Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore นวัตกรรม ค่าว ซอ เล่ม ๒

นวัตกรรม ค่าว ซอ เล่ม ๒

Published by krutitle_1992, 2019-04-28 02:18:29

Description: นวัตกรรม ค่าว ซอ เล่ม ๒

Search

Read the Text Version

คำนำ นวัตกรรม ค่าว ซอ เสริมความรู้สุขภาวะ จัดทาข้ึนเพ่ือพัฒนาทักษะการเรียนรู้ ค่าว จ๊อย ซอ พ้ืนเมือง สาหรับนักเรียนช้ันประถมศึกษา ซ่ึงค่าว จ๊อย ซอ เป็น ศิลปวัฒนธรรมล้านนาท่ีสืบทอดกันมาต้ังแต่บรรพบุรุษ อีกทั้งในนวัตกรรมนี้ ส่งเสริมให้ นักเรียนได้ฝึกทักษะในด้านการอ่านและทักษะการเขียน มีทักษะในด้านการใช้ถ้อยคา ภาษา ในการแต่งคาประพันธ์ สอดคล้องตามหลักสูตรแกนกลางสถานศึกษาข้ันพื้นฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑ ในแบบฝึกทักษะแต่ละแบบฝึกผู้ศึกษาได้จัดทาให้เหมาะสมกับระดับความรู้ วัย ของผู้เรียน เป็นการฝึกทักษะจากระดับท่ีง่าย ไปสู่ระดับท่ียากข้ึนเพื่อให้นักเรียนมี พัฒนาการในการเรียนรู้ท่ีดีข้ึน และสามารถเข้าใจในเนื้อหาได้อย่างง่าย ประกอบกับ รูปภาพท่ีสวยงาม สามารถดึงดูดให้นักเรียนเกิดการเรยี นรู้ ซึ่งในนวัตกรรมนี้ประกอบไป ด้วยเนอื้ หาท่เี ก่ียวขอ้ งกบั คา่ ว ซอ พืน้ เมืองและเนอ้ื หาบทอา่ นเสริมความรู้เรื่องสุขภาวะ ตามโครงการพัฒนานวัตกรรมส่งเสริมความรอบรู้เรื่องสุขภาวะผ่านการพัฒนาการอ่าน ออกเขียนได้ โดยรับสนับสนนุ งบประมาณจากสานักงานกองทุนสนับสนนุ การสร้างเสริม สขุ ภาพ โดยจดั ทาทัง้ หมด ๑ ชดุ ประกอบไปดว้ ย ๓ เล่ม ผู้จัดทาหวังเป็นอย่างยิ่งว่านวัตกรรมชุดน้ีจะให้ความรู้กับนักเรียนและ ผู้สนใจการเรียนรู้ ค่าว ซอ พื้นเมืองเบื้องต้น และบทอ่านเสริมสุขภาวะ สามารถนาไป ประยุกต์ใช้ในการจัดกจิ กรรมการเรียนการสอนได้ คณะผู้จดั ทา

สำรบัญ หนำ้ เร่อื ง ๑ คานา ๑๓ สารบัญ ๒๒ เรียนรูก้ จิ กรรมที่ ๑ ประเภทบทซอลำ้ นนำ ๓๔ ๔๔ * บทอ่าน ชะพลชู ว่ ยได้ ๔๕ เรยี นรู้กิจกรรมท่ี ๒ ค่ำว ภูมผิ ญ๋ำพน้ื บำ้ นล้ำนนำไทย * บทอ่าน เหาหายเมื่อใบน้อยหน่ามา เรยี นรกู้ จิ กรรมท่ี ๓ ทำนองซอลำ้ นนำ * บทอา่ น มะขนิ่ ชวนเท่ียววัดตงุ ซาววา เรยี นร้กู จิ กรรมท่ี ๔ คุณคำ่ ของจ๊อย ซอ ล้ำนนำ * บทอา่ น ปีใ๋ หมเ่ มอื งบา้ นเฮา บรรณานกุ รม คณะผจู้ ดั ทา

เรียนรกู้ ิจกรรมที่ ๑ ประเภทบทซอล้านนา การแบง่ ประเภทหรอื ชนดิ ของซอสามารถแบง่ ตามลลักษณะดนตรที ี่นามาบรรเลง ประกอบ แบง่ ตามลกั ษณะช่างซอและแบง่ ตามเนอื้ หาทีซ่ อ ดงั นี้ ๑. แบ่งตามลักษณะดนตรีที่นามาบรรเลงประกอบ แบ่งได้ ๒ ชนดิ คือ ซอซงึ และซอปี่ ๑.๑ ซอซึง เรียกอีกอย่างว่า ซอเข้าซึง นิยมให้ช่างซอเป็นหัวหน้าคณะ มีต้นแบบหรือกาเนิดท่ีจังหวัดน่าน จึงเรียกอีกอย่างว่า ซอน่าน แต่นิยมซอในเขตจังหวัด แพร่ น่าน พะเยา ปัจจุบันซอน่าน เป็นท่ีนิยมทั่วไป ช่างซอขับซอช้ากว่าซอเชียงใหม่ มที านองล่องนา่ น ดาดแพร่ ลบั แล โดยไม่ต้องใชท้ านองอนื่ เป็นทานองเช่อื ม ๑.๒ ซอป่ี เป็นการซอท่ีใช้เครื่องดนตรีป่ีจุมเป็นหลัก ซอปี่จึงเรียกอีกอย่างหนึ่ง ว่าซอเข้าปี่ นิยมให้ช่างซอหญิงเป็นหัวหน้าคณะ มีต้นแบบหรือกาเนิดที่จังหวัดเชียงใหม่ จึงเรียกอกี อยา่ งหนง่ึ วา่ ซอเชยี งใหม่ นิยมซอในจังหวัดเชียงใหม่ ลาพนู ลาปาง เชยี งราย แพร่ และแม่ฮ่องสอน ในการขับซอขับซอเร็ว บางคร้ังฟังไม่ค่อยทัน มีซอทานองต้ัง เชียงใหม่ ละม้าย เชียงแสน จะปุ๋ อื่อ พม่า ( เชียงใหม่ ) เสเลเมา ( เงี้ยว ) พระลอ เป็น ตน้ การเปล่ยี นทานองและการใช้ทานองคอ่ นข้างเคร่งครัด ๒. แบ่งตามลักษณะชา่ งซอ มี ๒ ชนิด คอื ๒.๑ ซอเดย่ี ว หรือ ซอป้อด คอื การซอโดยคนๆ เดียวเปน็ ชา่ งซอชาย หรอื หญงิ กไ็ ด้นิยมใช้ซอเล่าเรอื่ ง ๒.๒ ซอถ้อง หรือซอมีคู่ถ้อง คือ การซอแบบปฏิพากย์ ซอโต้ตอบกันของ ช่างซอ เป็นช่างซอชายกับช่างซอหญิง หรือช่างซอชายกับชาย หรือช่างซอหญิงกับหญิง อยา่ งใดอยา่ งหนงึ่

๓. แบ่งตามท่ีมาของเนอ้ื หาซอ แบ่งได้ ๒ ชนิด ดังน้ี ๓.๑ ซอด้น คือ การซอด้นไปตามเนื้อหาสาระที่ช่างซอไปประสบพบเห็นตาม เหตุการณ์หรือลักษณะของงานที่ไปซอ หรือตามสถานที่น้ันๆ จึงเป็นการซอท่ีใช้เน้ือหา ซ่ึงคิดผูกข้ึนอย่างปัจจุบันทันที เข้าลักษณะขับซอกันสดๆ ด้วยปฏิภาณไหวพริบของช่าง ซอ เป็นการแสดงภูมิปัญญาความสามารถของช่างซอ เชน่ ซอทักทายผคู้ น ซอลา ซอเชิญ ชวนแขกรับประทานอาหาร เชิญมาร่วมงาน ซอเก้ียวสาว ซอข้ึนบ้านใหม่ ซองานกฐิน ซองานบวช ซองานศพ ซองานฉลอง งานบญุ ตา่ งๆ เป็นต้น ๓.๒ ซอตามเน้ือเร่ือง หรือซอตามบท เป็นการซอตามเน้ือเรื่องท่ีได้มีผู้แต่งไว้ แล้ว เช่น ซอเรื่องพระลอ ซอเร่ืองน้อยใจยา ซอเร่ืองไก่น้อยดาววี ซอเร่ืองหอนไห้ ซอ เรื่องเจ้าสุวัตรนางบัวคา เป็นต้น นอกจากนี้การซอลักษณะนี้ช่างซอต้องจดจาเน้ือหาให้ แม่นยาและมีโอกาสฝึกมาก่อนเป็นอย่างดี จึงสามารถทาท่าทางประกอบขณะขับซอได้ ทาใหม้ บี รรยากาศทส่ี นกุ สนานมากยงิ่ ขนึ้ ซอเป็นการแสดงของพ้ืนบ้านล้านนามีประวัติความเป็นมาหลายรูปแบบทั้งที่ เป็นตานาน เร่ืองเล่าและหลักฐานท่ีเป็นลายลักษณ์อักษร วิวัฒนาการของการซอนั้นมี การปรับปรุงและเปล่ียนแปลงให้มีความทันสมัยและเหมาะสมกับสภาพทางเศรษฐกิจ และสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป การซอสืบทอดกันมาอย่างยาวนานโดยศลิ ปินซอหรือชา่ งซอ ในแต่ละท้องถิ่น ดังนั้นในปัจจุบันการขับซอจึงยังบทบาทความสาคัญ เป็นท่ีนิยมและจัด แสดงในพิธกี รรมและงานสาคญั ต่างๆ อย่เู สมอ

บทอ่านเสริมความรู้สขุ ภาวะ ชะพลูช่วยได้ “ยายๆ”เสียงเรยี กของตาดังข้ึนทาใหห้ ม่อนท่กี าลงั คยุ กบั ยายหันไปมอง “มีอะไรตา เรียกฉันทาไม”ยายถามตาที่เรยี กตนเอง “ฉันรู้สึกว่าท้องฉันอดื มันแน่นๆ ไม่สบายตัวเลยยาย”ตาตอบพร้อมกับเอามอื ลูบ ทท่ี ้องไปด้วย “เราจะทาไงกันดคี รบั ยาย”หมอ่ นถามยายดว้ ยความห่วงอาการของตา “เด๋ยี วเราสองคนไปทสี่ วนผกั หลังบ้านกนั ไปเก็บใบชะพลู” ยายพูด “ไปเก็บใบชะพลูทาไมครับ ไม่พาตาไปหาหมอหรอครับ”หม่อนสงสัยจึงถาม ออกไปเมอื่ ยายบอกวา่ จะไปเก็บใบชะพลู “ตาไม่ค่อยชอบไปโรงพยาบาลจ๊ะถ้าไมเ่ ป็นหนักจรงิ ๆ จะเก็บพวกพืชผกั สมนุ ไพร ในบ้านรักษาเอาตามอาการ”ยายตอบ แล้วหยิบหมวกมาใส่ให้หม่อนแล้วพากันเดิน ออกไปทีส่ วนหลงั บา้ น “ต้นไหนคือตน้ ชะพลูจะ๊ ยาย”หม่อนถามเมอื่ เห็นพชื ผักหลายชนดิ เต็มสวนไปหมด

“ต้นน้ีไงจ๊ะ หม่อนสังเกตนะว่าใบของชะพลูเป็นรูปหัวใจ แต่มีขนาดใบเล็กกว่า มี สีเขียวเข้ม ปลายใบแหลม โคนใบเว้า ดอกออกบริเวณปลายยอด มีสีขาวอดั แน่นกันเป็น ทรงกระบอกขนาดเล็ก ลักษณะคลา้ ยดีปลแี ต่ส้ันกว่า”ยายบอกพร้อมกับเด็ด ใบชะพลูมา หน่งึ ใบใหห้ ม่อนดู “จริงอยา่ งท่ยี ายบอกเลยครบั หม่อนจะจาไว้”หมอ่ นพดู ยายตัดต้นชะพลูไปสองต้น ตดั ออกไปทั้งตน้ จนถงึ ราก “เอาละตัดต้นชะพลไู ด้แล้ว เข้าบ้านกันเถอะ”ยายพูด หม่อนกับยายจึงพากันเดิน กลบั เขา้ ไปในบา้ น “ยายจะทายังไงกับตน้ ชะพลูพวกนค้ี รับ”หม่อนถาม “ตามยายมา แล้วเราจะรู้เอง”ยายตอบ หม่อนจึงเดินตามยายไปในครัว เห็นยาย นารากชะพลูประมาณ ๑ กามือ นาไปล้างน้าจนสะอาด แล้วนามาต้มกับน้าจากน้ันก็ เคยี่ ว พอได้ทีแ่ ลว้ ก็นาไปใสแ่ ก้ว “หมอ่ นเอาไปให้ตากินนะ”ยายบอกพรอ้ มส่งแก้วให้หมอ่ น “ครับยาย แลว้ ท่ีเหลอื ละครับจะเอาไปทาอะไร”หมอ่ นสงสัยจงึ ถามออกไป “ชะพลูมีสรรพคุณทางยาหลายอย่างเลยนะ น้าที่ยายต้มจากรากมันก็แก้อาการ ท้องอืด ท้องเฟ้อได้ อย่างท่ีตากาลังเป็นอยูต่ อนนี้ไงละ หม่อนเอาน้าไปให้ตาก่อนไปแลว้ กลบั มายายจะบอกให้ต่อ”ยายบอก

หม่อนจงึ เอาน้าไปให้ตากนิ แล้วรอจนตากนิ เสร็จจงึ นาแก้วกลับเขา้ มาในครวั “ยายกาลังทาอะไรครับ”หม่อนถามเม่ือเห็นยายกาลังนาชะพลูทั้งต้นลงใส่ใน หมอ้ ต้ม “ยายกาลังต้มชะพลูให้ตัวเองจ๊ะ ยายมีโรคประจาตัวคือเป็นโรคเบาหวานแลว้ คน รู้จกั เค้ากเ็ ปน็ โรคน้ีเหมอื นกัน แต่ตอนน้ีอาการดีข้นึ เพราะกินนา้ ชะพลูน่แี หละ”ยายตอบ “แล้ววธิ ที านา้ เหมอื นกับของตาไหมครับ”หมอ่ นถาม “ของตาจะใช้ส่วนราก ของยายจะใช้ท้ังต้นเลย นาต้นชะพลูมาล้างน้าให้สะอาด แล้วนาไปใส่ในหม้อต้มรอให้เดือดสกั พักแล้วนามาดื่มเป็นชา มันจะช่วยได้ดีทีเดียว”ยาย ตอบ แล้วก็คอยดู หม้อต้มว่าเดือดหรือยัง ผ่านไปสักพักเมื่อเห็นว่าหม้อต้มน้าเดือดได้ที่ แล้วจึงปิดยกหม้อลงมาไว้ทโี่ ตะ๊ “บางคนก็กินอาหารที่ทาจากสมุนไพรต่างๆ ได้ทั้งความอร่อยแล้วยังถือว่าเปน็ ยา ไดอ้ กี ดว้ ย”ยายพดู “ช่วงปิดเทอมแล้วมาบ้านยายเม่ือไร หม่อนได้ความรู้เร่ืองใหม่ๆกลับไปเล่าให้ เพอื่ นฟังเสมอ”หม่อนพูด “ง้ันต่อไปต้องมาหายายทุกปิดเทอมเลยนะจ๊ะ”ยายพูดพร้อมกับลูบหัวต้นด้วย ความเอน็ ดู “ครับ”หม่อนพดู และคดิ ในใจวา่ ตอ้ งมาหายายใหไ้ ด้ทุกครั้งท่ีปิดเทอม

อธบิ ายเพมิ่ เตมิ ความรู้ ใบชะพลู ชะพลู หรือ ใบชะพลู พลูลิงนก(เชียงใหม่) ช้าพลู (ภาคกลาง) พลูลิง (ภาคเหนือ) ผักอีเลิศ (ภาคอสี าน) นมวา (ใต้) อีกหน่ึงผักที่จัดว่าเป็นสมนุ ไพรแต่โบราณ เพราะคนไทยสมัยก่อนมักนิยมนาใบชะพลูมาเคี้ยวหมากกันหรือที่รู้จักกันดีในนาม \"หมากพลู\" ใบชะพลูน้ันมีสารอาหารที่สาคญั และมปี ระโยชน์ต่อร่างกายของคนเราอย่าง มาก อย่างเช่น แคลเซียม และวิตามินเอที่สงู มาก และยังมีสรรพคุณทางยาอีก เช่นช่วย บารุงธาตุ แก้จกุ เสยี ดแน่น ลักษณะของต้นชะพลู ชะพลูเป็นพืชล้มลุกขนาดเล็ก มักขึ้นท่ัวไปตามท่ีเปียกชื้น ปลูกข้ึนง่าย เจริญเติบโตได้ดี มีลักษณะเป็นเถาเลื้อยอยู่รวมกันเป็นกลุ่มมีกลิ่นเฉพาะตวั มลี ักษณะเป็นเถาเลอ้ื ยอยูร่ วมกนั เป็นกลุม่ ใบมีสี ทม่ี า www.bloggong.com เขียวสดเป็นมัน คล้ายกันกับ ใบพลู ฐานใบ กว้าง ปลายใบแหลมคล้ายรูปหัวใจหรือใบโพธ์ เล็กน้อย ใบมีกล่ินฉุน มีรสเผ็ดเล็กน้อย ดอกสี ขาวมีขนาดเล็กจะออกเป็นช่อ แหล่งที่พบจะ ปลกู ตามสวนผกั แปลงผัก บ้านทว่ั ไปหรือตามท่ี ช้ืนแฉะริมน้า บางแห่งอาจจะขึ้นเองตาม ธรรมชาติ ใบชะพลูนอกจากจะเป็นสมุนไพร รักษาโรคแล้วยังสามารถนามาประกอบอาหาร ไดอ้ กี ดว้ ย อย่างไรก็ตามใบชะพลกู ม็ ขี อ้ ควรระวงั ท่ีสาคัญน่ันคอื ไมค่ วรกนิ ใบชะพลูใน ปริมาณมากเกินไปเพราะมีสารออกซาเลต ท่หี ากสะสมในรา่ งกายมากๆ จะทาให้เกิดน่ิว ในไตได้ แต่หากเรารับประทานในจานวนพอเหมาะเว้นระยะบ้างเชื่อกันว่าชะพลูจะชว่ ย ปรบั ธาตใุ นรา่ งกายใหส้ มดุล

คาศัพท์ คาศัพท์นา่ ร้ใู นกจิ กรรม ดปี ลี ความหมาย น้าพริก ใบชะพลู ดปี ลเี ป็นไมเ้ ลอื้ ยชนิดหนึง่ ใบรปู ไข่ โคนมน ปลาย แหลม เป็นพชื ใบเดีย่ ว โรคท้องอืด อาหารชนดิ หนึ่ง ปรุงด้วย กะปิ กระเทยี ม พริก โรคเบาหวาน ขหี้ นู มะนาว เป็นต้น ใบมีลักษณะคลา้ ยรูปหวั ใจรูปทรงคลา้ ยกบั ใบพลู แต่มีขนาดใบเลก็ กวา่ มสี เี ขียวเขม้ เป็นใบเดีย่ ว รสชาตเิ ผด็ เป็นอาการผดิ ปกติของท้องหรือลาไส้ มักมอี าการ บรเิ วณตรงกลางของทอ้ งดา้ นบน อยู่ระหวา่ งใต้ล้ิน ปีแ่ ละเหนือสะดอื เกดิ จากความผดิ ปกติของรา่ งกายทมี่ กี ารผลิต ฮอร์โมนอินซลู ินไมเ่ พยี งพอ อนั สง่ ผลทาให้ระดบั น้าตาลในกระแสเลอื ดสงู เกิน คาศัพท์ ความหมาย สมนุ ไพร ผลิตผลธรรมชาติ ไดจ้ าก พชื สัตว์ และ แรธ่ าตทุ ี่ ใช้เป็นยา หรอื ผสมกับสารอน่ื ตามตารับยา เพอ่ื หมอ บาบัดโรค บารุงรา่ งกาย หรอื ใช้เปน็ ยาพษิ ผรู้ ,ู้ ผชู้ านาญ, เชน่ หมองู หมอนวด ผู้ตรวจรักษา โรค

อา่ นประโยค - ฟ้าชอบทานนาพรกิ เพราะวา่ มรี สชาตอิ รอ่ ยถูกปากและทาทานงา่ ย - ใบชะพลูมีรสชาติเผด็ รอ้ นช่วยแก้อาการทอ้ งอดื ได้ - ผ้ปู ว่ ยทเ่ี ป็นโรคเบาหวานไมค่ วรกนิ อาหารท่ีมีไขมันสงู ฉันไมส่ บายแม่ จงึ พาฉันไปหา

แบบฝกึ หดั ท่ี ๒ คำชี้แจง จงโยงคำศพั ท์ใหม้ ีควำมหมำยและนำมำเตมิ ลงในชอ่ งวำ่ ง ให้ถูกต้อง(๑๐ คะแนน) ตัวอย่ำง ฟนั นำ้ ๑. แก้ว แปรง ตำล บ้งุ ๒. ผกั ๓. นก

๔. ทพั พี ปู ๕. ลำ ไย ๖. สอ กำง ชำ้ ยนต์ ๗. เกง รถ ๘. ตะ ๙. ดิน ๑๐. ชงิ

คำศพั ทท์ ีจ่ ับคู่ ตวั อยำ่ ง ๒. นำ้ ตำล ๑. ๓. ๔. ๕.

๖. ๗. ๘. ๙. ๑๐.

เรียนร้กู ิจกรรมท่ี 2 ค่าว ภมู ิผญา๋ พืนบา้ นลา้ นนาไทย “ค่าว” เป็นชื่อของลักษณะการเรียบเรียงถ้อยคาท่ีให้เป็นระเบียบเหมือนห่วงโซ่ คือ มีสัมผัสคล้องจองกันไป ทางภาคเหนือเรียกเชือกเส้นโต ๆ ว่าค่าว หรือเชือกค่าว เพราะลักษณะเป็นค่าวเป็นเครือต่อเน่ืองกันลักษณะคล้ายกลอนแปดของภาคกลาง ทั้ง ในดา้ นสัมผสั และลีลากลอน (มณี พยอมยงค์, 2525) ค่าวหรือค่าวซอเป็นวรรณกรรมที่สันนิษฐานว่าเกิดขึ้นในช่วงระหว่าง พ.ศ. 2300-2470 เพราะเป็นช่วงท่ีบ้านเมืองพ้นจากอานาจการปกครองของพม่า วัฒนธรรมหลายอย่างรวมทั้งวรรณกรรมค่าวจึงได้รับการฟ้ืนฟูขึ้น ค่าวหรือค่าวซอเป็น วรรณกรรมที่สืบเน่ืองมาจากธรรมค่าว โดยธรรมค่าวน้ันแต่งขึ้นเพ่ือใช้เทศน์ให้ชาวบ้าน ฟังท่ีวัด ผู้ท่ีฟังธรรมคา่ วก็ได้ขอ้ คิด ปรัชญาหรือหลักธรรม สาหรับผู้ที่ไม่ได้ฟงั ธรรมคา่ วก็ ได้อาศัยฟังค่าวซอแทนเพราะค่าวซอมีเน้ือเรื่องทานองเดียวกับธรรมค่าว จะต่างกันใน รปู แบบของการประพันธ์ เท่านั้น ค่าวซอแสดงถึงวัฒนธรรมของชาวภาคเหนือโดยเฉพาะ ล้านนาในด้านต่าง ๆ เช่น ประเพณี การละเล่น สุภาษิต การแต่งกาย ตลอดจนสภาพ ความเป็นอยู่ของชาวภาคเหนือ นอกจากนี้ค่าวซอยังแต่งข้ึนด้วยคาประพันธ์ท่ีมีลักษณะ เฉพาะตัว แต่มีส่วนคล้ายกลอนแปดอยู่บ้างตรงท่ีมีสัมผัสรับกันไปโดยตลอด (เสน่หา บุณยรักษ,์ 2519) ค่าวจึงเป็นวรรณกรรมท่ีมีคุณค่าทางด้านภาษาของล้านนา มีความสุนทรียะ บอกเล่าเรื่องราวความเป็นมาทางประวัติศาสตร์ แสดงออกถึงภูมิปัญญาและวิถีชีวิต ความเป็นอยู่ของสังคมชนบทในอดีต สะท้อนให้เห็นถึงวัฒนธรรมประเพณี แฝงด้วยคติ ธรรมและสุภาษิตสอนใจ นอกจากน้ี ค่าวยังแสดงถึงความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะถิ่น แต่ ปัจจุบันการประพันธ์และการเล่าค่าวถูกละทิ้ง ไม่ได้รับความสนใจเท่าท่ีควร และหาก ไมไ่ ดร้ บั การจัดการอยา่ งเหมาะสม ค่าวก็อาจจะเลือนหายไป

ค่าวชนดิ ตา่ ง ๆ ค่าวแบง่ ตามลักษณะการประพันธ์ได้ดงั นี ๑. ค่าวกอ้ ม เปน็ โวหารทก่ี นิ ใจ หรอื สภุ าษิตส้นั ๆ มักใชป้ ระกอบการสนทนา ๒. คาคา่ วคาเครือ เป็นสานวนแบบฉบบั ท่หี นุ่มสาวใชเ้ จรจาตอบโตก้ นั ๓. ค่าวใช้ เป็นจดหมายรักท่ีมีไปมาระหว่างหนุ่มสาวเทียบได้กับเพลงยาวของ ภาคกลาง ๔. คา่ วร่า หรอื คา่ วฮ่า ใช้พรรณนาเหตกุ ารณต์ า่ ง ๆ คลา้ ยกับจดหมายเหตุ เช่น ค่าวร่านา้ นอง คา่ วรา่ ครวั ทานสลากย้อม คา่ วรา่ ครูบาศรีวชิ ยั เป็นตน้ ๕. ค่าวธรรม ใช้ในการแต่งเร่ืองแบบจักร ๆ วงศ์ ๆ เพื่อการอ่านสู่กันฟัง เช่น ค่าวหงส์หิน ค่าวเจ้าสวุ ัตร์นางบวั คา คา่ วก่ากาดา เปน็ ต้น การอ่านค่าว การอ่านคา่ วมีลลี าการอา่ น โดยแยกไปตามระดับของเหตุการณ์ และทานองรอ้ ง มี ๓ ทานองดังน้ี ๑. อ่านทานองโก่งเฮียวบง (โกง่ เรยี วไผ)่ หมายถึง การอา่ นแบบลลี าช้า มเี อ้ือน และใชเ้ สยี งสั้นยาวไปตามจังหวะดนตรี ๒. อ่านทานองม้าย่าไฟ ได้แก่ การอ่านแบบจังหวัดเร็วเร่งร้อนเหมือนม้า เหยียบไฟ ผู้อา่ นเร่ิมอ่านเร็วแลว้ ไปทอดยาวตอนปลาย การอา่ นแบบน้จี ุเนอ้ื ความได้มาก ไม่เสยี เวลา ๓. อ่านทานองวิงวอน เป็นการอ่านแบบต้องการให้ผู้ฟังเกิดความเมตตา สงสารเพราะลีลาเสียงเป็นไปในทานองสลดสังเวช นิยมอ่านตอนบทเศร้าที่ต้องการให้ สะเทอื นอารมณ์ผูฟ้ งั

ประโยชนข์ องคา่ ว ๑. ใช้ในการแต่งเรือ่ งตา่ ง ๆ ซง่ึ ผู้แต่งตอ้ งการนาเอาเรอ่ื งเก่ยี วกบั จกั ร ๆ วงศ์ ๆ มาแสดงให้ชาวบ้านได้รู้เรื่องราว เพราะในคัมภีร์เทศน์อ่านเข้าใจยาก เน่ืองจากมีคาบาลี และคาเกา่ ๆ มาก จงึ มีการแตง่ ขน้ึ ใหม่และเปลี่ยนแปลงคาพูดให้เขา้ ใจง่าย ๒. ใช้ในการแตง่ เล่าเรอื่ งราวต่าง ๆ ทบ่ี งั เกิดขึ้นในทอ้ งถนิ่ มปี ระโยชน์ในด้าน บันทกึ ความทรงจาให้คนรนุ่ หลงั ไดร้ ู้เรอื่ งราวในอดตี ๓. เปน็ สอ่ื แหง่ ความรัก จดหมาย หรอื เพลงยาวท่หี นุ่มสาวใชเ้ ป็นเครอ่ื งบอก ความในใจแก่กัน ๔. แฝงไวด้ ว้ ยสภุ าษติ สอนใจ ประเพณกี ารเลา่ ค่าว การเล่าค่าวมไี ด้หลายลักษณะ จาแนกตามโอกาส ดงั นี ๑. การเล่าค่าวภายในครอบครัว ส่วนใหญ่จะเล่าหลังอาหารเย็น เพ่ือคลาย บรรยากาศท่เี งยี บเหงาในตอน กลางคืน เพราะในสมยั ก่อนยังไมม่ ีวิทยุ โทรทัศน์ และสิง่ บนั เทงิ เหมอื นในสมัยน้ี ๒. การเล่าค่าวในงานมงคลต่าง ๆ เช่น งานปอยบวชลูกแก้ว (งานบวชเณร) งานขึ้นบ้านใหม่ งานแต่งงาน งานปอยเข้าสังข์ (งานทาบุญอุทิศส่วนกุศลไปหาคนตาย สมัยกอ่ นต้องใช้เวลาเตรียมงานหลายวนั ) ๓. การเลา่ คา่ วในงานศพ เพ่ือใหผ้ ทู้ ีม่ าอยู่เปน็ เพอ่ื นเจา้ ของบา้ นไดฟ้ ังในขณะที่ ศพยงั ไม่ได้เผาเพอ่ื ไม่ใหบ้ รรยากาศเศรา้ หมองเกินไป

บทอ่านเสรมิ ความรสู้ ุขภาวะ เหาหายเมอ่ื ใบนอ้ ยหนา่ มา “ใบบัวเป็นอะไรลูก แม่เห็นหนูเกาหัวไม่หยุดมาต้ังแต่เมื่อก้ีแล้ว”แม่ถามข้ึนเมื่อ เหน็ ใบบวั น่ังเกาหัวมาไดส้ ักพกั แลว้ “หนูกไ็ ม่รูเ้ หมอื นกนั ค่ะ มนั คนั ทีห่ วั คันมากดว้ ย”ใบบวั ตอบ “ไหนแมข่ อดูหน่อยวา่ เปน็ อะไร”แมพ่ ูดพร้อมกับเดนิ เขา้ มาเปิดผมของใบบัวดู “ตายละใบบัวหนเู ป็นเหา ไปตดิ ใครมาเน่ีย”แม่ร้องขึ้นมาอย่างตกใจ “หนกู ็ไมร่ เู้ หมือนกนั ค่ะ”ใบบวั พูด “มีทั้งตัวและไข่เหาเลย อย่างน้ีตอ้ งรบี กาจดั ทงิ้ แล้ว”แม่บอก “แม่จะไปไหนคะ”ใบบวั ถามเมอื่ เห็นแม่กาลังจะเดนิ ไปท่ปี ระตูบ้าน “จะไปเก็บใบน้อยหน่ามาจ๊ะ”แม่ตอบแล้วเดินออกไปทางหน้าบ้าน ใบบัวน้ันได้ แต่สงสัยในใจว่าแม่จะไปเก็บใบน้อยหน่า มาทาอะไร สักพักแม่ก็ถือถุงที่ใส่ใบน้อยหน่า ไว้เดนิ เข้ามาหา

“แม่เอาใบนอ้ ยหนา่ มาทาอะไรคะ”ใบบวั ถาม “เอามากาจัดเหาให้หนูไงจ๊ะ นี่เป็นสูตรท่ีทาได้ง่ายมาก แล้วก็ยังใช้สมุนไพร พ้นื บา้ นท่หี าไดง้ ่ายอกี ดว้ ย สมยั แมเ่ ปน็ เดก็ แลว้ เป็นเหายายกใ็ ชว้ ธิ ีนีก้ าจดั เหาให้แม่” “แล้วทาไมไม่ใชห่ วเี สนยี ดละคะ” “แม่ว่าใช้ใบน้อยหน่าจะได้ผลดีกว่า เพราะใบน้อยหน่ามีกล่ินเหม็นเขียวที่รุนแรง มากทาใหก้ าจัดเหาได้”แม่พูด ใบบัวนั่งดูแม่เตรียมของอยา่ งสนใจ แม่นาใบน้อยหน่าประมาณ ๗-๘ ใบ มาตาให้ ละเอียดแล้วผสมกับนา้ “วิธีการใช้ใบน้อยหน่ากาจัดเหา นอกจากที่ผสมกับน้าแล้วยังมีอีกวิธีหนึ่งคือผสม กบั กบั เหล้า เบียร์กไ็ ด”้ แมพ่ ดู พอเหน็ วา่ ผสมได้ที่แลว้ ก็นามาทาทีผ่ มของใบบัว “ต้องทาให้ทั่วทั้งหัว ไหนดูสิว่าแม่ทาท่ัวหรือยัง”แม่พูดแล้วก็ดูเผื่อว่าตรงไหนทา ไดไ้ มท่ ่ัวถึง พอดูวา่ ทาทั่วถงึ แล้วจงึ ใช้หมวกอาบน้าคลมุ ผมไว้ “แมต่ อ้ งทาแลว้ ทิง้ ไว้อกี นานเทา่ ไรจะเสรจ็ คะ”ใบบวั ถาม

“ตอ้ งทง้ิ ไว้อีกสกั พกั จะ๊ ”แมต่ อบ “เหามนั จะหายไปหมดเลยไหมคะ” “ยังจ๊ะ มันจะช่วยทาให้ไข่ฝ่อ และฆ่าตัวเหา แต่ก็ไม่หมดในคร้ังเดียว หนูต้องทา อีกหลายๆคร้ังถึงจะกาจัดหมดไปได้ แล้วก็ต้องหมั่นดูแลรักษาความสะอาดของผมด้วย เหามันชอบมาอย่กู ับคนทีส่ กปรกไม่ยอมสระผม”แม่พูด “คะ่ ใบบัวจะจาไว้ค่ะ ใบบวั จะดแู ลสระผมทกุ วันเหาจะได้ไมม่ าหาใบบัวอีก” “ดีมากจ๊ะใบบัว รออีกสักพักนะพอเสร็จแล้วใบบัวก็ไปล้างออกนะจ๊ะ แล้วแม่จะ ใชห้ วีเสนียดสางผมเอาตวั เหาและไขเ่ หาทต่ี ายออกไป” “ค่ะ แต่ระหวา่ งท่ีรอใบบัวไม่รู้จะทาอะไรดี ออกไปเลน่ ขา้ งนอกกไ็ ม่ได้” “ง้ันเรามากินผลน้อยหน่ากนั ไหม แม่เกบ็ มาด้วย” “กินค่ะ ใบบัวชอบกินน้อยหน่า”แม่กับใบบัวจึงพากันนั่งกินน้อยหน่ากันอย่าง เอร็ดอร่อย

อ่านเสรมิ เพ่ิมเติมความรู้ เหา คืออะไร? เหา เป็นแมลงชนิดหน่ึงที่ต้องอาศัยแบบปรสิต คือ \"ต้อง\"อาศัยบนร่างกายคน หรือสัตว์ และดารงชีพโดยการดูดเลือดเป็นอาหาร เหาสามารถพบได้ทุกที่ในรา่ งกายทีม่ ี ขน เช่นบนศีรษะ ลาตัว หรืออวัยวะเพศ เหาเป็นแมลงสีออกเทาๆ ขนาดยาว ๓-๔ มิลลิเมตร เหาตัวเมียมีอายุประมาณ ๑ เดือน จะไข่ที่โคลนผมประมาณ ๗-๑๐ ฟองต่อ วัน ไข่จะเห็นเป็นตุ่มสีขาวติดแน่นอยู่กับผม หลังจากนั้น ๑ สัปดาห์ เหาออกไข่ ไข่ท่ีไมม่ ี เหาแล้วจะยงั คงตดิ แน่นอยู่กับผม เมอื่ ผมงอกยาวขึ้นไข่กจ็ ะเลอ่ื นตามไปดว้ ย เหาไม่สามารถกระโดดหรือบินจากคนหนึ่งไปอีกคนหน่ึง แต่ติดต่อทางสัมผัส ใกล้ชิด เช่น เด็กท่ีเล่นใกล้ชิดกัน การใช้หมวก หวี ร่วมกัน หรือนอนเตียงเดียวกัน คนท่ี เป็นเหาจะมีอาการคันท่ีบริเวณด้านหลังและด้านตรงศีรษะ เหาจะพบบ่อยท่ีศีรษะด้าน ท้ายทอย หลังหู อาจลามมาท่ีค้ิว คอ ได้แต่พบน้อย ตัวเหาบนศีรษะสามารถมองเห็นได้ ด้วยตาเปล่าหรืออาจใช้แว่นขยายช่วยส่องดู คนส่วนใหญ่จะมีตัวเหาบนศีรษะน้อยกว่า ๑๐ ตัว น้าลายของตัวเหาจะมีสารซ่ึงระคายเคืองผิวหนังได้ ทาให้เกิดตุ่มคันตรงรอยกัด การเป็นเหามันจะแพร่กระจายไปหาผู้อ่ืนได้ จึงเป็นท่ีรังเกียจของสังคม หากท้ิงไว้ไม่ รักษาจะเกิดโรคแทรกซ้อนตามมาได้ การลดการเผยแพร่ของเหาเด็กท่ีเป็นเหาควรหยุด โรงเรียนจนกวา่ จะหาย สว่ นเสื้อผ้า ผ้าปทู ี่นอน ผา้ เช็ดตัว เคร่ืองเรือนของผูท้ ีเ่ ปน็ ใชต้ ้อง ได้รบั การซักด้วยนา้ รอ้ นและอบดว้ ยความรอ้ น

คาศพั ท์ คาศัพทน์ ่ารูใ้ นกจิ กรรม กาจัด เกา ความหมาย ขบั ไล่, ทาใหส้ นิ้ ไป คัน เอาเล็บหรือสงิ่ ทม่ี ลี กั ษณะคลา้ ยเลบ็ ครูดผิวหนงั เบยี ร์ เพอื่ ใหห้ ายคนั เปน็ ตน้ ฝอ่ อาการทรี่ สู้ กึ ให้อยากเกา สกปรก น้าเมาอยา่ งหนง่ึ เป็นชนดิ เมรัย เห่ียวยุบ, เหย่ี วแฟบ เชน่ ไขเ่ หาฝอ่ เปรอะหรอื เปือ้ นด้วยสงิ่ ทถี่ อื วา่ นา่ เกลียดหรอื ทีไ่ ม่พึงประสงค์ เชน่ เสอื้ ผา้ หวีเสนยี ด ใชเ้ รยี กหวีท่มี ซี ีล่ ะเอยี ด ใชห้ วีสางสาหรบั คนเปน็ เหม็นเขียว เหา เหา มีกลนิ่ เหมน็ อยา่ งกลิ่นใบไม้สด บางชนิด เป็นแมลงชนดิ หน่งึ ทีต่ ้องอาศยั แบบ ปรสติ คอื \"ต้อง\"อาศยั บนรา่ งกายคน หรอื สตั ว์ และดารงชพี โดยการดูดเลอื ดเปน็ อาหาร อา่ นประโยค - บวั ตองนอนใกล้กบั นา้ คา้ งจึงทาใหต้ ดิ เหาจากน้อยหนา่ - ลกู คา้ รา้ นกว๋ ยเต๋ยี วกินกว๋ ยเตยี๋ วอยา่ งเอรด็ อรอ่ ย - แมใ่ ช้หวเี สนียดสางผมใหน้ ดิ บวั ตองเผือ่ กาจดั เหา - ผา้ ขรี้ ิว้ ผืนนั้นสกปรก แมจ่ งึ นาไปซกั ทาความสะอาด

แบบฝกึ หดั เสรมิ ทกั ษะภำษำไทย ชวนกนั คิด ๑. ใหน้ ักเรียนช่วยกันอธิบายลักษณะของเหาวา่ เปน็ อยา่ งไร ๒. ให้นกั เรยี นบอกวธิ ีป้องกนั การเกิดเหามาคนละ ๑ วิธี ชวนกันหา ใหน้ ักเรยี นหาสมนุ ไพรชนดิ อ่ืนนอกจากใบน้อยหนา่ ท่ีสามารถชว่ ยกาจดั เหาได้ ชวนกนั ทา ให้นกั เรียนชว่ ยเผยแพรค่ วามร้วู ิธกี าจัดเหา โดยใช้ใบนอ้ ยหนา่ ภายในโรงเรียน

เรยี นรู้กจิ กรรมท่ี ๓ ทานองซอล้านนา ซอ เปน็ การขบั ขานรอ้ ยกรองทีม่ กี ารบังคับฉันทลักษณ์ เฉพาะโดยมที ่วงทานอง มี ทานอง ต่าง ๆ ทั้งหมด ๑๒ ทานอง บางทานองแต่ละท้องถิ่นจะเรียกช่ือต่างกันไป เช่น ทานองพม่า ทางจังหวัดน่าน เรียกทานองเจ้าสุวัตร นางบัวคา เป็นต้น และมีอีกหลาย ทานองทกี่ าลงั สญู หายไป มีแต่ชือ่ ทานอง เช่น ทานองซอเยนิ้ หรอื ยิ้น และซอทานองมะ เก่ากลาง ดงั นี้คอื ทานองซอ ตงั เจยี งใหม่ (เชยี งใหม)่ ทานองต้ังเชียงใหม่เป็นทานองที่ใช้ซอบทปฐมฤกษ์ในการซอ แต่เดิมเรียกทานอง น้ีว่า “ตั้งใหม่” นิยมใช้ซอเร่ิมเร่ือง หรือซอทักทาย เป็นการสวัสดีท่านผู้ชม โดยมีคา ข้นึ ตน้ เช่น หลอน หมายถงึ “สมมตวิ ่า”,นาย หมายถึง “ทา่ น”,”คณุ ”,”เธอ”,เถงิ หมาย “ถึง” ,ต๋ัว หมายถึง “ท่าน”,”คุณ” เป็นต้น ทานองน้ีจะมีเอกลักษณ์เฉพาะคาสัมผัส จะ ไม่เหมือนกับทานองซอ อ่ืน ๆ การซอทานองต้ังเชียงใหม่จะเป็นการบ่งช้ีให้นักขับซอได้ ปรับระดับเสียงใหม่เข้ากับคู่ซอ หรือคู่ถ้อง เพราะการซอบทหน่ึงอาจะใช้เวลาหลายช่ัง โมง ถ้าช่างซอยังหาจุดลงตัวของระดับเสียงไม่ได้ก็จะทาให้ไม่เกิดอรรถรสและความ สนุ ทรี

ทานอง จาวปุ หรอื จะปุ๋ ทานองซอ จาวปุ๋ หรอื จะปุ๋ มกี ารสันนษิ ฐานวา่ เป็นทานองของชาวปุ๋ ในแค้วนสิบ สองปันนา จังหวัดน่านจะเรียกทานองน้ีว่า “จ๊กก๊ก” ทานองน้ีเป็นทานองดั้งเดิมของซอ พ้ืนเมอื งใช้ซอตอ่ จากทานองซอตั้งเชียงใหม่หลงั จากลงทานองเชียงแสนแล้วหรอื บางคร้ัง ใช้ซอหลังจากเปล่ียนเป็นทานองอื่น ๆ เพื่อเข้าสู่ทานองละม้ายอีกคร้ัง ทานองจะปุ๋ เป็น ซอท่ีมี ความอ่อนหวาน ละมุนละไม การใช้ทานองน้ีมีอยู่ สองลักษณะคือ ซอแบบคร่ึง ท่อนหลัง และซอเต็มท่อน การซอแบบคร่ึงท่อนหลังจะใช้ต่อจากการซอลงเชียงแสน หรอื เมือ่ เปล่ียนเป็นทานองอื่น ๆ เพอ่ื เข้าสทู่ านองละมา้ ย ทานองละม้าย ซอละม้ายเป็น ทานองท่ีให้จังหวะครึกครื้น สนุกสนาน ใช้ต่อจากทานองจะปุ๋ ทานองนี้พัฒนามาจากทานองจะปุ๋ ซอแบบด่ังเดิมก่อนน้ันเมื่อซอทานองเชียงใหม่แล้วก็ จะต่อด้วยทานองจะปุ๋และทานองอ่ืน ๆ ยังไม่มีทานองละม้าย ต่อมามีการเปลี่ยนระดับ เสียงซอ เป็นอีกระดับท่ีสูงกว่าทานองจะปุ๋ แต่ใช้คาร้องเดียวกันกับทานองจะปุ๊ จึงเรียก ทานองน้ีว่าละม้าย ซึ่งแปลว่า คล้ายคลึง หมายถึงมีทานองคล้ายคลึงกับทานองจะปุ๋ น้นั เอง ทานองเงยี ว หรอื เสเลเมา ทานองเง้ียว หรือเสเลเมาเป็นทานองซอด้ังเดิมอีกทานองหน่ึงซ่ึงเป็นที่รู้จัก โดยทั่วไป สันนิษฐานว่าได้รับมาจากชาวเงี้ยว หรือไต หรือไทยใหญ่ ซึ่งเป็นชนชาติหนึ่ง อยู่ในรัฐฉาน ประเทศพม่า ซอทานองนี้แบ่งออกเป็น ๒ ประเภท คือ เง้ียว เง้ียวสิบชาติ ที่เรียกชื่อว่า เง้ียวสิบชาติ เน่ืองจากเป็นทานองท่ีใช้ซอ เรื่อพระเจ้าสิบชาติ หรือ พระ เวสสันดรชาดกน้นั เอง ทานองซอเง้ยี วสบิ ชาติ กับทานองซอเงย้ี วธรรมดาจะแตกต่าง กนั ทที่ ่อนกลางเทา่ นัน้

ทานองเพลงอ่ือ เป็นซอทานองด้ังเดิมอีกทานองของล้านนา สันนิษฐานว่า อาจะมาจากเพลงอื่อ กล่อมลกู ของชาวล้านนา (เพลงอน่ื จา) ทานองเพลงนมี้ ักใชซ้ อในบทอาลา ซอลาปอย ซอ ขึ้นบ้านใหม่ หรือซอมัดมือลูกแก้ว หรือซอเกี่ยวกับเร่ืองราวต่าง ๆ เช่นชีวประวัติบุคคล สาคัญ เรื่องราวในชาดก เพราะเป็นทานองทสี่ ามารถแต่งให้กระชับในแตล่ ะวรรค(จิม่ )ได้ ง่าย และเปน็ ทานองทอี่ อ่ นหวานกินใจผู้ฟงั ทานองพมา่ เปน็ ทานองซอทีร่ ูจ้ ักกันดี เพราะศิลปนิ ซอภาคเหนอื นิยมมาซอ เปน็ ทานองเก่าแก่ ซอพม่านี้ทางจังหวัดน่านจะเรียกซอทานองน้ีว่า ทานองเจ้าสุวัตร/นางบัวคา เพราะเป็น การเรียกตามชื่อเรื่อง ทานองพม่านี้ส่วนมากจะใช้ซอสูมาครัวตาน เพราะเป็นทานองท่ี สนั้ และจางา่ ย มคี าสัมผัสจากทา้ ยจรดหัว จึงไมน่ ิยมนามาซอในงานต่าง ๆ เทา่ ไร ทานองพระลอ ซอทานองพระลอเป็นทานองดง้ั เดิมของซอล้านนาเช่นกัน แต่เดิมเรียกทานองนวี้ า่ ซอล่องน่านแต่ท่ีเรียกว่าซอพระลอนั้น เพราะซอมีช่ือเรื่องพระลอ ซ่ึงเป็นเรื่องราวของ พระลอ พระเพ่ือน พระแพง ต่อมาพระราชชายาเจ้าดารารัศมีได้ทรงให้ ท้าวสุนทรพจนกจิ กวีประจาคมุ้ รจนาประพันธ์บทซอเร่ืองน้อยใจยา โดยใช้ทานองนีเ้ ปน็ ทานองซอ จึงเรียกทานองนี้ว่า ทานองซอน้อยใจยาเช่นกัน ทานองนี้นิยมใช้ซอพรรณนา ความงามของธรรมชาติ พืชพรรณไมน้ านาชนดิ ตลอดจนถงึ สัตว์ปา่ ทานองเจียงแสน ทานองเชียงแสนเป็นทานองท่ีใช้ต่อท้ายทานองต้ังเจียงใหม่ (ต้ังก๋าย) คือจะเป็น ทานองที่ใช้ก่อนขึ้นทานองจะปุ๋ ลักษณะจะซอสน้ั ๆ เพยี ง ๑ บรรทดั ตามเสยี งป่ี

ทานองป่ันฝา้ ย ทานองซอป่ันฝ้าย เป็นทานองซอท่ีเกิดจากจังหวัดน่าน โดยศิลปินพื้นบ้านของ จังหวัดน่านคือ เพ่ือใช้ซอเกี่ยวกับการปลูกฝ้าย เก็บฝ้าย ป่ันฝ้าย มีฉันทลักษณ์คาสัมผัส เดนิ หนา้ ตลอดทานอง ทานองลองนา่ น ทานองซอล่องนานนี้มีประวัติมายาวนาน โดนมีตานานกล่าวถึงซอทานองน้ีว่า พญาการเมืองได้ย้ายเมืองวรนคร หรือเมืองปัว (อาเภอปัวในปัจจุบัน) มาต้ังเมืองใหม่ ฯ จังหวัดน่านในปัจจุบัน การย้ายเมอื งในคร้ังนั้น พญาการได้จัดสร้างแพข้ึนทั้งหมด ๗ แพ เพื่อเตรียมการขนยา้ ยผ้คู น บรรดาแพทั้งหมดมแี พหน่ึงบรรทกุ คณะดนตรีและช่างซอชื่อ ปู่คามาและย่าคามี ได้ซออาลาบ้านเกิดเมืองนอนท่ีเคยอยู่ และบรรยายความงามตาม ธรรมชาติ ดอกไม้ ป่าไม้ ตามสองข้างฝ่ังลาน้าน่าน จึงเรียกซอทานองน้ีว่า ทานองล่อง นานต้ังแตน่ ั้นเป็น ตน้ มา

บทอ่านเสริมความรู้สุขภาวะ มะขิน่ ชวนเทย่ี ววดั ตุงซาววา สวัสดีจ๊ะ ฉันชื่อมะขิ่น ฉันเป็นชาวเขากะเหรี่ยง ฉันมีอาชีพเป็นคนขายดอกไม้ธูป เทียนอยู่ที่บนวัดตุงซาววา ทุกๆเช้าฉันจะมานั่งเตรียมดอกไม้ธูปเทียน เพื่อจะนามาขาย ให้นกั ท่องเที่ยวทง้ั หลายทม่ี ากราบไหว้พระบรมสารีรกิ ธาตุ ทุกๆวันจะมีนักท่องเท่ียวจะเดินทางมาเยี่ยมชมความงดงาม และมากราบไว้ สักการะบูชาอยู่เป็นจานวนมากโดยเฉพาะชว่ งเทศกาล บางคนกเ็ ดนิ ทางมาคนเดยี ว บาง คนก็มากนั เปน็ กลุ่ม หรอื ครอบครัว สงสัยไหมวา่ ทาไมวัดตงุ ซาววาจึงเป็นสถานทีส่ าคญั ของชาวอาเภอทุง่ หวั ชา้ ง เพราะ วัดตุงซาววา เป็นสถานท่ีศักดิ์สิทธิ์และแหล่งท่องเที่ยว ตามตานานในกาลสมัยท่ีท่านครู บาวงศ์ยังมีชีวิตอยู่ ท่านได้ดาริเอาไว้ล่วงหน้าว่าจะมีส่ิงท่ีทรงคุณค่าสาคัญย่ิงจะปรากฎ ขึ้นบนยอดดอยแห่งนี้ ในสมัยน้ันท่านครูบาวงศ์ จึงได้ชักชวนชาวบ้านในระแวกน้ัน มี หมู่บ้านสันชัยเป็นหลัก พากันมาต้ังตุง (ธง) สูง 20 วาขึ้นด้วยวัสดุที่จะพึงจัดหาได้ของ พื้นบา้ น ซ่ึงบรรดาชาวบ้านก็ออกจะงงๆอยู่

เธอรู้ไหมว่าทาไมท่านครูบาฯจึงใช้วัสดุที่ไม่คงทนถาวร ซึ่งท่านครูบาฯก็ได้ช้ีแจงว่า หากเมื่อถึงเวลาสิ่งสาคัญย่ิงของบ้านเมืองก็จะมาปรากฎข้ึนในภายภาคหน้า และด้วย ความสามคั คขี องญาตโิ ยม พร้อมท้งั ปัจจยั แวดลอ้ มตา่ งๆทุกดา้ น งานกอ่ สรา้ งพระรูปของ องค์สมเด็จองค์ปฐมปางมหาจักรพรรดิ ก็ได้เร่มิ ขน้ึ ณ ยอดดอยตงุ ซาววา ของหมูบ่ ้านสัน ชัย ตาบลทุ่งหัวช้างอย่างเป็นข้ันตอนรวดเร็วทันยุคเป็นอย่างย่ิง น่ีแหละคือเร่ืองเล่าของ วัดตุงวาววา จากนั้นก็เดินไปชมวิวทิวทัศน์ท่ีสามารถมองเห็นวิวอาเภอทุ่งหัวช้างซึ่งมีความ สวยงาม ซ่ึงนกั ทอ่ งเทยี่ วส่วนมากก็จะพากนั ไปถ่ายรปู ท่จี ุดชมววิ แห่งนี้ บริเวณจดุ ชมวิวก็ จะมีระฆังตั้งอยู่ ชาวล้านนาเชื่อว่าถ้าได้ตีระฆังก็จะมีชื่อเสียงเลื่องลือไปไกล เดินไปอีก หน่อยก็จะมีการแสดงฟ้อนราของเด็กๆชนเผ่ากะเหร่ียงมาแสดงในวันสาคัญซึ่งจะแต่ง กายดว้ ยเสือ้ ของชนเผา่ ของตวั เอง นกั ทอ่ งเท่ยี วก็สามารถนั่งชมการแสดงฟ้อนรานัน้ ได้ ก่อนกลับนักท่องเที่ยวทุกคนมักจะแวะซ้ือของฝากของ ท่ีระลึก ที่ร้านขายของ ดา้ นล่าง เพอื่ จะเปน็ ทรี่ ะลึกเอาไปฝากเพอ่ื น หรือคนรู้จัก ฉันอยากเชิญชวนให้ทกุ คนมากราบไว้บูชา มาเทย่ี ว และสัมผัสความงดงามของวัดตงุ ซาววาอย่าลมื แวะมาหาฉัน มาซอ้ื ดอกไมธ้ ูปเทยี นของฉนั ไปกราบไหวพ้ ระธาตดุ ว้ ยนะ วนั น้ีฉนั ขอไปกอ่ นนะ ฉันตอ้ งไปขายของต่อแลว้ หวังว่าเราจะไดเ้ จอกนั นะ

อธิบายเพ่มิ เตมิ ความรู้ วดั ตงุ ซาววา เป็นสถานท่ีศักดิ์สิทธแ์ิ ละแหล่งทอ่ งเท่ียว ตามตานานในกาลสมัยท่ีทา่ นครบู าวงศ์ ยังมีชีวิตอยู่ ท่านได้ดาริเอาไว้ล่วงหน้าว่าจะมีสิ่งที่ทรงคุณค่าสาคัญย่ิงจะปรากฎขึ้นบน ยอดดอยแห่งน้ี ในสมัยนั้นท่านครูบาวงศ์ จึงได้ชักชวนชาวบ้านในระแวกน้ัน มีหมู่บ้าน สันชัยเป็นหลัก พากันมาตั้งตุง (ธง) สูง 20 วาขึ้นด้วยวัสดุที่จะพึงจัดหาได้ของพื้นบ้าน ซึง่ บรรดาชาวบา้ นกอ็ อกจะงงๆอยู่ ทาไมทา่ นครูบาฯจงึ ใชว้ สั ดทุ ่ไี มค่ งทนถาวร ซึง่ ท่านครู บาฯก็ได้ช้ีแจงว่า หากเม่ือถึงเวลาสิง่ สาคัญย่ิงของบ้านเมอื งก็จะมาปรากฎข้ึนในภายภาค หน้า และด้วยความสามัคคีของญาติโยม พร้อมท้ังปัจจัยแวดล้อมต่างๆทุกด้าน งาน ก่อสร้างพระรูปขององค์สมเด็จองค์ปฐมปางมหาจักรพรรดิ ก็ได้เริ่มขึ้น ณ ยอดดอยตุง ซาววา ของหมู่บ้านสันชัย ตาบลทุ่งหัวช้างอย่างเป็นขั้นตอนรวดเร็วทันยุคเป็นอย่างยิ่ง โดยได้แบบไฟเบอร์หล่อคอนกรีตของท่านผู้มีจิตศรัทธาได้จัดสร้างเอาไว้ สาหรับการใช้ หล่อพระรูปของสมเด็จองค์ปฐมในสถานที่สาคัญต่างๆท่ัวประเทศไทยจานวนเก้า พระองค์ ได้ทราบว่าที่กาลังจัดสร้างที่ดอยตุงซาววานี้เป็นลาดับท่ีสาม องค์พระสมเด็จ องค์ปฐมปางมหาจักพรรดิบนยอดดอยตุงซาววาน้ี จะทรงหันพระพักต์ไปทางทศิ เหนือใน ปจั จุบัน ซ่ึงต่อไปในอนาคต เมือ่ โลกยา้ ยแกนไป 90 องศา กจ็ ะเปลีย่ นเปน็ ทศิ ตะวันออก ในเวลาน้ันได้รับพลังจากดวงอาทิตย์ตั้งแต่ยามรุ่งอรุณเช่นประเพณีที่ทามาแต่โบราณ ส่วนทัสะนียภาพจากด้านซ้ายมอื ขององค์พระวนไปทางทิศเหนือมาถึงด้านทศิ ตะวนั ออก ในปัจจุบัน เบื้องล่างลงไปประมาณ 150-200 เมตร เป็นเลือกสวน ไร่นา ของชาวบ้าน ท่ีมีอยู่ไม่หนาแน่นนัก เขียวชะอุ่มสวยงามเย็นตา อยู่ในอ้อมกอดของทิวเขาสูง 600- 850 เมตรจากระดับน้าทะเล ส่วนประชากรของอาเภอทุ่งหัวช้างมีอยู่ ประมาณ 13,000 คน ทาให้คิดต่อไปว่าสถานท่ีดอยตุงซาววา ของอาเภอทุ่งหัวช้าง คงจะเป็น ทาเลท่จี ะกอรป์ ไปดว้ ยผู้ทีม่ จี ติ ศรัทธาม่ันคงในการสืบทอดพระพุทธศาสนาในยคุ อภญิ ญา ใหญ่ ทไ่ี ด้เริม่ มาแล้วตัง้ แต่ปลายปี 2547

การเดินทาง : การเดินทางจากทางหลวงหมายเลข 106 ถึงแยกแม่อาว เลยี้ วซา้ ย เข้าสู่ถนน หมายเลข 1184 ถึงบ้านแม่ปันเดง ตาบลทุ่งหัวช้างเลย้ี วซ้ายเขา้ สถู่ นนชัยยะ วงศาพฒั นา ไปตามทางกอ่ นถงึ พระธาตดุ อยกวางคา เลยี้ วซ้าย เขา้ สหู่ มู่บา้ นสัญชัย หมู่ท่ี 7 ไปตามป้ายบอกทาง ระยะทาง 2 กิโลเมตร -การเดินทางจากแยกบ้านปวงมาตาม ถนนบ้านปวง-ทุ่งหัวช้าง ถึงบ้านแม่ปันเดง เล้ียวขวาเข้าสู่ถนนชัยยะวงศาพัฒนา ไปตาม ทางก่อนถงึ พระธาตดุ อยกวางคา เลยี้ วซา้ ย เขา้ สู่หมบู่ า้ นสญั ชยั หมทู่ ี่ 7 ไปตามปา้ ยบอก ทาง ระยะทาง 2 กโิ ลเมตร

คาศัพท์น่ารู้ในกิจกรรม คาศัพท์ ความหมาย ชอบ ตรงด่ิง ถูกต้อง, พอใจ, รกั ใคร่ ตื่นเต้น ประชุม ตรงไปอย่างแน่วแน่ แสดงอาการแปลกใจโดยเอิกเกริก ประทบั ใจ ผลการเรยี น มารวมกนั หรอื เรยี กใหม้ ารวมกันเพอ่ื ประโยชน์ อยา่ งใดอยา่ งหนึ่ง ผู้ปกครอง ซาบซง้ึ ใจ,จบั ใจ,ตดิ ใจ,ชื่นชม ระดับคะแนนทีเ่ ปน็ ตัววดั ความสามารถในการ ภมู ิใจ เรยี น รายงาน สดใส ผู้ทีท่ าหนา้ ทป่ี กครองดแู ล สมา่ เสมอ [สะ-หมฺ า่ -สะ-เหมฺ อ] เช่น พ่อ แม่ รูส้ กึ วา่ มีเกยี รตยิ ศ เรอ่ื งราว, รายการ ผ่องใส, ไม่ขุ่นมวั เสมอเป็นปรกติตามระเบยี บ สามารถ [สา-มาด] เชี่ยวชาญ, สันทดั , ทาอะไรไดส้ าเรจ็ หัวคา่ เวลาแรกมดื , เวลายงั ไมด่ กึ

อา่ นประโยค - พอ่ เขา้ นอนแต่หัวค่า - เธอแต่งตวั ดูมีสสี ันสดใสน่ารกั สมวยั - ครูน้าหวานสั่งใหน้ กั เรียนทารายงานเรื่องประเทศไทยสง่ อาทิตยห์ นา้ - ชมพู่ต่นื เตน้ ท่จี ะไดไ้ ปเท่ียว

แบบฝึกหดั เสริมทกั ษะภำษำไทย คำชแี้ จง จงหำคำศพั ท์ ๓ พยำงค์ในตำรำงปริศนำใหค้ รบถ้วน (๑๐ คะแนน) แ ว ส ดิ น ส อ สี ม วิ ตา มิ น ส ง ม ล พา ไม้ บ ร ร ทั ด ง ก ล่ อ ง ข น ม ป ก ด น นา ฬิ กา ต อ ย ต งู แม ว เซา ทา ก แ บั ว ร ด นา้ ม ตัก๊ จัก๊ จนั่ ผ ง ชู ร ส

คำศัพท์ในตำรำง ตวั อย่ำง งูแมวเซำ ๒.นำฬิกำ ๔.ดินสอสี ๑.กล่องขนม ๖.บวั รดนำ้ ๓.ผงชรู ส ๘.ไม้บรรทัด ๕.แมลงปอ ๑๐.จกั๊ จ้นั ๗.วติ ำมิน ๙.ตั๊กแตน

เรียนรกู้ จิ กรรมที่ 4 คุณคา่ ของจอ๊ ย ซอ ลา้ นนา คุณค่าจ๊อย ซอ ล้านนา 1. ประโยชนใ์ นการศึกษาความเจรญิ ของมนุษย์แง่ประวตั ิศาสตร์ โบราณคดี และ ความสัมพันธเ์ กีย่ วข้องกบั การศกึ ษาวิชาอืน่ ๆ 2. เป็นประโยชน์ทางด้านการให้ความบันเทิง ซึ่งจาเป็นมากสาหรับสมัยก่อน เพราะไม่มคี วามบันเทงิ ใจมากนัก 3. เป็นเครื่องส่ังสอนให้มนุษย์อยู่ในกรอบอันเหมาะสมและดีงามเช่น สุภาษิต นิทานชาวบ้าน เป็นเคร่ืองกล่อมเกลาจิตใจ ขนบธรรมเนียมประเพณี เป็นกรอบของ สังคม 4. เป็นรากฐานของความเจริญในปัจจุบัน วรรณคดี และกฏหมายที่มาจาก ท้องถ่ิน เช่นพระลอ เดิมเป็นนิทานพื้นบ้าน กฏหมายลักษณะผัวเมีย การปรับไหมชายชู้ ตงั้ ขึน้ มาจากขนบธรรมเนียมประเพณแี ตเ่ ดมิ 5. วัฒนธรรมท้องถิ่นทาให้เกิดความนิยม ภาคภูมิใจในทอ้ งถ่ินของตน เป็นเครื่อง ชี้ให้เห็นสภาพของคน ความคล้ายคลึงกับท่ีอ่ืนๆท่ัวโลก ความคิดเช่นน้ีจะไม่สร้างความ แบง่ แยก และขณะเดยี วกันก็สร้างความภมู ิใจในทอ้ งถน่ิ ของตนว่ามไิ ดด้ ้อยไปจากท้องถิ่น อื่นใด

บทอา่ นเสรมิ ความรู้สขุ ภาวะ ป๋ีใหมเ่ มอื งบ้านเฮา “น้อยหน่ากลับมาแล้วหรอจะ๊ คุณป้ามาลีชอบขนมเทียนที่แมท่ าไปฝากหรือเปลา่ จ๊ะ แล้วนั่นถือถ้วยอะไรมาน่ะ”แม่ถามน้อยหน่าท่ีเดินเข้ามาในบ้านพร้อมถือถ้วยอาหาร มาด้วย “ป้ามาลีบอกว่าขนมเทียนท่ีคุณแม่ทาอร่อยมากเลยค่ะ และป้ามาลียังฝากแกง ปลาช่อนมาด้วยค่ะ แล้วน่ันคุณแม่ทาอะไรอยู่คะ เดี๋ยวหนูช่วยนะคะ”พูดจบน้อยหน่าก็ เดนิ ไปหยิบผ้าขนหนมู าชว่ ยคุณแม่เชด็ ถว้ ยชามที่กองอยู่หน้าตู้ “คุณแม่คะ ตอนหนูไปบ้านป้ามาลี หนูเห็นคุณลุงเก็บกวาดเศษขยะ และใบไม้ ตรงหน้าบ้าน บา้ นเราจะมีงานอะไรหรอคะ” “ไม่มีหรอกจ๊ะ พรุ่งน้ีเป็นวันสงกรานต์ไง เรามีความเชื่อว่าก่อนวันสงกรานต์ เรา จะตอ้ งทาความสะอาดบ้านเรอื น ปัดกวาดเช็ดถูเคร่ืองใช้ตา่ งๆให้สะอาด รีบเช็ดเถอะจ๊ะ พร่งุ นเ้ี ราจะไดไ้ ปบา้ นยายและไปทาบญุ วนั สงกรานตก์ นั ”

เช้าวันรุ่งขึ้น คุณพ่อและคุณแม่นาสิ่งของท่ีจาเป็นต่อการเดินทางไปไว้ในรถ กระบะและเริ่มออกเดินทางไปยังบ้าน คุณยายที่อยู่อาเภอแม่ริม คุณพ่อใช้เวลาในการ ขับรถชั่วโมงเดียวก็ถึงจุดหมาย น่ันก็คือบ้านคุณยาย คุณยายเดินออกมาต้อนรับและ นอ้ ยหนา่ กร็ ีบโผเข้ากอดคณุ ยายด้วยความคิดถงึ “เข้ามาในบ้านกันก่อนเถอะจ๊ะ”คณุ ยายเชอื้ เชิญทกุ คน “เด๋ียวเราจะไปวัดกันนะจ๊ะ” ซ่ึงวัดอยูไ่ ม่ไกลจากบ้าน คุณยายได้ให้ทุกคนไปวัด โดยการเดนิ เพราะจะไดป้ ระหยัดน้ามันรถ ในขณะท่กี าลังเดินนนั้ คณุ ยายไดเ้ ลา่ เรอื่ งวนั สงกรานตใ์ ห้นอ้ ยหนา่ ฟัง “วันสงกรานต์นั้นตรงกับวันท่ี ๑๓-๑๕ เมษายน ของทุกปี โดยทางล้านนาเราได้ เรียกวันท่ี ๑๓ ว่า “วันสังขารล่อง” มีการจุดประทัดให้เสียงดังๆ เชื่อว่าเป็นการขับไลส่ ิง่ ชั่วร้ายให้ออกไป และทุกๆบ้านจะต้องทาความสะอาดบ้าน และชาระร่างกายให้สะอาด ผ่องใส วนั ที่ ๑๔ เราเรยี กวา่ “วันเนา” จะ๊ ซ่ึงชาวล้านนาเชอ่ื กันวา่ วนั น้ีหา้ มพูดคาหยาบ คายหรือด่าทอกัน เพราะจะทาให้เจอเร่ืองร้ายๆตลอดทั้งปี และวันท่ี ๑๕ เราเรียกว่า “วันพญาวัน” เป็นวันเร่ิมต้นของปีใหม่ โดยจะมีผู้คนไปทาบุญท่ีวัดต้ังแต่เช้า และมีการ รดน้าดาหัวญาติผใู้ หญด่ ว้ ยจะ๊ ”

พอคุณยายเลา่ จบก็มาถงึ ทีว่ ัดพอดี คุณยายไดพ้ าทกุ คนไปก่อเจดยี ์ทราย นอ้ ยหน่า ชอบก่อเจดียท์ รายมาก จึงกอ่ เจดยี ท์ รายจนสงู และเอาธงหลากสมี าปักไว้ “ลกู รู้ไหมทาไมเราถงึ ต้องกอ่ กองทรายในวันข้นึ ปีใหม่”แม่ถามนอ้ ยหน่า “ไม่รคู้ ะ่ คุณแม่”นอ้ ยหน่าตอบ “เพราะว่ามันเป็นกุศโลบายของคนโบราณในการขนทรายเข้าวัด เนื่องจากว่าคน ทม่ี าทาบญุ เวลาเดินออกจากวัด ต้องมีทรายตดิ เทา้ ไปดว้ ย ดังนัน้ วนั ปีใหม่จึงต้องนาทราย มาคนื ท่วี ดั แต่คนเรารักสนกุ จึงพากันกอ่ กองทรายใหส้ วยงาม”แมอ่ ธบิ ายใหฟ้ ัง เมื่อทุกคนก่อกองทรายเสร็จ คุณยายก็พามาสรงน้าพระ โดยมีขันใบใหญ่ใส่น้า สะอาดวางอยู่ พอถึงบ้านน้อยหน่าก็พบกับญาติผู้ใหญ่ที่มารอรดน้าดาหัวคุณยาย คุณ ยายจึงไดน้ ่ังอยู่ท่ตี ง่ั เพือ่ รดนา้ ดาหัวและใหพ้ รกบั ลกู หลานเพอ่ื เปน็ สริ ิมงคลแก่ชีวติ

หลังจากน้ันน้อยหน่าได้ขออนุญาตคุณแม่ไปเล่นสาดน้าที่หน้าบ้านกับลูกของน้า หน่อย และคุณแม่ก็อนุญาต น้อยหน่ารู้สึกสนุกสนานกับการเล่นสาดน้าเป็นอย่างมาก และไม่ลืมความ สนุกสนาน ความรู้ และพิธีกรรมอันงดงามท่ีแผงอยู่ในประเพณีท่ีเรียกว่า “วันปีใหม่ เมือง”

อ่านเสรมิ เพม่ิ เติมความรู้ รดนาดาหวั ตามวิถีชาวลา้ นนา ที่มา http://www.thairath.co.th ในพิธีการดาหัวของคนล้านนาก็ต้องตระเตรียม ขันสลุง(ขันเงิน) ภายในมีน้าขม้ิน ส้มป่อย(ส้มป่อย)และจะลอยด้วยดอกไม้ให้สวยงามก็สามารถทาได้ (ส่วนน้าอบน้าปรุง นั้นเป็นของคนภาคกลาง) แล้วนาไปเคารพสักการะต่อผู้อาวุโสในครอบครัว หรือผู้หลัก ผู้ใหญ่ที่เราเคารพนับถือ ผู้มีบุญคุณโดยเฉพาะอย่างยิ่ง บิดา มารดา พระภิกษุสงฆ์ และ ครูบาอาจารย์ เปน็ ตน้ การทาพิธีรดน้าดาหัวนั้นต้องเป็นไปด้วยความสมัครใจและความศรัทธา และผู้ หลักผู้ใหญ่ท่ีจะดาหัวนั้นก็ใช้ความอาวุโสเป็นหลักไม่ใช่การเกณฑ์กันไปตามแบบสมัย ปัจจุบันท่ีทาๆ กันให้เห็น และไปยดึ เอาตาแหนง่ หน้าท่ีการงานเป็นเกณฑ์ จะเป็นสิ่งทน่ี ่า เกลียดมากหากผู้ที่อาวุโสกว่านาขันสลุงน้าขม้ินส้มป่อยไปดาหัวกับเจ้านายซึ่งอายุน้อย กว่าตนเอง(ในปจั จุบนั มักมใี หเ้ ห็น เพราะทาไปเพ่อื เอาหนา้ เอาตาและหวงั ตาแหนง่ หน้าท่ี การงานของตน จนไม่สนใจต่อขนบธรรมเนยี มประเพณที ี่ถกู ต้อง) เมื่อได้ขันสลุงพร้อมกับน้าขม้ินสม้ ป่อยแล้วก็นาไปเคารพสักการะแด่ผู้ท่มี ีพระคุณ หรือผู้อาวุโสดงั ที่ไดก้ ล่าวมา ทางทด่ี กี ค็ วรให้ผูห้ ลกั ผใู้ หญ่น่งั อยสู่ งู กว่า โดยใหน้ ัง่ บนแหย่ง หรือบนเก้าอ้ี ส่วนผู้ที่ไป ดาหัวก็ให้นั่งพับเพียบ(หรือทาท่าเทพพนม)อยู่ต่ากว่า ซึ่งผู้ไป ดาหัวให้แสดงความเคารพสกั การะด้วยกาย วาจา ใจ ที่บริสุทธิ์ ยกมือไหว้แลว้ กล่าวอวย พรในสงิ่ ทดี่ ีงามต่อผอู้ าวุโส ขอ สุมาลาโทษในส่ิงที่ได้พลาดพลั้งไป และขอพรจากผู้หลัก ผใู้ หญ่ ซง่ึ ทา่ นก็จะยกมอื ไหวร้ บั แล้วกใ็ หพ้ รกลบั ตอ่ ลกู หลาน

คาศัพท์ คาศพั ท์นา่ ร้ใู นกิจกรรม กศุ โลบาย ต่ัง ความหมาย ถ้วย อบุ ายอันฉลาด อบุ ายทด่ี ี ท่สี าหรบั น่ัง ไมม่ ีพนกั ทราย ภาชนะกน้ ลกึ มรี ปู ตา่ งๆ สาหรับใส่นา้ หรือของ บริโภค โบราณ พระพุทธรปู วตั ถุท่เี ปน็ เศษหนิ ขนาดเล็ก มีลกั ษณะซยุ ร่วนไม่เกาะกนั พระภิกษสุ งฆ์ มีมาแล้วช้านาน เกา่ กอ่ น สรงน้าพระ พระรปู ทใ่ี ชแ้ ทนองคพ์ ระพทุ ธเจา้ ผู้เปน็ พระศาสดาในพระพุทธศาสนา ชายที่บวชเป็นพระ ในพระพทุ ธศาสนา อาบนา้ จะใช้กบั พระภกิ ษสุ งฆ์ อา่ นประโยค - เพือ่ นๆเล่นกอ่ กองทรายท่หี าดชะอา - คณุ ยายนง่ั ตัง่ เลา่ นิทานใหเ้ ด็กๆฟัง - คณุ แม่ตักแกงเขียวหวานใส่ถ้วย - อยุธยาเป็นเมอื งเกา่ แก่โบราณของไทย

แบบฝกึ หัด เสรมิ ทักษะภำษำไทย คำช้ีแจง จงแต่งประโยคคำศัพท์ ๓ พยำงคท์ ี่กำหนดใหถ้ ูกต้อง (๑๐ คะแนน) ตวั อย่ำง ชั้นวำงของ : แมว่ ำงรูปภำพบนชนั้ วำงของ ๑. กำต้มนำ้ : ๒. สวนดอกไม้ :

๓. กรำบขอพร : ๔. ตะวนั ออก : ๕. เครื่องซกั ผำ้ : ๖. ยำแกไ้ อ : ๗. กตัญญู :

๘. พวงมำลยั : ๙. อำขยำน : ๑๐. ไปรษณีย์ :

บรรณำนุกรม ค่ำว จอ๊ ย ซอ (ออนไลน์). สบื ค้นจาก : http://ich.culture.go.th (วนั ทค่ี น้ ขอ้ มลู : ๘ เมษายน ๒๕๖๒ ) ทำนองซอ (ออนไลน)์ . สบื ค้นจากhttp://historyofthailand.blogspot.com (วนั ทคี่ ้น ขอ้ มูล : ๘ เมษายน ๒๕๖๒ ) ตวั อย่ำงเพลงซอ (ออนไลน)์ . สบื ค้นจาก http://sor-cmskp.weebly.com (วนั ทคี่ น้ ขอ้ มลู : ๘ เมษายน ๒๕๖๒ ) ประวัติซอ (ออนไลน)์ . สืบค้นจาก http://sorlanna.com/article/history (วนั ที่ค้นขอ้ มลู : ๘ เมษายน ๒๕๖๒ ) วรรณกรรมค่ำวซอ (ออนไลน)์ . สืบค้นจาก https://sites.google.com/site/sakunrat84/wrrnkrrm-khaw-sx (วนั ทคี่ ้นขอ้ มลู : ๘ เมษายน ๒๕๖๒ )

คณะผจู้ ดั ทำ เรื่อง นายอนันต์ เตชะระ นางสาวณัฎฐรินทร์ อภวิ งค์งาม นางทัศทรวง ชนิ พันธ์ นางศรพี ร พลั วนั ภำพประกอบ นางราชาวดี คงเอยี ด นางนา้ ทิพย์ ตนั สขุ นายศรราม บญุ เรอื น ออกแบบ/รปู แบบ นายวรกิจ บุญสาร นางสาวพิมวไิ ล จีนทมิ นางสาววราภรณ์ อน่ิ แกว้ ขอ้ มลู ประกอบ นางสาวชนิสรา หนแู กว้ ว่าท่รี อ้ ยตรีหญิงโสภา บญุ นา นางพมิ พไิ ล วงคษ์ ายะ ควบคมุ กำรจัดทำนวตั กรรม นางสาววันเพญ็ อนิ ตะ๊ ขตั ยิ ์ ผู้อานวยการโรงเรียนบา้ นดง สานกั งานเขตพื้นทกี่ ารศกึ ษาประถมศึกษาลาพนู เขต


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook