวดั สรุ ินทร์.................................................................................................... ๒๔๔ รายละเอียดของ “Prasat Khmer-Model”........................................... ๒๔๕ รูปแบบการพฒั นา “ปราสาทขอม-โมเดล”............................................. ๒๔๖

สารบัญรูปภาพ รูปภาพที่ หน้า รูปภาพที่ ๑.๑ กรอบแนวคิดการวิจัย............................................................................... ๙ รปู ภาพที่ ๒.๑ เคร่ืองมอื ในการพฒั นาการท่องเทีย่ วเชงิ วฒั นธรรม.................................. ๔๐ รูปภาพที่ ๔.๑ กลมุ่ ภาพปราสาทศขี รภูมิ......................................................................... ๑๕๐ รปู ภาพท่ี ๔.๒ สืบสานประเพณไี ทย ร่วมใจตักบาตรหน้าปราสาทศขี รภูมิ...................... ๑๕๑ รปู ภาพท่ี ๔.๓ แผนท่ีแสดงพิกัดปราสาทศีขรภูมิ............................................................. ๑๖๗ รูปภาพที่ ๔.๔ เส้นทางการเดนิ ทางไปปราสาทศีขรภูมิ.................................................... ๑๖๙ รูปภาพที่ ๔.๕ ป้ายปราสาทบา้ นอนันต์........................................................................... ๑๖๙ รูปภาพท่ี ๔.๖ ป้ายนิเทศปราสาทชา่ งป่ี........................................................................... ๑๗๐ รูปภาพที่ ๔.๗ แผนผังการท่องเทย่ี วชุมชนปราสาทช่างป่ี................................................ ๑๗๐ รปู ภาพท่ี ๔.๘ เส้นทางการเดินทางไปปราสาทชา่ งป่ี...................................................... ๑๗๒ รูปภาพที่ ๔.๙ ป้ายนเิ ทศปราสาทภมู ิโปน........................................................................ ๑๗๒ รปู ภาพท่ี ๔.๑๐ ปราสาทภมู โิ ปน........................................................................................ ๑๗๓ รูปภาพที่ ๔.๑๑ แผนผังการท่องเทยี่ วชุมชนปราสาทภมู ิโปน............................................. ๑๗๓ รปู ภาพท่ี ๔.๑๒ เสน้ ทางการเดนิ ทางไปปราสาทช่างป่ี...................................................... ๑๗๔ รูปภาพท่ี ๔.๑๓ พพิ ธิ ภัณฑ์สถานแห่งชาติ สุรินทร์............................................................ ๑๘๐ รูปภาพที่ ๔.๑๔ ป้ายประชาสมั พนั ธ์การท่องเท่ียวปราสาทศีขรภมู ิ................................... ๑๙๒ รปู ภาพที่ ๔.๑๕ ปา้ ยนิเทศปราสาทช่างปี่........................................................................... ๑๙๕ รูปภาพท่ี ๔.๑๕ ภายในองคป์ ราสาทชา่ งป่ี......................................................................... ๑๙๖ รูปภาพที่ ๔.๑๖ ศูนย์บรกิ ารนักท่องเที่ยวบา้ นชา่ งป่ี........................................................... ๑๙๖ รูปภาพท่ี ๔.๑๖ แผนผงั การท่องเที่ยวชมุ ชนปราสาทชา่ งปี.่ .............................................. ๑๙๗ รูปภาพท่ี ๔.๑๗ ปา้ ยนิเทศปราสาทภูมโิ ปน........................................................................ ๑๙๙ รปู ภาพที่ ๔.๑๘ ปราสาทภมู ิโปน........................................................................................ ๒๐๐ รปู ภาพที่ ๔.๑๘ กรอบประตู ปราสาทภมู ิโปน.................................................................... ๒๐๐ รูปภาพท่ี ๔.๑๙ ปา้ ยทางเข้าปราสาทตาเมอื น................................................................... ๒๐๓ รปู ภาพท่ี ๔.๒๐ ภายในองคป์ ราสาทตาเมือน..................................................................... ๒๐๔

บทท่ี ๑ บทนำ ๑.๑ ควำมเปน็ มำและควำมสำคญั ของปญั หำ ปญั หาความเหล่อื มลา้ ดา้ นเศรษฐกิจและสังคมรวมทั้งความเสื่อมโทรมของสิ่งแวดล้อมกับ ความเสื่อมถอยทางวัฒนธรรมจากการพัฒนาเศรษฐกิจกระแสหลักภายใต้ระบบทุนนิยมท้าให้เกิด กระแสการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก (Grass Root Economy) หรือเศรษฐกิจชุมชน ดว้ ยเช่ือวา่ จะเปน็ ทางเลือกหนงึ่ ของการพัฒนาประเทศได้อย่างเข้มแข็งและย่ังยืน เศรษฐกิจชุมชนถือ ว่าเป็นเศรษฐกิจระดับชุมชนอันเป็นส่วนหนึ่งของสังคมวัฒนธรรมและวิถีชีวินของผู้คน๑ ในส่วนของ ประเทศไทยนนั้ ได้ชอ่ื ว่าเปน็ ประเทศทค่ี วามเหลอ่ื มลา้ มากทสี่ ดุ อีกประเทศหนึ่ง ซึ่งสะท้อนได้จากจาก คา้ กล่าวท่ีว่า “รวยกระจุก จนกระจาย” ค้ากล่าวนี้ สะท้อนให้เห็นภาพความเหลื่อมล้าทางเศรษฐกิจ ในสังคมไทยท่เี ปน็ ปัญหาเรื้อรังมานาน ข้อมูลจากการส้ารวจของส้านักงานสถิติแห่งชาติ ปี ๒๕๕๘ ที่ ผ่านมา ระบุว่า ครัวเรือนท่ัวประเทศมีทั้งหมดประมาณ ๒๑ ล้านครัวเรือน มีรายได้เฉล่ียนต่อ ครัวเรือนเดือนละ ๒๖,๙๑๕ บาท มีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยเดือนละ ๒๑,๐๑๕๗ บาท มีครัวเรือนท่ีมีหน้ีสิน ประมาณ ๑๐.๔ ลา้ นครัวเรือน มีหนส้ี นิ เฉลยี่ ครวั เรือนละ ๑๕๖,๗๗๐ ในจ้านวนนี้ เป็นหนี้จากการท้า การเกษตรรอ้ ยละ ๑๔.๓ ขณะเดยี วกัน “Forbs” นิตยสารธุรกิจระดับโลกไดจ้ ดั อนั ดับ ๕๐ เศรษฐไี ทย ทม่ี ั่นคัง่ ท่สี ุดในปี ๒๕๕๙ พบว่า เศรษฐีไทยทร่ี ่า้ รวยอันดบั ๑ มีทรพั ย์สนิ รวมราว ๖๖๐,๓๐๐ ล้านบาท เศษ และรวนลดหล่ันลงไปจนถึงอันดับที่ ๕๐ มีทรัพย์สินทั้งหมดประมาณ ๑๒,๐๐๐ บาท๒ ๑ สมคดิ แกว้ ทิพย และคณะ, การศกึ ษาสถานการณ์ ศกั ยภาพและขอ้ จา้ กดั ในการพัฒนาเศรษฐกิจฐาน ราก กรณศี ึกษาภาคเหนือ, รำยงำนวจิ ยั ฉบบั สมบรู ณ์, (กรุงเทพมหานคร: ส้านกั งานกองทุนสนบั สนุนการวิจัย (สกว.) ฝา่ ยวจิ ยั ทอ้ งถน่ิ , ๒๕๖๒), หนา้ ๘. ๒ สุวัฒน์ กิขุนทด, “รวมพลังขับเคล่ือนเศรษฐกิจฐานราก สร้างชุมชน “ม่ังคง มั่งคัง และยั่งยืน” ใน คู่มือกำรส่งเสริมกำรพัฒนำ “ระบบเศรษฐกิจฐำนรำก”. คณะอนุกรรมการยุทธศาสตร์เศรษฐกิจฐานราก บรรณาธิการ, (กรุงเทพมหานคร: ส้านักสนับสนุนขบวนองค์กรชุมชน และส้านักงานสื่อการการพัฒนา สถาบัน พฒั นาองค์กรชมุ ชน (องคก์ ารมหาชน), ๒๕๕๙), หน้า ๑-๓.

๒ ความเล่ือมล้าทางเศรษฐกิจน้ามาซ่ึงปัญหาด้านต่าง ๆ และเกี่ยวพันกันเป็นลูกโซ่ ไม่ว่าจะเป็นด้าน การเมือง เศรษฐกิจสังคม สิ่งแวดล้อม คุณภาพชีวิต การศึกษา ฯลฯ โดยเฉพาะประชาชนส่วนใหญ่ ของประเทศที่อยู่ในภาคชนบทและมีอาชีพเกษตรกรรมซ่ึงถือเป็นรากฐานของประเทศไทย แต่หลาย สิบปีท่ผี า่ นมาฐานของประเทศอยู่ในสภาพทไี่ มม่ น่ั คง มีปัญหาขาดปัจจยั การผลิต ไร้ท่ีดินท้ากิน เข้าไม่ ถึงแหล่งทุน ขาดความรู้ในการผลิต เมื่อมีผลผลิตล้นเกินก็เกิดปัญหาด้านการตลาดพืชผลราคาตกต้่า ท้าให้มีปัญหาหนี้สนิ มปี ัญหาในครัวเรือนและสังคมติดตามมา คนหนุ่มสาววัยแรงงานต้องอพยพเข้ามา หากนิ ในเมอื ง ฯลฯ ขณะทีภ่ าครฐั ทีผ่ ่านมาจะเน้นการเติบโตทางเศรษฐกิจมุ่งไปสูอ่ ตุ สาหกรรมเพือ่ การ ส่งออก ท้าให้ช่องว่างความเหล่ือมล้าห่างกันมากขึ้น จนกระทั่งรัฐบาลชุดปัจจุบัน...ได้ทบทวน เศรษฐกิจของประเทศ โดยหันมาให้ความส้าคัญกับการพัฒนาและส่งเสริมเศรษฐกิจฐานรากซ่ึงเป็น ประชากรส่วนใหญข่ องประเทศ ๓ การขับเคล่ือนการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากและประชารัฐถือว่าเป็น ๑ ใน ๑๒ นโยบาย สานพลังประชารัฐท่ีรัฐบาลมีเป้าหมายเพื่อลดความเหล่ือมล้าสร้างเศรษฐกิจชุมชนให้เข็มแข็ง ประชาชนมีความสุขและมีรายได้เพ่ิมข้ึน เป็นการท้างานร่วมกันระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน ภาค วิชาการ ภาคประชาชน และภาคประชาชน๔ ซ่ึงเศรษฐกิจฐานราก คือ ระบบเศรษฐกิจของชุมชน ที่ สามารถพ่ึงตนเองภายใต้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง มีการช่วยเหลือเอื้อเฟื้อซ่ึงกันและกัน มีคุณธรรม และเป็นระบบเศรษฐกิจที่เอ้ือให้เกิดการพัฒนาด้านอื่น ๆ ในพ้ืนที่ ท้ังเศรษฐกิจ สังคม ผู้คน ชุมชน วัฒนธรรม ส่ิงแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ๕ ส่งผลให้ชุมชนมีความเข้มแข็งมากยิ่งขึ้น มีการ รวมกลมุ่ เช่อื มโยงเปน็ เครือขา่ ยเพ่ือท้ากิจกรรม ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อมเพ่ือแก้ปัญหา และสนองตอบความต้องการของชุมชนได้ดีขึ้น อาทิ ชุมชนจัดการภัยพิบัติการจัดท้าแผนชุชนที่ ครอบคลมุ ทกุ พืน้ ทแ่ี ละบรู ณาการเปน็ แผนต้าบลเพื่อเช่ือมโยงกับแผนขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น แผนพฒั นาอ้าเภอ แผนพัฒนาจังหวัดและการรวมกนั เปน็ กลมุ่ ธุรกิจชุมชนและอาชีพ๖ ดังนั้น การพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก จึงเป็นเป้าหมายส้าคัญประการหนึ่ง ตามนโยบาย รัฐบาลปจั จบุ ัน ด้วยเหตุที่มีข้อสรุปเชิงสถิติหลายด้านที่ชี้ให้เห็นพัฒนาการความเป็นความเป็นมาของ ๓ ส้านกั งานสง่ เสริมวสิ าหกจิ ขนาดลางและขนาดยอ่ ม (สสว.) “ขับเคล่อื นเศรษฐกจิ ชมุ ชน ดว้ ยเกษตร แปรรูป “เศรษฐกจิ ฐำนรำก” ทำงเลือกใหมข่ องประเทศไทย, (ออนไลน์) แหลง่ ขอ้ มลู : <https://sme.go.th/upload/mod_download/download-20181005081823.pdf>, เขา้ ถงึ เมอื่ ๓๑ ตลุ าคม พ.ศ.๒๕๖๓. ๔ สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน, คู่มือกำรส่งเสริมกำรพัฒนำ “ระบบเศรษฐกิจฐำนรำก”, (กรงุ เทพมหานคร: ส้านกั สนบั สนนุ ขบวนการองค์กรชุมชนและส้านักสื่อสารการพฒั นา, ๒๕๕๙), หน้า ๔-๕. ๕ เรอ่ื งเดียวกนั , หน้า ๑๙. ๖ ส้านักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ, แผนพัฒนำเศรษฐกิจและสังคม แห่งชำติ ฉบบั ท่ี ๑๒ (พ.ศ.๒๕๕๐-๒๕๖๔), (กรงุ เทพมหานคร: สา้ นกั นายกรฐั มนตร,ี ๒๕๖๐), หนา้ ๑๑.

๓ ปัญหาความเหลื่อมล้าในสังคมไทยหลายเร่ือง จากผลพวงวิธีการพัฒนาที่ผ่านมา ทั้งในด้านช่องว่าง รายได้ ปัญหาด้านสาธารณสุข ปัญหายาเสพติด ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ความอบอุ่น และอยู่อย่างเป็นสุขของครอบครัว ซึ่งท้ังหมดพันผูกกันซับซ้อนเป็นลูกโซ่จนยากที่จะหาจุดเริ่มต้น แกไ้ ข ปญั หาอยา่ งหนึง่ อย่างใดแบบแยกสว่ นคิดได้ อยา่ งไรก็ดี เป็นที่ยอมรับว่าปัญหาเศรษฐกิจครัวเรือนของสมาชิกสังคมกลุ่มใหญ่ที่สุด คือ คนส่วนใหญ่ที่เป็นเกษตรและอาศัยอยู่ในชนบท ส่วนหน่ึงอพยพมารับจ้างหรือค้าขายเล็ก ๆ น้อย ๆ อยู่ในเมืองหรือใช้แรงงานอยู่ในย่านอุตสาหกรรม ซึ่งในภาพท่ัวไป คือ มีอาชีพท่ีให้รายได้น้อย ไม่ ม่ันคง ขาดการออมและมีแนวโน้มจะมีหน้ีสินท่ีสะสมเร้ือรัง ก่อเกิดปัญหาอื่นตามมาอีกมาก และ แน่นอนความเป็นชุมชนท่ีสุขสงบ เรียบร้อย พ่ึงตนได้และพึ่งพากัน เป็นภาพท่ีจางเลือนลงทุกขณะ การพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก จึงเป็นความคาดหวัง ความพยายามของรัฐบาลในการท่ีจะคิดหาวิธี จัดการแก้ไขอย่างถูกต้องและมีความยั่งยืน หรืออาจกล่าวสรุปว่าเป็นการสร้าง “ความมั่นคง ม่ังคั่ง ย่งั ยนื ” ในระดับชุมชน๗ ปราสาทขอม ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมโบราณ และถือเป็นมรดกทางวัฒนธรรมท่ีส้าคัญของ ชุมชนในจังหวัดสุรินทร์หรือในเขตอีสานใต้ เพราะในบรรดาอารยธรรมที่ส้าคัญในโลกน้ี “อารยธรรม ขอมโบราณ ซึ่งเจริญขึ้นระหว่างพุทธศตวรรษที่ ๑๒-๑๘ คือ อารยธรรมท่ีมีความส้าคัญมากแห่งหน่ึง ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อ้านาจทางวัฒนธรรมของขอมแผ่ขยายไปกว้างไกล จนได้รับการ ยกย่องให้เป็น “มหาอ้านาจ” ยุคโบราณของภูมิภาคนี้ โดยมีพื้นท่ีครอบคลุมต้ังแต่บริเวณทะเลสาบ เขมร ไปจนถึงภาคอีสานตอนล่างของไทย และพ้ืนท่ีของตอนใต้ของลาวรวมไปถึงบริเวณปากแม่น้า โขง ทางตอนใต้ของเวียดนาม จังหวัดสุรินทร์ ได้ช่อื ว่าเปน็ เมอื งแหง่ อารยธรรมขอมโบราณ หลักฐานที่แสดงถึงค้ากล่าวนี้ ไดด้ ีกค็ ือ ปราสาทขอมท่มี ีอย่อู ย่างมากในทกุ อา้ เภอของจังหวัดสุรนิ ทร์ ตามค้าขวัญจังหวัดสุรินทร์ท่ีว่า “สุรินทร์ถ่ินช้างใหญ่ ผ้าไหมงาม ประค้าสวย ร่้ารวยปราสาท ผักกาดหวาน ข้าวสารหอม งามพร้อม วัฒนธรรม” จากหลักฐานทางโบราณคดีพบว่า“...ช่วงอารยธรรมเขมรหรือขอมในประเทศกัมพูชาได้ เจริญรุ่งเรืองถึงขีดสูงสุดในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๖-๑๘ ได้แพร่ขยายเข้ามาเจริญขึ้นในดินแดนแถบ อีสานตอนล่าง ดังปรากฏหลักฐานของอารยธรรมเขมรเป็นจ้านวนมาก ทั้งท่ีเป็นปราสาทหิน และ เมืองโบราณ” และจังหวัดสุรินทร์เป็นหน่ึงในจังหวัดชายแดนระหว่างไทยกับกัมพูชา และเป็นอีก จังหวัดหน่ึงซ่ึงต้ังอยู่ในเขตพื้นท่ีอีสานใต้ของประเทศไทย และมีหลักฐานทางโบราณคดีของอารยะ ธรรมขอมตั้งอยู่เป็นจ้านวนมาก และสัญลักษณ์ของอารายธรรมขอมท่ีปรากฏเด่นชัด โดยผ่านการสื่อ ๗ กรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย, แนวทำงกำรดำเนนิ งำนนโยบำยสำนพลังประชำรฐั ใน กำรขับเคล่อื นกำรพฒั นำเศรษฐกิจฐำนรำกและประชำรฐั , (กรงุ เทพมหานคร: กรมการพัฒนาชมุ ชน กระทรวงมหาดไทย, ๒๕๖๐), หนา้ ๘.

๔ จากดวงตราของจังหวัดสุรินทร์ท่ีเป็นรูปของพระอินทร์ทรงช้าง และด้านหลังเป็นรูปปราสาทขอม ซึ่ง “จังหวัดสรุ นิ ทรน์ ้มี ีช้างมาแต่โบราณ และมผี ูจ้ ับชา้ งป่ามาเลีย้ งเสมอ ๆ ดวงตราของจังหวัดสุรินทร์จึงมี รูปช้าง ช่ือของจังหวัดเป็นค้าสนธิของค้าสองค้า คือ “สุระ” กับ “อินทร์” หมายถึง พระอินทร์ผู้ เก่งกลา้ สามารถ ภาพเจดีย์สลกั ปรกั พงั เบ้อื งหลังแสดงถงึ อทิ ธพิ ลการก่อสร้างของขอมโบราณ ซ่ึงมีอยู่ มากมายแห่งในภูมิภาคนี้๘ จังหวัดสุรินทร์นั้นมีอาณาเขตดังน้ี อาณาเขตทิศเหนือติดต่อจังหวัด มหาสารคามและจงั หวัดรอยเอ็ด ทศิ ใต้ติดต่อกับประเทศกัมพูชา ทิศตะวันออกติดต่อกับจังหวัดศรีสะ เกษ ทิศตะวันตกติดต่อกับจังหวัดบุรีรัมย์ ห่างจากกรุงเทพมหานคร ๔๕๔ กิโลเมตร พ้ืนที่ ๙,๑๐๑.๓๘๑ ตารางกิโลเมตร แบ่งการปกครองออกเป็น ๑๗ อ้าเภอ คือ อ้าเภอเมืองสุรินทร์, อ้าเภอ ปราสาท, อา้ เภอท่าตูม, อา้ เภอจอมพระ, อา้ เภอสนม, อา้ เภอเขวาสนิ ทร์, อ้าเภอสนม, อ้าเภอรัตนบุรี, อ้าเภอส้าโรงทาบ, อ้าเภอโนนนารายณ์, อ้าเภอสังขะ, อ้าเภอบัวเชด, อ้าเภอศีขรภูมิ, อ้าเภอล้าดวน, อ้าเภอกาบเชิง, อา้ เภอพนมดงรกั , อ้าเภอชมุ พลบรุ ี”๙ ปราสาทท่ีส้าคัญในเขตจังหวัดสุรินทร์ โดยแยก ออกเป็นกลุ่มปราสาทของแต่ละอ้าเภอ เรียงล้าดับจ้านวนปราสาทจากมากไปน้อย ได้ดังน้ี อ้าเภอ สังขะ มี ๖ ปราสาท อา้ เภอปราสาท มี ๔ ปราสาท อ้าเภอเมืองสุรินทร์ มี ๓ ปราสาท อ้าเภอศีขรภูมิ จ้านวน ๓ ปราสาท อ้าเภอบัวเชด จ้านวน ๑ ปราสาท อ้าเภอท่าตูม จ้านวน ๒ ปราสาท อ้าเภอ ล้าดวน มจี ้านวน ๓ ปราสาท อ้าเภอพนมดงรัก มีจ้านวน ๓ ปราสาท อ้าเภอเขวาสินรินทร์ มีจ้านวน ๒ อ้าเภอส้าโรงทาบ มีจ้านวน ๑ ปราสาท อ้าเภอจอมพระ มีจ้านวน ๑ ปราสาท อ้าเภอสนม มี จา้ นวน ๑ ปราสาท จะเห็นได้ว่าจังหวัดสุรินทร์น้ันมีปราสาทขอมอยู่เกือบทุกอ้าเภอในจังหวัดสุรินทร์ จึงได้ชอื่ ว่าจงั หวดั สรุ นิ ทร์เปน็ เมืองแห่งปราสาทขอม แผนพัฒนาจังหวัดสุรินทร์ (พ.ศ. ๒๕๖๑ ๒๕๖๕) รอบปี ๒๕๖๓ ได้ก้าหนดเป้าหมายการ พัฒนาจังหวัดสุรินทร์ไว้ว่า “เมืองเกษตรอินทรีย์ ศูนย์เศรษฐกิจชายแดน ท่องเที่ยววิถีชุมชน ประชาชนมีคุณภาพชีวิตท่ีดี” โดยก้าหนดประเด็นการพัฒนาจังหวัดเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ ๖ ด้าน คอื ๑) การพฒั นาและส่งเสรมิ เกษตรอินทรีย์อย่างครบวงจร ๒)การส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพ การค้า การลงทุน การบริการ และเชื่อมโยงเศรษฐกิจชายแดน ๓) การพัฒนาและส่งเสริมการ ท่องเที่ยววิถีชุมชน ๔) การบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อมอย่างยั่งยืน ๕) การ ยกระดบั คุณภาพชวี ติ ของประชาชน ๖) การเสรมิ สร้างความมั่นคงและความปลอดภยั จากแผนพัฒนา จังหวัดสุรินทร์ดังกล่าวจะเห็นได้ว่าประเด็นการพัฒนาและส่งเสริมการท่องเที่ยววิถีชุมชนนั้นมี วตั ถุประสงค์เพอ่ื เพ่มิ รายได้จากการทอ่ งเทยี่ วและเพ่อื เพิม่ จา้ นวนนกั ทอ่ งเที่ยวจงั หวัดสุรินทร์ ๘ สุพร ประเสริฐราชกิจ, รวมประวัติและสัญลักษณ์ ๗๖ จังหวัด, พิมพ์คร้ังที่ ๓, กรุงเทพฯ: รวม สาส์น (๑๙๗๗) จา้ กัด, ๒๕๓๗, หน้า ๘๓. ๙อา้ งแลว้ , สพุ ร ประเสรฐิ ราชกจิ , รวมประวตั ิและสัญลกั ษณ์ ๗๖ จงั หวดั , หนา้ ๘๓.

๕ การที่นักท่องเที่ยวจะมาเท่ียวจังหวัดสุรินทร์นั้นส่วนมากจะมาตามฤดูกาลหรือมีงานที่ เกี่ยวกับการท่องเท่ียว เช่นงานช้างสุรินทร์ งานแห่เทียนพรรษา หรืองานบวชบนหลังช้างเป็นต้น รายได้จากนักท่องเท่ียวจึงไมม่ ีตลอดทั้งปีเหมือนจังหวัดอ่ืน ๆ ทั้ง ๆ ที่จังหวัดสุรินทร์มีแหล่งท่องเที่ยว ทางวัฒนธรรมคือปราสาทขอมอยู่เป็นจ้านวนมาก แต่ก็ยังไม่สามารถยกระดับการท่องเที่ยวปราสาท ขอมให้เปน็ ที่นา่ สนใจของนักท่องเท่ียวให้ไดม้ ากเทา่ ท่คี วร ดังน้ัน กลุ่มนักวิจัยจึงมีความสนใจที่จะศึกษาประวัติศาสตร์และกิจกรรมการท่องเที่ยว ชุมชนปราสาทขอมในจังหวัดสุรินทร์ การพัฒนาสินค้าและรูปแบบการบริการท่องเที่ยวของชุมชน ปราสาทขอมในจังหวัดสุรินทร์การพัฒนาเส้นทางการท่องเที่ยวของชุมชนปราสาทขอมในจังหวัด สุรินทร์และศึกษากลไกการจัดการและเครือข่ายการท่องเที่ยวของชุมชนปราสาทขอมในจังหวัด สุรินทร์ เพ่ือน้าไปสู่การสร้างกิจกรรม การสร้างนวัตกรรมในด้านการท่องเที่ยวการพัฒนาเศรษฐกิจ ฐานรากของชุมชนปราสาทขอมในจังหวัดสุรินทร์ ท้าให้ชุมชนสามารถพ่ึงตนเองในด้านเศรษฐกิจ ท้า ให้มรี ายไดเ้ พิม่ จากอุตสาหกรรมการทอ่ งเท่ียว ๑.๒ วตั ถุประสงค์กำรวจิ ัย ๑.เพื่อศึกษาประวัติศาสตร์และกิจกรรมการท่องเที่ยวชุมชนปราสาทขอมในจังหวัด สุรินทร์ ๒.เพ่ือพัฒนาสินค้าและรูปแบบการบริการท่องเที่ยวของชุมชนปราสาทขอมในจังหวัด สุรินทร์ ๓.เพอ่ื พฒั นาเส้นทางการทอ่ งเท่ียวของชมุ ชนปราสาทขอมในจงั หวดั สุรนิ ทร์ ๔.เพอื่ ศกึ ษากลไกการจดั การและเครอื ข่ายการทอ่ งเท่ยี วของชุมชนปราสาทขอมในจังหวัด สุรนิ ทร์ ๑.๓ ปญั หำกำรวิจัย ๑.ประวัติศาสตร์และกิจกรรมการท่องเที่ยวชุมชนปราสาทขอมในจังหวัดสุรินทร์ มีส่วน ชว่ ยขบั เคล่อื นเศรษฐกจิ ฐานรากของจังหวัดสรุ ินทรม์ ากนอ้ ยเพียงใด ๒.สินค้าและรูปแบบการบริการท่องเที่ยวของชุมชนปราสาทขอมในจังหวัดสุรินทร์ มี ต้นแบบและรูปแบบอย่างไรท่ีช่วยส่งเสริมการพัฒนาระบบเศรษฐกิจฐานรากของชุมชนปราสาทขอม ในจงั หวัดสรุ นิ ทร์ ๓.เส้นทางการท่องเที่ยวของชุมชนปราสาทขอมในจังหวัดสุรินทร์ มีความเหมาะสมและ ปลอดภยั ท่เี อ้ือตอ่ การคมนาคมตามเสน้ ทางการท่องเท่ยี วโดยชมุ ชนปราสาทขอมในจังหวดั สรุ นิ ทร์มาก นอ้ ยเพียงใด

๖ ๔.กลไกการจัดการและเครือข่ายการท่องเท่ียวของชุมชนปราสาทขอมในจังหวัดสุรินทร์มี ความเหมาะสม และเอื้อต่อการพัฒนาระบบเศรษฐกิจชุมชนฐานรากของจังหวัดสุรินทร์มากน้อย เพียงใด ๑.๔ ขอบเขตกำรวิจยั แผนงานวจิ ัยนม้ี ุ่งศึกษาการพฒั นาเศรษฐกิจชมุ ขนฐานรากปราสาทขอมในจังหวดั สรุ ินทร์ โดยก้าหนดขอบเขตการวิจยั ไว้ดังต่อไปน้ี ๑.๔.๑ ขอบเขตดำ้ นเน้อื หำ ก้าหนดกรอบขอบเขตเน้ือหาไว้ ๔ ด้าน ดังนี้ ๑) ด้านประวัติศาสตร์และกิจกรรมการ ท่องเท่ียวปราสาทขอมในจังหวัดสุรินทร์ ๒) ด้านการผลิตสินค้าและรูปแบบการท่องเที่ยวปราสาท ขอมในจงั หวัดสรุ ินทร์ ๓) ดา้ นเส้นทางการท่องเทย่ี วปราสาทขอมในจงั หวัดสรุ นิ ทร์ และ ๔) ด้านกลไก การจัดการและเครอื ขา่ ยการทอ่ งเทยี่ วของชุมชนปราสาทขอมในจังหวดั สรุ นิ ทร์ ๑.๔.๒ ขอบเขตด้ำนพื้นท่ี พื้นท่ีการพัฒนาเศรษฐกิจชุมชนฐานรากปราสาทขอมในจังหวัดสุรินทร์น้ีเลือกชุมชนรอง ปราสาทจ้านวน ๔ แห่งประกอบด้วย ๑) ชุมชนรอบปราสาทศีขรภูมิ ต้าบลระแงง อ้าเภอศีขรภูมิ จัง หัดสุรินทร์ ๒) ชุมชนรอบปราสาทช่างปี่ ต้าบลช่างป่ี อ้าเภอศีขรภูมิ จังหวัดสุรินทร์ ๓) ชมุ ชนรอบปราสาทภูมโิ ปน ต้าบลดม อ้าเภอสงั ขะ จงั หวัดสุรินทร์ และ ๔) ชุมชนรอบกลุ่มปราสาทตา เมอื น ต้าบลตาเมียง อ้าเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ เหตุผลของการเลือกพ้ืนท่ีในการวิจัยจ้านวน ๔ แห่งดงั กล่าวน้ี เพราะว่าแหล่งท่องเที่ยวปราสาทขอมนี้ เป็นแหล่งท่องเที่ยวศาสนาและวัฒนธรรมที่มี ช่ือเสียงในจังหวัดสุรินทร์ รวมทั้งเป็นที่รู้จักเป็นอย่างดีของนักท่องเที่ยวท่ัวไป และในแต่ละปีองค์กร ปกครองส่วนท้องถ่ินตามแหล่งปราสาทน้ัน ๆ มีการจัดกิจกรรมเชิงศาสนาและวัฒนธรรมเป็นประจ้า ทกุ ปี และมีนกั ทอ่ งเทยี่ วไดเ้ ดินทางเข้ามาทอ่ งเทีย่ วเพ่อื เยยี่ มชม และเลือกซ้อื สินค้าที่ระลกึ เป็นจ้านวน มาก ดังนั้นผ้วู จิ ัยจึงเลือกสถานทดี่ งั กลา่ วนี้ในการท้าวจิ ยั ๑.๔.๓ ขอบเขตด้ำนประชำกรและกลมุ่ ตัวอย่ำง ขอบเขตของประชากรนั้น ประกอบด้วยกลุ่มประชากรจ้านวน ๗ กลุ่ม ประกอบด้วย ๑) กลุ่มนักวิชาการ ประกอบด้วยนักวิชาการด้านประวัติศาสตร์, นักวิชาการด้านการสร้าง, นักวิชาการ ดา้ นการทอ่ งเท่ียว, นกั วชิ าการด้านโลจิสติกส์, นักวิชาการด้านการพัฒนาชุมชน และนักวิชาการด้าน รัฐประศาสนศาสตร์ ดา้ นละ ๑ คน รวม ๖ คน ๒) กลุ่มผู้บริหารโบราณสถานจ้านวน ๔ แห่ง ๆ ละ ๑ คน ๓) กลุ่มนักปราชญ์ท้องถ่ิน เช่น พระสงฆ์, นักปราชญ์ท้องถ่ิน เป็นต้น จ้านวน ๔ แห่ง ๆ ละ รูป/ คน ๔) กลุ่มผู้ประกอบการท่องเที่ยว จ้านวนแห่ง ๆ ละ ๔ คน ๕) กลุ่มผู้ประกอบการค้าของที่ระลึก แห่งละ ๕ คน รวมเป็น ๒๐ คน ๖) กลุ่มวิสาหกิจชุมชน จ้านวน ๔ แห่ง ๆ ละ ๒๐ คน รวมเป็น ๔๐

๗ คน และ ๗) กลมุ่ นกั ทอ่ งเทย่ี ว จา้ นวน ๔ แห่ง ๆ ละ ๒๐ คน รวมเป็น ๘๐ คน กลุ่มประชากรทั้งหมด ใช้วธิ ีการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Selection) ๑.๔.๔ ผใู้ หข้ ้อมูลสำคัญ (Key Informants) ประชำกร กลุม่ ตวั อย่ำงผู้ให้ขอ้ มูลหลัก กำรไดม้ ำของ กำรเกบ็ ข้อมูล (Key Informants) กลุม่ ตวั อยำ่ ง -แบบสัมภาษณ์ -แบบสนทนากลุ่ม ๑.กลุ่มนักวิชาการ -นกั วิชาการดา้ นประวตั ศิ าสตร์ ๑ คน เลอื กแบบ -แบบสัมภาษณ์ ด้านประวัติศาสตร์ -นกั วิชาการด้านการสรา้ งผลติ ภัณฑ์ ๑ คน เจาะจง -แบบสนทนากลุ่ม ศาสนาและ -นักวิชาการด้านการท่องเท่ยี ว ๑ คน -แบบสมั ภาษณ์ วัฒนธรรม ด้านการ -นกั วิชาการด้านโลจิสตกิ ส์ ๑ คน -แบบสนทนากลุ่ม ท่องเที่ยว ด้านโลจิ -นักวิชาการด้านการพัฒนาชุมชน ๑ คน ส ติ ก ส์ ด้ า น ก า ร -แบบทดสอบ พัฒนาชุมชน และ -นกั วชิ าการด้านรฐั ประศาสนศาสตร์ ๑ คน -แบบสัมภาษณ์ รวม ๖ รูป/คน -แบบสนทนากลมุ่ ด้ า น ก า ร ส ร้ า ง -แบบทดสอบ เครือขา่ ย -แบบสมั ภาษณ์ -แบบสนทนากลุ่ม ๒.กลมุ่ ผบู้ รหิ าร -ผู้บริหาร/เจ้าหน้าท่ีแหล่งท่องเท่ียวโบราณสถาน เลอื กแบบ -แบบทดสอบ โบราณสถาน ปราสาทขอม หรือกรรมการมูลนิธิแหล่งท่องเท่ียว เจาะจง -แบบสมั ภาษณ์ -แบบสนทนากลมุ่ ปราสาทขอม ตามแหล่งโบราณสถาน ๔ แห่ง ๆ -แบบทดสอบ ละ ๑ คน -แบบสัมภาษณ์ -แบบสนทนากลุ่ม รวม ๔ คน ๓.กลุ่มนักปราชญ์ -พระสงฆ/์ ปราชญท์ ้องถ่ิน ๔ รปู /คน เลอื กแบบ ท้องถ่ิน ตามแหล่งโบราณสถาน ๔ แห่ง ๆ ละ ๑ คน เจาะจง รวม ๔ รปู /คน ๔.กลมุ่ -เจ้าของกจิ การบริษทั น้าเที่ยว / กลมุ่ มคั คุเทศก์ เลอื กแบบ ผู้ประกอบการ ตามแหลง่ โบราณสถาน ๔ แห่ง ๆ ละ ๑ คน เจาะจง ท่องเท่ียว รวม ๔ คน ๕.กลมุ่ -กลมุ่ ผปู้ ระกอบการขายของทรี่ ะลกึ ณ เลอื กแบบ ผปู้ ระกอบการ โบราณสถานปราสาทขอมทงั้ ๔ แห่ง ๆ ละ ๕ คน เจาะจง ค้าขายของท่รี ะลึก รวม ๒๐ คน ๖.กลมุ่ เลอื กแบบ ผปู้ ระกอบการ -กล่มุ วิสาหกจิ ชมุ ชนจ้านวน ๔ แหง่ ๆ ละ ๒๐ คน เจาะจง วิสาหกิจชมุ ชน รวม ๘๐ คน ๕.กลมุ่ นักทอ่ งเทยี่ ว -นกั ท่องเทีย่ วผเู้ ดินทางมาทอ่ งเท่ียว ณ เลือกแบบ โบราณสถานปราสาทขอมท้งั ๔ แห่ง ละ ๒๐ คน เจาะจง รวมทุกกลมุ่ รวม ๘๐ คน รวม ๑๙๘ รูป / คน

๘ ๑.๕ นิยำมศัพท์ในกำรวจิ ัย กำรพัฒนำ หมายถึง การท้าให้เจริญกว่าสภาวะเดิมที่เป็นอยู่ ซึ่งเกิดข้ึนจากการใช้ปัจจัย นา้ เข้า และกระบวนการตา่ ง ๆ เพอื่ ก่อให้เกิดผลผลิตตามทพ่ี ึงประสงค์ เศรษฐกิจฐำนรำก หมายถึง ระบบเศรษฐกิจของชุมชนท้องถ่ิน ท่ีสามารถพ่ึงตนเอง ภายใต้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงที่มีการช่วยเหลือเอื้อเฟื้อซึ่งกันและกัน มีคุณธรรม และเป็นระบบ เศรษฐกิจที่เอื้อให้เกิดการพัฒนาด้านอื่น ๆ ในพ้ืนที่ ทั้งเศรษฐกิจ สังคม ผู้คน ชุมชน วัฒนธรรม สง่ิ แวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติ อย่างเข้มแข็งและยง่ั ยืน ปรำสำทขอม หมายถึง สถาปัตยกรรมที่สร้างด้วยหิน ซ่ึงเป็นอารยธรรมขอมโบราณ มี ความเจริญรุ่งเรืองในระหว่างพุทธศตวรรษที่ ๑๒-๑๘ และความส้าคัญมากแห่งหนึ่งในภูมิภาคเอเชีย ตะวันออกเฉียงใต้ อ้านาจทางวัฒนธรรมของขอมแผ่ขยายไปกว้างไกล จนได้รับการยกย่องให้เป็น “มหาอา้ นาจ” ยุคโบราณของภมู ิภาคน้ี ชุมชนในจังหวัดสุรินทร์ หมายถึง ชุมชนท่ีตั้งอยู่โดยรอบปราสาทขอมในจังหวัดสุรินทร์ โดยในวิจัยนี้ก้าหนด ๔ ชุมชนหลัก คือ ๑) ชุมชนรอบปราสาทศีขรภูมิ ต้าบลระแงง อ้าเภอศีขรภูมิ จังหวัดสุรนิ ทร์ ๒) ชุมชนรอบปราสาทขอมชา่ งปี่ ต้าบลช่างป่ี อา้ เภอศขี รภมู ิ จังหวดสุรินทร์ ๓) ชุมชน รอบปราสาทของภูมิโปน ต้าบลดม อ้าเภอสังขะ จังหวัดสุรินทร์ และ ๔) ชุมชนรอบกลุ่มปราสาทตา เมือน ตา้ บลบา้ นตาเมียง อ้าเภอพนมดงรัก จังหวัดสรุ ินทร์

๙ ๑.๖ กรอบแนวคิดกำรวิจัย ๑.๗ ประโยชนท์ ี่ได้รบั จำกกำรวิจัย ๑. เกิดองค์ความรู้ด้านประวัติศาสตร์และกิจกรรมการท่องเที่ยวชุมชนปราสาทขอมใน จังหวดั สรุ ิน ๒. ได้สินค้าต้นแบบและรูปแบบการบริการท่องเท่ียวของชุมชนปราสาทขอมในจังหวัด สรุ ินทร์ ๓. ได้รปู แบบการพฒั นาเส้นทางการทอ่ งเทย่ี วของชุมชนปราสาทขอมในจังหวัดสุรนิ ทร์ ๔. ได้ทราบกลไกการจัดการและเครือข่ายการท่องเที่ยวของชุมชนปราสาทขอมในจังหวัด สรุ ินทร์ ๕. ชุมชน หน่วยงาน องค์กร และผู้เก่ียวข้องมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับสถานการณ์ ระบบหรือโครงสร้างการพัฒนาท่ีอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจฐานราก และพร้อมที่จะปรับตัวเพื่อ รับมอื กับความเสยี่ งที่อาจจะเกิดขึน้ ในอนาคต

บทท่ี ๒ แนวคิด ทฤษฎี และงานวิจยั ที่เกี่ยวข้อง การศึกษาวิจัยเร่ือง “การพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากของชุมชนปราสาทขอมในจังหวัด สุรินทร์” มวี ตั ถุประสงค์ ๔ ประเดน็ คอื ๑) เพอื่ ศึกษาประวัติศาสตร์และกิจกรรมการท่องเที่ยวชุมชน ปราสาทขอมในจังหวัดสุรินทร์ ๒) เพื่อพัฒนาสินค้าและรูปแบบการบริการท่องเท่ียวของชุมชน ปราสาทขอมในจังหวัดสุรินทร์ ๓) เพื่อพัฒนาเส้นทางการท่องเท่ียวของชุมชนปราสาทขอมในจังหวัด สุรินทร์ และ ๔) เพ่ือศึกษากลไกการจัดการและเครือข่ายการท่องเที่ยวชุมชนปราสาทขอมในจังหวัด สรุ นิ ทร์ ผวู้ ิจยั ไดก้ าหนดกรอบในการทบทวนวรรณกรรมที่เก่ียวข้องทั้งแนวคิด ทฤษฎี ข้อมูลพื้นท่ีการ วิจัย รวมทั้งงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ครอบคลุมวัตถุประสงค์ของการวิจัย จึงขอกาหนดประเด็น เกย่ี วกับแนวคิดในการศกึ ษาวิจยั ดังตอ่ ไปน้ี ๒.๑ แนวคิดเร่ืองเศรษฐกิจฐานราก ๒.๒ แนวคิดเรอื่ งการพัฒนาชุมชน ๒.๓ แนวคดิ เร่ืองการพฒั นาผลติ ภณั ฑใ์ หม่ ๒.๔ แนวคดิ เร่ืองการท่องเทย่ี วเชิงวฒั นธรรม ๒.๕ แนวคิดเรอ่ื งการท่องเท่ียวโดยชุมชน ๒.๖ แนวคดิ เรอ่ื งการสรา้ งเครอื ขา่ ยทางสังคม ๒.๗ แนวคดิ เรอ่ื งการสร้างปราสาทขอม ๒.๘ ข้อมลู พน้ื ท่ีการวจิ ัย ๒.๙ งานวจิ ยั ทเี่ กีย่ วขอ้ ง

๑๑ ๒.๑ แนวคิดเรือ่ งเศรษฐกิจฐานราก ๒.๑.๑ ที่มาของแนวคดิ ระบบเศรษฐกิจฐานราก ที่มาของแนวคิดระบบเศรษฐกิจฐานรากน้ี มาจากประเด็นความเลื่อมล้า ดังคากล่าวท่ีว่า “รวยกระจุก จนกระจาย” คากล่าวน้ี สะท้อนให้เห็นภาพความเหลื่อมล้าทางเศรษฐกิจในสังคมไทยท่ี เปน็ ปญั หาเร้ือรงั มานาน ขอ้ มูลจากการสารวจของสานักงานสถิติแห่งชาติ ปี ๒๕๕๘ ท่ีผ่านมา ระบุว่า ครัวเรือนทั่วประเทศมีท้ังหมดประมาณ ๒๑ ล้านครัวเรือน มีรายได้เฉลี่ยนต่อครัวเรือนเดือนละ ๒๖,๙๑๕ บาท มคี า่ ใช้จา่ ยเฉลย่ี เดือนละ ๒๑,๐๑๕๗ บาท มีครัวเรือนที่มีหนี้สินประมาณ ๑๐.๔ ล้าน ครัวเรือน มีหน้ีสินเฉลี่ยครัวเรือนละ ๑๕๖,๗๗๐ ในจานวนนี้ เป็นหนี้จากการทาการเกษตรร้อยละ ๑๔.๓ ขณะเดียวกัน “Forbs” นิตยสารธุรกิจระดับโลกได้จัดอันดับ ๕๐ เศรษฐีไทยท่ีม่ันค่ังท่ีสุดในปี ๒๕๕๙ พบว่า เศรษฐีไทยที่ร่ารวยอันดับ ๑ มีทรัพย์สินรวมราว ๖๖๐,๓๐๐ ล้านบาทเศษ และรวน ลดหลั่นลงไปจนถึงอันดับที่ ๕๐ มีทรัพย์สินทั้งหมดประมาณ ๑๒,๐๐๐ บาท๑ ความเลื่อมล้าทาง เศรษฐกิจนามาซึ่งปัญหาด้านต่าง ๆ และเก่ียวพันกันเป็นลูกโซ่ ไม่ว่าจะเป็นด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม คุณภาพชีวิต การศึกษา ฯลฯ โดยเฉพาะประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศท่ีอยู่ใน ภาคชนบทและมีอาชีพเกษตรกรรมซึ่งถือเป็นรากฐานของประเทศไทย แต่หลายสิบปีท่ีผ่านมาฐาน ของประเทศอยู่ในสภาพท่ีไม่ม่ันคง มีปัญหาขาดปัจจัยการผลิต ไร้ท่ีดินทากิน เข้าไม่ถึงแหล่งทุน ขาด ความรู้ในการผลิต เมื่อมีผลผลิตล้นเกินก็เกิดปัญหาด้านการตลาดพืชผลราคาตกต่า ทาให้มีปัญหา หนี้สนิ มีปญั หาในครัวเรอื นและสังคมตดิ ตามมา คนหน่มุ สาววยั แรงงานต้องอพยพเข้ามาหากินในเมือง ฯลฯ ขณะท่ภี าครฐั ท่ผี า่ นมาจะเน้นการเติบโตทางเศรษฐกิจมุ่งไปสู่อุตสาหกรรมเพ่ือการส่งออก ทาให้ ชอ่ งว่างความเหลื่อมล้าห่างกนั มากข้นึ จนกระทงั่ รัฐบาลชุดปัจจุบัน...ได้ทบทวนเศรษฐกิจของประเทศ โดยหันมาให้ความสาคัญกับการพัฒนาและส่งเสริมเศรษฐกิจฐานรากซ่ึงเป็นประชากรส่วนใหญ่ของ ประเทศ๒ ๑ สุวัฒน์ กิขุนทด, “รวมพลังขับเคล่ือนเศรษฐกิจฐานราก สร้างชุมชน “มั่งคง ม่ังคัง และย่ังยืน” ใน คู่มือการส่งเสริมการพัฒนา “ระบบเศรษฐกิจฐานราก”. คณะอนุกรรมการยุทธศาสตร์เศรษฐกิจฐานราก บรรณาธิการ, (กรุงเทพมหานคร: สานักสนับสนุนขบวนองค์กรชุมชน และสานักงานสื่อการการพัฒนา สถาบัน พัฒนาองคก์ รชมุ ชน (องค์การมหาชน), ๒๕๕๙), หน้า ๑-๓. ๒ สานกั งานส่งเสรมิ วสิ าหกจิ ขนาดลางและขนาดยอ่ ม (สสว.) “ขับเคล่ือนเศรษฐกจิ ชมุ ชน ด้วยเกษตร แปรรูป “เศรษฐกิจฐานราก” ทางเลือกใหมข่ องประเทศไทย, (ออนไลน์) แหลง่ ขอ้ มลู : <https://sme.go.th/upload/mod_download/download-20181005081823.pdf>, เข้าถงึ เมอื่ ๓๑ ตลุ าคม พ.ศ.๒๕๖๓.

๑๒ ดงั นัน้ เศรษฐกจิ ฐานราก (Local Economy) จึงเป็น ๑ ใน ๑๒ นโยบาย “ประชารัฐ” ท่ี รฐั บาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา หมายมน่ั ป่นั มือว่าจะช่วยลดปัญหาความเหล่ือมล้า ผ่านการทาให้ เศรษฐกจิ ชมุ ชนเขม้ แข็ง มรี ายไดเ้ พิ่มขึ้น โดยมีการตง้ั คณะกรรมการทางานขึ้นมาตั้งแต่เดือนธันวาคม ๒๕๕๘ ซึง่ เป็นความรว่ มมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน ภาควิชาการ และภาคประชาชน จากประเด็น ดังกล่าวนี้ แนวคิดของเศรษฐกิจฐานรากภายใต้นโยบายประชารัฐ คือ การสร้างความเข้มแข็งของ เศรษฐกิจฐานรากภายใตหลักการเศรษฐกิจพอเพียง ที่เช่ือว่า หากสามารถทาให้เศรษฐกิจฐานราก เชื่อมกับเศรษฐกิจมหภาคได้จะนาไปสู่การพัฒนาอย่างบูรณาการ และนั่นจะทาให้ชาติบ้านเมือง เติบโตอย่างสมดุล ย่ังยืน และก้าวหน้า ซ่ึงหากจะก้าวไปถึงจุดนั้นได้ ต้องมี “สัมมาชีพ” และ “วิชาห กิจชุมชน” ในพื้นท่ีอย่างเข็มแข็ง โครงการนี้ดาเนินการเรื่อยมาตั้งแต่รัฐบาล คสช. กระท่ังรัฐบาลชุด ปัจจุบันก็ยังคงเดินหน้าผลักดันอย่างต่อเน่ือง สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี (ในขณะน้ัน) ถึงกับวาดฝันว่าต่อไปน้ีประเทศไทยต้องเป็น Smart Notion ใช้เทคโนโลยีและวิทยาการเข้ามาช่วย พัฒนาความรู้ มีการดึงองค์กรต่าง ๆ ทั้งภาครัฐ และเอกชนมาเสียบปล๊ักทางานร่วมกัน เพื่อทาให้คน ไทยหลุดพน้ จาความขดั แย้ง ยากจน และความเหลือ่ มล้า๓ ๒.๑.๒ ความหมายของเศรษฐกิจฐานราก คาว่า “เศรษฐกิจฐานราก” แยกออกเป็น ๓ คา คือ คาว่า ‘เศรษฐกิจ’ คาว่า ‘ฐานราก’ และ คาว่า ‘ราก’ ในส่วนคาวา่ ‘เศรษฐกจิ ’ นี้เป็นคานาม (น.) หมายถึง ‘งานอันเกี่ยวกับการผลิต การ จาหน่ายจ่ายแจก และการบริโภคใช้สอยส่ิงต่าง ๆ ของชุมชน’๔ แต่ในส่วนของ คาว่า ‘ฐาน’ เป็น คานาม (น.) แปลว่า ‘ที่ต้ัง’๕ คาว่า ‘ราก’ เป็นคานาม แปลว่า ‘ส่วนของต้นไม้ ตามปรกติอยู่ใต้ดิน มี หน้าที่ดูอาหารเล้ียงลาต้น, โดยปริยายเรียกส่ิงท่ีมีลักษณะคล้ายคลึง...เรียกฐานที่อยู่ใต้ดินทาหน้าท่ี รองรับตัวอาคารว่า รากตึกหรือ ฐานราก, ต้นเดิม, เค้าเดิม’๖ ดังน้ัน คาว่า “ฐานราก” เป็นคานาม (น.) จึงหมายถึง โครงสร้างตอนล่างสุดท่ีรองรับอาคารหรือส่ิงปลูกสร้าง๗ และนอกจากนี้ยังปรากฏมี คาทีใ่ ช้ในลกั ษณะเดยี วกนั คือคาว่า “รากฐาน” ซึ่งหมายถึง หลักสาคัญอันเป็นพื้นฐานรองรับ, ส่วนที่ เป็นพื้นทร่ี องรับสาหรับพัฒนาตอ่ ไป๘ ในงานวจิ ัยนีใ้ ชค้ าวา่ ‘ฐานราก’ ดังมีการให้คานิยามความหมาย ๓ โกวิท โพธิสาร, “บทสัมภาษณ์ สันติภาพ ศิริวัฒนไพบลู ย์: เคลื่อนเศรษฐกิจฐานากในอีสาน ต้อง ไม่ล้างผลาญฐานทรัพยากร”. (ออนไลน์) แหล่งข้อมูล https://waymagazine.org/local-economy-to-bio- hub/, เขา้ ถงึ เมื่อ ๓๑ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๖๓. ๔ ราชบัณฑิตยสถาน, พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔. เฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเน่ืองในโอกาส พระราชพิธีมหามงคล เฉลิมพระชนมพรรษา ๗ รอบ ๕ ธันวาคม ๒๕๕๕, (กรุงเทพมหานคร: นามมีบคุ๊ ส์ พบั ลเิ คช่ันส์ จากัด, ๒๕๕๔), หนา้ ๑๑๔๘. ๕ เร่อื งเดยี วกนั , หนา้ ๔๑๕. ๖ เรอื งเดยี วกนั , หนา้ ๙๙๒. ๗ เรอื่ งเดียวกนั , หนา้ ๔๑๕. ๘ เรือ่ งเดียวกนั , หนา้ ๙๙๒.

๑๓ ของคาว่า “เศรษฐกิจฐานราก”น้ันของสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) กระทรวงการ พัฒนาสงั คมและความมน่ั คงของมนษุ ย์ ได้ให้คานิยามเอาไว้ว่า คือ“ระบบเศรษฐกิจของชุมชนท้องถ่ิน ที่สามารถพึ่งตนเองภายใต้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงท่ีมีการช่วยเหลือเอ้ือเฟื้อซึ่งกันและกัน มี คณุ ธรรม และเป็นระบบเศรษฐกิจที่เอ้ือให้เกิดการพัฒนาด้านอ่ืน ๆ ในพื้นท่ี ทั้งเศรษฐกิจ สังคม ผู้คน ชุมชน วัฒนธรรม สิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติ อย่างเข้มแข็งและย่ังยืน ระบบเศรษฐกิจฐานราก หรอื เศรษฐกิจชุมชน เป็นระบบเศรษฐกิจแนวราบท่ีส่งผลและสร้างความสัมพันธ์ทั้งทางเศรษฐกิจและ สังคมระหว่างผู้คนในชุมชนท้องถิ่น มิใช่เป็นเฉพาะเศรษฐกิจแนวดิ่งแบบปัจเจกแต่สามารถทาให้เกิด ความร่วมมือ เกดิ โอกาสและความสมั พนั ธท์ ีด่ ีระหว่างเศรษฐกิจร่วมของชุมชนกับเศรษฐกิจของปัจเจก เป็นระบบเศรษฐกิจท่ีมีลักษณะความร่วมมือเป็นหุ้นส่วนสร้างความสัมพันธ์ท้ังชุมชนท้องถิ่น และใน ระดบั ท่กี วา้ งขวางอ่นื ๆ และภายนอก๙ นอกจากน้ี เศรษฐกิจฐานรากจะต้องมีแนวทางการพัฒนาและ การจัดการโดยชุมชนท้องถ่ินให้ครบวงจรมากท่ีสุด มีการสร้างทุนและกองทุนท่ีเข้มแข็ง มีการผลิต อาหารและความจาเป็นพื้นฐานต่าง ๆ สาหรับคนในพ้ืนที่อย่างพอเพียง และพัฒนาเป็นวิสาหกิจเพ่ือ สังคมหรอื เปน็ ธุรกิจของชุมชน”๑๐ ๒.๒.๓ หลกั การสาคญั ของระบบเศรษฐกจิ ฐานราก ระบบเศรษฐกจิ ฐานราก จะต้องมีแนวทางการพัฒนาและการจัดการโดยชุมชนท้องถ่ิน ให้ ครบวงจรมากท่ีสุด มีการสร้างทุนและกองทุนท่ีเข้มแข็ง มีการผลิตพื้นฐาน การแปรรูป การบริการ การตลาด การผลิตอาหาร และความจาเป็นพื้นฐานเพื่อการดารงชีวิต การอยู่ร่วมกัน สาหรับคนใน พื้นท่ีอย่างพอเพียง และพัฒนาเป็นวิสาหกิจเพ่ือสังคมหรือธุรกิจของชุมชน (ในมิติของการเกื้อกูล เอื้อเฟือ้ การมีส่วนร่วมของคนในตาบล) ต่าง ๆ ท้ังขนาดย่อมหรือขนาดใหญ่ขึ้น โดยใช้ท้ังความรู้ท่ีส่ัง สมในพ้ืนที่ หรือท่ีเป็นเอกลักษณ์วัฒนธรรมของพ้ืนที่ และมีการพัฒนาใหทันสมัย พร้อมกับมีเทคนิค วิทยาการและความรู้เทคโนโลยี มาพัฒนาเพิ่มเติมให้เหมาะสมกับตลาด หรือสังคมเศรษฐกิจที่ เปลีย่ นแปลงไป ทาให้ผคู้ นและชมุ ชนทอ้ งถิน่ โดยรวมสามารถพ่งึ ตนเอง มีรายได้มากกว่ารายจ่าย และ สามารถพัฒนาเป็นผู้ผลิต ผู้สร้างงานบริการต่าง ๆ จากท้องถ่ินท่ีเข้มแข็ง สร้างสรรค์ หลากหลายมี เอกลกั ษณ์ ทนั สมยั และเชื่อมโยงกบั ระบบตลาดอยา่ งมปี ระสทิ ธิภาพ ๙ สุวฒั น์ กิขุนทด, “รวมพลังขับเคลอ่ื นเศรษฐกจิ ฐานราก สร้างชุมชน “ม่งั คง มั่งคัง และย่ังยนื ” ใน คู่มอื การสง่ เสริมการพฒั นา “ระบบเศรษฐกิจฐานราก”. หนา้ ๑๙. ๑๐ ขบั เคล่อื นเศรษฐกิจชุมชน ดว้ ยเกษตรแปรรูป “เศรษฐกิจฐานราก” ทางเลอื กใหมข่ องประเทศไทย, กิจกรรมจัดทาองค์ความรู้ท่ีเกี่ยวข้องกับการประกอบธุรกิจ งานพัฒนาองค์ความรู้สาหรับ SME (Knowledge Center) ปี ง บ ป ร ะ ม า ณ ๒ ๕ ๖ ๑ , ( อ อ น ไ ล น์ ) แ ห ล่ ง ที่ ม า : https://sme.go.th/upload/mod_download/download-20181005081823.pdf , เข้าถึงเมื่อ ๓๑ ตลาคม ๒๕๖๓.

๑๔ ระบบเศรษฐกิจฐานราก จะต้องมีความหลากหลาย พอเพียง เพื่อเปิดโอกาสแบะแบ่งปัน ให้คนทุกกลุม่ ทกุ วยั สามารถมีพื้นท่ี รวมทั้งสามารถเช่ือมโยงกับระบบเศรษฐกิจอ่ืน ๆ ได้อย่างดี อย่าง มีฉนั มิตรเป็นธรรม และมคี วามสมั พันธอ์ ยา่ งเท่าเทยี ม ๒.๒.๔ องคป์ ระกอบของเศรษฐกิจฐานรากทเ่ี ขม้ แข็ง ๑) มีการร่วมกลุ่ม เพ่ือสร้างพลังในการทางานร่วมกัน ความสามารถที่จะเจรจาต่อรอง และประสานงานทงั้ ภายในและกบั ภายนอกอยา่ งมีประสิทธภิ าพ ๒) มีการจัดระบบการเงินชองชุมชน การบูรณาการทุนร่วมกัน มีกองทุนของชุมชนที่ เข้มแข็ง สามารถเป็นกลไกการเงินของชุมชนในการพัฒนาทั้งเศรษฐกิจ สังคม อาชีพ วัฒนธรรม สิง่ แวดล้อมชมุ ชน และของคนในชมุ ชน ๓) มีระบบการจัดการทุนชุมชนที่ครอบคลุมทุนทางสังคม ทุนคน ฟ้ืนฟูทรัพยากร วิถี วัฒนธรรมภูมปิ ัญญา อตั ลกั ษณ์ของชมุ ชนท้องถนิ่ ประวตั ิศาสตร์ ๔) มีระบบข้อมูลท่ีทันสมัยรอบด้านท้ังภายในและภายนอก เพื่อการวิเคราะห์ระบบ ท้องถ่ิน อาชีพ รายได้ รายจ่าย การผลิต ฐานเศรษฐกิจ ที่ดิน ความเป็นอยู่ของคนในชุมชน ข้อมูล ความรู้ ระบบเศรษฐกิจเก่ียวข้องภายนอก เป็นฐานสาคัญในการวางแผนชุมชน การวางแผนเพ่ือการ ตดั สนิ ใจ การติดตาม วดั ผลและรายงานผล ๕) มีระบบการผลิตของชุมชนท้ังขั้นพื้นฐานและก้าวหน้า ท่ีได้มาตรฐาน มีมูลค่าเพิ่ม และสามารถเชือ่ มโยงระบบเศรษฐกิจภายนอกได้ ๖) สร้างความร่วมมือในทุกระดับและทุกมิติ เพ่ือให้เกิดความร่วมมือให้บรรลุ เป้าหมายและสัมพันธภาพที่ดี ท้ังระดับกลุ่มต่อกลุ่ม กลุ่มกับชุมชน ตาบล อาเภอ จังหวัดภูมินิเวศน์ หรือรวมตัวเป็นเครือข่ายประเด็นต่าง ๆ ได้ เช่น เครือข่ายเกษตรอินทรีย์ เครือข่ายข้าว เครือข่าย ประมงพ้ืนบ้าน เครือข่ายท่องเท่ียวโดยชุมชน เครือข่ายภูมินิเวศน์วิถีวัฒนธรรม หรือการสร้างความ ร่วมมอื ระหว่างชมุ ชนกับหน่วยงานตา่ ง ๆ เปน็ ตน้ ๗) มีระบบการอยู่ร่วมกัน หรือเคารพกติกา จารีตประเพณีในการอยู่ร่วมกัน ระบบ สวัสดิการการดูแลซึ่งกันและกันและการอยู่ร่วมกับธรรมชาติและสังคมใหญ่อย่างสร้างสรรค์และ เก้ือกลู ๘) มีคุณธรรม จริยธรรม ในการทากิจกรรม การประกอบกิจการ ท้ังด้านเศรษฐกิจและ สังคม หรอื การดารงชีวิต ๙) มีความเป็นข้าวของร่วมกัน โดยคนในชุมชนร่วมทุนร่วมกิจกรรมหรือกิจการ ในการ พัฒนาต่าง ๆ ที่เกดิ ข้นึ ในชุมชน มีสานึกถงึ ความเปน็ เจ้าของร่วมกัน

๑๕ ๑๐) คนในพ้ืนท่ีของชุมชนสามารถมีส่วนร่วม มีความรู้เรื่องราวการพัฒนาในพื้นที่ รวมท้ังความรู้ในสังคมอ่ืน ๆ มีคุณภาพ มีความม่ันใจที่จะให้ความรู้เห็น ร่วมคิดร่วมทาต่ืนรู้ มีความ สรา้ งสรรค์ มีคณุ ธรรมจรยิ ธรรมพนื้ ฐานครอบครัวมีความเขม้ แขง็ และสามารถพึ่งตนเองทางเศรษฐกิจ ไดม้ ากทสี่ ุด๑๑ ๒.๒.๕ แนวทางและกระบวนการขับเคลื่อนเศรษฐกจิ ฐานราก๑๒ เพื่อใหก้ ารขบั เคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก เห็นผลรูปธรรมทีช่ ัดเจน จึงกาหนดแนวทางการ ขบั เคล่อื นเศรษฐกิจฐานรากที่จะใช้เปน็ แนวทางตั้งตน้ ดังน้ี ๑.ใชพ้ ืน้ ท่ีตาบลเปน็ ตัวต้ัง โดยกาหนดใหม้ ี  เปา้ หมาย คือ ระบบเศรษฐกิจชมุ ชนสร้างความสขุ ยั่งยนื  ยุทธศาสตร์ คอื สร้างระบบเศรษฐกจิ และทนุ ชมุ ชนฐานราก ดว้ ยหลกั เศรษฐกจิ พอเพยี งเพ่ือสังคมมีความสขุ  เคร่อื งมอื คอื ปรชั ญาเศรษฐกจิ พอเพียง ภูมิปัญญาท้องถิน่ และนวตั กรรม เทคโนโลยี  มาตรการ คอื กาหนดให้พ้นื ที่ทุกระดับเปน็ เขตเศรษฐกิจชมุ ชนพเิ ศษ  หลักการ คือ เศรษฐกิจปลอดภยั หรือเศรษฐกจิ สีเขยี ว  พ้ืนท่ดี าเนินงาน คอื ตาบลหรอื ทอ้ งถนิ่  พืน้ ท่ีบรู ณาการ คอื การรวม ๒-๓ ตาบลขึน้ ไป ภายใตป้ ระเด็งานรว่ มที่ตาบลได้ ปรึกษาหารือ และตกลงรว่ มกัน  พ้นื ทจ่ี ัดการ คือ ใช้พืน้ ท่ีระดับอาเภอ จัดการเปน็ “เครือข่ายระดบั อาเภอจัดการ ตนเอง” ครบวงจร (ผลติ บริโภค แปรรูป ซือ้ ขาย ทุน กาไร) ๒.สรา้ ง และพฒั นาแกนนาตาบล อาเภอ จงั หวดั โดยตาบล และหน่วยงานในพน้ื ท่ี ท้ัง ภาครฐั และภาคธรุ กจิ เอกชน ตอ้ งรบั รู้ ทาความเขา้ ใจต่อเป้าหมาย และวางแผนงานรว่ มกัน ๓.การสรา้ งกลไกการขบั เคลอ่ื นท้ังในระดับประเทศ จงั หวดั อาเภอ ตาบล และชุมชน เช่น  มีการกาหนดตัวแทนในแต่ละระดบั ร่วมกับหน่วยงานภาคี ๑๑ สุวัฒน์ กขิ ุนทด, “รวมพลงั ขับเคลอื่ นเศรษฐกิจฐานราก สร้างชุมชน “ม่ังคง มง่ั ค่ัง และยัง่ ยนื ” ใน คมู่ อื การสง่ เสรมิ การพัฒนา “ระบบเศรษฐกิจฐานราก”. หนา้ ๑๙-๒๒. ๑๒ เรื่องเดียวกัน. หน้า ๓๖.-๓๘.

๑๖  วางเป้าหมาย และกาหนดแผนงานในการขบั เคล่ือนการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก รว่ มกนั  จดั ทาแผนพัฒนาด้านต่าง ๆ เช่น แผนการพฒั นาคุณภาพมาตรฐานการผลติ แผนการจัดระบบการกระจายสนิ ค้า แผนการสรา้ งพื้นที่ทางการตลาด การเพิม่ รายได้ การลดหน้สี นิ การมีคุณภาพชวี ิตทีด่ ี การมีสงิ่ แวดล้อมที่ดี เปน็ ต้น  จดั ทาแผนพฒั นาด้านต่าง ๆ เช่น แผนการพัฒนาคุณภาพมาตรฐานการผลิต แผนการจดั ระบบการกระจายสินคา้ แผนการสรา้ งพ้ืนที่ทางการตลาด การเพมิ่ รายได้ การลดหนีส้ นิ การมีคุณภาพชวี ิตท่ดี ี การมีส่ิงแวดลอ้ มทีด่ ี เป็นต้น ๔.การพัฒนาองค์ความรู้ ท่ีมาจากกรอบคิดการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากโดยชุมชน เพื่อพัฒนาเป็นระบบข้อมูลองค์ความรู้ ขยายผล เผยแพร่ ใช้ประโยชน์ให้เหมาะสมกับการจัดการ ทรัพยากรในชมุ ชน ๕.การจัดการองคก์ รชมุ ชน และเครอื ขา่ ยองคก์ รชุมชนในดา้ นต่าง ๆ เชน่  การจดั การทุนชุมชน  การจัดความสมั พันธร์ ะหว่างคน กลไกในระดับต่าง ๆ  การจัดความสัมพันธ์ของระบบเครือข่ายท้ังแนวราบ และแนวดิ่ง เพื่อให้เอ้ือต่อ การพฒั นาเศรษฐกิจฐานราก  การสร้างระบบเศรษฐกิจในระยะต่าง ๆ ภายใต้ต้นทุนที่มีอยู่ เช่น ระยะส้ัน ดาเนนิ การจัดการทรพั ยากรในชุมชนให้เหมาะสม ระยะกลาง พัฒนาคนให้เข้าใจ ระบบ เศรษฐกิจฐานรากท่ียั่งยืน และระยะยาว การตลาดภายในภายนอก และ การสร้างและพัฒนาเทคโนโลยี เป็นตน้ ๒.๒.๖ ประโยชนข์ องการพฒั นาระบบเศรษฐกิจฐานราก๑๓ การพัฒนาระบบเศรษฐกิจฐานรากนั้น กรมการพัฒนาชนชน ได้ดาเนินการตามนโยบาย เร่งด่วนของรัฐบาลเพื่อแก้ไขปัญหาความยากจนของพ่ีน้องประชาชนในชนบท และเขตเมือง กระตุ้น เศรษฐกิจระดับฐานรากของประเทศ ให้เกิดศักยภาพ/ความเข้มแข็งของประชาชนหมู่บ้าน/ชุมชน เมือง โดยได้กาหนดเป็นแผนยุทธศาสตร์ให้ทุกหน่วยงาน ภาครัฐ เอกชนและภาคประชาชน เข้ามามี ส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาดังกล่าวด้วยการลดรายจ่ายเพิ่มรายได้ให้กับประชาชน ตลอดจนส่งเสริม กระบวนการเรยี นรู้ และบูรณาการกิจกรรมขององคก์ รชุมชนและเครอื ข่าย รวมทั้งเสริมสร้างศักยภาพ ๑๓ กรมการพัฒนาชนบท กระทรวงมหาดไทย, “การพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก”, ออนไลน์ แหล่งข้อมูล http://www.mahadthai.com/html/kan100_day/moi_5.htm, เข้าถึงเมื่อ ๓๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๖๑.

๑๗ และส่งเสริมเศรษฐกจิ พอเพียง โดยมีการดาเนินงานตามโครงการที่สาคัญ ได้แก่ ๑) การจัดตั้งกองทุน หมู่บ้านและชุมชนเมือง ๒) โครงการหนึ่งตาบล หน่ึงผลิตภัณฑ์ (นตผ.) เป็นต้น จากการท่ี กระทรวงมหาดไทยได้สิ่งเสริมทุกกิจกรรมนี้ ย่อมก่อให้เกิดประโยชน์ของโครงการเหล่าน้ี ซ่ึงจัดอยู่ใน โครงการของการพฒั นาระบบเศรษฐกจิ ฐานราก ซง่ึ ย่อมก่อเกดิ ประโยชนก์ บั ประชาชนทีไ่ ดร้ บั ดังนี้ ๑. ประชาชนมรี ายได้เพมิ่ ข้ึน มคี ณุ ภาพชีวิตดขี ึ้น ๒. สง่ เสรมิ การเรียนรใู้ หแ้ ก่ชุมชน และสิง่ เสริมใหอ้ งค์กรชุมชนเป็นกลไกของประชาชนใน การบริหารจดั การเงินของท้องถิ่นและชุมชน ๓. ประชาชน ผนู้ าชมุ ชน องค์กรชุมชน และเครือขา่ ยองค์กรชมุ ชน มสี ว่ นร่วมในการ พัฒนาชมุ ชนโดยใชท้ รัพยากรในชมุ ชนของตนเอง ๔.ประชากรมีความรู้ ความเข้าใจในการดาเนินการค้า การผลิตและการตลาด และมี ชอ่ งทางในการกระจายสนิ ค้าตามสถานทต่ี ่าง ๆ ได้แก่ ศนู ย์สาธติ การตลาด ศนู ยจ์ าหนา่ ยผลติ ภัณฑ์ แหลง่ ท่องเที่ยว ๕.หน่วยราชการสามารถสนับสนนุ ด้านเทคนคิ วชิ าการแก่องคก์ รชมุ ชนอย่างต่อเนื่อง ๒.๒.๗ ตัวชีว้ ัดความสาเร็จ๑๔ ตัวช้วี ดั ความสาเร็จของการเปล่ียนแปลงจากการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก ประกอบด้วย ตวั ชี้วัดระดบั บคุ คล/สมาชิก ตัวชี้วัดระดับกลมุ่ ตัวชวี้ ดั ระบบชมุ ชน/หมู่บ้าน ตวั ช้วี ัดระดับตาบล และ ตัวช้วี ดั ระดับจังหวดั โดยมีรายละเอยี ดของตวั ชี้วัดในในแต่ละระดับ ดังน้ี ระดบั ตัวชีวดั เชงิ คุณภาพ เชงิ ปริมาณ ระดับบคุ คล/ ๑.มีการทาบัญชีครวั เรอื น ๑.มีเงินออมในรอบ สมาชกิ ๒.มอี าชพี และรายได้ที่ม่ันคงสมาชิกครัวเรือนในวัยทางานมี ปเี พมิ่ มากขนึ้ ...บาท งานทา ๒.มีหนสี้ ินทไ่ี ม่ ๓.คนในครอบครัวมีสุขภาพแข็งแรง (ไม่เป็นโรคเจ็บป่วย กอ่ ให้เกดิ รายได้ใน จากสารเคมี/ยาฆ่าแมลง/ความเครียด) รอบปีทผ่ี า่ นมาลดลง ๔.ปรบั เปล่ียนวิถชี วี ิตวิถีการผลติ เพือ่ การบริโภคในครวั เรอื น ...บาท ที่ไม่เบยี ดเบยี นตนเอง ผูอ้ น่ื และสงิ่ แวดล้อม ๓.มีทรพั ย์สนิ ในรอบ ๕.มจี ิตสาธารณะเพิม่ มากขึ้น ปที ผี่ ่านมาเพ่ิมขน้ึ จานวน...รายการ ระดบั กลมุ่ ๑.สมาชิกกลุ่มมีส่วนร่วมในการทากิจกรรมด้านการพัฒนา ๑ . ร้ อ ย ล ะ . . . ข อ ง เศรษฐกิจฐานราก ร่วมกันอย่างสมา่ เสมอ ครัวเรือนในชุมชนที่ ๒.กลุ่มมีการบริหารจัดการท่ีเป็นระบบ โปร่งใส และ เป็นสมาชิกกลุ่มด้าน ๑๔ อา้ งแลว้ สุวฒั น์ กิขุนทด, “รวมพลังขบั เคลือ่ นเศรษฐกิจฐานราก สรา้ งชมุ ชน “ม่งั คง ม่ังคง่ั และ ยง่ั ยืน” หนา้ ๒๓-๓๕.

๑๘ ตรวจสอบได้ (มีการรายงานผลการดาเนินงานรายงาน เ ศ ร ษ ฐ กิ จ ชุ ม ช น การเงนิ ตอ่ สมาชิก/สาธารณะ ทกุ ...เดอื น) (องคก์ รการเงิน กลุ่ม ๓.มีฐานข้อมูลสมาชิกกลุ่มที่เป็นลายลักษณ์อักษร หรือ อาชีพ) ไฟล์ขอ้ มูล ถูกต้อง ครบถ้วน ๒ . จ า น ว น ส ม า ชิ ก ๔.มีการจัดสรรผลกาไรรายได้ผลการดาเนินงานเพื่อ กลุ่มเพม่ิ ขึ้น...คน ประโยชน์สว่ นรวมหรือประโยชนส์ าธารณะ ๓.จานวน ๕.มคี นทางานที่มาจากหลากหลาย (วัย เพศ อายุ กลุ่ม/ เงินกองทุนหรือเงิน องค์กร) มีการแบ่งบทบาทหน้าทอ่ี ยา่ งชดั เจนและทางาน หมุนเวียนเพิ่มขึ้น อย่างต่อเน่อื ง อยา่ งตอ่ เน่ือง ๖.กจิ กรรมที่ดาเนินการต้องไมเ่ บียดเบยี นตน ผอู้ น่ื และ ๔.จานวนรายได้/ผล ทรัพยากรธรรมชาติสิง่ แวดล้อม กาไรจากการ ๗.มีการขยายกิจกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรรกจาก ดาเนินงานของกลุ่ม เรอ่ื งหนง่ึ ไปสู่อีกเร่อื งหนึง่ เพ่มิ ขนึ้ ๘.มีการผลิต แลกเปลี่ยนหรือแบ่งปันปัจจัยการผลิต/ ผลผลิต และหรือเชื่อมโยงปัจจัยการผลิต/ผลผลิตกับตลาด ภายนอกได้ ระดับชุมชน/ ๑.มีการวิเคราะหศ์ ักยภาพปัญหา ทุนด้านต่าง ๆ ของชุมชน ๑.รอ้ ยละ ๕๐ ของ หม่บู า้ น ทุ ก ปี ครัวเรอื นในชมุ ชนมี ๒.มีแผนชีวิตชุมชน/แผนแม่บทชุมชน และเป้าหมายการ การทาบญั ชี พัฒนาเศรษฐกิจชุมชนท่ีมาจากการมีส่วนร่วมของคนใน ครวั เรอื น ชมุ ชน ครอบคลุมดา้ นปัจจัยส่ี และนาแผนไปปฏิบตั ิเพื่อการ ๒.ร้อยละ....ของ พัฒนาคน พัฒนาอาชีพ พัฒนาสวัสดิการ ให้เกิดการ ครัวเรือนในชุมชนมี เปล่ยี นแปลงในชมุ ชนได้ อาชีพและรายได้ท่ี ๓.มีการเช่ือมโยงกลุ่มการผลิต การแปรรูปและการบริการ มั่นคง ในชุมชนเพอื่ ให้เกิดประโยชนร์ ว่ มกาน ๓.ร้อยละ ๒๐ ของ ๔.มีการเชื่อมโยง/บูรณาการทุนชุมชน (ที่เป็นเงินและไม่ใช่ ครัวเรือนในชุมชน ตัวเงิน) เพื่อใช้เป็นกองทุนกลางในการสนับสนุนการพัฒนา สามารถผลิตเพ่ือ เศรษฐกิจชุมชน บรโิ ภคได้เอง ๕.มรี ะบบขอ้ มูล และชุดความรขู้ องชมุ ชนที่สามารถนาไปใช้ ๔ . ร้ อ ย ล ะ . . . ข อ ง ประโยชน์ได้ ครัวเรือนในชุมชนมี สมาชิกในวัยทางาน มงี านทา ๕.ร้อยละ ๒๐ ของ ครัวเรือนในชุมชนมี หน้ีสินท่ีไม่ก่อให้เกิด รายได้ลดลง

๑๙ ๖ . ร้ อ ย ล ะ . . . ข อ ง ครัวเรือนในชุมชนมี ทรพั ยากรเพิม่ ขนึ้ ๗ . ร้ อ ย ล ะ . . . ครัวเรือนในชุมชนมี เงนิ ออมเพ่ิมข้ึน ๘.ร้อยละ ๕๐ ของ ค รั ว เ รื อ น ท่ี ท า เ ก ษ ต ร ใ น ชุ ม ช น มี การปรับเปล่ียนวิถี ก า ร ผ ลิ ต ท่ี ไ ม่ เบียดเบียนตนเอง ผู้ อื่ น แ ล ะ ทรัพยากรธรรมชาติ สิง่ แวดล้อม ๙.จานวนพ้ืนท่ีท่ีทา เ ก ษ ต ร อิ น ท รี ย์ / เกษตรยั่งยืนเพิ่มขึ้น ...ไร่ ระดบั ตาบล ๑.มีแผนพัฒนาตาบลทุกมิติ (สังคม วัฒนธรรม ประเพณี ๑.ร้อยละ ๕๐ ของ การเมือง ฯลฯ) ท่เี ห็นแผนด้านการพฒั นาเศรษฐกิจฐานราก ครัวเรือนในตาบลมี อยา่ งชัดเจน ก า ร ท า บั ญ ชี ๒.เชื่อมโยงกลุ่มการผลิต การแปรรูปและการบริการใน ครวั เรอื น ระดับชุมชน เป็นเครือข่ายระดับตาบล (เพื่อแลกเปล่ียน ๒ . ร้ อ ย ล ะ . . . ข อ ง สนิ คา้ ความรู้ การต่อรอง ฯลฯ) ครัวเรือนในตาบลมี ๓.เชื่อมโยงกลุ่ม/เครือข่ายการผลิต การแปรรูปและการ อาชีพและรายได้ท่ี บริการเป็นเครือข่ายระหว่างตาบล (คลาสเตอร์) หนุน มั่นคง ชว่ ยกัน ๓.ร้อยละ ๒๐ ของ ๔.เชื่อมโยงเครอื ขา่ ยการผลิตการแปรรูปและการบริการกับ ครัวเรือนในตาบล ภาคธรุ กิจ ภาครกี ารพัฒนา ส า ม า ร ถ ผ ลิ ต เ พ่ื อ ๕.มีกองทุนระดับตาบลทเ่ี ป็นนติ ิบคุ คล และคนในตาบลเป็น บริโภคไดเ้ อง เจ้าของ (กองทุนระดับตาบล หมายถึง การบูรณาการทุน ๔.ร้อยละ ๒๐ ของ ระดับตาบล ที่อาจทาหน้าที่แตกต่างกัน แต่มีความเข้าใจใน ครัวเรือนในตาบลมี การทางานและมีข้อมูลภาพรวมของกลุ่มต่าง ๆ หรือมีการ หนี้สินที่ไม่ก่อให้เกิด ลงหุ้นร่วมในนามของกลุ่ม หรือ การมีธนาคารของคนใน รายได้ลดลง ตาบลเป็นธนาคารกลางของชุมชนเพื่อจัดการการเงินทั้ง ๕ . ร้ อ ย ล ะ . . .

๒๐ ระบบร่วมกัน) ครัวเรือนในตาบลมี ๖.มีกลไกการจัดการร่วมกัน ท่ีเป็นศูนย์กลางการซื้อขาย / ทรพั ย์สินเพ่ิมขึน้ รวบรวม/ กระจายสินค้า และเช่ือมโยงการตลาด และ ๖ . ร้ อ ย ล ะ . . . . เจรจาทางการค้า ทัง้ ในระดบั ชุมชน ตาบล และจังหวัด โดย ครัวเรือนในตาบลมี อาจใช้ระบบสหกรณ์ รวมถึงมีข้อมูลเพ่ือสนับสนุนการ เงินออมเพิม่ ขึน้ พัฒนาระบบการผลติ และการตลาด ๗.จานวนกลุ่มอาชีพ ๗.มีการพึ่ง่ตนเองของการสร้างเศรษฐกิจฐานรากโดยอาจ ตา่ ง ๆ ทห่ี ลากหลาย พจิ ารณาจาก แ ล ะ ค ร อ บ ค ลุ ม ๗.๑ สามารถบรหิ ารจัดการหนสี้ ินได้ ระบบการผลิต การ ๗.๒ มรี ายได้มากกว่ารายจา่ ย แปรรูป การตลาด ๗.๓ มีระบบเศรษฐกิจฐานรากที่ครบวงจร (ผลิต/ ก า ร ส่ื อ ส า ร ก า ร บริโภค/แปรรูป/จาหนา่ ย/แบง่ ปัน) จั ด ก า ร ข้ อ มู ล แ ล ะ ๗.๔ มีการวิจยั พฒั นาและถา่ ยทอดความรู้ การบริการเช่ือมโยง ๗.๕ มีการจัดการทรัพยากรอย่างสมดุล และมี ตั้งแต่ระดับกลุ่มสู่ ประสิทธิภาพ ระดบั ตาบล ๗.๖ มีความร่วมมือที่ดีกับภาคธุรกิจและภาคีการ ๘.จานวนกลุ่มด้าน พัฒนา เศรษฐกิจชุมชนที่มี ๗.๗ มีแนวนโยบายของหน่วยงานท่ีสนับสนุน ก า ร ด า เ นิ น ก า ร ชดั เจน กิจกรรมต่อเน่ือง.... กลุ่มหรือร้อยละของ กลุ่มด้านเศรษฐกิจ ชุมชนท่ีมีความเข้ม แข้ง (ตามตัวชีวัด ร ะ ดั บ ก ลุ่ ม ) ต่ อ จ า น ว น ก ลุ่ ม เ ศ ร ษ ฐ กิ จ ชุ ม ช น ทง้ั หมดตา ๙.ร้อยละที่เพ่ิมขึ้น ของผลตอบแทน จ า ก ก า ร ด า เ นิ น กิจกรรมการพัฒนา เศรษฐกิจฐานราก เม่ือเปรียบเทียบกับ ปีทผี่ า่ นมา ๑๐.จานวน ผลิตภัณฑ์ของชุมชน

๒๑ ท่มี ีคณุ ภาพ สามารถ จ า ห น่ า ย ใ น ต ล า ด ท้ อ ง ถิ่ น แ ล ะ / ห รื อ ตลาดภายนอก ท้ อ ง ถ่ิ น ไ ด้ . . . ช นิ ด / รายการ ๑๑.จานวนพื้นที่ท่ี ทาเกษตรอินทรีย์/ เกษตรย่ังยืนเพ่ิมข้ึน ...ไร่ ระดบั จงั หวดั ๑. มี แผ น พัฒ น าร ะ บบ เ ศ รษ ฐ กิจ ฐ าน ร าก ซ่ึง อ า จ ๑.มีการจัดระดับ ประกอบด้วย คุณภาพของระบบ ๑.๑ แผนปฏิบัติการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากของ การพัฒนาเศรษฐกิจ ภาคชมุ ชนระดบั จงั หวดั ฐานราก ๑.๒ แผนปฏิบัติการร่วมของภาคชุมชนกับ ประกอบด้วย หน่วยงานภาคีระดับตาบล อาเภอ ๑.๑ คุณภาพระดับ ๑.๓ แผนพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากระดับจังหวัด เข้มขน้ ที่มาจากกระบวนการมีส่วนร่วมระหว่างชุมชน ๑) จานวนชุมชน/ และหน่วยงานภาคี ในแต่ละประเด็นงานจากฐาน ตาบลท่ีมีการเริ่ม การผลิตอาชีพที่หลากหลาย และครอบคลุมทุก ดาเนินการพัฒนา ประเด็นงาน/คลัสเตอร์ (ท่องเที่ยวโดยชุมชน การ เศรษฐกิจฐานรากมี ผลิต การแปรรูป ประมง ผลไม้ ฯลฯ) ความเขม้ แข็ง มีกลุ่ม ๑.๔ แผนพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากระดับจังหวัดที่ หลากหลาย มรี ายได้ สามารถตอบสนองต่อการฟ้ืนฟู พัฒนาคุณภาพ มากกว่ารายจ่าย ชวี ิตของคนในชุมชนทอ้ งถน่ิ ๒) จานวนตาบลท่ีมี ๑.๕ แผนพัฒนาสาธารณปู โภคพื้นฐานท่ีเป็นแผนท่ี รูปธรรมการพัฒนา เกิดขึ้นจากการมีส่วนร่วมของชุมชนท้องถิ่นโดย ร ะ บ บ เ ศ ร ษ ฐ กิ จ เปิดเผย โปร่งใส่ และตอบสนองต่อการพัฒนา ชุมชน เศรษฐกจิ ฐานราก ๓) รอ้ ยละของตาบล ๒. มีไกลไกร่วมในการพัฒนาระบบเศรษฐกิจฐานรากใน ใ น จั ง ห วั ด ท่ี มี ก า ร ระดับจังหวัดที่ประกอบ ด้ว ย ภ าคชุมช น ภ าครั ฐ พั ฒ น า ร ะ บ บ ภาคเอกชน ภาควิชาการ ภาคประชาสังคม ซ่ึงมี เศรษฐกิจฐานราก องคป์ ระกอบ ดังนี้ อยา่ งเป็นรปู ธรรม ๑ . ๒ คุ ณ ภ า พ ๒.๑ มีกลไกที่มีคุณภาพ โดยชุมชนสามารถมีส่วน ระดบั กลาง รว่ มได้อย่างเทา่ เทยี ม  จานวนชมุ ชน /

๒๒ ๒.๒ มีตัวแทนจากองค์กรชุมชนในพื้นที่มาจาก ตาบลที่มีการ ประเด็นงานหรือฐานการผลิตที่หลากหลาย (เช่น เริ่ม ก า ร ผ ลิ ต ก ลุ่ ม ก า ร ท่ อ ง เ ท่ี ย ว โ ด ย ชุ ม ช น กระบวนการ ผู้ประกอบการชุมชน) และเข้าร่วมไม่น้อยกว่าร้อย และอยู่ระหว่าง ละ ๒๐ ของจานวนองค์ประกอบของกลไกและเข้า จัดการ ร่วมเพม่ิ ขึน้ โดยลาดบั ๑.๓ คุณภาพระดับ ๒.๓ มรี ะบบการตัดสินใจรว่ มกัน เริม่ ตน้ ๓.มีผังเมืองทางกายภาพ ผังการใช้พ้ืนท่ีที่แสดงศักยภาพ  จานวนชุมชน/ ของพื้นท่ีท่ีเหมาะสมกับการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากใน ตาบลที่มีปัญหา จังหวัดอยา่ งมีสว่ นรว่ ม และเป็นเจ้าของรว่ ม และยังไม่ได้เริ่ม ๔.มีกลไกร่วมในการบริหารจัดการสินค้าจากชุมชนตาบล ดาเนนิ การ และกระจายสินค้าระหว่างชุมชน จังหวัด โดยเชื่อมกับ ภาคเอกชน (ศนู ย์กระจายสินคา้ ทีช่ มุ ชนเปน็ เจา้ ของ) ๒.จานวนผลผลิตที่ ๕.มีการเช่ือมโยงเครือข่ายเศรษฐกิจฐานรากระดับจังหวัด โดดเด่นของจังหวัด สามารถต่อรองเช่ือมโยงทุนชุมชนให้เกิดการพัฒนา และมี ท่ีมาจากภูมิปัญญา ผลลัพธ์ทชี่ ัดเจน และขยายผลประเด็นงานหรือฐานการผลิต วัฒนธรรม ประเพณี ท่ีหลากหลาย เช่น ผลไม้ ท่องเท่ยี วโดยชุมชน การผลิต การ ของคนในจงั หวดั แปรกรูปประมง เป็นตน้ ๓.การปรับเปลี่ยน ๖.มีการผลักดันนโยบายรัฐในการส่งเสริมเกษตรอินทรีย์ใน กฎ กติกา หรือการ หลากหลายรปู แบบ ทง้ั ในระดับพ้ืนทแ่ี ละในระดบั ชาติ ส นั บ ส นุ น ใ น ก า ร ระดับนโยบายท่ีเอื้อ ต่ อ ก า ร ป ร ะ ก อ บ กิจการของชุมชน ดู จากจานวนกกติกา น โ ย บ า ย ที่ มี ก า ร กาหนดหรือรับรอง หรือปรับเปลี่ยนใน จังหวดั ตอ่ ปี ๔.จานวนเอสเอ็มอี (SME) ของชุมชน ทอ้ งถิ่นท่ีมีมาตรฐาน เ ชิ ง คุ ณ ภ า พ ( ม า ต ร ฐ า น เ ชิ ง คุณภาพของเอสเอ็ม อีแบบชุมชนท้องถ่ิน คือ เป็นมาตรฐานที่ ชมุ ชนเป็นเจ้าของ)

๒๓ ๕ . มี พื้ น ที่ ท า การเกษตรอินทรีย์ ไม่น้อยกว่าร้อยละ ๕ ๐ ข อ ง พื้ น ที่ เกษตรกรรมทั้งหมด ในจงั หวดั ๖. จานวนพ้ืนที่ที่มี การจัดโซนการผลิต ( ผั ง ชุ ม ช น / ต า บ ล ) อย่างมปี ระสิทธภิ าพ ๒.๒ แนวคิดเรื่องการพฒั นาชมุ ชน ๒.๒.๑ ที่มาของแนวคิดการพัฒนาชมุ ชน แนวคิดเกีย่ วกับการพัฒนานัน้ มีความเก่ยี วพนั กับแนวคิดอน่ื ๆ ทีใ่ กล้เคียงกันทั้งในแง่ของ ความหมายและปรากฏการณ์ ซ่งึ ในบางครง้ั และนักวิชาการบางคนก็ใช้แทนกันและมีความหมายอย่าง เดียวกัน ในขณะที่บางครั้งนักวิชาการคนอ่ืนก็ต้องการช้ีให้เห็นถึงความแตกต่างกันและใช้ใน ความหมายที่แตกต่างกันออกไป แนวคิดต่าง ๆ ดังกล่าวได้แก่ การทาให้ทันสมัย การเปลี่ยนแปลง การทาให้เป็นอตุ สาหกรรม และการทาให้เป็นแบบตะวนั ตก๑๕ ๒.๒.๒ ความหมายของการพัฒนาชมุ ชน คาว่า การพฒั นาชมุ ชน ประกอบด้วย ๒ คา คอื คาวา่ พัฒนา และคาว่า ชมุ ชน โดยผูว้ จิ ยั จะนาเสนอความหมายของแต่ละคา ดังที่มนี กั วิชาการหลาย ๆ ทา่ นไดใ้ ห้ความหมาย และจากดั ความ เอาไวด้ ังน้ี ก.คาว่า “พัฒนา” ตรงกับคาภาษาอังกฤษว่า “Development” และตรงกับคาภาษา บาลี คือ “วฑฺฒาปน, สมฺปาก”๑๖ พจนานุกรมภาษาอังกฤษฉบับ Oxford Advanced Learner’s Dictionary ให้ความหมายของคาว่า “Development” หมายถึง การค่อยๆ เติบโตของบางส่ิง ซ่ึง ๑๕ ปรมะ สตะเวทิน, “หนวย่ ที่ ๒ แนวคิดเกีย่ วกับการสอื่ สารเพ่อื การพัฒนา” ใน เอกสารการสอนชุด สื่อสารเพ่ือการพัฒนา หน่วยที่ ๑-๘, บรรณาธิการโดย ปรัชญา เวสารัชช์, พิมพ์ครั้งท่ี ๑๐, (นนทบุรี: สาขานิ เทศาสตร มหาวทิ ยาลยั สโุ ขทยั ธรรมาธิราช, ๒๕๔๐), หน้า ๖๙. ๑๖ พระมหาโพธิวงศาจารย์ (ทองดี ป.ธ.๙), พจนานกุ รมไทย-บาลี, (กรงุ เทพามหานคร: พจนานุกรม ไทย-บาล.ี (กรงุ เทพมหานคร: ปัญญมิตร การพมิ พ)์ , หนา้ ๔๗๓.

๒๔ กลายเป็นเติบโต, แข็งแรงข้ึน เป็นต้น (Development means the gradual growth of something so that it become more advanced, stronger, etc.)๑๗ นอกจากนกี้ ย็ งั มกั วชิ าการนานาชาติ ได้ให้คานิยามคาวา่ “พฒั นา” เอาไว้ดงั นี้ ซิงห์ (P.R.R.Sinha, 1976) ให้คาจากัดความของการพัฒนาว่า “เป็นกระบวนการของ การเคล่ือนไหวจากสภาพทไ่ี ม่น่าพอใจไปสู่สภาพทน่ี า่ พอใจ การพัฒนาเป็นกระบวนการท่ีเปลี่ยนแปลง อยู่เสมอไมห่ ยุดหนิง่ ”๑๘ เซียร์ (D.Seers) ให้ความเห็นเกี่ยวกับการพัฒนาว่า หมายถึง การมีอาหารกินอย่าง เพียงพอ มีระดับรายได้เพียงพอท่ีจะสนองความต้องการข้ันพ้ืนฐาน อันได้แก่ เคร่ืองนุ่งห่มและท่ีอยู่ อาศัย มีงานทา มีความเสมอภาคกันในสังคม ถ้าหากว่าประชาชนส่วนใหญ่ยากจนลง มีคนว่างงาน เพ่ิมขึ้น มีความอยุติกรรมในสังคมมากข้ึน แม้ว่ารายได้ต่อหัวของประชาชนเพ่ิมมากขึ้นจากเดิมสอง เท่าก็ไม่สามารถเรียกได้ว่ามีการพัฒนาเกิดขึ้น แผนการใด ๆ ท่ีไม่มีเป้าประสงค์ที่จะลดความยากจน ลดการว่างงานและลดความไม่เสมอภาคกันในสังคมแล้ว ก็เป็นการยากท่ีจะเรียกแผนนั้นว่า แผนพฒั นา๑๙ ๑๗ Oxford Advanced Learner’s Dictionary, 8th Edition, (Oxford University Press, 2010), p.415 ๑๘ PRR. Shinha. “Towards a Definition of Development Communication.” Paper presented at the Study Seminar and Development Communication organized by Asian Mass Communication Research and Information Centre, Singapore April 1976, p.2. อ้างถึงใน ปรมะ สตะ เวทิน, “หน่วยท่ี ๒ แนวคิดเกี่ยวกับการสื่อสารเพื่อการพัฒนา” ใน เอกสารการสอนชุด สื่อสารเพ่ือการพัฒนา หน่วยท่ี ๑-๘, บรรณาธิการโดย ปรัชญา เวสารัชช์, พิมพ์ครั้งที่ ๑๐, (นนทบุรี: สาขานิเทศาสตร มหาวิทยาลัยสโุ ขทยั ธรรมาธิราช, ๒๕๔๐), หนา้ ๗๐. ๑๙ D.Seers. “The Meaning of Developing.” Paper presented at the 11th World Conference of the Soceity for International Development, Delhi: November 1969, pp.2-6 อ้างถึงใน ปรมะ สตะเวทนิ , “หน่วยท่ี ๒ แนวคดิ เกยี่ วกบั การส่ือสารเพ่ือการพัฒนา” ใน เอกสารการสอนชุด สื่อสารเพ่ือการ พัฒนา หน่วยที่ ๑-๘, บรรณาธิการโดย ปรัชญา เวสารัชช์, พิมพ์คร้ังท่ี ๑๐, (นนทบุรี: สาขานิเทศาสตร มหาวทิ ยาลยั สุโขทยั ธรรมาธริ าช, ๒๕๔๐), หน้า ๗๐. ปรมะ สตะเวทิน, “หนว่ยที่ ๒ แนวคิดเกี่ยวกับการส่ือสารเพื่อ การพัฒนา” ใน เอกสารการสอนชุด ส่ือสารเพื่อการพัฒนา หน่วยที่ ๑-๘, บรรณาธิการโดย ปรัชญา เวสารัชช์, พิมพ์ครงั้ ท่ี ๑๐, (นนทบุรี: สาขานิเทศาสตร มหาวทิ ยาลัยสโุ ขทยั ธรรมาธริ าช, ๒๕๔๐), หน้า ๖๙.

๒๕ โรเจอร์ส และสเวนนิง ให้คานิยามว่า “การพัฒนา หมายถึง การท่ีความคิดใหม่ถูก นามาใช้ในสังคมเพื่อทาให้รายได้ต่อหัวของประชาชนเพิ่มข้ึน และมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีข้ึนโดยใช้ วธิ กี ารผลติ ทที่ นั สมัยข้ึน ตลอดจนการมสี ถาบนั สังคมท่ดี ีขน้ึ ”๒๐ จากความเห็นต่าง ๆ ดังข้างต้นเราจึงพอสรุปได้ว่า การทาให้ทันสมัยและการพัฒนา คือ การทาให้เกิดการเปล่ียนแปลงอย่างมีแผนในสังคมเพ่ือให้มีสภาพดีข้ึน การทาให้ทันสมัยเป็นการ เปลี่ยนแปลงในระดับบุคคลซึ่งปเนสมาชิกของสังคม ในขณะที่การพัฒนาเป็นการเปล่ียนแปลงใน ระดับสงั คมโดยส่วนรวม๒๑ ข.คาวา่ “ชุมชน” ตรงกบั คาภาษาอังกฤษว่า “Community” และตรงกับคาภาษาบาลีว่า “ชนตา, ปริสา”๒๒ ดังท่ีพจนานุกรมภาษาอังกฤษฉบับ Oxford Advanced Learner’s Dictionary ให้ความหมายเอาไว้ว่า “ประชาชนส่วนมากผู้ที่อาศัยอยู่ในพ้ืนท่ีเฉพาะ, ประเทศ เป็นต้น แต่เม่ือพูด ถึงก็จะหมายถึงกลุ่มคน (all the people who live in a particular area, country, etc. when talked about as a group)๒๓ ทวี ทิมขา ได้แสดงทัศนะเอาไวว้ า่ การทจี่ ะประกอบเปน็ ชมุ ชนได้นน้ั ต้องประกอบไปด้วย ๑) กลมุ่ ของบคุ คลจานวนหนงึ่ ๒) มอี าณาเขตหรือขอบเขตทางภูมิศาสตร์ที่แน่นอน ๓) มีการดาเนิน วิถีชีวิตในสงั คมอยา่ งเดียวกนั ๔) มคี วามสัมพันธ์ตดิ ตอ่ กนั และ ๕) มผี ลประโยชนร์ ว่ มกัน ดังนั้น เมอ่ื รวมทัง้ สองคาน้ีเป็น “การพัฒนาชุมชน” ก็จะได้ความหมายวา่ การพัฒนาชมุ ชน คอื การเปล่ยี นแปลง ชมุ ชนให้มคี วามเจรญิ ทุก ๆ ด้าน ท้งั ทางเศรษฐกจิ และสังคม๒๔ ๒๐ Everett M. Rogers with Lynne L. Svenning. Modernization Among Peasants; The Impact of Communication. New York: Holt, Rinehart and Winston, 1969, pp.51-56. อ้างถึงในปรมะ สตะเวทิน, “หนว่ยท่ี ๒ แนวคิดเก่ียวกับการส่ือสารเพื่อการพัฒนา” ใน เอกสารการสอนชุด ส่ือสารเพ่ือการพัฒนา หน่วยที่ ๑ -๘ , บ ร ร ณ า ธิ ก า ร โ ด ย ป รั ช ญ า เ ว ส า รั ช ช์ , พิ ม พ์ ค รั้ ง ท่ี ๑ ๐ , ( น น ท บุ รี : ส า ข า นิ เ ท ศ า ส ต ร มหาวทิ ยาลัยสโุ ขทัยธรรมาธริ าช, ๒๕๔๐), หน้า ๗๐. ๒๑ ปรมะ สตะเวทนิ , “หนว่ยที่ ๒ แนวคดิ เกี่ยวกบั การสอื่ สารเพือ่ การพฒั นา” ใน เอกสารการสอนชุด ส่ือสารเพ่ือการพัฒนา หน่วยท่ี ๑-๘, บรรณาธิการโดย ปรัชญา เวสารัชช์, พิมพ์ครั้งท่ี ๑๐, (นนทบุรี: สาขานิ เทศาสตร มหาวทิ ยาลยั สโุ ขทัยธรรมาธิราช, ๒๕๔๐), หน้า ๗๐. ๒๒ พระมหาโพธิวงศาจารย์ (ทองดี ป.ธ.๙), พจนานุกรมไทย-บาลี, (กรุงเทพามหานคร: พจนานุกรม ไทย-บาลี. (กรุงเทพมหานคร: ปัญญมติ ร การพิมพ)์ , หนา้ ๑๙๘. ๒๓ Oxford Advanced Learner’s Dictionary, 8th Edition, (Oxford University Press, 2010), p.301 ๒๔ ทวี ทิมขา, การพฒั นาชุมชน. (กรุงเทพมหานคร: สานักพมิ พโ์ อเดียนสโตร์, ๒๕๒๘), หนา้ ๒-๓.

๒๖ ๒.๒.๒.๑ ความหมายของการพัฒนาชมุ ชนในระดับองค์กร องค์การสหประชาชาติ (UN) ได้ให้คานิยาม ซ่ึงถือเป็นมาตรฐานอยู่เวลาน้ี คือ การ พัฒนาชุมชน เพอ่ื ปรับปรุงสภาพทางเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรมของชุมชนน้ัน ๆ ให้เจริญยิ่งขึ้น และ ผสมผสานชุมชนเหล่าน้ันเข้าเป็นชีวิตของชาติ และเพื่อให้ราษฎรสามารถอุทิศตนเอง เพื่อ ความกา้ วหน้าของประเทศชาตไิ ด้อย่างเต็มท่ี ๒.๒.๒.๒ ความหมายของการพฒั นาชมุ ชนของนกั วชิ าการ (๑) นักวิชาการนานาชาติ Dunham กล่าวว่า การพฒั นาชุมชน คอื การรวมกาลังดาเนินการปรับปรุง สภาพเป็นความเป็นอยู่ของชุมชนให้มีความเป็นปึกแผ่น และดาเนินการไปในแนวทางที่ตนต้องการ โดยอาศัยความร่วมกาลังของราษฎรในชุมชนนั้น ในการช่วยเหลือตัวเอง และร่วมมือกันดาเนินงาน แต่มกั จะไดร้ บั ความช่วยเหลือทางด้านวิชาการจากหนว่ ยราชการ หรอื องคก์ ารอาสาสมัครอืน่ ๆ Jack Rathman ได้แยกแยะวิธีการพัฒนาออกเป็น ๓ ประเภท ดังนี้ ๑) การปฏิบัติทางสังคม ๒) การวางแผนทางสังคม ๓) การพัฒนาท้องถ่ิน Jack Rathman เขาใช้คาว่า พัฒนาท้องถิ่นแทนคาว่า พัฒนาชุมชน และอธิบายว่า การพัฒนาท้องถิ่น มีจุดมุ่งหมายเพ่ือให้การ เปล่ียนแปลงของชุมชน หนทางนาไปสู่การเข้ามีส่วนร่วมของประชาชนในระดับท้องถิ่นอย่าง กวา้ งขวาง อนั จะเปน็ ทางนาไปสเู่ ปา้ หมายและการปฏบิ ัติการต่าง ๆ John Badeau กลา่ วา่ การพัฒนาชุมชน เป็นโครงการชนิดหน่ึง ซึ่งช่วยให้ ราษฎรในหม่บู ้านสามารถยื่นมือออกมารับเอาบริการตา่ ง ๆ ของรฐั บาลซง่ึ มีอยแู่ ล้วไปใชป้ ระโยชน์ Louis Miniclier ได้ให้คานิยามไว้ว่า การพัฒนาชุมชน เป็นขบวนการทาง สงั คม ซึ่งประชาชนในชุมชนนน้ั ได้มีส่วนร่วมในการวางแผน และปฏิบัติการก่อต้ังกลุ่มและวางแผนใน การแกไ้ ขปัญหาของเขา ตลอดจนขอความชว่ ยเหลอื จากองคก์ ารรฐั บาลหรือองคก์ ารอาสาสมัครอนื่ ๆ (๒) นกั วิชาการเมอื งไทย ปรีชา กร่ินรัตน์ กล่าวว่า การพัฒนาชุมชน เป็นกระบวนการท่ีมุ่งส่งเสริม ความเป็นอยู่ของประชาชนให้ดีข้ึน โดยความร่วมมืออย่างจริงจังของประชาชน และควรจะเป็น ความคิดริเร่ิมของประชาชนเองด้วย แต้ถ้าประชาชนไม่รู้จักริ่เริม ก็ให้ใช้เทคนิคกระตุ้นเตือนให้เกิด ความคิดริเร่ิม ท้ังนี้ เพ่ือให้กระบวนการนี้ได้รับความตอบสนองจากประชาชนด้วยความกระตือร้น อย่างจรงิ จัง สุวิทย์ ยง่ิ วรพันธ์ ให้ความหมายของคาว่า การพัฒนาชมุ ชน ไว้ดงั น้ี คอื ๑. การปรับปรุงส่งเสริมให้ชมุ ชนโดยชมุ ชนหน่งึ ดีขนึ้ หรือมวี วิ ัฒนาการดขี ้นึ ๒. การสง่ เสริมให้ชมุ ชนนั้น ๆ มีวิวัฒนาการดีข้ึน คือ เจริญทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และ วัฒนธรรม

๒๗ ๓. การพฒั นาชุมชนนนั้ จะต้องพฒั นาทางดา้ นวตั ถแุ ละพฒั นาดา้ นจิตใจ ๓.๑ การพัฒนาด้านวัตถุ คือ การสร้างความเจริญให้แก่ชุมชน เพ่ือส่งเสริม ให้เกิดมีหรือเปลี่ยนแปลงในสิ่งท่ีเห็นโดยแจ้งชัด เช่น การส่งเสริมด้วยการผลิตผล การส่งเสริมระบบ ขนส่ง การคมนาคม การชลประทาน ฯลฯ ๓.๒ การพัฒนาด้านจิตใจ คือ การสร้างความเจริญ โดยมุ่งให้การศึกษา อบรมประชาชน ซ่ึงรวมทั้งการให้การศึกษาตามโรงเรียน มหาวิทยาลัย ตามโครงการของ กระทรวงศกึ ษาธิการ และการศกึ ษานอกระบบโรงเรยี น ใหไ้ ด้รบั การศึกษาอย่างดี ๔. การพัฒนาชุมชน คือ กระบวนการท่ีมุ่งส่งเสริมความเป็นอยู่ของประชาชนให้ดีข้ึน ท้ังนี้ โดยประชาชนเขา้ รว่ มมือและรเิ รม่ิ ดาเนินงานเอง ๒.๒.๓ หลกั การสาคัญของการพฒั นาชุมชน๒๕ หลักการการดาเนินการเพื่อบรรลุเป้าหมายแห่งการพัฒนาชุมชน หรือเรียกว่าเป็น การพัฒนาคุณภาพของประชาชนน้ัน จะต้องเร่ิมจากภาวะความเป็นอยู่ของชุมชน พยายามดึง ประชาชนใหเ้ ขา้ ไปในกจิ กรรมต่าง ๆ เพือ่ ใหเ้ ปน็ การเข้าใจและระลึกอยูเ่ สมอวา่ งานใด ๆ ในชุมชนนั้น เปน็ งานและกิจกรรมของเขาเอง และการกระทากิจการใด ๆ ก็ตาม ให้เป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป โดย คานึงถึงประกอบอื่น ๆ ในชุมชน ทั้งน้ี เพื่อเป็นการปลูกฝังนิสัยและส่งเสริมให้คนได้รู้จักคิด ตัดสินใจ วางแผน และดาเนินการดว้ ยตนเองอยู่เสมอ เพราะการทางานอยู่เสมอ ๆ ได้เป็นการพัฒนาทางสมอง ของตน นอกจากน้ี ในการพัฒนา ควรจะมีหลักการดังนี้ควบคู่ไปด้วย เพ่ือให้เกิดประสิทธิภาพในการ ปฏบิ ัตใิ ห้มากยงิ่ ข้นึ คือ ๑.หลักการช่วยตนเอง คือ สนับสนุนให้ประชาชนได้ช่วยเหลือตนเอง การ ชว่ ยเหลอื ภายนอกใหอ้ ยู่ในขอบเขตท่ีจะเปน็ การชว่ ยใหเ้ ขาไดช้ ่วยตนเองได้เท่าน้ัน ๒.หลักการให้ประชาชนมีส่วนร่วม ในกิจกรรมทุกอย่างให้มากที่สุดเท่าที่จะมาก ได้ เพื่อให้เขาได้เป็นผ้ตู ัดสนิ ใจทางาน ลงมือทางานตามทเี่ ขาได้ตดั สนิ ใจไปแลว้ ด้วยตนเอง ๓.หลกั ประชาธิปไตยในการดาเนินการ คือ ในการดาเนินการกิจการใด ๆ ทุกคน มีสทิ ธมิ์ ีเสียงเทา่ กัน ไมม่ ีใครใหญ่กว่าใครด้วยยศถาบรรดาศักดิ์ ยากดีมีจนหรือระดับการศึกษา แต่ถือ วา่ เป็นคนหน่งึ ทมี่ เี สียงในการลงคะแนนเสียงหรือออกเสยี ง ๔.หลกั การใชป้ ระโยชน์จากผ้นู าท้องถนิ่ เพราะผู้นาทอ้ งถิ่นเป็นบุคคลในท้องถ่ินท่ี มีผู้เคารพนับถือ ไว้วางใจ หรือมีอิทธิพลต่อความรู้สึกนึกคิด และการตัดสินใจของมหาชนในชุมชน เข้าจึงจะเป็นผู้ช่วยเหลือเผยแพร่ให้เกิดความนิยมจูงใจจากประชาชน ให้มาร่วมงานด้วยอย่างมี ประสิทธภิ าพและบางครง้ั ยงั ช่วยเปน็ วิทยากรในบางสาขาใหอ้ ีกด้วย ๒๕ ทวี ทมิ ขา, การพัฒนาชุมชน, (กรงุ เทพมหานคร: สานกั พิมพ์โอเดยี นสโตร,์ ๒๕๒๘), หน้า ๙-๑๑.

๒๘ ๕.หลักความเข้าใจวัฒนธรรมท้องถิ่น ทั้งนี้เพราะแต่ละท้องถ่ินย่อมจะมี ขนบธรรมเนียมประเพณีท้องถิ่นเป็นของตนเอง ซึ่งเหมือนคล้ายคลึงหรือต่างไปจากชุมชนอื่น ผู้มี หน้าทีจ่ าตอ้ งทราบและยดึ ถอื อยา่ งน้อยข้นั แรก ๆ การเขา้ สชู่ มุ ชน ๖.หลักการประเมินผล ย่อมเป็นหลักการที่ดีของทุกโครงการหรือกิจกรรม การที่ ได้มีการประเมินผลงานภายหลังท่ีได้ดาเนินการไปแล้วชั่วระยะหน่ึง เพื่อเป็นการตรวจสอบว่า โครงการหรือกิจกรรมเหล่าน้ัน ได้ดาเนินการไปสู่เป้าหมายที่ได้ต้ังไว้หรือไม่ มีปัญหาอุปสรรคในการ ดาเนนิ การอยา่ งไรบ้าง จะได้หาลูท่ างแก้ไขขอ้ บกพรอ่ งเหลา่ นนั้ และจะได้หาวิธีการดาเนินการที่ดีกว่า มาดาเนนิ การต่อไป เพอื่ ให้บรรลเุ ปา้ หมายแห่งโครงการนัน้ ๆ ๒.๒.๔ องค์ประกอบของการพฒั นาชมุ ชน ถา้ พิจารณาจากลักษณะทสี่ าคญั ของการพฒั นาชมุ ชนแลว้ องคป์ ระกอบของการพัฒนา ชุมชนมีดังนี้ ๑. คนในชุมชน เปน็ องคป์ ระกอบทส่ี าคัญทสี่ ุด เพราะการพัฒนาชมุ ชนเป็นเรื่องของคน ในชมุ ชนโดยตรง โดยเฉพาะศักยภาพหรือพลงั ความสามารถของคนในชุมชน ๒. สิ่งแวดล้อมในชุมชน ทั้งสิ่งแวดล้อมท่ีเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เช่น ทรัพยากรธรรมชาตติ า่ ง ๆ และสง่ิ แวดล้อมที่มนุษย์สร้างขึ้น เช่น การจัดระเบียบทาง สังคม สถาบันทางสังคม ขนบธรรมเนียมประเพณี วัฒนธรรม เทคโนโลยีต่าง ๆ เป็น ตน้ ส่งิ เหล่านมี้ สี ว่ นสาคัญในการสนบั สนุนงานพฒั นาชมุ ชน ๓. วัสดอุ ุปกรณท์ เ่ี ก่ยี วข้องกบั การพฒั นา เชน่ วัสดุสานักงาน วสั ดกุ ่อสรา้ ง เคร่ือง อานวยความสะดวกตา่ ง ๆ ยานพาหนะ เคร่อื งมือ เครื่องจักร เป็นต้น วัสดอุ ุปกรณ์ เหล่าน้ี ตอ้ งมคี ุณภาพเหมาะสม และเพียงพอกับกิจกรรมการพัฒนาชชุ นที่กาหนดข้ึน ๔. กลวิธีหรือวิธีการพัฒนาชุมชน การพัฒนาชุมชนมีหลากหลายกลวิธี เช่น การให้ การศึกษาอบรม การจัดระเบียบชุมชน การสร้างผู้นา การสร้างกลุ่มและองค์กร การ วางแผนและโครงการ การประสานงาน เปน็ ตน้ ๕. กระบวนการพัฒนาชุมชน ซ่ึงมลี าดบั ขัน้ ตอนดาเนนิ งาน คือ การศึกษาชุมชน การ วเิ คราะห์ปัญหาและความต้องการของชมุ ชน การวางแผนแก้ปัญหาในลักษณะของ โครงการ การพิจารณาวิธดี าเนนิ งาน การดาเนินงาน การประเมินผลงาน และการ ทบทวน เพือ่ แก้ไขปัญหาและอุปสรรค ๖. การสนับสนุนช่วยเหลือจากรัฐบาลและภาคเอกชน เป็นการสนับสนุนช่วยเหลือ เฉพาะในสิง่ ที่มคี วามจาเปน็ เกนิ ขดี ความสามารถของชมุ ชน หรือเพื่อกระตุ้นเดือนเร่ง เรา้ ให้ประชาชนเกดิ ความตื่นตัวและเข้าร่วมในกระบวนการพัฒนา ไม่ใช่เรื่องพ้ืนฐาน ของการพฒั นา

๒๙ ๗. การบริหารและการจดั การ การพัฒนาชุมชนมีความเก่ียวข้องสัมพันธ์กับคน กลุ่มคน องค์กร และหน่วยงานต่าง ๆ ท้ังภายในชุมชนและภายนอกชุมชน ท้ังภาครัฐและ ภาคเอกชน มีวิธีการและกระบวนการหลายข้ันตอน จึงจาเป็นต้องมีการบริหารและ การจัดการท่ีดี ทั้งในระยะเตรียมการ ระหว่างการดาเนินงาน และหลังจากได้รับผล ของการพฒั นาแลว้ ๘. นักพฒั นาชุมชน นกั พฒั นาชุมชนเปน็ ผมู้ คี วามรู้ ความสามารถ ในการพัฒนาชุมชนมี เทคนิควิธีในการจูงใจ การระดมพลัง หรือศักยภาพของคนในชุมชนใช้พัฒนาชุมชน ของตนเองตามปรัชญา แนวคิดและวิธีการพัฒนาชุมชนท่ีแท้จริง ในระยะแรก นักพัฒนาชุมชน อาจจะมาจากภายนอกชุมชนที่เป็นข้าราชการหรือนักพัฒนาของ องคก์ รพัฒนาเอกชนก็ได้ นกั พฒั นาชมุ ชนดงั กลา่ วนี้จะตอ้ งสรา้ งนกั พฒั นาท่ีเป็นคนใน ชมุ ชนขึน้ มารองรับงานพฒั นาชุชนของตนตอ่ ไป ๙. การประสานงาน การพัฒนาชุมชนมีลักษณะและองค์ประกอบหลายประการ ดังได้ กล่าวมาแล้ว องค์ประกอบท่ีสาคัญอีกประการหนึ่งก็คือ การประสานงาน เพ่ือให้ผู้ท่ี เก่ียวข้องกับการพัฒนา ดาเนินกิจกรรมพัฒนาอย่างประสาน สอดคล้อง เป็นไปใน ทศิ ทางเดียวกัน ถูกต้องตามขนั้ ตอนท่ีวางไว้ ๑๐. ผลงานที่เกิดขึ้น องค์ประกอบท่ีสาคัญของการพัฒนาชุมชน คือ ความสาเร็จในการ พัฒนา ดังน้ัน กระบวนการพัฒนาชุมชนที่ผ่านไปในแต่ละขั้นตอน จึงอาจจะมีผล เกิดขึ้น ไม่อย่างใดก็อย่างหน่ึง ไม่มากก็น้อย เพื่อสร้างความม่ันใจในความสาเร็จของ การพัฒนาชุมชน ผลงานท่ีเกิดขึ้นนี้ ต้องเป็นของประชาชนในชุมชนอย่างท่ัวถึงและ ยตุ ิธรรม องค์ประกอบเหล่าน้ีต่างมีความสัมพันธ์กัน ส่งผลกระทบซึ่งกันและกัน ท้ังเก้ือหนุนและ เหน่ียวร้ัง จึงต้องดาเนินงานไปพร้อม ๆ กัน และมีความสาคัญต่อการพัฒนาชุมชนมาก เพราะการ ดาเนินงานพัฒนาชุมชนให้ประสบความสาเร็จ คือ การพัฒนาองค์ประกอบเหล่าน้ีให้มีคุณภาพ มี ปริมาณทีเ่ พ่มิ ข้น และเหมาะสมกับสภาพแวดล้อมน่ันเอง๒๖ ๒.๒.๕ วธิ ีการพฒั นาชมุ ชน การพัฒนาชมุ ชนโดยแท้จรงิ แลว้ คือ การพัฒนาคนในชุมชนนนั่ เอง การพัฒนาชมุ ชน อาจจะกระทาได้ ๓ วิธกี าร คือ ๑.การให้การศึกษาแก่ชุมชนเพื่อการพัฒนาชุมชน (Community Education for Development) เป็นการกระตุ้นและส่งเสริมให้ประชาชนในชุมชนได้เรียนรู้และศึกษาร่วมกันใน ๒๖ สนธยา พลศร,ี ทฤษฎีและหลกั การพฒั นาชุมชน, พมิ พค์ ร้งั ที่ ๕, (กรงุ เทพมหานคร: โอเดียนสโตร์, ๒๕๔๗), หนา้ ๕๑-๕๓.

๓๐ ข้อเท็จจริงต่าง ๆ เพ่ือให้เกิดความเข้าใจและตระหนักถึงปัญหาความต้องการที่แท้จริงของชุมชน ตลอดจนสามารถค้นหาและกาหนดวิธีการต่าง ๆ ในการแก้ไขปัญหาเหล่าน้ันได้อย่างมีประสิทธิภาพ และประสิทธิผลดว้ ยตนเอง ๒.การจัดระเบียบชุมชน (Community Organization) การจัดระเบียบชุมชน เป็น วิธีการพัฒนาชุมชนท่ีสาคัญอีกวิธีการหนึ่ง เป็นกระบวนการส่งเสริมความสัมพันธ์และความร่วมมือ ระหวา่ งปัจเจกชนต่อปจั เจกชนในชุมชน ระหวา่ งกลุม่ ชนตอ่ กลมุ่ ชน หรือระหวา่ งปัจเจกชนกับกลุ่มชน ในชุมชน ๓.การดาเนนิ งานในลกั ษณะของกระบวนการ การพฒั นาชมุ ชนมีลกั ษณะประการหนึ่ง คือ เป็นกระบวนการ ดังนั้น วิธีการพัฒนาชุมชนวิธีการหน่ึง คือ การดาเนินงานในลักษณะของ กระบวนการ๒๗ ๒.๒.๖ ประโยชนข์ องการพฒั นาชมุ ชน ๑.ทาให้เขา้ ใจปญั หาของชุมชน ๒.ทาใหไ้ ด้นาปญั หาน้นั มาส่กู ารพัฒนาและแก้ไข ๓.กาหนดเป้าหมายการแก้ไขปัญหานนั้ ๆ ๔.แสวงหาทรพั ยากรธรรมชาติในชมุ ชน ๕.ช่วยเหลอื กสรรวิธแี กป้ ัญหา ๖.ช่วยการตัดสินใจในการแก้ไขปัญหาของคนในชมุ ชน ๗.ช่วยในการวางแผนการปฏิบตั งิ าน ๘.ช่วยสนบั สนนุ ในการมอบหมายการดาเนินการตามแผน ๙.มีผลงานในการรายงานต่อชมุ ชน ๑๐.ช่วยตดิ ตามในการวดั ผลและประเมนิ ผล ๒.๒.๗ ทฤษฎเี กย่ี วกับการพัฒนาชมุ ชน ทฤษฎีท่ีเกย่ี วกับการพฒั นาชุมชนแบ่งออกเป็น ๓ กลุม่ ทฤษฎี คอื ๑.ทฤษฎเี ก่ียวกับการเปล่ียนแปลงทางสังคมและวฒั นธรรม นักทฤษฎีวิวัฒนาการทางสังคมและวัฒนธรรมมีหลายคน ยกตัวอย่างเช่น ทฤษฎี ววิ ัฒนาการของออกสุ ท์ คอมท์ ทกี่ ลา่ วถงึ สังคมมนษุ ย์มกี ารเปลี่ยนแปลงมาแล้ว ๓ ยุคสมัย คือ ๑) ยุค แหง่ เทววทิ ยา ๒) ยุคแห่งอภปิ รชั ญา และ ๓) ยคุ แหง่ วิทยาศาสตร์และอุตสาหกรรม, เลวิส เฮนร่ี มอร์ แกน ผู้สร้างทฤษฎีวิวัฒนาการของเลวิส เฮนรี่ มอร์แกน ท่ีมีการแบ่งการเปลี่ยนแปลงทางสังคม ออกเป็น ๓ ยุคสมัย คือ ๑) ยุคโหดเหี่ยม ๒) ยุคป่าเถื่อน และ ๓) ยุคอารยธรรม รวมทั้งทฤษฎี ๒๗ สนธยา พลศร,ี ทฤษฎีและหลักการพัฒนาชุมชน, หนา้ ๖๕-๖๖.