๙๑ หลังอาหารเพล สามเณรท้ังหลายจะไปพร้อมกันท่ีโรงเรียน สอนให้รู้จักอ่านและเขียนภาษาสยาม พงศาวดาร และขนบธรรมเนยี มประเพณีของประเทศ พร้อมด้วยอกั ขระและไวยากรณ์ภาษาบาลี” ๑๒ ความในบันทึกยังระบุถึงการออกพระราชกาหนดให้กวดขันสาหรับภิกษุผู้บวชมาแล้วไม่ศึกษา เลา่ เรยี น โดยทรงโปรดให้มีการสอบวัดคุณสมบัติ หากพระภิกษุรูปใดไม่รู้หนังสือ ก็บังคับให้ลาสิกขาเพื่อไป ทางานทเ่ี ปน็ ประโยชน์ต่อบ้านเมอื งต่อไป๑๓ ในส่วนวิปัสสนาธุระ ก็มีหลักฐานหลายแห่งระบุถึง ซ่ึงมีท้ังส่วนท่ีเป็นสมถะ และวิปัสสนา โดยเฉพาะสมถะ ถือเป็นวิชาท่ีได้รับความสนใจฝึก เพราะสามารถนาไปใช้ประโยชน์ในทางป้องกันภัยได้ หลายประการ สามารถทากิจที่อยู่เหนือวิสัยคนธรรมดาได้ จึงเป็นที่นิยมทั้งพระสงฆ์ และฆราวาส เช่น ใน รัชสมัยของสมเด็จพระนารายณ์ (กษัตริย์องค์ที่ ๒๗ แห่งกรุงศรีอยุธยา) ได้ส่งนายปาน ซึ่งได้เรียนพระ กรรมฐานชานาญในกสิณเดินทางไปกับคณะทูตเพื่อผูกสัมพันธไมตรีกับประเทศฝร่ังเศส และได้ใช้วิชา กรรมฐานน้ันเองช่วยเรือให้พ้นภัยจากน้าวน ท้ังยังได้แสดงให้ฝรั่งเศสได้เห็นอานุภาพ เป็นท่ีเกรงขาม๑๔ เจ้ากรมเสนาพิทักษ์เม่ือคร้ังทรงผนวชอยู่ก็เคยถูกลอบฟันด้วยดาบ แต่ฟันไม่เข้า มีเพียงจีวรเท่าน้ันที่ถูกฟัน ขาด๑๕ ในรัชสมัยของพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ทรงจัดงานฉลองวัด เกรงฝนตก ก็ได้นิมนต์พระอาจารย์วัดพัน ทาบ แขวงเมอื งวเิ ศษไชยชาญลงมาใหเ้ ขา้ สมาธหิ า้ มฝน๑๖ อนง่ึ แมค้ าวา่ อรญั ญวาสี ก็มนี ัยถงึ พระสายปฏิบัติ หรอื บางครัง้ กเ็ รียกว่า พระป่า ๓.๑.๓ หลกั คาสอนทางพระพทุ ธศาสนา หลักคาสอนสาคัญท่ีปรากฏในพงศาวดารว่า ได้ถูกนามาส่ังสอน และยึดถือเป็นแนวทางในการ ปฏบิ ตั ิเพ่ือใหเ้ กดิ ความดีงามในสงั คม ประกอบด้วย ๓.๑.๓.๑ ทศพธิ ราชธรรม ประกอบดว้ ย มี ๑๐ ประการ ไดแ้ ก่ ๑) ทาน หมายถึงเจตนา ให้วตั ถุ ๑๐ ประการ มีขา้ ว และน้าเป็นตน้ ๒) ศลี หมายถงึ ศีล ๕ ศลี ๑๐ ๓) การบริจาค หมายถึง การบริจาคไทยธรรม ๔) ความซอ่ื ตรง หมายถงึ ความเป็นคนตรง ๕) ความอ่อนโยน หมายถึงความเป็น คนออ่ นโยน ๖) ความเพยี ร หมายถงึ กรรมคอื การรักษาอุโบสถ ๗) ความไม่โกรธ หมายถึงความมีเมตตา เป็นเบ้อื งต้น ๘) ความไมเ่ บียดเบียน หมายถึงความมีกรุณาเป็นเบื้องต้น ๙) ความอดทน หมายถึงความ อดกลั้น และ ๑๐) ความไม่คลาดจากธรรม หมายถึงความไมข่ ัดเคอื ง ในพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ทศพิธราชธรรม ได้เข้ามามีบทบาทและความสาคัญ ตอ่ การปกครองเปน็ อย่างมาก พระมหากษัตรยิ ห์ ลายพระองคม์ หี ลกั ฐานว่าทรงต้ังอยู่ในทศพิธราชธรรม เช่น ๑๒ นิโกลาส์ แซรแวส, ประวตั ศิ าสตร์ธรรมชาตแิ ละการเมืองแหง่ ราชอาณาจกั รสยาม, สันต์ ท โกมลบุตร ผู้ แปล, พมิ พ์คร้งั ท่ี ๒, (นนทบรุ ี: สานักพิมพศ์ รีปญั ญา, ๒๕๕๐),หนา้ ๑๖๔-๑๖๕. ๑๓ เรือ่ งเดยี วกัน. ๑๔ พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยธุ ยา ฉบบั พระราชหตั ถเลขา ภาค ๒, หนา้ ๖๑. ๑๕ พระราชพงศาวดารกรงุ ศรอี ยธุ ยา ฉบบั พนั จันทนุมาศ (เจมิ ), หนา้ ๓๙๕. ๑๖ พระราชพงศาวดารกรงุ ศรีอยธุ ยา ฉบับพระราชหัตถเลขา ภาค ๒, หน้า ๒๔๑.
๙๒ เอกสารคาให้การขุนหลวงหาวัดระบุไว้ว่า “อันพระบรมไตรโลกนาถนั้น เธอทรงทรงทศพิธราชธรรมหนัก หนา พระองค์ตั้งอยู่ในศีลาและอุโบสถศีลมิได้ขาด แล้วพระองค์ก็ทรงต้ังอยู่ในธรรมสิบประการ พระองค์ ชานาญในคนั ถธุระ ทรงบารุงพระศาสนาโดยสุจรติ ”๑๗ ในสมัยพระมหาธรรมราชา ก็มีหลักฐานว่า ทรงต้ังอยู่ในหลักทศพิธราชธรรม ปกครอง บ้านเมืองด้วยความสงบสุข ไมเ่ คยไปรุกรานแผ่นดินบ้านอ่ืนเมืองอ่ืน ทรงทานุบารุงไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินให้เป็น สุขด้วยพระกรุณาดั่งบิดามีกรุณาต่อบุตร บ้านเมืองจึงอยู่เป็นสุข ปราศจากศึกสงครามและโจรผู้ร้าย จน บา้ นเรือนของราษฎรทงั้ หลายไม่ตอ้ งลอ้ มรวั้ ลงสลักลม่ิ และกลอน๑๘ ในรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์ก็มีบันทึก ไว้ว่า “ทรงทศพิธราชธรรมอันประเสริฐ ทรงพระกรุณาแก่ประชาราษฎรท้ังปวง ให้ลดส่วยสาอากรแก่ ประชาราษฎรท้งั ปวง ๓ ขวบปี”๑๙ อนึ่ง ในแต่ละรัชสมัย จะเห็นการขวนขวายในการบาเพ็ญทศพิธราชธรรมอยู่เนือง ๆ โดย เฉพาะท่ีชัดเจนที่สุดก็คือเรื่องของทาน ศีล การบริจาค ขณะเดียว กันก็มีบางรัชกาลที่ไม่ต้ังอยู่ใน ทศพิธราชธรรม มักนาพาไปสู่ความเดือดร้อนประการต่าง ๆ กระท่ังถึงการใช้เป็นเหตุผลในการโค่นราช บลั ลังก์ เชน่ ในรัชกาลของขุนวรวงศาธิราชได้ประพฤติผิดประเวณี๒๐ ในรัชกาลของพระเจ้าเสือ ไม่ต้ังอยู่ใน ธรรม นิยมการเสพสรุ านารี หมกมุ่นอย่ใู นกามารมณ์ พงศาวดารระบุรายละเอียดดังน้ี “สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพอพระทยั เสวยน้าจัณฑ์ แล้วเสพสังวาสด้วยดรุณีอิตถีเด็กอายุ ๑๑- ๑๒ ปี ถ้าสตรีใดเสือกด้ินโคลงไปทรงพิโรธลงพระอาญาถองยอดอกตายกับที่ ถ้าสตรีใดไม่ด้ินโคลงน่ิงอยู่ ชอบพระอัชฌาศัย พระราชทานบาเหน็จรางวัลประการหน่ึง....ปราศจากพระเบญจางคิกศีล มักพระทัยทา อนาจารเสพสงั วาสกับภรรยาขุนนาง แต่น้นั มาพระนามปรากฏเรยี กวา่ พระเจ้าเสอื ”๒๑ ๓.๑.๓.๒ อคติ ๔ ประการ ประกอบด้วย ฉันทาคติ ลาเอียงเพราะรัก, โทสาคติ ลาเอียง เพราะชัง, โมหาคติ ลาเอียงเพราะไมเ่ ข้าใจ หรอื ไมร่ ู,้ และภยาคติ ลาเอยี งเพราะกลวั ในบันทึกคาให้การชาวกรุงเก่า ได้กล่าวถึงพระเจ้าปราสาททองว่า ทรงสอนพระสุรินทร กุมารราชโอรสองค์เล็กของพระองค์ให้มีความเคารพต่อพ่ีชายใหญ่ทั้ง ๖ พระองค์ให้มาก ๆ อย่าได้คิดขัด แขง็ ใหผ้ ิดใจกบั ผใู้ หญ่ อย่าประพฤตลิ ว่ งอคติ ๔ ประการ๒๒ ๓.๑.๓.๓ พุทธการกธรรม หมายถึง ธรรมท่ีกระทาความเป็นพระพุทธเจ้า ประกอบด้วย ๑) ทาน ๒) ศีล ๓) เนกขมั มะ ๔) ปัญญา ๕) วริ ิยะ ๖) ขันติ ๗) สัจจะ ๘) อธิษฐาน ๙) เมตตา ๑๐) อุเบกขา เรยี กอีกนัยหน่งึ ก็คอื บารมี ๑๐ ประการนน่ั เอง มีปรากฏอยู่ทั่วไปในคัมภีร์พระไตรปิฎก แต่ ๑๗ พระราชพงศาวดารกรงุ ศรีอยุธยา, คาให้การขุนหลวงหาวัด, หน้า ๗๑๑. ๑๘ เรื่องเดยี วกนั , หน้า ๗๕๗. ๑๙ พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยธุ ยา, ฉบบั พันพันจนั ทนมุ าศ (เจมิ ), หน้า ๒๙๐. ๒๐ เรอื่ งเดยี วกัน, หนา้ ๖๔. ๒๑ เรื่องเดียวกนั , หน้า ๓๒๘. ๒๒ พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยธุ ยา, คาให้การชาวกรงุ เก่า, หนา้ ๕๒๓.
๙๓ เฉพาะที่ใช้คาว่า “พุทธการกธรรม” ปรากฏในช้ันบาลีคือคัมภีร์พระไตรปิฎกเพียง ๓ ครั้ง โดยอยู่ในขุทท นิกาย พทุ ธวงศท์ งั้ หมด๒๓ พุทธการกธรรม ได้ถูกนามาใช้เป็นอุดมคติ หรืออุดมธรรมสาหรับพระเจ้าแผ่นดินที่เป็น ธรรมราชา ถ้อยคาที่ใช้ในพงศาวดารเมือ่ กลา่ วถงึ พระราชาผบู้ าเพญ็ พุทธการกธรรมจึงโน้มไปในลักษณะเป็น การ “เลียนแบบ” การบาเพ็ญบารมีของพระโพธิสัตว์ เช่นการใช้ประโยคว่า “พระองค์ทรงทศพิธราชธรรม และสถิตในพุทธรรถจรรยา ญาตรรถจรรยา โลกรรถจรรยา มหิมาด้วยพุทธการกโพธิสมภาร มเหาฬารม หรรศจรรย์...”๒๔ หรือ “มีพระราชหฤทัยใคร่กรุณาปราณีสัตว์โลกากรทั้งหลาย หมายให้นฤทุกข์ ปลุกใจ ราษฎรใหส้ านตเิ กษมสุข โดยยุติธรรมอันบวรขจรพระเกียรติปรากฏ...และพระบาทสมเด็จสร้างโพธิสมภาร บาเพญ็ พุทธการกธรรมบารม.ี ..” ๒๕ นอกเหนือจากหลักฐานในพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ในจดหมายเหตุลา ลูแบร์ ก็ได้ พรรณนาถงึ ขอ้ ห้าม ๕ ประการของชาวสยาม ความวา่ “ชาวชมพูทวีปย่นย่อข้อศีลปฏิบัติในทางห้ามลงเหลือเพียง ๕ ประการ เท่าน้ัน อัน เกอื บจะเหมือน ๆ กนั หมดในแควน้ ทั้งปวงในชมพูทวปี เบญจศลี ของชาวสยามมดี ังตอ่ ไปนี้ ๑. เวน้ การฆา่ สตั วต์ ัดชวี ิต ๒. เว้นการลกั ทรัพย์ ๓. เว้นการกระทาผิดประเพณี ๔. เวน้ การพูดปด ๕. เว้นการเสพเคร่อื งด่ืมดองของเมา ซงึ่ โดยท่วั ๆ เรียกวา่ เหลา้ ”๒๖ อน่ึง ศีลที่แยกมากล่าวเฉพาะในที่น้ี โดยสรุปก็สงเคราะห์เข้าในทศพิธราชธรรม ข้อ ๒ และ พุทธการกธรรมข้อ ๒ นั่นเอง ผู้วิจัยจึงไม่ได้แยกเป็นหัวข้อหน่ึงต่างหาก เช่นเดียวกัน หลักฐานใน พงศาวดารกรุงศรีอยุธยา เม่ือกล่าวถึงศีลอย่างใดอย่างหนึ่ง ก็พึงทราบว่า ยังคงอยู่ในหัวข้อทศพิธราชธรรม และพุทธการกธรรมนนั่ เอง ๓.๒ บทบาทและความสมั พันธ์ด้านศาสนบุคคล โดยปกติ “ศาสนบุคคล” หมายเอาบริษัท ๔ คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก และอุบาสิกา แต่ใน งานวิจัยน้ี ไม่อาจถือเอาความหมายเคร่งครัดเช่นน้ันได้ จึงอนุโลมโดยอาศัยการเทียบเคียง ท้ังน้ีอาศัยการ วินจิ ฉยั ตามความเห็นของผู้วจิ ัยเป็นหลกั ๓.๒.๑ การปกครองคณะสงฆ์ ๒๓ ข.ุ พุทธ.(ไทย) ๓๓/๗๗/๕๖๖,๑๕๕/๕๘๓,๑๕/๖๑๖. ๒๔ พระราชพงศาวดารกรงุ ศรีอยุธยา ฉบบั พนั จนั ทนุมาศ (เจมิ ),หนา้ ๒๕๑. ๒๕ เรอ่ื งเดยี วกัน, หนา้ ๒๕๒. ๒๖ มองซิเออร์ เดอ ลาลแู บร์, จดหมายเหตุลา ลูแบร์ ราชอาณาจักรสยาม, (นนทบุรี: สานักพิมพ์ศรีปัญญา, ๒๕๕๗), หนา้ ๓๓๕.
๙๔ หลักฐานจากพงศาวดารแสดงถึงร่องรอยของการปกครองในสมัยกรุงศรีอยุธยาว่า มีสมเด็จ พระสังฆราช ดารงตาแหน่งเป็นสังฆปรินายก มีพระราชาคณะปกครองตามลาดับชั้นนับตั้งแต่สมเด็จ พระราชาคณะ (เช่น ในรัชกาลสมเด็จพระมหาจักรพรรดิราชาธิราช ปรากฏนามสมเด็จพระพนรัตน์-วัดป่า แกว้ ) กระทงั่ ลาดบั ตา่ สุดไดแ้ กเ่ จา้ อธกิ าร พระอธิการ และมีการแบ่งออกเป็นฝ่ายคามวาสี (สายพระบ้าน)๒๗ อรัญญวาสี (สายพระปา่ ) บทสรุปดงั กล่าวขา้ งตน้ ได้จากหลักฐานในแต่ละรัชกาลต่าง ๆ ในรชั กาลสมเดจ็ พระเอกาทศรฐ (กษัตรยิ อ์ งค์ที่ ๑๙ แหง่ กรุงศรอี ยุธยา) ได้ทรงสร้างวัดวรเชษฐา รามแล้วก็นิมนต์พระสงฆ์ฝ่ายอรัญญวาสีผู้ทรงศีลาธิคุณอันวิเศษมาเป็นเจ้าอาวาส๒๘ ในรัชกาลสมเด็จพระ สรรเพชญ์ที่ ๕ (พระเจ้าประสาททอง กษัตริย์องค์ที่ ๒๔ แห่งกรุงศรีอยุธยา) ได้สถาปนาวัดไชยวัฒนาราม แล้ว ทรงสถาปนาเจ้าอธิการวัดเป็นพระอชิตเถระ พระราชาคณะฝ่ายอรัญญวาสี เป็นเจ้าอาวาสปกครอง วัด๒๙ ในรัชกาลเดียวกันนี้ มีพิธีลบศักราช ซึ่งในพิธีการดังกล่าวมีการนิมนต์พระราชาคณะคามวาสีและ อรัญญวาสีมาสวดพระพุทธมนต์๓๐ ในรัชกาลสมเด็จพระเพทราชา (กษัตริย์องค์ท่ี ๒๘ แห่งกรุงศรีอยุธยา) ได้สถาปนาวัดบรม พุทธาราม (ฝ่ายคามวาสี) แล้ว นิมนต์เจ้าอธิการมาอยู่ โดยทรงสถาปนาให้เป็น พระราชาคณะช่ือพระญาณสมโพธิ๓๑ ในรชั กาลสมเดจ็ พระบรมโกศ (กษัตรยิ อ์ งคท์ ี่ ๓๒ แหง่ กรุงศรีอยุธยา) มีระบุถึงพระราชาคณะ ๕ รปู ทที่ รงนมิ นตใ์ หไ้ ปเกลี้ยกล่อมเจา้ สามกรม ประกอบด้วย พระเทพมุนี พระพุทธโฆสาจารย์ พระธรรมอุดม พระธรรมเจดยี ์ และพระเทพกวี๓๒ ในปลายรชั กาลของสมเด็จพระเจ้าเอกทศั (กษัตรยิ อ์ งค์ท่ี ๓๓ แห่งกรุงศรี อยุธยา) ได้ส่งพระอุบาลี พระอริยมุนี (ชุดแรก) พระวิสุทธาจารย์ พระวรญาณมุนี (ชุดท่ี ๒) ไปสืบ พระพทุ ธศาสนาท่ปี ระเทศศรีลังกา๓๓ สมเด็จกรมพระยาดารงราชานุภาพ ได้ทรงให้รายละเอียดเพิ่มเติมว่า สมัยกรุงศรีอยุธยา แบ่ง การปกครองออกเป็น ๓ ชน้ั คือ ชนั้ ต่าเป็นพระครู เปน็ เจ้าคณะปกครองเมอื งน้อย, ถัดไปเป็นสังฆราชาคณะ หรือราชาคณะ เปน็ เจ้าคณะปกครองหัวเมืองใหญ,่ และชัน้ สงู สดุ คือสมเด็จพระสังฆราช เป็นสังฆปรินายก มี อานาจปกครองตลอดเขตราชธานี๓๔ ๒๗ สมเด็จกรมพระยาดารงราชานุภาพได้ตัง้ ขอ้ สังเกตวา่ คณะสงฆต์ ้งั แตม่ ีนกิ ายวัดป่าแก้เข้ามา ทาให้เกิดเป็น ๓ คณะ คอื คณะเดิมตามแบบแผนท่ีมีมาแต่กรุงสุโขทัย เรียกว่า คามวาสีคณะ ๑ อรัญวาสีคณะ ๑ ส่วนพระสงฆ์คณะป่า แก้วแยกออกเป็นอีกคณะหน่งึ เรียกว่า คามวาสีฝ่ายขวา ส่วนคามวาสีเดมิ ก็เรยี กว่า คามวาสีฝ่ายซ้าย ดู กรมพระยาดารงรา ชานภุ าพ, ตานานคณะสงฆ์, หนา้ ๑๔. ๒๘ พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยธุ ยา ฉบบั พันจนั ทนมุ าศ (เจิม), หนา้ ๒๕๒. ๒๙ เร่อื งเดยี วกนั , หนา้ ๒๗๒. ๓๐ เร่ืองเดียวกัน, หน้า ๒๗๙. ๓๑ เร่ืองเดยี วกัน, หน้า ๓๑๙. ๓๒ เรอ่ื งเดียวกัน, หนา้ ๓๖๙. ๓๓ พระราชพงศาวดารกรงุ ศรีอยธุ ยา ฉบับพระราชหัตถเลขา ภาค ๒, หน้า ๒๗๒. ๓๔ กรมพระยาดารงราชานภุ าพ, ตานานคณะสงฆ,์ หน้า๑๘-๑๙.
๙๕ อน่ึง จากหลักฐานดังกล่าวข้างต้น แสดงให้เห็นนัยอีกประการหนึ่งว่า การพระราชทานสมณ ศักดิ์ เป็นพระราชอานาจ แม้ตาแหน่งทางปกครองสงฆ์ หรืออารามที่สาคัญ ๆ ก็ทรงใช้อานาจสถาปนาได้ ตามพระราชอัธยาศัย ๓.๒.๒ การชว่ ยแก้ปญั หาขอ้ ขดั ขอ้ ง หรือขัดแย้ง สถานะของพระสงฆ์ในสมัยกรุงศรีอยุธยา แม้ในพงศาวดารจะมีรายละเอียดน้อย แต่จากบันทึก อ่ืน ในสมัยเดียวกัน เช่น บันทึกของนิโกลาส์ แซรแวส ได้กล่าวถึงสถานะของพระภิกษุตอนหนึ่งว่า ชนชาว สยามเคารพนับถือพระสงฆ์มาก ทุกคนต้องหมอบกราบ ไม่ว่าจะเป็นผู้ใหญ่ ผู้น้อย หรือแม้แต่พระเจ้า แผ่นดิน๓๕ ข้อน้ีแสดงให้เห็นว่า พระภกิ ษุนน้ั ได้รับการยอมรับ เคารพ และนับถือจากสังคม ประการหนง่ึ รอ่ งรอยที่หลักฐานท่ีปรากฏร่องรอยในส่วนที่เน่ืองด้วยสถาบันพระมหากษัตริย์ ก็ ถือเป็นเหตุเป็นผลที่เพียงพอสาหรับการสรุปเช่นน้ัน เช่น ในการสถาปนาพระมหากษัตริย์ พระเถระช้ัน ผู้ใหญ่ได้รับอาราธนามาร่วมในพิธอี นั สาคญั ด้วย ดังหลกั ฐานในสมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิราชาธิราชเจ้า ระบุว่า ในพิธีสถาปนาพระมหากษัตริย์ได้มีการนิมนต์สมเด็จพระสังฆราช พระราชาคณะคามวาสีอรัญญ วาสี๓๖ มารว่ มในการพธิ ดี ้วย กรณีมีปัญหา ข้อขัดข้อง หรือความไม่ลงรอยกันในระดับราชสานัก การที่พระสงฆ์ได้เข้ามามี บทบาทแก้ปัญหา หรือระงับข้อขัดข้องในแต่ละรัชสมัยนั้น ก็สะท้อนให้เห็นว่า สถานะ และบทบาทของ พระสงฆ์ ไดร้ ับการยอมรบั นับถือจากสงั คม ซ่ึงอาจวเิ คราะหไ์ ด้วา่ ๑) พระสงฆอ์ ยเู่ หนือความขัดแย้งในสังคม สามารถให้ความเป็นธรรม หรือความยุติธรรมแก่ทุก ฝา่ ย ๒) พระสงฆ์เป็นอุดมเพศ ผู้ครองเพศเป็นพระสงฆ์แล้ว ย่อมเป็นท่ีม่ันใจได้ว่า ไม่เป็นภัยต่อผู้ใด แล้ว ดังข้อสังเกตของนิโกลาส์ แซรแวสที่ว่า “อารามน้ันเป็นสานักที่ผู้ใดจะล่วงละเมิดมิได้ ผู้ท่ีเข้าไปอาศัย อยู่ไม่ว่าจะเป็นคนหรือสัตว์ ย่อมอยู่ได้โดยปลอดภัยเสมอ และถ้าผู้ใดบังอาจไปแตะต้องเข้า จะได้รับทัณฑ์ ฐานลบหลู่ต่อสิ่งศักด์ิสิทธิ์อย่างหนัก การลักทรัพย์ในวัดหรือกล่าวคาบริภาษพระภิกษุสงฆ์หรือทาร้าย พระภิกษุสงฆ์ มโี ทษถึงประหารชวี ิตทีเดยี ว”๓๗ ๓) วัดและพระสงฆ์เป็นจุดศูนย์รวมของคนในสังคม ชนช้ันปกครองและชาวบ้านท่ัวไปสามารถ มาพบปะ ทากิจกรรมร่วมกันได้ ลดช่องว่างระหว่างผู้ปกครองกับผู้อยู่ใต้ปกครอง การที่พระมหากษัตริย์ เสด็จพระราชดาเนินไปบาเพ็ญพระราชกุศลตามวัดต่าง ๆ น่าจะทรงถือโอกาสน้ีในการพบปะ เย่ียมเยียน พสกนิกรของพระองค์ด้วยอีกโสตหน่ึง อน่ึง ในยามบ้านเมืองประสบความขัดข้องในเรื่องของการดารงชีวิต เช่นปัญหาเร่ืองฝนไม่ตก ตอ้ งตามฤดูกาล ทาให้อาณาประชาราษฎร์ได้ความเดือดร้อน พระสงฆ์ก็ไม่ได้นิ่งดูดาย มีโอกาสก็เข้ามาช่วย แก้ปัญหาข้อขัดข้อน้ัน ๆ เช่น คราวหน่ึงเกิดฝนแล้ง ทานาไม่ได้ผล พระมหาธรรมราชาได้รับส่ังให้นิมนต์ ๓๕ นโิ กลาส์ แซรแวส, ประวัตศิ าสตร์ธรรมชาติและการเมอื งแหง่ ราชอาณาจักรสยาม, หนา้ ๑๕๙. ๓๖ พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับพันจนั ทนุมาศ (เจิม), หน้า ๗๐. ๓๗ นโิ กลาส์ แซรแวส, ประวัติศาสตรธ์ รรมชาตแิ ละการเมอื งแหง่ ราชอาณาจักรสยาม, หนา้ ๑๖๐.
๙๖ พระสังฆราชอรัญญวาสี และคามวาสีให้ช่วยหาทางการแก้ปัญหา อาจารย์ท้ังสองได้แก้ปัญหาด้วยการใช้ กัมมัฏฐานบริกรรมอาโปกสณิ บนั ดาลให้ฝนตกตามความประสงค์ หลักฐานระบุไว้ดังน้ี “คร้ังหนึ่งฝนแล้ง ราษฎรทานาไม่ได้ผล ทั้งผลไม้และผักปลาก็กันดาร พระมหาธรรมราชาจ่ึง รับสั่งให้นิมนต์พระอาจารย์อรัญญวาสีอริยวงศ์มหาคุหา กับพระอาจารย์คามวาสีพระพิมลธรรมมาแล้วจ่ึง รับสัง่ วา่ บัดน้ีเกิดภัยคือฝนแล้ง ราษฎรพากันอดอยาก ท่านท้ังสองจะคิดประการใด จ่ึงจะให้ฝนตกได้ พระ อาจารย์ทั้งสองก็รับอาสาว่า ถึงวันนั้นคืนนั้นจะทาให้ฝนให้ตกให้ได้ แล้วอาจารย์ทั้งสองนั้นก็ไม่กลับไปยัง พระอาราม อาศัยอยู่ในพระราชวัง ต้ังบริกรรมทางอาโปกสิณ และเจริญพระพุทธมนต์ขอฝน ด้วยอานาจ สมาธิและพระพุทธมนต์ของพระผู้เป็นเจ้าทั้งสองนั้น พอถึงกาหนดวันสัญญา ก็เกิดมหาเมฆต้ังขึ้นทั้ง ๘ ทิศ ฝนตกลงมาเป็นอันมาก แต่นั้นมา ถ้าเกิดความไข้เจ็บขึ้นชุกชุมในบ้านเมืองแล้ว พระมหาธรรมราชาก็ให้ นิมนตพ์ ระสงฆเ์ ขา้ มาเจรญิ พระพทุ ธมนต์ มสี ัตปริตรและภาณวารเปน็ ตน้ ” ๓๘ ๓.๒.๓ การช่วยเหลือบา้ นเมอื งยามศกึ สงคราม ในสมัยกรุงศรีอยุธยา พระสงฆ์ได้เข้ามามีบทบาทในการช่วยเหลือชาติบ้านเมืองหลายประการ และหลายลักษณะ เชน่ ในรัชกาลสมเด็จพระมหาจักรพรรดิราชาธิราช มีบันทึกเรื่องราวพม่ายกทัพเข้ามาตี กรุงศรีอยุธยา มหานาค วัดภูเขาทอง ได้ลาสิกขา อาสาต้ังค่ายกันกองทัพเรือพม่า และส่งสมกาลังญาติโยม ชายหญิงช่วยกันขุดคูนอกค่ายตั้งแต่วัดภูเขาทองลงมาถึงวัดป่าพลูเพื่อกันทัพเรือ๓๙ จึงเรียกคลองดังกล่าวน้ี วา่ คลองมหานาค ในรัชกาลเดียวกันนี้เอง เม่ือกษัตริย์หงสาวดียกทัพมาตีกรุงศรีอยุธยา ผ่านเมืองพิษณุโลก พระ มหาธรรมราชาก็นิมนต์พระสงฆ์ ๔ รปู ออกไปดูลาดเลาข้าศกึ นอกเมอื ง๔๐ คราวทส่ี มเด็จพระนเรศวรทายุทธ หตั ถีกับมหาอุปราช นายทัพนายกองตามเสด็จไม่ทัน ทาให้พระองค์ต้องอยู่ท่ามกลางศึก เม่ือมีชัยแล้วจึงใช้ กฎอัยการศึกประหารชีวิตนายทัพนายกองเหล่าน้ัน สมเด็จพระวันรัตน์ พร้อมด้วยพระราชาคณะ ๒๕ รูป ไดม้ าทลู ขอบิณฑบาตเอาไว้ ทาให้นายทัพนายกองเหล่านี้พน้ จากโทษประหาร๔๑ และได้เป็นกาลังสาคัญช่วย ตีเมืองตะนาวศรมี าเปน็ เมอื งขึน้ ของไทยได้, พระอาจารย์ธรรมโชติวัดเขานางบวช ซึ่งได้มาพานักอยู่ที่วัดโพธ์ิ เก้าตน้ ในบางระจัน ได้มาเปน็ กาลังหลักในการรวมชาวบา้ นบางระจัน ตัง้ กองกาลังต้านทพั พมา่ หลักฐานจากพงศาวดารกล่าวถงึ เร่อื งลักษณะเดียวกันน้ีกับพระสงฆ์พม่า๔๒ พระมหาเถระเสียม เพรียม ทราบว่า พระยาตองอูจะสวามิภักด์ิต่อกรุงศรีอยุธยา ท่านก็ได้เข้าเฝ้า ถวายคาแนะนา กระท่ังมี บทบาทสาคัญในการชีน้ าการศกึ หลายครงั้ หลักฐานจากพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา มีบันทึกเร่ืองราวเก่ียวกับบทบาทของพระสงฆ์ท่ีมีต่อ บ้านเมอื งในยามศกึ สงคราม ซึง่ อาจถือเปน็ บทบาททอ่ี ยนู่ อกเหนอื จากพระธรรมวินยั บ้าง เช่น การใช้เป็นทูต ๓๘ พระราชพงศาวดารกรงุ ศรีอยุธยา, คาให้การขนุ หลวงหาวดั , หน้า ๗๕๖. ๓๙ พระราชพงศาวดารกรุงศรอี ยุธยา ฉบบั พนั จันทนมุ าศ (เจิม), หน้า ๗๘. ๔๐ เร่อื งเดยี วกนั , หน้า ๙๓. ๔๑ เรือ่ งเดยี วกนั , หนา้ ๑๘๒. ๔๒ เร่ืองเดียวกนั , หน้า ๒๑๖-๒๑๗.
๙๗ ดูลาดเลากองกาลังทหารฝ่ายข้าศึก เชื่อมสัมพันธไมตรีภายในราชสานัก เป็นต้น คัดหลักฐานตัวอย่างมา ประกอบการพิจารณา ดงั น้ี (๑) “เมอ่ื ครั้งกษตั รยิ ห์ งสาวดียกทพั มาอยุธยา ผ่านเมืองพษิ ณโุ ลก ได้ล้อมเมืองไว้ และให้ยอมแพ้แต่ โดยโดยดี พระมหาธรรมราชา เจ้าเมืองพิษณุโลกจึงนิมนต์พระสงฆ์ ๔ รูป ออกไปฟังการ พระสงฆ์ออกไป สมเด็จพระเจ้าหงสาวดีให้นาพระสงฆ์ไปดูมูลดินและบันใดหกบันไดพาดแล้วให้เอาข่าวไปแจ้ง พระมหา ธรรมราชาจึงออกไปเฝ้าพระเจ้าหงสาวดี”๔๓ (๒) “พระเจ้าแผ่นดินให้จาพระยาราม แต่งคนคุมออกไปส่ง แล้วให้อาราธนาพระสังฆราชกับ พระภิกษุ ๔ องค์ไปด้วย ครั้นพระสังฆราชและผู้คุมพระยารามไปถึง พระมหาธรรมราชาให้ถอดจาพระยา รามออกแลว้ นาไปถวายบงั คมพระเจ้าหงสาวดี” ๔๔ (๓) “เมืองลาพูนและเมืองเชียงใหม่คิดอุบายล่อลวงหน่วงกองทัพไทยไว้จะให้งดช้าลง จะได้คิด กระทาการป้องกันเมืองลาพูน เมืองเชียงใหม่ไว้ท่ากองทัพพม่าจะได้มาช่วยทัน จึงนิมนต์พระสงฆ์ผู้เป็น ปราชญฉ์ ลาดเจรจา ๔ รูป ใหถ้ อื หนังสอื ไปหากองทพั ไทย”๔๕ (๔) “ณ วนั แรม ๕ คา่ เปน็ วันพระ พระเทพมุนี พระพุทธโฆษาจารย์ พระธรรมอุดม พระธรรมเจดีย์ พระเทพกวี เขา้ มาเตรียมจะถวายพระธรรมเทศนาอยู่ ณ ทิมสงฆ์ ประมาณเพลาทุ่มเศษ จึงมีพระบัณฑูรให้ นิมนต์เข้ามา ณ ตาหนักสวนกระต่าย ตรัสอาราธนาให้ขึ้นไปว่ากล่าวแก่เจ้าสามกรมให้ลงมาสมานสามัคร สมานกนั ถงึ ๒ กลับตอ่ เพลา ๓ ยามเศษ เจ้าสามกรมจึงมาเฝ้าทาพระสตั ยถ์ วายทงั้ สามองค์”๔๖ ๓.๒.๔ การเผยแผ่พระพทุ ธศาสนา การส่งสมณทูตไปสืบอายุพระพทุ ธศาสนาในศรลี งั กา ปรากฏในพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ๒ ครั้ง คร้ังแรกในปลายรัชกาลของสมเด็จพระบรมโกศ หลักฐานระบุ พ.ศ. ๒๒๙๖ ปีระกา เบญจศก แต่หลักฐาน จดหมายเหตรุ ะยะทางราชทตู ลังกาเขา้ มาขอคณะสงฆ์ท่กี รุงศรอี ยุธยาระบุว่า พ.ศ. ๒๒๙๓ พระเจ้าเกียรติศิริ ราชสงิ หะ หรือพระเจ้ากิตติสิริราชสีหะ กษัตริย์ศรีลังกา มีรับส่ังให้สามเณรสรณังกรแต่งพระราชสาส์นเป็น ภาษามคธถวายสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระบรมโกศ และสมเด็จพระสังฆราชกรุงศรีอยุธยา พร้อมทั้งได้ส่งทูต ๕ นายมาขอพระภิกษุไปสืบพระพุทธศาสนา เนื่องจากศรีลังกาเวลานั้นถูกพวกมิจฉาทิฐิเบียดเบียน ไม่มี ๔๓ พระราชพงศาวดารกรุงศรอี ยุธยา ฉบับพนั จนั ทนุมาศ (เจิม), หน้า ๙๓. ๔๔ เรอ่ื งเดียวกนั , หน้า ๑๒๑. ๔๕ เรอื่ งเดียวกัน, หน้า ๓๑๔. ๔๖ เรอ่ื งเดียวกนั , หนา้ ๓๖๙.
๙๘ พระภกิ ษุหลงเหลืออย่เู ลย คงมเี พยี งสามเณรสรณังกรรูปเดียวเท่านั้น๔๗ พระเจ้าอยู่หัวจึงโปรดให้พระอุบาลี และพระอริยมุนี พร้อมพระสงฆ์อันดับอีก ๑๒ รูป เดินทางไปศรีลังกา ตามคาเชิญของทูต เม่ือไปถึง ทางการของศรีลังกาให้พานักอยู่ท่ีวัดบุบผาราม สามารถบวชชาวสิงหลให้เป็นพระภิกษุได้จานวน ๗๐๐ รูป และสามเณรอีกจานวนหน่ึงพันเศษ ครั้งที่สอง ประมาณ พ.ศ. ๒๓๐๒ ในปลายรัชกาลของพระสมเด็จพระที่นั่งสุริยาสน์อมรินทร์ หรือพระเจ้าเอกทัศ (ก่อนการเสียกรุงศรีอยุธยาให้แก่พม่า) โดยการนาของพระวิสุทธาจารย์ และพระวร ญาณมุนี พร้อมกับพระสงฆ์อีก ๓ รูป การไปครั้งมีจุดประสงค์เพื่อไปเปลี่ยนพระสงฆ์ท่ีซึ่งไปครั้งแรก ทั้ง ๒ คณะพกั อยู่ท่ศี รลี งั กาจนถึง พ.ศ. ๒๓๐๓ พระอุบาลีถึงแก่มรณภาพท่ีศรีลังกา ได้กลับมาเฉพาะพระอริยมุนี พระวสิ ทุ ธาจารย์ พระวรญาณมุนี ส่วนพระอริยมุนีเป็นหัวหน้าสงฆ์หมู่ ประดิษฐานสยามวงศ์ในประเทศศรี ลงั กา การไปครั้งหลังนี้ มีการหลักฐานว่า ได้บวชพระให้กุลบุตรชาวสิงหลจานวน ๓๐๐ รูป และ สามเณรอีกจานวน ๗๐๐ รูป๔๘ ในคาให้การขุนหลวงหาวัดระบุว่า จุลศักราช ๑๐๖๙ ปีเถาะ ฉศก (พ.ศ. ๒๒๕๐) พระเจ้ากรุงลังกาทราบข่าวกรุงศรีอยุธยา พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรือง จึงได้แต่งราชสาส์นมา พระราชทานพระภิกษุผู้รอบรู้ทรงปริยัตเิ พื่อสัง่ สอนชาวลังกาทเ่ี ลือ่ มใส เป็นการสืบทอดอายุพระพุทธศาสนา พระมหาธรรมราชาจงึ ให้ประชมุ คดั เลือกพระภิกษเุ พ่อื ส่งไปกรงุ ลังกา และก็ได้คัดเลือกพระราชาคณะ ๒ รูป คือ พระอุบาฬี และพระอริยมุนี พร้อมพระสงฆ์อีก ๕๐ รูป พระปฏิมากรยืนห้ามสมุทร และพระปฏิมากร ปางอนื่ อีก ๑๐ องค๔์ ๙ อน่ึง นอกจาการส่งพระภิกษุไปสืบพระพุทธศาสนาในประเทศศรีลังกาแล้ว ในบางช่วงของ รัชกาล ก็มีพระสงฆ์จากกมั พชู าได้เขา้ มาพึ่งบรมโพธิสมภาร เชน่ ในสมยั สมเด็จพระนารายณ์ มีหลักฐานระบุ ว่า สมเด็จพระสงั ฆราชสุคนธ์ พร้อมด้วยชาวกัมพูชาหนีภัยสงครามภายในประเทศเข้ามาขอพึ่งพระบรมโพธิ สมภาร และก็ได้รบั พระมหากรุณาธิคุณ โปรดเกล้าฯ ให้พานกั อยทู่ ่วี ดั พระนอน๕๐ บันทกึ อนื่ นอกจากพงศาวดารกรุงศรอี ยุธยา กม็ รี ะบุถงึ บทบาทของวัด และบทบาทของพระสงฆ์ ในการเผยแผ่พระศาสนา เช่นบันทึกของนิโกลาส์ แซรแวส ความตอนหน่ึงว่า “วัดทุกวัดเปิดให้ประชาชน เข้านมัสการ และชาวต่างประเทศก็มีสิทธิที่จะเข้าไปได้เช่นคนอื่น ๆ มีพระธรรมเทศนาตั้งแต่เช้าจนกระท่ัง เย็น เมื่อภิกษุรูปหน่ึงลงจากธรรมาสน์ อีกรูปหนึ่งก็ข้ึนไปแทน แต่ละกัณฑ์มีทายกทายิกาเข้าฟังหนาแน่น เขาตกแต่งพระพุทธปฏิมากรด้วยส่ิงอันหาได้ยากและที่งดงามที่สุดเท่าท่ีจะหาได้ในท้องถิ่นน้ัน เขาตาม ประทปี ข้นึ เปน็ อนั มาก และประดับด้วยดอกไม้นานาพรรณ”๕๑ ๔๗ จดหมายเหตุระยะทางราชทูตลังกาเข้ามาขอคณะสงฆ์ท่ีกรุงศรีอยุธยา, (กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์พระจันทร์, ๒๔๗๓), หน้า ๑-๒. ๔๘ พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยธุ ยา ฉบับพระราชหัตถเลขา ภาค ๒, หน้า ๒๗๒. ๔๙ เรือ่ งเดยี วกัน, หน้า ๒๗๒. ๕๐ พระราชพงศาวดารกรงุ ศรอี ยธุ ยา ฉบบั พันจันทนมุ าศ (เจิม), หนา้ ๓๐๓. ๕๑ นิโกลาส์ แซรแวส, ประวัตศิ าสตร์ธรรมชาตแิ ละการเมอื งแหง่ ราชอาณาจกั รสยาม, หน้า ๑๔๓.
๙๙ ความตอนนใี้ นบันทึกของนิโกลาส์ แซรแวส น่าจะเป็นช่วงที่มีการจัดให้มีการเทศน์มหาชาติ ซ่ึง ถือเป็นประเพณีนยิ มสาคัญทถ่ี อื ปฏบิ ัติโดยท่ัวไป เปน็ รปู แบบหนึ่งของการเผยแผ่พระพุทธศาสนา มุ่งเน้นคติ นยิ มเรือ่ งการเสยี สละ และการบาเพ็ญบารมตี ามแนวทางของพระโพธิสตั ว์ ในจดหมายเหตลุ า ลูแบร์ กม็ รี ะบถุ งึ บทบาทของพระภิกษุในการสอนหนังสือแก่เด็กและส่ังสอน ประชาชน ความตอนหนึ่งว่า “พวกพระภิกษุสอนหนังสือให้แก่เด็ก ๆ ดังท่ีข้าพเจ้าได้กล่าวมาแล้ว และ เทศนาส่ังสอนธรรมะแก่ประชาชนตามท่ีมีจารึกไว้ในพระคัมภีร์บาลี ถึงทุก ๆ วันรุ่งขึ้นจากอมาวสี (น่าจะ เป็นวันอัฏฐมี-ผู้วิจัย) และทุกวันเพ็ญพระจันเต็มดวง ก็แสดงพระธรรมเทศนา และสัปปุรุษสีกาก็พากันไป ประชุมฟงั เปน็ ประจาในพระอุโบสถ”๕๒ ๓.๓ บทบาทและความสมั พนั ธ์ด้านศาสนพธิ ี ศาสนพิธี คอื แบบอย่างหรอื แบบแผนกตา่ ง ๆ ที่พงึ ปฏิบัติในทางพระศาสดา๕๓ พื้นฐานโดยท่วั ไปของศาสนาพธิ ีแบง่ ออกเปน็ ๔ หมวด ได้แก่ หมวดกุศลพิธี คือพิธีกรรมต่าง ๆ อันเกี่ยวด้วยการอบรมความดีงามทางพระศาสนา เฉพาะตัวบุคคล คือเป็นเร่ืองสร้างความดีแก่ตนทาง เดียวกัน๕๔, หมวดบุญพิธี คือพิธีทาบุญเน่ืองด้วยประเพณีในครอบครัวของพุทธศาสนิกชน เป็นประเพณี เก่ียวกับชีวิตของคนไทยทั่วไป, หมวดทานพิธี คือพิธีถวายทานต่าง ๆ, และหมวดปกิณณกะ ได้แก่เร่ือง เบ็ดเตล็ดท่ัวไป จะพิจารณาเร่ืองราวต่าง ๆ ที่เก่ียวข้องกับพระพุทธศาสนาในสมัยกรุงศรีอยุธยา และวิเคราะห์ เป็นหมวด ๆ ตอ่ ไปตามลาดบั ๓.๓.๑ กุศลพธิ ี กศุ ลพธิ ี วา่ ด้วยการอบรมความดีงามเฉพาะบุคคล สาหรับฆราวาส เช่น การแสดงตนเป็นพุทธ มามกะ, การเวยี นเทียนเน่อื งในวันสาคญั ทางพระพทุ ธศาสนา, พิธีรักษาอุโบสถศีล เป็นต้น สาหรับบรรพชิต เน้นพิธีของสงฆ์พึงปฏิบัติเพื่อความดีงามในพระวินัย ทั้งส่วนตัวผู้ปฏิบัติและหมู่คณะ บางอย่างเป็นจารีต นยิ มปฏิบตั สิ บื ๆ กันมา ถือเป็นความชอบในคณะสงฆ์แล้วจึงกลายเป็นพิธีประเพณขี องสงฆ์หรือพิธีประเพณี ของหม่คู ณะ เชน่ พธิ ีเขา้ พรรษา, พิธถี ือนิสสยั , พิธที าสามีจิกรรม, พิธกี รรมวนั ธรรมสวนะ, พิธที าสังฆอุโบสถ , พธิ อี อกพรรษา เป็นต้น ในสมยั กรุงศรีอยธุ ยา พธิ กี รรมทางพระพุทธศาสนามบี ทบาทสาคัญในการเป็นส่ือ หรือเคร่ืองมือ ในการอบรมความดีงาม และขัดเกลาจิตใจหลายลกั ษณะ หลกั ฐานจากพงศาวดาร ประมวลสรุปได้ดังน้ี ๓.๓.๑.๑ การบรรพชา อุปสมบท การบรรพชา อุปสมบท ถือเป็นประเพณีนิยมที่ได้รับการยึดถือปฏิบัติในสังคมไทยมาเป็น ระยะเวลายาวนาน ด้วยเหตุวา่ พระพทุ ธศาสนามีบทบาทต่อวิถีชีวิตในสังคมไทยอย่างแนบแน่น ไม่สามารถ ๕๒ มองซิเออร์ เดอ ลาลแู บร,์ จดหมายเหตุลา ลูแบร์ ราชอาณาจักรสยาม, (นนทบุรี: สานักพิมพ์ศรีปัญญา ,๒๕๕๗), หนา้ ๓๔๖. ๕๓ องคก์ ารศึกษา, ศาสนพิธเี ลม่ ๑, (กรุงเทพฯ : มหามกฏุ ราชวิทยาลยั , ๒๕๐๓), หนา้ ๑. ๕๔ เรอ่ื งเดยี วกนั , หน้า ๓.
๑๐๐ แยกออกจากกนั ได้ สังคมไทยจึงใช้การบรรพชา หรือุปสมบทเป็นเครื่องมือในการฝึกฝนอบรม และขัดเกลา จติ ใจของกุลบุตรทั้งหลายเพื่อเตรียมความพร้อมสาหรับชีวิตการครองเรือน ขณะเดียวกันก็เป็นการจรรโลง อายุพระพุทธศาสนาอีกโสตหนึ่งด้วย ร่องรอยประเพณี หรือคติความเชื่อดังกล่าวนี้ ก็สามารถพบได้ใน พงศาวดารกรงุ ศรอี ยุธยา กษัตริย์กรุงศรีอยุธยาทุกพระองค์ทรงเป็นพุทธมามกะ พระราชกรณียกิจต่าง ๆ ท่ีทรง บาเพ็ญในแต่ละรัชกาล ย่อมสะท้อนความเป็นพุทธมามกะ ดังจะเห็นร่องรอยบันทึกไว้ในพงศาวดาร เช่น พ.ศ. ๑๙๙๒ ปีมะเส็ง เอกศก สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงผนวชในระหว่างครองราชย์สมบัติ รวม ระยะเวลา ๘ เดือน จึงทรงลาผนวช โดยระหว่างทรงผนวชนั้น ได้ประทับอยู่ ณ วัดจุฬามณี๕๕, พ.ศ.๒๐๐๙ ปจี อ อฐั ศก พระราชโอรสของสมเดจ็ พระบรมไตรโลกนาถเสดจ็ ออกผนวช๕๖, ตรัสนอ้ ยราชบุตร พระชนมายุ ได้ ๑๓ พรรษา ทรงให้กระทามหามงคลพิธีโสกันต์แล้ว ให้ผนวชเป็นสามเณรอยู่ในสานักพระพุทธโฆษา จารย์เป็นระยะเวลา ๕ ปี จึงลาผนวชมาศึกษาศิลปะวิทยาต่าง ๆ และเมื่ออายุครบผนวช ก็ทรงออกผนวช อีกครงั้ ๕๗ สมเด็จพระเพทราชา เม่ือคร้ังยังไม่ได้เสวยราชสมบัติ ก็ทรงผนวชอยู่ท่ีวัดพระยาแมน พงศาวดารจึงบันทึกเรื่องราวเมื่อพระองค์ได้เสด็จข้ึนครองราชย์แล้ว ได้แสดงความกตัญญูต่อพระอาจารย์ ด้วยการสถานาพระอุโบสถ วิหาร การเปรียญ เสนาสนะกุฏีอุทิศถวายแก่พระอาจารย์ แล้วทรงโปรดให้ทา การสมโภชเป็นเวลา ๗ วัน ๗ คืน๕๘ คาให้การขุนหลวงหาวัด ระบุไว้ว่า พระเจ้าอุทุมพรครองราชย์ได้ ๓ เดือน ก็สละราชสมบัตอิ อกผนวชเม่ือวนั ศกุ ร์ ขนึ้ ๙ ค่า เดอื น ๑๒ จลุ ศกั ราช ๑๑๒๐ (พ.ศ.๒๒๘๓) ๕๙ บนั ทกึ คาใหก้ ารชาวกรงุ เก่า ไดก้ ล่าวถงึ พระราชพิธี ๑๒ ราศีตามพระตารา ความตอนหน่ึง ระบุว่า “พระราชพิธีอาษาฒ พระเจ้ากรุงศรีอยุธยา (๑) ทรงบาเพ็ญพระราชกุศลบวชนาคเป็นภิกษุบ้าง สามเณรบ้าง รวมจานวนเท่าพระชนมายุ (๒) มีการมหรสพสมโภชพระพุทธสุรินทร (หมายถึงพระพุทธ สิหิงค์-ผู้วิจัย) ๓ วัน ๓ คืน (๓) ทรงหล่อเทียนพรรษา จบพระหัตถ์แล้วในวันขึ้น ๑๕ ค่า ส่งไปถวายเป็น พุทธบูชาตามพระอาราม” ๖๐ นอกจากนี้ บันทึกคาให้การชาวกรุงเก่า๖๑ ยังได้กล่าวถึงประเพณีสมโภชพระราชกุมารไว้ ๑๐ คร้ัง ซึ่งในจานวนนี้ มีท่ีเกี่ยวข้องกับเรื่องของการบรรพชา และอุปสมบท ๒ ครั้ง กล่าวคือ เมื่อพระ ชันษาได้ ๑๓ ขวบ ถ้าเป็นพระราชโอรสทรงผนวชเป็นสามเณร ถ้าเป็นพระราชธิดา ทรงผนวชเป็นชี โปรด ให้สมโภชคร้งั หนึ่ง ครน้ั พระชนั ษาได้ ๒๑ ถา้ เป็นพระราชกมุ าร ทรงผนวชเป็นพระภิกษุ โปรดให้โสมโภชอีก ครั้งหนงึ่ ๕๕ พระราชพงศาวดารกรุงศรอี ยุธยา ฉบบั พันจนั ทนมุ าศ (เจมิ ), หนา้ ๕๔. ๕๖ เรอื่ งเดยี วกัน, หน้า ๕๕. ๕๗ พระราชพงศาวดารกรงุ ศรีอยธุ ยา ฉบับพระราชหัตถเลขา ภาค ๒, หนา้ ๑๗๕. ๕๘ พระราชพงศาวดารกรงุ ศรอี ยธุ ยา ฉบบั พนั จนั ทนมุ าศ (เจิม), หนา้ ๓๒๑. ๕๙ พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา คาให้การขนุ หลวงหาวัด, หน้า ๗๗๒. ๖๐ พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา คาใหก้ ารชาวกรุงเก่า, หนา้ ๖๖๔. ๖๑ เรอ่ื งเดียวกัน, หนา้ ๖๗๑.
๑๐๑ คาใหก้ ารขุนหลวงหาวดั กม็ หี ลกั ฐานแสดงถงึ การสง่ เสรมิ การบรรพชา อุปสมบทแก่กุลบุตร เป็นประจาทุกปี ความตอนหนึ่งว่า “บรรดาพระราชวงศานุวงศ์และมหาดเล็กท้ังปวงนั้น เมื่ออายุครบ อุปสมบท (พระมหาธรรมราชา-ผู้วิจัย) ก็ทรงเป็นพระธุระในการจัดให้อุปสมบท ถ้ายังมิได้อุปสมบทแล้วก็ ยังไม่ให้รับราชการ”๖๒ และ “ครั้นถึงเดือน ๘ ปฐมาสาฒ วันเพ็ญ ๑๕ ค่าน้ัน พระองค์ (พระเจ้าเอกทัศ- ผ้วู จิ ยั ) ก็บวชนาคหลวงท้งั ภกิ ขแุ ละสามเณรปหี น่ึง ๓๐ องค์บ้าง ๔๐ องค์บ้าง ทกุ ปีมไิ ด้ขาด”๖๓ จากหลักฐานขา้ งตน้ กพ็ อแสดงให้เหน็ ว่า ธรรมเนยี มการบวชเรียน ได้รับการส่งเสริม และ ถอื เปน็ ธรรมเนยี มปฏบิ ตั มิ าตง้ั แต่สมัยกรงุ ศรีอยุธยาแล้ว ๓.๓.๑.๒ การเวียนเทยี นเนื่องในวันสาคัญทางพระพทุ ธศาสนา ธรรมเนียมชาวพุทธโดยทั่วไป เม่ือถึงวันสาคัญทางพระพุทธศาสนา นิยมเข้าวัดฟังธรรม และทากิจกรรมตา่ ง ๆ มกี ารเวียนเทยี น เปน็ ต้น ตามสมควรแก่โอกาส ในสมัยกรงุ ศรีอยุธยา แม้จะไมม่ ีบันทึกเกยี่ วกบั การเวียนเทียนในแต่ละรัชกาลครบถ้วน แต่ อยา่ งน้อยก็เห็นร่องรอยของการเสด็จพระราชดาเนินของพระมหากษัตริย์ในอดีต เช่น ในรัชสมัยของสมเด็จ พระเจ้าปราสาททอง พงศาวดารบันทึกไว้ว่า “เมื่อถึงอาสาฬหมาสเข้าพระวษา สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จ พระราชดาเนินด้วยสนมราชกัลยา ออกไปนมัสการจุดเทียนพระวษา ถวายพระพุทธปฏิมากร ณ วัดสรร เพชญ์”๖๔ อนึ่ง มีกุศลพิธีบางประการท่ีไม่ได้บันทึกไว้ในพงศาวดาร แต่มีปรากฏในหลักฐานอ่ืน ซ่ึง แสดงใหเ้ หน็ ถึงการทรงเอาพระทยั ใสใ่ นการบาเพญ็ พระราชกุศลเป็นการส่วนพระองค์ นั่นคือการทาวัตรสวด มนต์ ดงั บนั ทึกของนิโกลาส์ แซรแวส ความตอนหน่ึงพรรณนาถึงพระราชจริยาวัตรของสมเด็จพระนารายณ์ ว่า “พระองค์จะทรงต่ืนบรรทมเวลาเจ็ดนาฬิกาตรง มหาดเล็กห้องสรงเป็นผู้ถวายงานทรง สนานและพระภูษาทรง เสร็จแล้วพระองค์ทรงทาวัตรเช้าด้วยการสวดมนต์ถึงพระสมณโคดม และหลังจาก เสวยพระกระยาหารแล้ว เวลาแปดนาฬิกาจะเสด็จเข้าสู่ท่ีประชุมคณะท่ีปรึกษาราชการแผ่นดิน และ ประทับอยู่จนกระทั่งเทยี่ งวัน” ๖๕ ๓.๓.๒ บุญพิธี พิธีทาบุญเน่ืองด้วยประเพณีในครอบครัวของพุทธศาสนิกชน เป็นประเพณีเก่ียวกับชีวิต ของคนไทยทั่วไป สว่ นมากทากนั เกี่ยวกับเร่ืองฉลองบ้าง เรื่องต้องการสิริมงคลบ้าง เรื่องตายบ้าง ในเรื่อง เหล่านน้ี ิยมทาบญุ ทางพระพุทธศาสนา เชน่ ทาบุญเลี้ยงพระและตักบาตรเป็นต้น เพราะประเพณีนิยมดังน้ี จงึ เกดิ มพี ธิ กี รรมทจี่ ะตอ้ งปฏบิ ัติข้นึ และถือสบื ๆ กันมาแต่โบราณกาล ๖๒ พระราชพงศาวดารกรุงศรอี ยุธยา คาใหก้ ารขนุ หลวงหาวัด, หน้า ๗๕๔. ๖๓ เรอ่ื งเดยี วกนั , หน้า ๗๗๔. ๖๔ พระราชพงศาวดารกรงุ ศรีอยุธยา ฉบบั พนั จันทนุมาศ (เจิม), หนา้ ๒๗๔. ๖๕ นิโกลาส์ แซรแวส, ประวัติศาสตร์ธรรมชาติและการเมืองแห่งราชอาณาจักรสยาม, หน้า ๒๒๑.
๑๐๒ อย่างไรก็ตาม บุญพิธีในบริบทของพงศาวดาร เน้นท่ีตัวบุญกิริยาวัตถุ ไม่ได้เน้น รายละเอยี ดพธิ ตี ามบทนิยามในศาสนพธิ ี หลักฐานจากพงศาดาร มีบันทึกพระราชกรณียกิจท่ีทรงบาเพ็ญเกี่ยวกับการพระราชกุศล ทางพระพุทธศาสนามาทุกรัชกาล ตลอดระยะเวลาท่ีกรุงศรีอยุธยาดารงความเป็นราชธานี ดังรายละเอียด ตามตารางตอ่ ไปน้ี ๓.๓.๒.๑ พระมหากษตั ริย์กับการสถาปนาวัด การสถาปนาวัดถือเป็นพระราชากรณียกิจท่ีมีต่อพระพุทธศาสนาลักษณะหน่ึง โดยมี จุดประสงคห์ ลกั เพ่ือใชเ้ ปน็ ท่เี สด็จบาเพญ็ พระราชกุศลในโอกาสต่าง ๆ รองลงมาก็คือเพ่ือเป็นอนุสรณ์สถาน และเป็นสาหรับที่บรรจุอัฐิบุรพมหากษัตริย์องค์ก่อน ๆ หลักฐานท่ีปรากฏในพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา พบ รายนามวัดทไ่ี ด้รับการสถาปนาจากพระมหากษัตริย์ในรัชกาลต่าง ๆ ด้วยวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกันออกไป ดงั ตอ่ ไปน้ี (๑) วดั พุทไธสวรรค์ ได้รับการสถาปนาในรชั สมยั ของสมเดจ็ พระรามาธิบดีที่ ๑ (พระเจ้าอู่ ทอง) มีวัตถุประสงค์หลัก ๒ ประการ คือ ๑) เพื่อเป็นท่ีบาเพ็ญพระราชกุศลใกล้ๆ พระราชวัง ๒) เป็นท่ี บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ (๒) วัดป่าแก้ว ปัจจุบันคือวัดใหญ่ไชยมงคล เป็นวัดที่ได้รับการสถาปนาในรัชสมัยสมเด็จ พระรามาธิบดีท่ี ๑ (พระเจ้าอู่ทอง) เช่นเดียวกับวัดพุทไธสวรรค์ แต่มีวัตถุประสงค์แตกต่างกัน กล่าวคือ ๑) เพอ่ื เป็นอนุสรณส์ ถานแดเ่ จา้ แก้วไทย ๒) เพอื่ อุทศิ สว่ นกศุ ลแดเ่ จ้าแก้วไทย พระอารามหลวงท้งั ๒ น้ี ถอื เป็นวัดคู่พระนครศรีอยธุ ยา (๓) วดั มหาธาตุ ไดร้ ับการสถาปนาในรชั สมยั สมเด็จพระราเมศวร โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ เปน็ เคร่ืองบชู าพระบรมสารรี กิ ธาตุ พงศาวดารบนั ทึกไว้วา่ หลังจากเสด็จกลับจากเมืองพิษณุโลกถึงพระนคร แล้ว ขณะทรงประทับทรงศีลอยู่ ณ พระท่ีนั่งมังคลาภิเษก ได้ทรงทอดพระเนตรเห็นพระสารีริกธาตุเสด็จ ผ่านทางทิศตะวันออก จึงตรัสเรียกให้ปลัดวังเอาพระราชยานเสด็จออกไป เอาเครื่องสักการะวางปักเอาไว้ เปน็ สัญลักษณ์ จากน้นั ก็ทรงสร้างพระมหาธาตขุ นึ้ บริเวณนั้น๖๖ (๔) วัดภูเขาทอง ได้รบั การสถาปนาในรชั สมยั สมเดจ็ พระราเมศวรเชน่ เดยี วกบั วัดมหาธาตุ ในพงศาวดารกรงุ ศรีอยธุ ยาไมไ่ ดร้ ะบุวัตถปุ ระสงคเ์ อาไว้ (๕) วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ ได้รับการสถาปนาในรัชสมัยสมเด็จพระราเมศวรเช่นเดียวกัน แตพ่ งศาวดารไม่ระบวุ ตั ถปุ ระสงคไ์ วเ้ ช่นเดยี วกันกบั วดั ภเู ขาทอง (๖) วัดราชบูรณะ ได้รับการสถาปนาในรัชสมัยสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๒ ระบุ วัตถุประสงค์เพ่ือเป็นอนุสรณ์สถานที่ถวายพระเพลิงพระศพเจ้าอ้ายพระยา และเจ้ายี่พระยา ท้ังสอง พระองคก์ ่อศกึ แย่งราชบัลลงั ก์ แต่ต้องพระแสงง้าวส้ินพระชนมบ์ นคอช้าง ๖๖ พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับพันจันทนุมาศ (เจมิ ), หน้า ๔๗.
๑๐๓ (๗) วัดพระราม ได้รับการสถาปนาในรัชสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ เป็นวัดท่ีสร้าง ขึ้นเพ่ือเปน็ อนุสรณ์สถานสาหรับสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ นอกจากนี้ วัดพระรามยังเป็นวัดที่ถูกกาหนดให้ เปน็ ศูนย์กลางของเมืองด้วย (๘) วัดพระศรีสรรเพชญ์ ได้รบั การสถาปนาในรชั สมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ เป็นวัด ทีส่ รา้ งข้นึ เพอื่ เปน็ อนสุ รณส์ ถานการเสด็จข้ึนครองราชย์สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ (๙) วัดศพสวรรค์ ได้รับการสถาปนาในรัชสมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิราชาธิราช และ เปน็ วัดทสี่ ร้างขน้ึ เพือ่ เปน็ อนสุ รณ์สถานทีถ่ วายพระเพลงิ พระศพพระศรสี ุริโยทัย (๑๐) วดั พระศรีสรรเพชญ์ สมเดจ็ พระสรรเพชญ์ที่ ๕ (พระเจ้าปราสาททอง) ทรงโปรดให้ สร้างนครหลวงโดยถ่ายแบบมาจากกัมพูชา เม่ือสร้างเสร็จแล้ว ก็ได้สถาปนาวัดพระศรีสรรเพชญ์เสร็จและ ทาการฉลอง๖๗ การสถาปนาครง้ั น้จี ึงถอื เปน็ อนสุ รณส์ ถานคู่กบั การสรา้ งพระนครหลวง (๑๑) วัดชัยวัฒนาราม ถือเป็นวัดอีกแห่งหนึ่งท่ีได้รับการสถาปนาในรัชสมัยสมเด็จพระ สรรเพชญ์ท่ี ๕ (พระเจ้าปราสาททอง) การสถาปนาครั้งนี้มีจุดประสงค์เพ่ือเป็นอนุสรณ์สถานถวายสมเด็จ พระพนั ปหี ลวง เป็นวัดฝา่ ยอรญั ญวาสี ทรงพระราชอุทศิ ถวายนติ ยภัตกลั ปนามิได้ขาด๖๘ (๑๒) วัดชุมพลนิการาม ถือเป็นวัดอีกแห่งท่ีสามท่ีได้รับการสถาปนาในรัชสมัยสมเด็จ พระสรรเพชญ์ท่ี ๕ (พระเจ้าปราสาททอง) สร้างติดกับพระที่นั่งไอศวรรย์ถวายเป็นสังฆทานเป็นที่บาเพ็ญ พระราชกศุ ลส่วนพระองค์ และเหล่าราชตระกลู ๖๙ (๑๓) วัดบรมพุทธาราม ได้รบั การสถาปนาในรชั สมยั สมเดจ็ พระมหาบุรุษ (พระเพทราชา) เบื้องต้นทรงดาริว่า บ้านป่าตองเป็นทาเลเหมาะ ควรสถาปนาเป็นอาราม จึงรับส่ังให้สร้างกาแพงแก้ว พระ อุโบสถ วหิ าร ศาลาการเปรียญ เสนาสนะ กุฏิ แล้วสถาปนาเป็นอาราม ส่วนเจ้าอธิการซ่ึงนิมนต์มาอยู่นั้นก็ โปรดเกล้าต้งั เปน็ พระราชาคณะ มพี ระราชทินนามว่า พระญาณสมโพธิ๗๐ การสถาปนาครั้งนี้มีพระประสงค์ เพื่ออุทิศบูชาแด่พระรัตนตรยั และเม่ือทรงสถาปนาแล้ว ก็ทรงอุทิศพระราชกัลปนาส่วยขึ้นถวายแก่ พระอาราม (๑๔) วดั พระยาแมน เป็นวัดท่ีสองท่ีได้รับการสถาปนาในรัชสมัยของสมเด็จพระมหาบุรุษ (พระเพทราชา) การสถาปนาคร้ังนี้มีพระประสงค์เพ่ือถวายเป็นอาจาริยบูชา และตอบแทนคุณ เป็นการ สนองกตัญญกู ตเวทิตาธรรม ด้วยเม่ือคร้ังทรงผนวช ได้พักอาศัยอยู่วัดน้ี พระอาจารย์ได้อบรมส่ังสอน ทั้งยัง ไดท้ านายว่า ต่อไปภายภาคหนา้ จะได้ครองราชย์สมบัติ๗๑ ๓.๓.๒.๒ พระมหากษัตริยก์ ับการสรา้ งวัด,วหิ าร, เจดยี ์ พิจารณาจากหลักฐานในพงศาวดาร การสร้างวัด กับการสถาปนาวัด มีนัยแตกต่างกัน เล็กน้อย กล่าวคือ การสร้างวัด เป็นการทาสิ่งท่ียังไม่มีให้มี ส่วนการสถาปนาวัด เป็นการทาสิ่งท่ีมีอยู่แล้ว ๖๗ พระราชพงศาวดารกรุงศรอี ยุธยา ฉบับพันจนั ทนุมาศ (เจมิ ), หน้า ๒๗๒. ๖๘ เร่ืองเดียวกนั , หน้า ๒๗๒. ๖๙ เร่ืองเดียวกัน, หน้า ๒๗๓. ๗๐ เร่ืองเดยี วกนั , หน้า ๓๑๙. ๗๑ เรอ่ื งเดียวกนั , หน้า ๓๒๑.
๑๐๔ ให้ยง่ิ ขึ้นไปกวา่ เดิม เช่น วัดพุทไธสวรรค์ เดมิ เป็นพระตาหนัก ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้ยกสถานะเป็นวัด ถวายไว้ในพระพุทธศาสนา รายนามวัด วิหาร เจดีย์ท่ีได้รับโปรดเกล้าให้สร้างในสมัยกรุงศรีอยุธยา ปรากฏนามใน รชั กาลต่าง ๆ ดงั น้ี ๑. วัดพระราม สร้างในรัชสมัยของสมเด็จพระรามาธิบดที ี่ ๑ (พระเจา้ อทู่ อง) ๒. วดั มเหยงค์ สร้างในรชั กาลสมเดจ็ พระบรมราชาธิราชที่ ๒ ๓. พระวิหารวดั จฬุ ามณี สร้างในรัชกาลสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ๔. พระวิหารวดั พระศรีสรรเพชญ์ สร้างในรัชกาลสมเด็จพระรามาธบิ ดที ี่ ๒ ๕. พระวิหารวัดวังชัย สรา้ งในรชั กาลสมเด็จพระมหาจกั รพรรดริ าชาธริ าช ๖. วดั โพธท์ิ ับช้าง สร้างในรชั กาลสมเดจ็ พระสรรเพชญ์ที่ ๘ (พระเจ้าเสือ) เพ่ือเป็นอนุสรณ์ สถานการประสูตขิ องสมเดจ็ พระสรรเพชญท์ ี่ ๘ (พระเจ้าเสอื ) บนั ทกึ คาให้การขนุ หลวงหาวดั ระบุว่า ในรัชกาลสมเด็จพระราเมศวร ทรงโปรดให้สร้างวัด ๔ วัด ได้แก่ วัดบุรบาริม, วัดรัตนปราสารท, วัดบรมราสัตย์, และวัดชังคะยี แล้วทรงให้ปฏิสังขรณ์วัดสุมัง คลารามอีกวนั หน่งึ ๗๒ บันทึกของนิโกลาส์ แซรแวส ก็พรรณนาอุปนิสัยของชาวกรุงศรีอยุธยาในเร่ืองของการ สร้างวัดสร้างวา ความตอนหน่ึงว่า “ชนชาวสยามมีศรัทธากล้าแข็งนัก ส่วนใหญ่ยอมฉิบหายขายตัวในการ สร้างวัดวาอาราม สรา้ งพระประธานองค์ใหญ่มหึมา และประดับประดาอย่างงดงาม ผู้ที่ไม่มีทุนทรัพย์พอจะ สร้างกุศลใหญ่เช่นนั้นได้ ก็จะไปในท่ีห่างไกลคนหน่อย สร้างกระท่อมไม้มุงใบตองตึงถวายเป็นกุฎีสงฆ์”๗๓ สะท้อนให้เห็นว่า ไม่เฉพาะแต่เจ้านายเท่าน้ันท่ีนิยมสร้างวัด แม้ชาวบ้านทั่วไปก็นิยมปฏิบัติในทานอง เดียวกนั ๓.๓.๒.๓ พระมหากษัตรยิ ก์ ับการปฏิสังขรณ์วัด คาว่า ปฏิสังขรณ์ หมายถึง การแก้ไข ปรับปรุงสิ่งก่อสร้างที่ชารุด ทรุดโทรมให้กลับคืน สภาพเดมิ หรอื ใชก้ ารได้ วัด ตลอดถึงเสนาสนะ ศาสนสถาน ศาสนวัตถุในกรุงศรีอยุธยาที่สร้างมาก่อนสร้าง ก็ดี ท่ีสร้างข้ึนในรัชกาลต่าง ๆ ก็ดี ย่อมชารุด ทรุดโทรมตามกาลเวลา จึงเป็นหน้าที่อย่างหน่ึงของผู้เป็น อนชุ นรุ่นหลงั ตอ้ งแก้ไข ปรับปรุงให้คงสภาพเดิม การปฏิสังขรณ์วัด วิหาร เจดีย์ ถือเป็นพระราชกรณียกิจที่สาคัญที่พระมหากษัตริย์ไทยใน อดีต ได้ทรงบาเพ็ญสืบ ๆ ต่อกันมา รายช่ือวัด/เจดีย์/วิหาร ท่ีได้รับการปฏิสังขรณ์ในสมัยกรุงศรีอยุธยา เฉพาะทป่ี รากฏช่อื ในพงศาวดาร ประกอบไปดว้ ย ๑. วัดพระศรีมหาธาตุ ลพบรุ ี ไดร้ บั การบรู ณะในรัชกาลพระมหินทราธิราช ๒. วัดพระพุทธบาท สมเดจ็ พระรามาธิบดที ี่ ๓ (สมเดจ็ พระนารายณ์) ทรงพระกรุณาโปรด เกลา้ ฯ ให้บูรณะพระมณฑป ๗๒ พระราชพงศาวดารกรุงศรอี ยุธยา คาให้การขุนหลวงหาวัด, หนา้ ๓๒๑. ๗๓ นิโกลาส์ แซรแวส, ประวตั ศิ าสตร์ธรรมชาติและการเมอื งแหง่ ราชอาณาจักรสยาม, หนา้ ๑๔๖.
๑๐๕ ๓. วัดสุมงคลบพิตร สมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ ๘ (พระเจ้าเสือ) ทรงโปรดให้ร้ือมณฑปท่ีถูก ฟา้ ผา่ ไฟไหมส้ รา้ งใหม่ ๔. วัดพระพุทธบาท สมเดจ็ พระสรรเพชญ์ท่ี ๘ (พระเจ้าเสอื ) ทรงโปรดใหบ้ รู ณะมณฑป ๕. วดั พระศรีสรรเพชญ์ สมเด็จพระเจา้ อยู่หวั บรมโกศโปรดใหป้ ฏิสงั ขรณ์ ๖. วัดสมุ งคลบพิตร สมเด็จพระเจา้ อยหู่ วั บรมโกศโปรดใหป้ ฏสิ งั ขรณ์พระพทุ ธปฏมิ า ๓.๓.๒.๔ การเสด็จนมสั การพระพุทธเจดยี ์สาคัญ คาว่า พุทธเจดีย์ ในที่นี้ ผู้วิจัยหมายเอา สถานที่ วัตถุ หรือสิ่งท่ีเนื่องด้วยพระพุทธเจ้า ซ่ึง เป็นที่ควรแก่การเคารพ กราบไหว้ บูชา หรือควรแก่การระลึกถึง และก่อให้เกิดอานิสงส์แก่ผู้แสดงกิริยา อย่างใดอยา่ งหนึง่ ดังกล่าวขา้ งต้น ในพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา มีร่องรอยของการเสด็จพระราชดาเนินไปนมัสการพระพุทธ เจดยี ์สาคัญ ๆ ดังนี้ ๑. รัชกาลสมเด็จพระราเมศวร ๑ คร้ัง หลักฐานระบุว่า “เสด็จเมืองพิษณุโลก นมัสการ พระพทุ ธชนิ ศรี และพระพุทธชนิ ราช เปลือ้ งเคร่ืองตน้ ถวาย และทาการสมโภช ๗ วนั ”๗๔ ๒. รัชกาลสมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช ๑ คร้ัง หลักฐานระบุว่า “เสด็จเมืองพิษณุโลก นมัสการพระพทุ ธชนิ ราช และพระพุทธชนิ ศรี ทรงเปล้อื งสวุ รรณลังกาขัตติยาภรณบ์ ชู า”๗๕ ๓. รัชกาลสมเด็จพระนเรศวร ๒ ครั้ง หลักฐานระบุไว้ว่า “สมเด็จพระเอกาทศรฐเสด็จ เมืองพิษณุโลกนมัสการพระพุทธชินราช ทรงปิดทอง และจัดให้มีการโสมโภช ๗ วัน ๗ คืน”๗๖ และเม่ือ คราวเสดจ็ เชียงใหม่ “เจา้ เมืองเชยี งใหมไ่ ด้กราบทลู เชิญเสด็จเขา้ ไปนมสั การพระพุทธสิหิงค์ในเมืองเชียงใหม น้ัน”๗๗ ๔. รัชกาลสมเด็จพระสรรเพชญ์ท่ี ๕ จานวน ๒ คร้ัง หลักฐานระบุไว้ว่า “เม่ือวันอาสาฬ หมาสเข้าพระวษา สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดาเนินด้วยสนมราชกัลยา ออกไปนมัสการจุด เทียนพระวษาถวายพระพุทธปฏิมากร ณ วัดสรรเพชญ์ พ้นเทศกาลเก่ียวข้าวแล้ว ก็เสด็จไปนมัสการพระ พทุ ธบาท”๗๘ ๖. รัชกาลสมเด็จพระนารายณ์ ๒ ครั้ง หลักฐานระบุไว้ว่า “เสด็จโดยเรือพระท่ีนั่งไป นมสั การพระพทุ ธชินราช และพระพทุ ธชนิ ศรี ณ เมืองพิษณุโลก ถวายพุทธสมโภชเป็นระยะเวลา ๓ วัน”๗๙ และ “เสดจ็ พระราชดาเนินไปมนัสการพระพทุ ธบาทเปน็ ประจาทุกปี”๘๐ ๗๔ พระราชพงศาวดารกรงุ ศรีอยุธยา ฉบบั พนั จนั ทนุมาศ (เจมิ ), หนา้ ๔๗. ๗๕ เร่อื งเดียวกัน, หนา้ ๑๔๕. ๗๖ เรื่องเดยี วกนั , หน้า ๑๔๓. ๗๗ เรอ่ื งเดยี วกนั , หนา้ ๑๔๕. ๗๘ เร่ืองเดยี วกนั , หน้า ๒๗๔. ๗๙ พระราชพงศาวดารกรงุ ศรีอยุธยา ฉบับพระราชหัตถเลขา เล่ม ๒, หนา้ ๔๖. ๘๐ เร่อื งเดียวกนั , หน้า ๑๓๙.
๑๐๖ ๗. รัชกาลสมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ ๘ (พระเจ้าเสือ) ๒ คร้ัง หลักฐานระบุไว้ว่า “เสด็จไป สมโภชพระพทุ ธบาท”๘๑ และในปีมะเมยี จัตวาศก ได้เสด็จพระราชดาเนินทางชลมารคไปนมัสการพระพุทธ บาทอกี ครั้ง๘๒ ๘. รัชกาลสมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ ๙ (พระเจ้าท้ายสระ) ๑ ครั้ง หลักฐานระบุไว้ว่า “คร้ัน ถึงเดือน ๔ เสด็จพระราชดาเนินขน้ึ ไปนมัสการพระพทุ ธบาท ล้นเกล้าลน้ กระหม่อมเสด็จเข้าไปนมัสการพระ พุทธบาทอยู่ในพระมณฑป สมเด็จพระอนุชาธิราช กรมพระราชวังบวรสถานมงคลก็ตามเสด็จไปนมัสการ พระพทุ ธบาทดว้ ย ครน้ั สมโภชพระพทุ ธบาท ๗ วนั แล้ว เสด็จพระราชดาเนินกลับ”๘๓ ๙. รัชกาลสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ จานวน ๕ ครั้ง หลักฐานระบุไว้ว่า “ปีมะแมเอก ศก จ.ศ.๑๑๐๑ (พ.ศ.๒๒๘๒) เสด็จขึ้นไปสมโภชพระพุทธบาท”, “เดือน ๑๒ ปีวอก โทศก จ.ศ.๑๑๐๒ (พ.ศ.๒๒๘๓) เสด็จเมืองพิษณุโลกนมัสการพระพุทธชินราชและพระพุทธชินศรี ๓ วัน”, “เสด็จไปสมโภช พระบรมสารีริกธาตุ ณ เมืองสวางคบุรี เป็นระยะเวลา ๓ วัน”๘๔, “เดือน ๑๒ ข้างข้ึน ได้เสด็จพระราช ดาเนนิ ไปสมโภชพระพุทธบาท” ๘๕, และ “วนั แรม ๙ ค่า เสด็จพระราชดาเนินไปนมัสการพระพุทธไสยาสน์ วัดพระนอนจักรศรี และพระพุทธไสยาสนว์ ัดขนุ อนิ ท์ประมลู ๘๖” ๑๐. รัชกาลสมเด็จพระเจ้าเอกทัศ ๑ คร้ัง หลักฐานระบุไว้ว่า “เสด็จไปนมัสการพระฉาย พักแรมอยู่ ๓ วนั แล้วเสดจ็ ไปนมัสการพระพทุ ธบาท ใหม้ ีการสมโภชเป็นเวลา ๗ วัน” ๘๗ ๓.๓.๒.๕ การเสด็จพระราชดาเนนิ ทอดกฐิน คาให้การชาวกรุงเก่าระบุถงึ พระเจ้าปราสาททองวา่ “เวลาปวารณาออกพรรษาแล้ว เสด็จ พระราชทานพระกฐินตามพระอารามทั้งปวงเป็นนิจ” ๘๘ บันทึกคาให้การขุนหลวงหาวัด กล่าวถึงพระมหา ธรรมราชาว่า “ทรงพระราชทานพระราชทรัพย์ปฏิสังขรณ์วัดวาอารามที่ชารุดทรุดโทรมปีละร้อย พระราชทานผ้าไตรเพื่อกฐินกิจปีละร้อยไตร” ๘๙ สอดคล้องกับบันทึกคาให้การชาวกรุงเก่าที่ระบุไว้ว่า ครั้น เดือน ๑๑ พระเจ้ากรุงศรีอยุธยาเสด็จพระราชทานพระกฐินตามพระอารามในกรุง ส่วนพระอารามตามหัว เมืองนั้น พระราชทานไปให้เจ้าเมืองกรมการทอด เดือน ๑๒ โปรดให้ทาจุลกฐิน คือทอผ้าให้เสร็จในวัน เดียว แลว้ เอาผา้ นน้ั พระราชทานพระกฐิน๙๐ ๘๑ พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยธุ ยา ฉบบั พนั จันทนุมาศ (เจมิ ), หน้า ๓๔๔. ๘๒ พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยธุ ยา ฉบับพระราชหตั ถเลขา เล่ม ๒, หน้า ๑๗๗. ๘๓ เรื่องเดยี วกนั , หนา้ ๓๕๐. ๘๔ เรื่องเดยี วกนั , หน้า ๓๖๐-๓๖๑. ๘๕ เร่ืองเดยี วกัน, หนา้ ๓๖๔. ๘๖ เรอ่ื งเดยี วกนั , หน้า ๓๖๕. ๘๗ เรื่องเดยี วกนั , หนา้ ๓๗๕ ๘๘ พระราชพงศาวดารกรุงศรอี ยุธยา, คาใหก้ ารชาวกรงุ เกา่ , หน้า ๕๒๓. ๘๙ พระราชพงศาวดารกรุงศรอี ยุธยา, คาให้การขนุ หลวงหาวดั , หนา้ ๗๗๔. ๙๐ พระราชพงศาวดารกรงุ ศรีอยธุ ยา คาใหก้ ารชาวกรุงเกา่ , หน้า ๖๖๕.
๑๐๗ ๓.๓.๒.๖ การบาเพ็ญพระราชกศุ ลอื่น ๆ พระมหากษัตรยิ ใ์ นสมัยกรุงศรีอยุธยา มีความฝักใฝ่ในทางพระพุทธศาสนา เม่ือเสร็จ หรือ ว่างจากราชกิจ มักเสด็จพระราชดาเนินไปบาเพ็ญกุศลตามวัดต่าง ๆ เช่น บางคร้ังก็ทรงพระกรุณาโปรด เกล้าให้จัดงานมหรสพด้วยพระองค์เอง บางคร้ังก็ทรงเสด็จไปนมัสการเจดีย์ พระพุทธรูปสาคัญตามเมือง ตา่ ง ๆ ดงั หลักฐานปรากฏในพงศาวดารดงั ตอ่ ไปนี้ ๑. รัชกาลสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ หลักฐานพงศาวดารระบุไว้ว่า “ศักราช ๘๐๖ ปี ชวดฉอศก (พ.ศ.๑๙๘๗) ให้บารุงพระพุทธศาสนาให้บริบูรณ์ และหล่อรูปพระโพธิสัตว์ ๕๕๐ พระชาติ”๙๑ และ “ศักราช ๘๐๘ ปขี าลอฐั ศก (พ.ศ.๑๙๘๙) เล่นการมหรสพฉลองพระ และพระราชทานสมณชีพราหมณ์ และวณพิ กทัง้ ปวง”๙๒ ๒. รัชกาลสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ หลักฐานพงศาวดารระบุไว้ว่า “ศักราช ๘๔๑ ปีกุน เอกศก (พ.ศ.๒๐๒๒) แรกสร้างพระวิหารวัดพระศรีสรรเพชญ์ สมเด็จพระรามาธิบดี แรกหล่อพระศรีสรร เพชญ์ในวนั อาทิตย์ เดอื น ๖ ขึน้ ๘ ค่า”๙๓ และ “ศักราช ๘๔๕ ปีเถาะเบญจศก (พ.ศ.๒๐๒๖) วันศุกร์เดือน ๘ ขึน้ ๑๑ คา่ ฉลองพระพุทธเจา้ พระศรสี รรเพชญ์”๙๔ ๓. รัชกาลสมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช หลักฐานพงศาวดารระบุไว้ว่า “สมเด็จพระ นเรศวรเป็นเจ้า เสด็จยกพยุหยาตราไปถึงพระพนมตรัด ให้ปิดทองพระมหาธาตุน้ันแล้ว ก็ถวายพระภูษา เป็นฉัตรธงบูชาพระมหาธาตุแล้วจึงยกทัพหลวงคืนมายังเมืองพิษณุโลก ถึงแล้วเสด็จเปล้ืองเคร่ืองทรงออก ถวายพระชนิ ราชเจ้า พระชนิ ศรีเจา้ ใหท้ าการสรรพสมโภชมีการมหรสพ ๓ วนั ”๙๕ ๔. รัชกาลสมเด็จพระเอกาทศรฐ หลักฐานพงศาวดารระบุไว้ว่า “พระบาทสมเด็จบรม บพติ รพระพทุ ธเจ้าอยู่หัว ให้รจนาพระพุทธปฏิมาเป็นพระพุทธรูปสนองพระองค์ห้า แล้วให้แต่งการสมโภช เลน่ มหรสพ ๗ วนั เปน็ มโหฬารยิ่งนกั ”๙๖ ๕. รัชกาลสมเด็จพระรามาธิบดีท่ี ๓ (สมเด็จพระนารายณ์) หลักฐานพงศาวดารระบุไว้ว่า “ประกอบด้วยศรัทธาให้สถาปนาพระพุทธปฏิมาห้ามสมุทรพระองค์หนึ่งหุ้มทอง และทรงอาภรณ์ประดับ ดว้ ยแหวนอนั มคี า่ ทรงพระนามสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ พระองค์สูง ๔ ศอกคืบมีเศษทั้งฐาน แล้วก็ทรง พระราชศรัทธาตรัสให้สถาปนาพระพุทธปฏิมาพระองค์หนึ่ง หล่อด้วยทองนพคุณทั้งแท่ง ทรงพระนาม สมเด็จบรมตรภี พนาถหา้ มสมุทร”๙๗ ๖. รัชกาลสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ หลักฐานพงศาวดารระบุไว้ว่า “ลุศักราช ๑๐๙๖ ปีขาลฉศก พระบาทสมเด็จพระบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่ จึงมีพระราชดารัสส่ังท้าวพระยามุขมนตรี ๙๑ พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบบั พันจันทนมุ าศ (เจมิ ), หนา้ ๕๔. ๙๒ เร่ืองเดียวกนั , หน้า ๕๔. ๙๓ เรอ่ื งเดียวกัน, หนา้ ๕๗. ๙๔ เรื่องเดยี วกนั , หนา้ ๕๗. ๙๕ เรอ่ื งเดียวกนั , หนา้ ๑๓๗. ๙๖ เรื่องเดยี วกนั , หน้า ๒๕๘-๒๕๙. ๙๗ เรื่องเดียวกนั , หนา้ ๓๐๓.
๑๐๘ ท้ังหลายว่า วัดปากโมกนั้นการท้ังปวงสาเร็จบริบูรณแล้ว ให้จัดแจงการฉลองและเคร่ืองสักการบูชาไว้ให้ พร้อมสรรพ คร้ันถึงวิสาขมาศศุกรปักษ์ดฤถีพิไชยฤกษ์ ก็เสด็จทรงเรือพระท่ีน่ังไกรสรมุขพิมาน อันอลังการ ดว้ ยเครอื่ งพระอภริ ุมรัตนฉัตรชุมสายบังแทรกสลอนสลับ ประดับด้วยเรือศีศะสัตวด้ังกันสรพอเนกนาวา”๙๘ และ “กรมหมน่ื จติ รสุนทรกราบทลู พระกรณุ าวา่ ช้างต้นพระบรมจักรพาฬหัตถีน้ันงายาวออก ให้จาเริญเข้า ไปเกอื บถึงไส้งาอยู่แล้ว เกรงจะล้มเสยี จึงดารสั วา่ เราจะเอาไปถวายพระพทุ ธบาทแล้วปลอ่ ยไปป่า” อนึง่ พงศาวดารกรุงศรีอยุธยา นอกจากจะมีรายละเอียดเก่ียวกับงานมงคลต่าง ๆ แล้ว ยัง มีหลักฐานระบถุ งึ งานประเภทอวมงคลด้วย งานอวมงคล หมายถึง งานเนื่อง หรือเกี่ยวกับเรื่องการตาย นิยมทากันอยู่ ๒ อย่าง คือ ทาบุญหนา้ ศพ ทเ่ี รยี กวา่ ทาบุญ ๗ วัน ๕๐ วัน ๑๐๐ วัน หรือทาบุญหน้าวันปลงศพอย่างหน่ึง ทาบุญอัฐิ หรือทาบุญปรารภการตายของบรรพบุรุษหรือผู้ใดผู้หน่ึง ในวันคล้ายกับวันตายของท่านผู้ล่วงลับไปแล้ว อยา่ งหนงึ่ ๙๙ ในสมัยกรุงศรีอยุธยา การจัดการพระศพให้ย่ิงใหญ่ถือเป็นการถวายพระเกียรติตาม ฐานานศุ กั ดิ์ พงศาวดารกรงุ ศรีอยุธยาจงึ บันทกึ เหตุการณก์ ารจัดการพระศพเจ้านายชั้นผู้ใหญ่ กระท่ังถึงองค์ พระมหากษัตริย์ไว้หลายแห่ง ซ่ึงมักจะมีจานวนพระสงฆ์ที่ได้รับอาราธนามาประกอบพิธีมาเก่ียวข้องเสมอ กลา่ วคอื การนิมนตพ์ ระมารว่ มพธิ ีได้มากเท่าใด ถือว่าเป็นเกียรติแก่งานมากเท่าน้ัน นอกจากนี้ ยังนิยมให้มี การเลน่ มหรสพในพธิ ดี ว้ ย ดงั ตัวอย่างพธิ ีศพในรชั กาลตา่ ง ๆ คดั มาเปน็ ตัวอยา่ งดงั ตอ่ ไปนี้ ๑. การพระบรมศพในสมเด็จพระสรรเพ็ชญ์ที่ ๕ (พระเจ้าปราสาททอง) พงศาวดาร บันทึกไว้ว่า “นิมนต์พระสงฆ์สบสังวาส ๑๐,๐๐๐ ถวายทักษิณาทานบูชาพระสงฆ์ทั้งปวงโดยบุราณราช ประเวณีพระมหากษัตราธิราชเจ้าแต่ก่อน จึงพระบาทสมเด็จพระบรมพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว ก็ถวายพระ เพลิงแล้วให้รับพระอัฐิธาตุเข้ามาไว้ ณ วัดพระศรีสรรเพชญ์ นิมนต์พระสงฆ์สดับปกรณ์แล้วก็บรรจุอัฐิ ธาตุ”๑๐๐ ๒. การพระบรมศพในสมเด็จพระมหาบุรุษ (สมเด็จพระเพทราชา) พงศาวดารบันทึกไว้ ว่า “มเี คร่ืองเล่นสมโภชพร้อมท้ัง ๗ วนั ๗ คืน พระสงฆส์ ดับปกรณ์เสร็จ ถวายพระเพลิงแล้วอัญเชิญพระอัฐิ เข้าสูพ่ ระโกศ เชญิ มาไวโ้ ดยที่อนั สมควร จึงแห่พระองั คารไปลอยยังกระแสอุทกธารา”๑๐๑ ๓. การพระบรมศพในสมเด็จพระเจ้าเสือ พงศาวดารบันทึกไว้ว่า “ครั้น ณ วันพฤหัสบดี ปฉี ลู ศักราช ๑๐๖๘ (พ.ศ.๒๒๔๙) ให้เชิญพระบรมโกศสข้ึนบนพระมหาพิชัยราชรถแล้ว เสนอพฤฒามาตย์ ราชปโุ รหิตสพั่งพร้อมแห่แหนพระบรมศพ ไปตามรถยาราชวัติเข้าสู่พระเมรุมาศให้ท้ิงทานต้นกัลปพฤกษ์ มี การมหรสพ พระสงฆ์สดับปกรณ์ ๑๐,๐๐๐ คารบ ๓ วัน แล้วถวายพระเพลิง คร้ันดับพระเพลิงแล้ว จึง นิมนต์พระสงฆส์ ดบั ปกรณ์อีก ๑๐๐ รปู เก็บพระอฐั ใิ สพ่ ระโกศน้อย แหแ่ หนไปบรรจไุ ว้ท้ายจระนาพระวิหาร ใหญ่วัดพระศรีสรรเพชญ์ และพระมณฑปพระพุทธบาท ปิดทองประดับกระจกฝาผนังแล้ว เสด็จพระราช ๙๘ พระราชพงศาวดารกรุงศรอี ยุธยา ฉบับพระราชหตั ถเลขา เล่ม ๒, หนา้ ๒๒๐. ๙๙ องค์การศึกษา, ศาสนพธิ เี ล่ม ๑, หนา้ ๔๐. ๑๐๐ พระราชพงศาวดารกรงุ ศรีอยธุ ยา ฉบับพันจนั ทนมุ าศ (เจมิ ), หนา้ ๒๙๒. ๑๐๑ เร่อื งเดยี วกนั , หน้า ๓๑๙.
๑๐๙ ดาเนินข้ึนไปฉลองสมโภชพระพุทธบาท ๗ วัน พระสงฆ์ฉัน ๕๐๐ รูป ถวายจีวรองค์ละผืน และเครื่อง ไทยทานทุกรูป”๑๐๒ ๔. การพระศพสมเดจ็ พระอัยกเี จา้ กรมพระเทพามาตย์ พงศาวดารบันทึกไว้ว่า “และ ณ ปีเถาะ สมเด็จพระอัยกีเจ้า กรมพระเทพามาตย์เสด็จนิพพาน จ่ึงมีพระราชโองการดารัสเหนือเกล้า ฯ สั่ง อัครมหาเสนาธิบดี ให้ทาพระเมรุมาศถวายพระเพลิง พระสงฆ์สดับปกรณ์ ๑๐,๐๐๐ ตามอย่างทุกคร้ัง แล้ว”๑๐๓ ๕. การพระศพเจ้ากรมหลวงโยธาทิพย์ พงศาวดารบันทึกไว้ว่า “เจ้ากรมหลวงโยธาทิพ เสด็จนิพพาน ทรงพระกรุณาดารัสเหนือเกล้าเหนือกระหม่อม ให้ทาพระเมรุมาศหน้าพระศพ ข่ือ ๕ วา ๒ ศอก คร้ันทาการพระเมรุมาศสาเร็จแล้ว ให้เชิญพระศพข้ึนบนพระมหาวิชัยราชรถ แห่แหนไปด้วยดุริยาง คดนตรีแตรสังข์ฆ้องกลองไปยังพระเมรุมาศ และท้ิงทานต้นกัลปพฤกษ์ และให้เล่นการมหรสพ พระสงฆ์ สดับปกรณ์ ๑๐,๐๐๐ คารบ ๓ วัน แล้วถวายพระเพลิง คร้ันดับพระเพลิงแล้ว แจงพระรูป พระสงฆ์ สดับปกรณ์อีก ๑๐๐ รูป เก็บพระอัฐิใส่พระโกศน้อย แห่เข้ามาบรรจุไว้ท้ายาจระนา ณ พระวิหารใหญ่วัด พระศรสี รรเพชญ์”๑๐๔ ๖. การพระศพสมเด็จเจ้าฟ้าอภัย พงศาวดารบันทึกไว้ว่า “ทรงพระกรุณาตรัสส่ังให้ทา พระเมรุมาศขนาดน้อย ขื่อ ๕ วา ๒ ศอก พระสงฆ์สดับปกรณ์ ๑๐,๐๐๐ ให้ลดเสียเอาแต่ ๕,๐๐๐ ให้จับ การทาพระเมรุ ๑๐ เดอื นจงึ สาเร็จ คร้ันเดือน ๔ ปีฉลู จึงได้เชิญพระบรมศพออกไปถวายพระเพลิง ณ พระ เมรุแล้ว ทรงพระกรุณาตรัสว่า ทาบุญน้อยนัก ไม่สบายพระทัย ให้นิมนต์พระสงฆ์ขึ้นอีก ๑,๐๐๐ เป็น ๖,๐๐๐ สดับปกรณ์ ๓ วันแล้วถวายพระเพลิง แล้วดับพระเพลิงเก็บพระอัฐิธาตุใส่พระโกศน้อย แห่เข้ามา บรรจไุ วท้ ้ายจระนาวัดพระศรสี รรเพชญ์”๑๐๕ ๗. การพระบรมศพสมเด็จพระเพทราชา พงศาวดารบันทึกไว้ว่า “คร้ัน ณ เดือน ๕ ปี มะเมียสัมฤทธ์ิศก ศักราช ๑๑๐๐ (พ.ศ.๒๒๘๑) ทาพระเมรุแล้ว เชิญพระศพขึ้นมหาพิชัยราชรถ แห่แหน เปน็ กระบวนเขา้ ไปในพระเมรุ พระสงฆ์สดับปกรณ์ ๑๐,๐๐๐ คารบ ๓ วัน ถวายพระเพลิงแล้ว เก็บพระอัฐิ ใสพ่ ระโกศนอ้ ย แห่แหนเข้าไปบรรจไุ ว้ทา้ ยจระนาพระวิหารใหญ่วดั ศรสี รรเพชญ์”๑๐๖ อน่ึง จากบันทึกของนิโกลาส์ แซรแวส ความตอนหนึ่งระบุไว้ว่า “ในศาสนาของชนชาว สยามน้นั ไมม่ พี ธิ ีการใดทจี่ ะกระทากนั อย่างมโหฬารและมพี ิธรี ตี องมากเทา่ กบั การทาศพ” ๑๐๗ ซึ่งสะท้อนให้ ๑๐๒ พระราชพงศาวดารกรงุ ศรีอยธุ ยา ฉบบั พันจันทนมุ าศ (เจมิ ), หน้า ๓๔๗. ๑๐๓ เรือ่ งเดยี วกนั , หนา้ ๓๔๘. ๑๐๔ เรื่องเดียวกัน, หนา้ ๓๕๑. ๑๐๕ เรือ่ งเดยี วกัน, หน้า ๓๕๖-๓๕๗. ๑๐๖ เร่อื งเดยี วกนั , หน้า ๓๔๓. ๑๐๗ นิโกลาส์ แซรแวส, ประวัติศาสตร์ธรรมชาติและการเมืองแห่งราชอาณาจักรสยาม,อ้างแล้ว, หน้า ๑๗๙.
๑๑๐ เห็นถึงการจัดพิธีศพในสมัยกรุงศรีอยุธยาว่ามีความพิธีรีตองมากและนิยมทากันอย่างยิ่งใหญ่กว่าพิ ธีการอ่ืน ๆ ดงั ตัวอยา่ งที่กล่าวมาแลว้ ๓.๓.๓ ทานพิธี พิธีถวายทานต่าง ๆ เรยี กว่า ทานพธิ ี พงศาวดารกรุงศรีอยุธยา พบการถวายทานอยู่ท่ัวไป บางเร่ืองเก่ียวกับกับการบาเพ็ญกุศลใน สว่ นอน่ื ๆ แล้ว จึงไมไ่ ด้ประมวลมาไว้ทน่ี ี้ การถวายทานในทน่ี ้ี แม้ต้ังใจจะคัดเฉพาะส่วนทานเป็นการเฉพาะ แต่ถึงกระน้ันก็ยังคงมีการเสริมในส่วนอื่นด้วย เช่น ตัวอย่างในรัชกาลสมเด็จพระมหาจักรดิราชาธิราช มี ข้อความบันทึกไว้ว่า “อนึ่งในเดือน ๕ นั้น สมเด็จพระมหาจักรพรรดิราชาธิราช พระราชทานสตสดกมหา ทาน”๑๐๘ และในรัชกาลสมเด็จพระสรรเพ็ชญ์ท่ี ๕ (พระเจ้าปราสาททอง) ก็มีข้อความบันทึกไว้ว่า “ใน ลาดับเดือนน้ัน สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบริจาคทรัพย์และราชพาหนะ กระทาสัตสดกมหาทานแก่พราหมณ์ ทวิชาติ และยาจกวณิพกท้ังปวง...และแต่งการออกสนาม มีมหรสพสมโภชตรีวาร เป็นมโหฬาราธิการย่ิง นกั ”๑๐๙ อนึ่ง บันทึกคาให้การชาวกรุงเก่า ได้ประมวลการใช้พระราชทรัพย์ของพระเจ้ากรุงศรีอยุธยา เพอ่ื การตา่ ง ๆ และในจานวนน้นั มีเรื่องค่าใชจ้ ่ายเพื่อการบรจิ าคทานตา่ ง ๆ ดังนี้ ๑. พระราชทานนิตยภัต และอาหารบณิ ฑบาตแกพ่ ระภกิ ษสุ งฆเ์ ปน็ เงิน ๑๐๐ ช่ัง ๒. ในการสมโภชพระพุทธบาท เม่ือเสด็จขึ้นไปนมัสการคราวหนึ่ง พระราชทานอาหาร บิณฑบาตเลี้ยงพระสงฆ์เป็นเงนิ จานวน ๑๒ ช่ัง รวม ๗๕ ชั่ง …………………………………………………………………….. ๔. พระราชทานผา้ พระกฐินปีหนง่ึ เปน็ เงิน ๑๐๐ ช่ัง ๕. พระราชทานคา่ ขา้ วสารเล้ียงพระทุกวดั รวมปีละ ๑๐๐ ชั่ง ……………………………………………………………………… ๙. พระราชทานเป็นเงินอุทิศในการปฏิสงั ขรณพ์ ระพุทธบาทปีละ ๑๐๐ ชัง่ รวมพระราชทรัพย์ท่ี พระราชทานในพระราชกศุ ลปลี ะ ๖๑๙ ชง่ั ๑๑๐ ๓.๓.๔ ปกณิ ณกะ ๓.๓.๔.๑ การส่งพระบรมสารกิ ธาตุมาถวายในราชอาณาจกั รไทย ในพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา มีหลักฐานระบุถึงการส่งพระบรมสาริกธาตุเข้ามาใน ราชอาณาจักรไทย ในรัชสมัยของพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ (พ.ศ. ๒๒๙๖) ดังหลักฐานระบุว่า “ลุศักราช ๑๑๑๕ ปรี กาเบญจศก ฝ่ายพระเจ้ากติ ตศิ ิริราชสีห์ไดเ้ สวยสมบัตใิ นเมืองสิงขัณฑนคร เป็นอิศราธิบดีในลังกา ทวีป และครั้งนั้นพระพุทธศาสนาในเกาะลังกาหาพระภิกษุสงฆ์มิได้ จึงแต่งให้ศิริวัฒนอามาตย์เป็นราชทูต ๑๐๘ พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยธุ ยา ฉบับพันจันทนมุ าศ (เจมิ ), หน้า ๗๗. ๑๐๙ เรอ่ื งเดียวกนั , หนา้ ๒๘๐. ๑๑๐ พระราชพงศาวดารกรงุ ศรอี ยธุ ยา คาใหก้ ารชาวกรุงเก่า, หนา้ ๖๗๘.
๑๑๑ กับอุปทูตตรีทูตจาทูลพระราชสาสน คุมเครื่องมงคลราชบรรณาการมีพระบรมสาริกธาตุเป็นอาทิ มากับ กาป่ันลนั ขาพิชวลิ นั ดา เข้ามาเจริญทางพระราชไมตรี ณ กรงุ เทพมหานคร”๑๑๑ ๓.๓.๔.๒ การแสดงปาฏิหาริยข์ องพระบรมสารีริกธาตุ ความเชือ่ เร่ืองการแสดงปาฏิหารยิ ์ของพระบรมสารรี ิกธาตุแม้จะเป็นเรื่องเฉพาะบุคคล แต่ ก็เห็นว่า มีบันทึกไว้หลายครั้ง และหลายรัชกาล สืบเนื่องมาไม่ขาดสาย มากบ้างน้อยคร้ังบ้าง การแสดง ปาฏิหาริย์ให้เห็นก็มีนัยสาคัญ และส่งผลในเชิงบวกตามมาอีกหลายประการ ดังรายละเอียดรายละเอียด ปรากฏในแต่ละรชั กาล ดังนี้ ๑. รัชกาลสมเด็จพระราเมศวร พงศาวดารบันทึกไว้ว่า ขณะเสด็จออกทรงศีลยังพระท่ี น่งั มังคลาภิเศก เวลา ๑๐ ทุ่ม ไดท้ อดพระเนตรเห็นพระบรมสารรี กิ ธาตุเสด็จผ่านทางด้านทิศตะวนั ออก๑๑๒ ๒. รัชกาลสมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช พระบรมสารีริกธาตุเสด็จแสดงปาฏิหาริย์ มี บันทึกไว้ในพระราชพงศาวดาร ๓ คร้ัง คร้ังแรก สมเด็จพระนเรศวรทอดพระเนตรเห็นปาฏิหาริย์พระบรม สารรี ิกธาตุเสดจ็ ทางดา้ นทศิ ตะวันออกผ่านพระคชาธารไปทางประตูแสน๑๑๓ คร้ังท่ี ๒ วันศุกร์เดือน ๖ แรม ๓ ค่า เพลา ๑๑ ทุ่ม ให้เอาพระคชาธารมาเทียบ สมเด็จพระนเรศวรก็ทรงทอดพระเนตรเห็นพระบรม สารีริกธาตุเสด็จผ่านมาแต่ทิศประจิมผ่านคชาธารไปทางบุรพทิศ๑๑๔ และคร้ังท่ี ๓ วันพฤหัสบดี เดือน ๘ แรม ๖ ค่า เพลายัง ๒ บาท ใกล้รุ่ง สมเดจ็ พระนเรศวรให้เรียกช้างพระท่ีนั่งประทับเกย เห็นพระสารีริกธาตุ เสด็จปาฏหิ ารยิ แ์ ต่ตะวนั ตกผา่ นชา้ งพระที่นัง่ มาตะวันออกโดยทางท่ีเสด็จมานนั้ เท่าผลมะพรา้ วปอก๑๑๕ อนึง่ ยามเสด็จยาตราทัพ หากมีปาฏิหาริย์พระบรมสารีริกธาตุปรากฏให้เห็นเช่นนี้ถือเป็น สริ ิมงคล จะนามาซึง่ ชัยเหนอื ข้าศึก ทกุ คร้ังทีป่ รากฏปาฏิหารยิ ์ จงึ นามาซ่ึงความยนิ ดที ว่ั หนา้ ๓. รัชกาลสมเด็จพระนเรศวรมหาราช มีบันทึกไว้ในพระราชพงศาวดาร ๒ คร้ัง คร้ังแรก ทรงทอดพระเนตรเห็นพระบรมสารีริกธาตุขนาดเท่าผลส้มเกล้ียงเสด็จผ่านมาทางทิศทักษิณเวียนเป็น ทักขิณาวฏั แลว้ กเ็ สดจ็ ผ่านไปทางด้านทิศอุดร๑๑๖ ครั้งหลัง เพลา ๓ ยาม ๗ บาท พระบรมสารีริกธาตุขนาด เท่าผลส้มเกลี้ยงเสด็จผ่านด้านตะดาวศรีมาแต่ทิศอุดรไปเฉียงอาคเนย์ พระรัศมีสว่างวาบไปท้ังอากาศและ ปฐพี๑๑๗ ๔. รัชกาลสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๒ (สมเด็จพระเชษฐาธิราช) พระราชพงศาวดาร บันทึกไว้ว่า “เจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์ รวบรวมกาลังพลยึดราชบัลลังก์จากพระเชษฐาธิราช ก่อน ดาเนินการได้ตั้งจิตอธิษฐาน “ข้าพเจ้าปรารถนาพระโพธิญาณ ถ้าจะเสร็จแก่พระพุทธสมบัติเป็นแท้ จะยก ๑๑๑ พระราชพงษาวดาร ฉบับพระราชหัตถเลขา ภาค ๒, หนา้ ๒๓๙. ๑๑๒ พระราชพงศาวดารกรงุ ศรีอยุธยา ฉบบั พันจนั ทนมุ าศ (เจิม), หน้า ๔๗. ๑๑๓ เรอ่ื งเดยี วกัน, หน้า ๘๐. ๑๑๔ เรอ่ื งเดียวกัน, หน้า ๑๔๔. ๑๑๕ เรือ่ งเดยี วกัน, หนา้ ๑๔๙. ๑๑๖ เรื่องเดียวกนั , หน้า ๑๗๔. ๑๑๗ เรอ่ื งเดียวกัน, หน้า ๒๐๙.
๑๑๒ เข้าไปล้างผู้อสัตย์ขอให้สาเร็จดังปรารถนา เสร็จอธิษฐานแล้ว เวลาพลบค่า จึงมาตั้งชุมพลอยู่ ณ วัดสุทธา วาศ ครั้นเพลา ๘ ทมุ่ น่งั คอยฤกษพ์ ร้อมกัน เห็นพระสารีริกธาตุเสด็จมาแต่ปัจจิมผ่านไปทางปราจีน ได้นิมิต มหามงคลฤกษ์อันประเสริฐ ก็ยกพลมาเข้าทางประตูมงคลสุนทร ให้ทหารเอาขวานฟันประตูเข้าไปได้ด้วย เดชะกฤษดาพินหิ ารใหญ่”๑๑๘ ๓.๓.๔.๓ คตคิ วามเชอื่ คติความเช่ือ นับเป็นเร่ืองสาคัญเรื่องหนึ่ง แม้บางเรื่องจะไม่เก่ียวข้องกับพระพุทธศาสนา โดยตรง แต่ก็เห็นความควรประมวลไว้ เพ่ือประโยชน์ในการวิเคราะห์รายละเอียดบางเร่ือง บางประเด็นท่ี เกย่ี วขอ้ ง ไม่ว่าโดยตรง หรอื โดยออ้ ม หลักฐานแสดงคติความเช่ือปรากฏอยู่ในพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา มีหลายลักษณะ พจิ ารณาตัวอย่างตอ่ ไปน้ี ๑ “ศักราช ๗๘๓ ปีฉลูตรีนิศก สมเด็จพระบรมราชาธิราชเจ้า เสด็จไปเอาเมืองพระนคร หลวงได้ ท่านจงึ ให้เอาพระยาแกว้ พระยาไทยแลครวั กับท้ังรูปพระโค รูปสิงห์สัตว์ทั้งปวงมาด้วย ครั้นถึงพระ นครศรี อยทุ ธยา จงึ ให้เรารูปสัตวท์ ัง้ ปวงไปบูชาไว้ ณ วัดพระศรีรัตนมหาธาตุบ้าง ไปไว้วัดพระศรีสรรเพชญ์ บา้ ง”๑๑๙ ๒ “ศักราช ๗๘๖ ปมี ะโรงฉอศก (พ.ศ.๑๙๖๗) สมเด็จพระราเมศวรผู้เป็นพระราชกุมารท่าน เสด็จไปเมืองพิษณโุ ลก ครงั้ น้ันเหน็ นา้ พระเนตรพระพุทธชนิ ราชตกออกเป็นโลหติ ”๑๒๐ ๓ “ขุนพิเรนทรเทพ ขนุ อนิ ทรเทพ หมื่นราชเสนห่ า และหลวงศรียศ คิดว่า เราคิดการทั้งปวง น้ีเป็นการใหญ่หลวงนัก จาจะไปอธิษฐานเส่ียงเทียนจาเพาะพระพักตร์พระพุทธเจ้าพระพุทธปฏิมากร ขอ เอาพระพุทธคุณเป็นท่ีพานักให้ประจักษ์แจ้งว่า พระเทียรราชากอบด้วยบุญบารมี จะเป็นท่ีศาสนูปถัมภก ปกปอ้ งอาณาประชา ราษฎร์ได้หรือมไิ ด้ประการใดจะไดแ้ จง้ ”๑๒๑ ๔ “สมเด็จพระนเรศวร ทรงพระกรุณาให้ชาวพ่อชุมนุมพราหมณาจารย์ เอาน้าในบ่อพระ สยมภูวนาถ และเอาน้าตระพังโพยศรีมาต้ังบูชาโดยพิธีกรรมเป็นน้าสัตยาธิษฐาน และเอาพระศรีรัตนตรัย เจา้ เป็นประธาน ให้ทา้ วพระยาเสนาบดีมนตรมี ขุ อามาตย์ทหารทั้งหลายกินนา้ สัตยา”๑๒๒ ๕ ๑๑๘ พระราชพงศาวดารกรุงศรอี ยธุ ยา ฉบับพันจนั ทนมุ าศ (เจิม), หน้า ๒๖๗. ๑๑๙ พระราชพงษาวดารฉบับพระราชหตั ถเลขา ภาค ๑, หนา้ ๙. ๑๒๐ พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม), หน้า ๕๒. ๑๒๑ เรือ่ งเดยี วกนั , หนา้ ๖๗. ๑๒๒ เร่ืองเดียวกัน, หนา้ ๑๔๗.
๑๑๓ “เจ้าเชียงใหม่และท้าวพระยาลาวท้ังปวง กระทาสัตย์ปฏิญาณถือน้าพระพิพัฒน์ต่อพระ เจ้าเชียงใหม่ ๆ ก็ถวายสตั ย์ต่อสมเด็จพระพุทธเจา้ อยู่หวั จาเพาะพระพักตรพระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า และ พระสงฆเ์ จา้ ”๑๒๓ ๖ “ลุศักราช ๙๙๗ ปีกุนศก (พ.ศ.๒๑๗๘) สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวเสด็จไปพระราชทาน เพลิงศพพระเจ้าลูกเธอฝ่ายใน ณ วัดชัยวัฒนาราม ได้เนื้อในท้องเผาไม่ไหม้สงสัยว่าต้องคุณ ครั้งน้ัน ประชาราษฎร์ลือกันว่า จะให้ค้นตารับตาราที่หมอผู้เฒ่าผู้แก่ ต่างคนกลัวความคิด บรรดามีตารับความรู่ วชิ าการก็ทิ้งน้าเสยี ส้นิ ”๑๒๔ ๗ “โหรทานายว่าจะเกดิ ไฟไหมพ้ ระราชวัง จึงมิได้วางพระทัย ให้ขนของในพระราชวังออกไป อยูว่ ดั ชยั วัฒนาราม---เกิดฟ้าผ่าลงที่เหมพระมหาปราสาทเพลงิ ลุกไหม้ถงึ ๑๑๐ หลงั คาเรอื น”๑๒๕ ๘ “ชาวจีนฮ่อยกรี้พลมาจะล้อมเอาเมืองเชียงใหม่ และพระยาแสนหลวง และชาวเมือง เชยี งใหมท่ ้งั ปวงหาทีพ่ ่ึงพานักไมไ่ ด้ จงึ เสยี่ งทายในพระอารามพระพุทธสิหิงค์ซ่ึงอยู่ ณ เมืองเชียงใหม่น้ัน ว่า ถา้ ประเทศใดจะเป็นที่พ่ึงพานักได้ไซร้ ขอพระพุทธเจ้าสาแดงให้เห็นประจักษ์ และพระพุทธสิหิงค์น้ันก็บ่าย พระพักตรม์ ายงั กรุงเทพพระมหานคร”๑๒๖ จากคติความเช่ือดังกล่าวข้างต้นสรุปได้ว่า ในสมัยกรุงศรีอยุธยา สังคมมีความเช่ือ หลากหลาย มีท้ังที่อิงพระพุทธศาสนา มีทั้งที่อิงศาสนาพราหมณ์ ตลอดคติความเช่ือพ้ืนถิ่นท่ีมีมาแต่เดิม เช่น คติความเช่ือเรื่องการบูชารูปเคารพอ่ืน เช่น โค สิงห์ เป็นต้น, คติความเช่ือเรื่องโชคลาง เช่น การเห็น น้าพระเนตรพระพุทธชินราชไหลออกมาเป็นเลือด การใช้พระพุทธปฏิมาเสี่ยงทาย, การอ้างพระรัตนตรัย เปน็ เป็นสักขพี ยานในพธิ ถี ือน้าพิพัฒน์สตั ยา, ความเช่อื เร่ืองคุณไสย และคาทานายทายทัก เปน็ ต้น ๓.๔ บทบาทและความสมั พนั ธด์ า้ นศาสนสถาน วัดในพระพุทธศาสนาสมัยกรุงศรีอยุธยา ได้ถูกนาไปใช้เพื่อประโยชน์ทางบ้านเมืองในลักษณะ ต่าง ๆ นอกเหนือจากการบาเพ็ญกุศลท่ัวไป รายละเอียดในพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา มีบันทึกไว้หลาย ลักษณะ เช่น ใช้เปน็ สถานทสี่ าหรบั ประหารชวี ิตนักโทษการเมือง ผ้ทู ีค่ ิดกบฏ คิดลบล้างราชบัลลังก์ คิดต้ัง ตวั เปน็ ศตั รู หรอื อยู่ฝา่ ยตรงขา้ มซึ่งอาจจะเป็นภยั ในภาคหนา้ ๓.๔.๑ ใช้เป็นสถานทปี่ ระหารชวี ติ ๑๒๓ พระราชพงศาวดารกรุงศรอี ยธุ ยา ฉบบั พันจันทนมุ าศ (เจมิ ), หน้า ๒๔๐. ๑๒๔ เรื่องเดยี วกัน, หนา้ ๒๗๖. ๑๒๕ เรื่องเดียวกัน, หนา้ ๒๘๒. ๑๒๖ เร่ืองเดยี วกัน, หน้า ๓๐๖.
๑๑๔ ธรรมเนียมการประหารชวี ติ หรือสาเร็จโทษเชื้อพระวงศ์ หรือเจ้านายชั้นผู้ใหญ่ หลักฐานที่ พบในพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาส่วนใหญ่ มักใช้สถานท่ีวัดดาเนินการ โดยใช้วิธีใส่กระสอบสีแดงมัดปากไว้ จากน้นั ก็ใช้ทอ่ นจนั ทน์ทบุ จนกวา่ จะส้ินพระชนม์ ในพงศาวดารมรี ายนามวดั ระบดุ ังนี้ (๑) วัดโคกพระยา หลักฐานระบุว่าถูกใช้เป็นท่ีประหารชีวิตพระยอดฟ้า (รัชกาลของขุน วงศาธิราช), พระพันปีศรีสนิ (รชั กาลสมเดจ็ พระบรมราชาท่ี ๒), ตรัสน้อย (รัชกาลสมเดจ็ พระสรรเพช็ ที่ ๘) (๒) วดั แร้ง หลักฐานระบุว่าถูกใช้เป็นสถานที่ประหารชีวิตขุนวรวงศาธิราชกับแม่อยู่หัวศรี สุดาจันทร์ (๓) วัดพระราม หลักฐานระบุว่าถูกใช้เป็นสถานที่ประหารชีวิตพระเจ้าลูกเธอพระศรี เสาวราช (รัชกาลสมเด็จพระมหนิ ทราธิราช) ๓.๔.๒ ใชเ้ ปน็ สถานทต่ี งั้ ฐานทพั ในยามสงคราม ในยามสงคราม วัดหลายวัดถูกใช้เป็นสถานท่ีตั้งทัพ ท้ังฝ่ายไทยและฝ่ายพม่า ดังปรากฏ หลกั ฐานต่อไปนี้ (๑) ในรชั กาลสมเด็จพระมหาจกั รพรรดิราชาธริ าช พระเจ้าหงสาวดีได้รับส่ังให้มหาอุปราช พระเจา้ แปร พระเจ้าอังวะ พระยาจติ ตอง พระยาละเคิ่งเกยี กกาย ตง้ั ทพั ตามวดั ตา่ ง ๆ เช่น วัดโพธาราม วัด พุทไธสวรรค์ วดั การอ้ ง วดั ชยั วัฒนาราม วดั มเหยงค์ สว่ นทัพหลวงนน้ั ทรงให้ต้งั ทพั ท่วี ดั มเหยงค์ (๒) ในรชั กาลสมเด็จพระมหินราธิราช พระเจ้าหงสาวดีให้มหาอุปราชไปตั้งค่ายบริเวณวัด เขาดิน วดั สะพานเกลือ และวดั จนั ทร์ (๓) ในรัชการสมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช สมเด็จพระนเรศวร เม่ือครั้งดารงพระ อิสรยิ ยศเปน็ พระมหาอุปราช ก็รับสัง่ ให้ต้งั ทัพพกั แรมทใ่ี กลอ้ ารามของพระมหาเถรคนั ฉอ่ ง ๓.๔.๓ การใช้วดั ,พระศาสนาเปน็ ที่หลบภัยการเมือง วดั ถือเป็นเขตอภัยทาน ผ้ากาสาวพัตร์ถือเป็นธงชัยแห่งพระอรหันต์ คติความเชื่อดังกล่าว นี้มีอิทธิพลต่อสังคมพอสมควร ยามเกิดปัญหาข้อขัดข้อง หรือขัดแย้ง ซึ่งจะนามาซ่ึงความไม่สงบสุขใน บา้ นเมอื ง วิธีหน่ึงทน่ี ยิ มทาก็คือการหันหน้าพ่งึ วดั หรือพระศาสนา ร่องรอยการใช้วัด ผ้ากาสาวพัตร์ หรือพระศาสนาเพื่อหลบภัยพบเห็นอยู่ท่ัวไปใน พงศาวดารกรุงศรีอยุธยา เช่น พระเทียรราชาออกผนวช เนื่องจากทรงเห็นว่า พระองค์ก็เป็นเช้ือพระวงศ์ผู้ หนึ่ง หากอยู่ในพระราชวังต่อไป เกรงจะเป็นที่หวาดระแวง และเป็นภัยอันตรายต่อชีวิต๑๒๗, พ.ศ. ๒๐๙๗ เดือน ๘ ปีขาล ฉอศก สมเด็จพระมหาจักรพรรดิราชาธิราช เสด็จออกผนวช มีข้าราชออกผนวชตามเป็น จานวนมาก ต่อมาทรงลาผนวชขน้ึ ครองราชยส์ มบตั เิ ป็นครั้งที่ ๒๑๒๘, พระยาสวรรคโลกหนรี าชภยั ไปหลบอยู่ ๑๒๗ พระราชพงศาวดารกรุงศรอี ยุธยา ฉบบั พันจนั ทนมุ าศ (เจมิ ), หนา้ ๖๓ ๑๒๘ มูลนธิ สิ มเดจ็ พระเทพรัตนราชสดุ า, นามานุกรมพระมหากษัตริย์ไทย, (กรุงเทพฯ: มูลนิธิสมเด็จพระเทพ รัตนราชสุดา, ๒๕๔๔), หน้า ๑๑๔.
๑๑๕ ในกุฏิพระสงฆ์วัดไผ่ใต้ ต่อมาถูกตามไปจับตัวมาได้ และถูกประหารชีวิต, พระศรีสิน ผนวชอยู่ท่ีวัดระฆัง กระท่ังได้เป็นพระราชาคณะชั้นธรรม แต่ก็ยึดอานาจจากสมเด็จพระศรีเสาวภาค สถาปนาตนเองเป็นพระ เจา้ ทรงธรรม๑๒๙ เจ้ากรมเสนาพิทักษ์ลอบสังหารกรมขุนสุเรนทรพิทักษ์ไม่สาเร็จ จึงหนีไปบวช ต่อมาได้รับ พระราชทานอภัยโทษ, พระยาพไิ ชยราชา (เสม) และพระยายมราช (พูน) หนีไปบวชท่ีแขวงเมืองสุพรรณบุรี แต่ก็สุดท้ายก็ถูกมหาอุปราชใช้ให้คนไปลอบฆ่าเสีย๑๓๐, มีพระราชโองการให้กรมขุนอนุรักษ์มนตรีไปผนวช เนื่องจากทรงเกรงว่าจะเกิดความขัดแย้งภายในบ้านเมือง๑๓๑, กรมพระราชวังบวรจาต้องสละราชสมบัติให้ พระเชษฐาธิราช และออกผนวชเพื่อให้พ้นทาง และเกรงว่าจะเป็นภัย แต่คร้ันบ้างเมืองมีศึกสงคราม ก็ถูก วิงวอนให้ลาผนวชมาช่วยรบ เม่ือรบชนะแล้ว ได้เข้าเฝ้าพระเชษฐา เห็นท่าทีไม่เป็นมิตร ยังคิดหวาดระแวง อยู่ จึงได้ลาผนวชอีกครงั้ ๑๓๒ ๓.๕ สรปุ และวิจารณ์ บทบาทและความสัมพันธ์ของพระพุทธศาสนาต่อสังคมในสมัยกรุงศรีอยุธยาเท่าที่ปรากฏอยู่ใน พงศาวดาร ส่วนใหญ่เป็นเร่ืองบทบาท และความสัมพันธ์ท่ีมีต่อสถาบันชาติ และพระมหากษัตริย์ ท้ังน้ีเป็น เพราะพงศาวดารน้ันจะบันทึกเฉพาะเรื่องราวที่เป็นของชาติบ้านเมือง ซึ่งมีพระมหากษัตริย์เป็น “ตัวเอก” ของเรอื่ ง การใด ๆ ทเี่ ปน็ เร่อื งบทบาท หรือความสัมพันธ์ของพระพุทธศาสนาท่ีมีต่อสังคม หรือท่ีสังคมมีต่อ พระพุทธศาสนาจงึ อิงสถาบนั ชาติ และพระมหากษตั ริย์ พระพุทธศาสนามีบาทบาท และความสัมพันธ์ต่อสถาบันชาติ และพระมหากษัตริย์อย่างแน่น แฟน้ นับต้งั แตก่ ารสถาปนาสมณศกั ด์ิ การทานบุ ารุงพระพุทธศาสนาด้านต่าง ๆ พระมหากษัตริย์ทรงอยู่ใน ฐานะเป็นเอกอัครศาสนูปถัมภ์ ขณะเดียวกัน เหตุการณ์สาคัญต่าง ๆ ในชาติบ้านเมือง หรือสถานบัน พระมหากษัตริย์ พระสงฆ์ก็ได้เข้าไปมีบทบาทสาคัญ เช่นการสถาปนาพระมหากษัตริย์ การระงับความ ขดั แย้ง การชว่ ยเหลอื บ้านเมอื งในยามขับขัน หรอื ในยามศกึ สงคราม เปน็ ต้น บทบาทและความสัมพันธ์ดังกล่าวน้ี แม้จะเอากรอบด้านศาสนธรรม ศาสนาบุคคล ศาสนพิธี และศาสนวตั ถมุ าวเิ คราะห์ ก็ยังสามารถเชือ่ มโยงให้เหน็ ไดว้ ่า แมบ้ นพน้ื ฐานของความสัมพันธ์ท่ีผูกโยงอยู่กับ สถาบันชาติ และพระมหากษัตริย์เป็นหลัก แต่ในรายละเอียด ก็พบร่องรอยของศาสนธรรม ศาสนบุคคล ศาสนพธิ ี และศาสนวตั ถใุ นความสัมพนั ธด์ งั กล่าวดว้ ย ด้านศาสนธรรม พบมีงานวรรณกรรมที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนา มีการสร้างพระไตรปิฎก อรรถกถา คัณฐี และวิวรณ์ มีบทนิพนธ์เก่ียวกับพระพุทธศาสนาใหม่ ๆ เกิดขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยา ที่รู้จัก กันอย่างแพร่หลาย เช่น มหาชาติคาหลวง, พระมาลัยคาหลวง,ราโชวาทชาดก เป็นต้น นอกจากน้ียังพบว่า มีการศึกษาทั้งคันถธุระ และวิปัสสนาธุระ โดยการสนับสนุนของฝ่ายบ้านเมือง พระมหากษัตริย์ทรงดารง ๑๒๙ พระราชพงศาวดารกรุงศรอี ยธุ ยา ฉบับพันจนั ทนุมาศ (เจมิ ), หนา้ ๒๕๘. ๑๓๐ พระราชพงษาวดาร ฉบบั พระราชหัตถเลขา ภาค ๒, หนา้ ๒๑๖. ๑๓๑ เรอ่ื งเดียวกัน, หนา้ ๒๔๕. ๑๓๒ พระราชพงศาวดารกรงุ ศรอี ยุธยา ฉบับพนั จันทนุมาศ (เจมิ ), หนา้ ๓๗๔.
๑๑๖ พระองค์เป็นศาสนูปถัมภก มีการนาหลักธรรมไปประยุกต์ใช้ในการบริหารบ้านเมือง เฉพาะอย่างย่ิงหลั ก ทศพิธราชธรรม ตลอดจนหลกั ธรรมอ่นื ๆ ซ่ึงเปน็ พนื้ ฐานสาคัญในการสร้างสงั คมสนั ติสุข ด้านศาสนบุคคล พระมหากษัตริย์มีบทบาทสาคัญในการสถาปนาตาแหน่งสาคัญ ๆ ทางคณะ สงฆ์ ขณะเดียวกัน คณะสงฆ์ก็ดูแล ปกครองกันเองตามลาดับชั้น โดยแบ่งเป็น ๒ ฝ่าย คือ คามวาสี และ อรัญญวาสี ดารงฐานะเป็นทีเ่ คารพศรทั ธาทุกระดับช้นั ในยามที่บา้ นเมืองติดขัด ประสพปัญหา บางครั้งก็ได้ อาศัยพระสงฆ์ช่วยหาทางออกให้ แมใ้ นยามทบ่ี ้านเมืองเข้าสศู่ ึกสงคราม ด้านศาสนพิธี เป็นทั้งรูปแบบ และหลักยึดของชีวิตของคนในสังคม มีบทบาทสาคัญอย่างยิ่ง เพราะเป็นเหมือนเคร่ืองหลอ่ หลอม หรือเคร่อื งมือสาหรับขัดเกลาคนในสังคมให้เกิดแบบแผนที่ดีงามร่วมกัน เฉพาะอย่างยิ่ง พิธีกรรมทางศาสนา ถือเป็นจุดศูนย์กลางที่ทาให้ชนช้ันล่าง ได้แก่ราษฎรทั่วไป มีโอกาสได้ ใกลช้ ดิ กบั ชนชัน้ ปกครอง ซงึ่ ส่งผลท่ดี ีโดยตรงต่อการปกครองบา้ นเมอื ง ด้านศาสนสถาน สมัยกรุงศรีอยุธยา วัดถือเป็นสถานท่ีศักด์ิ ผู้ใดกระทาผิดต่อวัด หรือต่อ พระสงฆ์ที่อยู่ในวัด จะได้รับโทษรุนแรงมาก เหตุนี้ เม่ือสถานการณ์บ้านเมืองตกอยู่ในภาวะขับขัน วัดจึง กลายเปน็ สถานทีห่ ลบภยั หรอื เม่ือมีพิธีกรรมทีต่ ้องอาศยั ความศกั ดิ์สทิ ธ์ิ กม็ กั จะใช้วัด เฉพาะอย่างย่ิงอุโบสถ เป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมสาคัญ ๆ เช่น กรณีการเส่ียงทายของขุนพิเรนทรเทพก่อนการยึดอานาจจาก ขุนวรวงศาธริ าช เป็นต้น
๑๑๗ บทท่ี ๔ วเิ คราะหค์ ตนิ ิยมทางพระพทุ ธศาสนาทีม่ ตี ่อสงั คม และคตนิ ิยมทางสงั คมทีม่ ีต่อพระพุทธศาสนา ๔.๑ ความหมายของคตนิ ิยม คตนิ ยิ ม หมายถงึ แบบอยา่ งความคดิ เห็น ความเช่ือ หรือวิธีการคิดรวมกันท่ีเป็นลักษณะ ของกลุ่มชน เช่น คตินิยมของกลุ่มวิชาชีพ คตินิยมทางศาสนา คตินิยมทางการเมือง๑ หรือชุดความ เชื่อ (set of beliefs) ทางสังคมท่ีเปน็ ที่ยอมรบั รว่ มกันภายในกลุ่ม๒ ภาษาอังกฤษใช้คาว่า Ideology พจนานุกรมปรัชญา นิยามความหมายของคตินิยมว่า คาสอน, ความคิดเห็น, วิธีการคิด ภายใตค้ วามเชื่ออันเป็นจดุ หมายร่วมกันของปจั เจกบุคคล, ชนชนั้ ๓ พจนานุกรมฉบับของชามเบอร์ส (Chambers) นิยามความหมายคานี้ไว้หลายนัย เช่น ศาสตร์แห่งความคิด (The Science of Idea), รูปความคิด (body of ideas), วิถีความคิด (way of thinking) ๔ ในทัศนะของเวเบอร์ ความคิดเป็นตัวกาหนดให้คนเรารวมกลุ่มกัน และเมื่อคนรวมกลุ่ม กันแล้ว ก็ก่อให้เกิดการกระทาทางสังคม การกระทาทางสังคมนี้ มีผลประโยชน์เป็นแรงจูงใจ ผลประโยชนจ์ งึ เปน็ ความคดิ หรอื การให้ความหมายของมนุษย์๕ กล่าวโดยสรุป คตินิยม หมายถึงแบบอย่างความคิดที่สังคมยอมรับ และยึดถือเป็น แนวทางปฏิบัติร่วมกัน หรือปฏิบัติสืบ ๆ กันมา ผู้วิจัยใช้คาน้ีในความหมายทานองเดียวกันกับคาว่า ประเพณนี ิยม หรือธรรมเนยี มนยิ ม พงศาวดารกรุงศรีอยุธยา นอกจากจะบอกเล่าเรื่องราวต่าง ๆ เก่ียวกับเหตุการณ์ บ้านเมืองในแต่ละรัชกาลแล้ว ส่วนหน่ึง ยังสะท้อนให้เห็นคตินิยมที่สามารถเชื่อมโยงกับอดีตก่อน หน้านั้น บางเร่ืองสามารถเชื่อมโยงไปแม้กระทั่งสมัยพุทธกาล หรือก่อนพุทธกาล เช่นกรณีการ สถาปนากรุงศรีอยุธยาที่หนองโสนก็เร่ิมต้นต้นจากสุบินนิมิตของพระเจ้าอู่ทองว่ามีเทวดามาช้ีบอก ขมุ ทรพั ย์ รวมถงึ คติความเชือ่ เร่ืองพทุ ธทานายเกยี่ วกับดินแดนแห่งน้ีว่าตอ่ ไปมีความอุดมสมบรู ณ์๖ อน่ึง ในบทนี้ จะวิเคราะห์คตินิยมทางพระพุทธศาสนาที่มีต่อสังคม ขณะเดียวกันก็ วิเคราะห์ย้อนประเด็นส่วนท่ีคตินิยมทางสังคมมีต่อพระพุทธศาสนา ทั้งน้ีเพ่ือสะท้อนให้เห็นถึง ๑ พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พุทธศักราช ๒๕๕๔, (กรุงเทพฯ: ราชบัณฑิตยสถาน, ๒๕๕๖), หน้า ๒๒๖. ๒Teun A. Van Dijk, Ideology: A Multidisplinary Approach, (New Delhi: S AGE Publications, 1998), p. 135. ๓เจษฎา ทองรงุ่ โรจน์, พจนานุกรมปรชั ญา, (กรุงเทพฯ: โบแดง, ๒๕๔๗), หนา้ ๙๓. ๔William Geddie, (ed.), Chambers’s Twentieth Century Dictionary, (New Delhi: Allied Publishers, 1970), p.525. ๕สุภางค์ จันทวานิช, ทฤษฎีสังคมวิทยา, (กรุงเทพฯ: สานักพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๕๔), หน้า ๕๑. ๖ พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา และคาให้การชาวกรุงเก่า, (นนทบุรี: สานักพิมพ์ศรีปัญญา, ๒๕๕๓), หนา้ ๔๗๖-๔๗๗.
๑๑๘ อิทธิพลทมี่ ีตอ่ กนั โดยใช้แนวคิดพ้ืนฐานท่ีปรากฏอยู่ในคัมภีร์พระไตรปิฎก อรรถกา ในส่วนท่ีสังคมมี ต่อพระพุทธศาสนา จะใช้แนวคิดในสังคมไทยสมัยกรุงศรีอยุธยา วิเคราะห์คตินิยมท่ีถือปฏิบัติว่า มี ส่วนกาหนดคตินิยมใหมท่ างพระพทุ ธศาสนาขึน้ อย่างไรบา้ ง ๔.๒ คตนิ ยิ มทางพระพุทธศาสนาทมี่ ีต่อสังคม ๔.๒.๑ คตนิ ิยมการปฏิบัติตนในวนั ธรรมสวนะ (วนั พระ) วันพระ หรือวันธรรมสวนะ ถือเป็นวันสาคัญทางพระพุทธศาสนา เพราะเป็นวันท่ี พระพทุ ธเจา้ บัญญตั ิไว้เพ่ือให้พุทธบริษัทได้ประชุมฟังธรรมเป็นกรณีพิเศษในวัน ๘ ค่า, ๑๔ ค่า, และ ๑๕ ค่าแห่งปักษ๗์ เม่ือถึงวันดังกล่าว จึงมีคตินิยมเร่ืองการรักษาศีล การเข้าวัด และการฟังธรรม รวมท้ัง บาเพ็ญกุศลเป็นกรณีพิเศษ เช่น การสมาทานศีลอุโบสถสาหรับคฤหัสถ์ทั่วไป การประชุมสวดพระ ปาติโมกข์สาหรับพระภิกษุ มีหลักฐานปรากฏให้เห็นอยู่ท่ัวไป ท้ังในคัมภีร์พระไตรปิฎก๘ และคัมภีร์ อรรถกถา๙ ตัวอย่างเรื่องทา้ วสกั กะในอรรถกถาธรรมบท ที่พยายามให้นางนกยาง อดีตคู่ชีวิตของตน ไดร้ กั ษาศลี ดว้ ยการไม่กนิ ปลาเป็น ให้เลือกกนิ เฉพาะปลาตายเท่าน้ัน ท้ังนี้เพ่ือต้องการช่วยให้นางได้ ไปบังเกิดในสวรรค์๑๐ นา่ จะเป็นคตนิ ิยมท่ีสาคัญเร่อื งหน่ึงทสี่ ะท้อนรักษาศีลโดยทว่ั ไปแกช่ าวพุทธ ในคัมภีร์อรรถกถาชาดก ได้พรรณนาถึงรัชสมัยของพระเจ้าฉัตตปาณี กษัตริย์ผู้ครอง เมืองพาราณสีว่า เมื่อถึงวันอุโบสถ ภายในพระนครจะไม่มีเนื้อขาย เพราะชาวเมืองถือธรรมเนียมไม่ ฆ่าสัตว์ในวันอุโบสถ คนท่ีต้องการกินเน้ือในวันอุโบสถ จะต้องหาซื้อเก็บไว้ต้ังแต่วันวัน ๑๓ ค่าแห่ง ปักษ์๑๑ คตินิยมดังกล่าวนี้ ยังคงมีอิทธิพลมาจนถึงปัจจุบัน อย่างน้อยก็มีธรรมเนียมปฏิบัติไม่มีการ ประหารชีวิตนกั โทษ รวมถึงการไมอ่ นญุ าตให้โรงฆา่ สตั วท์ าการฆา่ สตั วใ์ นวนั พระด้วย หลักฐานจากพงศาวดารในสมัยกรุงศรีอยุธยา สะท้อนให้เห็นว่า ได้ถือคตินิยมดังกล่าวน้ี ด้วย ดงั จะเห็นไดจ้ ากกรณีตัวอยา่ งในคราวทายทุ ธหัตถีกับพระมหาอุปราช เหล่าแม่ทัพ นายกองตาม เสด็จสมเด็จพระนเรศวรไม่ทัน เมื่อเสร็จศึก ก็รับส่ังให้ชาระคดี ซ่ึงทุกคนมีโทษถึงประหาร แต่เม่ือ ทรงพจิ ารณาอีกครงั้ วา่ “จวนวันจาตทุ สปี ัณณรสอี ยู่”๑๒ กร็ ับสงั่ ให้เลอ่ื นการประหารออกไป ๓ วัน หลกั ฐานจากพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา สะท้อนให้เห็นว่า พระมหากษัตริย์หลายพระองค์ ทรงฝักใฝใ่ นพระพุทธศาสนา แม้อยู่ในสถานการณ์กาลังเดินทัพ แต่หากมีโอกาส ก็ยังเสด็จไปทรงศีล ๗ ว.ิ ม.(ไทย) ๔/๑๓๒/๒๐๘. ๘ ดตู ัวอยา่ งพระเจ้ามหาสทุ สั สนะจกั รพรรดิผู้สมบูรณด์ ้วยรัตน ๗ ประการ ที.มหา.(ไทย) ๑๐/๒๔๓/ ๑๘๓, พระจักรพรรดิทัฬหเนมิ ในจักรพรรดิสูตร ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๘๐/๕๙, พระเจ้ามฆเทวะในมฆเทวสูตร ม.ม. (ไทย) ๑๓/๓๐๘/๓๗๒, จตุมหาราชสูตร ใน อ.ทุก.(ไทย) ๒๐/๓๘/๑๙๕ เปน็ ต้น ๙ ดปู ระวัติเทวดา ธ.บ.อ.(ไทย) ๒/๖๐-๖๒, ฉัตตปาณิอุบาสก ธ.บ.อ.(ไทย) ๓/๖๔-๗๐, อุโบสถกรรม ธ.บ.อ. (ไทย) ๕/๘๔-๘๖, อบุ าสกชื่อวา่ มหากาล ธ.บ.อ.(ไทย) ๖/๒๔-๒๘ เปน็ ตน้ ๑๐ ธ.บ.อ.(ไทย) ๒/๑๖๐. ๑๑ ขุ.ชา.อ.(ไทย) ๓/๓/๓๗๗. ๑๒ พระราชพงศาวดารฉบับพระราชหตั ถเลขา, ภาค ๑ หน้า ๑๖๐.
๑๑๙ เช่น ในรัชสมัยของสมเด็จพระราเมศวร พงศาวดารระบุว่าเสด็จออกทรงศีลตอนเวลา ๑๐ ทุ่ม๑๓ ใน รัชสมัยของพระเจ้าทรงธรรม ก็มีหลักฐานระบุว่า ทรงรอบรู้พระไตรปิฎกมาก ทรงพระราชศรัทธา เล่ือมใสในพระพุทธศาสนา ทรงสมาทานศีล ๕ เป็นนิจ ทรงสมาทานอุโบสถศีลเดือนละ ๔ คร้ัง ทั้ง ทรงพระอุตสาหะบอกพระไตรปิฎกแก่พระภกิ ษุสามเณร ทรงเล่าเรยี นพระกัมมฏั ฐาน๑๔ คตินิยมดงั กลา่ วน้ี สอดคล้องกบั หลักฐานในคัมภีร์ที่มักมีเร่ืองราวของพระเจ้าแผ่นดินเข้า เฝ้าพระพุทธเจ้าในยามค่าคืนหลังจากที่เสร็จราชกิจแล้วเพ่ือทูลถามปัญหา หรือสนทนาธรรม เช่น กรณีของพระเจ้าอชาตศัตรูเสด็จไปสนทนาธรรมกับพระพุทธเจ้าพร้อมด้วยบริวารหมู่ใหญ่ ตาม ข้อเสนอของหมอชวี กโกมารภัจจ๑์ ๕ อน่งึ บนั ทึกคาให้การชาวกรุงเก่า ก็มีเน้ือความสนับสนุนเร่ืองคตินิยมการปฏิบัติตนในวัน ธรรมสวนะลักษณะเดียวกนั วา่ “พระเจา้ กรุงศรอี ยธุ ยา ประกาศในพระนคร ๔ ตาบล ๘ ตาบลว่า ใน วันพระเดือนละ ๔ วันนั้น ห้ามมิให้พวกพรานและชาวประมงทาปาณาติบาต และห้ามมิให้ใช้โค กระบอื ท่มี ีครรภ์ หรือโคกระบือท่ลี ูกยงั ไมห่ ยา่ นม” ๑๖ จดหมายเหตลุ า ลูแบร์ ก็มีข้อความแสดงถึงคตินิยมการปฏิบัติตนของชาวพุทธท่ัวไปเมื่อ ถงึ วนั ธรรมสวนะ (วันพระ) คัดมาดังนี้ “ในวนั เช่นนี้ พวกราษฎรงดการออกไปจบั ปลา ใช่ว่าการจับปลานั้นเป็นการทางานอย่าง หน่ึงก็หาไม่ ด้วยพวกเขามิได้งดทางานอย่างอื่นด้วย แต่ในความเห็นของข้าพเจ้าน้ัน เป็นเพราะพวก เขาคงพิเคราะห์เห็นว่า การจับปลานั้นมิใช่สิ่งท่ีบริสุทธ์ิโดยส้ินเชิงนัก ดังที่เราจะได้ในตอนต่อ ๆ ไป และในวนั เชน่ นี้ พวกราษฎร์พากนั ไปทาบุญทวี่ ดั ” ๑๗ ๔.๒.๒ คตนิ ิยมการสรา้ งวดั เป็นอนสุ รณ์ ในสมัยพุทธกาล ผู้มีฐานะ และมีความเล่ือมใสในพระพุทธศาสนา นิยมสร้างวัด หรือ เสนาสนะไว้แด่สงฆ์ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ความอุปถัมภ์แด่พระสงฆ์ หวังบุญกุศลสาหรับชีวิต ต่อมาภายหลังวัด หรือเสนาสนะเหล่านั้น ก็กลายเป็นตัวแทน หรือเป็นอนุสรณ์เพ่ือระลึกถึงผู้สร้าง เช่น กรณีการถวายเวฬุวันเป็นวัดแห่งแรกในพระพุทธศาสนาของพระเจ้าพิมพิสาร๑๘, การสร้างวัด พระเชตวันของอนาถปิณฑิกเศรษฐี๑๙ อรรถกถาระบุว่า ใช้ทรัพย์จานวน ๕๔ โกฎิ, นางวิสาขาสละ ทรัพย์จานวน ๒๗ โกฎ,ิ พระประยูรญาติของพระพทุ ธเจา้ ทั้งฝ่ายศากยวงศ์และโกลิยวงศ์ ๑ แสนหก ๑๓ พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยธุ ยา ฉบบั จนั ทนุมาศ (เจิม), หน้า ๔๗. ๑๔ พระราชพงศาวดารกรุงศรอี ยธุ ยา คาใหก้ ารชาวกรุงเก่า, หน้า ๕๑๘. ๑๕ ที.ส.ี (ไทย) ๙/๑๕๙/๕๑. ๑๖ พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา คาให้การชาวกรุงเกา่ , หน้า ๖๗๒. ๑๗ มองซิเออร์ เดอ ลาลแู บร,์ จดหมายเหตุลา ลูแบร์ ราชอาณาจกั รสยาม, (นนทบุรี: สานักพิมพ์ศรี ปัญญา, ๒๕๕๗), หน้า ๓๕๐. ๑๘ วิ.ม.(ไทย) ๔/๕๙/๗๑. ๑๙ ว.ิ จ.ู (ไทย) ๗/๓๑๕/๑๒๙.
๑๒๐ หม่ืนตระกูล โดยนบั ทางฝา่ ยพระบิดา ๘ หม่ืนตระกูล ฝ่ายพระมารดา ๘ หมื่นตระกูล ร่วมสร้างวัดนิ โครธาราม๒๐ คตนิ ยิ มดังกลา่ ว ยังมีอิทธิพลมาถงึ ประชาชนโดยทั่วไป เช่น กรณีของนางอัมพปาลี หญิง คณิกา ได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้า เกิดความเล่ือมใส จึงได้ถวายสวนมะม่วงเพ่ือเป็นที่ประทับของ พระพทุ ธเจา้ และพระสงฆ์๒๑ และต่อมาได้มีการสร้างวหิ ารเพ่มิ เติม๒๒ กระทั่งกลายเป็นวัดท่ีสาคัญแห่ง หนึ่งในพระพทุ ธศาสนา แม้หลังพทุ ธกาลมาแล้ว ก็มีคตินิยมการประกาศศรัทธาความเล่ือมใสในพระพุทธศาสนา ด้วยการสร้างวัด เจดีย์ ไว้ในพระพุทธศาสนา เช่นกรณีของพระเจ้าอโศกมหาราช ได้สร้างวัดอโศกา ราม และสร้างเจดีย์ ๘๔,๐๐๐๒๓ การสร้างครั้งน้ีระบุวัตถุประสงค์ชัดเจนว่า เพ่ือเป็นการบูชาพระ ธรรมขันธ์ ๘๔,๐๐๐๒๔ ในสมัยอยุธยา การสร้างวัด สถาปนาวัด ยังคงมีหลักฐาน และร่องรอยของการดาเนิน รอยตามคตนิ ยิ มดังกล่าว นบั ตงั้ แต่เริ่มต้นการสถาปนากรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี จนกระทั่งถึงปลาย แผ่นดินกรุงศรีอยุธยาก่อนที่จะเสียเอกราชให้แก่พม่า มีรายชื่อวัดที่ได้รับการสถาปนาข้ึนเท่าท่ีมี บันทึกไว้ในพงศาวดาร จานวน ๑๕ วัด ประกอบด้วย วัดพุทธไธสวรรค์ วัดป่าแก้ว (สมัยพระเจ้าอู่ ทอง),วัดมหาธาตุ วัดภเู ขาทอง (สมัยสมเด็จพระราเมศวร), วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ (สมัยสมเด็จพระ บรมราชาที่ ๑), วัดราชบูรณะ (สมัยสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๒), วัดพระราม วัดพระศรีสรร เพชญ์ (สมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ), วัดศพสวรรค์ (สมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิราชาธิราช), วัดไชยวัฒนาราม วัดชุมพลนิการาม, ราชหุลาราราม (สมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง), วัดบรมพุ ทธาราม วดั พระยาแมน (สมัยสมเด็จพระเพทราชา) นอกจากน้ี ยังมีรายชื่อวัด, พระวิหารท่ีได้รับการสร้างข้ึนตามคตินิยมดังกล่าว ปรากฏ หลักฐานในพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาอีกหลายวัด เช่น วัดพระราม (รัชสมัยพระเจ้าอู่ทอง), วัด มเหยงค์ (รัชสมัยสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๒), วัดโพธ์ิทับช้าง (รัชสมัยพระเจ้าเสือ), วัดวรเชษฐ์ (รชั กาลสมเด็จพระเอกาทศรฐ), การสรา้ งวหิ ารวัดจฬุ ามณี (รัชสมยั สมเดจ็ พระบรมไตรโลกนาถ), การ สรา้ งวิหารวัดพระศรสี รรเพชญ์ (สมเดจ็ พระรามาธบิ ดีท่ี ๒) เปน็ ตน้ อ็องรี มูโอต์ นักธรรมชาติวิทยาและนักเดินทางอิสระชาวฝร่ังเศส ได้บันทึกเรื่องราว เกี่ยวกับวัดในพระนครศรีอยุธยา สะท้อนให้เห็นว่า ก่อนการเสียกรุงให้แก่พม่า ดินแดนแห่งนี้เคย เจริญรุ่งเรื่องด้วยสถาปัตยกรรมทางพระพุทธศาสนา ขณะเดียวกันแสดงให้เห็นถึงพลังศรัทธาท่ีต่อ พระพทุ ธศาสนาในอดตี “สถาปัตยกรรมการเมืองเก่าที่หลงเหลืออยู่ คือวัดจานวนมากในสภาพปรักหักพัง กระจัดกระจายกินเนื้อที่กว้างหลายไมล์ และซ่อนตัวอยู่ในแมกไม้รกทึบโดยรอบ ความสวยงามของ วัดในสยามไม่ได้อยู่ท่ีฝีมือการออกแบบทางสถาปัตยกรรม แต่อยู่ท่ีลวดลายแกะสลักประดับผนังอิฐ ๒๐ ธ.บ.อ.(ไทย) ๑/๕. ๒๑ ส.ม.อ. (ไทย) ๕/๑/๓๔๘. ๒๒ ขุ.เถร.ี อ. (ไทย) ๒/๔/๓๕๘. ๒๓ สมนตฺ . (ไทย) ๑/๗๗. ๒๔ สมนฺต. (ไทย) ๑/๗๘.
๑๒๑ และปูนป้ันเสียมากกว่า เมื่อถูกทิ้งไว้จึงผุพังไปตามกาลเวลา และการท่ีปล่อยปละละเลยมานาน ท่ี เห็นเหลืออยู่ก็เป็นแค่กองไม้กองอิฐ ไม่เหลือรูปทรง ปกคลุมด้วยเถาวัลย์ไม้เล้ือยนานาชนิด โบราณสถานที่อยุธยาก็ตกอยู่ในสภาพดังกล่าวน้ี มีกองอิฐกองดินท่ียังพอเหลือยอดโผล่ให้เห็น บอก ใหร้ ู้เลยวา่ เคยเป็นวดั ท่ผี มู้ ีจติ ศรัทธานบั พัน ๆ คนมากนั หมอบกราบหน้าแทน่ บชู าพระสมณโคดม” ๒๕ ๔.๒.๓ คตินิยมการผนวชของเจา้ นายชน้ั ผใู้ หญ่ อรรถกถาสมันตปาสาทิกา ได้พรรณนาความถึงพระเจ้าอโศก ได้ทะนุบารุง พระพุทธศาสนาอย่างย่ิงใหญ่ และได้รับการยืนยันจากพระโมคคัลลีบุตรติสสะเถระว่า นับต้ังแต่ พระพุทธเจ้าทรงพระชนม์อยู่จนถึงบัดนี้ ยังไม่เคยมีใครทาได้ย่ิงใหญ่เท่าน้ี แต่ถึงกระน้ัน ก็ยังไม่อาจ นบั ได้ว่า ทรงเปน็ ทายาทของพระศาสนา เว้นเสียแตว่ ่า ผู้นัน้ จะยนิ ยอมให้บตุ รของตนออกบวช๒๖ ด้วยความท่ีทรงปรารถนาจะเป็นทายาทของพระศาสนา จึงทรงขอร้องให้พระมหินท กุมารซ่ึงเป็นรัชทายาทผนวช พร้อมด้วยพระนางสังมิตตา ผู้เป็นพระธิดาของพระองค์ ซ่ึงต่อมา พระ ราชโอรสและพระราชธิดาทงั้ สองพระองค์ ก็ได้กลายเปน็ มีสว่ นสาคญั ในการเผยแผ่พระศาสนา ในช่วงสมัยที่พระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ ทรงประกาศศาสนา มีผู้เลื่อมใสออกบวช ตามเป็นจานวนมาก แม้กระทงั่ ในกลุ่มของศากยะ ก็มีการหยิบยกประเด็นเรื่องของการออกบวชตาม ว่าเป็นส่วนหน่ึงของการแสดงความเป็นญาติ ศากยะท้ัง ๖ จึงได้ตกลงปลงใจออกบวชตาม พระพทุ ธเจ้า ท้งั นีเ้ พื่อประกาศความเปน็ ญาติกบั พระศาสนา๒๗ ในสมัยกรงุ ศรอี ยุธยา แมห้ ลกั ฐานเกยี่ วกับการออกผนวชของกษัตริย์จะมีไม่มากนัก แต่ก็ เห็นร่องรอยของการเสด็จออกผนวชของพระมหากษัตริย์ และการออกผนวชของเจ้านายช้ันผู้ใหญ่ ซ่ึงอาจถือเป็นแบบอย่างในเวลาต่อมาด้วย เช่น การเสด็จออกผนวชเป็นระยะเวลา ๘ เดือนของ สมเดจ็ พระบรมไตรโลกนาถ๒๘ สมเด็จกรมพระยาดารงราชานุภาพต้ังข้อสังเกตว่า การเสด็จออกผนวชของสมเด็จพระ บรมไตรโลกนาถ เป็นการ “เอาอย่าง” พระมหาธรรมราชาลิไท ในสมัยสุโขทัย เพราะมีการนิมนต์ พระมหาสวามีในลังกาทวีปเข้ามาเป็นพระอุปัชฌาย์๒๙ มีข้อวิจารณ์เพิ่มเติมอีกว่า การบวชคร้ังน้ีเป็น “บวชการเมือง” เพราะหลังจากบวชแล้ว กท็ รงย้ายไปอยู่เมืองพษิ ณโุ ลก เอาอย่างกรณีพระมหาธรรม ราชาลิไททีไ่ ด้เคยทากอ่ นหนา้ น้ันในการขอบิณฑบาตเมืองพิษณุโลกจากกรุงศรีอยุธยา คราวน้ีสมเด็จ พระบรมไตรโลกนาถกท็ รงใชว้ ิธีการเดยี วกันคือ หลงั จากผนวชแล้วก็ส่งสมณทูตไปเมืองเชียงใหม่เพื่อ ขอ “บิณฑบาต” เมอื งศรีสัชนาลัยทีพ่ ระเจ้าติโลกราชยดึ ไวก้ อ่ นหนา้ นัน้ ๓๐ ๒๕ กรรณิกา จรรย์แสง, ผู้แปล. บันทึกการเดินทางของอ็องรี มูโอต์, (กรุงเทพฯ: สานักพิมพ์มติชน, ๒๕๕๘), หน้า ๖๗. ๒๖ สมนตฺ . (ไทย) ๑/๘๑. ๒๗ วิ.จู. (ไทย) ๗/๓๓๐/๑๖๗. ๒๘ พระราชพงศาวดารกรุงศรอี ยธุ ยา ฉบับจนั ทนมุ าศ (เจมิ ), หน้า ๔๗. ๒๙ กรมพระยาดารงราชานุภาพ, ตานานพุทธเจดยี ส์ ยาม, (พระนคร: โสภณพพิ รรฒธนากร, ๒๔๙๖), หน้า ๑๑๕. ๓๐ เริงวุฒิ มิตรสุริยะ, “อุษาคเนย์” ประวัติศาสตร์อาเซียนฉบับประชาชน, (กรุงเทพฯ: ยิปซี, ๒๕๕๗), หน้า ๔๐๔.
๑๒๒ การเสด็จออกผนวชของสมเด็จพระเชษฐาธิราชเจ้า พระราชโอรสสมเด็จพระบรม ราชาธิราชเจ้า ในปี พ.ศ.๒๐๒๗ การเสด็จออกผนวชของพระราชโอรสในสมเด็จพระบรมไตร โลกนาถ ในปี พ.ศ.๒๐๒๘๓๑ การผนวชสามเณรของตรัสน้อยหลงั จากท่ีทาพิธีโสกันต์แล้ว โดยบวชอยู่ ในสานักของพระพุทธโฆษาจารย์ และได้ศึกษาเล่าเรียนปริยัติ ตลอดจนคัมภีร์เลขยันตร์มนตรคาถา สรรพวทิ ยาคุณต่าง ๆ หลกั ฐานระบุว่า หลังจากได้ผนวชเรียนระยะหนึ่งแล้วก็ลาสิกขา คร้ันอายุครบ ก็ได้รับการอุปสมบทอีกคร้ัง๓๒ การเสด็จออกผนวชของสมเด็จพระมหาจักรพรรดิราชาธิราชในปี ๒๐๙๗๓๓ คตินยิ มเรอ่ื งการบวชไมไ่ ด้มอี ทิ ธพิ ลเฉพาะสถาบนั กษตั ริยเ์ ทา่ นั้น แม้ราษฎร์ท่ัวไปก็ถือคติ การบวชในลักษณะเดียวกัน ดังปรากฏในจดหมายเหตุเรอื่ งพระราชไมตรรี ะหว่างกรุงสยามกับกรุงจีน ความตอนหน่งึ ว่า “ประชนนบั ถอื เซกกา่ (พทุ ธศาสนา) ผู้ชายบวชเปน็ เจง (พระภิกษุ) ผู้หญิงบวชเป็น หนี (นางชี) ไปอยู่ตามวัด ผู้ที่มียศศักดิ์และมั่งมีนั้นเคารพหุด (นับถือพระภิกษุที่สาเร็จ) มีเงินทองถึง ร้อยก็ทาทานกงึ่ หนึ่งด้วยไม่มคี วามเสยี ดาย” ๓๔ อน่ึง การบวช นอกจากจะถือเป็นคตินิยม “บวชเรียน” และ “บวชสืบอายุพระศาสนา” ตามประเพณีท่ัวไปแล้ว หลักฐานจากพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ยังมีนัยทางการเมืองเข้าไปเกี่ยวข้อง ด้วย กล่าวคือ บางครั้งการบวชก็เป็นช่องทางหนึ่งในการแก้ปัญหาอันอาจจะเกิดข้ึนจากความ หวาดระแวง หรอื บางครงั้ กม็ ลี กั ษณะเป็นการ “หนีภัย” ทางการเมือง เช่น กรณีการเสด็จออกผนวช ของพระเทียรราชาในรัชสมัยของพระชัยราชาธิราช๓๕ การมีพระบรมราชโองการให้กรมขุนอนุรักษ์ มนตรีออกผนวช๓๖ กรมพระราชวังบวร ฯ สละราชสมบัติให้พระเชษฐาธิราชแล้วทรงผนวชอยู่วัด ประดู่๓๗ ขณะที่กรมหม่ืนเทพพิพิธ ซึ่งเป็นเจ้านายผู้ใหญ่ ก็เกรงจะเป็นท่ีเพ่งเล็งและเป็นภัย จึงได้ ถวายบงั คมลาผนวชอยู่ที่วัดกระโจม๓๘ เปน็ ต้น ๔.๒.๔ คตนิ ิยมการถวายสตสดกมหาทาน ในคัมภีร์พระไตรปิฎก และคัมภีร์อรรถกถา พรรณนาถึงทานที่นิยมทาเป็นกรณีพิเศษ เพราะกาหนดจานวนสิ่งท่ีถวายเป็นหมวด เช่น หมวดละ ๑๐๐, หมวดละ ๗๐๐ เป็นต้น เรียกทาน ชนดิ นว้ี ่า สตสดกมหาทานบ้าง สตตสดกมหาทานบ้าง ตามจานวนหมวดส่ิงของทีถ่ วาย ๓๑ พระราชพงศาวดารกรงุ ศรอี ยธุ ยา ฉบบั หลวงประเสริฐ, หนา้ ๔๐๐. ๓๒ พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบบั พระราชหตั ถเลขา ภาค ๒, หนา้ ๑๗๕. ๓๓ มูลนิธิสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา, นามานุกรมพระมหากษัตริย์ไทย, (กรุงเทพฯ: มูลนิธิสมเด็จ พระเทพรัตนราชสุดา, ๒๕๔๔), หนา้ ๑๑๔. ๓๔ พระเจนจีนอักษร (สดุ ใจ ตณั ฑากาศ) ผู้แปล, จดหมายเหตุเรื่องพระราชไมตรีระหว่างกรุงสยาม กบั กรงุ จีน, (พระนคร: โสภณพพิ รรฒธนากร, ๒๔๗๖), หนา้ ๑๐. ๓๕ พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบบั พันจนั ทนมุ าศ (เจมิ ), หนา้ ๖๓. ๓๖ พระราชพงศาวดารกรงุ ศรีอยุธยา ฉบับพระราชหตั ถเลขา ภาค ๒, หน้า ๒๔๕. ๓๗ เร่ืองเดยี วกัน, หนา้ ๒๕๐. ๓๘ เร่ืองเดยี วกนั , หนา้ ๒๕๑.
๑๒๓ ในพระไตรปิฎก เช่น กูฏทันตพราหมณ์จะกระทาการบูชายัญด้วยสัตว์อย่างละ ๗๐๐ ร้อย ประกอบด้วย ลูกโคผู้ ๗๐๐ ลูกโคเมีย ๗๐๐ แกะ ๗๐๐ แพะ ๗๐๐ ต่อมาได้ฟังธรรมจาก พระพุทธเจ้าเกิดความเล่ือมใส จึงได้ปล่อยชีวิตสัตว์เหล่านี้ทั้งหมด๓๙ ในคัมภีร์อรรถกถาชาดก พรรณนาถึงพระเวสสันดร ได้ถวายสตตสดกมหาทาน๔๐ และสตสดกมหาทาน ประกอบไปด้วยทาส ทาสี ช้าง มา้ โค ทองคา๔๑ พงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ก็มีพรรณนาถึงสตสดกมหาทานเช่นกัน เช่น ในรัชกาลของ สมเด็จพระมหาจักรพรรดิราชาธิราช ได้ถวายสตสดกมหาทาน ปรารภพระราชพิธีอาจาริยาภิเศก และพิธอี ินทราภิเศก๔๒ และในรัชสมัยของสมเดจ็ พระสรรเพ็ชญ์ท่ี ๕ (พระเจ้าปราสาททอง) เม่ือครั้ง ประกอบพิธีลบศักราช หลังจากเสร็จพิธีก็ได้บาเพ็ญสตสดกมหาทานแก่พราหมณ์ ยาจก วิณิพกท้ัง ปวงรายละเอียดของสตสดกมหาทานท่ีปรากฏในพงศาวดารประกอบด้วย ช้าง ๑๐๐, ทาสชาย ๑๐๐, ทาสหญงิ ๑๐๐, เงิน ๑๐๐ ชง่ั , ทอง ๑๐๐ ช่ัง, และราชรถ ๑๐๐๔๓ ๔.๒.๕ คตนิ ยิ มช้างมงคลหรอื ชา้ งคู่บ้านคู่เมอื ง ชา้ งถือเป็นสตั ว์มงคลท่มี ีความเกีย่ วข้องกับพระพุทธเจ้ามาตงั้ แตต่ น้ คาว่า ต้ังแต่ต้นน้ี ถือเอาความหมายอย่างแคบ ก็นับต้ังแต่จุติลงสู่ครรภ์พระมารดา ซึ่ง ปรากฏในรูปของพระสุบินนิมิต นาบอกบัวมาถวาย๔๔ ถ้าถือเอาความมากกว่าน้ัน อาจย้อนหลัง กลับไปถึงพระชาติสุดท้ายที่เสวยพระชาติเป็นพระเวสสันดร ช้างปัจจัยนาเคน๔๕ ได้เข้ามามีบทบาท ต่อความคิดของชาวเมืองในฐานะเป็นช้างคู่บารมี ขณะเดียวกันก็เป็นช้างคู่บ้านคู่เมืองด้วย การยก ช้างคู่บ้านคู่เมืองให้แก่บ้านอื่นเมืองอ่ืนจึงเป็นสิ่งท่ีไม่สามารถรับได้ พระเวสสันดรจึงได้รับโทษด้วย การถกู เนรเทศไปอยู่ป่าเปน็ ระยะเวลาหลายปี๔๖ คตินิยมเรื่องช้างมงคล หรือช้างคู่บ้านคู่เมือง เป็นเรื่องที่สามารถเข้าใจได้โดยง่าย เพราะ การศึกสงครามแต่โบราณนั้น อาศัยช้างเป็นกาลังสาคัญ การเลือกช้างเป็นพระราชพาหนะ จึงต้อง พิถีพิถันเป็นพิเศษ ต้องตามตาราคชลักษณ์ ช้างท่ีได้รับเลือกมาจึงถือเป็น “คู่บารมี” ของ พระมหากษัตรยิ ์ จงึ มีธรรมเนียมการถวายเกียรตหิ รือฐานันดรศักด์ใิ ห้แก่ชา้ งทรงด้วย ในสมัยกรุงศรอี ยธุ ยา ในบางรัชสมัย มีกล่าวถึงช้างมงคลของพระราชาไว้มาก เช่น ในรัช สมัยของสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ ถึงกับได้รับสมญานามว่า “พระเจ้าช้างเผือก” ทั้งนี้เพราะใน ๓๙ ที.สี. (ไทย) ๙/๓๕๔/๑๔๙. ๔๐ ขุ.ชา.อ. (ไทย) ๓/๑/๑๒๐. ๔๑ ข.ุ ชา.อ. (ไทย) ๔/๓/๗๒๑. ๔๒ พระราชพงศาวดารกรุงศรอี ยธุ ยา ฉบับจันทนมุ าศ (เจมิ ), หนา้ ๗๗. ๔๓ เรือ่ งเดยี วกัน, หน้า ๒๘๐. ๔๔ ที.มหา.อ. (ไทย) ๒/๑/๙๙. ๔๕ ในสมัยกรุงศรีอยุธยา แผ่นดินสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถก็มีช้างเผือกมงคลเชือกหนึ่ง ซึ่งได้มา จากตาบลป่าตะนาวศรี สูง ๔ ศอกเศษ ช่ือ ปัจจัยนาเคนทร์ ดู พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับจันทนุมาศ (เจิม), หนา้ ๔๐๘. ๔๖ ดรู ายละเอียด ขุ.ชา.อ. (ไทย) ๔/๓/๖๑๔-๖๒๕.
๑๒๔ รัชกาลของพระองคน์ ้ันมีช้างเผือกคู่บารมีมากถึง ๗ เชือก๔๗ กระทั่งข่าวปรากฏทั่วไป พระเจ้าหงสาว ดีทราบข่าวก็ส่งสาส์นมาทูลขอพระราชทาน แต่ก็ถูกปฏิเสธด้วยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิทรงถือว่า เป็นของคู่บารมี จะยกให้แก่คนอ่ืนนั้นไม่เป็นการสมควร ซ่ึงข้อน้ีก็เป็นชนวนท่ีทาให้พระเจ้าหงสาวดี ไมพ่ อพระทยั ถึงกบั ยกทพั มาตกี รงุ ศรีอยุธยา สาส์นทเ่ี หล่านานาประเทศส่งมาขอช้างมงคลในรัชสมัยของสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ ก็ เปน็ อกี เหตผุ ลหนึ่งที่สามารถสะท้อนคตินิยมเรื่องช้างมงคลท่ีปรากฏในคัมภีร์พระพุทธศาสนา ด้วยมี ข้อความระบุว่า “กษัตริย์ใดมีบารมีถึงท่ีบรมจักร ก็จะมีจักรแก้ว แก้วมณี นางแก้ว ช้างแก้ว ขุนพล แก้ว ขุนคลังแก้ว”๔๘ แสดงให้เหน็ ว่า ไม่เฉพาะไทยเทา่ น้ันท่ีมีความเช่ือเร่ืองช้างมงคล ประเทศเพ่ือน บา้ นกถ็ ือคตินิยมดังกล่าวนี้ด้วย เช่น อาณาจักรล้านช้างก็มีความเชื่อว่าพระมหาจักรพรรดิมีบุญญาธิ การมาก เพราะมีชา้ งเผอื กถงึ ๗ เชือก จึงได้แต่งพระราชธิดาพระองค์หนึ่งไปปถวาย พร้อมกับเครื่อง ราชบรรณาการมาเจรญิ พระราชไมตรี และขอพระราชทานชา้ งเผือกเพื่อเป็นศรแี ก่พระนคร๔๙ ๔.๒.๖ คตนิ ิยมการถวายความอุปถมั ภ์พระพุทธศาสนา จากพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ตลอดระยะเวลา ๔๑๓ ปี พระมหากษัตริย์ไทยมีบทบาท สาคัญในการทะนุบารุงพระพุทธศาสนา แม้จะไม่มีหลักฐานปรากฏชัดทุกพระองค์ เนื่องจากบาง พระองค์นั้นอยู่ในราชบัลลังก์ในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ หรือบ้านเมืองอยู่ในภาวะสงคราม ทาให้ไม่มี โอกาสไดห้ ันมาสนพระทัยการพระศาสนา แต่จากหลักฐานท่ีอยู่ก็สามารถสรุปได้ว่า พระมหากษัตริย์ ทุกพระองค์ทรงดารงฐานะเป็นเอกอัครศาสนูปถัมภ์ ทรงเอาพระทัยใส่การพระศาสนา ไม่ว่าจะเป็น เร่อื งของการสร้างวัด สถาปนาวัด ปฏสิ งั ขรณว์ ดั หรือเสนาสนะท่ีชารุดทรุดโทรม การถวายการบารุง ทางด้านปัจจัย ๔ แด่พระสงฆ์ ยกตัวอย่างเช่น ในพงศาวดารสมัยกรุงศรีอยุธยาปรากฏคาว่า “อากร ซึ่งขึ้นสรรพกรเป็นหลวงนั้น ให้เถรเณรไปขอเป็นกัปปิยจังหัน”๕๐ “นิตยภัต”๕๑ หรือ “พระราช กัลปนาส่วย”๕๒ อากรซงึ่ ขึน้ สรรพกรเป็นหลวง มีลักษณะเหมือนการกันส่วนที่เป็นภาษีซึ่งเก็บจากท้องที่ ไวเ้ พอ่ื ถวายแดพ่ ระภกิ ษุ สามเณรผู้มีความประสงค์ด้วยภตั นิตยภัต แต่เดิมเป็นจังหัน หรืออาหารที่พระราชาจัดถวายพระภิกษุที่ทรงเคารพนับถือ เป็นกรณีพิเศษ หรือเป็นการเฉพาะ แต่บางกรณีก็ถวายหมดทั้งวัดเป็นประจา จึงเรียกว่า นิตยภัต ส่วนพระราชกัลปนาส่วย หมายถึง การที่พระมหากษัตริย์ทรงกาหนดให้เก็บส่วย จากหมู่บ้าน หรือ ตาบลแล้วแต่จะทรงเห็นสมควร แล้วนาส่วยท่ีเก็บได้นั้นมาถวายแด่พระสงฆ์ หรืออารามต่าง ๆ ท่ี พระราชทาน ถือเป็นรปู แบบหนง่ึ ของการศาสนปู ถัมภ์ ๔๗ พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยธุ ยา ฉบับจนั ทนมุ าศ (เจิม), หน้า ๙๒. ๔๘ เรือ่ งเดยี วกนั , หน้า ๙๓. ๔๙ พระราชพงศาวดารกรงุ ศรีอยุธยา คาใหก้ ารชาวกรงุ เกา่ , หน้า ๕๐๓. ๕๐ พระราชพงศาวดารกรงุ ศรีอยุธยา ฉบบั จนั ทนุมาศ (เจิม), หนา้ ๗๔. ๕๑ เรอื่ งเดยี วกัน, หนา้ ๑๔๕. ๕๒ เรือ่ งเดยี วกนั , หนา้ ๓๑๙.
๑๒๕ การทพ่ี ระเจ้าแผน่ ดินใหค้ วามอปุ ถมั ภว์ ัด หรือพระอารามใดอารามหน่ึงเป็นกรณีพิเศษ ก็ เป็นเหตุผลหน่ึงที่ทาให้วัดหรือพระอารามแห่งนั้นมีฐานะสาคัญตามไปด้วย กลายเป็นวัดประจา พระองค์ หรือประจารัชกาลนั้น ๆ คตินิยมดังกล่าวน้ีจะชัดเจนมากในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ เพราะมี วัดประจารชั กาลครบท้ัง ๙ รัชกาล อนึ่ง จากการศกึ ษารายละเอยี ดเกี่ยวกับการเสด็จพระราชดาเนินบาเพ็ญกุศลตามอาราม ตา่ ง ๆ โดยทรงจัดใหม้ กี ารสมโภช การมีมหรสพฉลอง ๓ วันบ้าง ๗ วันบ้าง ๑๕ วันบ้าง ส่วนสถานที่ ที่มีส่ิงศักด์ิสิทธิ์คู่บ้านคู่เมือง ก็จะทรงโปรดให้มีการสมโภชเป็นงานประจาปี ถือเป็นพระราชกุศโล บายท่ีสาคัญท่ีทาให้สถาบันพระมหากษัตริย์ได้มีความใกล้ชิดกับประชาชน ขณะเดียวกัน ก็ทาให้วัด กลายเป็นศูนย์รวมทางด้านจิต เป็นศูนย์กลางของสังคมท่ีทาให้คนทุกระดับช้ันมาพบกันได้อย่างโดย ไม่ทาให้มี หรือเกดิ ช่องว่างระหว่างชนชน้ั ๔.๒.๗ คตนิ ยิ มเร่อื งทศพธิ ราชธรรม ทศพิธราชธรรม๕๓ คือธรรมสาหรับนักปกครอง มี ๑๐ ประการ ได้แก่ (๑) ทาน หมายถึงเจตนาให้วัตถุ ๑๐ ประการมีข้าวและน้าเป็นต้น (๒) ศีล หมายถึงศีล ๕ ศีล ๑๐ (๓) การบริจาค หมายถึงการบริจาคไทยธรรม (๔) ความซื่อตรง หมายถึงความเป็นคนตรง (๕) ความอ่อนโยน หมายถึงความเป็นคนอ่อนโยน (๖) ความเพียร หมายถึงกรรมคือการรักษาอุโบสถ (๗) ความไม่โกรธ หมายถึงความมีเมตตาเป็นเบ้ืองต้น (๘) ความไม่เบียดเบียน หมายถึงความมี กรุณาเป็นเบื้องต้น (๙) ความอดทน หมายถึงความอดกล้ัน และ (๑๐) ความไม่คลาดจากธรรม หมายถงึ ความไมข่ ัดเคือง๕๔ คัมภีร์พระไตรปิฎก และคัมภีร์อรรถกถา มีความพยายามจะยกย่อง และเชิดชูหลัก ทศพิธราชธรรม เห็นได้จากตัวอย่างของพระราชาผู้ทรงธรรมท่ีปรากฏในคัมภีร์พระไตรปิฎก และ คัมภีร์อรรถกถา มักจะผูกติดอยู่กับทศพิธราชธรรมเป็นสาคัญ ทั้งนี้เพราะหลักการของ พระพทุ ธศาสนาเช่ือว่า หากพระราชาทรงธรรม เหล่าข้าราชบริพาร ไพร่ฟ้าประชาชนก็จะทรงธรรม ตามไปดว้ ย ขอ้ ความในคมั ภรี จ์ งึ มตี ัวอยา่ งการเปรียบเทียบฝูงโค ทานองว่า เมื่อฝูงโคข้ามน้าไป ถ้าโค จา่ ฝงู ไปคดเคี้ยว โคท้งั ฝงู ก็ไปคดเค้ียวตาม ในหมู่มนุษย์ก็เหมือนกัน ผู้ใดได้รับแต่งต้ังให้เป็นใหญ่ ถ้า ผู้นั้นประพฤติไม่เป็นธรรม ประชาชนชาวเมืองนั้นก็จะประพฤติไม่เป็นธรรมตามไปด้วย หาก พระราชาไม่ตั้งอย่ใู นธรรม ชาวเมอื งน้ันก็อยู่เป็นทุกข์๕๕ หลักฐานจากพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาสะท้อนให้เห็นว่า พระราชาท้ังหลายจะถูก ตรวจสอบภายใต้หลักทศพิธราชธรรมน้ีด้วย ในยุคใดสมัยใด พระราชาไม่ทรงธรรม ก็จะถูกล้มล้าง จากเหล่าเช้ือพระวงศ์ หรือเหล่าข้าราชสานกั ผูม้ คี วามจงรักภกั ดีต่อบ้านเมอื ง ตัวอย่างกษัตริย์ผู้ทรงทศพิธราชธรรม ทรงพระปรีชา มีความสามารถ และได้รับการยก ย่อง เช่น สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ, สมเด็จพระมหาจักรพรรดิราชาธิราช, สมเด็จพระนเรศวร มหาราช,สมเดจ็ พระเอกาทศรฐ, สมเดจ็ พระนารายณ์มหาราช เปน็ ต้น ๕๓ ข.ุ ชา. (ไทย) ๒๘/๑๗๖/๑๑๒. ๕๔ ขุ.ชา.อ. (ไทย) ๒๘/๑๗๖/๒๖๑. ๕๕ อ.จตุกกฺ . (ไทย) ๒๑/๗๐/๑๑๕-๑๑๖.
๑๒๖ ตัวอย่างกษัตริย์ที่ไม่ตั้งอยู่ในธรรม และถูกโค่นบัลลังก์ เช่น สมเด็จพระยอดฟ้า, ขุน- วรวงศาธิราช ไม่ได้รับการยกย่องหรือนับเนื่องในกษัตริย์กรุงศรีอยุธยา, สมเด็จพระมหินทราธิราช, สมเดจ็ พระอาทติ ยวงศ,์ พระเจ้าเสอื เป็นตน้ อน่ึง ในพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา พบคาว่า ทศพิธราชธรรม หลายครั้ง๕๖ บริบท ทพ่ี บมักมีท้งั เชงิ รบั (แสดงถึงคุณธรรมที่ดีงามของกษัตริย์) และเชิงปฏิเสธ (แสดงถึงความไม่ต้ังอยู่ใน คุทศพิธราชธรรม) แม้รายละเอียดจะไม่แสดงให้เห็นครบก็ตาม แต่ก็พออนุมานความหมาย หรือ ความประสงคไ์ ด้ ๔.๓ คตนิ ยิ มทางสงั คมทมี่ ตี อ่ พระพทุ ธศาสนา ๔.๓.๑ คตินิยมการสร้างพระพทุ ธรปู ฉลองพระองค์ ปราชญ์ท้ังหลายสร้างพระพุทธรูป หรือพระปฏิมาเพื่อเป็นพุทธานุสติ คือเป็นส่ือสาหรับ อนุสรณ์ถึงพระพุทธเจ้า ถือเป็นเจดีย์ประเภทหน่ึง (อุเทสิกเจดีย์) ในบรรดาเจดีย์ ๔ ประเภท (ธาตุ เจดยี ์, ธรรมเจดยี ์, บรโิ ภคเจดีย์, และอเุ ทสกเจดีย)์ คตนิ ิยมในการสรา้ งพระพทุ ธรูป มคี วามสัมพันธ์กบั เหตกุ ารณใ์ นพุทธประวัติ เหตุดังกล่าว นี้ พระพุทธรูปจึงมีลายลักษณะ เรียกว่า ปาง เช่น พระพุทธรูปบางสมาธิ, ปางไสยาสน์, ปางลีลา, ปางนาคปรก, ปางราพงึ , ปางขอฝน, ปางประทานอภยั เปน็ ต้น อย่างไรก็ตาม ในงานวิจัยเรื่อง “การศึกษาวิเคราะห์สัญลักษณ์ทางพระพุทธศาสนาใน สงั คมไทย” ได้พบข้อเท็จจริงประการหน่ึงว่า พระพุทธรูป ซึ่งประติมากรรมรูปเคารพ นอกจากจะใช้ เป็นพุทธานสุ สติแล้ว ยังถูกนาใช้เป็นสัญลักษณ์สะท้อนวิถีชีวิต คติความเชื่อของคนในชุมชน หรือใน สังคมไทยในรูปแบบต่าง ๆ เช่น พระพุทธรูปประจาพระชนมวาร, พระประจาวันเกิด, พระ คบู่ า้ นคูเ่ มอื ง, กาเนิดตานานโบราณสถาน โบราณวตั ถุศกั ดส์ิ ทิ ธ์คิ บู่ ้านคเู่ มอื ง ๕๗ พงศาวดารกรุงศรีอยุธยา พบหลักฐานการสร้างพระพุทธรูปประจาพระชนมวารในสมัย สมเด็จพระเอกาทศรฐ เป็นพระพุทธรูปฉลองพระองค์จานวน ๕ พระองค์ บุด้วยวัสดุแตกต่างกัน ออกไปทั้ง ๕ พระองค์๕๘ ในสมัยพระเจ้าเอกทัศ ก็มีหลักฐานระบุว่า ได้โปรดให้หล่อพระพุทธรูปเท่า พระองค์ ครน้ั หลอ่ เสรจ็ แล้วก็พระราชทานทรัพย์ทาการฉลอง แล้วอัญเชิญไปไว้กับพระศรีสรรเพชญ์ ในพระวิหารในพระราชวัง๕๙ บนั ทกึ ฝ่ายจีนในจดหมายเหตุเร่ืองพระราชไมตรีระหว่างกรุงสยามกับกรุงจีน ได้กล่าวถึง สมัยแผน่ ดนิ พระเจา้ อย่หู วั บรมโกฐวา่ ทรงได้เคยขอร้องให้ทางจีนลดหย่อนข้อบังคับบางประการเพื่อ ๕๖ เช่น พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับจันทนุมาศ (เจิม), หน้า ๑๔๗, ๒๑๒, ๒๕๑, ๒๗๑, ๒๙๑ เปน็ ต้น. ๕๗ พระครูศรีปัญญาวิกรม, (บุญเรือง ปญฺญาวชิโร/เจนทร), “การศึกษาเชิงวิเคราะห์สัญลักษณ์ทาง พระพทุ ธศาสนาในสงั คมไทย”, วทิ ยานิพนธ์พุทธศาสตรดษุ ฎีบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลง กรณราชวิทยาลยั , ๒๕๕๗), หน้า ๑๔๖. ๕๘ พระราชพงศาวดารกรงุ ศรอี ยธุ ยา ฉบบั จนั ทนมุ าศ (เจมิ ), หนา้ ๒๕๘. ๕๙ พระราชพงศาวดารกรงุ ศรีอยธุ ยา, คาใหก้ ารชาวกรงุ เกา่ , หน้า ๕๖๓.
๑๒๗ สะดวกในการนาทองเหลืองไปสร้างพระพทุ ธรปู ทางจีนไมอ่ นุญาต แต่เพ่ือเป็นการรักษาน้าใจฝ่ายศรี อยุธยา จงึ ได้มอบทองเหลืองให้ ๘ ชงั่ ๖๐ ๔.๓.๒ คตนิ ิยมเรือ่ งการให้มีการฉลอง และมีมหรสพสมโภช การจดั ให้มมี หรสพ การฉลอง ในงานบุญต่าง ๆ นบั เปน็ ธรรมเนียมหนึ่งที่น่าสนใจ เพราะ หากสืบสาวบันทึกหลักฐานจากพระไตรปิฎกก็ดี คัมภีร์อรรถกถาก็ดี จะเห็นร่องรอยหลักฐานชัดเจน สืบทอดกนั มาเป็นระยะเวลายาวนาน การให้มีมหรสพน่าจะเร่ิมจากในบ้านกอ่ น๖๑ พระภิกษุเองเมื่อได้ทราบข่าวการมหสพในที่ ใกล้ ๆ วัดท่ีสามารถเดินไปดูได้ ก็ปรารถนาจะไปดูเหมือนอย่างชาวบ้านท่ัวไป เช่นกรณีของภิกษุ สตั ตรสวคั คีย์๖๒ ซ่ึงต่อมาไดก้ ลายเป็นข้อห้ามการเท่ียวดูมหรสพสาหรับพระภิกษุ, การมหสพบางคร้ัง ก็มีการนิมนต์พระสงฆ์ไปฉันในเรือน กรณีเช่นนี้ทรงอนุญาตให้ภิกษุรับนิมนต์ได้ไม่ถือเป็นอาบัติ ซึ่ง อาจถอื เป็นธรรมเนียมมที ั้งงานบาเพ็ญกศุ ลและมกี ารมหรสพด้วย๖๓ จากการสืบค้นพระไตรปิฎก พบคาว่า “ฉลอง” ในบริบทที่เก่ียวข้องกับ อาราม วิหาร เจดยี ์ และอน่ื ๆ ดงั น้ี ฉลองต้นโพธ์ิ พบ ๔ ครั้ง๖๔ ฉลองวิหาร พบ ๑ ครั้ง๖๕ การสร้างสถูปบรรจุพระบรม สารีริกธาตุและทาการฉลอง พบ ๒๒ คร้ัง๖๖ สร้างวิหารและทาการฉลอง พบ ๒ คร้ัง๖๗, ฉลองแท่น สาหรับบูชา ๑ ครง้ั ๖๘ ฉลองที่พบในบริบทเหล่านี้ ไม่มีคามหรสพร่วมอยดู่ ้วย แม้จะพบคาว่า มหรสพ อยทู่ ว่ั ไปกต็ าม ในคัมภีร์อรรถกถา พบคาว่า ฉลองเจดีย์ ๑ ครั้ง๖๙ ขณะท่ีการฉลองวิหารพบบ้าง เช่น การฉลองวหิ ารของนางวิสาขา ใชเ้ วลา ๔ เดือน๗๐ การฉลองวิหารของพระเจ้าธรรมาโศกราช๗๑ การ ฉลองวิหารของอนาถปิณฑกิ เศรษฐี๗๒ อรรถกถาระบุว่าเฉพาะการฉลองท่านใช้ทรพั ยห์ มดไป ๑๘ โกฎิ ๖๐ พระเจนจนี อกั ษร (สุดใจ ตณั ฑากาศ) ผู้แปล, จดหมายเหตุเรื่องพระราชไมตรีระหว่างกรุงสยาม กบั กรงุ จีน, หนา้ ๕๒. ๖๑ หลกั ฐานการเล่นมหรสพมกั เป็นทีบ่ ้าน เชน่ ว.ิ มหา.(ไทย) ๒/๖๒๐/๑๔๐. ๖๒ วิ.มหา.(ไทย) ๒/๒๔๗/๔๐๔. ๖๓ ว.ิ มหา.(ไทย) ๒/๕๖๔/๖๓๖. ๖๔ ข.ุ ชา.(ไทย) ๒๗/๘๑/๔๐๙. เปน็ ตน้ ๖๕ วิ.ภิกขฺ ุณี. (ไทย) ๓/๙๒๕/๒๐๙. ๖๖ ที.ม. (ไทย) ๑๐/๒๓๖-๒๓๘/๑๗๗-๑๗๙. เปน็ ตน้ ๖๗ ข.ุ วิมาน.(ไทย) ๒๖/๗๘๙/๙๐. ๖๘ ขุ.อป.(ไทย) ๓๒/๑๑/๓๐๘. ๖๙ ขุ.อป.อ.(ไทย) ๘/๒/๔๙๐. ๗๐ ท.ี ปา.อ.(ไทย) ๓/๑/๑๖๗. ๗๑ ม.มู.อ. (ไทย) ๑/๒/๓๖๓. ๗๒ อ.เอก.อ.(ไทย) ๑/๑/๓๕๕.
๑๒๘ ระยะเวลาในการฉลอง ๙ เดือน๗๓ และในการฉลองเหล่านี้ ไม่พบการให้มีการเล่นมหรสพในการ ฉลอง พบแต่เพียงการถวายทานแดพ่ ระสงฆ์หมใู่ หญ่ นบั จานวนตงั้ แต่ ๕๐๐ จนถึงหลักหม่ืน หลักฐานจากพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา พบคตินิยมเรื่องการฉลองในการบาเพ็ญกุศล ลักษณะต่าง ๆ อยู่ทั่วไป เช่น ฉลองพระ, ฉลองวัด, ฉลองพระพุทธบาท, ฉลองพระวิหาร,ฉลองพระ สารีริกธาตุ เป็นตน้ ระยะเวลาในการฉลองมีต้งั แต่ ๓ วัน ๗ วนั ๑๕ วัน นอกจากนย้ี งั พบคตินยิ มซ่ึงไม่ปรากฏในคมั ภรี ์พระไตรปิฎกและคัมภีร์อรรถกถาก็คือ การ ให้เล่นมหรสพในการฉลองนัน้ ดว้ ย เชน่ ใน พ.ศ. ๒๐๐๗ ทรงพระกรุณาให้เล่นการมหรสพฉลองพระ ศรีรัตนมหาธาตุ ๑๕ วัน๗๔ สมเด็จพระเอกาทศรฐ เสด็จนมัสการพระพุทธชินราช โปรดให้แต่งการ ฉลองแล้วให้เล่นมหรสพบูชานมสั การแก่พระพุทธเจา้ นน้ั ๗ วัน ๗ คืน๗๕ รัชสมัยของสมเด็จพระเพท ราชา เพื่อจะทรงแสดงความกตัญญูกตเวทิตาธรรมพระอาจารย์วัดพระยาแมน ก็โปรดให้สถาปนา พระอุโบสถ วิหาร ศาลาการเปรียญ เสนาสนะกุฎิแล้วพระราชอุทิศถวาย และจัดให้ให้มีการสมโภช ๗ วัน ๗ คืน มเี ครื่องเล่นสมโภชพรอ้ มทงั้ ๗ วัน ๗ คืน๗๖ แสดงให้เหน็ วา่ คตินยิ มให้มีการมหรสพในงานฉลองต่าง ๆ ท่ีจัดข้ึนในวัด ปรากฎชัดเจน แล้วในสมัยกรุงศรีอยุธยา และคตินิยมดังกล่าว ยังคงผู้นิยมชมชอบตราบเท่าถึงปัจจุบัน แม้จะไม่ใช่ สาระสาคัญทางพระพทุ ธศาสนากต็ าม แต่ก็ถือเป็นคตินิยมแบบชาวบ้าน ที่มีอิทธิพลต่อกิจกรรมท่ีจัด ข้ึนในวดั พระพทุ ธศาสนา ๔.๓.๓ คตินยิ มเร่ืองลาง คาว่า ลาง หมายถึง ส่ิงหรือปรากฏการณ์ที่เช่ือกันว่าจะบอกเหตุดีหรือเหตุร้าย เช่น ผึ้ง ทารังทางด้านทิศตะวันออกของอาคารเช่ือกันว่าเป็นลางดี แมงมุมตีอกเชื่อกันว่าเป็นลางร้าย๗๗ คติ ความเช่ือเร่ืองลาง ถือเป็นเร่ืองเก่าแก่ท่ีมีมานานพร้อม ๆ กับสังคมมนุษย์ บางสังคมจึงมักมีผู้ท่ีทา หนา้ ท่ี “ทานาย” หรอื “พยากรณ”์ เปน็ การเฉพาะ ไม่เวน้ แมก้ ระทง่ั ในราชสานัก คนไทยมีความเช่ือเร่ืองลางเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แม้เม่ือหันมานับถือพระพุทธศาสนา คติ นิยมความเชื่อเร่ืองลางก็ยังมีอิทธิพลต่อวิถีชีวิตอยู่ เมื่อประสบกับเหตุการณ์ต่าง ๆ อันเก่ียว หรือ เนอื่ งกับพระพทุ ธศาสนา ก็จะถกู ตีความเปน็ เร่อื ง “ลาง” อยา่ งใดอย่างหนึ่ง พงศาวดารกรุงศรีอยุธยา พบคตินิยมเรื่องลางบอกเหตุ ที่เช่ือมโยงกับมิติทาง พระพุทธศาสนาหลายคร้ัง มที ้ังลางดี และลางไม่ดี (๑) ดา้ นดี เช่น การแสดงปาฏิหาริย์ของพระสารีริกธาตุให้ปรากฏในโอกาสต่าง ๆ เช่น ในรัชสมัย สมเด็จพระราเมศวร ๑ คร้ัง๗๘ ในรัชสมัยของพระมหาธรรมราชาธิราช สมเด็จพระนเรศวรเสด็จ ๗๓ อ.ทกุ .อ.(ไทย) ๑/๒/๖๐. ๗๔ พระราชพงศาวดารกรงุ ศรอี ยธุ ยา ฉบับจนั ทนุมาศ (เจมิ ), หน้า ๕๕. ๗๕ เรอ่ื งเดียวกนั , หน้า ๑๔๓. ๗๖ เร่อื งเดียวกัน, หน้า ๓๑๙. ๗๗ ราชบัณฑิตยสถาน, พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.๒๕๕๔, (กรุงเทพฯ: ราชบณั ฑติ ยสถาน,๒๕๕๖), หน้า ๑๐๕๑. ๗๘ พระราชพงศาวดารกรุงศรอี ยุธยา ฉบับจันทนมุ าศ (เจมิ ), หนา้ ๔๗.
๑๒๙ ยาตราทัพมักจะทอดพระเนตรเห็นพระสารีริกธาตุแสดงปาฏิหาริย์จานวน ๕ ครั้ง และทุกครั้งท่ีเห็น ก็มักจะถือเป็นลางบอกเหตุดี คือการได้ชัยต่อข้าศึกศัตรู๗๙ ในรัชสมัยของสมเด็จพระบรมราชาที่ ๒ (สมเด็จพระเชษฐาธิราช) เจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์ รวบรวมกาลังพลยึดราชบัลลังก์จากพระ เชษฐาธิราช ก่อนดาเนินการก็ได้อธิษฐานจิตให้สาเร็จดังประสงค์ ถึงเวลาค่าคอยฤกษ์พร้อม ก็ ทอดพระเนตรเห็นพระสารีริกธาตุแสดงปาฏิหาริย์เสด็จมาแต่ทิศประจิมผ่านไปทางทิศปราจีน ได้ นิมิตเป็นมหามงคลฤกษ์อันประเสริฐ ก็ยกพลเข้าประตูมงคลสุนทร ให้ทหารเอาขวนฟันประตูเข้าไป ได๘้ ๐ การเสย่ี งเทียนของขุนพเิ รนเทพ ขนุ อินทรเทพ หมื่นราชเสน่หา และหลวงศรียศ เม่ือคร้ัง จะยึดอานาจจากขุนวรวงศาธิราช ได้กระทาต่อหน้าพุทธปฏิมา อ้างเจดีย์ ๕ ประเภท ได้แก่ พระ ปฏิมากร ตน้ ศรมี หาโพธิ์ พระสถูป พระชนิ ธาตุ และพระไตรปฎิ กเป็นพยาน ใช้เทียน ๒ เล่ม เล่มหนึ่ง เป็นตวั แทนฝา่ ยศัตรู อีกเล่มหน่ึงเปน็ ส่วนของตนในการเส่ยี งทาย โดยถือวา่ เทียนเล่มใดดับก่อน ฝ่าย นั้นจะเป็นฝ่ายแพ้๘๑ การเส่ียงทายของพระยาแสนหลวง และชาวเมืองเชียงใหม่ถูกจีนฮ้อยกพลมาล้อม เชียงใหม่ หาที่พึ่งไม่ได้ จึงเสี่ยงทายต่อหน้าพระพุทธสิหิงค์ว่า ถ้าประเทศใดจะเป็นที่พ่ึงพานักได้ ขอให้พระพุทธปฏมิ าแสดงใหเ้ หน็ ประจักษ์ ผลการเส่ียงทายพระพุทธสิหิงค์บ่ายพระพักตร์มาทางกรุง ศรีอยุธยา จึงขอพ่งึ กาลังจากกรุงศรีอยุธยาไปช่วย พร้อมท้ังแสดงความประสงค์เป็นเมืองข้ึนของกรุง ศรีอยุธยาตลอดไป๘๒ ตัวอย่างลางดี ซ่ึงไม่มีส่วนเก่ียวข้องกับพระพุทธศาสนา เช่น เม่ือคราวที่พระนเรศวรทา ยทุ ธหตั ถกี ับพระมหาอุปราช ก็เกิดกอ้ นเมฆบนอากาศบันดาลรูปเศวตฉัตรกางก้ันอยู่ตรงพระคชาธาร พระนเรศวรพอดี ทาใหไ้ พรพ่ ลเกดิ ความปีติยินดี เพราะถือเป็นลางทจี่ ะได้มีชัยตอ่ พระมหาอุปราช๘๓ (๒) ดา้ นไม่ดี เช่น ปี ๑๙๖๗ สมเด็จพระราเมศวรเสด็จเมืองพิษณุโลก ทรงเห็นน้าพระเนตรของพระ พุทธชินราชออกเป็นสีแดงเหมือนเลือด ถัดแต่น้ันมาอีก ๒ ปี ก็เกิดเหตุการเพลิงไหม้พระราช มณเฑียร และพระท่ีน่ังตรีมุข๘๔ เม่ือใกล้จะเสียกรุงศรีอยุธยา เกิดลางคือพระพุทธปฏิมากรใหญ่วัดพ นัญเชิงมีน้าพระเนตรไหล พระพุทธปฏิมากรติโลกนาถซ่ึงแกะด้วยไม้พระศรีมหาโพธิ์ พระทรวงแยก ออกเป็น ๒ ภาค พระพุทธปฏิมากรทองคาเท่าตัวคน และพระพุทธสุรินทร์ซ่ึงหล่อด้วยนาค ซึ่ง ประดิษฐานอยู่ในวัดพระศรีสรรเพชญ์ในพระราชวัง มีพระฉวีเศร้าหมอง พระเนตรท้ังสองหลุดหล่น ๗๙ ดูรายละเอียดในพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับจันทนุมาศ (เจิม), ครั้งท่ี ๑ หน้า ๑๔๑, ครั้งที่ ๒ หน้า ๑๔๔, ครั้งที่ ๓ หนา้ ๑๔๙, ครัง้ ที่ ๔ หนา้ ๑๗๔, ครงั้ ท่ี ๕ หนา้ ๒๐๙ ๘๐ พระราชพงศาวดารกรงุ ศรอี ยุธยา ฉบบั จนั ทนมุ าศ (เจิม), หน้า ๒๖๗. ๘๑ เรอื่ งเดียวกัน, หนา้ ๖๗. ๘๒ เรือ่ งเดยี วกัน, หนา้ ๓๐๗. ๘๓ พระราชพงศาวดารกรงุ ศรีอยธุ ยา คาให้การชาวกรงุ เก่า, หนา้ ๕๑๒. ๘๔ พระราชพงศาวดารกรงุ ศรีอยธุ ยา ฉบบั หลวงประเสริฐ, หน้า ๓๙๕.
๑๓๐ ลงอยู่บนพระหัตถ์ มีกาสองตัวตีกัน ตัวหนึ่งบินโผลงตรงยอดเหมฉัตรเจดีย์ท่ีวัดมหาธาตุ อกสวมลง ตรงยอดพระเจดียเ์ หมือนดงั คนจบั เสียบไว้๘๕ ตัวอย่างลางไม่ดี ซึ่งไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนา มีให้เห็นอยู่หลายคร้ังใน พงศาวดารกรงุ ศรีอยธุ ยา เชน่ โคตกลกู ตวั หนงึ่ เปน็ ๘ เท้า ไก่ฟกั ฟองตกลูกตวั เดียวเป็น ๔ เท้า ไก่ฟัก ฟองคู่ขอนตกลูกเป็น ๖ ตัว ข้าวสารงอกเป็นใบ๘๖ เป็นลางร้ายบอกเหตุการสวรรคตของสมเด็จพระ บรมไตรโลกนาถในเวลาต่อมา ๔.๓.๔ คตินิยมการคานึงถงึ สมณชพี ราหมณ์ ในช่วงท่ีกรุงศรีอยุธยาดารงความเป็นราชธานี มีหลักฐานจากพงศาวดารหลายแห่งระบุ ถึงการทาศึก มีทั้งท่ีฝ่ายไทยยกไปตีบ้านอ่ืนเมืองอื่น และมีท้ังที่ฝ่ายบ้านเมืองอ่ืนยกมาตี หรือรบกับ ไทย การตัดสนิ ใจรบหรือไม่รบ นอกจากจะพิจารณาถึงกาลังรบแล้ว ส่วนหน่ึงที่ถือเป็นเหตุผลสาคัญ ในการในการรบ หรือไม่รบก็คือการอ้างความเดือดร้อนของสมณชีพราหมณ์ ถ้าเห็นว่ากาลังน้อย ไม่ สามารถต้านข้าศึกได้ ทาสงครามแล้วสมณชีพราหมณ์จะเดือดร้อน ก็จะงดเว้น ยอมยกเมืองให้แต่ โดยดี เพ่ือป้องกันความเสียหายท่ีจะพึงเกิดขึ้น หลกั ฐานจากพงศาวดารทสี่ ะท้อนคตนิ ิยมดงั กล่าวข้างตน้ พงึ พิจารณาตวั อยา่ งต่อไปนี้ ๑ “อนั ศึกพระเจ้าหงสาวดีมาครั้งนี้เป็นอนั มาก เสยี งพลเสียงชา้ งม้าดังเกิดลมพายุใหญ่ เห็น เหลือกาลังเรานัก ถ้าเรามิออกไป พระเจ้าหงสาวดีก็จะให้ทหารเข้าหักเหยียบเอาเมือง สมณชี พราหมณ์อาณาประชาราษฎร์จะเถิงแก่พินาศฉิบหายส้ิน ท้ังพระพุทธศาสนาก็จะเศร้าหมองดูมิควร เลย จาเราจะออกไป เถิงสมเด็จพระมหาจักรพรรดิราชาธิราชพระเจ้าช้างเผือกจะทรงพระพิโรธ ประการใดก็ดี ก็ตายแตต่ วั จะแลกเอาชวี ติ สตั วใ์ หร้ อด”๘๗ หมายเหตุ: ข้อความข้างต้นสืบเน่ืองมาจากพระเจ้าหงสาวดียกทัพมาตีกรุงศรีอยุธยา ระหว่างทาง ไดย้ กทัพผ่านเมืองพิษณุโลก เจ้าเมืองพษิ ณุโลกยอมแพไ้ ม่ยอมรบ ดว้ ยประเมินกาลังแล้ว ไมอ่ าจตา้ นทานได้ ๒ “ถ้าเรามิออกไป สมณชีพราหมณ์ประชาราษฎรไพร่ฟ้าข้าขอบขัณฑสีมา จะถึงแก่ความ พินาศฉบิ หาย ทั้งพระศาสนาก็จะเศร้าหมอง จาเราจะออกไป มาตรว่าสมเด็จพระเจ้าหงสาวดีมิคงอยู่ ในสตั ยานุสตั ยด์ ั่งราชสาส์นเข้ามาน้นั กต็ ามเถิด แตเ่ ราจะรกั ษาสัตยานุสัตย์ให้มนั่ ”๘๘ หมายเหตุ: กองทัพของพระเจ้าหงสาวดีมาถึงเมืองหลวงแล้ว สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ ราชาธริ าช ก็ดาหรคิ ล้าย ๆ กบั เจ้าเมืองพิษณุโลก ๘๕ พระราชพงศาวดารกรงุ ศรีอยธุ ยา คาให้การชาวกรุงเกา่ , หนา้ ๕๗๔. ๘๖ พระราชพงศาวดารกรุงศรอี ยธุ ยา ฉบบั จนั ทนุมาศ (เจิม), หนา้ ๕๖. ๘๗ เร่ืองเดยี วกัน, หน้า ๙๖-๙๗. ๘๘ เรอ่ื งเดียวกนั , หน้า ๑๐๐.
๑๓๑ ๓ “อนิจจาพระเจา้ อาเรานี้ คดิ วา่ สมเดจ็ พระปิตุราชสวรรคตแล้ว ยังแต่พระเจ้าอาก็เหมือน พระบรมราชบิดายังอยู่ จะปกป้องราชวงศานุวงศ์สืบไป ควรหรือมาเป็นได้ดังนี้ พระองค์ปราศจาก หิริโอตตัปปะแล้ว ไหนจะครองราชสมบัติเป็นยุติธรรมเล่า น่าท่ีจะร้อนอกสมณชีพราหมณ์อาณา ประชาราษฎร์ไพร่ฟา้ ขา้ แผ่นดินเปน็ แท้”๘๙ หมายเหตุ: สมเดจ็ พระนารายณย์ ึดอานาจจากสมเด็จพระศรีสุธรรมราชาธิราช เน่ืองจาก ทรงเห็นว่าประพฤติอธรรมใช้กาลังบังคับจะเสพสังวาสกับพระกัลยาณีซึ่งเป็นขณิษฐาของพระองค์ ปล่อยไวเ้ กรงจะทาใหบ้ ้านเมืองเดือดร้อน ๔.๓.๕ คตินยิ มการถวายเครอื่ งทรงบชู าพระพุทธรูป คาวา่ เคร่อื งทรง ผวู้ ิจัยหมายเอาเครอ่ื งทรงสาหรับพระมหากษัตริย์อย่างใดอย่างหน่ึง ท้ัง ที่เป็นเคร่ืองประดับยศ เครื่องประดับท่ัวไป พระภูษา รวมถึงวัตถุอื่นใดท่ีพระมหากษัตริย์ทรงใช้ใน ขณะนน้ั ๆ เครือ่ งทรง หรือเครื่องประดับประดาต่าง ๆ ถือว่าเป็นเรื่องของ “โลก” เหมาะสาหรับผู้ ครองเรอื น หรือเป็น “ฆราวาสวิสัย” ไม่มีความจาเป็นสาหรับสมณะผู้สละเรือนออกบวช การถวาย เคร่ืองประดับใด ๆ ไม่ว่าจะเป็นเคร่ืองประดับศีรษะ เครื่องประดับคอ เคร่ืองประดับข้อมือ เคร่ืองประดับเท้า เคร่ืองประดับเอว เป็นต้น ถือเป็นเร่ืองต้องห้ามตามพระวินัย ภิกษุไม่สามารถ ครอบครัวได้ รปู ใดครอบครองต้องอาบัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์๙๐ แม้พระพุทธเจ้าทั้งหลายก็ละ หรือเป็น ผทู้ รงปลงเครื่องหมายคฤหัสถ์หมดแล้ว๙๑ ชาวพุทธท้ังหลายถือคติอย่างนี้ เมื่อสร้างพระพุทธปฏิมา จึงไม่นิยมให้มีเครื่องประดับใด ๆ กาลต่อมา ก็เกิดแนวคิดเรื่อง “เคร่ืองทรง” โดยถือว่า พระพุทธเจ้าก็ทรงเป็นกษัตริย์ ธรรมเนียม การสร้างพระพุทธปฏิมาทรงเครื่องอย่างกษัตริย์จึงเกิดขึ้น เคร่ืองทรงจึงเสมือนเป็นการประกาศ ศรัทธาของผู้สรา้ งอกี โสตหน่ึง สมัยกรงุ ศรอี ยุธยาจึงเกิดธรรมเนยี มการสร้างพระพทุ ธรูปทรงเครือ่ ง หลักฐานการถวายเครื่องทรงเป็นพุทธบูชาพบอยู่ทั่วไปในพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา เช่น เมือ่ ครงั้ สมเดจ็ พระนเรศวรยกทพไปไปถงึ พระพนมตรัด ให้ปิดทองพระมหาธาตุแล้ว ก็ถวายพระภูษา เปน็ ฉัตรธงบูชาพระมหาธาตุ ครั้นยกทพั กลับถงึ เมอื งพิษณุโลก ก็เปลื้องเครื่องทรงออกบูชาถวายพระ พุทธชินราช และพระชินสีห์ แล้วให้กระทาการสมโภชมีการมหรสพเป็นเวลา ๓ วัน๙๒ อีกวาระหนึ่ง เมื่อสมเด็จพระนเรศวรรวบรวมไพร่พลประกาศอิสรภาพจากพม่า ได้นิมนต์พระมหาเถรคันฉองมา อาศัยอยู่ท่ีกรุงศรีอยุธยาแล้ว เสด็จกลับเมืองพิษณุโลก เมื่อเสด็จไปถึงก็ได้ถวายนมัสการพระชินราช ๘๙ พระราชพงศาวดารกรุงศรอี ยธุ ยา ฉบบั พนั จนั ทนุมาศ (เจิม), หนา้ ๒๘๕. ๙๐ วิ.มหา.(ไทย) ๒/๕๘๙/๑๑๓. ๙๑ ข.ุ จู. (ไทย) ๓๐/๑๓๐/๔๓๑. ๙๒ พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยธุ ยา ฉบบั พันจันทนมุ าศ (เจิม), หน้า ๑๓๗.
๑๓๒ พระชินศรี พร้อมทั้งทรงมีจิตศรัทธา ได้เปลื้องเครื่องสุวรรณลังกาขัตติยาภรณ์บูชา๙๓ เหมือนดังท่ี ทรงเคยปฏบิ ัติมา ในรัชสมัยของสมเด็จพระเอกาทศรฐ ก็มีหลักฐานระบุว่า ทรงมีพระราชศรัทธาใน พระพุทธศาสนาอย่างยิ่ง ทรงพระอุตสาหะเสด็จไปนมัสการพระพุทธบาทท่ีเขารังรุ้ง พร้อมกับทรงมี พระราชศรทั ธาถวายพระมหามงกฎุ กับสังวาลของพระนเรศวรเป็นพทุ ธบูชา๙๔ ๔.๓.๖ คตนิ ยิ มพธิ กี ารศพเจ้านายชน้ั ผใู้ หญ่ คาวา่ เจ้านายชน้ั ผใู้ หญ่ ในท่นี ี้ หมายเอา พระมหากษัตรยิ ์ และพระบรมวงศานวุ งศ์ การจัดการพระศพ พระบรมศพ ถือเป็นการถวายพระเกียรติท่ีสาคัญอย่างหน่ึงพระ มหาษัตรยิ ์ หรอื พระบรมวงศานุวงศผ์ ้มู คี วามสาคัญต่อบ้านเมือง ซึ่งนิยมจัดทาเป็นงานใหญ่ หลักฐาน จากพงศาวดารที่แสดงความยิ่งใหญ่ของงานส่วนหน่ึงก็คือ ๑) จานวนพระสงฆ์ท่ีร่วมพิธี ๒) ความ พร้อมเพรียงกนั ของสงฆ์ท้ังฝา่ ยคามวาสี และอรญั ญวาสี ซึง่ พงศาวดารจะเรียกว่า “สบสังวาส” พิจารณาตวั อยา่ งจากข้อความคดั มาจากพงศาวดารตอ่ ไปน้ี ๑ “นิมนต์พระสงฆ์สบสังวาส ๑๐,๐๐๐ ถวายทักษิณาทานบูชาพระสงฆ์ทั้งปวงโดยบุราณ ราชประเวณีพระมหากษัตราธิราชเจ้าแต่ก่อน จึงพระบาทสมเด็จพระบรมพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว ก็ ถวายพระเพลิงแล้วให้รับพระอฐั ิธาตุเขา้ มาไว้ ณ วัดพระศรสี รรเพชญ์ นิมนต์พระสงฆ์สดับปกรณ์แล้ว ก็บรรจุอฐั ิธาตุ”๙๕ ๒ “ณ เดือน ๕ ปีมะแมตรีศก ศักราช ๑๐๖๓ (พ.ศ.๒๒๔๔) จึงให้เชิญพระบรมศพข้ึนบน พระมหาพิชัยราชรถ แห่แหนเป็นกระบวนไปเข้าพระเมรุมาศ มีการมหรสพและพระสงฆ์ ๑๐,๐๐๐ สดับปกรณ์คารบ ๓ วันตามอย่างทุกคร้ัง แล้วถวายพระเพลิง เชิญพระอัฐิโกศน้อยแห่เป็นกระบวน เข้ามาบรรจุไว้ทา้ ยจระนาพระวหิ ารใหญว่ ัดพระศรีสรรเพชญ์”๙๖ ๓ “คร้ัน ณ วันพฤหัสบดี ปีฉลู ศักราช ๑๐๖๘ (พ.ศ.๒๒๔๙) ให้เชิญพระบรมโกศสข้ึนบน พระมหาพิชัยราชรถแล้ว เสนอพฤฒามาตย์ราชปุโรหิตสพั่งพร้อมแห่แหนพระบรมศพ ไปตามรถยา ราชวัติเข้าสู่พระเมรมุ าศใหท้ ้ิงทานตน้ กัลปพฤกษ์ มกี ารมหรสพ พระสงฆ์สดับปกรณ์ ๑๐,๐๐๐ คารบ ๓ วนั แล้วถวายพระเพลงิ ครน้ั ดับพระเพลงิ แลว้ จงึ นิมนต์พระสงฆ์สดับปกรณ์อีก ๑๐๐ รูป เก็บพระ อฐั ิใสพ่ ระโกศนอ้ ย แหแ่ หนไปบรรจุไว้ท้ายจระนาพระวหิ ารใหญ่วัดพระศรสี รรเพชญ์”๙๗ ๔ “ทรงพระกรุณาตรัสส่ังให้ทาพระเมรุมาศขนาดน้อย ข่ือ ๕ วา ๒ ศอก พระสงฆ์ สดับปกรณ์ ๑๐,๐๐๐ ให้ลดเสียเอาแต่ ๕,๐๐๐ ให้จับการทาพระเมรุ ๑๐ เดือนจึงสาเร็จ คร้ันเดือน ๙๓ พระราชพงศาวดารกรงุ ศรีอยุธยา ฉบบั พันจันทนมุ าศ (เจมิ ), หนา้ ๑๔๕. ๙๔ พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา คาใหก้ ารชาวกรุงเกา่ , หนา้ ๕๑๖. ๙๕ พระราชพงศาวดารกรงุ ศรีอยุธยา ฉบบั จันทนุมาศ (เจมิ ), หนา้ ๒๙๒. ๙๖ เรือ่ งเดยี วกนั , หนา้ ๓๔๓. ๙๗ เรือ่ งเดียวกนั , หน้า ๓๔๗.
๑๓๓ ๔ ปีฉลู จึงได้เชิญพระบรมศพออกไปถวายพระเพลิง ณ พระเมรุแล้ว ทรงพระกรุณาตรัสว่า ทาบุญ น้อยนัก ไมส่ บายพระทยั ใหน้ มิ นต์พระสงฆข์ ้ึนอีก ๑,๐๐๐ เป็น ๖,๐๐๐ สดับปกรณ์ ๓ วันแล้วถวาย พระเพลิง แล้วดับพระเพลิงเก็บพระอัฐิธาตุใส่พระโกศน้อย แห่เข้ามาบรรจุไว้ท้ายจระนาวัดพระศรี สรรเพชญ์”๙๘ ๕ “คร้ัน ณ เดือน ๕ ปีมะเมียสมัมฤทธ์ิศก ศักราช ๑๑๐๐ (พ.ศ.๒๒๘๑) ทาพระเมรุแล้ว เชญิ พระศพข้ึนมหาพิชยั ราชรถ แห่แหนเปน็ กระบวนเขา้ ไปในพระเมรุ พระสงฆส์ ดับปกรณ์ ๑๐,๐๐๐ คารบ ๓ วัน ถวายพระเพลิงแล้ว เก็บพระอัฐิใส่พระโกศน้อย แห่แหนเข้าไปบรรจุไว้ท้ายจระนาพระ วิหารใหญ่วัดศรีสรรเพชญ์”๙๙ คตินิยมอีกประการหนึ่งท่ีเห็นได้จากข้อความตัวอย่างในพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาท้ัง ๕ ตัวอย่างนี้ก็คือ คตินิยมเรื่องการนาอัฐิไปบรรจุไว้ที่วัด และหากเป็นพระบรมอัฐิ หรือพระอัฐิของ เจา้ นายชัน้ ผใู้ หญ่ ก็มกั จะนาไปบรรจุไวใ้ นสถานทซ่ี ง่ึ มคี วามสาคญั ภายในวดั หรอื บางครั้งก็มีการสร้าง ถาวรวัตถสุ าหรับบรรจุอัฐข้นึ มาเปน็ การเฉพาะ ๔.๓.๗ คตินิยมเดมิ ท่มี ีต่อพระพุทธศาสนา นอกจากพระพุทธศาสนาแล้ว หลักฐานจากพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ให้ข้อเท็จจริง ประการหนง่ึ เก่ยี วกับคตคิ วามเชอื่ ทว่ั ไป ตั้งแต่ระดบั ชาวบา้ นทวั่ ไป กระทั่งถึงราชสานัก ก็คือคติความ เชื่อแบบพราหมณ์-ฮินดู ซ่ึงอาจผสมผสานกับความเช่ือท้องถิ่นเดิมไปพร้อม ๆ กัน ก่อนที่ พระพทุ ธศาสนาจะเข้ายงั ดนิ แดนแห่งนี้ ในสมัยกรุงศรีอยุธยา ศาสนาพราหมณไ์ ดเ้ ข้ามามบี ทบาทต่อราชสานักอย่างเห็นได้ชัด ดัง จะเหน็ ไดน้ ับตง้ั แต่เริ่มสถาปนากรงุ ศรีอยุธยาเป็นราชธานี๑๐๐ คาให้การกรุงเก่าระบุว่า พระเจ้าอู่ทอง ได้ส่ังให้อาลักษณ์จารึกพระราชสาส์นลงในแผ่นทอง แต่งราชทูตไปขอพราหมณ์ที่เป็นเผ่าพงศ์แท้มา ประกอบพิธีราชาภิเษก๑๐๑ ประชุมพงศาวดารภาคที่ ๓๘ เรื่องจดหมายเหตุของคณะบาทหลวง ฝรัง่ เศสซึง่ เข้ามาอาศยั อยู่ในกรุงศรอี ยุธยา ได้กล่าวถึงพระเจ้าอยู่หัวบรมโกฐว่า ไม่ยอมเสด็จประทับ วังใหญ่ (วังหลวง) ประทับอยู่แต่วังเล็ก (วังหลัง) เพราะกลัวคาทนายของโหรที่ว่า “ถ้าประทับหวัง ใหญจ่ ะต้องสวรรคตทันที”๑๐๒ ๙๘ พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยธุ ยา ฉบบั จันทนมุ าศ (เจิม), หนา้ ๓๕๖-๓๕๗. ๙๙ เร่อื งเดียวกนั , หนา้ ๓๖๐-๓๖๑. ๑๐๐ คาประกาศสถาปนากรุงศรีอยุธยา “ศุภมัสดุ ศักราช ๗๑๒ ปีขาลโทศก (พ.ศ.๑๘๙๓) วันศุกร์ เดือน ๕ ขนึ้ ๖ คา่ เพลา ๓ นาฬกิ า ๙ บาท สถาปนากรงุ พระนครศรอี ยธุ ยา ชีพอ่ พราหมณใ์ ห้ฤกษ์ตงั้ พิธกี ลบัตร ได้ สังข์ทักษิณาวัฏใต้ต้นหมันใบหนึ่ง แล้วสร้างพระที่นั่งไพฑูรย์มหาปราสาทองค์หน่ึง สร้างพระที่นั่งไพชยนต์มหา ปราสาทองคห์ น่งึ สรา้ งพระทีน่ ่งั ไอสวรรย์มหาปราสาทองค์หน่ึง” ดู พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับจันทนุ มาศ (เจิม), หน้า ๓๗. ๑๐๑ พระราชพงศาวดารกรุงศรอี ยุธยา คาให้การกรุงเกา่ , หน้า ๔๘๒. ๑๐๒ ประชุมพงศาวดารภาคท่ี ๓๘ เร่อื งจดหมายเหตุของคณะบาดหลวงฝรั่งเศส, พิมพ์ในงานปลงศพ คุณหญิงทรงสรุ เดช (ปรกิ บนุ นาค), (พระนคร: โรงพมิ พ์จันทรคาร, ๒๔๖๙), หนา้ ๓๒.
๑๓๔ ประชุมพงศาวดารเล่มเดียวกันน้ี กล่าวถึงเร่ืองราวพระยาคลังได้กล่าวท้าทายคณะ บาทหลวงทานองว่า ศาสนาคริสต์ไม่เห็นจะมีอะไรประเสริฐไปกว่าพระพุทธศาสนา คาพูดที่พระยา คลังกล่าวกับบาทหลวง นอกจากสะท้อนให้เห็นว่า เข้าใจเรื่องพระพุทธศาสนาคลาดเคลื่อนแล้ว ยัง เหน็ ได้ชดั วา่ คตนิ ิยมเรื่องวิชาอาคมได้ถูกผนวกเปน็ สว่ นหนงึ่ ของพระพุทธศาสนาด้วย ขอให้พิจารณา ถอ้ ยคาตอ่ ไปน้ี “ในศาสนาของท่านมอี ะไรบ้างท่ีจะทาให้เห็นปรากฏว่าศาสนาของท่านเป็นศาสนาที่จริง เหมือนกับพระพุทธศาสนาท่ีสอนวิชากันมิให้น้ามันกาลังเดือด ๆ ทาให้เน้ือหนังพอง และเม่ือเอา นา้ มนั ทาตวั แลว้ จะฟันไม่เข้ายิงไมอ่ อก” ๑๐๓ การสถาปนาพระมหากษัตริย์แต่ละพระองค์ตลอดแผ่นดินศรีอยุธยา แม้จะไม่หลักฐาน การประกาศสถาปนาทุกพระองค์ แต่หลักฐานท่ีปรากฏก็แสดงให้เห็นชัดเจนถึงอิทธิพลของศาสนา พราหมณ์ท่ีมตี ่อสถาบนั พระมหากษตั ริย์ เชน่ ๑ “พระเจา้ อยหู่ วั เสดจ็ เขา้ มาเสวยราชสมบัติ ชพี อ่ พราหมณ์ถวายพระนามช่ือ สมเด็จพระ รามาธิบดศี รสี ุนทรบรมพิตรพระพทุ ธเจา้ อยู่หวั กรุงเทพทวาราวดีศรีอยุธยา มหาดิลกภพนพรัตนราช ธานีบุรีรัมย์” ๑๐๔ ๒ “ฝา่ ยสมณพราหมณาจารยม์ ขุ มนตรีกวรี าชนกั ปราชญ์บัณฑติ โหราชครูสโมสรพร้อมกัน ประชุมเชิญพระยอดฟ้าพระชนม์ได้ ๑๑ พระวษาเสด็จผ่านพิภพถวัลยราชสมบัติสืบศรีสุริยวงศ์ อยุธยา\"ต่อไป” ๑๐๕ ๓ “ครั้นได้มหามหุติวารศุภฤกษ์พิชัยดิถี จึงประชุมสมเด็จพระสังฆราช พระราชาคณะ คามวาสีอรัญญวาสี มุขมนตรี กวีมาตยา โหราราชครูหมู่พราหมณ์ปุโรหิตาจารย์ ก็โอมอ่านอิศรวร เวทวิศณุมนต์ พร้อมทั้งพุทธอาณาจักร มอบเคร่ืองเบญจราชกกุธภัณฑ์ถวายภิเศโกทกมุรธารา ปราบดาภเิ ษกถวลั ยราชประเพณี สบื ศรสี ุริยวงศก์ ษัตริย์”๑๐๖ บางรัชกาลมีหลักฐานระบุถึงการสร้าง หรือการนารูปเคารพอื่นนอกเหนือจากพระพุทธ ปฏมิ ามาประดษิ ฐานไว้ในพระอาราม เพื่อให้คนได้กราบไหว้บูชา เช่น ในรัชกาลของสมเด็จพระบรม ราชาธิราชที่ ๒ มีขอ้ ความระบุวา่ “ศักราช ๗๘๓ ปีฉลูตรีนิศก สมเด็จพระบรมราชาธิราชเจ้า เสด็จไปเอาเมืองพระนคร หลวงได้ ทา่ นจึงให้เอาพระยาแกว้ พระยาไทยแลครัวกับท้ังรูปพระโค รูปสิงห์สัตว์ท้ังปวงมาด้วย คร้ัน ๑๐๓ ประชมุ พงศาวดารภาคท่ี ๓๘ เรอ่ื งจดหมายเหตขุ องคณะบาดหลวงฝรงั่ เศส,อ้างแล้ว, หนา้ ๓๒. ๑๐๔พระราชพงศาวดารกรงุ ศรอี ยุธยา ฉบับจันทนมุ าศ (เจมิ ), หน้า ๓๘, ๑๐๕ เรอื่ งเดยี วกัน, หนา้ ๖๔, ๑๐๖ เรอ่ื งเดยี วกนั , หนา้ ๗๐.
๑๓๕ ถึงพระนครศรีอยทุ ธยา จงึ ใหเ้ รารปู สัตว์ทัง้ ปวงไปบูชาไว้ ณ วัดพระศรีรัตนมหาธาตุบ้าง ไปไว้วัดพระ ศรสี รรเพชญบ์ า้ ง”๑๐๗ ในรัชกาลสมเดจ็ พระนเรศวร เช่น “สมเด็จพระนเรศวร ทรงพระกรุณาให้ชาวพ่อชุมนุมพราหมณาจารย์ เอาน้าในบ่อพระ สยมภูวนาถ และเอาน้าตระพังโพยศรีมาตั้งบูชาโดยพิธีกรรมเป็นน้าสัตยาธิษฐาน และเอาพระศรี รัตนตรัยเจา้ เปน็ ประธาน ให้ท้าวพระยาเสนาบดีมนตรมี ุขอามาตย์ทหารทั้งหลายกนิ น้าสัตยา”๑๐๘ ในรชั กาลของสมเดจ็ พระรามาธิบดีที่ ๓ (พระนารายณ)์ เช่น เดือนย่ีปีวอก พ.ศ.๒๑๙๙ บาเพ็ญพระราชกุศลนานาประการ และให้หล่อรูปพระอิศวร เป็นเจา้ ยนื สงู ศอกคบื มีเศษพระองค์หนึ่ง รูปพระษวิ าทติ ย์ยืนสงู ศอกมเี ศษพระองค์หนึ่ง รูปมหาวิคเน ศวรพระองค์หนึ่ง รูปพระจันทรธรณีพระองค์หน่ึง และรูปพระเจ้าทั้งสี่พระองค์น้ี สวมด้วยทองนพ คุณและเครื่องอาภรณ์ประดับน้ันถมราชาวดี ประดับแหวนทุกพระองค์ไว้บูชาสาหรับการพระราช พธิ ี๑๐๙ ปีวอก พ.ศ.๒๑๙๙ นน้ั ตรัสให้หลอ่ รูปพระเทวกรรม สูงประมาณศอกมีเศษพระองค์หน่ึง สวมทองเครือ่ งอาภรณ์ประดบั แหวนถมราชาวดี พ.ศ. ๒๒๐๐ ตรสั ให้หลอ่ พระเทวกรรมทองยนื สูงศอกหน่งึ ห้มุ ดว้ ยทองเหนือ๑๑๐ จากตัวอย่างข้างต้น สะท้อนให้เห็นว่า พระพุทธศาสนาแม้จะมีบทบาทในสังคมสมัยกรุง ศรีอยุธยา แต่ในขณะเดียวกันนั้น คติความเชื่อของคนในสังคมก็มีส่วนสาคัญท่ีมีผลต่อ พระพุทธศาสนาด้วย อย่างพิธีกรรมหลาย ๆ ที่ราชสานักจัดข้ึน บางครั้งก็มีพิธีพราหมณ์เข้าไป เกีย่ วขอ้ งด้วย พุทธพราหมณ์จงึ ผสมผสานอยู่ในพธิ กี รรมหน่งึ ๆ มาตราบเท่าถึงปัจจบุ นั ท่ีสาคัญยิ่งไปกว่านั้นก็คือ บางรัชกาล พระสงฆ์ทาหน้าที่เป็นหมอดูคอยให้คาปรึกษาแก่ พระเจ้าแผ่นดินด้วย เช่น ในรัชสมัยของพระนารายณ์ ปรากฏช่ือพระอาจารย์พรหมว่าเป็นอาจารย์ ของพระนารายณ์ คอยให้คาปรึกษาแก่พระนารายณ์หลายครั้ง และที่เคารพนับถือของพระนารายณ์ มาก เหน็ ได้จากเม่ือครง้ั จะมีการประหารชีวิตเหล่าผู้ใกล้ชิดพระศรีสิน พระอาจารย์พรหมก็เป็นผู้เข้า ไปขอพระราชทานชวี ติ ไวท้ ้งั หมด๑๑๑ จากบันทึกของนิโกลาส์ แซรแวส ได้ช่วยเสริมข้อเท็จจริงดังกล่าวข้างต้นได้พอสมควร บันทึกมขี อ้ ความวา่ “พระภิกษุเป็นหมอดูด้วยเหมือนกัน และแจ้งแหล่งท่ีซุกของหาย เมื่อของๆ ใคร หาย ก็ไปขอให้พระภิกษุดูให้ ดูจะเป็นวิธีการแม่นยาอย่างเดียวเท่าน้ันท่ีจะพบสิ่งของท่ีหายได้ ๑๐๗ พระราชพงษาวดารฉบบั พระราชหตั ถเลขา ภาค ๑, หนา้ ๙. ๑๐๘ พระราชพงศาวดารกรงุ ศรีอยธุ ยา ฉบับจันทนมุ าศ (เจมิ ), หน้า ๑๔๕. ๑๐๙ เรือ่ งเดียวกนั , หน้า ๓๐๐. ๑๑๐ เร่ืองเดยี วกัน, หน้า ๓๐๒. ๑๑๑ พระราชพงศาวดารกรงุ ศรอี ยธุ ยา คาใหก้ ารชาวกรุงเก่า, หน้า ๕๒๗-๕๒๘.
๑๓๖ นอกจากนั้นยังให้ยันต์แก่คนไข้ ผู้เดินทางและเด็กอ่อน โดยอ้างว่ามีสรรพคุณในการป้องกันภัย อนั ตรายต่าง ๆ ได้”๑๑๒ ๔.๔ สรปุ และวจิ ารณ์ แบบอย่างความคิดเห็น ความเชื่อ หรือวิธีการคิดรวมกันที่เป็นลักษณะของกลุ่มชน ความคดิ เป็นตัวกาหนดใหค้ นเรารวมกลมุ่ กัน และเม่ือคนรวมกลุ่มกันแล้ว ก็ก่อให้เกิดการกระทาทาง สงั คม จากการวิเคราะห์พงศาวดารกรุงศรีอยุธยาพบว่า คตินิยมทางพระพุทธศาสนามีผล ก่อกาเนิดแบบแผนการดาเนินชีวิตหลายประการ ทานองเดียวกัน คตินิยมในสมัยกรุงศรีอยุธยาก็มี ส่วนสาคญั ที่ทาให้เกิดคตินยิ มต่าง ๆ ขนึ้ ในสงั คม คตินิยมทางพระพุทธศาสนาท่ีมีผลต่อวิถีชีวิตในสมัยกรุงศรีอยุธยาได้แก่ คตินิยมการ ปฏิบัติตนเน่ืองในวันธรรมสวนะ (วันพระ), การสร้างวัด, การออกผนวชของเจ้านายช้ันผู้ใหญ่, การ ถวายสตสดกมหาทาน, ชา้ งมงคลคู่บา้ นค่เู มือง, การถวายความอุปถมั ภพ์ ระพุทธศาสนา, และคตินิยม เร่ืองทศพธิ ราชธรรม คตินิยมเหล่านี้ สามารถสืบค้นหาความเช่ือมโยงได้โดยตรงท้ังจากคัมภีร์พระไตรปิฎก และคัมภีรอ์ รรถกถา เช่น คตินิยมการปฏบิ ัติตนในวนั ธรรมสวนะ ในคัมภีร์ได้เห็นร่องรอยของการเข้า เฝ้าพระพุทธเจ้า เห็นการสมาทานงดเว้นจากอกุศลต่าง ๆ ทานองเดียวกันกับในพงศาวดาร ก็เห็น ร่องรอยของการถือคติเช่นนี้ในวันธรรมสวนะ เช่น การไม่ประหารชีวิตนักโทษในวันพระ การ สมาทานศีล ๕ ศีลอุโบสถของพระเจ้าแผ่นดิน การประกาศห้ามไม่ให้ประชาชนฆ่าสัตว์ตัดชีวิตในวัน ธรรมสวนะ รวมถงึ การใหไ้ มใ่ หใ้ ช้สัตวเ์ ล้ยี งต่าง ๆ ทางานในขณะท่ีมคี รรภ์ หรอื โคกระบือท่ีลูกยังไม่ยัง ไมห่ ย่านม เปน็ ต้น คตินิยมทางสังคมสมัยกรุงศรีอยุธยาที่มีต่อพระพุทธศาสนา ได้แก่ คตินิยมสร้าง พระพุทธรูปฉลองพระองค์, การให้มีการฉลอง และการมหรสพ, เรื่องลาง, การคานึงถึงสมณชี พราหมณ,์ การถวายเครอ่ื งทรงบูชาพระพุทธปฏิมา, คตินิยมเรื่องการพระศพเจ้านายช้ันผู้ใหญ่, และ คตินยิ มพื้นเมืองทีม่ ตี ่อพระพุทธศาสนา คตินิยมเหล่าน้ี ในคัมภีร์พระไตรปิฎก หรือคัมภีร์อรรถกถา ไม่มีร่องรอยปรากฏให้เห็น จึงได้ขอ้ สรปุ วา่ เปน็ เรือ่ งของอิทธิพลทางสังคมที่มีต่อพระพุทธศาสนา เช่น การสร้างพระพุทธรูป แต่ เดิมมีจุดมุ่งหมายเพียงเพ่ือเป็นส่ือระลึกถึงองค์พระศาสดา แต่ต่อมาก็มีความนิยมสร้างพระพุทธรูป ประจาพระชนม์วาร หรอื พระพทุ ธรปู ประจาวันเกิด โดยกาหนดปางพระพุทธรูปต่าง ๆ ให้ตรงกับวัน เกดิ เพอ่ื ความเปน็ สิริมงคล เปน็ ต้น ๑๑๒ นิโกลาส์ แซรแวส, ประวัติศาสตร์ธรรมชาติและการเมืองแห่งราชอาณาจักรสยาม, สันต์ ท. โกมลบุตร ผู้แปล, พมิ พค์ รง้ั ท่ี ๒, (นนทบรุ ี: สานักพิมพ์ศรีปัญญา, ๒๕๕๐),หนา้ ๑๖๕.
๑๓๗ บทท่ี ๕ บทสรปุ อภปิ รายผล และข้อเสนอแนะ ๕.๑ บทสรุป จากการศึกษาประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาจากพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ตาม วตั ถุประสงค์ทงั้ ๓ ประการ ไดข้ อ้ สรุปดังน้ี ๕.๑.๑ กรุงศรีอยุธยาดารงความเป็นราชธานีของไทยนับระยะเวลา ๔๑๗ ปี มีกษัตริย์ ปกครอง ๓๓ พระองค์ แบง่ เปน็ ๕ ราชวงศ์ โดยในจานวนนี้ มีบันทึกท่ีเก่ียวข้องกับพระพุทธศาสนา จานวนท้งั สน้ิ ๒๒ พระองค์ ได้แก่ เฉพาะรัชสมยั ท่พี บเร่ืองราวเกี่ยวกับพระพทุ ธศาสนาประกอบไปด้วย รัชสมัยของสมเด็จ พระรามาธิบดีที่ ๑ (พระเจ้าอู่ทอง), สมเด็จพระราเมศวร, สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๑, สมเด็จ พระบรมราชาธิราชท่ี ๒, สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ, สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒, สมเด็จพระชัย ราชาธิราช, ขุนวรวงศาธิราช, สมเด็จพระมหาจักรพรรดิราชาธิราช, สมเด็จพระมหินทราธิราช, สมเดจ็ พระมหาธรรมราชาธริ าช, สมเด็จพระนเรศวรมหาราช, สมเด็จพระเอกาทศรฐ, สมเด็จพระศรี เสาวภาค, สมเด็จพระบรมราชาที่ ๑ (พระเจ้าทรงธรรม), สมเด็จพระบรมราชาที่ ๒ (พระเชษฐาธิ ราช), สมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ ๕ (พระเจ้าปราสาททอง), สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๓ (สมเด็จพระ นารายณ์), สมเด็จพระมหาบุรุษ (พระเพทราชา), สมเด็จพระสรรเพ็ชญ์ท่ี ๘ (พระเจ้าเสือ), สมเด็จ พระสรรเพ็ชญ์ท่ี ๙ (พระเจ้าท้ายสระ), สมเด็จพระบรมโกศ, และสมเด็จพระที่นั่งสุริยาศน์อมรินทร์ (พระเจ้าเอกทศั ) ส่วนท่ีไม่พบบันทึกใด ๆ ท่ีเก่ียวข้องกับพระพุทธศาสนาจานวน ๑๑ พระองค์ ประกอบ ไปดว้ ย สมเด็จพระเจา้ ทองลนั , สมเด็จพระยาราม, สมเด็จพระอินทราชา, สมเด็จพระบรมราชาหน่อ พุทธางกูร, สมเด็จพระรัษฏาธิราชกุมาร, สมเด็จพระยอดฟ้า, สมเด็จพระอาทิตยวงศ์, สมเด็จเจ้าฟ้า ชัย, สมเดจ็ พระศรสี ธุ รรมราชาธริ าช, สมเด็จเจ้าฟา้ อภัย, และสมเด็จเจา้ ฟ้าอทุ ุมพร จากหลกั ฐานพงศาวดารกรงุ ศรอี ยุธยาทเ่ี กี่ยวขอ้ งกับพระพุทธศาสนา ส่วนใหญ่จะผูกติด อย่กู บั สถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งก็เข้ากับลักษณะของหลักฐานท่ีใช้สาหรับอ้างอิง เพราะพงศาวดาร จะเน้นเรื่องเก่ียวกับพระมหากษัตริย์ผู้เป็นประมุขของประเทศ หรือพระราชกรณียกิจของ พระมหากษตั ริย์ทีเ่ กย่ี วกับประเทศ ตลอดเหตุการณ์สาคญั ต่าง ๆ ในอดตี ๕.๑.๒ ในสว่ นของบทบาทและความสัมพันธ์ระหว่างพระพุทธศาสนากับสังคมไทยสมัย กรงุ ศรีอยธุ ยา ได้ข้อสรปุ ดงั น้ี บทบาทและความสัมพันธ์ท่ีเก่ียวข้องกับพระพุทธศาสนา มี ๒ ลักษณะ ลักษณะแรก เป็นส่วนท่ีพระพุทธศาสนาเข้าไปเก่ียวข้อง ลักษณะท่ีสองเป็นส่วนที่สังคมไทยได้เข้าไปเก่ียวข้องกับ พระพุทธศาสนา ลกั ษณะท่พี ระพุทธศาสนาเขา้ ไปเกย่ี วขอ้ งกบั สังคม เชน่ การมีตัวแทนคณะสงฆ์ (สมเด็จ พระราชาคณะ) ในพิธีการสาคัญ ๆ เช่น การสถาปนาพระมหากษัตริย์, การท่ีพระสงฆ์ได้มีส่วนช่วย ในยามศึกษาสงคราม เช่นกรณีพระมหานาคพาชาวบ้านขุดคลองเพ่ือป้องกันข้าศึก, พระอาจารย์ ธรรมโชติ วัดเขานางบวช ได้รวบรวมชาวบ้านบางระจันจัดกองกาลังสกัดทัพพม่าท่ีเข้ามารุกรานกรุง
๑๓๘ ศรีอยธุ ยา, กรณีพระพนรตั น์วัดป่าแก้ว พรอ้ มกบั พระราชาคณะ ๒๕ รูป เขา้ ไปบิณฑบาตชีวิตทหารท่ี จะถูกประหารชีวิต, พระมหาเถรคันฉองให้การสนับสนุนสมเด็จพระนเรศวรในการกอบกู้บ้านเมือง คนื จากการตกเป็นเมอื งขน้ึ ของพมา่ เป็นต้น ลักษณะที่สังคมเข้าไปเก่ียวข้องกับพระพุทธศาสนา เช่น การสถาปนาวัด, การสร้างวัด, การปฏิสังขรณ์ถาวรวัตถุทางพระพุทธศาสนา, การถวายความอุปถัมภ์พระสงฆ์ วัด และ พระพุทธศาสนาในลกั ษณะตา่ ง ๆ, การเสดจ็ บาเพ็ญพระราชกศุ ลในโอกาสตา่ ง ๆ, การสร้างพระ แต่ง คัมภีร์ สร้างพระคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนา, การสเด็จออกผนวชของพระมหากษัตริย์ หรือเจ้านาย ชั้นผู้ใหญ่ในสถานการณ์ต่าง ๆ, การใช้พระสงฆ์เป็นทูต เป็นตัวกลางในการเจรจา, การใช้วัดเป็นท่ี ประหารชวี ิตนกั โทษ หรือใชว้ ัดในการตงั้ ทพั ในยามสงคราม เปน็ ตน้ กล่าวโดยสรุป พระพุทธศาสนามีบาทบาท และความสัมพันธ์ต่อสถาบันชาติ และ พระมหากษตั รยิ ์อย่างแน่นแฟ้น นับตั้งแต่การสถาปนาสมณศักดิ์ การทานุบารุงพระพุทธศาสนาด้าน ต่าง ๆ พระมหากษตั ริยท์ รงอยใู่ นฐานะเป็นเอกอัครศาสนูปถัมภ์ ขณะเดียวกัน เหตุการณ์สาคัญต่าง ๆ ในชาติบ้านเมือง หรือสถานบันพระมหากษัตริย์ พระสงฆ์ก็ได้เข้าไปมีบทบาทสาคัญ เช่นการ สถาปนาพระมหากษัตริย์ การระงับความขัดแย้ง การช่วยเหลือบ้านเมืองในยามขับขัน หรือในยาม ศึกสงคราม เปน็ ตน้ ๕.๑.๓ ในส่วนคตินิยมทางพระพุทธศาสนาที่มีต่อสังคมและคตินิยมทางสังคมท่ีมีต่อ พระพุทธศาสนาสมัยกรงุ ศรีอยุธยา ได้ขอ้ สรุปดงั น้ี คตินิยมทางพระพุทธศาสนามีผลก่อกาเนิดแบบแผนการดาเนินชีวิตสมัยกรุงศรีอยุธยา หลายประการ ทานองเดียวกัน คตินิยมในสมัยกรุงศรีอยุธยาก็มีส่วนสาคัญที่ทาให้เกิดคตินิยมต่าง ๆ ขน้ึ ในสังคมซึ่งมผี ลตอ่ พระพทุ ธศาสนาเชน่ กนั คตินิยมทางพระพุทธศาสนาที่มีผลต่อวิถีชีวิตในสมัยกรุงศรีอยุธยาได้แก่ คตินิยมการ ปฏิบัติตนเนื่องในวันธรรมสวนะ (วันพระ), การสร้างวัด, การออกผนวชของเจ้านายช้ันผู้ใหญ่, การ ถวายสตสดกมหาทาน, ชา้ งมงคลคู่บ้านคูเ่ มอื ง, การถวายความอุปถมั ภพ์ ระพุทธศาสนา, และคตินิยม เรอ่ื งทศพธิ ราชธรรม คตินิยมทางสังคมสมัยกรุงศรีอยุธยาท่ีมีต่อพระพุทธศาสนา ได้แก่ คตินิยมสร้าง พระพุทธรูปฉลองพระองค์, การให้มีการฉลอง และการมหรสพ, เร่ืองลาง, การคานึงถึงสมณชี พราหมณ,์ การถวายเครือ่ งทรงบูชาพระพุทธปฏิมา, คตินิยมเร่ืองการพระศพเจ้านายช้ันผู้ใหญ่, และ คตนิ ิยมพ้นื เมอื งทม่ี ตี ่อพระพุทธศาสนา ๕.๒ อภิปรายผล ก่อนการวิจยั ประวตั ศิ าสตร์พระพุทธศาสนาจากพงศาวดารกรงุ ศรีอยุธยา เดิมใช้ช่ือเรื่อง ว่า สืบพระพุทธศาสนาจากพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ด้วยมองเห็นว่า ลักษณะเน้ือหาที่เก่ียวข้องกับ พระพุทธศาสนานั้น ไม่อาจเรียกได้เต็มปากมากนักว่าเป็นประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา ตามความ เข้าใจทั่วไปเมื่อพูดถึงคาว่า “ประวัติศาสตร์” เพราะเนื้อหาส่วนใหญ่จะกระท่อนกระแท่น ไม่ใช่การ เรียบเรียงเชิงพรรณนารายละเอียดเป็นหมวดหมู่ หรือเป็นบทเป็นตอนเหมือนหนังสือประวัติศาสตร์ โดยทั่วไป การเปล่ียนสืบพระพุทธศาสนาจากพงศาวดารไปเป็นประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาจาก
๑๓๙ พงศาวดาร ก็ด้วยข้อสงั เกตของคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ประกอบกับเหตุผลส่วนตัวของผู้วิจัยเอง เห็นว่า แม้จะใช้คาว่า “ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาจากพงศาวดาร” ก็สามารถนิยามศัพท์ “ประวตั ิศาสตร์” เพม่ิ เตมิ เพื่อให้เข้ากบั เจตนาเดมิ ของการวจิ ัยได้ จึงไมไ่ ดต้ ดิ ใจเร่อื งชื่อ อน่ึง แม้จะตระหนักในข้อท้วงติงของคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิพิจารณาหัวข้อว่า “เน้ือหาพระพุทธศาสนาในพงศาวดารเป็นเรื่องกระท่อนกระแท่น และไม่เห็นว่าจะมีอะไรใหม่จาก หนังสือท่ีมีผู้เรียบเรียงไว้แล้ว” แต่ผู้วิจัยก็มองเห็นประโยชน์ที่จะใช้ความรู้ที่มีอยู่อย่าง กระท่อนกระแท่นในพงศาวดารน้ันมาพิจารณาในภาพรวมทั้งหมดของประวัติศาสตร์กรุงศรีอยุธยา ทัง้ ๔๑๗ ปนี ้ัน มาวิเคราะห์ทั้งในส่วนของบทบาท ความสัมพันธ์ คตินิยมต่าง ๆ ท่ีพระพุทธศาสนามี ตอ่ สังคม และท่สี งั คมมตี ่อพระพุทธศาสนา จากผลของการวิจัย ร่องรอยของพระพุทธศาสนาท่ีพบในพงศาวดาร มีหลากหลาย ลักษณะ บางเรื่อง แม้ข้อความกล่าวถึงจะสั้น ๆ แต่ก็สามารถมองเห็นสารัตถะทั้งหมดได้โดยไม่ยาก นัก เช่นขอ้ ความว่า “สถานท่ถี วายพระเพลงิ นั้น ให้สถาปนาพระมหาธาตุและพระวิหารเป็นอาราม”, “ยกวังทาเปน็ วัดพระศรีสรรเพ็ชญ์”, “คร้ันถึงพระนครศรีอยุธยาแล้ว จึงให้เรารูปสัตว์ทั้งปวงไปบูชา ไว้ ณ วดั พระศรรี ตั นมหาธาตุ” เปน็ ต้น สองข้อความแรก สะท้อนให้เห็นคตินิยมเร่ืองการสถาปนาวัด หรือสร้างวัดในสมัยกรุง ศรีอยุธยาว่า ส่วนหน่ึงต้องการให้เป็นอนุสรณ์ถึงบุคคล หรือเหตุการณ์สาคัญ ขณะที่อีกส่วนหนึ่งก็ เพื่อความสะดวกในการบาเพ็ญพระราชกุศลเป็นการส่วนเฉพาะพระองค์ คตินิยมดังกล่าวน้ี พบ สามารถสาวไปถงึ คมั ภรี พ์ ระไตรปิฎก และคัมภีร์อรรถกถา ขณะที่ข้อความสุดท้าย ก็สามารถสะท้อน ให้ถึงคติความเชื่อของคนสมัยกรุงศรีอยุธยาว่า ศาสนาพราหมณ์ยังมีอิทธิพลหรือบทบาทในสังคมอยู่ ไมน่ อ้ ย ยิ่งถา้ พิจารณาภาพรวมในแตล่ ะรชั สมัย ก็จะเหน็ ภาพชัดเจนยงิ่ ข้ึน แมใ้ นสว่ นของบทบาทและความสัมพันธ์ของพระพุทธศาสนาที่มีต่อสังคมในสมัยกรุงศรี อยุธยา ก็สามารถเก็บรายละเอียดแต่ละรัชกาลมาปะติดปะต่อ ก็จะได้เห็นบทบาทของ พระพุทธศาสนาที่มีต่อสังคมในมิติต่าง ๆ เช่น บทบาทของพระสงฆ์ต่อสถานบันชาติ, บทบาทของ พระสงฆ์ต่อสถาบันพระมหากษัตริย,์ บทบาทของพระสงฆต์ อ่ กิจการบ้านเมือง จากบทบาทดังกล่าว หากพิจารณาในแง่ของความสัมพันธ์ เราก็จะได้ชุดแห่ง ความสัมพันธ์ระหว่างพระพุทธศาสนาต่อสังคม หรือท่ี สังคมมีต่อพระพุทธศาสนา เช่น พระมหากษัตริยก์ ับพระพุทธศาสนา, พระมหากษัตริย์กับการสถาปนา สร้าง บูรณะปฏิสังขรณ์วัดวา อารามต่าง ๆ, พระมหากษัตริย์กับการบาเพ็ญพระราชกุศลในโอกาสต่าง ๆ ซึ่งถือเป็นช่องทางหน่ึงท่ี ทาให้ไดม้ โี อกาสพบพสกนิกรของพระองค์ ในส่วนของคตินิยมก็ลักษณะเดียวกัน หากพิจารณาเฉพาะเรื่อง ๆ อาจไม่เห็นกระแส ของความตอ่ เนือ่ ง แตห่ ากนาเหตุการณเ์ ฉพาะมาปะติดต่อกัน แม้จะเพียง ๒-๓ เหตุการณ์ตัวอย่าง ก็ สามารถเชอื่ มโยงระบบความคิดไปหาคัมภีร์พระไตรปิฎก หรือคัมภีร์อรรถกถาได้โดยไม่ยาก เช่น คติ นิยมเรื่องชา้ งมงคล ในสมัยอยุธยาก็ยังมีช้างมงคลชื่อปัจจยนาเคน ซ่ึงมีช่ือพ้องกับช้างปัจจยนาเคนท่ี พระเวสสันดรให้ทานจนเป็นที่ไม่พอใจของชาวเมือง, คตินิยมเร่ืองการถวายสตสดกมหาทาน ก็เป็น คตินิยมที่มีมาในคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนา ถือว่าเป็นบุญใหญ่ เพราะต้องใช้กาลังทรัพย์มาก, คติ
๑๔๐ นิยมเรือ่ งการสรา้ งวดั สถาปนาวัด การบูรณปฏิสังขรณ์วัด, การเสด็จออกผนวชของพระมหากษัตริย์ และเจา้ นายชั้นผู้ใหญ่ เปน็ ตน้ ทานองกลับกัน คติความเชื่อของคนในสมัยกรุงศรีอยุธยา แม้จะมีพระพุทธศาสนาเป็น หลกั สาคญั แต่คติความเชอ่ื ทม่ี อี ยู่เดิม เช่น คติความเชอ่ื แบบพราหมณ์ ซงึ่ มีอทิ ธพิ ลสาคัญทั้งในระดับ ราชสานัก และประชาชนทั่วไป ก็มีส่วนสาคัญท่ีทาให้เกิดการผสมผสาน และกลายเป็นคตินิยมใหม่ ซง่ึ แฝงอยู่ในพระพุทธศาสนา โดยเฉพาะในระดับพิธีกรรม เช่น การถวายเคร่ืองทรง ซึ่งถือเป็นเรื่อง ของ “โลก” แต่สมัยกรุงศรีอยุธยาก็ถือคติว่า พระพุทธเจ้าทรงเป็นกษัตริย์ ถ้าจะสร้างพระพุทธ ปฏิมาทรงเครื่องอยา่ งกษตั ริย์ก็ถือเป็นการถวายเกยี รติสงู สุด ในพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา จึงถือคติดังกล่าวนี้จึงบูชาพระพุทธเจ้าด้วยการถวายเครื่อง ทรง เช่นกรณีคร้ังสมเด็จพระนเรศวรยกทัพไปถึงพระพนมตรัด ก็ได้ถวายพระภูษาเป็นฉัตรธงบูชา พระมหาธาตุ ครั้นยกทัพกลับถึงเมืองพิษณุโลก ก็เปล้ืองเคร่ืองทรงออกบูชาถวายพระพุทธชินราช เม่ือสมเด็จพระนเรศวรรวบรวมไพร่พลประกาศอิสรภาพจากพม่า ได้นิมนต์พระมหาเถรคันฉองมา อาศัยอยู่ท่ีกรุงศรีอยุธยาแล้ว เสด็จกลับเมืองพิษณุโลก เมื่อเสด็จไปถึงก็ได้ถวายนมัสการพระชินราช พระชนิ ศรี พรอ้ มทง้ั ทรงมจี ิตศรัทธา ได้เปล้อื งเคร่ืองสุวรรณลังกาขตั ตยิ าภรณบ์ ชู า ๕.๓ ข้อเสนอแนะ เร่ืองราวต่าง ๆ เก่ียวกับพระพุทธศาสนานอกจากจะปรากฏอยู่ในพงศาวดารกรุงศรี อยุธยาแล้ว ยังปรากฏอยู่ในพงศาวดารอื่น ๆ เช่น พงศาวดารโยกนก, พงศาวดารกรุงธนบุรี, พงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ ตลอดจนจดหมายเหตุต่าง ๆ ซึ่งเป็นหลักฐานสาคัญในการศึกษา พระพทุ ธศาสนาในมิติตา่ ง และในสมัยตา่ ง ๆ ได้เป็นอยา่ งดี
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153