Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 2559_ทวีศักดิ์ ทองทิพย์ (ภูมิศาสตร์วัฒนธรรม)

2559_ทวีศักดิ์ ทองทิพย์ (ภูมิศาสตร์วัฒนธรรม)

Published by Thanarat Sa-Ard-Iam, 2023-07-02 00:57:24

Description: 2559_ทวีศักดิ์ ทองทิพย์ (ภูมิศาสตร์วัฒนธรรม)

Search

Read the Text Version

๒๓๑ ต้าแหน่งพระสังฆราชฝ่ายขวา ในสมัยนันเรียกพระสงฆ์ว่าเจ้าไท วัดนีจึงเรียกว่า “วัดพญาไท” ซึ่ง หมายถึงพระสังฆราช๓ หลักฐานพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ระบุว่า “ศักราช ๗๑๕ ปีมะเส็งเบญจศก (พ.ศ. ๑๘๙๖) วันพฤหสั บดี เดือน ๔ ขึ้น ๑ คา่ เพลา ๒ นาฬิกา ๕ บาท ทรงพระกรุณาตรัสว่า ทีพระ ต่าหนักเวียงเหล็กน้ันให้สถาปนาพระวิหารและพระมหาธาติเป็นพระอารามแล้วให้นามชือวัดพุทไธ ศวรรย์”๔ สมเด็จพระบรมราชาธิราชท่ี ๑ (ขุนหลวงพระง่ัว) ทรงสิริราชสมบัติระหวา่ ง พ.ศ. ๑๙๑๓- ๑๙๒๕ ทรงสร้างวัดมหาธาตุเป็นวัดประจ้าพระนคร สมัยนันมีธรรมเนียมท่ีว่าเมืองราชธานีต้องมีวัด ส้าคัญประจ้าพระนคร ๓ วัด คือวัดมหาธาตุ (วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ) วัดราชบูรณะ และวัดราช ประดิษฐาน ส่วนวัดมหาธาตุนันต้องมีพระบรมธาตุเป็นหลักส้าคัญของวัด และในสมัยอยุธยานันวัด มหาธาตุเป็นวดั ส้าคญั คอื เปน็ ที่ประทับของสมเด็จพระสงั ฆราชมาทุกสมยั ๕ หลกั ฐานพงศาวดารกรงุ ศรี อยุธยา ระบวุ ่า “ศักราช ๗๓๖ ปขี าลฉอหก (พ.ศ. ๑๙๑๗) สมเด็จพระบรมราชาธริ าชและพระเถรธรร มากัลยาณ แรกสถาปนาพระศรรี ัตรมหาธาตุ ฝ่ายบุรทิศ หน้าพระบนั ชั้นสงิ หส์ ูง ๑๙ วา ยอดนพศูลสูง ๓ วา”๖ สมเดจ็ พระราเมศวร เปน็ พระมหากษัตรยข์ นึ เสวยราชสมบัติกรุงศรอี ยธุ ยา ๒ ช่วง ช่วงแรก เป็นระยะสัน ๆ (พ.ศ. ๑๙๑๒) เมื่อสมเด็จพระบรมราชาธิราชเข้ามาแต่เมืองสุพรรณก็เสด็จออกไป อัญเชิญเสด็จเข้ามาพระนครถวายราชสมบตั ิแด่สมเด็จพระบรมราชาธริ าชแล้วพระองคก์ ็ถวายบังคมลา ขึนไปครองเมืองลพบุรีดังเก่า ช่วงท่ี ๒ ระหว่าง พ.ศ. ๑๙๒๗-๑๙๓๐ รวมอยู่ในสิริราชสมบัติ ๔ ปี๗ พระราเมศวร เสด็จจากลพบุรีปลงพระชนม์เจ้าทองลั่น หรือทองจันทร์ ราชโอรสของพระบรม ราชาธิราชที่ ๑ แล้วขึนครองราชย์ เม่ือ พ.ศ. ๑๙๓๑ ครองอยู่ ๗ ปี ก็สินพระชนม์ ทรงสร้างวัด พระราม วัดภูเขาทอง ซึ่งเป็นวดั ใหญ่ทัง ๒ วัด วัดพระรามนันทรงสร้างถวายพระเพลิงพระชนก คือ พระรามาธิบดีท่ี ๑ ตังอยู่ที่รมิ บึงชีขัน ส่วนวัดภูเขาทองสร้างนอกพระนคร และกษัตริย์ท่ีสร้างวักราช บรู ณะคือ เจ้าสามพระยา (พระบรมราชาธริ าชที่ ๒ ) ประมาณ พ.ศ. ๑๙๖๗–๑๙๙๑ วัดราชบูรณะนัน ทรงสรา้ งถวายพระเพลงิ พระเชษฐาทงั ๒ พระองค์ คือเจา้ อา้ ยพระยา และเจ้าย่พี ระยา๘ สมเด็จพระนครินทราธิราช (สมเด็จพระอินทราธิราช) มีการสร้างและบูรณปฏิสังขรณ์วัด วาอารามที่ส้าคัญตามเมืองต่างๆที่อยู่ภายในราชอาณาจักร เช่น ที่เมืองสุพรรณภูมิหรือสุพรรณบุรีมี การสร้างพระปรางคว์ ดั พระศรีรัตนมหาธาตุ การสร้างพระปรางค์เป็นพระเจดยี ์ประธานคงเกิดขึนสมัย อยุธยาตอนตน้ น่ีเอง และแพร่หลายไปท่ัวทังในเขตพระนครศรอี ยุธยาและหัวเมืองส้าคัญ เช่น ราชบุรี ๓ http://www.chaoprayanews.com/๒๐๐๙/๐๓/๒๖/กษตั รยิ ์สมยั อยุธยา ๔ พระราชพงศาวดารกรงุ ศรีอยุธยา ฉบับพนั พันจนั ทนุมาศ (เจิม), (นนทบรุ ี: สา้ นกั พิมพศ์ รีปัญญา, ๒๕๕๓), หนา้ ๔๑. ๕ http://www.chaoprayanews.com/๒๐๐๙/๐๓/๒๖/กษตั ริยส์ มัยอยธุ ยา ๖ อา้ งแลว้ , พระราชพงศาวดารกรุงศรอี ยธุ ยา ฉบบั พันพนั จนั ทนุมาศ (เจิม), หน้า ๔๓. ๗ พระครศู รปี ัญญาวกิ รม, ดร. สบื พระพทุ ธศาสนาจากพงศาวดารกรุงศรอี ยธุ ยา. (นครปฐม: สาละ พิมพการ, ๒๕๕๘), หน้า ๓๗-๓๘. ๘ http://www.baanjomyut.com/library_๒/extension-๑/buddhism_to_the_country/ ๑๓.html

๒๓๒ เพชรบุรี สุพรรณบุรี สิงห์บุรี สวรรคโลกฯลฯ การน้าเคร่ืองป้ันดินเผาเคลือบมาใช้เป็นเครื่องประดับ ทางสถาปัตยกรรมทางศาสนา เช่น กระเบืองมุงหลังคา ช่อฟ้าบราลี รวมทงั กระเบืองปพู นื โบสถว์ ิหารที่ พบตามวดั ส้าคัญต่างๆดงั ในเมืองสุโขทยั และศรสี ัชนาลยั กเ็ กิดขึนระยะนี รวมทงั งานจิตรกรรมฝาผนังที่ เขียนขนึ ตามผนังในโบสถ์วิหารและในพระสถูปเจดีย์ก็เริ่มแพรห่ ลาย ซง่ึ ล้วนได้รับอิทธพิ ลทางการช่าง และศิลปกรรมจากจีน๙ สมเด็จพระบรมราชาธิราชท่ี ๒ (เจา้ สามพระยา) ทรงสริ ิราชสมบัติระหว่าง พ.ศ. ๑๙๖๔- ๑๙๗๗ พระราชกรณียกิจแรกของสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๒ คือ การถวายพระเพลิงพระศพพระ เชษฐาทัง ๒ พระองค์ สถานท่นี ัน โปรดใหส้ ร้างพระมหาธาตุ และพระวิหารเพ่ือเป็นวัด พระราชทาน นามวา่ วดั ราชบูรณะ ซ่งึ ภายหลังปี พ.ศ.๒๕๐๐ มกี ารลักลอบขดุ กรุวดั ราชบูรณะ จนค้นพบเคร่ืองทอง ราชูปโภคส่ิงของมีค่าอุทิศถวายพระบรมธาตุ และที่พระเชษฐาทรงท้ายุทธหัตถี โปรดให้ก่อพระเจดีย์ ๒ องค์ ทรงท้านุบ้ารุงพระพุทธศานา ทรงสร้างวัดราชบูรณะ (พ.ศ.๑๙๖๗) และวัด มเหยงคณ์ (พ.ศ. ๑๙๘๑) ที่พระนครศรอี ยุธยา๑๐ หลกั ฐานพงศาวดารกรงุ ศรีอยุธยา ระบวุ า่ “สมเดจ็ พระบรมราชาธิราช เจ้าให้ขุดเอาพระศพเจ้าอ้ายพระยา เจ้ายีพระยาไปถวายพระเพลิง ทีถวายพระเพลิงนั้นให้สถาปนา พระมหาธาตุและพระวิหารเป็นอารามแล้วให้นามชือว่าวัดราชบูรณทีเจา้ อ้ายพระยา เจ้ายีพระยาชน ช้างกันถึงพิราลัย ให้ก่อพระเจดีย์สององค์ไว้ทีเชิงตะบานป่าถ่าน”๑๑ “ศักราช ๗๘๖ ปีมะโรงฉอศก (พ.ศ. ๑๙๖๗) สมเด้จพระบรมราชาธริ าชเจา้ สรา้ งวัดมเหยงคณ์”๑๒ สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ทรงสิริราชสมบัติระหว่าง พ.ศ. ๑๙๗๗-๑๙๙๒ ทรงส่งทูต ออกไปนิมนต์พระสงฆ์จากลังกาให้มาสงั่ สอนพระศาสนาและภาษาบาลี ทรงอุทิศพระราชวังตอนหน่ึง สร้างเป็นวัด เรียกช่ือว่า วัดพุทธาวาส ภายหลังเปล่ียนเป็นวัดพระศรีสรรเพชญ์ ทรงพระราชศรัทธา ออกผนวชเป็นพระภิกษุช่ัวคราว ประทับ ณ วัดจุฬามณี ข้างใต้เมืองพิษณุโลก ซ่ึงพระองค์ทรงให้ แก้เทวสถานเดิมแล้วสร้างเปน็ วัดขนึ เม่ือ พ.ศ. ๒๐๐๗ ทรงโปรดใหป้ ระชมุ ราชบณั ฑิตแต่งมหาชาติค้า หลวงโดยแปลและแต่งเป็นส้านวนไทยจากต้นฉบับบาลี เมื่อ พ.ศ. ๒๐๒๕ นอกจากพระองค์จะทรง อทุ ิศพระราชวังสรา้ งวัดพุทธาวาสหรือวัดพระศรีสรรเพชญแล้ว ยังได้ทรงสถาปนาและปฏิสังขรณ์วัด อื่น ๆ คือ ๑) สถาปนาพระมหาธาตแุ ละพระวิหาร ณ บริเวณที่ถวายพระเพลิงพระบรมศพสมเด็จพระ รามาธิบดีท่ี ๑ (พระเจ้าอู่ทอง) ให้นามว่า วัดพระราม ๒) สร้างวัดจุฬามณี ขึน ณ เมืองพิษณุโลก ๓) สร้างพระศรีรตั นมหาธาตุ คือพระปรางค์ ตรงทปี่ ระดิษฐานพระพุทธชินราชรวมทังโบสถ์วหิ ารวัดพระ ศรีรัตนมหาธาตุพิษณุโลก ๔) สร้างรปู พระโพธิสัตว์ ๕๕๐ ชาติ ๕) สร้างพระพทุ ธรปู ยนื องค์ใหญ่ถวาย พระนามว่า พระอัฎฐารสศรีสุคนทศพลญาณบพิตร ซ่ึงเดิมอยู่วัดวิหารทอง เมืองพิษณุโลก และได้ อัญเชิญมาประดิษฐานที่พระวิหารวัดสระเกศ กรุงเทพฯ ในปัจจุบันนี๑๓ หลักฐานพงศาวดารกรุงศรี อยุธยา ระบวุ ่า “สมเดจ็ พระราเมศวร ผเู้ ป็นพระราชกุมารข้ึนเสวยราชสมบตั ิทรงพระนามชือพระบรม ๙ http://www.chaoprayanews.com/๒๐๐๙/๐๓/๒๖/กษตั ริยส์ มัยอยธุ ยา ๑๐ http://www.chaoprayanews.com/๒๐๐๙/๐๓/๒๖/กษตั รยิ ์สมัยอยุธยา ๑๑ พระราชพงศาวดารกรุงศรอี ยธุ ยา ฉบับพนั พนั จนั ทนุมาศ (เจมิ ), หน้า ๕๑. ๑๒ เรอ่ื งเดียวกัน, หนา้ ๕๑. ๑๓ กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม, ภาคที่ ๓ ประวัตคิ วามเปน็ มาของพระพุทธศาสนาและ องคก์ ารศาสนาตา่ ง ๆ ในประเทศไทย, (กรุงเทพมหานคร: ม.ป.ท., ม.ป.พ.), หน้า ๑๓๔-๑๓๖.

๒๓๓ ไตรโลกนาถ ยกวังท่าเป็นวัดพระศรีสรรเพชญ์เสร็จมาอยู่ริมน่้า”๑๔ “ทีถวายพระเพลิงสมเด็จพระ รามาธิบดีทีพระองค์สร้างกรุงนั้น ให้สถาปนาพระมหาธาตุและพระวิหารเป็นอาราม ให้นามชือวัด พระราม”๑๕ “ศักราช ๘๑๐ ปีมะโรงสัมฤทธิ์ศก (พ.ศ. ๑๙๙๑) สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถเจ้าสร้าง พระวิหารวัดจุฬามณี”๑๖ “ศักราช ๘๑๑ ปีมะเส็งเอกศก (พ.ศ. ๑๙๙๒) สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ เจ้า ทรงพระผนวชวัดจุฬามณี ได้ ๘ เดือน แล้วลาผนวช”๑๗ นอกจากนันยังได้มีการฉลองพระศรีรัต นมหาธาตุ พบจากหลักฐานพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ระบุว่า “ศักราช ๘๒๖ ปีวอกฉอศก (พ.ศ. ๒๐๐๗) ทรงพระกรณุ าให้เลน่ การมหรสพ ฉลองพระศรีรตั นมหาธาตุ ๑๕ วัน”๑๘ เปน็ ตน้ ๕.๑ .๒ ประวัติศาส ตร์พ ระพุ ทธศาสนาใน สมัย อยุธยาใน ช่วง พ.ศ. ๒๐๐๐-๒๑๐๐ สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ ขนึ ครองราชย์ระหว่าง พ.ศ. ๑๙๙๑–๒๐๓๑ เป็นเวลา ๔๐ ปี นับว่ายาวนานที่สุดในบรรดากษัตริย์อยุธยา ยุคนีนิยมสร้างสถูปแบบลอมฟางหรือ แบบลังกา พระพุทธรูปซ่ึงเคยเป็นอิทธิพลของขอมลพบุรี มาถึงยุคนีอิทธิพลของสุโขทัยเข้ามาแทนที่ ด้วยเหตุ ๒ ประการ คือ ๑ ทรงมีพระราชมารดาเป็นเจ้าหญิงสุโขทัย ๒ ทรงคุ้นเคยกับศิลปะแบบ สุโขทัยมาก ในยุคนีพุทธศาสนาเจริญถงึ ขดี สดุ คือทรงสรา้ งวดั พระศรีสรรเพชรญ์ มฐี านะเป็นพุทธวาส ไม่มีพระสงฆ์อยู่ ทรงนิพนธ์มหาชาติค้าหลวงไว้ให้พระสงฆ์เทศในงานต่างๆ ซึ่งประเพณีการเทศน์ มหาชาตินันมีมาแต่สุโขทัยแล้ว แต่ยังไม่มีค้าเทศฉบับหลวง พึงมีครังแรกสมัยพระบรมไตรโลกนาถนี พระองค์มีความเลื่อมใสพระส้านักพระวันรัตน์ วัดป่าแก้ว จึงเสด็จออกผนวชเอาอย่างกษัตริย์สุโขทัย พร้อมกับขา้ ราชบรพิ ารทังหมด ๒,๓๘๘ รปู เป็นการบวชที่มโหฬารมาก ทรงผนวชอยู่ ๘ เดือน ๑๕ วัน จึงลาผนวชเพอ่ื ครองราชยต์ อ่ ไป ทรงได้ชา้ งเผือกมานับเปน็ ช้างเผือกเชือกแรกของพระเจ้าแผน่ ดนิ สมัย อยุธยา พระรามาธิบดีที่ ๒ ทรงประสูติท่ีพิษณุโลก และเสด็จมาครองราชย์ที่อยุธยา ทรงสร้างพุทธ เจดยี ์ตามอย่างสมัยสุโขทยั สร้างพระพุทธรูปยืนต่างๆ ด้วยโลหะ หนักกวา่ ๕ หม่ืนกวา่ ช่ัง หล่อแล้วแผ่ ทองคา้ หนัก ๒๐๐ กว่าช่ัง สูง ๘ วา พระอุระกว้าง ๑๑ ศอก พระพักตร์ยาว ๔ ศอก ใช้เวลาหล่อและ แต่งถึง ๓ ปี ทรงถวายพระนามว่า “พระศรีสรรเพชรญ์” เป็นพระทองค้าที่ใหญ่ท่ีสุดในโลก และเมื่อ กรุงแตกครังท่ี ๒ พ.ศ. ๒๓๑๐ พม่าเอาไฟสุมลอกทองไปหมด หลงั จากสมัยของพระองค์แล้ว พทุ ธ ศาสนาอยู่ในฐานะทรงตัว ไม่เจริญขึน ด้วยเพราะการสงครามและเรื่องเศรษฐกิจเป็นสาเหตุส้าคัญ๑๙ หลักฐานพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ระบุว่า “ศักราช ๘๔๑ ปีกุนเอกศก (พ.ศ. ๒๐๒๒) แรกสร้างพระ วิหารวดั พระศรีสรรเพชญ์ สมเดจ็ พระรามาธบิ ดี แรกหล่อพระศรีสรรเพ็ชญ์ในวนั อาทิตย์ เดอื น ๖ ขึ้น ๑๔ พระราชพงศาวดารกรงุ ศรีอยุธยา ฉบับพนั พนั จันทนุมาศ (เจมิ ), หนา้ ๕๓. ๑๕ เร่ืองเดยี วกนั , หนา้ ๕๓. ๑๖ เร่อื งเดียวกัน, หน้า ๕๔. ๑๗ เรือ่ งเดียวกัน, หน้า ๒๘๒. ๑๘ เร่อื งเดยี วกัน, หน้า ๕๕. ๑๙ http://www.baanjomyut.com/library_๒/extension-๑/buddhism_to_the_country/ ๑๓.html

๒๓๔ ๘ ค่า”๒๐ ส่วนฉบับหลวงประเสริฐ ระบุ พ.ศ. ๒๐๒๕ และระบุอีกว่า ทรงพระราชนิพนธ์มหาชาติค้า หลวงจบบริบรู ณ์ด้วย” ๕.๑.๓ ประวตั ศิ าสตร์พระพทุ ธศาสนาในสมยั อยธุ ยาในช่วง พ.ศ. ๒๑๐๐ – ๒๒๐๐ สมเด็จพระศรีสรรเพชญ์ที่ ๓ (สมเด็จพระเอกาทศรถ) การพระศาสนาในรัชสมัยของ สมเด็จพระเอกาทศรถ มเี รื่องส้าคัญเกยี่ วกับการพระพุทธศาสนาที่ควรน้ามากล่าว คือ เรื่องท่ีกัลปนา พระองค์ทรงพระกรุณาตังพระราชก้าหนดกฎหมายถวายท่ีกัลปนาแก่วัดวาอารามด้วย ดังความในพระ ราชพงศาวดารว่า “ลุศักราช ๘๕๗ (พ.ศ. ๒๑๓๘) ปีมะแมสัปตศก ทรงพระกรุณาตังพระราชก้าหนด กฎหมายพระอัยการและส่วยสัดพัฒนากรขนอน ตลาด และพระกัลปนาถวายเป็นนิตยภัตรแก่สังฆา รามคามวาสี อรัญวาสีบริบูรณ์” ซ่ึงความในท่ีนี สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาด้ารงราชานุ ภาพทรงอธบิ ายไวว้ ่า สมเด็จพระเอกาทศรถ พระราชทานที่กัลปนาเป็นนิตยภัตรพระสงฆ์ หมายความ ว่า พระราชทานผลประโยชน์ในภาษีที่ดินเป็นนิตยภัตรเลียงพระสงฆ์ ไม่ได้พระราชทานตัวที่ดิน ประเพณีพระราชทานท่ีกัลปนาเป็นพระราชประเพณีโบราณมีมาแต่ครังสุโขทัย ไม่ใช่ตังขึนใหม่ใน แผ่นดินสมเด็จพระเอกาทศรถเป็นแน่ ที่หนังสือพระราชพงศาวดารกล่าวเป็นจะหมายความว่า พระราชทานเพิ่มเติมท่ีกัลปนาขึนอีก คือ วัดหลวงใดที่ยังไม่มีที่กัลปนามาแต่ก่อน ก็จัดให้มีขึนให้ เหมือนกับวัดท่ีมีแล้วให้บริบูรณ์เท่านันเอง๒๑ และพระองค์ได้ทรงสร้างวัดวรเชษฐารามขึนเพ่ือเป็น อนุสรณ์ถึงสมเด็จพระนเรศวรมหาราช นอกจามนียังได้สร้างพระพุทธรูปสนองพระองค์พระนเรศวร เพราะในเวลานันยังไม่นิยมการปั้นหรือการหล่อพระบรมรูปไว้สักการบูชา จึงต้องสร้างพระพุทธรูป แทนพระองค์ไว้ให้คนสักการบูชา๒๒ สมัยพระเจ้าทรงธรรม พ.ศ. ๒๑๖๓–๒๑๗๑ พระองคเ์ คยบวชเรียนเป็นพระเถระผู้ใหญ่ชัน “พระพิมลธรรม” เป็นผู้รู้พระไตรปิฎก ทรงสนใจในการพระศาสนา และการศึกษาพระปริยัติธรรม อย่างยิ่ง เสด็จลงพระที่นั่งจอมทอง ๓ หลัง บอกบาลีแก่พระภิกษุสามเณรทุกวัน มีพระภิกษุสมาเณร จามวดั ต่างๆ ผลัดกนั มาเรียน ทรงสร้างพระไตรปิฎกจนจบบรบิ ูรณเ์ ป็นครังแรกของราชอาณาจกั รไทย ในรชั กาลนี มีพระสงฆ์พวกหนึ่งมาจากลังกา ทลู ว่าไทยมรี อยพระพุทธบาทแน่นอนอยูท่ ีส่ วุ รรณบรรพต พระองค์ทรงให้สืบค้นหาท่ี จังหวัดสระบุรี จึงพบตรัสสั่งให้ช่างสถาปนาเป็นมณฑปสวมพระพุทธบาท และสร้างพระอุโบสถพระวิหาร กุฏิตอ้ งใช้เวลาหลายปี จงึ ตรัสใหส้ ร้างตา้ หนักตะวันออก ชอ่ื ต้าหนกั ท่า เจ้าสนุก ท่ีพระพุทธบาทนันทรงพระราชทานชายฉกรรจ์ให้เป็นข้าพระ จึงเกิดประเพณีเทศกาลไหว้ พระพุทธบาทขึนในกลางเดือน ๓ และเดือน ๔ ทุกปี เรื่องรอยพระพุทธบาทนี เป็นของเกิดในอินเดีย ก่อน เริ่มสร้างกนั ตงั แต่สมยั พระเจ้าอโศกมหาราชมีสมยั ที่เก่ากวา่ พระพุทธรูป พระพุทธบาทท่ีสร้างกัน นันมีหลายแบบในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราชเร่ือยมา และเป็นเคร่ืองหมายบอกว่า พุทธศาสนาได้ ๒๐ พระราชพงศาวดารกรุงศรอี ยุธยา ฉบับพันจันทนุมาศ (เจมิ ), หนา้ ๕๗. ๒๑ กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม, ภาคที่ ๓ ประวัตคิ วามเปน็ มาของพระพทุ ธศาสนาและ องค์การศาสนาต่าง ๆ ในประเทศไทย, หน้า ๑๓๖. ๒๒ http://www.baanjomyut.com/library_๒/extension-๑/buddhism_to_the_country/ ๑๓.html

๒๓๕ เจริญรงุ่ เรืองมาเป็นลา้ ดับตลอดมา ในประเทศไทยรอยพระพุทธบาทที่เก่าแกท่ ส่ี ุดนันเป็นสมยั ทวาราว ดี พบในลุ่มแม่น้าเจ้าพระยาจนถึงท่ีราบสูงนครราชสีมา ท้าติดต่อกันเรื่อยมา สมัยสุโขทัยได้ไปพิมพ์ รอยพระพุทธบาทมาจากลังกาแล้วสร้างไว้ในท่ีต่างๆ ตามที่เห็นสมควร๒๓ สมเด็จพระเจ้าทรงธรรม (พระอนิ ทราชา) สมเดจ็ พระเจา้ ทรงธรรมส่งเสริมพระพุทธศาสนาเปน็ อย่างยงิ่ ใน พ.ศ.๒๑๖๕ โปรดให้ มีการชะลอพระมงคลบพิตรจากที่ตังเดิมด้านตะวันออกของพระราชวังมาไว้ด้านตะวันตก (ท่ี ประดิษฐานอยู่ในปัจจุบัน) แล้วโปรดให้ก่อพระมณฑปครอบพระมงคลบพิตร ใน พ.ศ.๒๑๖๑ เมือง สระบุรีมีใบบอกเข้ามาว่ามีผู้พบรอยพระพุทธบาทบนเขาสุวรรณบรรพตจึงเสด็จไปทอดพระเนตรเอง และโปรดอุทิศถวายท่ีดินป่าโดยรอบกว้างด้านละ ๑ โยชน์ (ประมาณ ๑๖ กิโลเมตร) แก่ พระพุทธศาสนา แลว้ โปรดให้สร้างมณฑปสวมรอยพระพุทธบาท สร้างพระอุโบสถและพระอารามขึน แล้วให้ฝรั่งตัดถนนหลวงกว้าง ๑๐ วา ยาวตังแต่เขาสุวรรณบรรพตจนถึงต้าบลท่าเรือ และโปรดให้ สร้างพระต้าหนักท่าเจ้าสนุก เพื่อเป็นท่ีประทับแรมเม่ือเวลาเสด็จมานมัสการพระพุทธบาท การ ก่อสร้างพระพุทธบาทและศาสนสถานอื่นๆ โดยรอบใช้เวลาถึง ๔ ปี จึงแล้วเสรจ็ นอกจากนียังโปรด เกล้าฯ ให้แต่งวรรณคดีเรื่องกาพย์มหาชาติ และรวบรวมพระไตรปิฎกให้ครบจบบริบูรณ์ด้วย๒๔ ทรง ย้ายพระมงคลบพิตรจากตะวันออกมาไว้ฝั่งตะวันตก ดังปรากฏในพงศาวดาร ว่า “ศักราช ๙๖๕ ปี เถาะ (พ.ศ. ๒๑๔๖) สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ชักพระมงคลบพิตรอยู่ฝ่ายตะวันออก มาไว้ฝ่ายตะวันตก แล้วให้ก่อพระมณฑปใส่ให้”๒๕ มีการทรงพบรอยพระพุทธบาทที่จังหวัดสระบุรี ดังปรากฏใน พงศาวดาร ว่า “ศักณาช ๙๖๘ ปีมะเมียศก (พ.ศ. ๒๑๔๙) เมืองสระบุรีบอกมาว่า พรานบุนพบ รอยเทา้ อนั ใหญ่บนไหล่เขาเป็นประหลาด สมเด็จพระเจา้ อยูห่ วั ดพี ระทัย เสดจ็ พระทีนังชยั พยุหยาตรา พรอ้ มด้วยเรือท้าวพระยาสามนตราราชดาษดาโดยชยมารคนทีธานประทับเรือ รุ่งข้ึนเสด็จทรงพระที นังสุวรรณปฤษฎางค์ พร้อมดว้ ยคเชนทรเสนางคนิกรเปน็ อันมาก...พรานบุญเป็นมัคคุเทศก์น่าทางลัด ตดั ดงไปเชงิ เขา สมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ตรัสทอดพระเนตรเหน็ แท้เปน็ พระบรมพระพทุ ธบาทมีลายลักษณ์ กงจักร แลว้ ตอ้ งกบั เมอื งลังกาบอกเข้ามาวา่ กรุงศรีอยุทธยามีรอยพระพุทธบาทเหนือยอดเขาสวุ รรณ บรรพต ก็ทรงโสมนสั ปรีดา ถวายทัศนขั เหนอื เขาสวุ รรณบรรพต ด้วยเบญจางคประดิษฐ์เปน็ หลายครา ทักสักการบูชาด้วยธูปเทียนคนั ธรสจะนับมิได้”๒๖ ทรงท้านุบ้ารุงพระพุทธศาสนาโดยทรงโปรดเกล้าฯ ให้แตง่ มหาชาตคิ ้าหลวง และสร้างพระไตรปิฎก ดังหลักฐานปรากฏในพงศาวดาร วา่ “ลุศักราช ๙๘๙ ปีมะแมศก (พ.ศ. ๒๑๗๐) ทรงพระกรุณาแตง่ มหาชาตคิ ่าหลวง แล้วสร้างพระไตรปิฎกธรรมไว้ส่าหรับ พระศาสนาจบบริบรู ณ์”๒๗ สมเด็จพระสรรเพชญ์ท่ี ๕ (พระเจ้าปราสาททอง) ทรงสิริราชสมบัติระหว่าง พ.ศ. ๒๑๗๓-๒๑๙๘ พระองค์มีความเลอ่ื มใสศรัทธาในพระบวรพทุ ธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง และไดท้ รงสถาปนา ๑๓.html ๒๓ http://www.baanjomyut.com/library_๒/extension-๑/buddhism_to_the_country/ ๒๔ http://www.chaoprayanews.com/กษตั ริย์สมยั อยุธยา ๒๕ พระราชพงศาวดารกรงุ ศรีอยุธยา ฉบบั พนั จันทนมุ าศ (เจิม), ๒๕๕๓), หนา้ ๒๖๓. ๒๖ เรอื่ งเดยี วกัน, หนา้ ๒๖๓. ๒๗ พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยธุ ยา ฉบับพันจนั ทนมุ าศ (เจิม), ๒๕๕๓), หนา้ ๒๖๔.

๒๓๖ วดั ส้าคัญๆ หลายวัด เช่น ทรงให้ช่างขึนไปตกแต่งพระต้าหนักใต้ธารทองแดง และให้ไขน้ามาแต่ธาร ทองแดง ทางน้าตงั แต่ทา่ เจ้าสนุกไปขึนทา้ ยพิกลุ นนั คิดให้มีนา้ และศาลาขนึ แบ่งใหท้ า้ ศาลาขนุ บ่อบาง โขมด และบ่อโศก ท้าศาลาเจ้าเณร ศาลาบางคณฑี รวมทังพระราชนิเวศน์ธารเกษม โปรดให้สร้างวัด พระศรีสรรเพชญ์ จนแล้วเสร็จ สร้างพระปราสาทองค์หน่ึง ช่ือศิริยศโสธรมหาพิมานบรรยงก์ (โหร กราบทูลให้เปล่ยี นเป็น) จักรพรรดไิ พชยนต์มหาปราสาท และทรงท้าตาม โปรดใหส้ ร้างพระราชวังและ วดั ชุมพลนิกายารามราชวรวิหาร บางปะอิน และได้โปรดเกล้าฯ ให้ปฏิสังขรณ์พระปรางค์วัดมหาธาตุ และโปรดให้สถาปนาสร้างพระมหาธาตุเจดีย์ และให้นามช่ือวัดไชยวัฒนาราม ทรงพระกรุณาให้ช่าง ออกไปถ่ายอย่างพระนครหลวง และปราสาทกรุงกัมพูชาเข้ามา แล้วให้สร้างพระราชวังในท่ีประทับ ร้อนตา้ บลริมวัดเทพจนั ทร์ สา้ หรับเสดจ็ ขนึ ไปนมสั การพระพทุ ธบาท และเอานามเดิมซ่ึงถา่ ยภาพมาให้ ชือ่ พระนครหลวง มีการสร้างพระปรางคต์ ามแบบขอม เปน็ การเรม่ิ ต้นรปู แบบสถาปัตยกรรมสมัยที่ ๓ ของกรุงศรีอยุธยา(ยุคของพระเจ้าปราสาททองถงึ พระเจ้าท้ายสระ) ขณะเดียวกนั กม็ ีการพัฒนาศิลปะ ของพระพุทธรูป (ทรงเคร่อื งกษตั รยิ ์) อันถือเป็นแบบฉบับท่ีสา้ คัญของปลายอยุธยา นอกจากนี ในช่วง ที่จุลศักราชก้าลังจะเวียนมาครบ ๑,๐๐๐ ปี ราษฎรเกิดความวิตกว่าจะถึงกลียุค สมเด็จพระเจ้า ปราสาททองจงึ โปรดให้จดั งานพระราชพิธีลบศกั ราช (แตไ่ มไ่ ด้รับการยอมรบั ในรชั กาลหลงั เปล่ียนเป็น พุทธศักราชแทน) มีการท้าบุญ และท้าทานเป็นเวลาหลายวัน และมีการปฏิสังขรณ์วัดวาอารามกว่า ๑๐๐ แห่ง๒๘ มีการสถาปนาวัดพระศรีสรรเพชญ์และท้าการฉลอง๒๙ ดังปรากฏในพงศาวดาร ว่า “ศักราช ๙๙๓ มมี ะแม (พ.ศ. ๒๑๗๔) ทรงพระกรณุ าให้ช่างถา่ ยอย่างพระนครหลวงและปราสาทกรุง กัมพูชาประเทศเข้ามาให้ช่างกระท่าพระราชวังทีประทับร้อย ต่าบลริมวัดเทพจันทร ส่าหรับจะเสด็จ ขึ้นไปนมัสการพระพุทธบาท จึงเอานามเดิมซึงถ่ายมาให้ชือว่าพระนครหลวงและในปีสร้างพระนคร หลวงน้ันก็สถาปนาวดั พระศรีสรรเพชญ์เสร็จและท่าการฉลอง มมี หรสพเป็นอเนกทุกประการ”๓๐ ทรง สถาปนาวัดไชยวัฒนาราม ดังปรากฏในพงศาวดาร ว่า “พระเจ้าอยู่หัวให้สถาปนาสร้างพระมหาธาตุ เจดยี ์ มีพระระเบียบรอบและมมุ พระระเบยี บนนั้ กระท่าเป็นทรงเมรุทิพเมรรุ ายอันรจนาและกอปรดว้ ย พระอุโบสถ พระวิหารการเปรียญและสร้างกุฎิถวายพระสงฆ์เป็นอันมากแล้วเสร็จให้นามชือวัดไชย วฒั นาราม เข้าอธิการน้ันถวายพระนามชืออชิตเถระ ราชาคณะฝ่ายอรัญญวาสี ทรงพระราโชทิศถวาย นิตยภัตกัลปนาเป็นนิรันดรมไิ ด้ขาด”๓๑ ทรงสถาปนาวดั ชมุ พลนกิ ายาราม ดงั ปรากฏในพงศาวดาร ว่า “ทรงพระกรณุ าให้สร้างพระทีนงั ไอศวรรยพ์ ิพอาสน์ ณ เกาะบางนาอินมีราชนเิ วศน์ปราการ ประกอบ พฤกษาชาติร่มรืนเป็นทีส่าราญราชหฤทัย ประพาสราชตระกูลสริ ิยวงศ์อนงศ์นารที ้ังปวงแล้วสร้างพระ อารามเคียงพระราชนิเวศน์ถวายเป็นสังฆทาน มีพระเจดีย์วิหารเป็นอาทิส่าหรับพระศาสนาเสร็จ บริบรู ณ์แลว้ ให้นามชอื วัดชมุ พลนิกายาราม”๓๒ ๒๘ http://www.chaoprayanews.com/กษัตรยิ ส์ มยั อยุธยา ๒๙ กติ ติ โลเ่ พชรรัตน,์ มรดกอยธุ ยา, (กรุงเทพฯ: ส้านกั พิมพ์กา้ วแรก, ๒๕๕๗), หน้า ๔๒. ๓๐ อา้ งแลว้ , พระราชพงศาวดารกรงุ ศรอี ยธุ ยา ฉบับพนั จนั ทนุมาศ (เจมิ ), หนา้ ๒๗๒. ๓๑ เรอื่ งเดียวกัน, หนา้ ๒๗๒. ๓๒ อ้างแล้ว, พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยธุ ยา ฉบับพนั จนั ทนุมาศ (เจิม), หนา้ ๒๗๓.

๒๓๗ ๕.๑.๔ ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาในสมัยอยุธยาในช่วง พ.ศ. ๒๒๐๐ – ๒๓๑๐ สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๓ (สมเด็จพระนารายณ์มหาราช) ทรงสิริราชสมบัติระหว่าง พ.ศ. ๒๑๙๙-๒๒๒๕ ทรงทา้ นุบา้ รงุ พระพุทธศาสนาเป็นอย่างดีย่ิง และอาจนบั ได้ว่าพระพุทธศาสนาในช่วง รัชกาลของพระองค์ได้เจรญิ รุ่งเรืองมาก ทรงบูรณะวัดพระศรีรตั นมหาธาตุเมืองลพบุรี โดยเฉพาะทรง เชิญพระพุทธสิหิงค์ลงมายังอยุธยา ดังท่ีปรากฏในวรรณคดีส้าคัญของยุค คือ โคลงเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนารายณ์ เอกสารส้าคัญในรัชกาลท่ีเกี่ยวกับพุทธศาสนา คือ พระราชปุจฉาท่ีทรงมีไปถึง พระสงฆ์ผู้ทรงภูมิธรรมเพื่อทรงไต่ถามข้อสงสัย ซึ่งในรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ปรากฏช่ือ พระพรหมมุนี วัดปากน้าประสบ และสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์เป็นผู้ถวายวิสัชนาพระราชปุจฉาอยู่ เสมอๆ ธรรมเนียมปฏบิ ตั ิเชน่ นียงั ปรากฏเปน็ หลักฐานต่อมาว่าพระมหากษัตริยอ์ ยธุ ยาโปรดทจี่ ะมพี ระ ราชปจุ ฉาเรื่องทางโลกและทางธรรมแกพ่ ระสงฆ์ หรือพระราชาคณะท่ที รงนับถือ เช่น พระเพทราชาก็ ยังทรงปฏิบัติสบื มา จึงแสดงให้เหน็ ว่านับแต่รัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราชลงมาแล้ว การเอาใจ ใส่พระสงฆ์มีเพม่ิ มากขึนกว่าก่อนมาก ในปี พ.ศ. ๒๒๒๔ สมเดจ็ พระนารายณ์มหาราช ทรงจัดคณะทูต น้าพระราชสาสน์ไปเจริญทางพระราชไมตรี ณ ประเทศฝร่ังเศส แต่คณะราชทูต สูญหายไประหว่าง ทาง ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๒๒๖ พระองค์ได้โปรดเกล้าฯ ให้จัดคณะทูตเดินทางไปฝรั่งเศสอีกครัง เพ่ือ สอบสวนความเป็นไปของทูตคณะแรก พระเจ้าหลุยส์ท่ี ๑๔ ทรงทราบก็เขา้ ใจว่าสมเด็จพระนารายณ์ มหาราช ทรงเลื่อมใสจะเข้ารีต จึงได้จัดคณะราชทูตเข้ามาเจริญทางพระราชไมตรีกับกรุงศรีอยุธยา โดยส่งบาทหลวงสามคนเดินทางมากรุงศรอี ยธุ ยา เม่ือทังสามคนมาถงึ แล้วกไ็ ดม้ ีใบบอกไปยัง พระเจ้า หลุยส์ที่ ๑๔ และพระสันตะปาปา โดยมีเชอวาเลียร์ เดอ โชมองต์ เป็นหวั หน้าคณะทูต ซึง่ มคี วามเห็น ตรงกันว่าจะใช้กรุงศรีอยุธยา เป็นศนู ยก์ ลางในการเผยแพร่คริสตศาสนา พระบาทหลวงได้ตังโรงเรยี น โรงพยาบาล ฯลฯ สมเดจ็ พระนารายณ์ทรงเห็นว่า เป็นการน้าความเจริญมาใหก้ รงุ ศรอี ยธุ ยา พระองค์ ได้ พระราชทานที่ดินให้สร้างวัดทางคริสต์ศาสนาด้วย เม่ือปี พ.ศ.๒๒๒๘ ได้เข้าเฝ้าสมเด็จพระ นารายณฯ์ ทูลขอใหท้ รงเขา้ รตี แตพ่ ระองคท์ รงปฏิเสธดว้ ยพระปรชี าสามารถวา่ “…การทีผใู้ ดจะนับถือ ศาสนาใดนั้น ย่อมแล้วแตพ่ ระผู้เปน็ เจา้ บนสวรรค์จะบนั ดาลใหเ้ ป็นไป ถ้าครสิ ตศาสนาเปน็ ศาสนาดีจริง แล้ว และเห็นว่าพระองค์สมควรทีจะเข้าเป็น คริสตศาสนิกแล้ว สักวันหนึงพระองค์จะถูกดลใจให้ เข้ารีตจนได้” พระองค์ได้ให้เสรีภาพแก่ราษฎรทั่วไปท่ีจะนบั ถือคริสตศาสนาได้ตามความเลื่อมใสของ ตน ท้าให้เชอวาเลียร์ เดอ โชมองต์ พอใจ๓๓ พระองค์ทรงโปรดให้หล่อพระพุทธรูปทองค้าสูง ๔ ศอก เศษอยูอ่ งค์หนึ่ง สูง ๑ ศอกบ้าง สูง ๒ ศอกบ้าง ถวายพระนามว่า “พระบรมไตรโลกนาถ” ในสมัยนัน พระองค์ยงั ทรงสร้างวัดแบบสถาปัตยกรรมแบบตะวันตก ได้แก่ ๑) วัดเซนต์เปาโร (อยู่ จ. ลพบุรี) ๒) วัดเซนต์โยเซฟ (อยู่ จ.อยุธยา) พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ท่ีทรงสนพระทัยศึกษาคัมภีร์ไบเบิล ของ ศาสนาคริสต์ และ คัมภีร์อัลกูรอ่าน ของศาสนาอิสลาม และมีความรู้เป็นอย่างดี ในขณะนันศาสนา คริสต์นิกายโรมันแคธอลิก ซ่ึงตังอยู่ท่ี นครวาติ กัน ประเทศอิตาลี ได้วางรากฐานอย่างจริงจงั เพ่ือให้ เป็นศูนย์กลางในการเผยศาสนาคริสต์ โดยเน้นท่ี ไทย-ลาว –กัมพูชา ญวน-มาลายู ฯลฯ การกระท้า ของสมเดจ็ พระนารายณ์มหาราชครังนัน ก็ดว้ ยเหตุท่พี ระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ ทรงเป็นพระสหายตา่ งชาติท่ี ๓๓ http://www.chaoprayanews.com/กษัตรยิ ส์ มัยอยธุ ยา

๒๓๘ สนิทของสมเด็จพระนารายณ์ จึงได้ทรงสนับสนุนศาสนาครสิ ต์ในไทย โดยในขณะนนั มีบุคคลส้าคัญท่ี เป็นหลักในการตังคริสต์จักรในไทย คือ “นายเยรากี” ขณะนันเป็นชนชาวกรีก ต่อมาเปล่ียนช่ือเป็น “นายฟอนคอล” ครังสุดท้ายเขา้ รบั ราชการรับใช้สมเด็จพระนารายณ์ พระองคจ์ ึงให้บรรดาศกั ดิเ์ ป็นท่ี “พระยาวิชาเยนทร์” และต่อมาพระยาวิชาเยนทร์ได้เข้ากับพระเจ้าหลุยส์ท่ี ๑๔ โดยมีแผนจะยึด ประเทศไทย ๔ แผน คือ ๑) ต้องการท้าลายอิทธิพลของพุทธศาสนาลงให้ได้ เพราะเม่ือพุทธศาสนา เสื่อมลง คริตส์จึงสามารถมีบทบาทขึนมาได้อ่างเต็มที่ได้นั่นเอง ๒) กษัตริย์ไททุกพระองค์ทรงนับถือ พทุ ธศาสนา โดยวิธีการเกลียกล่อมพระนารายณ์และข้าราชการชันสงู ซึ่งเป็นชันระดบั ผู้น้าของไทยให้ เข้ารตี ก็จะเป็นการท้าลายพุทธศาสนาโดยง่าย (โดยข้อ ๒ นีมีบทบาทส้าคัญต่อพุทธศาสนามากที่สุด พระเจ้าหลุยส์ท่ี ๑๔ ได้ส่งทูตน้าพระราชสาสน์ของพระองค์เข้าเฝ้าสมเด็จพระนารายณ์) ๓) ส่งทหาร เข้ายดึ ประเทศไทยเลย ครงั นันสมเดจ็ พระนารายณ์ทรงตอบค้าถามพระเจ้าหลุยส์ท่ี ๑๔ ดังนี ๑) จะให้ พระองค์เปลี่ยนพุทธศาสนาทีน่ ับถอื มาถึง ๒๒๒๙ ปีไม่ใชง่ า่ ยเลย ตอบว่า โปรดให้พระราชบตุ รของเรา เข้ารีตให้หมดก่อน แล้วเราจะเข้าเป็นคนสุดท้าย ๒) พระเจ้าเป็นผู้มีฤทธิ์อ้านาจ ท้าไมไม่บันดาล ให้ ศาสนาในโลกมีศาสนาเดียว ถ้าพระเจ้าเป็นผู้มีฤทธ์ิอ้านาจจริง ๆ ท้าไมไม่ดลใจให้เราเล่ือมใส ๓) ขอ ฝากชะตากรงุ ศรอี ยุธยา อยู่ในความเมตตาของพระเจ้าด้วย และขอพระเจ้าหลุยส์ผู้เป็นสดุ ท่ีรกั อย่าได้ เสียพระทัยไปเลย ต่อมาพุทธศาสนากับคริสต์ได้แตกกัน พระปิยะพระราชโอรสของสมเด็จพระ นารายณ์ต้องการขึนครองราชย์ ส่วนหลวงสรศักด์ิได้พระเทพราชาเป็นพวกและหวังจะให้พระเทพ ราชาขึนครองราชย์ พระนารายณท์ รงทราบความจรงิ วา่ หลวงสรศักดิน์ ันยังมีความต้องการจะเปล่ียน พุทธศาสนามาเป็นศาสนาคริตส์ พระองค์จึงทรงสร้างวังชื่อว่า “วังพระนารายณ์” ที่ลพบุรี โดย ประกาศเป็นเขตวิสุงคามสีมา คือเป็นวัด ท้าให้หลวงสรศักด์ิไม่กล้าเข้ายึดซ่ึงเป็นสถานท่ีประทับของ สมเด็จพระนารายณ์๓๔ มีการหล่อรูปเคารพ ดังปรากฏในพระราชพงศาวดาร ว่า “เดือนยีปีวอก พ.ศ. ๒๑๙๙ บ่าเพ็ญพระราชกุศลนานาประการและให้หล่อรูปพระอิศวรเป็นเจ้ายืน สูงศอกคืบมีเศษ พระองค์หนึง รูปพระษิวาทิตย์ยืนสูงศอกมีเศษพระองค์หนึง รูปมหาวิคเนศวรพระองค์หนึง รูปพระ จนั ทรธรณีพระองค์หนงึ และรูปพระเจา้ ท้ังสีพระองคน์ ี้ สวมด้วยทองนพคณุ และเครืองอาภรณป์ ระดับ นน้ั ถมราวดี ประดับแหวนทกุ พระองคไ์ วบ้ ูชาส่าหรบั การพระราชพธิ ี”๓๕ มหี ลายเมืองเข้ามาขอพ่ึงพระ บรมโพธิสมภาร ดงั ปรากฏในพระราชพงศาวดาร ว่า “สงั ฆราชสุคนธ์อันเป็นญาติสมคั รพรรคพวกด้วย นักจันท์กับด้วยนักนีและนักวรอุทัยและนักอ่าผู้หลาน ท้ังน้ีหาทีพ่านักไม่ได้ก็น่าสมัครพรรคพวก ทั้งหลายมาสู่พระราชสมภาร ทรงพรนะกรุณาโปรดพระราชทานเครืองอุปโภคบริโภคทั้งปวงแก่ สังฆราชสุคนธ์ และญาติสมัครพรรคพวกท้ังปวงซึงมาสู่พระราชสมภารนั้น ได้รับพระราชทานโดย อันดับถ้วนทั้งปวงและให้สังฆราชสุคนธ์อยู่อารามวัดพระนอน”๓๖ มีการใช้พระสงฆ์สังเกตการณ์ กองทัพข้าศึก ดังปรากฏในพระราชพงศาวดาร ว่า “เมืองล่าพูนและเมืองเชียงใหม่คิดอุบายล่อลวง หน่วงกองทัพไทยไว้จะให้งดช้าลง จะได้คิดกระท่าการปอ้ งกนั เมืองล่าพูน เมืองเชียงใหมไ่ ว้ท่ากองทัพ พม่าจะได้มาช่วยทัน จึงนิมนต์พระสงฆ์ผู้เป็นปราชญ์ฉลาดเจรจา ๔ รูป ให้ถือหนังสือไปหากองทัพ ๑๓.html ๓๔ http://www.baanjomyut.com/library_๒/extension-๑/buddhism_to_the_country/ ๓๕ พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยธุ ยา ฉบับพนั จันทนมุ าศ (เจิม), หน้า ๓๐๐. ๓๖ อ้างแลว้ , พระราชพงศาวดารกรุงศรอี ยธุ ยา ฉบับพนั จันทนมุ าศ (เจิม), หนา้ ๓๐๓.

๒๓๙ ไทย”๓๗ มีการใช้วชิ ากัมมัฏฐานในทางวิชาอาคม ดงั ปรากฏในพระราชพงศาวดาร ว่า “นายปานกราบ ทูลพระกรุณารับอาสาจะไปเมืองฝรังเศสสืบให้ได้ราชการตามรับสังแล้วออกมาจัดแจงการทั้งปวงใน ก่าปั่นให้เทียวหาคนดีมีวิชาก็ได้อาจารย์คนหนึงได้เรียนในพระกรรมฐานช่านาญในกระสินแล้วรู้วิชา มาก”๓๘ มีการส่งเสริมให้พระภิกษุสามเณรลาสิกขาเพ่ือรับราชการ ดังปรากฏในพระราชพงศาวดาร ว่า “เจ้าพระยาวิไชเยนทร์เอาใจใส่ในราชกิจเป็นอันมาก และสึกเอาภิกษุสามเณรมากระท่าราชการ ครัง้ นน้ั ก็มาก”๓๙ สมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ ๘ (สมเด็จพระเจ้าเสือ) ทรงสิริราชสมบัติระหว่าง พ.ศ. ๒๒๔๐- ๒๒๔๙ ในช่วงระยะเวลาท่ที รงครองราชย์ สมเดจ็ พระสรรเพชญท์ ่ี ๘ ไดท้ รงทา้ นุบา้ รงุ พระราชวงศแ์ ละ การพระพุทธศาสนาเป็นอันมากทรงสถาปนาพระราชมารดาเลียงซึ่งเป็นพระอัครมเหสีกลางของ สมเด็จพระเพทราชาขึนเป็นกรมพระเทพามาตย์ และทรงสถาปนาวัดโพธ์ิประทับช้างขึนเป็นอนุสรณ์ นิวาสสถานที่ประสูติ ทังได้ทรงซ่อมแปลงพระมณฑปพระมงคลบพิตร ให้เป็นพระวหิ ารใหญ่ และทรง ปฏิสังขรณ์มณฑปพระพุทธบาทเมืองสระบุรีให้เป็นมณฑปทรง ๕ ยอดด้วย ส่วนการท้านุบ้ารุง บา้ นเมอื งนัน โปรดให้ขดุ คลองโคกขามให้ตรง เพ่ือให้การเดินทางสะดวกขนึ ไม่ต้องเสียเวลาเหมือนแต่ ก่อน๔๐ เสด็จพระราชด้าเนินไปนมัสการพระพุทธบาทตามประเพณีท่ีเคยท้ามาในรัชกาลก่อน ๆ ดัง ปรากฏในพระราชพงศาวดาร วา่ “สมเดจ็ พระพุทธเจ้าอยู่หวั จงึ มีพระราชโองการดา่ รัสสังสมหุ นายกให้ เจ้าพนักงานเตรียมช้าง ม้า โค เกวียน และการสมโภช จะไปนมัสการพระพุทธบาท คร้ัน ณ วัน พฤหัสบดี เดือน ๓ แรม ๕ คา่ ปีขาลนพศก เพลาตี ๑๑ ทุ่ม สมเด็จพระเจา้ อยู่หัวทรงเรือพระทีนังกิง เรอื พยุหยาตราขา้ ละอองทงั้ ปวงพรอ้ มตามอยา่ ง”๔๑ สมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ ๙ (พระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ) ทรงสิริราชสมบัติระหว่าง พ.ศ. ๒๒๕๒-๒๒๗๕ เมื่อเสด็จขึนครองราชย์แล้ว ทรงบูรณปฏิสังขรณ์มณฑปพระพุทธบาทและจัดงาน สมโภชใหญ่ จากนันทรงบูรณะวัดมเหยงคณ์นอกพระนคร พร้อมกับท่ีพระอนุชาธิราชกรมพระราชวัง บวรสถานมงคลทรงบรู ณะวดั กุฎดี าวขึน ใน พ.ศ. ๒๒๕๓ นักเสดจ็ เจ้าเมอื งเขมรเกดิ วิวาทกบั นักแก้วฟ้า สะจอง ฝ่ายนักแก้วฟา้ สะจองไปขอความช่วยเหลือจากทพั ญวนให้มาตเี ขมร ทา้ ให้นักเสด็จต้องหลบหนี เข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร สมเด็จพระสรรเพชญ์ ท่ี ๙ โปรดให้ตังบ้านเรือนแถบวัดค้างคาวใน กา้ แพงพระนครตอนใต้ ต่อมาสมเด็จพระสรรเพชญ์ ท่ี ๙ โปรดให้ยกทัพไปชว่ ยรบเขมรเพ่ือตีเมืองคืน กองทัพเรือ และกองทัพบกสามารถล้อมเมืองเขมรได้ จนในที่สดุ นักแก้วฟ้า สะจองยอมอ่อนน้อมเป็น เมืองขนึ ของอยธุ ยาต่อไป ในพ.ศ.๒๒๖๘ เสด็จพระราชดา้ เนินพรอ้ มดว้ ยกรมพระราชวังบวรไปยังวดั ป่า โมก เน่ืองจากเจา้ อธิการวัดนนั กราบบังคมทูลเรื่องนา้ เซาะตลงิ่ หน้าวัด และเกรงว่าพระนอนจะทรุดลง ๓๗ เร่อื งเดียวกนั , หน้า ๓๑๔. ๓๘ พระราชพงศาวดาร ฉบบั พระราชหัตถเลขา เล่ม ๒, พิมพ์ครังที่ ๗, (กรงุ เทพมหานคร : คลงั วิทยา ๒๕๑๖), หนา้ ๖๑. ๓๙ เร่ืองเดียวกนั , หนา้ ๑๐๓. ๔๐ http://www.chaoprayanews.com/กษัตริย์สมยั อยุธยา ๔๑ อ้างแล้ว, พระราชพงศาวดารกรุงศรอี ยุธยา ฉบับพันจันทนมุ าศ (เจมิ ), หนา้ ๓๒๔.

๒๔๐ น้า จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ชะลอพระพุทธไสยาสน์องค์นันเข้ามา และสร้างพระวิหารครอบ ไว้๔๒ สมเดจ็ พระบรมราชาธริ าชที่ ๓ (พระเจ้าอยู่หวั บรมโกศ) ทรงสริ ริ าชสมบัตริ ะหว่าง พ.ศ. ๒๒๗๖-๒๓๐๑ รวมครองราชย์สมบัติเป็นเวลา ๒๖ ปี (เปน็ โอรสของพระเจ้าเสือ) พระองคม์ ีอายุ ยนื ๗๐ ปี ในรัชสมยั ของพระองค์พทุ ธศาสนาเฟ่อื งฟมู าก พระองคท์ รงมคี วามเล่ือมใสศรัทธา และทา้ นุ บา้ รุงพระพุทธศาสนาเปน็ อนั มาก โปรดเกล้าฯ ใหบ้ ูรณปฏิสังขรณ์วดั วาอารามทังในกรุงศรีอยุธยาและ ในบรรดาหัวเมืองตา่ งๆ ไดแ้ ก่ วดั พระศรีสรรเพชญ์ วัดป่าโมก วัดหันตรา วดั ภูเขาทอง และวดั พระราม โปรดเกล้าฯ ให้ซอ่ มเศียรพระประธานวัดมงคลบพิตร ท่ีชา้ รุดอยู่ ทรงให้ความส้าคัญในการศึกษาทาง พทุ ธศาสนาเป็นพเิ ศษ ผู้ท่ีถวายตัวเขา้ รับราชการต้องผ่านการบวชเรียนมาแล้ว ในปี พ.ศ.๒๒๙๖ พระ เจ้ากีรติสิริราชสิงห์ กษัตริย์ลังกา ทรงทราบกิตติศัพท์ว่าพระพุทธศาสนาในกรุงศรีอยุธยารุ่งเรืองมาก จึงได้ส่งราชทูตมาขอพระมหาเถระ และคณะสงฆ์ไปช่วยฟ้ืนฟูพระพุทธศาสนาในลังกา ซึ่งเส่ือมโทรม ลงไป เนอื่ งจากกษตั รยิ ์ลังกาองค์ก่อน หันไปนับถือศาสนาพราหมณ์ และท้าลายพุทธศาสนา จนกระท่ัง ไม่มีพระสงฆ์เหลืออยู่ในลังกา สมเด็จพระเจ้าบรมโกศ จึงโปรดให้ส่งคณะสมณทูตประกอบด้วย พระราชาคณะสองรูปคือ พระอุบาลี และพระอริยมุนี พร้อมคณะสงฆ์อีก ๑๒ รูป ไปลังกา เพ่ือ ประกอบพิธีบรรพชา อุปสมบท ให้กับชาวลังกา คณะสงฆ์คณะนีได้ไปตังนิกายสยามวงศ์ ขึนในลังกา หลังจากท่ีไดช้ ่วยฟน้ื ฟูพระพุทธศาสนาในลังกา เป็นเวลาเจ็ดปีแลว้ คณะสงฆ์คณะนบี างส่วนไดเ้ ดนิ ทาง กลับกรงุ ศรีอยุธยา เม่ือปี พ.ศ.๒๓๐๓ สมเด็จพระอนุชาธิราช กรมพระราชวังบวรทรงมบี ทบาทสา้ คัญ ในการปฏิสังขรณ์และบูรณะศาสนสถานในกรุงศรีอยุธยา ทรงเป็นแม่กองก้ากบั การปฏิสังขรณ์วัดกุฎี ดาวโดยเสด็จไปทอดพระเนตรหนึ่งหรือสองเดือนครังหน่ึง เป็นเวลา ๓ ปีเศษการปฏิสังขรณ์จึงแล้ว เสร็จ ต่อมาในพ.ศ.๒๒๖๘ เจ้าอธิการวัดป่าโมกแจ้งแก่พระยาราชสงครามว่าพระพุทธไสยาสน์วัดป่า โมกข์นันน้ากดั เซาะตล่งิ พังเข้ามาถึงพระวิหารแลว้ อกี ไม่นานพระพุทธไสยาสน์อาจะพังลงน้าเสีย พระ ยาราชสงครามจึงกราบบังคมทูล สมเด็จพระสรรเพชญ์ท่ี ๙ (พระเจ้าท้ายสระ) พระองค์ทรงปรึกษา เหล่าเสนาบดวี ่าควรจะรอื พระพุทธไสยาสนไ์ ปก่อใหม่ หรือควรจะชะลอไปไว้ที่ใหม่ พระยาราชสงคราม ไดไ้ ปตรวจดูแลว้ เห็นวา่ อาจชะลอลากไปได้จึงกราบบังคมทลู แต่กรมพระราชวังบวรไมเ่ ห็นด้วย ตรัสว่า พระพุทธไสยาสน์นันองค์ใหญ่นักหากชะลอลากไปจะอาจจะหักพัง เป็นท่ีเส่ือมเสียพระเกียรติยศได้ เห็นควรรือไปก่อใหม่ให้งามย่ิงกว่าเก่า พระยาราชสงครามจึงทูลอาสาว่าจะด้าเนินการชะลอลากให้ สา้ เร็จโดยขอถวายชวี ิตเป็นเดิมพัน พระราชาคณะทังปวงก็เหน็ ชอบดว้ ย สมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ ๙ จึง โปรดให้พระยาราชสงครามด้าเนินการจนส้าเร็จโดยพระองค์และกรมพระราชวังบวรเสด็จไป ทอดพระเนตรอยู่เนืองๆกรมพระราชวังบวรได้ทรงพระราชนิพนธ์บันทึกการชะลอพระพุทธไสยาสน์ ครังนันไว้เป็นโคลงสี่สุภาพจ้านวน ๖๙ บท เรียกกันต่อมาว่าโคลงชะลอพระพทุ ธไสยาสน์วัดป่าโมก๔๓ สมเด็จพระบรมราชาธิราชท่ี ๓ (พระเจ้าอย่หู ัวบรมโกศ) สมัยนีมีการบูรณะอารามใหญ่น้อยทงั ในพระ นครและหัวเมืองต่างๆ เช่น ๑) วัดพระศรีสรรเพชญ์ ๒) วดั พระราม ๓) เจดีย์ภูเขาทอง (เร่ิมสร้างแต่ สมัยราชวงศ์สพุ รรณภูมิ-มาเสรจ็ สมบูรณ์ในราชวงศ์พลูหลวงในรัชกาลพระเจ้าบรมโกษฐ)์ ทางหัวเมือง คือ วัดพระแท่นศิลาอาสน์ จังหวัดอุตรดิตถ์ มีพระราชนิยมเร่ืองการบรรพชาอุปสมบท ราษฎรหรือ ๔๒ http://www.chaoprayanews.com/กษตั ริย์สมัยอยธุ ยา ๔๓ http://www.chaoprayanews.com/กษตั รยิ ์สมัยอยธุ ยา

๒๔๑ ขา้ ราชการ ถ้ายังไม่ผ่านการบรรพชาอุปสมบทมาก่อน ก็จะไม่ทรงชุบเลียงหรือเลื่อนยศให้ กวีในทาง ศาสนาคือ ๑) พระมหานาค วัดท่าทราย ได้แต่งเรื่องปุณโณวาทค้าฉันท์ ๒) เจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร์หรือ กรมขุนเสนาพิทักษ์ เป็นพระโอรสของพระเจ้าบรมโกษฐ์ ทรงนิพนธ์ พระมาลัยค้าหลวงนันโทปนันท สตู ร เป็นตน้ พระราชกิจท่ีส้าคญั อย่างหน่ึงของพระเจ้าอยู่หัวบรมโกษฐ์ คือการทรงอปุ ถมั ภ์ให้มกี ารตัง สมณวงศ์ในลังกา ท่ีเรียกว่า สยามวงศ์หรืออุบาลีวงศ์มาจนกระทั่งทุกวันนี สาเหตุเน่ืองจากประเทศ ลงั กาเกดิ สงคราม ถูกกดขจ่ี ากโปตเุ กส ห้ามนบั ถือพุทธศาสนา จึงท้าใหส้ มณวงศ์ในลงั กาสูญสนิ ไป หรือ แต่ สามเณรสรณังกร ซ่ึงตอนนันมีอายุมาก ได้พยายามฟ้ืนฟูสมณวงศ์ ช่วงนนั เป็นสมัยของพระเจ้ากิติ สริ ิราชสิงหะ กษัตริย์ลังกา และทราบจากพ่อคา้ ทีไปติดต่อค้าขายกับกรุงศรีอยุธยาว่า มีภกิ ษุสงฆ์มาก พุทธศาสนามีความเจริญมาก ราชทูตของลังกาได้เดินทางมากรุงศรีอยุธยาปีเศษ ตื่นเต้นกับวัดวา อาราม โบสถเ์ จดยี ์วหิ ารว่า มองไปทางไหนกเ็ ห็นแต่ทองทังนนั ครงั แรก ไทยได้ส่งคณะ พระอุบาลเี ถระ และอริยมุนี ๒ รูป ซ่ึงเป็นหัวหน้าไปลังกา เดินทางอยู่ ๑ เดือน ๒๑ วันจึงถงึ ลังกา ได้จ้าพรรษาทวี่ ัดบุ ปผาราม ณ ประเทศลังกา และท้าการอุปสมบทสามเณรสรณังกรเป็นภิกษุรูปแรก ซ่ึงมีอายุถึง ๕๔ ปี แล้ว เป็นปลายสมยั พระเจ้าอยู่หัวบรมโกษฐ์ ใช้เวลา ๔ ปี สามารถบวชได้ ๖,๐๐๐ รูป พระอุบาลีเถระ ได้มรณภาพท่ีลงั กาในอีก ๒-๓ ปีต่อมา พระเจ้ากิตติสิริราชสิงหะ พระองค์ทรงมอบเคร่ืองบรรณาการ แก่พระเจ้าบรมโกษฐ์ คือ ๑) พระไตรปิฎก ๒) พระพุทธรูปทองค้า ครังที่ ๒ ไทยได้ส่ง พระภิกษุ คือ พระวิสุทธาจารย์ พระวรญาณมุนี และพระจ้านวน ๒๐ รูป เณร ๒๐ รูป รวมเป็น ๔๒ รปู ไปลังกา ใน ครังนีไทยได้อัญเชิญพระทันตธาตุ จากลังกามาด้วย (พระเขยี วแกว้ ของพระพุทธเจา้ ) กล่าวอีกนยั หนึ่ง พระพุทธศาสนากับกรุงศรีอยุธยา ตังแต่ต้น เฉพาะกษัตริย์ที่เก่ียวข้องกับพุทธศาสนา ดังนี ๑) พุทธ ศาสนาเป็นแบบลังกาวงศ์ กษัตริย์ทุกพระองค์ทรงเป็นพุทธมามกะ ๒) ศิลป์และวรรณคดี เช่น ศิลป์ ลพบุรี นิยมสร้างเป็นทรงพระปรางค์ข้าวโพด และยังมีศิลป์แบบขอม ศิลป์แบบลพบุรีส่วนด้าน วรรณคดี ได้แก่ มหาชาติค้าหลวง เป็นวรรณคดีที่ส้าคัญ (ต่อมามีช่ือเสียงสมัยพระบรมไตรโลกนารถ รัชกาลท่ี ๑) ๓) การปกครองคณะสงฆ์ แบ่งเป็น ๒ คณะ (โดยเอาแบบมาจากกรงุ สุโขทัย) คือ คามวาสี และ อรัญญวาสี ๔) การศึกษา มีการศึกษาพระไตรปิฎก แบ่งเป็น คันถธุระ และวิปัสสนาธุระ และ การศึกษาส่วนใหญ่ก็ทา้ กนั ในพระราชวัง เชน่ พระทน่ี ่ังจอมทอง มณเฑียรธรรม เปน็ ต้น๔๔ มีวรรณคดี เก่ียวกับพระพุทธศาสนาเกิดขึนหลายเรื่อง เช่น นันโทปนันทสูตร มาลัยค้าหลวง ปุณโณวาทค้าฉันท์ และพระราชปุจฉาถามคณะสงฆ์๔๕ ทรงสง่ พระสงฆ์ไทยไปสบื พระศาสนาในประเทศศรีลังกา ดังปรากฏ ในพระราชพงศาวดาร ว่า “ลุศกั ราช ๑๑๑๕ ปีรกาเบญจศก ฝ่ายพระเจา้ กิตตศิ ิรริ าชสีห์ได้เสวยสมบัติ ในเมอื งสงิ ขัณฑนคร เปน็ อิศราธิบดีในลงั กาทวปี และครัง้ น้ันพระพทุ ธศาสนาในเกาะลังกาหาพระภกิ ษุ สงฆ์มิได้ จึงแต่งใหศ้ ิรวิ ฒั นอา่ มาตย์เป็นราชทูตกบั อุปทูตตรที ตู จ่าทูลพระราชสาสน คมุ เครอื งมงคลราช บรรณาการมีพระบรมสารกี ธาตุเปน็ อาทมิ ากบั กา่ ป่นั ลันขาพชิ วิลันดา เข้ามาเจริญทางพระราชไมตรี ณ กรุงเทพมหานคร จะขอพระภิกษุสงฆ์ออกไปให้อุปสมบทแก่กุลบุตรสืบพระพุทธศาสนาในลังกา ๔๔ http://www.baanjomyut.com/library_๒/extension-๑/buddhism_to_the_country/ ๑๓.html ๔๕ กรมการศาสนา กระทรวงวฒั นธรรม, ภาคที่ ๓ ประวตั คิ วามเป็นมาของพระพทุ ธศาสนาและ องคก์ ารศาสนาตา่ ง ๆ ในประเทศไทย, หนา้ ๑๔๐.

๒๔๒ ทวีป”๔๖ พิมพ์ร้าไพ เปรมสมิทธ์ ได้กล่าวถึงความสัมพันธ์ทางพุทธศาสนาระหว่างไทยกับลังกาตังแต่ รัชกาลสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ จนถึงรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สรุป ความไดว้ ่า ประเทศไทยและประเทศลังกามคี วามสัมพันธ์กันมาหลายร้อยปี สืบเนอ่ื งจากการท่ีไทยรับ นับถือพทุ ธศาสนาแบบลังกาวงศ์เป็นศาสนาประจา้ ชาติ การตดิ ต่อระหว่างชาติทังสองเป็นลักษณะการ ให้และการตอบแทน กล่าวคือในตอนต้นพุทธศตวรรษท่ี ๑๙ ไทยรับนับถือพุทธศาสนาแบบลังกาวงศ์ จากลงั กา และต่อมาเมื่อทางลงั กาเกิดปญั หายุ่งยากทางการเมืองในปลายพุทธศตวรรษที่ ๒๓ หมดสิน สมณวงศ์ ฝ่ายไทยได้สนองตอบด้วยการช่วยเหลือก่อตังนิกายสยามวงศ์ในลังกา หลังจากนันได้มี ความสัมพันธ์ใกล้ชิดต่อมาจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ โดยเฉพาะในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระ จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซ่ึงทางลังกาได้ขอรับความอุปถัมภ์ทางพุทธศาสนาอีกครังหน่ึง และยกย่อง พระองค์เป็น “อัครศาสนูปถัมภก” ในประเทศตน พุทธศาสนาแบบลังกาวงศ์ได้เข้ามาตังมั่นและ เจริญรงุ่ เรืองขึนเป็นล้าดับมา นับตังแต่กรุงสุโขทัยรับนับถอื พุทธศาสนาแบบลังกาวงศ์แลว้ ส่วนลังกา ซึ่งเป็นประเทศต้นวงศ์มักจะประสบปัญหาความยุ่งยากทางการเมืองทังภายในและภายนอก มี หลักฐานท่ีแสดงให้เห็นว่า การติดต่อระหว่างไทยกับลังกาในปลายสมัยอยุธยา ในรัชกาลสมเด็จพระ เจ้าอยู่หัวบรมโกศนัน ฮอลันดาซ่ึงยึดครองดินแดนในเกาะลังกาบางส่วนอยู่ได้ มีส่วนสนับสนุนให้ กษัตริย์ลังกาผู้ปกครองอาณาจักรแคนดีซึ่งยังคงเป็นอิสระ ให้ตดิ ต่อขอความช่วยเหลือจากไทยในการ ฟนื้ ฟูพุทธศาสนา โดยท่ีฮอลันดาหวังผลประโยชน์ในทางการเมืองและการค้า ผลของการติดต่อในช่วง นีก็คือ ได้มีการก่อตังนิกายสยามวงศ์ ซ่ึงเป็นนิกายที่เก่าแก่และใหญ่ท่ีสุดของลังกาแม้กระทังทุกวันนี ต่อมาลังกาต้องเผชิญกับการขยายตัวของลัทธิจักรวรรดินิยมตะวันตกเป็นเวลานาน จนในท่ีสุดได้ตก เป็นอาณานิคมของอังกฤษ ถึงแม้อังกฤษจะมีนโยบายไม่เบียดเบียนพุทธศาสนา แต่การพุทธศาสนาก็ เสื่อมโทรงลง เน่ืองจากขาดผนู้ ้าและองคก์ รทีจ่ ะรวบรวมพระสงฆแ์ ละพุทธศาสนิกชนเข้าด้วยกนั เพื่อ ฟ้ืนฟูทะนุบา้ รุงพุทธศาสนาในประเทศของตน คณะสงฆ์ลังกาจงึ ตอ้ งอาศัยความชว่ ยเหลือจากประเทศ ที่นับถือพุทธศาสนาเช่นเดียวกันคือประเทศไทย ดังท่ีได้มีการเสนอท่ีรับการบวชแปลงเป็น ธรรมยุติกนิกาย และการขออยู่ใต้การปกครองคณะสงฆ์จากฝ่ายไทย แม้ความประสงค์ดังกล่าวนีจะ ไม่ได้รับการตอบสนองโดยตรง ฝ่ายไทยก็พยายามหาหนทางช่วยเหลือในขอบเขตที่สามารถจะท้าได้ สาเหตุที่ฝ่ายลงั กาเลือกท่ีจะขอรบั ความอุปถัมภ์จากไทยนัน นอกจากจะเปน็ เพราะมพี ืนฐานการนับถือ ศาสนาแบบเดียวกัน และความมั่นคงของพุทธศาสนาในประเทศไทยแลว้ ยงั มีเหตุผลส้าคัญอกี ข้อหนึ่ง คือ ไทยเป็นชาติที่นับถือพุทธศาสนาแบบเถรวาทเพียงประเทศเดียว ที่ยังคงรักษาเอกราชไว้ได้ใน ขณะนนั สมเด็จพระทีน่ งั่ สุริยาศน์อมรนิ ทร์ (สมเดจ็ พระเจ้าเอกทัศ) ทรงสิรริ าชสมบตั ริ ะหว่าง พ.ศ. ๒๓๐๒-๒๓๑๐ รวมครองราชย์สมบัติเป็นเวลา ๙ ปี ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่บ้าเพ็ญพระราช กรณียกิจด้านทะนุบ้ารุงพระพุทธศาสนาเป็นนิจ ในเอกสารเก่าท่ีรวมไว้ในค้าให้การขุนหลวงหาวัด ประดู่ทรงธรรม เอกสารจากหอหลวงว่าทรงสร้างวัดลมุด วัดครุธธาทรงตังอยู่ในธรรมสุจริต เสด็จไป นมสั การพระศรีสรรเพชญ์ทุกเวลามิได้ขาด พระบาทจงกรมอยเู่ ปน็ นจิ ทรงตังอย่ใู นทศพิธราชธรรม ใน รัชสมัยนีพระราชพงศาวดารได้บันทึกเหตุการณ์ส้าคัญทางพระพุทธศาสนาคือ ก้าปั่นทูตที่ออกไปส่ง ๔๖ พระราชพงศาวดาร ฉบับพระราชหัตถเลขา ภาค ๒, หนา้ ๒๓๙.

๒๔๓ พระสงฆ์ไปอุปสมบทกลุ บตุ รสืบพระพุทธศาสนา ณ ลงั กาทวปี ตังแตส่ มัยสมเด็จพระเจา้ อยหู่ ัวบรมโกศ ได้กลับเข้ามา จึงทรงพระกรุณาให้แต่งก้าป่ันใหม่ใน พ.ศ.๒๓๐๑ ให้อาราธนาพระวสิ ทุ ธาจารย์ พระวร ญาณมุนพี ระราชาคณะ ๒ รูป พระสงฆ์อนั ดบั ๓ รปู ไปลงั กาทวปี กับข้าหลวง เพื่อออกไปผลดั พระสงฆ์ ซ่งึ ไปครังก่อนให้กลับมา ท่ีลงั กาพระอุบาล พระอริยมุนี และพระสงฆ์ท่อี อกไปครังหลังบวชชาวสิงหล เปน็ ภกิ ษอุ ีกสามร้อย สามเณรก็มาก อยู่ได้ปีเศษ พระภิกษุไทยกเ็ ดินทางกลบั มา คงแต่พระอบุ าลี และ พระสงฆ์อันดับอยู่บ้าง๔๗ พงศาวดาร ระบุว่า “ฝา่ ยป่ันข้างหลวง ณ กรุงเทพมหานครซึงออกไปลังกา ทวีปนั้น ครั้นถึงก็น่าพระสงฆ์และเจ้ากรมหมืนเทพพิพิธขึ้นไป ณ เมืองสิงขัณฑนคร เข้าเผ้าพระเจ้า ลังกา ๆ ได้ทราบว่าเป็นขัตยิ วงษ์ในสยามประเทศก็ต้อนรบั เล้ียงดูอยู่เป็นสขุ และเมือพระอุบาฬี พระ อริยมุนี พระสงฆ์ออ่าไปคร้ังก่อนนัน้ พระเจ้าลังกาใหอ้ ยู่ในวัดบุบผาราม ไดบ้ วชกุลบุตรชาวสิงหฬเป็น ภิกษุถึงเจ็ดร้อย สามเณรเจ็ดร้อย อยู่ได้ปีเศษพระอริยมุนีซึงไปคร้ังก่อนกับพระวิสุทธาจารย์ พระวร ญาณมณุ ี ก็ถวายพระพรลาพระเจา้ ลังกากลบั มากบั ขา้ หลวง แต่พระอุบาฬนี ้นั มไิ ดม้ า”๔๘ ชาวบางระจันรวมตัวกันต่อสู้กับพม่าโดยมีพระอาจารย์ธรรมโชติเป็นแกนน้า ดังปรากฏในพระราช พงศาวดาร ว่า “ขณะนั้นพระอาจารย์วดั เขานางบวชมาอยู่ ณ วัดบ้านระจัน ชาวบ้านแขวงเมืองวิเศษ ชยั ชาญ เมืองสุพรรณบุรี เมืองสิงห์บุรี เมืองสรรคบุรี อพยบหนีเข้ามาพึงพระอาจารย์นั้นเป็นอันมาก พม่าจึงแบ่งกันทุกค่ายยกข้ึนจะไปรบ ฝ่ายชาวบ้านระจันยกออกไปตั้งอยู่นอกค่าย พอพม่ายกมาก็ขับ กันออกไล่ตะลมุ บอนฟันแทงพมา่ ลม้ ตายเปน็ อนั มาก”๔๙ สรุปข้อมูลท่ีได้น้าเสนอในข้างต้น มปี ระเด็นเก่ียวกับประวัติศาสตร์พระศาสนาสมัยกรงุ ศรี อยธุ ยาในภาพรวมดงั นี ๑. การออกผนวชเป็นการสืบพระราชประเพณี เร่อื งเจา้ นายในสมัยกรุงศรีอยธุ ยาออกทรง ผนวชเป็นการสืบธรรมเนียมประเพณีท่ีพระเจ้าแผ่นดินและเจ้านายในราชวงศ์ออกทรงผนวชตาม แบบอย่างพระมหาธรรมราชาลิไทแห่งกรุงสุโขทัย หรือรพะบรมไตรโลกนาทแห่งกรุงศรีอยุธยาทรง บา้ เพญ็ พระราชกศุ ลออกผนวชมาแล้วนนั ปรากฏว่าเจา้ นายในสมัยกรุงศรอี ยุธยานอกจากพระบรมไตร โลกนาถและพระรามาธิบดีท่ี ๒ แล้วก็ยังมีอีก ๔ พระองค์ คอื ๑) พระเจา้ ทรงธรรม ซึง่ ก่อนเสวยราชย์ เป็นพระมหากษัตริย์สืบแทนพระศรีเสาวภาคย์ ด้วยการชิงราชสมบัตินัน ได้บวชเป็นพระภิกษุเป็น พระราชาคณะท่ี พระพิมลธรรม แต่พระองค์นี นามทางราชการแห่งราชสา้ นักในสมัยนันมไิ ดถ้ ือวา่ เป็น เจ้า แต่อย่างใด เพียงแตใ่ ช้พระนามเดิมวา่ พระศรศี ิลป์ อันเปน็ พระนามของเจ้านายเท่านันเอง ๒) เจ้า ฟ้าตรัสน้อย พระราชโอรสของพระเพทราชา ๓) พระองค์เจ้าบุญนาค พระเจ้าลูกยาเธอในสมเด็จพระ เจา้ เสอื ขุนหลวงสรศักดิ์ ๔) เจ้าฟา้ นเรนทร พระราชโอรสของพระเจ้าท้ายสระ สามพระองค์หลังนีทรง ผนวชอยตู่ ลอดพระชนมายุ และมิได้รบั สมณศักดเ์ิ ป็นพระราชาคณะแต่ประการใด ๒. การสร้างวดั พระเจ้าแผน่ ดนิ แห่งกรุงศรอี ยุธยาได้ทรงสรา้ งวดั ขึนแต่ละรัชกาล ดังนี ๔๗ http://www.chaoprayanews.com/กษตั ริย์สมยั อยุธยา ๔๘ พระราชพงศาวดาร ฉบบั พระราชหตั ถเลขา ภาค ๒, หนา้ ๒๗๒. ๔๙ พระราชพงศาวดารกรงุ ศรอี ยุธยา ฉบับพนั จนั ทนุมาศ (เจมิ ), หน้า ๓๗๘.

๒๔๔ พระเจ้าอทู่ อง พระปฐมกษัตริยผ์ ู้สร้างกรุงศรีอยธุ ยาทรงสร้างวัดขนึ ๒ วัด คอื ๑) วัดพุทไธ ศวรรย์ สร้างขึนท่ีต้าบลเวยี งเหล็ก (ปัจจุบันคือต้าบลส้าเภาล่ม) เม่ือ พ.ศ. ๑๘๙๖ เพ่ือเป็นอนุสรณ์ถึง การที่พระองคไ์ ด้เสดจ็ มาจากเมืองอูท่ อง ตังราชธานีศรีอยธุ ยาขนึ เป็นครงั แรก ณ ตา้ บลนีหลังจากสร้าง พระราชวังใหม่เสร็จทรงยกพระราชวังเดิมให้เป็นวัด ๒) วัดป่าแก้ว สร้างเม่ือ พ.ศ. ๑๙๐๖ เพ่ือเป็น อนุสรณ์ถึงเจ้าแก้วเจ้าไทยซ่ึงประชวรอหิวาตกโรคสินพระชนม์ให้ขุดพระศพท่ีฝังไว้นันขึนแล้ว พระราชทานเพลงิ พระศพเสรจ็ แล้วกไ็ ด้สรา้ งวดั ตรงที่พระราชทานเพลงิ นันเป็นวดั ป่าแกว้ วัดนปี รากฏ ตามหสังสือโบราณวัตถสุ ถานทว่ั อาณาจกั รของกรมศิลปากรมีชือ่ อกี อย่างหนง่ึ วา่ วัดเจ้าพระยาไทยและ พระเจ้าอู่ทองทรงสร้างเมื่อ พ.ศ. ๑๙๐๐ เพื่อส้าหรับเป็นส้านักของพระสงฆ์ที่บวชเรียนมาจากส้านัก พระวันรัตมหาเถระในลงั กาทวีป เรียกกันว่า คณะป่าแก้ว วดั นีจึงได้นามว่าวดั ป่าแกว้ ดว้ ย ส่วนนามอีก อย่างซ่งึ ชาวบ้านเรียกกันเป็นสามัญท่ัวไปก็คือ วัดใหญ่ชัยมงคล ตังอยู่นอกพระนคร (นอกเกาะเมือง) ตา้ บลท่ตี งั วดั ปัจจุบันเรียกว่าตา้ บลไผ่ลงิ ขึนอยใู่ นอ้าเภอกรงุ เกา่ แผ่นดินสมเด็จพระราเมศวร รัชกาลท่ี ๒ แห่งกรุงศรีอยุธยาได้ทรงสร้างวัดขึน ๓ วัด คือ ๑) วดั พระราม โปรดใหส้ รา้ งตรงท่ถี วายเพลิงพระบรมศพสมเดจ็ พระเจา้ อู่ทอง พระราชบิดา เม่อื พ.ศ. ๑๙๑๒ หนา้ วัดมีบงึ ใหญ่เดิมเรยี กว่า หนองโสน ต่อมาเมือ่ สมัยกรงุ ศรีอยธุ ยาได้ขดุ เอาดนิ ในหนองนขี ึน ถมพืนวงั และพืนวัดพระมหาธาตุ วดั ราชบรู ณและวดั พระราม จงึ กลายเป็นบงึ ใหญ่โต บึงนมี ีชื่อปรากฏ มณเฑียรบาลว่าขึงชีขันและต่อมาเปล่ียนช่ือใหม่เรียกว่า บึงพระราม แตจ่ ะเปล่ียนเม่ือใดไม่อาจทราบ ได้ ช่อื นียังคงเรยี กกันมาจงึ ถึงทุกวันนี ๒) วดั มหาธาตุ อยู่เชิงสะพานป่าถ่าน ในประวัติศาสตรย์ ังสับสน กันอยู่ พงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขาว่า สมเด็จพระราเมศวร ทรงสร้างเมื่อ พ.ศ. ๑๙๒๗ แต่ พงศาวดารฉบับหลวงประเสริฐว่า สร้างในแผ่นดินสมเด็จพระบรมราชาธิราชท่ี ๑ (ขุนหลวงพระงั่ว) เมือง พ.ศ. ๑๙๑๗ ๓) วัดภูเขาทอง สร้างเมื่อ พ.ศ. ๑๙๓๐ อยู่ต้าบลภูเขาทอง ห่างจากพระราชวัง ประมาณ ๒ กเิ มตร ยงั ไมพ่ บปรารภเหตุรา้ ง แผ่นดินพระบรมราชาที่ ๒ (เจ้าสามพระยา) รัชกาลท่ี ๗ แห่งกรุงศรอี ยธุ ยาทรงสรา้ งวัดขึน ๒ วัด คือ ๑) วัดราชบูรณะ อยู่ตรงข้างกับวัดมหาธาตุ พระเจ้าสามพระยาทรงสร้างขึนเม่ือ พ.ศ. ๑๙๑๖ ตรงบริเวณที่เจ้าอา้ ยกับเจา้ ยี่ พระเชษฐา ทรงชนช้างกันถงึ พริ าลัย ๒) วัดมเหยงคณ์ ทรงสร้าง เมื่อ พ.ศ. ๑๙๖๗ แต่ไม่ทราบว่าทรงสร้างเพราะปรารภเหตุใด วัดนีปัจจุบันที่ตังวัดเรียกว่า ต้าบลบ้า กระมัง อา้ เภอกรุงเกา่ แผ่นดินพระบรมไตรโลกนาถ รัชกาลที่ ๘ แห่งกรุงศรอี ยุธยา ทรงสร้างวัดขึน ๒ วัด คือ ๑) วัดพระศรีสรรเพชญ เป็นวดั ในพระบรมมหาราชวงั ไม่มพี ระสงฆ์ ๒) วัดจุฬามณี สร้างท่ีเมอื งพิษณุโลก ซึ่งเป็นวัดที่พระองคท์ รงผนวชอยู่ แผน่ ดินสมเด็จพระมหาจกั รพรรคิ รัชกาลท่ี ๑๕ แหง่ กรงุ ศรีอยุธยา ทรงสรา้ งวัด ๑ วัด คือ วัดหลวงสบสวรรค์ ทรงสร้างท่ีสวนหลวงบริเวณที่ถวายพระเพลิงพระศพสมเด็จพระศรีสุริโยทัย เม่ือ พ.ศ. ๒๐๙๑ เพ่ือเป็นอนุสาวรีย์ของสมเด็จพระศรีสุริโยทัย วัดนีอยู่ในเกาะเมืองด้านตะวันตก (ใน บริเวณกรมทหารเกา่ ) แผ่นดินสมเด็จพระเอกาทศรถ รัชกาลท่ี ๑๙ แห่งกรุงศรีอยุธยา ทรงสร้างวัด ๑ วัด คือ วดั วรเชษฐาราม สมเด็จพระเอกาทศรถ ทรงสร้างอุทิศพระราชกุศลถวายสมเด็จพระนเรศวรมหาราช เมอ่ื พ.ศ. ๒๑๔๘ วัดนีตงั อยู่ต้าบลทา่ วาสกุ รี อ้าเภอกรงุ เก่า

๒๔๕ แผ่นดินสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง รัชกาลท่ี ๒๔ แห่งกรุงศรีอยุธยา ทรงสร้างวัด ๒ วัด คือ ๑) วัดไชยวัฒนาราม ทรงสร้างเม่ือ พ.ศ. ๒๑๗๓ ณ บริเวณบ้านเดิมของพระพันปีหลวง พระเจ้า ปราสาททอง อยู่ริมแม่น้าฝั่งเดียวกันกับวัดพุทไธศวรรย์ สร้างขึนด้วยฝีมือประณีตงดงามมาก ตังใจ เลียนแบบแผนผังนครวดั ที่ประเทศเขมร เนอื่ งจากคราวสร้างนัน ได้ตีเมืองเขมรกลบั คืนได้ด้วย ๒) วัด ชุมพลนกิ ายาราม อยู่อ้าเภอบางปะอิน สร้างเป็นอนุสรณ์ ณ สถานที่ทเี่ ป็นที่เกดิ ของพระองค์ จะสรา้ ง ปีใดยังหาหลกั ฐานท่ถี กู ตอ้ งไมไ่ ด้ แผ่นดินพระเพทราชา รัชกาลที่ ๒๘ แห่งกรุงศรีอยุธยา ทรงสร้างวัด ๑ วัด คือ วัดบรมพุ ทธาราม ทรงสร้างขึนที่พระนิเวศน์เดิม เม่ือ พ.ศ. ๒๒๓๒ (ก่อนเสวยราชย์) ปัจจุบันตังอยู่ต้าบล ประตชู ยั อา้ เภอกรงุ เกา่ แผ่นดินพระเจ้าเสือ รัชกาลที่ ๒๙ แห่งกรุงศรีอยุธยา ทรงสร้างวัด ๑ วัด คือ วัดโพธิ ประทับช้าง จงั หวดั พิจติ ร นัยวา่ เพอื่ เป็นอนสุ รณ์ทพ่ี ระองคท์ รงพระราชสมภพ ณ สถานท่สี ร้างวัดนี๕๐ ๓. การสร้างความสัมพันธ์ด้านพระพุทธศาสนาในต่างประเทศ แผ่นดินสมเด็จพระบรม ราชาธิราชที่ ๓ (พระเจ้าอย่หู ัวบรมโกศ) รชั กาลท่ี ๓๑ แห่งกรุงศรีอยุธยา มีการส่งพระสมณทูตไทยไป ประเทศศรลี งั กาจนทา้ ให้เกิดสยามวงศห์ รืออุบาลวี งศม์ าจนกระทงั่ ทกุ วันนี ประวัติศาสตรพ์ ระพุทธศาสนาในสมัยอยุธยา มีช่วงระยะเวลายาวนานถงึ ๔๑๗ ปี โดยเริ่ม ตังแต่ พ.ศ. ๑๘๙๓–๒๓๑๐ มีราชวงศ์ปกครองอาณาจักรทังสิน ๕ ราชวงศ์ ๓๓ พระองค์ ทรงนับถือ พุทธศาสนาทังหมด ทรงอุปถัมภ์บ้ารุงวัดวาอารามและพระสงฆ์อย่างเต็มก้าลัง โดยแบ่งการศึกษา ประวัติศาสตรพ์ ระพุทธศาสนาในสมัยอยุธยาท่ียึดเอาช่วงระยะเวลาออกเป็น ๔ ช่วง ได้แก่ ชว่ ง พ.ศ. ๑๘๙๓-๒๐๐๐ ช่วง พ.ศ. ๒๐๐๐-๒๑๐๐ ในชว่ ง พ.ศ. ๒๑๐๐-๒๒๐๐ และชว่ ง พ.ศ. ๒๒๐๐-๒๓๑๐ ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาในสมัยอยุธยา มีทังความเจริญรุ่งเรือง ความทรงตัว และ การเสอ่ื มถอยของพระพทุ ธศาสนา ทังนี เนอ่ื งด้วยเหตุปัจจัยท่ีมีความหลากหลายทังทเ่ี ป็นปัจจยั ภายใน และปจั จยั ภายนอก ในแง่ปัจจัยแห่งความรุ่งเรืองของพระพุทธศาสนาสมยั อยุธยา ประกอบด้วย ปัจจัยภายใน ได้แก่ การที่พระสงฆ์มีความใส่ใจในการศึกษาและการเผยแผ่พระพุทธศาสนา ปัจจัยภายนอก ได้แก่ การปกครองประเทศโดยสมบูรณายาสิทธิราช การท่ีมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพุทธมามกะให้ความ อุปถัมภ์ค้าชูแก่พระพุทธศาสนา ประเพณีการออกทรงผนวชของพระมหากษัตริย์ การตังอาณาจักร อยุธยาในด้านภูมิศาสตรท์ ี่มคี วามเหมาะสม ความอดุ มสมบูรณ์ของภูมปิ ระเทศ ความเจริญก้าวหน้าใน ด้านเศรษฐกิจการค้าท้าให้ประชาราษฐ์มีความสุขท่ัวราชอาณาจักร การเจริญสัมพันธ์ไมตรีกับชาว ต่างประเทศทเ่ี ป็นมหาอา้ นาจทงั ในดา้ นการเมืองและการศาสนา ในแง่ปัจจัยแห่งความชะลอตัวและการถดถอยของพระพุทธศาสนา ประกอบด้วย การศึก สงคราม จะเห็นไดจ้ ากช่วงใดที่เหตุการณ์บ้านเมืองอยู่ในภาวะสงคราม พระมหากษตั รยิ จ์ ้าเป็นตอ้ งมุ่ง ท้าศึกสงครามเพื่อรักษาแผ่นดินอาณาจักรอยุธยาไม่ให้ตกเป็นเมืองขึนหรือแม้แต่การล่มสลายของ อาณาจักร ช่วงนันพระพุทธศาสนาจึงเกิดการชะลอตัว ทรงตัว หรือแม้แต่มีความเสื่อมถอย อัน ๕๐ กรมการศาสนา กระทรวงวฒั นธรรม, ภาคท่ี ๓ ประวตั คิ วามเปน็ มาของพระพุทธศาสนาและ องคก์ ารศาสนาต่าง ๆ ในประเทศไทย, หน้า ๑๔๑-๑๔๓.

๒๔๖ เนื่องมาจากพระมหากษัตริย์ช่วงพระองค์นัน ๆ ไม่มีเวลาในการท้านุบ้ารุงและให้การอุปถัมภ์ พระพุทธศาสนา การเน้นเร่ืองความขลังศักด์ิสิทธิ์อิทธิฤทธ์ิปาฏิหาริย์มากเกินไป ซึ่งสอดคล้องกับ ข้อสงั เกตของพระพรหมคุณาภรณ์ ว่า “การนบั ถือพระพทุ ธศาสนาในสมยั อยุธยาวา่ พระพทุ ธศาสนาใน สมัยน้ีไม่สู้โน้มไปในหลักธรรมช้ันสูงนัก โดยมากสนใจมุ่งไปแต่เรืองการบุญการกุศล บ่ารุงพระสงฆ์ สร้างวัดวาอาราม ปูชนียสถาน ปูชนียวตั ถุ พธิ ีกรรม งานฉลอง งานนมัสการ เช่นไหว้พระธาตแุ ละพระ พุทธบาท เปน็ ต้น การบ่าเพ็ญจิตภาวนากเ็ น้นไปข้างความขลังศักด์ิสิทธิ์อิทธิฤทธ์ิปาฏิหารยิ ์ มเี รืองไสย ศาสตร์ อาถรรพย์เขา้ มาปะปนเปน็ อนั มาก”๕๑ เป็นต้น ๕.๒ เสน้ ทางการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในประเทศไทยสมัยอยุธยา การศึกษาโบราณคดีในสมัยอยุธยาการผู้วิจัยได้ศึกษาเรื่องราวและพฤติกรรมของมนุษย์ใน อดีตจากหลักฐานต่าง ๆ ที่พบบนดิน ใต้ดิน ได้แก่ โบราณสถาน และโบราณวัตถุ สถาปัตยกรรม ประติมากรรม จิตรกรรม และวรรณกรรม เพื่อให้เห็นร่องลอยของเส้นทางในการเผยแผ่ พระพุทธศาสนาในสมัยอยุธยา และเพื่อน้าหลักฐานเหล่านีมาวิเคราะห์และแปลความเพ่ือบอกเล่า เรือ่ งราวในอดตี ๕.๒.๑ โบราณสถานที่เปน็ วดั ในสมัยอยุธยา พระพทุ ธศาสนาในสมัยอยุธยาไดร้ ับอิทธิพลของพราหมณเ์ ข้ามามาก พธิ กี รรมต่าง ๆ ได้ปะปนพธิ ีของพราหมณ์ เนน้ ความขลังความศกั ดส์ิ ิทธิ์ และอิทธปิ าฏิหารยิ ์ มีเร่อื งไสยศาสตรเ์ ข้ามา ปะปนอยู่มาก พระมหากษัตรยิ ์และประชาชนมุ่งเร่ืองการบุญการกุศล สร้างวัดวาอาราม สร้างปูชนีย วัตถุ บ้ารุงศาสนาเป็นส่วนมาก๕๒ ดังจะได้น้าเสนอโบราณสถานที่เป็นวัดส้าคัญ ๆ ในสมัยอยุธยา ดังตอ่ ไปนี ๕๑ พระเทพเวที (ประยุทธ์ ปยุตฺโต), พระพทุ ธศาสนาในอาเซยี , หนา้ ๑๑๖. ๕๒ http://www.geocities.ws/sakyaputto/ayuddhaya.htm พระพุทธศาสนาสมยั กรงุ ศรีอยธุ ยา.

๒๔๗ ๑) วดั พทุ ไธศวรรย์ ภาพท่ี ๕.๒ วัดพทุ ไธศวรรย์๕๓ วดั พุทไธศวรรย์เป็นพระอารามหลวงตังอยู่ริมแม่น้าเจ้าพระยาฝ่ังตะวันตก ในต้าบลส้าเภา ล่ม อ้าเภอพระนครศรีอยุธยา ในสมัยกรุงศรีอยุธยา เป็นพระอารามหลวงท่ีใหญ่โตและมีช่ือเสียงวัด หน่ึง ปรากฏตามต้านานว่าสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ (พระเจ้าอู่ทอง) ทรงสร้างขึนในบริเวณที่ซง่ึ เป็น ท่ีตังพลับพลาที่ประทับเมื่อทรงอพยพมาตังอยู่ก่อนสถาปนากรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี ท่ีตรงนีมีช่ือ ปรากฏในพระราชพงศาวดารว่า \"ต้าบลเวียงเล็กหรือเวียงเหล็ก\" ครันเม่ือสถาปนากรุงศรีอยุธยาแล้ว ถึง พ.ศ. ๑๘๙๖ จึงโปรดให้สร้างวดั นีขนึ เป็นพระราชอนสุ รณ์ ณ ต้าบลซึ่งพระองคเ์ สดจ็ มาตังม่นั อยแู่ ต่ เดิม และพระมหากษัตรยิ อ์ งคต์ ่อ ๆ มาก็คงจะไดโ้ ปรดใหส้ รา้ งถาวรวตั ถุ เพมิ่ เตมิ ขึนอกี หลายอยา่ ง เมื่อ เสยี กรงุ ในปี พ.ศ. ๒๓๑๐ วัดพุทไธศวรรย์เป็นอกี วัดหนึง่ ท่ีมไิ ดถ้ กู ขา้ ศึกทา้ ลายเหมอื นวัดอื่น ๆ๕๔ ๕๓ https://www.google.co.th/search?hl=th&tbm=isch&source=hp&biw=๑๒๔๒&bih= ๖๓๖&ei=M๖mgWrrKC๔mavQTf๑ZfgDQ&q=วดั พุทไธศวรรย์+อยุธยา, สบื ค้นเม่ือวันที่ ๒๒ มนี าคม ๒๕๖๐. ๕๔ https://th.wikipedia.org/wiki/วัดพุทไธศวรรย์, สืบคน้ เม่ือ ๑๐ มีนาคม ๒๕๖๐.

๒๔๘ ๒) วัดมหาธาตุ (วัดพระศรีรัตนมหาธาต)ุ ภาพที่ ๕.๓ วัดมหาธาตุ (วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ)๕๕ วัดมหาธาตุ สร้างขึนในสมัยขุนหลวงพะงั่ว เมื่อปี พ.ศ. ๑๙๑๗ แต่เข้าใจว่าการก่อสร้าง เสรจ็ สินในรัชสมัยพระราเมศวรจารีตของการสร้างพระเจดยี ์ขนาดใหญ่ เอาไว้ในเมือง ซ่ึงถือสมมุติว่า พระเจดีย์นนั เป็นทีส่ ถิตของพระบรมสารีริกธาตุ และวัดนันถือว่าเป็นวัดศักด์ิสทิ ธิ์ ทังมักจะมชี ื่อวา่ วัด มหาธาตุ หรือวัดพระศรีมหาธาตุ หรือวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ ปรากฏโดยท่ัวไปในทุกภูมิภาค จารีต ดังกล่าวนีจะเร่ิมในสมัยใดนันไม่ทราบได้ แต่หากจะพิจารณา เฉพาะ อาณาจักรอยุธยาจะเห็นได้ว่า ธรรมเนียม ดังกล่าวเร่ิมตังแต่สมัย่แรกๆ ทีเดียววัดมหาธาตุจึงเป็นวัดท่ีส้าคัญที่สุด วัดหนึ่งของ อาณาจักร ในฐานะท่ีเป็นตัวแทน ของพระพุทธเจ้า อีกทังหากจะพิจารณาดูสถานที่ตังก็จะเห็นว่าอยู่ ใกลช้ ิดกับพระบรมมหาราชวัง เปน็ อย่างย่ิง ดังนัน วดั นจี ึงเป็นทปี่ ระทับของสมเดจ็ พระสงั ฆราช (ฝ่าย คามวาสี)มาตลอดจนสินกรุงศรีอยุธยา (ส่วนพระสังฆราชฝ่าย อรัญวาสีนัน ประทับอยู่ที่วัดใหญ่ชัย มงคล หรือ ส้านักวัดป่าแก้ว) ส่ิงท่ีน่าสนใจในวัดมหาธาตุ ได้แก่ ๑. พระปรางค์ขนาดใหญ่ ซึ่งใน ปัจจุบนั พังทลายลงมาหมดแลว้ แต่ราชทตู ลังกาทไี่ ด้เคยมาเย่ียมชมวดั มหาธาตุใน สมเดจ็ พระเจ้าอยู่หัว บรมโกศไว้ว่า ที่ฐานของพระปรางค์ มีรูปราชสีห์ หมี หงส์ นกยูง กินนร โค สุนัขป่า กระบือ มังกร เรียงรายอยู่โดยรอบรูปเหล่านีอาจ หมายถึงสัตวใ์ นป่าหิมพานต์ท่ีรายล้อมอยเู่ ชิงเขาพระสเุ มรุ ซ่ึงเป็น แกน กลางของจักรวาล ๒. เจดีย์แปดเหล่ียม เป็นเจดีย์ลดหล่ันกัน ๔ ชัน ๘ เหล่ียม ชันบนสุด ประดิษฐานปรางค์ขนาดเล็ก ซ่ึงเจดีย์องค์นี จัดว่าเป็นเจดีย์ท่ีแปลกตา พบเพียงองค์เดียวในอยุธยา ๓. วิหารท่ีฐานชุกชี ของพระประธานในวิหารกรมศิลปากรพบว่ามีผู้ลักลอบขุดลงไปลึกถงึ ๒ เมตร จึง ด้าเนินการขุดต่อไปอกี ๒ เมตร พบภาชนะดินเผาขนาดเล็ก ๕ ใบ บรรจแุ ผน่ ทองเบาๆรปู ต่าง ๆ ๕๕ http://m.donmueangairportthai.com/th/popular-destinations/๑๗๐๐/wat-mahathat- phra-nakhon-si-ayutthaya, สืบคน้ เมือ่ ๑๐ มีนาคม ๒๕๖๐.

๒๔๙ ๔. วหิ ารเล็ก วิหารเล็กแห่งนี มีรากไม้แผ่รากขึนเกาะเต็มผนัง รากไมส้ ่วนหน่ึงได้ลอ้ มเศียรพระพุทธรูป ไว้ธรรมดากรมศิลปากรจะต้อง ตัดต้นไม้ออกแต่ท่ีนี่ดูจะว่าเป็นท่ียกเว้น ๕. พระปรางค์ขนาด กลาง ภายในพระปรางค์ มีภาพจิตรกรรม เรือนแกว้ ซ่ึงเป็นตอนหนึ่งในพุทธประวัติ ๖. ต้าหนักพระสังฆราช บริเวณพืนท่ีว่างทางด้านทิศตะวันตก เป็นสถานท่ที ่ีเป็นท่ีตังพระต้าหนักพระสังฆราช ราชทูตลังกาได้ บอกไว้ว่า เป็นต้าหนักที่สลักลวดลายปิดทอง มีม่านปักทอง พืนปูพรมมีขวดปักดอกไม้เรียงราย เป็น แถวเพดานแขวนอจั กลบั (โคม) มีบังลงั ก์ ๒ แห่ง๕๖ ๓) วดั พระราม ภาพที่ ๕.๔ วัดพระราม๕๗ วัดพระราม เป็นวัดท่ีตังอยู่นอกเขต พระราชวัง ทางด้านทิศตะวันออก ต้าบลประตูชัย อา้ เภอพระนครศรีอยุธยา (กรงุ เกา่ ) จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ตรงขา้ มกับวิหารพระมงคลบพิตร วัด พระราม คาดว่าสร้างขึนในปี พ.ศ. ๑๙๑๒ ในรัชสมัยสมเด็จพระราเมศวร ซึ่งเป็นบริเวณท่ีถวายพระ เพลิงพระบรมศพสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ (พระเจา้ อู่ทอง) พระราชบิดา แต่พระองค์ทรงครองราชย์ ได้เพียงแค่ปีเดียว จึงเข้าใจกันว่าสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๑ ทรงได้ช่วยสร้างจนส้าเร็จหรืออาจ สร้างเสร็จเมื่อสมเด็จพระราเมศวรเสวยราชย์ครังที่ ๒ บรเิ วณหน้าวัดพระรามคือ บึงพระราม ปัจจุบัน ซากปรักหักพงั ภายในวดั เหลอื เพียงแต่ เสาในพระอโุ บสถ วิหาร ๗ หลัง ก้าแพงด้านหน่งึ และที่ส้าคัญ คือพระปรางค์ ซึง่ เปน็ พระปรางค์ทรงขอมโบราณขนาดใหญ่ ภายในมจี ิตรกรรมฝาผนังทงั สองดา้ น เป็น ภาพพระพุทธเจ้าประทับนั่งปางมารวิชัยบนบัลลังก์ สีท่ีใช้เป็นสีแดง คราม เหลืองและด้า เป็นภาพ จิตรกรรมยุคอยุธยาตอนต้น ปัจจุบันลบเลือนไปมาก พระปรางค์องค์ใหญ่ ตังอยู่บนฐานส่ีเหลี่ยม สูง แหลมขึนไปด้านบน ทางด้านทิศตะวันออก มีพระปรางค์องค์ขนาดกลาง ส่วนทางตะวันตกท้าเป็นซุ้ม ประตู มีบันไดสูงจากฐานขึนไปทังสองข้าง ที่มุมปรางค์ประกอบด้วยรูปสัตว์หิมพานต์ มีปรางค์ขนาด ๕๖ http://www.paiduaykan.com/๗๖_province/central/ayutthaya/watpramahathat.html, สืบค้นเม่ือ ๒๑ มนี าคม ๒๕๖๐. ๕๗ https://www.google.co.th/search?q=ภาพวดั พระราม&rlz=๑C๑CHZL_thTH๗๒๖TH ๗๒๖&tbm, สบื คน้ เมือ่ ๒๗ ธนั วาคม ๒๕๖๐.

๒๕๐ เลก็ ตังอยทู่ างทศิ เหนือ และ ใต้ รอบ ๆ ปรางค์เลก็ มเี จดยี ์ล้อมรอบอกี ๔ ด้าน นอกจากนียังมีเจดีย์เล็ก บ้าง ใหญ่บ้างอยูร่ อบ ๆ องค์พระปรางคป์ ระมาณ ๒๘ องค์ วัดพระรามนเี ป็นท่ีนา่ สังเกต คอื ก้าแพงวัด พระรามดา้ นเหนอื มแี นวเหล่ือมกนั อยู่ กา้ แพงด้านตะวันออก ตะวันตก และดา้ นใต้ มซี ุ้มประตคู ่อนไป ทางทิศตะวันตกได้ระดับกับมุมระเบียงดา้ นตะวนั ตกเฉียงเหนอื ของปรางค์ ส่วนแนวเหล่ือมนันไดร้ ะดับ กบั มมุ ระเบียงตะวนั ออกเฉยี งเหนือของปรางค์ ไม่มซี ุ้มประตู๕๘ ๔) วดั พระศรสี รรเพชญ ภาพที่ ๕.๕ วัดพระศรีสรรเพชญ๕๙ วัดพระศรีสรรเพชญ ตังอยู่ในเขตพระราชวังโบราณ เป็นวัดพุทธาวาสที่ไม่มีพระสงฆ์จ้า พรรษาเพื่อประกอบพิธีส้าคัญต่าง ๆ ของบ้านเมือง และเก็บอัฐิของพระมหากษัตริย์เปรียบได้กับวัด พระศรีรัตนศาสดารามในพระบรมมหาราชวังในกรุงเทพมหานครปัจจุบันเหลือเพียงซากอิฐปูนและ เจดีย์สามองค์ที่ตงั ตะหง่านเป็นจุดเด่น แต่ยังคงเป็นจดุ ท่ีดึงความสนใจของนักท่องเที่ยวให้เขา้ มาเย่ียม ชมอยู่เสมอ และเมื่อได้ลองจนิ ตนาการดกู จ็ ะร้สู ึกถึงความยิ่งใหญ่และความงดงามของกรงุ ศรีอยุธยาใน สมัยที่ยังเปน็ ราชธานี เจดีย์ทรงกลมเรียงกนั ๓ องค์ คอื สัญลกั ษณ์ของวดั พระศรีสรรเพชญ วัดพระศรี สรรเพชญ์ เดิมในสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ ใช้เป็นท่ีประทับ ต่อมาสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ทรงสร้างพระราชมณเฑียรขึนใหม่ทางตอนเหนือแล้วจึงโปรดฯให้ยกเป็นเขตพุทธาวาส เพื่อประกอบ พิธีส้าคัญต่าง ๆ ของบ้านเมืองจึงเป็นวัดในเขตพระราชวังที่ไม่มีพระสงฆ์จ้าพรรษา แตกต่างกับวัด มหาธาตสุ ุโขทัยที่มีพระสงฆ์จา้ พรรษา ทังวดั มหาธาตุ สโุ ขทัย วัดพระศรีสรรเพชญ์ อยุธยาและวัดพระ ศรีรัตนศาสดาราม ต่างกถ็ ูกสถาปนาขึนในมลู เหตกุ ารสร้างวัดเดียวกนั น่ันคือ “สรา้ งเพื่อเป็นวัดประจ้า พระราชวัง” ตอ่ มาในปี พ.ศ. ๒๐๓๕ รชั สมัยของสมเด็จพระรามาธบิ ดที ี่ ๒ พระองคท์ รงโปรดเกลา้ ฯ ๕๘ https://th.wikipedia.org/wiki/วัดพระราม, สืบคน้ เมอ่ื ๓ มกราคม ๒๕๖๑. ๕๙ https://www.google.co.th/search?hl=th&tbm=isch&source=hp&biw=๑๒๔๒&bih= ๖๓๖&ei=M๖mgWrrKC๔mavQTf๑ZfgDQ&q=วดั พระศรสี รรเพชญ+อยธุ ยา, สบื คน้ เม่อื ๑๐ มนี าคม ๒๕๖๐.

๒๕๑ ให้สร้างพระสถูปเจดีย์องค์ตะวันออก เพื่อบรรจุพระอัฐขิ องพระราชบิดา สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ หลังจากนันในปี พ.ศ. ๒๐๔๒ พระองค์ก็ทรงให้สร้างพระเจดีย์องค์ต่อมา ซ่ึงเป็นพระเจดีย์องค์กลาง เพ่ือบรรจุพระอัฐิของสมเด็จพระบรมราชาที่ ๓ พระบรมเชษฐาธริ าช ในปีต่อมา พ.ศ. ๒๐๔๓ สมเด็จ พระรามาธิบดีท่ี ๒ ทรงสรา้ งพระวหิ าร ทรงหล่อพระพุทธรูปยืนสูง ๘ วา (ประมาณ ๑๖ เมตร)หุ้มด้วย ทองค้าหนัก ๒๘๖ ชั่ง (ประมาณ ๑๗๑ กิโลกรัม) ประดิษฐานไว้ในวิหาร ถวายพระนามว่า พระศรี สรรเพชญดาญาณ เจดีย์องค์ที่ ๓ ถัดมาจากด้านทิศตะวันตกเป็น เจดีย์บรรจุพระอัฐิ ของสมเด็จพระ บรมราชาธิราชที่ ๒ ซ่ึงสมเด็จพระบรมราชาธิราชท่ี ๔(พระหน่อพุทธางกูร) พระราชโอรสได้โปรดให้ สร้างขึน เจดีย์ทังสามองค์นีเป็นเจดีย์แบบลังกา ในรัชสมัยพระเจ้าทรงธรรมพระองค์โปรดเกล้าฯให้ สร้าง พระท่ีนัง่ จอมทอง ตังอยู่ใกล้ๆ ก้าแพงทางด้านติดกับ วิหารพระมงคลบพิตร เพอ่ื ให้เปน็ สถานที่ ให้พระสงฆบ์ อกเล่าหนังสือพระสงฆ์ ราวรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ มกี ารบูรณะปฏสิ ังขรณ์ วัดหลวงแห่งนีเป็นครังแรกภายหลังเมื่อเสียกรุง พ.ศ. ๒๓๑๐ พม่าได้เผาลอกทองคา้ ไปหมด และองค์ พระพังยับเยินในสมัยรตั นโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจฬุ าโลกมหาราช จึงโปรดเกล้าฯ ให้ย้ายมาประดิษฐานวัดพระเชตุพน และ บรรจุชินส่วนซ่ึงบูรณะไม่ได้เหล่านันไว้ในเจดีย์องค์ใหญ่ที่ สร้างขึนแล้วพระราชทานชื่อเจดีย์ว่า เจดียส์ รรเพชญดาญาณ ปัจจุบันประดิษฐานอยู่ ณ วิหารทิศ ใน สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระยาโบราณราชธานินทร์ สมุหเทศาภิบาลมณฑล กรุงเก่าได้ด้าเนินการขุดสมบัติจากกรภุ ายในเจดีย์ พบพระพุทธรูป เครือ่ งทองค้ามากมายและในสมัย จอมพล ป.พิบลู สงคราม ไดม้ ีการบูรณะวัดนีจนมสี ภาพทีเ่ หน็ อยูใ่ นปัจจุบนั ๖๐ ๕) วดั ไชยวฒั นาราม ภาพท่ี ๕.๖ วัดไชยวัฒนาราม๖๑ วัดไชยวัฒนาราม หรือ วัดชัยวัฒนาราม เป็นวัดเก่าแก่สมัยอยุธยาตอนปลายในจังหวัด พระนครศรีอยุธยา ตังอยทู่ ่ี ต้าบลบ้านป้อม อา้ เภอเมอื งจังหวดั พระนครศรีอยุธยา บรเิ วณรมิ ฝงั่ แม่น้า เจ้าพระยา ทางฝั่งตะวันตกนอกเกาะเมือง เป็นวัดสร้างขึนในสมัยพระเจ้าปราสาททอง พ.ศ. ๒๑๗๓ ๖๐ https://watboran.wordpress.com/category/๐๑วัดพระศรสี รรเพชญ/, สบื ค้นเมอ่ื ๑๒ มีนาคม ๒๕๖๐. ๖๑ https://th.wikipedia.org/wiki/วัดไชยวฒั นาราม#/media/File:Wat_Chaiwatthanaram_ ๐๑.jpg, สืบคน้ เม่ือ ๓ มกราคม ๒๕๖๑.

๒๕๒ โดยเดิมบริเวณท่ีตังของวัดแห่งนีเคยเป็นที่อยู่ของพระราชมารดาท่ีได้สินพระชนม์ไปก่อนที่พระเจ้า ปราสาททองได้เสวยราชสมบัติเป็นกษัตริย์ เมื่อพระองค์ได้เสวยราชสมบัติ พระองค์จึงได้สรา้ งวัดไชย วัฒนารามขึนเพื่ออทุ ิศผลบญุ นีให้กบั พระราชมารดาของพระองค์ และอีกประการหนึ่งวัดนีอาจถกู สรา้ ง ขึนเพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งชัยชนะเหนือเขมรด้วย จึงท้าให้มีรูปแบบทางสถาปัตยกรรมส่วนหน่ึงมาจาก ปราสาทนครวดั วัดไชยวฒั นาราม มปี รางค์ประธานและปรางคม์ มุ อยบู่ นฐานเดียวกนั ๖๒ ๖) วัดบรมพทุ ธาราม ภาพท่ี ๕.๗ วัดบรมพทุ ธาราม๖๓ วัดบรมพุทธาราม เปน็ วัดเกา่ แก่ ราว พ.ศ. ๒๒๓๒ ซง่ึ สมเดจ็ พระเพทราชา โปรดฯให้สร้าง ขนึ ในบริเวณซึ่งเคยเป็นบ้านของพระองค์เอง ท่ีต้าบลป่าตอง ใกล้ประตูชัย ซ่ึงเป็นประตูใหญ่บนแนว กา้ แพงเมืองด้านใต้ เป็นวัดฝ่ายคามวาสี เป็นอารามท่ีสถิตของพระราชาคณะท่ีมีฐานานุศักดิ์เป็นพระ ญาณสมโพธิ์ ท่ีตังของวัดบรมพุทธารามถูกจ้ากัดโดยเสน้ ทางคมนาคมสมัยโบราณ ด้านตะวันออกเป็น แนวคลองฉะไกรน้อย ด้านตะวนั ตกเป็นแนวถนนหลวง ชือ่ ถนนมหารัฐยาหรือถนนป่าตอง แนวถนน และคลองดังกล่าวบังคับแผนผังของวัดให้วางตัวตามแนวเหนือใต้ โดยหันหน้าวัดไปทางทิศเหนือ ซ่ึง เป็นทางผ่านของถนนโบราณอีกสายหนึ่ง ช่ือถนนวัดพระงาม มีสะพานข้ามคลองฉะไกรน้อยไปป่า ดินสอ สะพานดังกล่าวเป็นสะพานอิฐ ช่ือสะพานบ้านดินสอ พระอุโบสถสร้างอยู่ภายในก้าแพงแก้ว เป็นประธานของวัด เคยมีภาพจิตรกรรมฝาผนังท่ีผนังด้านใน ที่ซุ้มเหนือประตูและหน้าต่าง แสดงถึง ความนิยมท้าซุ้มทรงบันแถลงและซุ้มทรงปราสาท ส่วนหลังคาของพระโบสถ วิหาร ศาลาการเปรียญ เจดีย์และซุม้ ประตู มงุ และประดบั ดว้ ยกระเบอื งดนิ เผาเคลือบสีเหลอื ง วดั แหง่ นจี ึงมชี ่ือเรียกอีกช่ือหน่ึง ๖๒ https://th.wikipedia.org/wiki/วดั ไชยวฒั นาราม, สืบคน้ เมื่อ ๓ มกราคม ๒๕๖๑. ๖๓ https://www.google.co.th/search?q=ภาพวัดบรมพทุ ธาราม+อยุธยา&tbm, สบื คน้ เม่ือ ๓ มกราคม ๒๕๖๑.

๒๕๓ วา่ \"วัดกระเบืองเคลือบ\" ใช้เวลาในการก่อสร้างประมาณ ๒ ปี ครันในสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรม โกศ ทรงโปรดให้ปฏิสังขรณ์วัดนีครังใหญ่ ทรงโปรดฯให้ท้าบานประตูมุขฝีมืองดงามขึน ๓ คู่ บาน ประตูมุขนี ปัจจุบันคู่หน่ึงอยู่ท่ีหอพระมณเฑียรธรรม ในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม คู่หนึ่งอยู่ท่ีวัด เบญจมบพิตรดสุ ิตวนาราม และอีกคู่หนงึ่ มผี ตู้ ัดไปทา้ ตูห้ นังสอื ซึ่งปัจจุบันตงั แสดงอย่ทู ีพ่ พิ ิธภณั ฑสถาน แหง่ ชาติ กรุงเทพมหานคร๖๔ ๗) วัดวรเชษฐาราม ภาพท่ี ๕.๘ วัดวรเชษฐาราม๖๕ สมเด็จพระเอกาทศรถโปรดให้สรา้ งขึนเมือ่ ปี พ.ศ. ๒๑๓๖ ณ บรเิ วณทีถ่ วายพระเพลิงพระ บรมศพสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ผู้ทรงเป็นพระเชษฐา และได้สร้างพระเจดีย์ประธานเพื่อ ประดิษฐานพระบรมอัฐิของอดีตพระมหากษัตริย์ไว้ด้วย ภายในวัดมีสิ่งที่น่าสนใจ คือ พระเจดีย์ ประธานก่ออฐิ ถอื ปูนทรงระฆังควา้่ ศิลปะแบบสุโขทัยทมี่ ีขนาดใหญ่โตมาก หน้าบันประดับลวดลายจาก เครื่องถ้วยเช่นเดียวกับศิลปะท่ีซุ้มประตูวัดมหาธาตุ สังเกตได้ว่าที่น่ีเป็นวัดเดียวในอยุธยาท่ีมีคูน้า ล้อมรอบ ตามรูปแบบวดั ในเมอื งสุโขทยั ๖๖ ๖๔ http://www.oursiam.net/content/view.php?code=๐๑๐๖๑-๑๒๖๗๐๐๕๑๙๘-๐๒๑๘, สบื ค้นเมอื่ ๓ มกราคม ๒๕๖๑. ๖๕ http://m.donmueangairportthai.com/th/popular-destinations/๑๔๔๔/wat- worachetha-ram, สืบค้นเมือ่ ๓ มกราคม ๒๕๖๑. ๖๖ http://travel.trueid.net/detail/๘๓๖๓๔, สบื ค้นเมื่อ ๓ มกราคม ๒๕๖๑.

๒๕๔ สรปุ ได้วา่ เสน้ ทางการเผยแผพ่ ระพุทธศาสนาโดยอาศยั ร่องลอยด้านโบราณสถานที่เปน็ วัด ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยามีการเผยแผ่ในรูปแบบการสร้างวัดเป็นจ้านวนมาก ซึ่งสร้างโดย พระมหากษัตรยิ ์และตระกูลของสามัญชนท่ัวไป ซ่ึงผู้วิจัยได้ยกตัวอย่างเฉพาะวัดส้าคัญ ๆ ที่สถาปนา และทรงสร้างขึนโดยพระมหากษัตริย์ในสมยั อยุธยา ดังปรากฏในแผนที่ แผนภาพ ๕.๙ แสดงสรปุ เสน้ ทางการเผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนา โดยอาศัยรอ่ งลอยดา้ นโบราณสถานท่ีเป็นวัดในจงั หวดั พระนครศรอี ยุธยา๖๗ จากแผนภาพท่ี ๓.๑๐ พระมหากษตั รยแ์ ต่ละพระองค์ในสมยั อยุธยาไดเ้ อาพระทยั ใส่ในการ ท้านุบ้ารุงพระพุทธศาสนา ซ่ึงเป็นส่วนหนึ่งในการส่งเสรมิ การเผยแผ่พระพุทธศาสนาเป็นอย่างดี โดย ได้ทรงสถาปนาสร้างวัดที่ส้าคัญ ๆ ประกอบด้วย วัดพุทไธศวรรย์ วัดมหาธาตุ วัดพระราม วัดพระศรี สรรเพชญ วัดไชยวัฒนาราม วัดบรมพุทธาราม และวัดวรเชษฐาราม เปน็ ตน้ ๖๗ https://www.google.co.th/search?rlz=๑C๑CHZL_thTH๗๒๖TH๗๒๖&tbm=isch&sa= ๑&ei=ddSsWouZFoWOvQT๓l๕eoBQ&q=แผนท่ตี ัวเมอื งอยธุ ยา, สืบคน้ เม่อื ๑๔ มกราคม ๒๕๖๑.

๒๕๕ ๕.๒.๒ เส้นทางการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในสมัยอยุธยาจากร่องรอยของ สถาปตั ยกรรม ประติมากรรม จติ รกรรม และวรรณกรรม ลกั ษณะของศิลปวัฒนธรรมในสมัยอยุธยา แบ่งได้หลายประเภท โดยสรุปลักษณะท่ี สา้ คัญแตล่ ะประเภท ดงั นี๖๘ ๑) สถาปตั ยกรรม สถาปตั ยกรรมสมัยอยธุ ยาส่วนใหญ่เป็นสถาปัตยกรรมทางพระพุทธศาสนาเนื่องจาก พระพุทธศาสนาเปน็ ศาสนาประจ้าชาติ ในตอนตน้ ของอาณาจักรอยุธยา นิยมสร้างตามแบบสมยั ลพบุรี เป็นส่วนใหญ่ ได้รับอิทธพลจากขอมไว้มาก เช่น ปรางค์วัดพุทไธสวรรย์ ซ่ึงพระเจ้าอู่ทองทรงสร้าง ปรางคท์ ว่ี ัดพระราม พระราเมศวรทรงสรา้ ง ปรางคว์ ัดราชบูรณะ สมเด็จพระบรมราชาธิราชท่ี ๒ (เจ้า สามพระยา) ทรงสร้าง และมีปรางค์ที่หัวเมืองท่ีส้าคัญ คือ ปรางค์วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ สุพรรณบุรี สมเด็จพระบรมราชาธิราชท่ี ๑ ทรงสร้างปรางค์ท่ีวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ พิษณุโลก สมเด็จพระบรม ไตรโลกนาถทรงสร้าง ปรางค์เหล่านีแตเ่ ดิมมีลวดลายตามกลีบขนนุ และซุ้มต่างๆ แตเ่ ป็นปั้นปนู และได้ หลดุ รว่ งไปตามกาลเวลา ภาพท่ี ๕.๑๐ พระปรางค์วดั พุทไธสวรรย์๖๙ พระปรางค์ประธานองค์ใหญ่ เป็น ศิลปะแบบขอม ตังอยู่ก่ึงกลางอาณาเขตพุทธาวาสบน ฐานไพที ซึ่งมีลักษณะย่อเหล่ียมมีบันไดขึน ๒ ทาง คือ ทางทิศตะวันออก และทางทิศตะวันตก ส่วน ทศิ เหนือทศิ ใต้มมี ณฑปสองหลงั ภายในพระมณฑปมพี ระประธาน พระตา้ หนักสมเด็จพระพุทธ ๖๘ http://vichakarn.triamudom.ac.th/comtech/studentproject/soc/ayuttaya๑/ content๑๐.htm/ศิลปกรรมในสมยั อยุธยา, สบื ค้นเมื่อ ๑๔ มกราคม ๒๕๖๑. ๖๙ https://sites.google.com/site/ayutthayakf/home/phracea-xuthxng-elea-nangni- wad?tmpl, สืบคน้ เมอ่ื ๑๔ มกราคม ๒๕๖๑.

๒๕๖ โฆษาจารย์ สมเด็จพระพทุ ธโฆษาจารยเ์ ปน็ พระเถระชันผู้ใหญป่ ระจ้าอย่ใู นสมัยกรุงศรีอยุธยา ตา้ หนักนี อยู่ในสภาพค่อนข้างทรุดโทรมแต่ภายในผนังของต้าหนัก มีภาพสีเกี่ยวกับเร่ืองหมู่เทวดา นักพรต นมัสการพระพทุ ธบาท และเรือสา้ เภาตอนพระพุทธโฆสะไปลังกา ภาพเหลา่ นีอยใู่ นสภาพไมช่ ัดเจนนัก นอกจากนียังมพี ระอุโบสถอยูท่ างด้านทิศตะวันตกของปรางค์ หมพู่ ระเจดียส์ ิบสององค์, วิหารพระนอน และต้าหนักทา้ วจตุคามรามเทพ๗๐ ภาพที่ ๕.๑๑ พระปรางค์วัดพระราม๗๑ พระปรางคอ์ งค์ใหญ่ ตงั อยู่บนฐานส่ีเหลี่ยม สูงแหลมขึนไปด้านบน ทางดา้ นทิศตะวันออก มพี ระปรางคอ์ งคข์ นาดกลาง ส่วนทางตะวนั ตกท้าเป็นซุ้มประตู มีบนั ไดสูงจากฐานขนึ ไปทังสองข้าง ท่ี มุมปรางค์ประกอบด้วยรูปสัตว์หิมพานต์ มปี รางคข์ นาดเลก็ ตังอยู่ทางทศิ เหนือ และ ใต้ รอบ ๆ ปรางค์ เล็กมีเจดีย์ล้อมรอบอีก ๔ ด้านนอกจากนียังมีเจดีย์เล็กบ้าง ใหญ่บ้างอยู่รอบ ๆ องค์พระปรางค์ ประมาณ ๒๘ องค์ วัดพระรามนีเปน็ ท่ีน่าสงั เกต คือ ก้าแพงวัดพระรามด้านเหนอื มีแนวเหลอ่ื มกันอยู่ ก้าแพงด้านตะวันออก ตะวันตก และดา้ นใต้ มีซมุ้ ประตูค่อนไปทางทศิ ตะวันตกไดร้ ะดับกบั มุมระเบียง ด้านตะวันตกเฉียงเหนือของปรางค์ ส่วนแนวเหล่ือมนันได้ระดับกับมุมระเบียงตะวันออกเฉียงเหนือ ของปรางค์ ไม่มีซมุ้ ประตู คล้ายเจตนาสรา้ งไวเ้ พอ่ื ประสงค์อะไรอยา่ งหนง่ึ ๗๒ ๗๐ https://th.wikipedia.org/wiki/วดั พทุ ไธศวรรย์, สบื คน้ เมอื่ ๑๔ มกราคม ๒๕๖๑. ๗๑ http://donmueangairportthai.com/th/popular-destinations/๑๗๐๙/wat-phra-ram- phra-nakhon-si-ayutthaya, สืบคน้ เมือ่ ๑๔ มกราคม ๒๕๖๑. ๗๒ https://th.wikipedia.org/wiki/วัดพระราม, สบื คน้ เมือ่ ๑๔ มกราคม ๒๕๖๑.

๒๕๗ ภาพท่ี ๕.๑๒ พระปรางคว์ ดั ราชบูรณ๗๓ พระปรางค์ประธาน เป็นศิลปะอยุธยาสมัยแรกซึ่งนิยม สร้างตามแบบสถาปัตยกรรมขอม ท่ีให้พระปรางค์เป็นประธานของวัด ช่องคูหาของพระปรางค์มีพระพุทธรปู ยืนปูนป้ันประดิษฐานช่อง ละ ๑ องค์ องค์ปรางค์ประดับด้วยปูนป้ันรูปครุฑ ยักษ์ เทวดา นาค พระปรางค์องค์นีมีลวดลาย สวยงามมาก ภายในกรุปรางค์มีห้องกรุ ๒ ชัน สามารถลงไปชมได้ ชันบนมีภาพจิตรกรรมฝาผนัง เลือนลาง ชันล่างซึ่งเคยเป็นที่เก็บเคร่ืองทอง มีภาพจิตรกรรมเขียนด้วยสีแดงชาด ปิดทองเป็นรูป พระพทุ ธรปู ปางลีลา และปางสมาธิ รวมทังรปู เทวดาและรปู ดอกไม้๗๔ หลงั จากทสี่ มเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงขึนครองราชย์ ทรงประทับที่เมืองพิษณุโลกเป็น ส่วนใหญ่ เพื่อต่อต้านข้าศึกท่ีมารุกรานทางด้านเหนือ จึงได้มีการรับเอาศิลปะแบบสุโขทัยมาใช้แทน การสรา้ งสถาปัตยกรรมแบบเดิมโดย ในตอนแรก การสร้างพระสถูปนยิ มสรา้ งเป็นเจดียท์ รงลังกาแบบ สโุ ขทัย แต่ดดั แปลงให้มีความสูงกว่า เช่น พระเจดยี ์ใหญ่ ๓ องค์ในวัดพระศรสี รรเพชญ์ และพระเจดีย์ ใหญ่ที่วดั ใหญช่ ยั มงคล เปน็ ต้น ภาพที่ ๕.๑๓ พระเจดยี ์ใหญ่ ๓ องค์วัดพระศรีสรรเพชญ๗์ ๕ ๒๕๖๑. ๗๓ http://oknation.nationtv.tv/blog/phaen/๒๐๐๗/๐๘/๑๐/entry-๑, สบื ค้นเมือ่ ๒๗ มกราคม ๒๕๖๑. ๗๔ https://๒๐๑๗.sadoodta.com/info/วดั ราชบรู ณะ-อยธุ ยา, สืบคน้ เมือ่ ๒๗ มกราคม ๒๕๖๑. ๗๕ https://maanow.com/วฒั นธรรม/๔๐๖-วดั พระศรีสรรเพชญ.์ html, สืบคน้ เมอื่ ๑๕ มกราคม

๒๕๘ พระเจดีย์ทรงระฆัง ๓ องค์ ท่ีเรยี งจากทิศตะวนั ออกไปยังทิศตะวันตก เป็นเจดียท์ รงกรวย กลมแบบลังกาท่ีพบเปน็ แหง่ แรกในวัดสมัยอยุธยา เม่อื ปี พ.ศ. ๒๐๓๕ สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ โปรด เกล้าฯ ให้สร้างเจดีย์ใหญ่ขึน ๒ องค์ คือพระเจดีย์องค์ที่ตังอยู่ทางทิศตะวันออก เพื่อเป็นที่บรรจุพระ บรมอฐั ิของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ พระราชบิดา และเจดียอ์ งค์กลางบรรจุพระบรมอฐั ขิ องสมเด็จ พระบรมราชาธิราชที่ ๓ (พระเชษฐา) เมื่อถงึ รัชกาล สมเด็จพระบรมราชาธิราชท่ี ๔ (พระหน่อพทุ ธธาง กูร) โปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระเจดีย์ขึนอีก ๑ องค์ เรียงต่อมาทางทิศตะวันตก เพ่ือบรรจุพระอัฐิ ของ สมเดจ็ พระรามาธิบดที ี่ ๒ ผเู้ ป็นพระบดิ า เปน็ เจดีย์ศิลปะลังกา ฐานชันต้นเป็นรูปสีเ่ หลี่ยมจตั รุ ัสรองรับ ฐานเขียงทรงกระบอกหน้าตัด ถัดขึนไปเป็นฐานอีก ๓ ชันซ้อนกันเป็นเครือเถา มีเจดีย์ทรงระฆังคว่้า หรือพระสถูป ที่มีบัลลังกอ์ ยู่ข้างบน มีก้านฉัตรหรือเสาหานทมี่ ีลักษณะเป็นเสากลมเตยี ๆ เพอ่ื รองรับ และเทินฉัตร ตอนต้นของตัวฉัตรมีลกั ษณะเปน็ ปล้องกลมๆ เรียงซ้อน เรยี กว่า ปลอ้ งไฉน ส่วนปลียอด เรยี วแหลมแบบเกลยี งๆ ตรงปลายสุดมีตมุ่ กลมๆ เรยี กวา่ หยาดน้าค้าง๗๖ ในตอนกลางถึงตอนปลาย สมยั สมเด็จพระเจ้าปราสาททอง ทรงยกทัพไปเขมร และได้รับ ชัยชนะกลับมาท้าให้เขมรมาอยู่ภายใต้อ้านาจของอยุธยา สมเด็จพระเจ้าปราสาททองทรงสร้างพระ ปรางค์ขึนที่วัดไชยวัฒนารามเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองชยั ชนะโดยสร้างพระปรางคต์ ามศิลปะแบบเขมร และในสมัยนนี ิยมการสรา้ ง พระเจดีย์เป็นแบบเจดีย์เหล่ยี มหรือเจดียไ์ ม้สบิ สอง เหน็ ได้ชัดเจนจากพระ เจดียใ์ หญ่ที่วัดภูเขาทองซ่ึงสมเดจ็ พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ทรงท้าการบรู ณะปฏิสงั ขรณ์ โดยเปลี่ยนจาก เจดยี แ์ บบเดมิ เป็นเจดียไ์ ม้สบิ สอง ภาพที่ ๕.๑๔ พระปรางคข์ ึนวดั ไชยวัฒนาราม๗๗ ๗๖ https://maanow.com/วัฒนธรรม/๔๐๖-วดั พระศรสี รรเพชญ์.html, สบื คน้ เมื่อ ๑๕ มกราคม ๒๕๖๑. ๗๗ http://www.dooasia.com/๑๐๒travel/๐๖๒.shtml, สืบค้นเม่อื ๑๕ มกราคม ๒๕๖๑.

๒๕๙ พระปรางค์ประธานน้ารูปแบบของพระปรางค์สมัยอยุธยาตอนต้นมาก่อสร้าง แต่ปรางค์ ประธานที่วัดไชยวัฒนารามท้ามุขทิศย่ืนออกมามากกว่า บนยอดองค์พระปรางค์ใหญ่อาจเคย ประดิษฐานพระเจดีย์ขนาดเล็ก ส่ือถึงพระเจดีย์จุฬามณีบนยอดเขาพระสุเมรุ รอบพระปรางค์ใหญ่ ลอ้ มรอบไปด้วยระเบียงคตท่ีเดิมนันมหี ลงั คา ภายในระเบียงคตประดษิ ฐานพระพุทธรปู ปูนปั้นปางมาร วชิ ัยที่เคยลงรักปิดทองจา้ นวน ๑๒๐ องค์ เป็นเสมือนก้าแพงเขตศักดสิ์ ิทธิ์ ตามแนวระเบยี งคตตรงทิศ ทังแปดสร้างเมรุทิศ และ เมรุมุม (เจดีย์รอบๆพระปรางค์ใหญ่) ภายในเมรุทุกองค์ประดิษฐาน พระพุทธรูป ภายในซมุ้ เรือนแกว้ ล้วนลงรักปดิ ทอง ฝาเพดานทา้ ด้วยไมป้ ระดบั ลวดลายลงรกั ปิดทอง๗๘ ภาพท่ี ๕.๑๕ เจดียใ์ หญว่ ัดภเู ขาทอง๗๙ เจดีย์ภูเขาทอง เป็นเจดีย์ที่สูงใหญ่ตังอยู่กลางทุ่งนา สามารถเห็นได้แต่ไกล เมื่อปี พ.ศ. ๒๑๑๒ พระเจ้าบุเรงนอง แห่งเมืองหงสาวดี ได้ยกทัพเข้ามาตีกรุงศรีอยุธยาได้ส้าเร็จ จึงได้สร้างพระ เจดีย์ใหญ่แบบมอญขึนไว้เป็นอนุสรณ์ท่ีวัดนี ในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าบรมโกศ ได้ท้าการปฏิสังขรณ์ องค์เจดีย์ใหม่ เปล่ียนรูปจากเจดีย์มอญเป็นรูปเจดีย์ย่อไม้สิบสองที่ก้าลังนิยมอยู่ในขณะนัน ส่วนฐาน นนั เปน็ ศลิ ปะมอญอยู่๘๐ ๗๘ https://th.wikipedia.org/wiki/วัดไชยวัฒนาราม, สืบคน้ เมอื่ ๑๕ มกราคม ๒๕๖๑. ๗๙ https://travel.thaiza.com/guide/๒๒๓๑๒๑/, สบื คน้ เม่ือ ๑๕ มกราคม ๒๕๖๑. ๘๐ https://th.wikipedia.org/wiki/วัดภูเขาทอง

๒๖๐ ภาพที่ ๕.๑๖ ปรางคว์ ดั พระศรรี ัตนมหาธาตุ๘๑ ได้รับการสร้างในสมัยสมเด็จพระบรมราชาธิราชท่ี ๑ (พระงั่ว) ในสมัยสมเดจ็ พระเจา้ ทรง ธรรม พระปรางคเ์ คยพังลงมาเกือบครึ่งองคถ์ ึงชันครุฑ ปรางคข์ องวัดเดิมสร้างด้วยศลิ าแลง แต่จะด้วย เหตผุ ลประการใดไม่ทราบ จงึ ยังมิได้ซ่อมแซมใหค้ ืนดดี ังเดิมในรัชกาลนัน ต่อมาสมเดจ็ พระเจ้าปราสาท ทองทรงบูรณะใหม่ รวมเป็นความสงู 25 วา แต่ก็ได้พังทลายลงมาอีกรอบในรัชสมัยรัชกาลท่ี 5 ต่อมา ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงน้าก้าลังทหารไปช่วยกันสร้างยอดพระปรางค์ ด้วยไม้สักและได้สถาปนาให้เป็นพระปรางค์ประจ้าชาติ และพระปรางค์วัดมหาธาตุก็ยังคงอยู่ที่นัน ตลอด๘๒ ภาพที่ ๕.๑๗ พระเจดยี ์ใหญ่วดั ใหญช่ ยั มงคล๘๓ ๘๑ http://m.donmueangairportthai.com/th/popular-destinations/1700/wat-mahathat- phra-nakhon-si-ayutthaya ๘๒ เสนอ นลิ เดช, พยูร โมสกิ รตั น์, และ มารุต อัมรานนท์, ลักษณะสถาปัตยกรรมไทย, อ้างใน เอกสาร การสอนชุดวิชาไทยคดีศึกษา หนว่ ยท่ี ๘-๑๕, พิมพค์ รังที่ ๗, (กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลยั สโุ ขทัยธรรมาธริ าช, ๒๕๔๒), หนา้ ๑๘๐. ๘๓ https://www.chillpainai.com/travel/372/วดั ใหญช่ ยั มงคล/

๒๖๑ พระเจดีย์ใหญ่ชัยมงคล เป็นเจดีย์ทรงระฆังขนาดใหญ่ ที่ตังอยู่บนฐานท่ีมีซุ้มประดิษฐาน พระพุทธรูปอยู่ หรือจะเรียกว่า เจดีย์ทรงปราสาท ซึ่งสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทรงสร้างขึนที่วัด ใหญ่ชัยมงคลเพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งการท่ีได้ทรงทา้ ยทุ ธหัตถี ไดช้ ัยชนะแก่สมเด็จพระมหาอุปราชาแห่ง พม่า เม่ือ พ.ศ. ๒๑๓๕ นัน ประมาณว่ามีความสูงจากพืนดินราว ๑ เส้น ๑๐ วา พระเจดีย์นียังเป็น สัญลักษณ์ แห่งการอภัยทานของ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช อันเนื่องมาจากธรรมอันประเสริฐแห่ง พระพุทธศาสนา ซ่ึงได้มีอิทธิพลเหนือชีวติ และความเปน็ อยูข่ องคนไทยมาแต่โบราณกาล จนเปน็ วิสัยใน จิตใจทังปวงถึงทกุ วันนี๘๔ ๑) ประตมิ ากรรม งานประตมิ ากรรมสมัยอยุธยาไดร้ บั อิทธิพลเชน่ เดยี วกบั สถาปัตยกรรม ในตอนตน้ เป็น ศิลปะแบบขอมท้าให้พระพุทธรูปในสมัยนีเป็นพระพุทธรูป แบบอู่ทอง ซึ่งศิลปะแบบขอมนีได้มีอยู่ ก่อนท่ีจะมีการสถาปนากรุงศรอี ยุธยา หลังจากสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถเป็นต้นมา การสร้าง พระพทุ ธรูปจะนิยมสร้างตาม แบบสุโขทัย จนถึงสมัยสมเด็จพระรามาธิบดที ่ี ๒ ได้เกิดงานศิลปะแบบ อยุธยาอยา่ งแท้จรงิ ซึ่งเปน็ การผสมระหว่างศิลปะแบบอู่ทองกับแบบสุโขทัย มีตวั อย่างท่เี หน็ ได้ชัด คือ พระศรสี รรเพชญ์ ซง่ึ เปน็ พระพุทธรูปท่ีส้าคัญที่ไดป้ ระดิษฐานท่ีพระอารามหลวงภายในเขตพระราชวัง เปน็ พระพุทธรปู ยืนสงู ๘ วา ใชท้ องคา้ หมุ้ ทงั องค์หนัก ๒๘๖ ชงั่ ภาพที่ ๕.๑๘ พระศรสี รรเพชญดาญาณ๘๕ ๘๔ http://www.watyaichaimongkol.net/index.php?lite=article&qid=135129 ๘๕ https://th.wikipedia.org/wiki/พระศรสี รรเพชญดาญาณ

๒๖๒ ในตอนปลายอยุธยา มีการสร้างพระพุทธรูปทรงเครื่อง มีลวดลายเคร่ืองประดับอย่างกษตั ริย์ เป็นแบบทรงเคร่ืองใหญ่ เช่น พระพุทธนิมิตวิชิตมารโมลีศรีสรรเพชรบรมไตรโลกนาถ พระพุทธรูป ทรงเคร่ืองใหญ่ ศิลปะอยุธยาตอนปลายประดิษฐานเป็นพระประธานวัดหน้าพระเมรุ จังหวัด พระนครศรีอยุธยาเป็นต้น กับอีกแบบคือ แบบทรงเครื่องน้อย ซึ่งจะแตกต่างกันตรงเคร่ืองประดับ ตกแต่งของเครอ่ื งทรงทีไ่ ดป้ ระดบั ภาพท่ี ๕.๑๙ พระพุทธนิมิตวิชติ มารโมลศี รีสรรเพชรบรมไตรโลกนาถ พระพุทธรูปทรงเครือ่ งใหญ่ ศลิ ปะอยุธยาตอนปลายประดษิ ฐานเป็นพระประธานวัดหนา้ พระเมรุ จงั หวัดพระนครศรอี ยุธยา๘๖ ภาพท่ี ๕.๒๐ พระพทุ ธรูปทรงเคร่ืองนอ้ ยปางประทานอภัย ศิลปะอยุธยาตอนปลาย ส้ารดิ ปิดทอง จดั แสดงทพี่ ิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เจ้าสามพระยา จงั หวัดพระนครศรีอยุธยา๘๗ ๘๖ http://๑๑๙.๔๖.๑๖๖.๑๒๖/self_all/selfaccess๘/m๒/๖๖๑/lesson๒/lesson๒_๓.php ๘๗ http://๑๑๙.๔๖.๑๖๖.๑๒๖/self_all/selfaccess๘/m๒/๖๖๑/lesson๒/lesson๒_๓.php

๒๖๓ ในสมัยอยุธยามีการสร้างสรรค์งานจ้าหลักไม้ หรืองานแกะสลักท่ีงดงามมาก พบท่ีอุโบสถ วัดพระศรีสรรเพชร และวัดนางปลืม จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ส้าหรับงานประติมากรรมท่ีเกี่ยวกับ การสร้างสรรคพ์ ระพทุ ธรูปเพื่อสักการบูชา ในสมัยอยุธยาตอนต้น ยังไดร้ ับอิทธิพลมาจากพระพทุ ธรูป สโุ ขทัยท่มี คี วามงดงามเป็นตน้ แบบ แตช่ า่ งอยธุ ยาก็สามารถตกแต่งลวดลายเพิ่มเติมที่เศยี รพระพุทธรูป เป็นลักษณะทรงเครื่องได้อยา่ งงดงามย่ิง ภาพที่ ๕.๒๑ บานประตูไมจ้ า้ หลักรปู เทวดาทรงพระขรรค์ พบทพ่ี ระอุโบสถและซุ้มคหู าพระสถูปในวัดพระศรีสรรเพชญ จงั หวัดพระนครศรีอยธุ ยา๘๘ ภาพที่ ๕.๒๒ เศียรพระพทุ ธรปู ทรงเครื่องส้ารดิ เปน็ ศิลปะอยุธยาตอนต้น ได้รบั อทิ ธพิ ลทางรูปแบบจากศลิ ปะสโุ ขทัย แตต่ กแตง่ ลวดลายพระเศียรเป็นแบบอยธุ ยา๘๙ ๘๘ http://๑๑๙.๔๖.๑๖๖.๑๒๖/self_all/selfaccess๘/m๒/๖๖๑/lesson๒/lesson๒_๓.php ๘๙ http://๑๑๙.๔๖.๑๖๖.๑๒๖/self_all/selfaccess๘/m๒/๖๖๑/lesson๒/lesson๒_๓.php

๒๖๔ ภาพที่ ๕.๒๓ ธรรมาสน์สมัยอยธุ ยาตอนปลาย ตังอยู่ท่ีวัดใหญ่สวุ รรณาราม จังหวดั เพชรบรุ ี๙๐ ธรรมาสน์สมัยอยุธยามขี ้อสังเกตแตกต่างไปจากธรรมาสน์สมัยรตั นโกสนิ ทร์ คือ มักจะใช้ เสาส่ตี ้น ไม่มกี ารย่อมุม (หรอื เรียกว่าเพมิ่ มมุ ก็ได)้ ใต้ถนุ มักจะเจาะโปร่ง เรียกว่า \"ล่องถนุ \" ประดับด้วย ลวดลายสมัยอยุธยา ซึ่งใช้ลายขนาดใหญ่ สะบัดเปลว และเป็นอิสระกว่าลายสมัยรัตนโกสินทร์ มักจะ ประดับด้วยกระจกสีเขียวแผ่นใหญ่ สีคล้ายๆปีกแมลงทบั (สมัยอยุธยาเห็นใช้กระจกอยู่แค่ ๒ สี คือ สี เขยี วและสีขาว) ภาพที่ ๕.๒๔ หีบพระธรรมลายรดนา้ ศิลปะอยธุ ยา พุทธศตวรรษที่ ๒๓ ไมล้ งรักปดิ ทอง๙๑ ตู้ที่ท้าขึนใช้ส้าหรับบรรจุพระไตรปิฎกจริง ๆ มีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมลูกบาศก์ ส่วนบน สอบเขา้ ท้าใหด้ แู คบกว่าตอนลา่ ง ตกแต่งดว้ ยลายรดนา้ หรอื ลงรกั ปดิ ทอง ภาพลายรดน้าทวั่ ไปเป็นเร่ือง เก่ียวกับพระพุทธศาสนา ภาพเทวดาทวารบาล ภาพธรรมชาติ เป็นต้น แม้ความนิยมของลวดลายจะ แตกต่างไปตามยุคสมัย แต่ผลงานที่ช่างศิลป์สรรค์สร้างขึนล้วนสะท้อนให้เห็นความมุ่งม่ันตังใจท่ีจะ ๙๐ https://www.bloggang.com/m/viewdiary.php?id=patisonii&month=05- 2011&date=04&group=45&gblog=4 ๙๑ http://dhamma-media.blogspot.com/2017/12/blog-post_80.html

๒๖๕ ฝากผลงานชันเลิศของตนไว้เคียงคู่และปกปักรักษาค้าสอนของพระบรมครู อีกทังยังสะท้อนให้เห็น เร่ืองราวประวัติศาสตร์ของบา้ นเมอื งในแต่ละยคุ สมัยอกี ด้วย ๒) จิตรกรรม จิตรกรรมไทยสมยั อยธุ ยาไดร้ ับอทิ ธิพลมาจากพระพุทธศาสนาเหมอื นกบั ศิลปะแขนงอ่นื ๆ มักเป็นภาพเกี่ยวกบั พุทธประวัติและพุทธชาดกในพระพุทธศาสนา หรือ วาดเรื่องราวที่เกิดขึนในอดีต ในตอนแรกของอยุธยา ภาพจิตรกรรมไดร้ ับอิทธพิ ลจากศิลปะลพบุรี สุโขทัย และลังกาปนกัน สีที่ใช้มี อยู่ ๓ สี คือ สีด้า สีขาว และสีแดง มีการปิดทองเลก็ น้อย บางภาพจึงมลี ักษณะแขง็ และหนัก ตอ่ มาเริ่ม ใช้สหี ลายสี จากศิลปะสุโขทัยท่ีมีอิทธพิ ลมากขึน ในตอนปลาย ช่างเขียนได้พัฒนาจนเป็นแบบอยุธยา อยา่ งสมบูรณ์ เรียกวา่ เป็นจิตรกรรมไทยบริสุทธ์ิ ใชส้ ที ้าใหภ้ าพดูสดใสและมีชีวิตจติ ใจย่ิงขนึ นอกจากนี จากรูปบ้าน ภูเขา ต้นไม้ แสดงให้เห็นว่ามีศิลปะจีนเขา้ มาปะปนด้วย ในสมยั อยุธยางานจิตรกรรมไทย ได้รับการสร้างสรรค์ท่ีมลี ักษณะจติ รกรรมไทยแท้มีความเจริญสูงสุด มีการใช้สีในการวาดภาพหลายสี นิยมปิดทองลงบนรูปและลวดลาย ส่วนใหญ่เป็นภาพเกี่ยวกับพุทธศาสนาที่สะท้อนให้เห็นถึงความ เจริญรุ่งเรืองและความสัมพันธ์กันระหว่างศิลปกรรมกับพระพุทธศาสนา เช่น ภาพพุทธประวัติพระ ปรางคว์ ัดราชบูรณะ จังหวดั พระนครศรอี ยธุ ยา เปน็ ตน้ เปน็ ภาพวาดที่จดั องค์ประกอบเป็นช่องๆ ใช้สี ขาว ด้า และแดงเป็นหลัก และปิดทองบนภาพเล็กน้อยเปน็ งานจิตรกรรมในสมัยอยุธยาตอนต้น และ พัฒนาเจรญิ สงู สดุ ในสมยั อยธุ ยาตอนกลางและตอนปลาย ภาพที่ ๕.๒๕ ภาพจติ รกรรมในพระปรางคป์ ระธาน วัดราชบรู ณะ๙๒ นอกจากนยี ังมภี าพลายรดนา้ ทม่ี ชี ื่อเสยี งมาก ไดแ้ ก่ ต้พู ระธรรมลายรดน้า ฝีมือครูวัดเชงิ หวาย จงั หวดั พระนครศรอี ยุธยา ปจั จบุ นั เกบ็ รักษาอยู่ในพิพธิ ภณั ฑสถานแห่งชาติ พระนคร กรงุ เทพมหานคร เป็นตน้ ๙๒ https://www.google.co.th/search?hl=th&biw=๑๓๖๖&bih=๖๕๑&tbm=isch&sa=๑&ei= IFSsWteoFYf๓vgSYtrDgBw&q=ภาพพุทธประวัติพระปรางคว์ ดั ราชบรู ณะ+จงั หวัดพระนครศรีอยุธยา+&oq

๒๖๖ ภาพท่ี ๕.๒๖ ภาพจิตรกรรมฝาผนงั เรอ่ื งพทุ ธประวตั สิ มัยอยุธยาตอนต้น พบท่ีกรพุ ระปรางคว์ ดั ราชบรู ณะ จงั หวดั พระนครศรอี ยุธยา๙๓ ภาพท่ี ๕.๒๗ ตู้พระธรรมลายรดนา้ ฝีมอื ครูวดั เชงิ หวาย ปจั จบุ นั ชมได้ทพี่ พิ ธิ ภัณฑ์สถานแห่งชาตพิ ระนคร กรุงเทพมหานคร๙๔ จิตรกรรมอยุธยาตอนต้นจัดว่าเป็นอิทธิพลของศิลปะสมัยลพบุรี เพราะการจัดภาพ องค์ประกอบพระเรียงแถวอยู่ในซุ้มเรอื นแกว้ แบบซา้ ๆ องค์พระเขยี นเสน้ แบบทีเ่ ปน็ รปู ประติมากรรม มากกว่าท่ีจะเป็นเส้นแบบสที ่ีใช้ระบายโครงภาพเป็นลักษณะสที ่ีดูแล้วจะเหน็ ว่าเกือบจะเป็นสที ่ีอยู่ใน วรรณะเดยี วกัน คืออาจจะเป็นสีแดง น้าตาล และนา้ ตาลอ่อน สีเหล่านใี นบางครังกร็ ะบายแบบมีระยะ ออ่ นแก่ ซง่ึ ภาพเหล่านีเป็น ภาพทีเ่ ขียนซา้ เมื่อดแู ลว้ จะรสู้ ึกว่ามคี วามซ้าซ้อนทา้ ให้นา่ เบ่ือ เพราะเส้นที่ เขียนกไ็ ม่มอี ิสระในท่าที แตอ่ ยใู่ นกรอบบงั คบั ที่จัดเปน็ ระเบียบอยา่ งไมม่ ีความคล่องตัว๙๕ ๙๓ http://๑๑๙.๔๖.๑๖๖.๑๒๖/self_all/selfaccess๘/m๒/๖๖๑/lesson๒/lesson๒_๓.php ๙๔ http://๑๑๙.๔๖.๑๖๖.๑๒๖/self_all/selfaccess๘/m๒/๖๖๑/lesson๒/lesson๒_๓.php ๙๕ http://haab.catholic.or.th/history/history๐๔/ayutaya๖/ayutaya๖.html/

๒๖๗ ภาพที่ ๕.๒๘ เครื่องทองในกรุพระปรางค์วัดราชบรู ณะ จดั แสดงในพิพิธภณั ฑสถานแหง่ ชาตเิ จา้ สามพระยา๙๖ ๓) วรรณกรรม วรรณกรรมในสมัยอยุธยามีอยู่มากตังแต่สมัยสมเด็จพระเจ้าอทู่ องจนตลอดระยะเวลาของ กรุงศรีอยุธยา วรรณกรรมท่ีดีเด่นจนได้รับการยกย่องเป็นวรรณคดีมีอยู่หลายเรื่องส่วนใหญ่จะอยู่ใน สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชเป็นต้นมา มีวรรณกรรมเกิดขึนหลายประเภท เช่น กาพย์ห่อโคลง นิราศ ฉันท์ เป็นต้น มีทังเร่ืองท่ีแต่งเก่ียวกับพระพุทธศาสนา เร่ืองประเภทสดุดีวีรกรรมของ พระมหากษัตริย์ การบรรยาย ความสวยงามของธรรมชาติ ความเช่ือในธรรมชาติ และเรื่องการเกียว พาราสี วรรณคดีทสี่ า้ คญั สามารถแบง่ เป็นในแต่ยคุ ไดด้ งั นี สมัยอยุธยาตอนต้น (พ.ศ. ๑๘๙๓ - ๒๐๗๒) มี ๔ เร่ือง ได้แก่ ๑) ลิลิตโองการแช่งน้า ๒) ลิลติ ยวนพ่าย ๓) มหาชาตคิ ้าหลวง ๔) ลิลติ พระลอ ๙๖ http://haab.catholic.or.th/history/history๐๔/ayutaya๖/ayutaya๖.html/

๒๖๘ ภาพท่ี ๕.๒๙ ลลิ ิตโองการแชง่ น้า๙๗ ลิลิตโองการแช่งน้า บางทีเรียกว่าประกาศโองการแช่งน้าหรือประกาศแช่งน้าโคลงห้า หนังสือเร่ืองนีเป็นวรรณคดีเร่ืองเดียวในรัชสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีท่ี ๑ (พระเจ้าอู่ทอง) ที่มีอยู่ใน ปจั จุบนั และตน้ ฉบบั จารกึ เปน็ ตวั อักษรขอม สันนษิ ฐานวา่ ผแู้ ต่งคงจะเปน็ พราหมณ์ผูก้ ระทา้ พระราชพิธี ถือน้าพระพิพัฒน์สัตยาหรือพระราชพิธีศรีสัจจปานกาล ในสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ พระราช พิธีนีเป็นพระราชพิธีที่ข้าราชการทหาร พลเรือนและเจ้าประเทศราช แสดงความจงรักภักดีต่อ พระมหากษัตริย์ เป็นพระราชพธิ ีในราชสา้ นักขอมอันมีอินเดียเป็นต้นเค้าในสมัยรัชกาลท่ี ๔ แห่งกรุง รัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้สร้างพระแสงศรปลัยวาต พระแสงศร อคั นิวาต และพระแสงศรพรหมมาสตรข์ ึนและใช้พระแสงศรทงั ๓ องค์นี แทงนา้ ตอนท้ายบทสรรเสริญ เทพเจ้าแต่ละองค์ ท้านองแต่งมีลักษณะเป็นลิลิต คือ มีร่ายกับโคลงสลับกัน ร่ายเป็นร่ายโบราณ ส่วน โคลงเป็นโคลงแบบโคลงห้าหรือมณฑกคติ ถ้อยค้าท่ีใช้ส่วนมากเป็นค้าไทยโบราณ นอกจากนันมีค้า เขมรและบาลีสันสกฤตปนอยู่ด้วย ค้าสันสกฤตมีมากกว่าค้าบาลี มีความมุ่งหมายเพ่ือใช้อา่ นในพิธีถือ น้าพระพิพฒั น์สตั ยาหรือพิธีศรสี ัจปานกาล ซงึ่ กระท้าตังแต่รัชกาลสมเดจ็ พระเจ้าอู่ทองสืบต่อกันมาจน เลิกไปเมื่อประเทศไทยเปลย่ี นแปลงการปกครองมาเป็นระบบประชาธิปไตย ใน พ.ศ. ๒๔๗๕ เรื่องย่อ เริม่ ต้นดว้ ยร่ายดนั โบราณ ๓ บท สรรเสริญพระนารายณ์ พระอิศวร พระพรหมตามล้าดับ ต่อจากนัน บรรยายด้วยโคลงห้า และร่ายดันโบราณสลับกัน กล่าวถึงไฟไหม้โลกเม่อื สินกัลป์แล้วพระพรหมสร้าง โลกใหม่เกิดมนุษย์ ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ การกา้ หนดวันเดือนปี และการเร่ิมพระราชาธิบดีในหมู่คน แล้วอัญเชญิ พระกรรมบดีปเู่ จา้ มาร่วมเพ่ือความศักดสิ์ ิทธิ์ ตอนต่อไปเป็นการอ้อนวอนให้ส่ิงศักดิ์สิทธิ์ที่ เรืองอ้านาจอันมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เทพยดา อสูร ภูตปีศาจ ตลอดจนสัตว์มีเขียวเล็บเป็น พยาน ลงโทษผู้คิดคดกบฏต่อพระเจ้าแผ่นดิน ส่วนผู้ซื่อตรงภักดี ขอใหม้ ีความสขุ และลาภยศ ตอนจบ เป็นร่ายยอพระเกียรติพระเจ้าแผ่นดิน คุณค่าของหนังสือ ประกอบด้วย ๑) ด้านภาษาและส้านวน ๙๗ https://www.google.co.th/search?hl=th&biw=๑๓๖๖&bih=๖๕๑&tbm=isch&sa=๑&ei= nmGsWo๖_KMnrvgTMvrWoCQ&q=ลิลติ โองการแชง่ น้า++จงั หวัดพระนครศรีอยธุ ยา

๒๖๙ โวหาร ลิลิตโองการแชง่ น้านีเป็นลิลติ เรื่องแรกในประวัตวิ รรณคดีไทย ใชถ้ ้อยค้าภาษาที่เก่า มคี ้าภาษา เขมร บาลี สันสกฤต และค้าไทยโบราณปนอยู่มาก ค้าบางค้าต้องสันนิษฐานความหมายท้าให้อ่าน เข้าใจยาก ทังนกี อ่ ให้เกดิ ความรสู้ กึ ว่าค้ามีความขลงั และศกั ดิ์สิทธิ์ เกดิ อารมณ์หวาดกลัว ไมก่ ล้าคิดคด ทรยศต่อพระเจ้าแผ่นดิน ลิลิตโองการแชง่ น้านีจึงมีคุณค่า สามารถใช้ศึกษาเก่ียวกับการใช้คา้ ในสมัย กรุงศรีอยุธยาตอนต้นได้ ๒) ด้านสังคมและวัฒนธรรม ๒.๑) ทางการปกครอง เป็นวรรณคดีเกี่ยวกับ พระราชพิธีแสดงความจงรักภักดีต่อพระมหากษัตรยิ ต์ ังแต่กรงุ ศรีอยุธยาจนถงึ กรงุ รตั นโกสินทร์ จงึ เป็น วรรณคดีทมี่ ีคุณค่าต่อระบอบการปกครองแบบราชาธปิ ไตยเพราะเป็นการให้สตั ย์สาบานว่าจะซื่อสัตย์ จงรกั ภกั ดีต่อพระมหากษ ตั ริย์และบ้านเมอื ง ท้าให้เกิดความสามัคคีมผี ลใหบ้ า้ นเมืองเป็นปึกแผ่น ๒.๒) ทางวัฒนธรรม วรรณคดเี ล่มนีเป็นหลักฐานแสดงถงึ การได้รบั อิทธิพลวฒั นธรรมจากขอมและอินเดีย พิธีพราหมณ์ได้เข้ามาใช้ปะปนในพระราชพิธีต่าง ๆ และยังท้าให้เห็นลักษณะการปกครองที่ พระมหากษัตริย์ทรงเป็นสมมติเทวราชอีกด้วย ๒.๓) ความเชื่อถือทางศาสนา ลิลิตโองการแช่งน้านี แสดงถึงอิทธิพลของศาสนาพราหมณ์ในพิธีสาปแช่งผู้ทุจิตโดยอาศัยอ้านาจของเทวดาและภูตผีตาม ความเชื่อถือของพราหมณ์ ซ่ึงเป็นศาสนาของอนิ เดยี และพระราชพธิ ีถอื นา้ พระพิพัฒนส์ ัตยานีเป็นพิธี ตามศาสนาพรามหมณ์ ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงน้าพิธีทางพุทธศาสนา มาเพิม่ เตมิ ในภายหลงั ๓) ด้านอิทธพิ ลต่อวรรณคดีอน่ื ลิลิตโองการแช่งน้าเป็นวรรณคดที ี่ใชใ้ นการสวด หรืออ่านโองการแช่งน้าของพราหมณ์ผ้ทู ้าพิธี ลิลิตโองการแช่งน้ามีอิทธพิ ลตอ่ วรรณคดีสมยั หลังท้าให้ กวีเกิดความบันดาลใจแต่งวรรณคดีเร่ืองอื่นขึน ได้แก่ โคลงพิธีถือน้าแลคเชนทรัศวสนาน พระราช นิ พ น ธ์ ข อ ง พ ร ะ บ า ท ส ม เด็ จ พ ร ะ จุ ล จ อ ม เก ล้ าเจ้ าอ ยู่ หั ว เป็ น ว ร ร ณ ค ดี ที่ ก ล่ าว ถึ ง พ ร ะ ร าช พิ ธี ถื อ น้าพระพิพัฒนส์ ตั ยา๙๘ ภาพท่ี ๕.๓๐ ลิลิตยวนพ่าย๙๙ ๙๘ http://pspreaw.wixsite.com/thailandliterature/untitled-c๒๔๕q ๙๙ https://www.google.co.th/search?hl=th&biw=๑๓๖๖&bih=๖๕๑&tbm=isch&sa=๑&ei= VmqsWp๗-L๘v๖vgSK๐๖๒IDA&q=ลลิ ติ ยวนพา่ ย++จังหวัดพระนครศรอี ยธุ ยา

๒๗๐ ลลิ ิตยวนพ่าย สันนิษฐานว่าแตง่ ในรชั กาลสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ราว พ.ศ.๒๐๑๗ ซึ่ง เป็นปีเสด็จศึกเชียงช่ืน แต่ความเห็นอีกประการหนึ่งว่าแต่งในรัชสมัยสมเด็จพระรามาธิปดีท่ี ๒ (พ.ศ. ๒๐๓๔ - ๒๐๗๒) เหตุท่ีว่าลิลิตยวนพ่าย อาจแต่งในรัชกาลสมเด็จพระรามาธิปดีที่ ๒ ก็เน่ืองด้วย พระมหากษัตริย์พระองค์นีเป็นพระราชโอรสในสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ และทรงพระปรีชา สามารถทุนะบ้ารุงบ้านเมืองให้เจริญรุ่งเรืองรอยพระราชบิดาก็เป็นได้ ค้าว่า \"ยวน\" ในลิลิตเรื่องนี หมายถึง \"ชาวลานนา\" ค้า \"ยวนพ่าย\" หมายถึง \"ชาวล้านาแพ้\" เนือเร่ืองของลิลิตยวนพ่ายกล่าวชาว ลานนาในสมัยพระเจ้าติโลกราช ซึ่งพ่ายแพ้แก่กรุงศรีอยุธยาในรัชกาลสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ท้านองแต่งเป็นลิลิตดัน ประกอบด้วยร่ายดันโคลงดันบาทกุญชร ร่ายดัน ๒ บท และโคลงดันบาท กุญชร ๓๖๕ บท ความมุง่ หมาย เพื่อยอพระเกียรติของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ และสดุดีชยั ชนะที่ มตี ่อเชยี งใหม่ในรัชกาลนัน เร่ืองย่อลิลิตยวนพ่าย ได้แก่ ตอนต้นกล่าวนมัสการพระพุทธเจา้ และน้าหัวข้อธรรมมาแจก แจงท้านองยกย่องสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถว่า ทรงคุณธรรมข้อนัน ๆ กล่าวถึงพระราชประวัติ ตังแต่ประสูติจนได้ราชสมบตั ิ ตอ่ มาเจา้ เมืองเชียงชื่น (เชลยี ง) เอาใจออกหาง น้าทัพเชยี งใหม่มาตเี มือง ชัยนาท แต่ถูกสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถตีแตกกลบั ไป และยดึ เมืองสุโขทัยคืนมาได้ แล้วประทับอยู่ เมืองพิษณุโลก เสด็จออกบวชช่ัวระยะหนึ่ง ต่อจากนันกล่าวถึงการท้าสงครามกับเชียงใหม่อย่าง ละเอียดครังหนึ่ง แลว้ บรรยายเหตุการณ์ทางเชียงใหม่ ว่าพระเจ้าติโลกราชเสียพระจริต ประหารชีวิต หนานบญุ เรืองราชบุตร และหม่นื ดังนครเจา้ เมืองเชียงชนื่ ภรรยาหม่ืนดังนครไม่พอใจ ลอยมีสารมาพึ่ง พระบรมโพธิสมภารของสมเด็จสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถและขอกองทัพไปช่วย พระเจ้าติโลกราช ทรงยอทัพมาป้องกันเมืองเชียงช่ืน เสร็จแล้วเสด็จกลับไปรักษาเมืองเชียงใหม่ สมเด็จพระบรมไตร โลกนาถทรงกรธี าทัพหลวงขึนไปรบตีเชียงใหมพ่ ่ายไปได้เมืองเชียวช่ืม ตอนสุดท้ายสรรเสรญิ พระบารมี สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถอีกครังหนงึ่ ๑๐๐ ภาพท่ี ๕.๓๑ มหาชาตคิ ้าหลวง๑๐๑ สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถโปรดให้นักปราชญ์ราชบัณฑิตช่วยกันแต่ง เม่ือจุลศักราช ๘๔๔ พุทธศกั ราช ๒๐๒๕ สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ เป็นพระราชโอรสของสมเดจ็ พระบรมราชาธิป ดที ี่ ๒ หรอื สามพระยา ก่อนเสวยราชย์ พระราชบิดาภิเษกให้เป็นพระมหาอุปราช และโปรดให้เสด็จไป ๑๐๐ http://kroo-natthapat.blogspot.com/๒๐๑๒/๐๒/ ๑๐๑ http://kroo-natthapat.blogspot.com/๒๐๑๒/๐๒/

๒๗๑ ครองเมืองพษิ ณุโลกมอี า้ นาจสิทธ์ขิ าดในหัวเมืองฝา่ ยเหนอื ไดร้ บั ราชสมบัตสิ บื ต่อพระราชบิดา ระหวา่ ง พ.ศ.๑๙๙๑ - ๒๐๓๑ สมเดจ็ พระบรมไตรโลกนาถทรงสร้างความเจรญิ รงุ่ เรอื งแก่กรงุ ศรอี ยุธยาเปน็ อัน มาก ทรงแก้ไขการปกครอง โดยแยกทหารและพลเรือนออกจากกัน ฝ่ายทหารมหี ัวหน้าเป็นสมหุ กลา โหม ฝ่ายพลเรือนมสี มุหนายก ทรงตงั ยศข้าราชการลดลั่นกันตามชัน เช่น ขนุ หลวง พระยา พระ ทรง ทา้ สงครามกบั เชียงใหม่ ได้เมอื งเชยี งใหม่ พ.ศ.๒๐๑๗ เป็นเหตุให้เกิดลิลิตยวนพา่ ย พระองค์มีพระราช ศรัทธาในพระพุทธศาสนา เสดจ็ ออกผนวชช่วั ระยะหน่งึ ทีว่ ัดจุฬามณี จังหวัดพิษณุโลก การทา้ นบุ ้ารุง พระศาสนาในรัชกาลนีท้าให้เกิดมหาชาติค้าหลวง ประวัติมหาชาติค้าหลวงเป็นหนังสือมหาชาติฉบับ ภาษาไทย และเป็นประเภทค้าหลวงเร่ืองแรก เร่ืองเก่ียวกับผู้แต่งและปีท่ี แต่งมหาชาติค้าหลวง ปรากฏหลักฐานในเร่ืองพงศาวดารฉบับค้าหลวงกล่าวยืนยันปีที่แต่งไว้ตรงกับมหาชาติค้าหลวงเดิม หายไป ๖ กัณฑ์ พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลิศหล้านภาลัย ทรงมีพระบรมราชโองการให้พระราชาคณะ และนักปราชญ์ราชบัณฑิตแต่งซ่อมให้ครอบ ๑๓ กัณฑ์ เม่ือจุลศักราช ๑๑๗๖ พุทธศักราช ๒๓๔๗ ได้แก่ กัณฑ์ หิมพานต์ ทานกัณฑ์ จุลพน มัทรี สักกบรรพ และฉกษัตริย์ ท้านองแต่ง แต่งด้วยค้า ประพันธ์หลายอย่าง คือ โคลง ร่าง กาพย์ และฉันท์ มีภาษาบาลี แทรกตลอดเรื่องมหาชาติค้าหลวง เรื่องนีเป็นหนังสือประเภทค้าหลวง หนังสอื ค้าหลวงมีลกั ษณะดังนี ๑) เป็นพระราชนิพนธข์ องพระเจ้า แผ่นดิน หรือเจ้านายชันสูง ๒) เป็นเรื่องเก่ียวกับพระศาสนาและศีลธรรม ๓) ใช้ค้าประพันธ์หลาย ประเภท คือโคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน และร่าย ๔) ใช้สวดเข้าท้านองหลวง ซึ่งสมเด็จพระบรมไตร โลกนาถโปรดประดิษฐ์ขนึ ได้ ความมุ่งหมาย เพื่อใช้อ่านหรือสวดในวันส้าคัญทางศาสนา เช่น วันเข้าพรรษา และอาจ เรยี กรอยตามพระพุทธธรรมราชาลิไท ซึง่ พระราชนิพนธเ์ รื่องไตรภูมิพระเรือ่ ง เรื่องย่อ แบ่งออกเป็น ๑๓ ตอน ซ่ึงเรียกว่ากัณฑ์ดังนี กัณฑ์ทศพร เริ่มตังแต่พระพุทธเจ้า ตรัสรู้ แล้วเสด็จไปเทศนาโปรดพระเจ้าพิมพิสาร ต่อจากนันเสด็จไปโปรดพุทธบิดา และพระประยูร ญาตทิ ี่กรุงกบิลพัสด์ุ เกิดฝนโบกขพรรษ พระสงฆส์ าวกกราบทลู อาราธนาให้ทรงแสดงเรื่องพระเวสสัน ชาดก เร่ิมตังแต่เมื่อกัปที่ ๙๘ นับเป็นแต่ปัจจุบัน พระนางผุสดีซ่ึงจะทรงเป็นพระมารดาของพระ เวสสันดรทรงอธิฐานขอเป็นมารดาของผู้มีใจบุญ จบลงตอนพระนางได้รบั พระ ๑๐ ประการจากพระ อนิ ทร์ กัณฑ์หิมพานต์ พระเวสสันดรทรงเป็นพระราชโอรสของพระเจ้าสญั ญชัยกับพระนาวผสุ ดี แห่ง แคว้นสีวีราษฎร์ประสูติตรอกพ่อค้า เมื่อพระเวสสันดรได้เวนราชสมบัติจากพระมารดา ได้ พระราชทานช้างปัจจัยนาคแก่กษัตริย์แห่งแคว้นกลิงรางราษฎร์ ประชาชนไม่พอใจ พระเวสสันดรจึง ถูกเนรเทศไปอยูป่ า่ หิมพานต์ กัณฑ์ทานกัณฑ์ ก่อนเสด็จไปอยู่ปา่ พระเวสสันดรได้พระราชทานสตั ตดก ทาน คือ ช้าง ม้า รถ ทาสชาย ทาสหญิง โคนม และนางสนม อย่าง ๗๐๐ กัณฑ์วนประเวสน์ พระ เวสสันดรทรงพาพระนางมทั รีพระชายา พระชาลแี ละพระกันหาพระโอรสพระธิดา เสดจ็ จากเมืองผ่าน แคว้นเจตราษฏร์จนเสด็จถึงเขาวงกตในป่าหิมพานต์ กัณฑ์ชูชก ชูชกพราหมณ์ขอทานได้นางอมิตดา เปน็ ภรรยา นางใช้ให้ไปขอสองกมุ าร ชูชกเดินทางไปสืบข่าวในแคว้นสีวีราษฏร์ สามารถหลบหลีกการ ท้าร้ายของชาวเมือง พบเจตบุตร ลวงเจตบุตร ให้บอกทางไปยังเขาวงกต กัณฑ์จุลพน ชูชกเดิน ทางผ่านปา่ ตามเส้นทางตามที่เจตบตุ รแนะจนถงึ ทอี ยู่ของอัจจุตฤษี กณั ฑ์มหาพน ชชู กลวงอัจจุจฤษี ให้ บอกทางผ่านป่าใหญ่ไปยังที่ประทบั ของพระเวสสนั ดร กัณฑก์ มุ าร ชชู กทูลขอสองกุมาร ทุบตีสองกมุ าร เฉพาะพรพกั ตรพ์ ระเวสสนั ดร แลว้ พาออกเดินทาง กัณฑ์มทั รี พระนางมัทรีเสด็จกลับมาจากหาผลไม้ท่ี

๒๗๒ ปา่ ออกติดตามสองกุมารตลอกคืน จนถึงทางวิสัญญีเฉพาะพระพักตร์พระเวสสันดร เมื่อทรงพืนแล้ว พระเวสสันดรเล่าความจรงิ เก่ียวกบั สองกุมาร พระนางทรงอนุโมทนาด้วย กณั ฑส์ ักกบรรพ พระอินทร์ ทรงเกรงวา่ จะผทู้ ่ีมาพระนางมทั รีไปเสยี ทรงเปลงเป็นพราหมณ์ชรามาทลู ของพระนางมทั รแี ล้วฝากไว้ ท่ีพระเวสสันดรกัณฑ์มหาราช ชูชกเดินทางเข้าแคว้นสีวีราษฎร์ พระเจ้าสญชัยทรงไถ่สองกุมาร ชูชก ได้รับพระราชทานเลียงและถึงแก่กรรมด้วยการบริโภคอาหารมากเกินควร กัณฑ์ฉกษัตริย์ พระเจ้า สัญญชัย พระนางผุสดี พระชาลี และพระกันหา เสด็จไปทูลเชิญพระเวสสันดรและพระนางมัทรีกลับ เมื่อกษัตรยิ ์หกพระองค์ทรงพบกัน ก็ทรงวิสัญญี ต่อฝนโบกขพรรษตก จึงทรงฟ้ืนขึน กัณฑ์นครกณั ฑ์ กษตั รยิ ท์ งั หกพระองคเ์ สดจ็ กลับพระนคร พระเวสสันดรได้ครองราชย์ดังเดมิ บา้ นเมอื งสมบูรณ์พนู สุข มหาชาติค้าหลวงแสดงถึงความเลื่อมใสในพุทธศาสนา และความเชอื่ ในบุญกุสลที่เกิดจาก ฟังเทศนเ์ รื่องมหาชาติของคนไทยสืบต่อมาจากสุโขทัย นอกจากนยี ังแสดงให้เหน็ วา่ สมเดจ็ พระบรมไตร โลกนาถมีพระราชศรัทธาในพระพุทธศาสนาอย่างย่ิง การโปรดเกลา้ ให้ประชุมนักปราชญ์ราชบัณฑิต แตง่ มหาชาตคิ า้ หลวงกเ็ ทียบไดพ้ ญาลไิ ททรงพระราชนพิ นธไ์ ตรภูมพิ ระรว่ ง๑๐๒ ภาพที่ ๕.๓๒ ลลิ ิตพระลอ๑๐๓ ผู้แตง่ และสมยั ท่ีแต่ง เพื่อพจิ ารณาจากรา่ ยบทน้าเร่ือง ซึ่งกลา่ วสดุดีพระเจ้าแผ่นดนิ กรงุ ศรี อยุธยาที่ทรงมีชยั แก่ชาวลานนาท่ีว่า \"ฝ่ายช้างยวนแพ้พา่ ย ฝ่ายช้างลาวประลัย ฝ่ายช้างไทยชัยเยศคืน ยังประเทศพิศาล\" พอสันนิษฐานได้ว่าช่วงเวลาท่ีแต่งลิลิตพระลอ จะต้องอยู่ภายหลังการชนะศึก เชียงใหม่ครังใดครังหน่ึง อาจเป็นรัชกาลสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ (พ.ศ.๒๐๑๗) หรือสมเด็จพระ นารายณ์มหาราช (พ.ศ.๒๒๐๕) เมื่อพิจารณาถึงลกั ษณะคา้ ประพนั ธ์ ลลิ ิตพระลอแต่งดว้ นลิลิต ซ่ึงเป็น ลักษณะค้าประพันธท์ ่ีนิยมใช้ในสมัยกรุงศรอี ยธุ ยาตอนตน้ เช่น ลิลติ โองการแช่งน้า ลลิ ิตยวนพ่าย สว่ น ในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชมักแต่งโคลงฉันท์เป็นส่วนมาก เช่น โคลงเฉลิมพระเกียรติ ๑๐๒ http://cruthai.blogspot.com/๒๐๑๒/๐๖/blog-post_๘๘๓๐.html ๑๐๓ http://www.su-usedbook.com/product.detail_๓๖๖๘๗_th_๔๑๘๑๗๘๐#

๒๗๓ สมเด็จพระนารายณ์มหาราช สมุทรโฆษค้าฉันท์ และอนิรุทธ์ค้าฉันท์ลิลิตพระลอยังใช้ภาษาเก่ากว่า ภาษาในสมัยสมเดจ็ พระนารายณ์มหาราช เช่น ค้า \"ชนิ่ แล\" และค้า \"แว่น\" ซ่ึงเป็นคา้ ทมี ีใช้ในมหาชาติ คา้ หลวงสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ นอกจากนีหนงั สือจินดามณี ของพระโหราธิบดี สมัยสมเด็จ พระนารายณม์ หาราช ไดย้ กโคลงในลลิ ติ พระลอเปน็ ตัวอยา่ งโคลงสส่ี ุภาพทวี่ ่า เสียงฦาเสียงเล่าอ้าง อนั ใด พีเ่ อย เสียงยอ่ มยอยศใคร ทั่วหลา้ สองขอื พ่ีหลบั ใหล ลืมตน่ื ฦาพ่ี สองพค่ี ดิ เองอา้ อย่าได้ถามเผือ จากเหตุผลดังกล่าวพอสรูปได้ว่า ลิลิตพระลอ จะต้องแต่งก่อนสมัยสมเด็จพระนารายณ์ มหาราชสมเด็จพระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมพระยาดา้ รงราชานุภาพ ทรงพิจารณาโคลงบอกผู้แตง่ สองบท ท้ายเรื่องที่ขึนต้นว่า \"จบเสร็จมหาราชเจ้า นิพนธ์\" และ \"จบเสร็จเยาวราชบรรจง\" ทรงสันนิษฐานว่า ลิลิตพระลออาจแต่งถวายพระเจ้าแผ่นดิน ในขณะที่ผู้แต่งยังเป็นพระมหาอุปราช ต่อมาพระมหา อุปราชพระองค์นันได้รับรัชทายาทเป็นพระเจ้าแผ่นดินในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น อาจเป็นสมเด็จ พระบรมราชาธิปดีท่ี ๓ สมเด็จพระรามาธิปดีที่ ๒ หรอื สมเด็จพระบรมราชาหน่อพุทธางกรู ก็ได้ ส่วน เหตุผลทวี่ ่า ลิลิตพระลอแต่งในสมยั พระนารายณ์มหาราช เน่ืองจากสันนษิ ฐานค้า \"มหาราชเจ้านิพนธ์\" และ \"สมเดจ็ เยาวเจ้าบรรจง\" ในโคลงสองบทดังกล่าวว่า หมายถึงสมเดจ็ พระนารายณม์ หาราชทรงพระ ราชนิพนธ์ และเจ้าฟา้ อภัยทศพระราชอนุชาทรงเขียน ท้านองแต่ง เป็นค้าประพันธ์ประเภทลลิ ิตสภุ าพ ประกอบด้วยร่ายสุภาพและโคลงสุภาพเป็นส่วนใหญ่ บางโคลงมีลักษณะคล้ายโคลงดันและโคลง โบราณ และร่ายบางบทเป็นร่ายโบราณและร่ายดัน ส่วนความมุ่งหมาย แต่งถวายพระเจ้าแผ่นดิน เพ่อื ให้เปน็ ทีส่ ้าราญหฤทัย เรอ่ื งย่อ มเี นอื ความว่า เมืองสรวงและเมืองสรองเปน็ ศัตรูกนั พระลอกษัตริย์เมอื งสรวงทรง พระสิริโฉมย่ิงนัก จนเป็นท่ีต้องพระทัยพระเพื่อนพระแพงราชธิดาของท้าวพิชัยพิษณุกรกษัตริย์แห่ง เมืองสรอง นางรน่ื นางโรยพระพี่เลียงได้ขอใหป้ ูเจ้าสมงิ พรายช่วยทา้ เสน่ห์ใหพ้ ระลอเสด็จมาเมืองสรวง เม่ือพระลอต้องเสน่ห์ได้ตรัสลาพระนางบุญเหลือพระราชมารดา และนางลักษณวดมี เหสี เสด็จไปเมอื ง สรองพร้อมกับนายแก้วนายขวัญพระพ่ีเลียง พระลอทรงเสี่ยวน้าท่ีแม่น้ากาหลง ถึงแม้จะปรากฏราง ร้ายก็ทรงผืนพระทัยเสด็จต่อไป ไก่ผีของปูเจ้าสมิงพรายล่อพระลอกับนายขวัญและนายแก้วไปจนถึง สวนหลวง นางรื่นนางโรยออกอุบายลอบนา้ พระลอกับนายแก้วและนายขวัญไปไว้ในต้าหนักของพระ เพือ่ นพระแพง ท้าวพชิ ยั พษิ ณุกรทรงทราบเรื่องกท็ รงพระเมตตารบั ส่งั จะจัดการอภิเษกพระลอกบั พระ เพอ่ื นและพระแพงให้ แต่พระเจ้าย่าเลียงของพระเพอื่ นพระแพงยังทรงพยาบาลพระลอ อ้างรับสง่ั ท้าว พิชยั พิษณกุ รตรสั สั่งใช้ให้ทหารไปรมุ จบั พระลอ พระเพอื่ นพระอพงและพระพี่เลียงทังสีช่ ่วยกันต่อสู้จน สนิ ชีวิตทังหมดทา้ วพิชัยพิษณกุ รทรงพระพิโรธพระเจ้าย่าและทหาร รบั สั่งให้ประหารชวี ิตทุกคน พระ นางบุญเหลือทรงสง่ ทูตมาร่วมงานพระศพกษัตรยิ ์สาม ในที่สดุ เมอื งสรวงและเมืองสรองกลั ปเ์ ป็นไมตรี ต่อกัน

๒๗๔ คตธิ รรมที่ปรากฏในลิลติ พระลอ ไดแ้ ก่ ๑) พระลอตรสั ตอ่ พระนางบุญเหลอื ตอนทเี่ สดจ็ ออกจากเมือง ใดใดในโลกล้วน อนจิ จัง คงแตบ่ าปบญุ ยงั เทย่ี งแท้ คอื เงาตดิ ตวั ตรงั ตรึงแน่น อยนู่ า ตามแตบ่ ุญบาปแล้ ก่อเกือรักษา ๒) นายแกว้ นายขวัญกราบทูลเตือนพระสติแก่พระลอตอนเสดจ็ มาถงึ ชนบททอดพระเนตร เห็นภมู ิประเทศอันทุรกนั ดาร พระเอยอาบนา้ ขนุ่ เอาเย็น ปลารผอกหมกเหมน็ ยาม ยากเคียว รุกรุยราคจา้ เปน็ ปางเมอ่ื แคลนา อดอยูเ่ ยีย่ วดวิ เดี่ยว อยไู่ ดฉ้ นั ใด ยามไร้เดด็ ดอกหญ้า แซมผม พระเอย หอมบ่หอมทัดดม ดั่งบา้ สกุ รมล้าดวนชม เชยกล่นิ พระเอย หอมกล่ินเรยี มโออ้ ้า กล่นิ แกว้ ติดใจ ๓) นายแกว้ นายขวญั นางรื่นนางโรยกล่าวเตอื นสตติ อ่ กัน เพ่อื อดใจไมแ่ สดงความรักต่อกัน ในต้าหนับของพระเพื่อนพระแพง เป็นการแสดงความเคารพและจงรักภักดีต่อเจ้านายและสถานทท่ี ส้าคัญในต้าหนักพระเพื่อนพระแพง เป็นการแสดงความเคารพและจงรักภักดีต่อเจ้านายและสถานท่ี สา้ คญั เรานเี ราเผา่ ผู้ ภกั ดี ผดิ เทา่ ธลุ กี ลวั เกลยี ดใกล้ ผผิ ดิ กึง่ เกศี แหน่งว่า ตายนา ทา่ นชหี ลงั ตน๑๐๔ ดกี วา่ เปน็ คนให้ สมัยอยุธยาตอนกลาง (พ.ศ. ๒๑๕๓ - ๒๒๓๑) มี ๒๐ เรื่อง ได้แก่ ๑) กาพย์มหาชาติ ๒) โคลงทศรถสอนพระราม ๓) โคลงราชสวัสดิ์ ๔) โคลงพาลีสอนน้อง ๕) สมุทรโฆษค้าฉันท์ ๖) โคลง เบ็ดเตล็ด (สมเด็จพระนารายณ์มหาราช) ๗) เสือโคค้าฉันท์ ๘) จินดามณี ๙) พงศาวดารฉบับหลวง ประเสริฐอักษรนิติ ๑๐) อนิรุทธ์ค้าฉันท์ ๑๑) โคลงเบ็ดเตล็ด (ศรีปราชญ์) ๑๒) กาพย์ห่อโคลง ๑๓) โคลงเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ๑๔) โคลงอักษรสามหมู่ ๑๕) โคลงนิราศ นครสวรรค์ ๑๖) ค้าฉันทด์ ุษฎสี ังเวยกล่อมช้าง ๑๗) นิราศสีดา ๑๘) โคลงกวโี บราณ ๑๙) โคลงทวาทศ มาส ๒๐) นิราศหรภิ ุญชัย ๑๐๔ http://su-usedbook.tarad.com/product.detail_๙๗๓๕๙_th_๕๑๘๒๕๕๘

๒๗๕ ภาพที่ ๕.๓๓ กาพยม์ หาชาติ๑๐๕ กาพย์มหาชาติ เป็นวรรณคดีเก่าแก่เล่มหนึ่ง ที่แต่งขึนเมื่อครังกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี ไม่ปรากฏช่ือผู้แต่ง และประวัติการแต่งก็ไม่ปรากฏแน่ชัด แต่ถือว่ามีคุณค่าทังทางวรรณคดีและทาง พทุ ธศาสนา สมเด็จกรมพระยาดา้ รงราชานภุ าพทรงสันนิษฐานว่า กาพย์มหาชาตินา่ จะแต่งขึนในสมัย พระเจ้าทรงธรรม เม่ือมีประชุมนักปราชญ์ราชบัณฑิตร่วมกันแต่งขึน ในช่วง พ.ศ.๒๑๔๕ - ๒๑๗๐ เนือหาของกาพย์มหาชาตินัน เป็นการเล่าเรื่องมหาชาติ หรือเรื่องมหาเวสสันดรชาดกน่ันเอง เป็นการ แต่งแบบท่ีเรียกว่า ยกคาถา กล่าวคือ ยกคาถาภาษาบาลีขึนมาประโยคหนึ่ง แล้วแต่งภาษาไทยเล่า สลับไปเป็นช่วงๆ จนจบ โดยใช้ค้าประพันธ์ท่ีเรียกว่าร่ายโบราณ หรือที่เรียกกันในสมัยนันว่า ร่าย มหาชาติ เนื่องจากเป็นรอ้ ยกรองท่ีแต่งไว้สา้ หรบั การเทศน์เรอื่ งมหาชาตินั่นเอง แต่ละกัณฑ์ (ในกาพย์ มหาชาติเรียกว่า บรรพ) มีความยาวไม่มาก จดุ ม่งุ หมายของกาพย์มหาชาติใช้เทศน์ให้อุบาสกอุบาสิกา ฟัง๑๐๖ ภาพท่ี ๕.๓๔ สมุทรโฆษคา้ ฉนั ท์๑๐๗ ๑๐๕ http://khunmaebook.tarad.com/product.detail_๖๔๖๓๔๗_th_๔๘๗๑๑๕๗ ๑๐๖ https://sites.google.com/site/mintsongsiri/smay-xyuthya-txn-klang-๑ ๑๐๗ http://www.su-usedbook.com/product.detail_๓๖๖๘๗_th_๔๑๘๑๗๘๐#

๒๗๖ สมทุ รโฆษค้าฉนั ท์ เป็นวรรณคดีท่ีไดร้ บั การยกยอ่ งจาก วรรณคดีสโมสร ในสมัยรชั กาลที่ ๖ วา่ เป็นเร่ืองที่แต่งดีเปน็ เยีย่ มในกระบวนค้าฉันท์ เป็นวรรณกรรมขนาดย่อม มีความยาว ของเนือเรื่อง ๒๑๒๘ บท (นับรวมแถลงท้ายเรื่อง ๒๑ บท ) กับโคลงท้ายเร่ืองอีก ๔ บท สมุทรโฆษค้าฉันท์นับเป็น หนึ่งในวรรณคดไี ทย ทม่ี ีประวัติอนั ยาวนาน สืบเนื่องมาตงั แต่ครงั กรุงศรีอยุธยา จวบจนถงึ ช่วงต้นแห่ง กรุงรัตนโกสินทร์ มีเนือหาแบบนิยายไทยท่ัวไป ท่ีมีความรักและการพลัดพราก กวีได้สอดแทรกขนบ การแต่งเรื่องไว้อย่างสมบูรณ์ ขณะเดียวกัน นักประวัติศาสตร์ยังใช้วรรณคดีเล่มนีส้าหรับการอ้างอิง หลกั ฐานทางประวัติศาสตร์ด้านขนบธรรมเนียมและวัฒนธรรมด้วย สมุทรโฆษคา้ ฉันท์มผี ู้แต่งสามทา่ น ซ่ึงแต่งในยุคสมัยตา่ งๆ กัน ดงั นี พระมหาราชครู แต่งขึนในสมยั สมเด็จพระนารายณม์ หาราช แห่งกรุง ศรีอยุธยา แต่แต่งตังปี พ.ศ. ใดไม่ปรากฏ คาดว่าน่าจะอยู่ในราว พ.ศ. ๒๒๐๐ สมเด็จพระนารายณ์ มหาราช ทรงพระราชนิพนธ์ด้วยพระองค์เอง ๒๐๕ บท แต่ไม่จบเรอ่ื ง ก็สวรรคตเสียก่อน และสมเด็จ พระมหาสมณเจ้ากรมพระปรมานุชิตชิโนรส ในสมยั รัชกาลท่ี ๓ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ทรงพระนิพนธ์ ตอ่ จากนนั จนจบเรื่อง นับได้ ๘๖๑ บท หลังจากที่ค้างอยู่นานถึง ๑๖๐ ปี (นับจากสมเด็จพระนารายณ์ มหาราชเสด็จสวรรคต เมื่อ พ.ศ. ๒๒๓๑) เนือเร่ืองดัดแปลงมาจากสมุทรโฆษชาดก ในปัญญาสชาดก กล่าวคือเป็นชาดกท่ีมิได้มีอยู่ในพระไตรปิฎก แต่เนือหาในเร่ืองท่ีพระราชครูแต่งนัน แตกต่างไปจาก ชาดกอยู่บ้าง ทวา่ เม่ือสมเดจ็ พระมหาสมณเจ้าฯ ทรงแต่ง พระองค์ไดด้ ้าเนินตามปญั ญาสชาดกจนจบ เรอ่ื ง๑๐๘ ภาพท่ี ๕.๓๕ เสอื โคคา้ ฉนั ท์๑๐๙ ๑๐๘ https://sites.google.com/site/mintsongsiri/smay-xyuthya-txn-klang-๑ ๑๐๙ https://www.google.co.th/search?biw=๑๓๖๖&bih=๖๕๑&tbm=isch&sa=๑&ei= LJqsWt๓SCsbjvgSQyIHIBA&q=เสือโคค้าฉันท์+สมัยอยธุ ยา

๒๗๗ เสือโคค้าฉันท์เป็นวรรณคดีประเภทฉันท์ที่มีความยาวมาก เป็นเรื่องแรกของไทย โดย อาศัยเค้าโครงเรื่องจากปัญญาสชาดก แต่งโดยพระมหาราชครู เป็นฉันท์เกือบทังหมด มีเฉพาะบท สดุ ท้าย ๒ บททีแ่ ตง่ เป็นโคลงสีส่ ุภาพ มีวัตถปุ ระสงคเ์ พื่อใช้เปน็ สภุ าษติ สอนใจ สาระส้าคัญ ได้แก่ เสือโคเป็นนิทานพืนเมืองท่ีมีการเล่าต่อกันมาช้านาน อันเป็นเร่ืองราว ระหวา่ งลูกเสอื กบั ลูกโค ซึ่งตา่ งมมี ิตรไมตรีอนั ดตี ่อกัน ภายหลังฤาษีเสกให้เป็นคนทังสองตัว เสือใหเ้ ป็น คนชอื่ ว่า พหลวิชัย อายมุ ากกว่ามีฐานะเป็นพี่ ส่วนโคใหเ้ ป็นคนมีช่ือว่า คาวี มอี ายุน้อยกว่ามฐี านะเป็น นอ้ ง จากนนั ลูกเสือกบั ลกู โคเดินออกมาจากป่า พระฤาษเี หน็ เข้าจึงเกดิ ความสงสารจงึ ได้ชบุ เลียงไว้ วัน หนึ่งพระฤาษีถามลูกสัตว์ทังสองได้ความว่า วันหนึ่งแม่เสืออกไปล่าเหย่ือ ลูกเสือถูกทีงไว้นานหิวนม มากลูกโคเห็นจึงเกิดความสงสาร ได้บอกให้แม่โคให้นมแก่ลูกเสือด้วย ลูกเสือได้กินนมแม่โคจึงเกิด ความรักต่อลูกโคและแม่โค เม่ือแม่เสอื กลับมา ลูกเสอื ได้ขอรอ้ งให้แม่เสือเลกิ ทา้ รา้ ยแม่โคกบั ลกู โค แม่ เสือรับค้าแต่ท้าไม่ได้ ภายหลังได้กินแม่โค ลูกเสือกับลูกโคไม่พอใจ จึงรวมกันท้าร้ายแม่เสือจนตาย จากนันก็ชวนกันออกมาจากป่าเดินมาเรื่อยๆ จนพบฤาษี ได้รับการชุบเลียงให้เป็นคน ต่อมาทังสอง กราบลาพระฤาษีเพอ่ื ไปยังเมืองจันทบูรนคร คาวไี ด้เจอกับยักษท์ ้าการต่อสกู้ ัน คาวีฆา่ ยักษ์ได้ พระเจ้า มคธผู้ครองเมืองนันจึงยกพระธิดาพระนามว่า สุรสุดาเป็นพระชายา แต่คาวีมีความกตัญญูต่อพี่พหล วิชัย จึงกราบทูลให้พระราชทานให้กับพหลวิชัย คาวีจากพหลวิชัยเพ่ือเดินทางต่อไปจนถึงเมืองร้าง เมืองหนึ่ง มีนามว่า รมยนคร ท่ีเมืองนีมีความอดอยากถึงขนาดนกอินทรีต้องจับผู้คนกินเป็นอาหาร คาวพี บกล่องใบใหญใ่ บหนึ่ง เมือ่ ลองแกะดูกพ็ บพระธิดาจันทรห์ อมผู้เปน็ พระธดิ าของทา้ วมัทราชอยู่ใน นัน คาวีท้าการปราบนกอินทรีใหญ่ตายแล้ว ก็ได้พระธิดาจันทร์เป็นชายาและได้ครองเมืองรมยนคร ตอ่ มา พระนางจนั ทร์สุดา สรงน้าแล้วกน็ ้าเส้นผมใส่ผอบปลอ่ ยให้ลอยน้าไป กษตั ริย์เมอื งพทั ธพิลยั นาม วา่ ท้าวยศภูมิ เก็บผอบได้แล้วทรงเปดิ ผอบออกมา ก็ปรากฏมีเส้นผมอยู่ในนัน เส้นผมนันเป็นเส้นผมที่ หอมมากมีกล่ินหอมอบอวลพาให้หลงใหล กษัตริย์เมืองพัทธภูมิทรงใช้ให้นางทาสีไปท้าอุบายหลอก ถามความลบั เกี่ยวกบั พระขรรค์จากพระนางจนั ทร์สุดา ทราบวา่ ชีวติ ของพระคาวีอยู่ในพระขรรค์จึงเอา ไปเผาเสีย ท้าให้คาวีสินพระชนม์ แล้วนางทาสีก็พานางจันทร์สุดาไปถวายท้าวยศภูมิ แต่ด้วยอ้านาจ ของความซ่ือสตั ย์ ความจงรักภคั ดีของนางจันทร์สุดาทีม่ ีต่อคาวี จงึ ท้าให้พระวรกายของพระนางจนั ทร์ สดุ ามีความร้อนด่ังไฟ ทา้ วยศภูมิไม่อาจเข้าใกล้ไดเ้ ลยท้าให้รอดพ้นจากการล่วงเกนิ ใด ๆ ฝ่ายพหลวชิ ัย ได้ตามหาคาวจี นช่วยแกใ้ หฟ้ ้ืนคืนชีพได้ แล้วพาเข้าเมืองพันธพิสัยเพ่ือตามหานางจนั ทร์สุดา พหลวิชัย ปลอมตัวเปน็ ฤาษี รับอาสาชบุ ตวั ทา้ วยศภูมิให้เป็นคนหนุ่มหล่อ ระหวา่ งทา้ พิธีอยู่ เมื่อท้าวยศภูมิเผลอ ก็ผลักท้าวยศภูมิเข้าไปในกองไฟ เม่ือฆ่าท้าวยศภูมิส้าเร็จแล้ว ก็ให้คาวีแต่งตัวเป็นกษัตริย์ครองราชย์ สมบตั ิอยเู่ มอื งพทั ธพสิ ยั ร่วมกบั พระนางจันทรส์ ุดา คุณค่าของเสือโคค้าฉันท์ ประกอบด้วย ๑) ในด้านอักษรศาสตร์ มีเนือหาสนุกสนานน่า ตดิ ตาม ถ้อยคา้ ส้านวนไพเราะ ใช้ถ้อยคา้ ได้เหมาะสมกับฉันท์ชนดิ ต่างๆ ๒) ในดา้ นพระพุทธศาสนา ให้ คติธรรมเกี่ยวกับการรกั ษาความสัตย์ เกิดเป็นคนควรรักษาความสัตย์ไว้กับตัว มพี ุทธภาษิตกล่าวไว้ว่า จะมชี อ่ื เสยี งเพราะความสตั ย์๑๑๐ ๑๑๐ http://pspreaw.wixsite.com/thailandliterature/untitled-c๑rrn

๒๗๘ ภาพท่ี ๕.๓๖ จินดามณี๑๑๑ ผ้แู ต่ง พระโหราธบดี รับราชการในหน้าท่ีโหรหลวงอยู่ทกี่ รุงศรีอยธุ ยา ต้านานศรีปราชญ์ที่ พระนาปริยัติธรรมธาดา แต่งกล่าวพระโหราธิบดีเป็นบิดาของศรีปราชญ์ สันนิษฐานว่าอาจถึงกรรม กอ่ น พ.ศ.๒๒๒๓ ซ่ึงเป็นปีท่ีสมเด็จพระนารายณ์มหาราชรับสั่งให้รวบรวมช้าระกฎหมายเหตุ ซึ่งท่าน แต่งไวเ้ ข้ากับฉบับอ่ืน ๆ เรียกช่ือตอ่ มาว่า \"พระราชพงศาวดารกรงุ ศรอี ยธุ ยาฉบับหลวงประเสริฐอักษร นติ ิ\" มปี ระวัติความเป็นมาว่าในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชพวกมชิ ชั่นนารีฝร่งั ก้าลังเข้าเผยแพร่ ศาสนาครสิ ต์และวิชาการอย่างฝงั่ จนถึงการตังโรงเรยี นสอนเด็กไทย สมเดจ็ พระนารายณม์ หาราชเกรง ว่าคนไทยจะหันไปนิยมอย่างฝร่ัง จึงรับสั่งให้พระโหราธิบดีแต่งจินดามณีขึนเพื่อจะสอนคนไทยมี แบบเรียนเป็นของตนเอง และรู้วชิ าอย่างไทย ๆ ไม่หันแหไปฝักใฝ่ขา้ งฝรั่ง แต่งเป็นร้อยแกว้ บางตอน เปน็ ค้าประพนั ธป์ ระเภทตา่ ง ๆ โดยมีความม่งุ หมายเพอื่ ใช้เปน็ แบบเรียนอ่านให้มคี วามร้ทู างหลักภาษา แลการแตง่ ค้าประพันธ์ เรื่องย่อตอ้ นต้นกล่าวถึงค้าและข้อความสา้ หรับอ่าน เป็นความรทู้ างหลกั ภาษา ตอนทา้ ยเป็นกฎเกณฑก์ ารแต่งคา้ ประพนั ธ์ และตวั อยา่ งค้าประพนั ธช์ นดิ ตา่ ง ๆ๑๑๒ ภาพท่ี ๕.๓๗ พงศาวดารฉบบั หลวงประเสรฐิ อักษรนติ ิ๑๑๓ ๑๑๑ http://www.su-usedbook.com/product-th-๙๗๓๕๙-๖๒๑๖๑๐๗-จนิ ดามณี+เลม่ ๑+๒+กบั บนั ทกึ เรื่องหนงั สอื จินดามณ+ี และ+จนิ ดามณีฉบบั พระเจา้ บรมโกศ.html# ๑๑๒ http://cruthai.blogspot.com/ ๑๑๓ i-yabooks.tarad.com/product.deta..._๒๖๔๙๐๘๔

๒๗๙ สมเด็จพระนารายณ์มหาราช ทรงพระประสงค์ให้รวบรวมจดหมายเหตุและเหตุการณ์ ต่างๆ รวบรวมไว้ด้วยกัน ในช่วง พ.ศ. ๒๒๒๓ หลวงประเสริฐอักษรนิติเป็นผู้ได้มาจากชาวบ้านแล้ว น้ามาถวายสมเด็จกรมพระยาด้ารงราชานุภาพจึงประทานช่ือให้เป็นเกียรติ ค้าประพันธ์เป็นร้อยแก้ว เป็นการบันทึกเหตุการณ์ส้าคัญ หรือเหตุการณ์แปลก ๆ ไว้ เพี่อบันทึกเหตุการณ์บ้านเมืองไว้เป็น หลักฐานโดยมสี าระสา้ คัญเริ่มตังแต่เริ่มสร้างพระพทุ ธรปู วัดพนญั เชิง พ.ศ. ๑๘๖๗ จุลศกั ราช ๖๘๖ ไป จนถึง พ.ศ. ๒๑๔๗ สมเด็จพระนเรศวรเสด็จไปรบท่ีเมืองเชียงใหม่ ประชวรสวรรคตท่ีเมืองห้าง หลวง๑๑๔ สมัยอยุธยาตอนปลาย (พ.ศ. ๒๒๗๕ - ๒๓๑๐) มี ๑๑ เรื่อง ได้แก่ ๑) โคลงชะลอพระพุทธ ไสยาสน์ ๒) นันโทปนันทสูตรค้าหลวง ๓) พระมาลัยค้าหลวง ๔) กาพย์เห่เรือ ๕) กาพย์ห่อโคลง ประพาสธารทองแดง ๖) กาพย์หอ่ โคลงนริ าศ (ธารโศก) ๗) เพลงยาวเจา้ ฟ้าธรรมาธเิ บศร ๘) บทละคร เรื่องดาหลัง และอิเหนา ๙) โคลงนิราศพระบาท ๑๐) กลบทสิริวิบุลกิติ ๑๑) ปุณโณวาทค้าฉันท์ นอกจากนียังมีวรรณคดีที่ไม่ปรากฏนามผู้แต่งหรอื สมยั ทแี่ ต่งอีกส่วนหนึ่ง เช่น คาวี ไชยเชษฐ์ มโนราห์ สวุ รรณหงส์ สังข์ทอง สังข์ศิลป์ชยั เปน็ ตน้ ภาพที่ ๕.๓๘ พระมาลยั คา้ หลวง๑๑๕ พระมาลัยค้าหลวง แต่งโดยเจ้าฟ้าธรรมธิเบศร ลักษณะการแต่งใช้ร่ายสุภาพ บางตอน คล้ายกาพย์ยานี มคี าถาบาลสี ัน ๆ แทรกอยูห่ นา้ บท ตอนทา้ ยเปน็ โคลงส่สี ภุ าพ เรื่องย่อ กล่าวถึงพระมาลัยพระเถระอรหันต์องค์หน่ึงซ่ึงรับถวายดอกบัวจากชายเข็ญใจ แล้วน้าไปบูชาพระจุฬามณี ณ ดาวดึงส์ พระมาลัยได้มีปุจฉาถามข้อสงสัยแก่พระอินทร์ถึงเร่ืองการ บ้าเพ็ญกุศล ต่อมาพระศรีอารยเมตไตรยได้มาตรัสสนทนาด้วย ว่าพระองค์จะเสด็จลงมาประกาศ ศาสนาเม่ือศาสนาของพระสมณโคดมสินสุด ๕๐๐๐ ปีแล้ว เมื่อสินศาสนาของพระสมณโคดมแล้วจะ เกิดกลียุค อายุคนจะสันแค่ ๕-๑๐ ปี เมอ่ื สินยุคเขญ็ จะเกดิ ความอุดมสมบูรณ์ ระยะนีพระองคจ์ ะลงมา ตรัสสอนคนให้ตงั ม่ันอยใู่ นความดี ๑๑๔ https://sites.google.com/site/mintsongsiri/smay-xyuthya-txn-klang-๑ ๑๑๕https://www.google.co.th/search?biw=๑๓๖๖&bih=๖๕๑&tbm=isch&sa=๑&ei=๔๖CsWo ๒iIMaAvwTn๗YXgCA&q=พระมาลยั ค้าหลวง+++สมัยอยธุ ยา

๒๘๐ คุณค่า ได้แก่ ๑) แสดงความศรัทธาในพระพุทธเจ้าที่แน่นแฟ้น ๒) ความเชื่อในบาป บุญ คณุ โทษ ๓) พรรณนาโวหารเกยี่ วกบั นรก-สวรรค์ได้งดงาม๑๑๖ ภาพท่ี ๕.๓๙ บทละครเรือ่ งอเิ หนา๑๑๗ อเิ หนาเป็น วรรณคดีเก่าแก่เรื่องหนึ่งของไทย เป็นที่รู้จักกนั มานาน เข้าใจว่าน่าจะเปน็ ช่วง ปลายสมัยกรุงศรีอยุธยา โดยได้ผ่านมาจากหญิงเชลยปัตตานี ท่ีเป็นข้าหลวงรับใช้พระราชธิดาของ สมเด็จพระเจ้าอยหู่ ัวบรมโกศ (ครองราชย์ พ.ศ. ๒๒๗๕ – ๒๓๐๑) โดยเล่าถวายเจ้าฟ้ากุณฑลและเจ้า ฟา้ มงกุฎ พระราชธดิ า จากนนั พระราชธดิ าทังสองได้ทรงแตง่ เร่ืองขึนมาองค์ละเรอ่ื ง เรยี กว่าอเิ หนาเลก็ (อิเหนา) และอิเหนาใหญ่ (ดาหลัง) ประวัติดังกล่าวมีบันทึกไว้ในพระราชนิพนธ์อิเหนา ใน พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เร่ืองอิเหนา หรือท่ีเรียกกันว่านิทานปันหยีนัน เป็นนิทานที่ เล่าแพร่หลายกันมากในชวา เชอ่ื กันว่าเป็นนิยายอิงประวัตศิ าสตร์ของชวา ในสมัยพุทธศตวรรษที่ ๑๖ ปรงุ แต่งมาจากพงศาวดารชวา และมดี ้วยกันหลายสา้ นวน พงศาวดารเรียกอิเหนาว่า “ ปันจี อินู กรัต ปาตี” (Panji Inu Kartapati) แต่ในหมู่ชาวชวามักเรียกกันสันๆ วา่ “ปันหยี” (Panji) ส่วนเร่ืองอิเหนา ท่ีเป็นนิทานนัน น่าจะแต่งขึนในราวพุทธศตวรรษท่ี ๒๐-๒๑ หรือในยุคเสื่อมของราชวงศ์อิเหนาแห่ง อาณาจักรมัชปาหิต และอิสลามเร่ิมเข้ามาครอบครอง นิทานปันหยีของชวานัน มีด้วยกันหลายฉบับ แต่ฉบับทีต่ รงกับอิเหนาของเรานัน คือ ฉบับมาลตั ใช้ภาษากวีของชวาโบราณ มาจากเกาะบาหลี ขอ้ คดิ ทปี่ รากฏในอิเหนา ได้แก่ ๑) การเอาแตใ่ จตนเอง อยากได้อะไรเป็นตอ้ งได้ จากในวรรณคดเี รื่องอิเหนานนั เราได้ ขอ้ คดิ เกย่ี วกับการเอาแต่ใจตนเอง อยากไดอ้ ะไรเป็นต้องได้ ไมร่ จู้ ักระงับความอยากของตน หรือพอใจ ในสิ่งทีต่ นมีแลว้ ซ่ึงการกระท้าเช่นนที ้าใหเ้ กิดปัญหามากมายตามมา และคนอนื่ ๆ ก็พลอยเดือดรอ้ นไป ด้วย ดังเช่นในตอนท่ีอเิ หนาได้เหน็ นางบุษบาแล้วเกิดหลงรัก อยากไดม้ าเป็นมเหสีของตน กระนันแล้ว อเิ หนาจงึ หาอบุ ายแยง่ ชิงนางบษุ บา แม้วา่ นางจะถูกยกให้จรกาแล้วก็ตาม โดยท่ีอเิ หนาไดป้ ลอมเป็นจร กาไปลักพาตวั บุษบา แล้วพาไปยงั ถ้าทองท่ตี นได้เตรยี มไว้ ซึ่งการกระท้าของอิเหนานนั เปน็ การกระท้า ทีไ่ ม่ถกู ตอ้ ง ท้าให้ผู้คนเดอื ดรอ้ นไปทวั่ พิธที ่ีเตรียมไว้ก็ตอ้ งล่มเพราะบุษบาหายไป อกี ทังเมอื งยังถูกเผา เกิดความเสยี หายเพียงเพราะความเอาแตใ่ จอยากได้บุษบาของอิเหนานน่ั เอง ๑๑๖ http://thaipoemhistory.blogspot.com/๒๐๑๓/๐๒/blog-post_๒๗๐๒.html ๑๑๗ https://www.google.co.th/search?biw=๑๓๖๖&bih=๖๕๑&tbm=isch&sa=๑&ei= ๖aOsWpTOKsfhvgTggJXICw&q=อเิ หนา++++สมยั อยุธยา


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook